2022
Song
Dynasty
Everyday Hanfu
Loading
INFORMATION
Name :
Apisara Yoonaisil
Nickname : Hana
Age : 22
Nationality : Thai
Date of Birth :
March 4, 2000
Student ID :
1620800761
Department :
Fashion Design
Bangkok University
Hana.flowerdiary
Flower Diary
[email protected]
ACKNOWLEDGEMENTS
โครงการออกแบบเครื่องแต่งกายเล่มนี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยความกรุณาจากอาจารย์ ลาดิ
ตา เกตุศักดิ์ ได้ให้คำแนะนำ ตลอดจนแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆมาโดยตลอด จนโครงการเล่มนี้
สำเร็จ ผู้ศึกษาขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
ขอขอบพระคุณคุณพ่อ คุณแม่ ที่เป็นกำลังใจที่ดีเสมอมา และสนับสนุนด้านกำลังทรัพย์ให้แก่
ผู้วิจัยได้ศึกษาเล่าเรียน จนเกิดเป็นผลงานในโครงการนี้
สุดท้านี้ขอขอบคุณตัวเองที่อดทน พยายามทำโครงการเล่มนี้มาจนเสร็จลุล่วง และขอขอบ
คุณเพื่อนๆ ที่คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ให้คำแนะนำ และให้คำปรึกษาเกี่ยวกับโครงการนี้
อภิสรา อยู่ในศิล
CONTENT
AUTHOR BIOGRAPHY
ACKNOWLEDGEMENTS
01 INTRODUCTION
02 LITERATURE REVIEW
2.1 HISTORY OF HANFU
2.2 HISTORY OF SONG DYNASTY
2.3 CONFUCIUS HISTORY
2.4 SONG DYNASTY CLOTHING
2.5 CASUAL WEAR
03 TARGET GROUP
3.1 MUSE
Character
Activity
Taste of life
Taste of house
3.2 QUESTIONNAIRE
04 METHODOLGY
Balloon Diagram
Inspiration
Mood board
Technique / Details
Sketch design
05 CONCLUSION /
RECOMMENDATION
06 BIBLIOGRAPHY
INTRODUCTION
ที่มาและความสำคัญ
หากให้พู ดถึงชุดประจำชาติจีนคนส่วนใหญ่ก็คงอาจจะนึกถึงชุดกี่เพ้าเป็นอันดับแรกๆแต่จริงแล้ว
ชุดกี่เพ้านั้นเป็นชุดที่มีอิทธิพลมาจากการปฏิวัติเครื่องแต่งกายของชาวแมนจูแต่ชุดประจำชาติจีน
ดั้งเดิมแล้วนั้นก็คือชุดฮั่นฝูซึ่งเป็นชุดประจำชาติของชาวฮั่นซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งของประเทศจีน
และจากการสำรวจประชากรในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 พบว่ามีชาวฮั่นราว 1,200 ล้านคนอาศัย
ในประเทศจีนและนับว่าเป็นกลุ่มชนชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย ชุดฮั่นฝูเป็นที่นิยมใส่ตั้งแต่ช่วงราช
วงศ์ชางและค่อยๆเลือนหายไปเนื่องจากในช่วงราชวงศ์ชิงออกกฎหมายบังคับให้สตรีทุกคนใส่ชุดกี่
เพ้าแต่ในภายหลังก็มีกลุ่มคนเริ่มกลับมาใส่ชุดฮั่นฝูในช่วงเทศกาลสำคัญต่างๆและเริ่มกลับมามี
อิทธิพลมากขึ้นอีกครั้งจากซีรีส์แนวประวัติศาสตร์ กลุ่มศิลปินและดารา จนทำให้ปัจจุบันเราจะเห็นวัย
รุ่นจีนใส่ชุดฮั่นฟูเดินกันตามถนนจนเป็นเรื่องปกติและชุดฮั่นฟูยังเริ่มเป็นที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่นไทย
เนื่องจากกระแสของซีรีส์จีนเองก็เริ่มเข้ามามีอิทธิพลในไทยมากขึ้น
จากที่กล่าวมาข้างต้นชุดฮั่นฝูเริ่มกลับมาเป็นกระแสและเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นในกลุ่มวัยรุ่นจีนและ
รวมถึงวัยรุ่นไทยเองด้วยจึงทำให้ผู้วิจัยเกิดแนวคิดที่จะนำชุดฮั่นฝูมาประยุกต์และออกแบบใหม่ลด
