รามเกียรติ์
ตอน นารายณ์ปราบนนทก
ผู้แต่ง
ผู้แต่ง:พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา
โลกมหาราช(รัชกาลที่๑) แห่งพระบรมจักรี
ประวัติผู้แต่ง
ทรงมีพระนามเดิมว่า ทองด้วง
พระชนก คือ หลวงพินิจอักษร (ทองดี)
พระชนนี คือ นางดาวเรือง
มีบุตร และธิดา รวมทั้งหมด ๕คน คือ
๑.เป็นบุตรสาวชื่อ สา
๒.เป็นบุตรชายชื่อ ขุนรามนรงค์
๓.เป็นบุตรสาวชื่อ แก้ว
๔.เป็นบุตรชายชื่อ ด้วง
๕.เป็นบุตรชายชื่อ บุญมา
พระราชกรณีวัยฒกินจดธ้รานรมก
ารฟื้ นฟูศิ ลป
ส่วนใหญ่จะเป็นการฟื้ นฟูในด้านวรรณกรรม
เป็นสำคัญ ด้วยความที่พระองค์ทรงสนพระทัยใน
งานด้านวรรณศิ ลป์เป็นอย่างมาก จึงได้ทรงพระ
ราชนิ พนธ์งานวรรณกรรมที่ทรงคุณค่าไว้จำนวน
หนึ่ ง ที่รู้จักกันดีได้แก่ พระราชนิพนธ์เรื่อง
รามเกียรติ์ อันเป็นสุดยอดวรรณคดี เอกของไทย
เรื่องราวของวรรณคดีเรื่องนี้ ปรากฏอยู่ในงานศิ ลปะ
แขนงต่างๆ มากมาย เช่น จิตรกรรม
ฝาผนังตามโบสถ์วิหารต่างๆ หรือการแสดงโขน
เป็นต้น ซึ่งรามเกียรติ์ฉบับรัชกาลที่ ๑ นี้
ทรงพระราชนิ พนธ์ลงในสมุดปกดำแบบโบราณ
ความยาวประมาณ ๑๐๒ เล่มจบ นับว่าเป็น
วรรณคดีไทยที่มีความรามเกียรติ์ยาวมากเรื่องหนึ่ ง
เสด็จสวรรคตพุทธศั กราช ๒๕๓๒
พระชนพรรษา ๗๓ พรรษา
เสด็จดำรงสิริราชสมบัติได้ ๒๗ พรรษา
ลักษณะคำประพันธ์
แต่งด้วยกลอนบทละคร ซึ่งเป็นกลอนที่
ใช้ในการแสดงละคร ต้องอาศั ยทำนองขับร้อง
และเครื่องดนตรีประกอบ แต่งเสร็จจะนำไปซัก
ซ้อมปรับปรุง คำของแต่ละวรรคจึงไม่เท่ากัน
โดยการแต่งจะเหมือนการแต่งกลอน
สุภาพแต่ละวรรคจะมี ๖-๙ คำ การนับกลอนบท
ละครจะนับเป็นคำกลอน นั่นคือ ๒ วรรค เท่ากับ
๑ คำกลอน
ลักษณะสั มผัสในวรรคและนอกวรรคนิ ยมใช้
แบบกลอนสุภาพ แต่งเป็นตอน ๆ พอจบตอน
หนึ่ ง ขึ้นตอนต่อไปใหม่ไม่ต้องรับสัมผัสไปถึง
ตอนที่จบ เพราะอาจเปลี่ยนทำนองตามบทบาท
ตัวละครที่ขึ้นต้นว่า เมื่อนั้น ใช้สำหรับตัวละคร
เอกในเรื่อง บัดนั้น ใช้สำหรับตัวรอง มาจะ
กล่าวบทไป ใช้ขึ้นต้นเมื่อเริ่มตอนใหม่ นอกจาก
นั้นยังมีการขึ้นต้นด้วยวลี ตั้งแต่ ๒-๔ คำหรือ
อาจมากกว่าก็ได้
แผนผังกลอนบทละคร
