รายงานเชิงวิชาการ เรื่อง บทละครพูดค าฉันท์ มัทนะพาธา จัดท าโดย นายนนทกานต์ ม่วงสังข์ เลขที่ ๗ นายวินทกร โคกเกษม เลขที่ ๙ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕/๑ เสนอ คุณครูอรวรรณ ธวัชวงษ์ รายงานฉบบันี้เป็ นสว่นหนึ่งของรายวชิาภาษาไทยพื้นฐาน (ท๓๒๑๐๑) ภาคเรียนที่ ๑ ปี การศึกษา ๒๕๖๖ โรงเรียนลาดยาววิทยาคม ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครสวรรค์
รายงานเชิงวิชาการ เรื่อง บทละครพูดค าฉันท์ มัทนะพาธา จัดท าโดย นายนนทกานต์ ม่วงสังข์ เลขที่ ๗ นายวินทกร โคกเกษม เลขที่ ๙ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕/๑ เสนอ คุณครูอรวรรณ ธวัชวงษ์ รายงานฉบบันี้เป็ นสว่นหนึ่งของรายวชิาภาษาไทยพื้นฐาน (ท๓๒๑๐๑) ภาคเรียนที่ ๑ ปี การศึกษา ๒๕๖๖ โรงเรียนลาดยาววิทยาคม ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครสวรรค์ ค าน า
รายงานนี้เป็นสว่นหนึ่งของวชิาภาษาไทย ชน้ัมธัยมศกึษาปีที่๕ จดัทา ขนึ้เพือ่ศกึษาวรรณคดีเรือ่ง มทันะ พาธา ซงึ่เป็นวรรณคดทีีค่วามสา คญั ในสมยัสมเด็จพระมงกุฎเกลา้เจา้อยหู่วั ที่มีข้อคดแฝงหลายเรื่อง รวมทั้ง ฉันท์ที่ไพเราะ และวิธีการด าเนินเรื่องที่น่าสนใจ จากการวิเคราะห์บทละครพูดค าฉันท์สามารถเป็ นความรู้เพื่อ เผยแพร่แก่ผู้ที่มีความสนใจ และน าข้อคิดที่ได้ไปรับใช้ในชีวิตประจ าวันได้ ขอขอบคุณ คุณครูอรวรรณ ธวัชวงค์ ที่กรุณาชี้แนะแนวทางวิธีการวิเคราะห์วรรณคดีอย่างถูกต้องและ ให้ค าแนะน าในการจัดท ารายงานจนส าเร็จลุล่วงด้วยดีรายงานฉบับนี้หวังเป็ นอย่า งยิ่งว่าจะมีประโยชน์แก่ผู้อ่าน ทุกท่าน คณะผู้จัดท า
สารบัญ เรื่อง หน้า ค าน า ก สารบัญ ข ที่มาและความส าคัญ ๑ -ผู้แต่ง ๒ -ประวัติผู้แต่ง ๓ ลักษณะค าประพันธ์ ๔ คุณค่าด้านวรรณคดี ๑๐ -คุณค่าด้านเนื้อหา ๑๐ -คุณค่าด้านวรรรณศิลป์ ๑๑ -คุณค่าด้านสังคม ๑๓ บรรณานุกรม ๑๖
บทละครพูดค าฉันท์ เรื่อง มัทนะพาธา บทละครพูดฉันท์ เรื่อง มัทนะพาธา เป็ นวรรณคดีที่ทรงคุณค่าด้านวรรณศิลป์ แกทั้งยังให้ข้อคิดที่ตรงกับพุทธวนะ “ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์” และได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสรว่าเป็ นหนังสือที่แต่งดี ใช้คา ฉนัท์เป็นบทละครพูด ซงึ่แลกและแต่งได้ยาก ผู้แต่ง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็ นพระมหากษัตริย์ล าดับที่ 6 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๒๓ ทรงเป็ นพระราชโอรสในพระบามสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ได้รับพระราชทานพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ ามหาวชิราวุธ ขณะทรงพระเยาว์ ได้ทรงศึกษาในพระบรมมหาราชวัง จนถึง พ.ศ.๒๔๓๖ เมื่อพระชนมายุได้ ๑๒ พรรษาเศษ สมเด็จพระบรมชนกนาถทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เสด็จไปศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ นับเป็ นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่ทรงได้รับการศึกษาจากต่างประเทศ ระหว่างประทับอยู่ที่ประเทศอังกฤษนั้นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ ามหาวชิราวุธ พระบรมโอรสสาธิราชสยามกุฎราชกุมาร ซงึ่ประทบัอยูใ่นกรุงเทพฯ เสด็จทวิงคต ใน พ.ศ.