ทอนบางอย่างจากชุดฮั่นฝูดั้งเดิมเพื่อให้มีความใส่ง่ายขึ้นและสามารถใส่ได้ในชีวิตประจำวันและเพื่อ
ทำให้คนทั่วไปที่ไม่ใช่คนที่รู้จักชุดฮั่นฝูสามารถใส่ในชีวิตประจำวันได้ภายใต้แนวคิด การนำเครื่องแต่ง
กายจีนดั้งเดิมมาประยุกต์ใหม่แต่ก็ยังคงความเป็นชุดฮั่นฝูอยู่
โดยการออกแบบนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ชุดประจำชาติจีนดั้งเดิมให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นด้วย
การนำมาประยุกต์ใหม่ให้มีความ Casual มากขึ้นแต่ก็ยังคงเอกลักษณ์บางอย่างที่แสดงออกถึง
ความเป็นชุดฮั่นฝู ขอบเขตในการทำวิจัย ได้แก่ การศึกษาประวัติความเป็นมาของชุดฮั่นฝูดั้งเดิม
เอกลักษณ์ที่แสดงออกถึงความเป็นชุดฮั่นฝูและศึกษาแนวโน้มของแฟชั่น Casual ของวัยรุ่นที่ใช้ชีวิต
ในเมืองในช่วงอายุ Gen X-Y
วัตถุประสงค์
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรมชุดประจําชาติดั้งเดิม
ของจีนเพื่อนํามาประยุกต์ใช้ และออกแบบใหม่ให้มีความใส่ง่ายขึ้นและสามารถใส่ในชี
วิตประจําวันปกติได้
• เพื่อศึกษาชุดประจําชาติดั้งเดิมของจีน
• เพื่อศึกษาเอกลักษณ์ของชุดฮั่นฝู
• เพื่อศึกษาที่มาของความนิยมการใส่ชุดฮั่นฝูในไทย
• เพื่อศึกษาแฟชั่นแนวCasualของวัยรุ่นไทยในเมือง
ขอบเขตของการวิจัย
กลุ่มประชากรที่ศึกษา คือ วัยรุ่นช่วงอายุ 18-30 ปี ที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมือง และตามสถานที่
ต่างๆเช่น ห้างสรรพสินค้า คาเฟ่ สวนสาธารณะในเมือง
สถานที่ทำการศึกษา คือ แหล่งศูนย์รวมวัยรุ่นต่างๆ เช่น คาเฟ่ในเมือง ห้างสรรพ
สินค้าสยาม เซ็นทรัล สวนสาธารณะในเมืองต่างๆ
ระยะเวลาที่ทำการศึกษาคือ เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2565 วิธีการศึกษาคือวิธี
กรอกแบบสอบถาม
ขอบเขตของสินค้าคือแฟชั่นที่มีความสวมใส่สบาย สามารถใส่ได้ในชีวิตประจำวันแต่มี
ดีเทลที่น่าสนใจ
นิยามศัพท์เฉพาะ
• แฟชั่นแคสชัวร์ (Casual Fashion) หมายความว่า แฟชั่นที่มีความธรรมดา สวมใส่ง่าย
• ดีเทล เทคนิค (Details Technique) หมายความว่า รายละเอียดที่จะใส่ลงไปในเสื้อผ้าที่ทำ
• ฮั่นฝู หมายความว่า เครื่องแต่งกายจีนโบราณ
• Muse หมายความว่า บุคคลที่เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงาน
ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย
ประโยชน์จากการทําวิจัยในครั้งนี้ทําให้ผู้วิจัยได้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับชุดประจํา
ชาติของจีนที่เป็นชุดประจําชาติ ดั้งเดิมนั่นก็คือชุดฮั่นฝูและได้เรียนรู้ประวัติความ
เป็นมาของชุดฮั่นฝูที่เกือบจะเลื่อนหายไปจากการขึ้นมาเป็นใหญ่ ของชาวแมนจูและ
การออกกฎหมายบังคับเรื่องเครื่องแต่งกายในช่วงราชวงศ์ชิงจากเหตุการณ์นี้ทํา
ให้ทําให้ผู้วิจัย เกิดความคิดที่จะนําชุดฮั่นฝูมาประยุกต์ให้มีความใส่ง่ายขึ้นเพื่อ
เป็นการเผยแพร่ให้ชุดฮั่นฝูเป็นที่นิยมกับบุคคล ทั่วไปไม่ใช่แค่คนเฉพาะกลุ่ม
LITERATURE
HISTORY OF HANFU
汉服"ฮั่นฝู" ( ) คือชุดของชาวจีนโบราณ เป็นชุด
ประจำชนชาติฮั่นหรือชาวชนชาติจีนดั้งเดิม