การอ่านกลอนบทละคร ควรอ่านเป็นจังหวะ โดยมีช่วง
จังหวะหยุดสั้นๆภายใน แต่ละวรรคดังนี้
ถ้าคำในวรรคมี 7 คำ ควรอ่านเป็นจังหวะ oo/oo/ooo
เช่น ถึงนนทก/น้ำใจ/กล้าหาญ หรือ พระทรง
/ธรรมให้/คิดเมตตา
ถ้าคำในวรรคมี 8 คำ ควรอ่านเป็นจังหวะ
ooo/oo/ooo
เช่น กริ้วโกรธร้อง/ประกาศ/ตวาดมา
ถ้าคำในวรรมี 9 คำ ควรอ่านเป็นจังหวะ
ooo/ooo/ooo
เช่น นางนารายณ์/เยาวลักษณ์/เสน่หา
๑.ใช้เป็นบทละครใน
๒.เพื่อปลุกให้ราษฎรห้าวหาญ
จุดมุ่งหมายในการแต่ง
๓.เพื่อให้มีเรื่องรามเกียรติ์ฉบับ
สมบูรณ์ เพราะทรงเกรงว่าจะ
สูญหายไป
๔.เพื่อแสดงให้เห็นว่า ธรรมะ
ย่อมชนะอธรรม และความหลง
เป็นเหตุหายนะ
เนื้ อเรื่องย่อทั้งหมด
นนทกเป็นยักษ์ มีหน้ าที่ล้างเท้าให้เทวดาที่มาเข้าเฝ้าพระ
อิศวรอยู่ที่เชิงเขาไกลาส และถูกเหล่าเทวดากลั่นแกล้งเป็นประจำ
บ้างก็ตบหัว บ้างก็ถอนผมจนหัวของนนทกล้าน นนทกแค้นใจ
เป็นอย่างมากจึงไปเข้าเฝ้าพระอิศวร กราบทูลว่าตนทำหน้าที่รับ
ใช้มานาน ยังไม่เคยได้รับสิ่ งตอบแทน จึงทูลขอนิ้ วเพชรที่
สามารถชี้เป็นชี้ตายได้ พระอิศวรก็ประทานให้ตามที่นนทกขอ
เมื่อเหล่าเทวดาที่มาเข้าเฝ้าพระอิศวรได้กลั่นแกล้ง
นนทกอีกครั้ง นนทกก็ได้ใช้นิ้ วเพชรชี้ไปที่เหล่าเทวดาจนตาย
เกลื่อน พระอินทร์เห็นเข้าจึงคิดว่านนทกคงได้รับพรมาจากพระ
อิศวรจึงได้ไปกราบทูลพระอิศวร เมื่อทราบดังนั้นพระอิศวรทรง
โกรธมาก จึงได้รับสั่งให้พระนารายณ์ไปปราบนนทก
พระนารายณ์ ได้แปลงกายเป็นนางสุวรรณอัปสร
ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาที่งดงามมากมายั่วยวนนนทก นนทกได้เกี้ยว
นางและพากันรำท่าต่าง ๆ จนไปถึงท่ารำที่ใช้นิ้ วเพชรชี้เข้าตัวเอง
นนทกล้มลง จากนั้นนางก็แปลงกายกลับสู่ร่างของพระนารายณ์
นนทกต่อว่าพระนารายณ์ว่า มีอำนาจมาก มีถึง ๔ กร เหตุใดจึง
ต้องทำอุบายมาหลอกตน หรือเป็นเพราะเกรงกลัวนิ้ วเพชร พระ
นารายณ์จึงให้นนทกไปเกิดใหม่ โดยมี ๒๐ มือ แล้วพระองค์จะ
ตามลงไปเกิดเป็นมนุษย์ที่มีเพียง ๒ มือและมาสู้กัน จากนั้นพระ
นารายณ็ สั งหารนนทก และนนทกได้มาเกิดใหม่เป็นทศกัณฐ์
ส่ วนพระนารายณ็ ลงมาเกิดใหม่เป็นพระราม