๒๔๓๗ สมเด็จพระบรมชนกนาถจึงทรงสถาปนา สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ ามหาวชิราวุธ ให้ทรงด ารงต าแหน่ง สมเด็จพระบรมโอสาธิราช สยามมงกุฎราชกุมารแทนเมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๗ การศึกษษขั้นอุดมศึกษาของพระองค์นั้น เดิมได้ก าหนดว่าจะให้ทรงศึกษาวิชาทหาร แตเ่มือ่ดา รงตา แหน่งสยามมกุฎราชกุมาร และจะตอ้งเสร็จขนึ้ครองราชย์ตอ่ ไป จึงทรงศึกษาวิชาพลเรือนเกี่ยวกับกฎหมายและการปกครองด้วย ได้ทรงศึกษา การทหารบก ที่โรงเรียนนายร้อยชื่อ The Royal Military Academy, Sandhurst ได้ทรงเข้าศึกษาวิชาพลเรือน ณ มหาวิทยาลัย OxFord
ทรงประจ าอยู่ในวิทยาลัย Christ Church ก่อนที่จะเสด็จกลับประเทศสยาม ได้เสด็จพระราชด าเนินเยี่ยมราชส านักต่างๆ ในยุโรป เช่น ออสเตรีย ฮังการี รัสเซีย เยอรมนี และสเปน แล้วจึงเด็จพระราชด าเนินกลับ ผ่านประเทศสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ได้ทรงรู้จักกับพระราชาธิบดีและผู้น าประเทศส าค ญต่างๆ พอจะกล่าวได้ว่าทั่วโลก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงประกอบพรราชพิธีอภิเษกส มรสกับ เจ้าจอมสุวัทนา (คุณเครือแก้ว อภัยวงศ์) เทื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๖๗ ไดโ้ปรดเกลา้ฯ สถาปนาขนึ้เป้นพระนางเจา้สุวทันา พระว
ราชเทวี เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๖๘ ได้ประสูติ พระราชธิดา คือ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้ าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๖๘ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรด้วยพระโรคพระ โลหิตเป็ นพิษในพระอทรมาตั้งแต่วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๖๘ และสวรรคต ณ พระที่นั่งจักรพรรดิ พิมานเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๘ พระชนมพรรษาเป็ นปีที่ ๔๖ เสด็จด ารงสิริราชสมบัติได้ ๑๕ พรรษา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ประกอบพระราชกรณียกิจมาก มายหลายด้นในการพัฒนาประเทศ พระราชกรณียกิจด้านวรรณกรรมและหนังสือพิมพ์ที่ทรงริเริ่มอาทิ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หราพระราชบัญญัติการพิมพ์ฉบับแรกขนึ้ เรียกว่าพระราชบัญญัติสมุด เอกสาร และหนังสือพิมพ์ พ.ศ.๒๔๖๕ ทรงพระราชนิพน์เรื่องราวต่างๆ ไว้เป็ นอันมาก ทั้งในภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ทั้งที่เป็ นร้อยแก้ว และร้อยกรอง ทั้งที่เป็ นสารคดี และนิยาย มีบทละครร า ละครร้อง ละครพูด ทั้งยังได้ทรงพระราชนิพนธ์บทความพระราชทานหนังสือพิมพ์ รวมกว่า ๑,๐๐๐ เรื่อง เป็ นมรดกทางวรรณกรรมให้ประชาชนชาวไทยได้อ่านและชื่นชมสืบทอดกันมา จึงได้พระสมัญญานามว่า สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า และ องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(UNESCO) ก็ได้ยกย่องเกียรติคุณของพระองค์เป็ นปราชญ์สยาม ตัวอย่างพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกฎ้กล้าเจ้าอยู่หัว ๑. ประเภทละคร เช่น หัวใจนักรบ สาวิตรี ศกุนตรา มัทนะพาธา พระร่วง ท้าวแสนปม เวนิสวาณิช ตามใจท่าน หมอจ าเป็ น มหาตมะ วิลัยเลือกคู่ ปล่อยแก่ หนามยอกเอาหนามบ่ง เป็ นต้น ๒. ประเภทประวัติศาสตร์และโบราณคดี เช่น เที่ยวเมืองพระร่วง ประเทศไอยคุปต์ สืบราชบัลลังก์โปลัน นารายณ์สิบปางพร้อมทั้งภาคผนวก ๓. ประเภทปาฐกถาและบทความ เช่น ปลุกใจเสือป่า เทศนาสั่งสอน เสือป่า ยิวแห่งบุรพทิศ โครนติดล้อ เมืองไทยจงตื่นเถิด เป็ นต้น ๔. ประเภทวจิยัเช่น บอ่เกดิแหง่รามเกียรติ์พระศุนหเศป เป็นตน้