เนื่องจากประเทศจีนมี
ประวัติศาสตร์ยาวนาน วัฒนธรรม
การแต่งกายของชาวจีนได้รับอิทธิพล
จากการเมือง การปกครอง ศาสนา
ความเชื่อ รวมถึงวัฒนธรรมการแต่ง
กายของชาวต่างชาติที่เข้ามามี
อิทธิพลในประเทศจีน ผสมผสานกัน
จนเป็นเอกลักษณ์ในแต่ละยุคสมัย
หลักๆแล้วชุดฮั่นฝูประกอบไปด้วย เสื้อคลุมที่สวมใส่ท่อนบนและกระโปรงที่สวมท่อนล่าง โดยปกติชุด
ฮั่นฝูจะใส่ทั้งหมด 2-3 ชั้น ประกอบด้วย เสื้อซับในสีขาว เสื้อตัวนอก และ เสื้อคลุม นอกจากนี้ยังมี
เครื่องประดับที่ใช้ใส่คู่กันกับชุดฮั่นฝูด้วย เช่น หมวกประจำตำแหน่งสำหรับขุนนาง ปิ่นปักฝม ผ้าคาด
ศรีษะ จี้หยก ชาวจีนแต่งกายด้วยชุดฮั่นฝูตั้งแต่สมัยโบราณ จนถึงสมัย ค.ศ.1645 ราชวงศ์หมิงล่ม
สลาย ราชวงศ์ชิงซึ่งถูกปกครองโดยชาวแมนจูที่มาจากทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีนได้เข้า
มาปกครองประเทศแทน และได้ปฏิวัติฟื้นฟูเครื่องแต่งกายของชาวจีนจากชุดฮั่นฝูผสมชาวแมนจูมาเป็น
旗袍ชุดที่คล้ายกับชุด
"กี่เพ้า" ( ) ที่เราเห็นและรู้จักกันในชุดประจำชาติจีนในปัจจุบัน
ประวัติศาสตร์ราชวงศ์ซ่ง ( Song Dynasty )
ใน ค.ศ. จ้าว ควงหยิน สามารถรวบรวมดินแดนและสถาปนาราชวงศ์ซ่งขึ้นได้ และสถาปนาเมืองไค
เฟิงเป็นเมืองหลวง เจ้า ควงหยิน หรือพระเจ้าซ่งไท่จูได้พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมขึ้นใหม่ แต่กลับตัด
ทอนอำนาจทางการทหารของแม่ทัพ เนื่องจากความระแวงจะถูกยึดอำนาจ ทำให้ในราชวงศ์ซ่งนี้การ
ทหารอ่อนแอ ในทางกลับกันด้านศิลปกรรมและวัฒนธรรมในราชวงศ์นี้รุ่งเรืองมาก การศึกษาของ
ประชาชนดีขึ้น เมื่อทางการทหารอ่อนแอราชวงศ์นี้ยังต้องเผชิญกับชนชาติอื่นที่ทรงอิทธิพลเข้ามา
รุกราน จึงมีการทำศึกอยู่ตลอดมา ทำให้ราชวงศ์สั่นคลอนจนเกือบล่มสลาย และต้องย้ายที่มั่นจากทาง
ตอนเหนือมาทางตอนใต้ จากเหตุนี้ ต่อมาราชวงศ์ซ่งจึงถูกแบ่งเป็นสองช่วง คือช่วงราชวงศ์ซ่งเหนือ
(ค.ศ.960-1127) กับราชวงศ์ซ่งใต้ (ค.ศ.1127-1279)
แม้จะย้ายมาทางตอนใต้แล้ว ราชวงศ์ซ่ง
ยังคงไม่ได้แข็งแกร่งขึ้น แต่ที่อยู่มาได้นับ
ร้อยปีก็เพราะยอมเสียดินแดนบางส่วนของ
ตนให้กับชนชาติอื่น เพื่อแลกกับอิสรภาพ
ถึงแม้ราชวงศ์ซ่งอาจดูไม่แข็งแกร่ง แต่ใช่
ว่าจะไม่มีช่วงเวลาแห่งความรุ่งเรือง
ความรุ่งเรืองที่ว่านี้หนึ่งในนั้นก็คือ การ
ปฏิรูปลัทธิขงจื่อและระบบการเมือง
ปกครอง
CONFUCIUS HISTORY
ขงจื้อ เป็นนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงในจีน เป็นผู้สั่งสอนและเขียนตำรา มีชื่อเดิมว่าขงชิว (Kongqiu)
เกิดวัน 27 ค่ำ เดือน 8 ตามปฏิทินจันทรคติจีน เมื่อปีที่ 551 ก่อนก่อนคริสตกาลตรงกับวันที่ 25
กันยายน จึงถือวันนี้เป็น วันคล้ายวันเกิดขงจื้อ ครอบครัวขงจื้อเป็นตระกูลขุนนางแต่ฐานะอยากจน
พ่อเป็นคนรัฐซ่งที่อพยพมาอยู่รัฐหลู่ (มณฑลซานตงปัจจุบัน) เมื่อขงจื้ออายุเพียง 3 ขวบ พ่อของเขา
เสียชีวิต เขาจึงเติบโตมาจากการอบรมเลี้ยงดูของมารดาที่เข้มงวดเพื่อให้เป็นผู้มีความรู้ ภายหลังได้
รับราชการเป็นขุนนางผู้น้อย ต่อมาเป็นข้าหลวงยุติธรรมอยู่เพียง 3 เดือน ก็พ้นจากตำแหน่งเพราะ