เนื้ อเรื่องย่อเฉพาะตอนที่ยกมา
ตรัสแล้วจึ่งมีบัญชา ดูราพระนารายณ์ เรืองศรี
ตัวเจ้าผู้มีฤทธี เป็นที่พึ่งแก่หมู่เทวัญ
จงช่วยระงับดับเข็ญ ให้เย็นทั่วพิภพสรวงสวรรรค์
เชิญไปสังหารอ้ายอาธรรม์ ให้มันสิ้ นชีพชีวา ฯ
เมื่อนั้ น องค์นารายณ์ นาถา
รับสั่ งถวายบังคมลา ออกมาแปลงกายด้วยฤทธี ฯ
เป็นโฉมนางเทพอัปสร อ้อนแอ้นอรชรเฉลิมศรี
กรายกรย่างเยื่องจรลี ไปอยู่ที่นนทกจะเดินมา
พระอิศวรเล็งเห็นว่า คงไม่มีผู้ใดเหมาะที่
จะปราบปรามนนทกได้ นอกจากพระนารายณ์
จึงตรัสให้พระนารายณ์ ไปปราบนนทก
พระนารายณ์ รับคำสั่ งแล้วแปลงกายเป็น
นางสุวรรณอัปสร เข้าไปปพูดจายั่วยวนนนทก
วิเคราะห์ตัวละคร
พระอิศวร
พระอิศวร คือเทพผู้ยิ่งใหญ่ในสวรรค์ประทับอยู่
บนเขาไกรลาส
เมื่อนั้ น พระอิศวรบรมนาถา
ได้ฟังองค์อมรินทรา จึ่งมีบัญชาตอบไป
ไอ้นี้ ทำชอบมาช้านาน เราจึ่งประทานพรให้
มันกลับทรยศกบฏใจ ทำการหยาบใหญ่ถึงเพียงนี้ ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
อุปนิสัย:เมตตาต่อผู้อื่น แต่ไม่ค่อยคิดรอบคอบ
ในการตัดสิ นใจ
เมื่อนั้ น พระอิศวรบรมรังสรรค์
เห็นนนทกโศกาจาบัลย์ พระทรงธรรม์ให้คิดเมตตา
พระนารายณ์
พระนารายณ์ คือเทวดาฝ่ายปราบปราม มี ๔ กร ซึ่ง
ถืออาวุธต่างกัน คือ คฑา ตรี จักร สังข์
บัดนั้ น นนทกแกล้วหาญชาญสมร
เห็นพระองค์ทรงสังข์คทาธร เป็นสี่ กรก็รู้ประจักษ์ใจ
อุปนิสัย : เป็นผู้ที่เก่งและมีความฉลาดสังเกตได้จาก
การเเปลงกายเป็นนางสุวรรณอัปสรเพื่อหลอกนนทก
เมื่อนั้ น องค์นารายณ์ นาถา
รับสั่งถวายบังคมลา ออกมาแปลงกายด้วยฤทธี ฯ
เป็นโฉมนางเทพอัปสร อ้อนแอ้นอรชรเฉลิมศรี
กรายกรย่างเยื่องจรลี ไปอยู่ที่นนทกจะเดินมา
ตรัสแล้วจึ่งมีบัญชา ดูราพระนารายณ์เรืองศรี
ตัวเจ้าผู้มีฤทธี เป็นที่พึ่งแก่หมู่เทวัญ
พระอินทร์
พระอินทร์ คือเทวดาผู้เป็นใหญ่ใน
สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
พระอินทร์เป็นผู้ดูแลทุกข์สุขของมนุษย์โลก
พระองค์จะมีนิ สั ยที่สอดส่ องดูแลความเป็นอยู่
ของผู้อื่น
เมื่อนั้ น หัสนั ยน์ เจ้าตรัยตรึงศา
เห็นนนทกนั้ นทำฤทธา ชี้หมู่เทวาวายปราณ