๕. ประเภทกวีนิพนธ์ทั่วไป เช่น พระนลค าหลวง ลิลตพายัพ นิราศพระมะเหลเถไถ กาพย์เห่เรือ ธรรมมาธรรมะสงคราม มงคลสูครค าฉันท์ เป็ นต้น จุดประสงค์ในการพระราชนิพน์ พระราชประสงค์ในการพระราชนิพน์เรื่องมัทนะพาธานั้น พระองค์ได้ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ในค าพระราชนิพนธ์ว่า พระองค์ได้ทรงพระราชนิพนธ์เพื่อเป็ นบทกวีนิพนธ์ส าหรับอ่านเล่น แต่มีผู้ขอให้พระราชนิพนธ์เป็ นบท ละคร และทรงก าหนดให้ตัวละครใช้บทพูดของตนเอง ไม่ใช้บทร้อยอย่างที่การเลานละครในสมัยยั้นนิยม ต่อเมื่อมีบทขับร้องจึงร้อง และมีเพลงหน้าพาทย์ประกอบ ที่มาของเรื่อง บทละครพูดค าฉันท์เรื่อง มัทนะพาธา เป็ นบทละครที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธข์นึ้ตามจนิตนาการของพระองค์ โดยทรงให้ความส าคัญเรื่องความถูกต้อง และความสมจริงในรายละเอียดของเรื่อง ทั้งชื่อเรื่อง ชื่อตัวเอก และรายละเดอียด ต่างๆ เช่น ชื่อเรื่อง มัทนา มาจากศัพท์ มทน แปลว่า ความลุ่มหลังหรือความรักและชื่อนางเอกของเรื่องมัทนะพาธา มีความหมายว่า ความเจ็บปวดและความเดือดร้อนเพราะความรัก ซงึ่ตรงกบัแกน่ของเรือ่งทชี่ี้ใหเ้ห็นโทษของความรกั ระยะเวลาในการแต่ง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงน าละครพูดมาสู่วงการวรรณกรรมไทยเป็ นครั้งแรก ทั้งนี้เนื่องจากทรงสนพระทัยในบทละครของวิลเลียม เชคสเปียร์ จึงทรงพระราชนิพนธ์บทละครพูดไว้เป็ นจ านวนมาก แต่เรื่องมัทนะพาธาหรือต านานดอกกุหลาบนี้ เป็ นบทพระราชนิพนธ์ที่เป็ นบทละครพูดค าฉันท์เพียงเรื่องเดียวโดยทรงเริ่มพระร าชนิพนธ์เมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๔๖๖ ขณะทรงพระประชวร และประทับอยู่ ณ
พระราชวังพญาไท และทรงพระราชนิพนธ์เสร็จสมบรูณ์เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๔๖๖ นับได้ว่าใช้เวลาเพียง ๑ เดือน ๑๗ วันเท่านั้น ลักษณะการแต่ง เรื่องมัทนะพาธาใช้ค าประพันธ์หลายชนิดแต่เน้นแต่งด้วยฉันท์ บางตอนใช้กาพย์ยานี กาพย์ฉบังหรือกาพย์สุรางคนางค์ และมีบทเจรจาร้อยแก้วในส่วนของตัวละครที่ไม่ส าคัญ ท าให้มีลีลาภาษาที่หลากหลาย ตอนใดด าเนินเรื่องรวดเร็วก็ใช้ร้อยแก้ว ตอนเต้องการจังหวะเสียงและตัดพ้อและมัทนาเจรจาตอบใช้วสันตดิลก แสดงจังหวะรวดเร็วของถ้อยค าเสริมให้คารมโต้ตอบกันมีลีลาฉับไวและทันกัน เข่น สุเทษณ์ รักจริงมีจริงฤก็ไฉน อรไทบ่แจ้งการ? มัทนา รักจริงมีจริงก็สุระชาญ ขยะโปรดสถานใด? สเทษณ์ พี่รักและหวังวธุจะรัก และบทอดบทิ้งไป มัทนา พระรักสมัครณพระหทัย ฤจะทอดจะทิ้งเสีย?
ลักษณะค าประพันธ์ ลักษณะค าประพันธ์ที่พบในเรื่อง มีทั้งกาพย์และฉันท์ กาพย์คือ คา ประพนัธช์นิดหนึ่งซงึ่มีกา หนดคณะ พยางค์และสมัผสั มีลักษณะคล้ายกับฉันท์ แต่ไม่นิยม ครุ ลหุ เหมือนกับฉันท์ กาพย์ แปลตามรูปศัพท์ว่า เหล่ากอแห่งกวี หรือ ประกอบด้วย คุณแห่งกวี หรือ ค าที่กวี ได้ร้อยกรองไว้ กาพย์มาจากค าว่า กาวฺย หรือ กาพฺย และค ากาวฺย หรือ กาพฺย มาจากค า กวี กวีออกมาจากค าเดิม ในภาษาบาลี และสันสกฤต กวิ แปลว่า ผู้คงแก่เรียน ผู้เฉลียวฉลาด ผู้มีปัญญาเปรื่องปราด ผู้ประพันธ์กาพย์กลอน และแปลอย่างอื่นได้อีก กาพย์ ตามความหมายเดิม มีความหมายกว้างกว่าที่เข้าใจกัน ในภาษาไทย คือ บรรดาบทนิพนธ์ทกี่วีได้รอ้ยกรองขนึ้ ไมว่า่จะเป็น โคลง