ความผันผวนทางราชการ เมื่ออายุได้ 30 ปี ขงจื่อ ได้รับการยกย่องและมีชื่อเสียง เนื่องจากบ้าน
เมืองในขณะนั้น ประเทศจีนแตกแยกเป็นก๊กเป็นเหล่าต่างๆ ขงจื้อและลูกศิษย์จึงอออกเดินทางไป
เยือนรัฐต่างๆ ด้วยความหวังว่าจะมีผู้ปกครองรัฐรับฟัง หรือเชื่อถือในคําสอนของตน แม้ว่าเจ้าผู้
ปกครองรัฐต่างๆ จะต้อนรับและให้เกียรติขงจื้อเป็นอย่างดี แต่ก็ไม่มีผู้ปกครองรัฐคนไหนรับขงจื้อ
เป็นที่ปรึกษาหรือขุนนางชั้นผู้ใหญ่ สุดท้ายขงจื้อเดินทางกลับบ้านเกิดเมื่ออายุได้ 60 ปีเศษ ตั้งสำนัก
ให้การศึกษา มีนโยบายว่า อบรมถ่ายความรู้ผู้ใฝ่ศึกษาทั่วไปโดยไม่เลือกชาติกําเนิดหรือฐานะสังคม
วิชาการที่เปิดสอนมี 6 วิชา ได้แก่ รัฐศาสตร์, ดนตรี, ยิงธนู, ขับรถศึก, เขียนลายมือ และคณิตศาสตร์
เพื่อจะพัฒนาความคิดจิตใจของนักศึกษาให้รอบด้าน
ความคิดเห็นทางการเมือง
ในยุคสมัยก่อนสังคมเกิดความไม่สงบอย่างมาก มีการล่วงละเมิด การปฏิบัตินอกจากหน้าที่
ทำให้เกิดการจลาจลในประเทศ บรรดาประเทศต่างๆจึงเข้ายึดดินแดนของเมืองอื่นรวมมา
เป็นของตน สังหารบุคคลที่บุกรุกเพื่อขจัดความวุ่นวายของบ้านเมือง ต่อมาจึงมีการปฏิรูป
สังคมให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย โดยยึดตามหลัก “ความเมตตากรุณา” และ “การมี
มารยาท” ขงจื้อได้เสนอความคิดเห็นและสนับสนุนการเมืองและให้การอบรมด้านจิตใจแก่
นักการเมือง
ความคิดทางจริยธรรม
ขงจื้อให้ความสำคัญกับเรื่องคุณธรรมเป็นอย่างมาก เพื่อสร้างความเป็น
ระเบียบเรียบร้อย และให้เกิดความกลมเกลียวในสังคม เขาจึงใช้หลัก “เมตตา
กรุณา” ซึ่งเป็นจริยศาสตร์ในการสร้างความเป็นระเบียบของสังคม
มุมมอง
มุมมองของขงจื้อเชื่อว่าโลกมีการพัฒนา
และยอมรับว่าโลกมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลง
ไป ดังนั้นควรดำรงอยู่บนพื้นฐานความเป็น
จริง และปรับตัวให้เข้ากับกฎ สิ่งที่สะท้อนให้
เห็นถึงมุมมองความคิดและวัตถุนิยม
ข้อเสนอทางการเมือง
ขงจื้อเป็นผู้ปกป้องรักษากฎเกณฑ์ ถือวงศ์ตระกูลเป็นศูนย์กลาง ในขณะเดียวกันยังคำนึงถึงผล
ประโยชน์ของประชาชน และต้องการเปลี่ยนแปลงสภาพความเป็นอยู่ทางสังคม ขงจื้อไม่ต้องการจะ
ปฏิวัติกษัตริย์ แต่สิ่งที่ขงจื้อคาดหวังคือดำเนินการปกครองด้วยคุณธรรม และศีลธรรม เมื่อทำอะไรก็
ต้องมีมารยาท
การอบรมด้านจิตใจของนักการเมือง
การดำเนินการปกครองด้วยคุณธรรมทำให้คนในประเทศเกิดความสามัคคี นับเป็นสิ่งสำคัญในการ
บริหารคนในประเทศ ดังนั้นนักการเมืองจำเป็นต้องฝึกตนทางด้านคุณธรรม ต้องมีพฤติกรรมที่เที่ยง
ตรง ยืนหยัดในหลักการ เลือกบุคคลผู้มีคุณธรรม และเพียบพร้อมด้วยสติปัญญา มีความสามารถและ
ทักษะที่ดี ขยันและมีจิตใจที่ซื่อสัตย์สุจริต
ความจงรักภักดี
คนที่มีความจงรักภักดีคือ คนที่มีความซื่อสัตย์ มีความรับผิดชอบ พยายามทำงานที่ได้รับมอบหมายให้
ถึงที่สุด และยังรวมไปถึงการแสดงความจงรักภักดีต่อกษัตริย์ ขงจื้อจึงเสนอข้อคิดเห็นว่า “ข้าราช
บริพารที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ต้องปฏิบัติตามบรรทัดฐานของประเพณี ข้าราชบริพาร