ตกใจตะลึกรำพึงคิด ใครยังประสิ ทธิ์ให้มันมาสั งหาร
คิดเเล้วเข้าเฝ้าพระทรงญาณ ยังพิมานทิพรัตน์รูจี ฯ
ฯ ๔คำ ฯเสมอ
นนทก
นนทก คือยักษ์ผู้ต่ำต้อย ที่มีรูปร่างหน้าตาน่าเกลียด
มีหน้ าที่คอยล้างเท้าให้เหล่าเทวดาที่มาเข้าเฝ้าพระอิศวร
อยู่ที่เชิงบันไดเขาไกรลาส ซึ่งมักโดนเหล่าเทวดากลั่น
แกล้ง ตบหัว ถอนผมเป็นประจำจนทำให้หัวล้าน
มาจะกล่าวบทไป ถึงนนทกน้ำใจกล้าหาญ
ตั้งแต่พระสยมภูวญาณ ประทานให้ล้างเท้าเทวา
อยู่บันไดไกรลาสเป็นนิ จ สุราฤทธิ์ตบหัวแล้วลูบหน้ า
บ้างให้ตักน้ำลางบาทา บ้างถอนเส้ นเกศาวุ่นไป
จนผมโกร๋นโล้นเกลี้ยงถึงเพียงหู ดูเงาในน้ำแล้วร้องไห้
เหล่าเทวดา
ครั้นถึงซึ่งเซิงไกรลาส คนธรรพ์เทวาราชฤาษี
ก็ชวนกันย่างเยื้องจรลี เข้าไปยังที่อัฒจันทร์ ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
นนทกก็ล้างเท้าให้ เมื่อจะไปก็จับหัวสั่ น
สัพยอกหยอกเล่นเหมือนทุกวัน สรวลสันต์เยาะเย้ยเฮฮา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
คือเทวดาที่มาเข้าเฝ้าพระอิศวรที่เขา
ไกรลาส ซึ่งชอบกลั่นแกล้งนนทกในขณะที่
นนทกกำลังล้างเท้าให้ บ้างก็ตบหัว บ้างก็ถอน
ผม
นางสุวรรณอัปสร
นางสุวรรณอัปสรคือนางฟ้าจำแลงของ
พระนารายณ์ ซึ่งพระนารายณ์ได้แปลงร่าง
เป็นนางสุวรรณอัปสร ซึ่งเป็นนางฟ้าที่สวยที่สุด
หน้าผ่องใส ปากสวย ผมสวย ตาสวย มือสวย
สวยเหมือนนางฟ้า
เหลือบเห็นสตรีวิไลลักษณ์ พิศพักตร์ผ่องเพียงแขไข
งามโอษฐ์งามแก้มงามจุไร งามนัยน์เนตรงามกร
งามถันงามกรรณงามขนง งามองค์ยิ่งเทพอัปสร
งามจริตกิริยางามงอน งามเอวงามอ่อนทั้งกายา
คุณค่าด้าน
วรรณศิ ลป์
สั มผัสนอก
สัมผัสนอก คือ คำที่ใช้คล้องจองกันและถ้ามีตัวสะกด
ต้องสะกดมาตรา เดียวกัน สัมผัสนอกเป็นสัมผัสบังคับที่ต้องมี
ในบทประพันธ์ต่างๆ ซึ่งมีสัมผัสที่ส่งและรับกันระหว่างวรรค
ระหว่างบาท และระหว่างบท และต้องเป็นสัมผัสสระเท่านั้น
เมื่อนั้ น นางนารายณ์ เยาวลักษณ์ เสน่ หา
ได้ฟังยิ่งทำมารยา ชำเลืองในตาแล้วตอบไป
(หา-ยา) สัมผัสสระ, (ยา-ตา)สัมผัสสระ
เมื่อนั้ น พระนารายณ์ บรมนาถา
ได้ฟังจึ่งมีบัญชา โทษามึงใหญ่หลวงนัก
(ถา-ชา)สั มผัสสระ
สั มผัสใน