ฉนัท์กาพย์หรือ ร่าย นับว่าเป็ นกาพย์ ทั้งนั้น แต่ไทยเรา หมายความ แคบ หรือหมายความถึง คา ประพนั์ชนิดหนึ่ง ของกวีเทา่นน้ั ฉนัท์คอืลกัษณะถอ้ยคา ทีก่วีไดก้รองขนึ้เพือ่ ใหเ้กดิความไพเราะ โดยก าหนดครุ ลหุ และสัมผัสเป็ นมาตรฐาน ฉันท์เป็ นค าประพันธ์ที่ได้แบบอย่างมาจากอินเดีย เดิมแต่งเป็ นภาษาบาลีและสันสกฤต ไทยน าเปลี่ยนแปลงลักษณะบางอย่างเพื่อให้สอดคล้องกับความนิยมในค าประพัน ธ์ไทย ต าราฉันท์ที่เป็ นแบบฉบับของฉันท์ไทย คือ คัมภีร์วุตโตทัย ในตอนที่เรียนพบค าประพันธ์ ประเภทต่างๆ ดังนี้ ๑. กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ บทที่ ๑ OOOO OOOO OOOO OOOO OOOO OOOO OOOO บทที่ ๒ OOOO OOOO OOOO OOOO OOOO OOOO OOOO
แน่ะมายาวิน เหตุใดยุพิน จึงเป็ นเช่นนี้ ดูราวมะเมอเผลอเผลอฤดี ประดุจไม่มีชีวิตจิตใจ คราใดเราถาม หล่อนก็ย้อนความ เหมือนเช่นถามไป ดังนี้ยวน ชวนเชยแนใด ก็เปรียบเหมือนไป พูดกับหุ่นยนต์ ๒. กาพย์ฉบัง ๑๖ บทที่ ๑ OOOOOO OOOO OOOOOO OOOOOO OOOO OOOOOO เทวะอันข้าไซร้ มานี่อย่างไร บ่ทารบส านึกสักนิด จ าได้ว่าข้าสถิต ในสวนมาลิศ และลมร าเพยเชยใจ ๓. อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ ◌ั ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ั ◌ุ ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ั ◌ุ ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ั ◌ุ ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ั ◌ุ ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ั
ดูก่อนสุชาตา มะทะนาวิไลศรี ยามองค์สุเทษณ์มี วรพจน์ประการใด นางท านูลตอบ มะธุรสธตรัสไซร้ เข้าใจมิเข้าใจ ฤก็ตอบพะจีพลัน ๔. วสันตดิลกฉันท์ ๑๔ ◌ั ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ุ ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ุ ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ุ ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ุ ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ั โอ้โอ๋ละเหี่ยอุระสดับ วรศัพทะท่านทรง อ้อยอิ่งแสดงวรประสง- คะณตัวกระหม่อมฉัน อยากใคร่สนองพระวรสุน- ทรคุณอเนกนั้น จนใจเพราะผิดคติสุธรรม์ สุจริตประติชญา ๕. วิชชุมมาลมฉันท์ ๘ ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั อันเวททอาถรรพ์ ที่พันผูกจิต แห่งนางมิ่งมิตร อยู่บัดนี้นา
จงเคลือ่นคลายฤทธิ์จากจิตกัญญา คลายคลายอย่าช้า สวัสดีสวาหาย ๖. อินทรวงศ์ฉันท์ ๑๒ ◌ั ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ั ◌ุ ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ั ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ั ◌ุ ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ั ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ั ◌ุ ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ั ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ั ◌ุ ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ั อ้ายอดสิเนหา มะทะนาวิสุทธิศรี อย่าทรงพระโศกี วรพักต์จะหม่นจะหมอง พี่นี้นะรักเจ้า และจะเฝ้ าประคับประคอง คู่ชิดสนิทน้อง บ่มิให้ระคางระคาย ๗. กมลฉันท์ ๑๒ ◌ุ ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ั ◌ุ ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ั ◌ุ ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ั ◌ุ ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ั ◌ุ ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ั ◌ุ ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ั ◌ุ ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ั ◌ุ ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ั เพราะฉะนั้นจะให้นาง จุติสู่ ณแดนคน มะทะนาประสงค์ตน จะก าเนิดณรูปใด