รับใช้พระมหากษัตริย์ด้วยความจงรักภักดี” ต้องป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดต่อพระมหากษัตริย์ กำจัด
และโค่นล้มคนชั่ว ซึ่งแตกต่างกับคนรุ่นหลังที่ว่า ขุนนางจะต้องฟังคำสั่งของพระมหากษัตริย์
( 奴 康 社 会 )ความกตัญญู ปกครองรักษาการโดยความสัมพันธ์ทาง
สังคมทาส
สายเลือด ความกตัญญูเป็นความสัมพันธ์ของมนุษย์ด้านศีล
( 封 建 社 会 )ธรรมจรรยา และเป็นศีลธรรมทางการเมือง หลังเข้าสู่สังคมศักดินา
บทบาทสำคัญของกตัญญูคือมนุษย์ต้องมีศีล
ธรรมจรรยา ขงจื้อกล่าวว่ากตัญญูไม่เพียงเริ่มจากการเคารพปฏิบัติ
ตามคำสั่งสอนของพ่อแม่ และยังต้องพูด ทำ และรับฟังคำตักเตือนใน
สิ่งที่ทำผิดต่อพ่ อแม่
ความยุติธรรม
ความยุติธรรมมีเหตุมีผล เดิมทีแสดงให้เห็นถึงความเป็นธรรม ขงจื้อเคย
อธิบายไว้ว่า ความยุติธรรมเป็นบรรทัดฐานของศีลธรรม ซึ่งเป็นส่วน
หนึ่งในการดำเนินชีวิตของผู้คนในสังคม ผู้คนยึดความยุติธรรมเป็น
ศูนย์กลาง เพียงเริ่มจากความยุติธรรม กล้าหาญทำเรื่องที่มีความ
ยุติธรรม แต่ขงจื้อไม่ได้นำความยุติธรรมและผลประโยชน์แยกออกจาก
กันแต่สั่งสอนให้ผู้คน เมื่อได้รับผลประโชยน์ก็ต้องคำนึงถึงความ
ยุติธรรมก่อน
ความน่าเชื่อถือ
ความน่าเชื่อถือคือ การซื่อสัตย์ไม่หลอกลวง ไม่
เพียงเป็นหลักในการคบหาเพื่อน ยังเป็นศีลธรรมข้อ
หนึ่งในการปกครองประเทศ คนที่ซื่อตรงจำเป็นต้อง
มีจิตใจที่ซื่อสัตย์ คำพูดจะต้องมีความน่าเชื่อถือ แต่
การรักษาความน่าเชื่อถือจะต้องมีหลักการ และ
ปฏิบัติควบคู่ไปกับศีลธรรมและสัจธรรม
การให้อภัย
ผู้คนต่างมีความเห็นตรงกันว่า การให้อภัยคือ การ
เอาใจเขามาใส่ใจเรา เมื่ออยู่ในสังคมจะต้องรู้จักเข้า
สังคม สิ่งที่คิดว่าตนเองทำได้ บุคคลอื่นก็ทำได้
เรื่องที่ตนเองทำไม่ได้ก็ไม่ต้องโยนให้กับบุคคลอื่น
ทำ
ความเคารพ
ความเคารพประกอบด้วย 2ด้าย ด้านแรกคือ จริงจัง
ตั้งใจกับการงาน และกิจการที่ทำ ด้านที่สองคือ ปฏิบัติ
ต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ ทำอะไรต้องตั้งใจ เคารพ
ความคิดของผู้อื่น ซึ่งเป็นทฤษฎีทางศีลธรรมที่เก่าแก่
ที่สุดของประเทศจีน การเคารพพ่อแม่ เคารพผู้อาวุโส
เคารพเพื่อน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นหลักที่ผู้คนควรจะต้อง
ปฏิบัติตาม
การให้
ขงจื้อส่งเสริมให้มีการให้ การ
ปกครองประเทศควรมีจิตใจที่มีความ
อ่อนน้อมถ่อมตน มีความอ่อนโยน มี
จิตใจที่ดีงาม มีความเคารพ ประหยัด
และมีความอดทน ควรสอนให้ผู้คนรู้
ว่าเมื่อมีชื่อเสียง มีอำนาจควร
พิจารณาถึงผู้อื่นก่อนแล้วค่อยคิดถึง
ตัวเอง เมื่ออยู่ในหน้าที่ก็ควรปฏิบัติ
ตามกฎ และควรพิจารณาตัวเองก่อน
แล้วค่อยคิดถึงคนอื่น
ความเชื่อ
ความเชื่อประกอบด้วย 2ด้าน ด้านแรก
คือ ตนเองต้องมีลักษณะอากัปกิริยาที่
จริงจังเคร่งขรึม ด้านที่สองคือ ถ่อมตน
ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น และ
คล้อยตามไปกับผู้อื่น ซึ่งมันเป็นหนึ่งใน
จริยธรรมและศีลธรรมที่ขงจื้อพยายาม
ส่งเสริม รวมถึง ความอบอุ่น ความดี
และประหยัดมัธยัสถ์ ซึ่งคนรุ่นหลังเรียก
ว่า “ ศีลธรรมทั้งห้า ”
วิธีการศึกษา
ขงจื้อสอนนักเรียนตามความสามารถของ
นักเรียน การเรียนหนังสือเป็นการเพิ่มความ