สัมผัสใน คือ คำที่มีเสียงสระหรือ เสียง
พยัญชนะคล้องจองในวรรคเดียวกัน
แบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ
๑.สั มผัสสระ ๒.สั มผัสพยัญชนะหรือสั มผัสอักษร
ด้วยทำโอหังบังเหตุ ว่าแล้วกวัดแกว่งพระแสงตรี
(โอหัง-บัง) (กวัด-แกว่ง)
สั มผัสสระ สั มผัสพยัญชนะ
รสวรรณคดีไทย
รสวรรณคดีเสาวรจนี คือ (บทชมโฉม ชม
ความงาม) การชมความงามทั้งของตัวละคร หรือ
สิ่ งต่าง ๆ ในบทที่นนทกตะลึงในความงามของ
นางสุวรรณอัปสร
เหลือบเห็นสตรีวิไลลักษณ์ พิศพักตร์ผ่องเพียงแขไข
งามโอษฐ์งามแก้มงามจุไร งามนัยน์เนตรงามกร
งามถันงามกรรณงามขนง งามองค์ยิ่งเทพอัปสร
งามจริตกิริยางามงอน งามเอวงามอ่อนทั้งกายา
ถึงโฉมองค์อัครลักษมี พระสุรัสวดีเสน่หา
สิ้ นทั้งไตรภพจบโลกา จะเอามาเปรียบไม่เทียบทัน
ดูไหนก็เพลินจำเริญรัก ในองค์เยาวลักษณ์สาวสวรรค์
ยิ่งพิศยิ่งคิดผูกพัน ก็เดินกระชั้นเข้าไป
รสวรรณคดี
มีรสวรรณคดีนารีปราโมทย์ คือ (บทเกี้ยว
พาราสี) ในตอนที่นนทกเกี้ยวพาราสีนาง
สุวรรณอัปสร
ดังบทที่ว่า
สุดเอยสุดสวาท โฉมประหลาดล้ำเทพอัปสร
ทั้งวาจาจริตก็งามงอน ควรเป็นนางฟ้อนวิไลลักษณ์
อันซึ่งธุระของเจ้า หนั กเบาจงแจ้งให้ประจักษ์
ถ้าวาสนาเราเคยบำรุงรัก ก็จะเป็นภักดิ์ผลสืบไป
ตัวพี่มิได้ลวนลาม จะถือความสิ่ งนี้ นี่ ไม่ได้
สาวสรรค์ขวัญฟ้ายาใจ พี่ไร้คู่จะพึ่งแต่ไมตรี
รสวรรณคดี
มีรสวรรณคดี พิโรธวาทัง คือ (บทแสดงความ
โกรธ ตัดพ้อ ประชดประชัน) ตอนที่นนทก ต่อว่า
เทวดาที่แกล้งตน ในบทที่ว่า
บัดนั้ น นนทกน้ำใจแกล้วกล้า
กริ้วโกรธร้องประกาศตวาดมา อนิจจาข่มเหงเล่นทุกวัน
จนหัวไม่มีผมติด สุดคิดที่เราจะอดกลั้น
วันนี้ จะได้เห็นกัน ขบฟันแล้วชี้นิ้ วไป
รสวรรณคดี
มีรสวรรณคดีสัลลาปังคพิไสย (บทเศร้าโศก
คร่ำครวญ พร่ำเพ้อ อาลัย) ในเรื่องกล่าวถึงตอนที่
นนทกคร่ำครวญรำพึงรำพันในขณะที่เข้าเฝ้าพระอิศวร
พระองค์ผู้ทรงศั กดาเดช ไม่โปรดเกศแก่ข้า
บทศรีกรรมเวรสิ่ งใดดั่งนี้ ทูลพลางโกศี รำพัน ฯ
รสวรรณคดีสั นสกฤต
มีรสวรรคดีสันสกฤต กรุณารส คือ (รสแห่ง
ความเมตตากรุณา) ในตอนที่เกิดภายหลังความเศร้า