ทวิบทจะตูร์บาท ฤจะเป็ นอะไรไซร้ วธุเลือกจะตามใจ และจะสาปประดุจสรร ๘. สาลินีฉันท์ ๑๑ ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ุ ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ุ ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ุ ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ั ◌ุ ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ั ◌ั ฉันโปรดให้เลือกตาม ฤดิข้าณบัดนี้ ขอเป็นซงึ่มาลี รุจิเรขวิไลวรรณ สุดแท้แต่จอมสรวง จะประสทิธปิ์ระสาทพนัธ์ ขอเพียงให้มีคัน- ธะระรื่นระรวยหอม
๙. จิตระปทาฉันท์ ๘ ◌ั ◌ุ ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ุ ◌ั ◌ั ◌ั ◌ุ ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ุ ◌ั ◌ั ◌ั ◌ุ ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ุ ◌ั ◌ั ◌ั ◌ุ ◌ุ ◌ั ◌ุ ◌ุ ◌ั ◌ั นางมะทะนา จุติอย่าช้านาน จงมะละฐาน สุระแมนสวรรค์ ไปเถอะก าเนิด ณ หิมาวัน ดังดนุลั่น วจิสาปไว้ การเลือกใช้ฉันท์ชนิดต่างๆ การเลือกใช้ฉันท์ ต้องเลือกให้เหมาะกับวัตถุประสงค์หรือเนื้อเรื่องที่จะเขียน ๑. บทนมนัการสงิ่ศกัดสิ์ทิธิ์บทไหวค้รูบทสรรเสรญิพระเกียรติความขลงั ใช้สทัทุลวกิกีฬติฉนัท์ หรือสัทธราฉันท์ ๒. บทเล่าเรื่อง บทชม คร ่าครวญ นิยมใช้ อินทรวิเชียรฉันท์ หรือวสันดิลกฉันท์ ๓. บทแสดงอารมณ์รุนแรง เช่น โกรธ ตื่นเต้น วิตกกังกล หรือบรรยายความในใจเกี่ยวกับความรักที่ต้องการให้เห็นอารมณ์สะเทือ นใจอย่างมาก นิยมใช้ อิทิสังฉันท์ ซงึ่เป็นฉนัทท์ ีส่ลบัเสยีงหนกัเบาเน้นเสียงเป็นจงัหวะทกุระยะ ๔. บทพรรรณนาโวหารหรือบรรยายข้อความที่น่าตื่นเต้น หรือเป็ นที่ประทับใจ นิยมใช้ภุชงประยาตฉันท์ ๕. บทสนุกสนานขบขัน หรือคึกคักสับสน ให้เหตุการณ์บรรยายไปอย่างรวดเร็วจะนิยมใช้โตฏกฉันท์ มาณวกฉันท์ หรือจิตรปาทาฉันท์ ๖. บทบรรยายความ นิยมใช้ อุเปนทรวิเชียรฉันท์ อินทวงฉันท์ วิชชุมมาลาฉันท์ หรือสาลินีฉันท์
วิเคราะห์คุณค่าด้านวรรณคดี -คุณค่าด้านเนื้อหา ๑) รูปแบบ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์บทละครพูดเรื่องค าฉั นท์ เรื่อง มัทนะพาธา ด้วยค าประพัทธ์ประเภทกาพย์และฉันท์ การเลือกถ้อยค าและรูปแบบค าประพันธ์มีความเหมาะสม กับเนื้อหา ท าให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกคล้อยตาม เกิดความประทับใจอยากติดตามอ่าน ๒)องค์ประกอบของเรื่อง ๒.๑) สาระ สาระหรือแก่นส าคัญของเรื่องมีอยู่ ๒ ประการ คือ ทรงปรารถนาจะกล่าวถึงต านานดอก กุหลาบ ซงึ่เป็นดอกไมท้ ีสวยงาม แต่ไม่เคยมีต านานในเทพนิยาย ่ จึงพระราชนิพนธ์ให้ดอกกุหลาบมีก าเนิดมาจาก นางฟ้ าที่ถูกสาปให้จุติลงมาเกิดเป็ นดอกไม้ชื่อว่า “ดอกกุพฺชกะ” คือ “ดอกกุหลาบ” และแก่นส าคัญอีก ประการหนึ่ง คือ เพือ่แสดงความเจ็บปวดอนัเกดิจากความรกั ทรงแสดงให้เห็นว่าความรักมีอนุภาพอย่าง ยิ่ง ผูใ้ดมคีวามรกัก็อาจเกดิความหลงขนึ้ตามมาดว้ย ทรงใชช้ ื่อเรือ่งวา่ “มัทนะพาธา” อันเป็ นชื่อของตัวละคร เอกของเรือ่ง ซงึ่มคีวามหมายวา่ "ความเจ็บปวดหรือความเดือดร้อนอันเกิดจากความรัก" มีการผูกเรื่องให้มี ความขดัแยง้ซงึ่เป็นปมปญัหาของเรือ่ง ๒.