รู้ให้แก่กันและกันทั้งสองฝ่าย ทั้งนักเรียน
และครูผู้สอน ค่อยๆโน้มน้าวให้การศึกษาเป็น
ไปตามลำดับขั้นตอน รู้เรื่องหนึ่งก็สามารถ
นำไปเชื่อมโยงถึงเรื่องอื่นๆอีกหลายเรื่องได้
เวลาที่นักเรียนต้องการที่จะพู ดแต่ไม่
สามารถพูดออกมาได้ เขาจึงคิดวิธีการสอน
ให้เชื่อมโยงกับวิทยาศาสตร์และรูปแบบการ
สอนที่สามารถยืดหยุ่นได้
ความคิดทางการศึกษา
ความคิดที่จะปกครองด้วยคุณธรรมจะเป็นจริงได้นั้น
จะต้องปลูกฝังให้คนที่มีความรู้ความสามารถทางการ
เมือง มีความเพียบพร้อมด้านศีลธรรม ขงจื้อจึงริเริ่ม
การเรียนการสอนโดยไม่มีแบบแผน และริเริ่มสร้าง
โรงเรียนของตนเองก่อน ซึ่งในชีวิตของขงจื้อได้สอนคน
อย่างตั้งใจไม่รู้จักเบื่อหน่าย สะสมประสบการณ์ในการ
สอน และยังสร้างวิธีการรูปแบบการเรียนการสอนทาง
วิทยาศาสตร์ ซึ่งก่อให้มีความคิดทางการศึกษาที่
สมบูรณ์
วิธีการเรียน
ขงจื้อมีความกระตือรือร้นและชอบที่จะหาความรู้เป็นอย่าง
มาก แม้ว่าขงจื้อจะไม่มีอาจารย์สอนหนังสือ แต่ขงจื้อก็มี
ความรู้ความสามารถ และมีความมุ่งมานะเพื่อหาความรู้
จนกระทั้งลืมทานข้าว ขงจื้อมักจะแก้ไขปัญหาทุกเรื่อง
ทบทวนความรู้เก่าเพื่อที่จะได้ความรู้ใหม่ นำความรู้ที่เรียน
และความคิดของตนเองมาประยุกต์ใช้ร่วมกัน และเป็นผู้ที่รู้
เรื่องหนึ่งก็สามารถรู้ทะลุปรุโปร่งไปถึงเรื่องอื่นอีกมากมาย
หลายเรื่อง
จุดมุ่งหมายของการศึกษา
ขงจื้อเสนอการปกครองที่มีศีลธรรม ดังนั้นจึงสร้างโรงเรียนของเขาขึ้นมา เพื่อดำเนินการฝึกอบรม
ผู้ที่มีความรู้ความสามารถทางการเมืองให้ปกครองประเทศด้วยศีลธรรม เมื่อผ่านการฝึกอบรมแล้ว
เหล่าบรรดาขุนนางได้นำสิ่งที่ขงจื้อได้สอนคือ “มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ มีความเมตตา
ต่อประชาชน” ไปปฏิบัติใช้ในสังคมที่พออยู่พอกิน เพื่อสร้างโลกใหม่ที่ทุกคนเป็นเจ้าของ และสร้าง
ความสามัคคีให้กับสังคม
SONG DYNASTY CLOTHING
ราชวงศ์ซ่งสถาปนาขึ้นในปี ค.ศ.960 แบบเสื้อผ้าสมัยราชวงศ์ซ่งได้รับอิทธิพลตกทอดมาจาก
ราชวงศ์ถัง แต่เนื่องจากสมัยราชวงศ์ซ่ง แนวความคิดปรัชญาของสำนักขงจื้อเฟื่องฟู พฤติกรรม
ของผู้คนส่วนใหญ่คล้อยตามแนวคำสอนของขงจื้อ แนวคิดด้านความสวยความงามของผู้คนจึง
ได้เกิดความเปลี่ยนแปลง หันมาสนใจเครื่องแต่งกายที่มีความประหยัดมากขึ้น มีความเรียบง่าย
และความสมดุล มีรสนิยมชื่นชอบในความเป็นธรรมชาติ ส่งผลให้แบบเสื้อผ้าของผู้คนในสมัยรา
ชวงศ์ซ่งนี้ไม่เน้นลวดลายสีฉูดฉาด จึงกลายเป็นลักษณะเด่นของการแต่งกายในยุคราชวงศ์ซ่ง
袆衣 ชุดเฮวิย
ในเวลาที่พระมเหสีรับราชโองการ
หรือร่วมงานพระราชพิธีของราช
สำนักจะสวมชุดเฮวิย ชุดเฮวิยเป็น
ชุดที่ส่วนเสื้อและกระโปรงประกอบกัน
เป็นชุดเดียว ซึ่งเป็นชุดที่แสดงความ
งดงามของสตรีได้เป็นอย่างดี สวม
เข้าชุดกับเก้ามังกรหงส์สี่ เครื่อง
ประดับด้านบนมีดอกไม้อีก 12 กิ่ง
ด้านข้างซ้ายขวาของมงกุฎมีใบ
ประดับข้างละสองช่อ เรียกว่า โป๋ปิ้น
หรือ เหยี่ยนปิ้น
背子 ชุดเป้ยจึ
ชุดเปยจึในสมัยราชวงศ์ซ่ง เป็นชุดที่มี
แขนยาว ลำตัวชุดยาว ชิ้นส่วนด้านหน้า
และด้านหลังบริเวณใต้รักแร้ไม่ได้เย็บ
แบบเสื้อผ้าทั่วไป ซึ่งชุดเปยจึนี้ได้เลียน