โศกที่พระอิศวรมีจิตเมตตาเมื่อเห็นนนทกเสี ยใจจึง
มีรับสั่งว่าต้องการสิ่ งใดจงรีบบอกจะได้ประทานให้
ในบทที่ว่า
เมื่อนั้ น พระอิศวรบรมรังสรรค์
เห็นนนทกโศกาจาบัลย์ พระทรงธรรม์ให้คิดเมตตา
จึ่งมีเทวราชบรรหาร เอ็งต้องการสิ่ งไรจงเร่งว่า
ตัวกูจะให้ดั่งจินดา อย่าแสนโศกาอาลัย ฯ
รสวรรณคดีสั นสกฤต
มีรสวรรณคดีสันสกฤต รุทรรส คือ (รสแห่ง
ความโกรธเคือง) ในตอนที่นนทกโดนเเหย่เย้า
หยอกล้อเป็นประจำ ในบาทที่ว่า
ฮึดฮัดขัดแค้นแน่นใจ ตาแดงดั่งแสงไฟฟ้า
การใช้คำหลาก
การใช้คำหลาก เพื่อให้เห็นถึงความรุ่มรวย
ของคำศั พท์ในวรรณคดีไทย
ยกตัวอย่างเช่น
การเรียกชื่อพระอิศวร ว่า
พระศมยภูวญาณ พระอิศราธิบดี พระศุลี
เป็นต้น
การกล่าวถึงเหล่าเทวดาใช้คำต่างๆ เช่น
สุราฤทธิ์ สุรารักษ์ สุราลัย
เป็นต้น
การใช้คำซ้ำ
การใช้คำซ้ำ ซึ่งก่อให้เกิดจินตนาการ และ
ภาพพจน์
ยกตัวอย่างเช่น บทชมความงดงามของเทพอัปสร
งามโอษฐ์งามแก้มงามจุไร งามนั ยน์ เนตรงามกร
งามถันงานกรรณงามขนง งามองค์ยิ่งเทพอัปสร
งามจริตกิริยางามงอน งามเอวงามอ่อนทั้งกายา
เป็นการซ้ำคำตรงคำว่า งาม
จากส่ วนอื่นๆเช่น
ชื่อทศกัณฐ์กุมารา สิบเศี ยรสิบหน้ายี่สิบกร
เป็นการซ้ำคำตรงคำว่า สิบ
บ้างให้ตักน้ำล้างบาทา บ้างถอนเส้นเกศาวุ่นไป
เป็นการซ้ำคำตรงคำว่า บ้าง
อุปมาโวหาร
ตาแดงดั่งแสงไฟฟ้า
เป็นการเปรียบเปรยว่า
“ตาที่แดงนั้ นเหมือนกับเเสงไฟฟ้า”
แสงกระจายพรายไปดั่งไฟกาลฯ
เป็นการเปรียบเปรยว่า
“แสงที่ระจายออกไปกระจาย
เหมือนกับไฟบรรลัยกัลป์”
คุณค่าด้านเนื้ อหา
การให้ความรู้เกี่ยวกับท่ารำ โดยสอดแทรกเนื้อ
เรื่องอย่างกลมกลืน ใช้ตัวละครในเรื่อง อธิบายลักษณะ
ของท่ารำต่าง ๆ ที่เรียกว่า “รำแม่บท” หมายถึง ท่าที่
เป็นหลักของการรำ หรือแม่ท่าเป็นตำราท่ารำไทย
เทพนมปฐมพรหมสี่ หน้า สอดสร้อยมาลาเฉิ ดฉิ น
ทั้งกวางเดินหงส์ บิน กินรินเลียบถ้ำอำไพ
อีกช้านางนอนภมรเคล้า ทั้งแขกเต้าผาลาเพียงไหล่
เมขลาโยนแก้วแววไว มยุเรศฟ้อนในอัมพร
ลมพัดยอดตองพรหมนิ มิต ทั้งพิสมัยเรียงหมอน
ย้ายท่ามัจฉาชมสาคร พระสี่ กรขว้างจักรฤทธิรงค์
ฝ่ายนนทกก็รำตาม ด้วยความพิสมัยใหลหลง