๒) โครงเรื่อง มัทนะพาธาเป็ นบทละครค าพูดฉันท์ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทร งคิด โครงเรื่องเอง ไม่ได้ใช้เนื้อเรื่องหรือตัดตอนมาจากวรรณคดีเรื่องใด โดยมีการผูกเรื่องให้มีความขัดแย้งกับปม ปัญหาของเรื่องคือ สุเทษณ์เทพบุตรหลงรักนางมัทนา แต่นางไม่รักตอบจึงสาปนางเป็ น(ดอกกุพฺชกะ) หรือ ดอกกุหลาบ ปม ปัญหาต่อมาคือ นางมัทนาพบรักกับท้าวแสนชัย แต่ก้ต้องพบอุปสรรคเพราะนางจัณฑีมเหสีของท้าวแสนชัยวาง อุบายให้ท้าวแสนชัยเข้าใจนางมัฑนาผิด สุดท้ายนางมัทนาได้พบกับสุเทษณ์เทพบุตรแต่ก็ปฏิเสธความรักของสุ
เทษณ์เทพบุตรเช่นเคย เรื่องจึงจบลงด้วยความสูญเสียและความเจ็บปวดด้วยกันทุกฝ่าย ๒.๓) ตัวละคร ในบทละครพูดค าฉันท์ เรื่องมัทนะพาธาเป็ นบทละครค าพูดฉันท์สุเทษณ์ เป็ นเทพบุตรที่หมกมุ่นในตัณหาราคะ เจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจตนเอง และไม่ค านึงถึงความรู้สึกของผู้อื่น สุเทษณ์ : เหวยจิตระเสน มึงบังอาจเล่น ล้อกูไฉน? จิตระเสน : เทวะ, ข้าบาท จะบังอาจใจ ท าเช่นนั้นไซร้ได้บ่พึงมี สุเทษณ์ : เช่นนั้นท าไม พวกมึงมาให้ พรกูบัดนี้, ว่าประสงค์ใด ให้สมฤดี? มึรู้อยู่นี่? ว่ากูเศร้าจิต เพราะไม่ได้สม จิตที่ใฝ่ชม, อกกรมเนืองนิตย์. จิตระเสน : ตูข้าภักดีก็มีแต่คิด เพื่อใหท้รงฤทธิ์โปรดทกุขณะ. สุเทษณ์ : กูไม่พอใจ ไล่คนธรรพ์ไป บัดนี้เทียวละ อย่ามัวรอรั้ง. ๒.๔) ฉากและบรรยากาศ ฉากที่ปรากฎในเรื่องตอนที่เรียน คือ วิมานของสุเทษณ์เทพบุตร กวีทรง บรรยายฉากและบรรยากาศไดเ้หมาะสมและสอดคลอ้งกบัสุเทษณ์เทพบตุรผูซ้งึ่ห มกมุ่นอยู่ในตัณหาราคะ โดย วิมานของสุเทษณ์เทพบุตรรายล้อมไปด้วยเทพบริวาร คนธรรพ์ นางอัปสร ที่ต่างมาบ ารุงบ าเรอขับกล่อมถวาย ๒.๕) กลวิธีการแต่ง การด าเนินเรื่องใช้กลวิธีให้วิทยาธรมายาวินเป็ นผู้เล่าอดีตชาติของสุเทษณ์เทพบุต ร และด าเนินเรื่องโดยแสดงให้เห็นลักษณะของสุเทษณ์เทพบุตรผู้เป็ นใหญ่ มีบุญ
มีอ านาจวาสนา และมีบริวารพรั่ง พร้อม ควรที่จะเสวยสุขในวิมานของตน แต่กลับเอาแต่ใจตน หมกมุ่นในตัณหาราคะ แค่นางเทพธิดาที่ประดับบารมี อยู่ก็มากมาย แต่ก็ไม่พอใจ คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๑) การสรรค า เป็ นการเลือกใช้ค าที่สื่อความคิดและอารมณ์ได้อย่างงดงาม ดังนี้ ๑.๑) การใช้ค าให้เหมาะสมกับประเภทของค าประพันธ์ กวีมีความเชี่ยวชาญด้านฉันทลักษณ์สามารถแต่ง บทเจรจาของตัวละครให้เป็ นค าฉันท์ได้อย่างคมคาย เช่น บทเกี้ยวพาราสีของสุเทษณ์กับมัทนา แต่งด้วยวสันตดิลก ฉันท์ ๑๔ มีการสลับต าแหน่งค า เพื่อให้เกิดความไพเราะ ๑.๒) การใช้ค าโดยค านึงถึงเสียง อันเกิดจากการเล่นเสียงสัมผัสคล้องจองและการหลากค า ท าให้เกิดความไพเราะ เช่น ตอนที่มายาวินร่ายมนตร์