แบบมาจากเสื้อผ้าในยุคโบราณ ในส่วน
ใต้รักแร้และส่วนหลังจะตกแต่งด้วยแถบ
ผ้า เพื่อที่จะสื่อถึงการไม่ลืมความดั้งเดิม
และเพราะคนที่สวมชุดนี้มักจะยืนอยู่ด้าน
หลังเจ้านาย จึงเรียกว่า เปยจึ แปลว่า
ด้านหลัง
裙 กระโปรง 冠饰 หมวกกวานซื่อ
กระโปรงในยุคราชวงศ์ซ่งทั้งมีแบบ หกจีบ แปด ผู้หญิงสูงศักดิ์ในยุคราชวงศ์ซ่ง
จีบ และสิบสองจีบ ลักษณะโดยทั่วไปคือมีการ จะสวมกวานซื่อคลุมศีรษะ ยุคนี้
พับจีบจำนวนมาก บนเนื้อผ้ากระโปรงมีการ กวานมีขนาดสูง และใหญ่ กวาน
ตกแต่งหลากหลายแบบ เช่น ตกแต่งด้วยการ บางอันสูงถึง 1 เมตร และมี
ปักลาย ย้อมสีต่างๆ มีการปักด้วยดิ้นทอง หรือ ความกว้างเท่ากับไหล่ หลังของ
ประดับด้วยไข่มุก เป็นต้น โดยกระโปรงสีเหลือง หมวกกวานมักมีชายห้อยถึงบ่า
ทองที่ใช้หญ้าแฝกย้อมจะมีค่าและสวยมากที่สุด เครื่องประดับส่วนบนมีทั้ง เงิน
ในยุคนั้น กระโปรงสีแดงจะสวมใส่โดยนางระบำ ทอง มุก มรกต ขนนกกระเต็น
หรือนักร้องเพลง และกระโปรงสีทับทิมมีความ ดอกไม้นานาชนิด หวีอำพัน
นิยมมากในสมัยราชวงศ์ซ่ง เป็นต้น
宋襦裙 ชุดกระโปรงหยรู 花子 ฮวาจึ
เนื่องจากสมัยราชวงศ์ซ่งได้รับการสืบทอดกระโป การเขียนหน้าฮวาเตี้ยน หรือการ
รงหยรูจากสมัยราชวงศ์ถัง และได้กลายมาเป็น วาดดอกไม้ไว้ที่หว่างคิ้ว ซึ่ง
เสื้อผ้าที่ผู้หญิงชาวซ่งสวมใส่ในชีวิตประจำวัน
บริเวณส่วนกลางของสายรัดเอวมักแขวนห่วง 发髻เรียกว่า กลีบผกา
กลมๆที่ทำมาจากหยกเรียกว่า สายห่วงหยก ซึ่ง ทรงผม
ใช้สำหรับกดจีบกระโปรงให้เป็นทรงสวย ทำให้ ผู้หญิงชาวซ่งจะทำผมทรงสูง
เวลาเดินไม่ถูกลมพัดกระโปรงบาน และใหญ่ ทรงผมที่นิยมมีหลาก
หลาก เช่น ทรงเสามังกร ทรงปา
เจียว ทรงเผชิญนภา ทรงจาน
ใหญ่ เป็นต้น สาววัยรุ่นมักจะทำ
ผมทรงสองห่วง คือการแต่งผม
ให้มีวงตรงกลางใหญ่ๆสองวง
ห้อยไว้ข้างกกหู และเวลาจัด
ทรงผมก็จะเพิ่มผมปลอมเข้าไป
ด้วยเพื่อให้ผมดูหนา ยาวสวย
หรือใช้วิกผมที่ประดับด้วยมรกต
ผ้าไหมสีต่างๆ ตรงกลางใช้ปิ่น
หยก หรือตาข่ายผ้าไหมจัดให้ผม
อยู่ทรง
การแต่งกายของสามัญชน
วิถีชีวิตของผู้คนในสังคมสมัยราชวงศ์ซ่งมีความ
เป็นอยู่ที่ดี ผู้คนชนชั้นต่างๆในสังคมไม่ว่าจะเป็น
ขุนนาง ข้าราชการ พ่อค้า แพทย์ เกษตรกร สารถี
นักบวช นักวิชาการ หรือศิลปิน ต่างก็มีการแต่ง
กายที่แตกต่างกันออกไป เช่น สวมชุดกระโปรง
สวมพีเปย ทำผม ใช้ผ้ามัดมวยผม หรือแต่งตัว
ตามใจตน
ลวดลายสมัยราชวงศ์ซ่ง
จากการได้รับอิทธิพลจากหลากหลายด้าน ทำให้องค์ประกอบของ
ลายบนเสื้อผ้าสมัยราชวงศ์ซ่ง และเทคนิควิธีการประกอบลายมี
ความแตกต่างจากสไตล์ของราชวงศ์ถัง ที่เห็นได้คือการประกอบ
ลายด้วยทรงแปดเหลี่ยม โครงสร้างลายกลุ่มดอกโบตั๋นบนก้านหรูอี้
ลายสัตว์เช่น ลายสิงโต ลายม้าบิน ลายรูปทรงเรขาคณิต เช่น ลาย
หลังเต่า ลายสี่เหลี่ยมคู่ ลายต่างๆพวกนี้มีโครงสร้างพื้นฐานเป็นเถา
ดอกไม้ ซึ่งนำดอกไม้ในแต่ละฤดูการมาประกอบเข้าด้วยกัน หมายถึง
ทิวทัศน์ทั้งปี การประกอบลายเช่นนี้ได้มีอิทธิพลต่อลายยุคต่อๆไปใน
อนาคตด้วย
ประเพณีการรัดเท้า
คือรองเท้าที่สวมหลังจากการมัดเท้า ประเพณีนี้เริ่มต้นมาตั้งแต่
ยุคต้นของศตวรรษที่ 10 หรือสมัยราชวงศ์ถัง โดยอ้างกันว่ามีนาง