ถึงท่านาคาม้วนหางวง ชี้ตรงถูกเพลาทันใด ฯ
คุณค่าด้านสั งคม
๑.สะท้อนให้เห็นถึงค่านิ ยมของคนไทยใน
คำกล่าวที่ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”
ไอ้นี่ ทำชอบมาช้านาน ๒.ความสั มพันธ์
เราจี่งประทานพรให้ ระหว่างคนต่าง
มันกลับทรยศกบฏใจ ฐานะโดยสั งคม
ทำการหยาบใหญ่ถึงเพียง จะสงบสุขอยู่ได้
นี้ ฯ ถ้าคนเรามีน้ำใจ
ต่อกัน ช่วยเหลือ
เกื้อกูลกัน และ
ไม่ข่มเหงน้ำใจ
กัน
๓.ความโกรธ และความอาฆาตแค้น จากที่นนทก
โดนแกล้ง จึงล้างแค้นโดยการชี้นิ้ วสั่งตายเหล่า
เทวดา เช่นเดียวกับคนในปัจจุบันนี้ หากโดนคน
อื่นทำอะไรไม่ดีก็จะโกรธและอาฆาตแค้น
ความเชื่อ
สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อเรื่องการกลับชาติมา
เกิด ซึ่งเป็นความเชื่อของคนไทยตั้งแต่สมัยโบราณ
จนมาถึงปัจจุบัน จากตัวบทที่ว่า
ชาตินี้ มึงมีแต่สองหัตถ์ จงไปอุบัติเอาชาติใหม่
ให้สิบเศี ยรสิบพักตร์เกรียงไกร เหาะเหินเดินได้ในอัมพร
เมื่อนั้ น ฝ่ายนางรัชดามเหสี
องค์ท้าวลัสเตียนธิบดี เทวีมีราชบุตรา
คือว่านนทกมากำเนิ ด เกิดเป็นพระโอรสา
ชื่อทศกัณฐ์กุมารา สิบเศี ยรสิบหน้ายี่สิบกร
อันน้ องซึ่งถัดมานั้ น ชื่อกุมภรรณชาญสมร
องค์พระบิตุเรศมารดร มิให้อนาทรสั กนาที
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง
1.การจะมอบอำนาจให้แก่ใครนั้ นควรที่จะ
พิจารณาให้ดีและเหมาะสมเสี ยก่อน
2.เมื่ออำนาจตกอยู่กับคนที่ไม่ดีก็จะเกิดผล
ร้าย ดังเช่นที่นนทกได้นิ้ วเพชรและเอามาชี้
เหล่าเทวดาจนตายเกลื่อน
3.การใช้อำนาจควรพิจารณาให้ดี คนเราไม่ควร
ใช้อำนาจในการทำลายผู้อื่นหรือแก้แค้น แต่ควร
ใช้เพื่อป้องกันตนเองเท่านั้ น
4.คนเราควรมีความอดทนอดกลั้น ไม่ควรแก้
แค้นด้วยการใช้ความรุ นแรงหรือทำอะไรที่เกิน
กว่าเหตุ
5.รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่ควรรังแกผู้อื่น ดังเ
เหล่าเทวดาที่พากันรังแกนนทก
6.ผู้ที่มีอำนาจมากกว่าควรเมตตา และเป็นที่
พึ่งให้ผู้อื่น จะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
7.การใช้อำนาจในทางที่ไม่ดี สุดท้ายแล้ว
อำนาจจะกลับมาทำร้ายตัวเอง