อ้าสองเทเวศร์ โปรดเกศข้าบาท ทรงฟงัซงึ่วาทที่ กราบทูลเชิญ, โปรดช่วยดุลใจ ทรามวัยให้เพลิน จนลืมขวยเขิน แล้วรีบเร็วมา. ด้วยเดชเทพไท้ ทรามวัยรูปงาม จงได้ทราบความ ข้าขอนี้นา, แม้คิดขัดขืน ฝื นมนตร์คาถา ขอให้นิทรา เข้ามึงถึงใจ มาเถิดนางมา อย่าช้าเชื่องช้อย ตูข้านี้คอย ต้อนรับทรามวัย, อ้านางโคภาอย่าช้ามาไวตูข้าสั่งให้ โฉมตรูรีบจร. โฉมยงอย่าขัด รีบรัดมาเถิด ขืนขัดคงเกิด ในทรวงเร่าร้อน, มาเร็วบัดนี้ รีบลีลาจร มาเร็วบังอร ข้าเรียกนางมา. ข้อความข้างต้นมีการเล่นเสียงสัมผัสใน ทั้งสัมผัสสระและสัมผัสอักษร สัมผัสสระ เช่น วัย - ให้ สิ่ง - ถึง ช้า - มา สัมผัสอักษร เช่น รีบ - เร็ว ด้วย - เดช เทพ - ไท้ ข้า - ขอ คิด - ขัด - ขืน ช้า - เชื่อง - ช้อย ข้า - คอย ยง - อย่า รีบ - รัด นอกจากนี้ ยังมีการหลากด าโดยใช้ด าที่มีความหมายถึงผู้หญิงไว้หลายด า ได้แก่ ทรามวัย โฉมตรู โฉมยง บังอร เป็ นต้น ๒. การใช้โวหาร แต่งใช้อุปมาโวหารในการกล่าวชมความงามของมัทนาเป็ นการให้ภาพความงาม
อย่างไม่มีที่ติ ทั้ง ผิวพรรณที่ผุดผ่องดั่งทองทา แก้ม ผม นัยน์ตา ทรวดทรงองค์เอว ท าให้ผู้อ่านมองเห็นภาพความงามของมัทนา เดน่ชดัขนึ้ ดังบทประพันธ์
งามผิวประไพผ่อง กลทาบศุภาสุพรรณ งามแก้มแฉล้มฉัน พระอรุณแอร่มละลาน งามเกศะด าข า กลน ้า ณ ท้องละหาน งามเนตรพินิจปาน สุมณีมะโนหะรา งามทรวงสล้างสอง วรถันสุมนสุมาลีเลิดประเสริฐกว่า วรุบลสะโรชะมาศ งามเอวอนงค์ราว สุระศิลปชาญฉลาด เกลากลงึประหนึ่งวาด วรรูปพิไลยพะวง งามกรประหนึ่งงวง สุระคชสุเรนทะทรง นวยนาฏวิลาศวง ดุจะร าระบ าระเบง ซ ้าไพเราะน ้าเสียง อรเพียงภิรมย์ประเลง, ได้ฟังก็วังเวง บ มิว่างมิวายถวิล นางใดจะมีเทียบ มะทะนา ณ ฟ้ า ณ ดิน เป็ นยอดและจอดจิน- ตะนะแน่ว ณ อก ณ ใจ คุณค่าด้านสังคม ๑) สะท้อนให้เห็นความเชื่อของสังคมไทย เช่น ๑.๑) ความเชื่อเรื่องชาติภพ เช่น เมื่อชาติก่อนนางมัทนาได้ปลงพระชนม์ตัวเอง จงึไดม้าเกดิบนสวรรค์ซงึ่เป็นภพภูมใิหม่ดงับทประพนัธ์
ว่าพลางยุพาชัก วรขัคคะแพรวพราย แทงตรงพระทรงตาย เฉพาะพักตร์พระภูมี. ตายแล้วก าเนิดใน สุรภพพิศิษฏ์นี้; ฝ่ายองค์พระภูมี ก็บ าเพ็ญพะลีกรรม์ ๑.๒) ความเชื่อเรื่องท าบุญมาก จะได้ไปบังเกิดในสวรรค์ เช่น เมื่อครั้งสุเทษณ์ยังเป็ นมนุษย์ได้กระท าพลีกรรม เมื่อตายไปจึงไปเกิดในสวรรค์ ดังบทประพันธ์ ทรงธรรมล ้ามะนุษ ฤทธิรุทมหาศาล บ าเพ็ญพะลีการ ทุกอย่างงามตามวิสัย ครั้นถึงเวลาควร ภูมิศวรจากไผท เสด็จสุราลัย เสวยสุขในแดนสรวง ๑.๓) ความเชื่อเรื่องท ากรรมใดย่อมได้รับผลกรรมนั้น เช่น (นางมัทนาไม่รับรัก สุเทษณ์ เป็ นเพราะเคราะห์กรรมเมื่อชาติก่อนที่สุเทษณ์ได้เคยจะประหารชีวิตพระราชบิด าของนาง แต่นางขอไถ่ชีวิตพระราชบิดาไว้ แล้วนางก็ปลงพระชนม์ตัวเอง ผลกรรมครั้งนั้นจึงส่งผลตามมา) ดังบทประพันธ์ แต่กรรมพระท าไว้ ณ พระชาติอดีตมา ข้องขัดและขวางหน้า บ่ มิให้พระสมจินต์ ๑.๔) ความเชื่อเรื่องเวทมนตร์ การท าเสน่ห์เล่ห์กล เช่น มายาวินได้อธิบายถึงเวทมนตร์ คาถาที่ใช้ผูกจิต เรียกคน ให้มาหาได้ ดังบทประพันธ์ อถรรพ์เวทะเจนอยู่, และมนตร์ครูก็ได้สน มโนจ าและซ ้าคั้น คดีเพิ่ม บ เคลิ้มหลง. ฉะนั้นอาจจะผูกจิต- ตะใครได้ประดุจจง และใช้โยคะแล้วคง จะเรียกให้ตระบึงมา.
๒) สะท้อนให้เห็นธรรมชาติของมนุษย์ โดยแสดงให้เห็นว่าการมีรักเป็ นทุกข์อย่างยิ่ง ตรงตามพุทธวจนะที่ว่า ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ ดังดวามรักของตัวละครต่อไปนี้ ๒.๑) สุเทษณ์รักนางมัทนา เมื่อไม่สมหวังในรักก็เป็ นทุกข์ แม้เมื่อได้เสวยสุข เป็ นเทพบุตรก็ยังรักนางมัทนาอยู่ ท าทุกอย่างเพื่อให้ได้นางมา แต่เมื่อไมสมหวังก็พร้อมที่จะท าลาย ๒.๒) ท้าวสุราษฎร์รกัลูกและรกัศกัดติ์รี พรอ้มทีจ่ะปกป้องศกัดศิ์รีของตนและลูก แม้จะรู้ว่าผู้ไม่ใด้ ตอ้งตายแน่นอนก็พรอ้มทีจ่ะตอ่สู้รกัของพอ่แมเ่ ป็นรกัทีบ่รสิุทธเิ์ทีย่งแท้ ๒.๓) มัทนารักพระราชบิดา นางจึงยินยอมท้าวสุเทษณ์เพื่อปกป้ องพระราชบิดา รกัศกัดศิ์รีและรกัษาสจัจะ เมื่อท าตามสัญญาแล้วจึงฆ่าตัวตาย รักของมัทนาเป็ นความรักที่แท้จริง ๒.๔) นางจัณทีรักท้าวชัยเสน ความรักนี้เป็ นความรักที่มีความใคร่ ความหลง อยู่ด้วย จึงมีความรู้สึกหวงแหน โกระแค้นเมื่อถูกแย่งคนรัก พร้อมที่ท าทุกอย่างเพื่อแย่งคนรักคืน ๓) สะท้อนข้อคิดเพื่อน าไปใช้ในการด าเนินชีวิต กวีก าหนดให้นางมัทนาถูกสาปกลายเป็ นดอกไม้ชื่อ กุพฺซกะ (กหุลาบ) ซงึ่สวยงาม แต่มีหนามแหลมคมเป็ นเกราะป้ องกันตน ให้พ้นจากมือผู้หักหาญรานกิ่งเด็ดดอกไปเชยชม ดอกกุหลาบจึงเป็ นสัญลักษณ์แทนหญิงสาว ที่รูปสวย ย่อมเป็ นที่หมายปองของชายทั่วไป หนามแหลมคมเปรียบเหมือนสติปัญญา ดังนั้น ถ้าหญิงสาวรูปงามมีความเฉลียวฉลาด รู้ทันเล่ห์เหลี่ยม ย่อมสามารถเอาตัวรอดจากชายที่จงใจจะหยามเกียรติหรือ หมนิ่ศกัดศิ์รีได้ “บทละครพูดค าฉันท์ เรื่อง มัทนะพาธา (ถือเป็ นวรรณคดีเรื่องเยี่ยมและได้รับการยกย่องจากวรรณคดี สโมสรให้เป็ นยอดแห่งบทละครพูดค าฉันท์) ๑ โดยนอกจากวรรณคดีเรื่องนี้จะให้ความเพลิดเพลินจากเนื้อหาที่ชวน
ติดตามและวรรณศิลป์ อันไพเราะแล้ว ยังให้ข้อคิดเกี่ยวกับความรัก จึงสมควรที่จะศึกษาวรรณคดีอย่างพินิจพิเคราห์ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อ่าน”
๒) สะท้อนให้เห็นธรรมชาติของมนุษย์ โดยแสดงให้เห็นว่าการมีรักเป็ นทุกข์อย่างยิ่ง ตรงตามพุทธวจนะที่ว่า ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ ดังดวามรักของตัวละครต่อไปนี้ ๒.๑) สุเทษณ์รักนางมัทนา เมื่อไม่สมหวังในรักก็เป็ นทุกข์ แม้เมื่อได้เสวยสุข เป็ นเทพบุตรก็ยังรักนางมัทนาอยู่ ท าทุกอย่างเพื่อให้ได้นางมา แต่เมื่อไมสมหวังก็พร้อมที่จะท าลาย ๒.๒) ทา้วสุราษฎร์รกัลูกและรกัศกัดติ์รี พรอ้มทีจ่ะปกป้องศกัดศิ์รีของตนและลูก แม้จะรู้ว่าผู้ไม่ใด้ ตอ้งตายแน่นอนก็พรอ้มทีจ่ะตอ่สู้รกัของพอ่แมเ่ ป็นรกัทีบ่รสิุทธเิ์ทีย่งแท้ ๒.๓) มัทนารักพระราชบิดา นางจึงยินยอมท้าวสุเทษณ์เพื่อปกป้องพระราชบิดา รกัศกัดศิ์รีและรกัษาสจัจะ เมื่อท าตามสัญญาแล้วจึงฆ่าตัวตาย รักของมัทนาเป็ นความรักที่แท้จริง ๒.๔) นางจัณทีรักท้าวชัยเสน ความรักนี้เป็ นความรักที่มีความใคร่ ความหลง อยู่ด้วย จึงมีความรู้สึกหวงแหน โกระแค้นเมื่อถูกแย่งคนรัก พร้อมที่ท าทุกอย่างเพื่อแย่งคนรักคืน ๓) สะท้อนข้อคิดเพื่อน าไปใช้ในการด าเนินชีวิต กวีก าหนดให้นางมัทนาถูกสาปกลายเป็ นดอกไม้ชื่อ กุพฺซกะ (กหุลาบ) ซงึ่สวยงาม แต่มีหนามแหลมคมเป็ นเกราะป้ องกันตน ให้พ้นจากมือผู้หักหาญรานกิ่งเด็ดดอกไปเชยชม ดอกกุหลาบจึงเป็ นสัญลักษณ์แทนหญิงสาว ที่รูปสวย ย่อมเป็ นที่หมายปองของชายทั่วไป หนามแหลมคมเปรียบเหมือนสติปัญญา ดังนั้น ถ้าหญิงสาวรูปงามมีความเฉลียวฉลาด รู้ทันเล่ห์เหลี่ยม ย่อมสามารถเอาตัวรอดจากชายที่จงใจจะหยามเกียรติหรือ หมนิ่ศกัดศิ์รีได้ “บทละครพูดค าฉันท์ เรื่อง มัทนะพาธา (ถือเป็ นวรรณคดีเรื่องเยี่ยมและได้รับการยกย่องจากวรรณคดี สโมสรให้เป็ นยอดแห่งบทละครพูดค าฉันท์) ๑ โดยนอกจากวรรณคดีเรื่องนี้จะให้ความเพลิดเพลินจากเนื้อหาที่ชวน
ติดตามและวรรณศิลป์ อันไพเราะแล้ว ยังให้ข้อคิดเกี่ยวกับความรัก จึงสมควรที่จะศึกษาวรรณคดีอย่างพินิจพิเคราห์ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อ่าน”