กำนัลผู้หนึ่งต้องการทำให้จักรพรรดิพอพระทัย จึงนำผ้าที่ทำจาก
แพรไหมที่สวยงามมารัดเท้าจนเรียวเล็กคล้ายกับรูปทรงของ
พระจันทร์เสี้ยวขณะร่ายรำ และนั่นทำให้จักรพรรดิพอพระทัยอย่าง
มาก การรัดเท้าจึงกลายมาเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายสำหรับสตรี
ชาวจีนโบราณ โดยเริ่มต้นจากสังคมชนชั้นสูง ต่อมาในสมัยรา
ชวงศ์ซ่งการรัดเท้านี้ได้นิยมอย่างแพร่หลายในสามัญชนทั่วไปด้วย
เรื่องเล่าเหล่านั้นทำให้ชาวจีนโบราณเชื่อว่าการที่ผู้หญิงมีเท้าเล็ก
เหมือนดอกบัวนั้นบ่งบอกถึงการมาจากตระกูลผู้ดี เป็นสตรีที่มาจาก
ครอบครัวชนชั้นสูง หรือมีความเชื่อว่าสวยงามเหมือนกับมีดอก
บัวผุดขึ้นมาทุกอย่างก้าวตามตำนานพระโพธิสัตว์กวนอิมของจีน
และส่งผลต่อการเลือกคู่ชีวิตในอนาคตของผู้หญิง ครอบครัวชาว
จีนยุคนั้นเชื่อว่าค่านิยมนี้เป็นวิธีที่จะเพิ่มโอกาสให้ลูกสาวของพวก
เขาได้แต่งงานและมีสามีที่ดี ร่ำรวย เพราะสมัยนั้นการที่ชีวิตของผู้
หญิงจะสบายหรือลำบากจะขึ้นอยู่กับสามีเป็นคนกำหนด
การรัดเท้าจะเริ่มตั้งแต่อายุยังน้อย อายุระหว่าง 4-7 ปีเป็นช่วงเวลาที่เหมาะ
ที่สุด เพราะกระดูกยังอ่อน ส่วนใหญ่จะเลือกรัดเท้ากันในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ว่ากัน
ว่าความเย็นจะทำให้เท้ารู้สึกชาและสามารถบรรเทาความเจ็บปวดได้ โดยเริ่ม
จากการนำเท้าไปแช่น้ำสมุนไพรและเลือดสัตว์เพื่อให้เท้าอ่อนนุ่ม มีการทำความ
สะอาดเล็บเท้า หรือบางคนก็เลือกที่จะถอดเล็บเท้าออกเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
หลังจากนั้นดันนิ้วโป้งขึ้นพร้อมกับพับนิ้วเท้าอีก 4 นิ้วลงจนผิดรูปมาที่ฝ่าเท้า นำ
ผ้าหุ้มเท้ามารัดเท้าให้แน่นและเย็บด้วยผ้าชั้นนอกอีกครั้งเพื่อป้องกันการขยับ
จากการเคลื่อนไหว ผ้าที่มัดเท้าไว้จะสามารถแก้ได้ก็ต่อเมื่อล้างทำความสะอาด
เท้าเท่านั้น ซึ่งในการล้างเท้าแต่ละครั้งต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง จุดมุ่งหมายของ
ประเพณีนี้ คือการรัดเท้าให้หดลงเหลือเพียง 3-5 นิ้วเท่านั้น โดยมีการเรียกชื่อ
เท้าแต่ละขนาดแตกต่างกันออกไป ดอกบัวทองคำ คือชื่อเรียกเท้าที่มีขนาดไม่
เกิน 3 นิ้ว เท้าที่มีขนาดใหญ่กว่า 3 นิ้วแต่ไม่เกิน 4 นิ้ว จะถูกเรียกว่า เท้าดอกบัว
เงิน ส่วน ดอกบัวเหล็ก เป็นชื่อเรียกเท้าที่มีขนาดเกิน 4 นิ้วขึ้นไป ว่ากันว่าเท้าที่มี
ขนาด 4 นิ้วพอดี ถือเป็นขนาดเท้าที่มีเสน่ห์ น่าทะนุถนอม และจะกลายเป็นจุด
ดึงดูดสายตาหนุ่มๆ ที่สุดในยุคนั้น
ค่านิยมการรัดเท้าเป็นที่นิยมต่อเนื่องนานถึง 1,000 ปี จนกระทั่งยุคที่
ราชวงศ์ชิงล่มสลาย วัฒนธรรมตะวันตกเริ่มเข้ามามีบทบาทหลายด้าน
ในประเทศจีน ทำให้เริ่มมีกระแสต่อต้านมากมายเกี่ยวกับประเพณีนี้ โด
ยมิชชันนารีที่สอนเด็กนักเรียนหญิงแสดงออกอย่างชัดเจนว่ามันเป็น
ประเพณีที่ล้าหลังและป่าเถื่อนเกินไปสำหรับมนุษย์ ช่วงแรกๆหลายคนก็
ยังมองว่ามันคือสิ่งที่ต้องทำเพราะเป็นประเพณีที่สืบต่อกันมายาวนาน
แต่หลังจากนั้นมาก็เริ่มมีเสียงที่ไม่เห็นด้วยจากชาวจีนรุ่นใหม่ และเริ่มมี
การออกมาต่อต้านประเพณีการรัดเท้านี้ จนในที่สุดช่วงปลายศตวรรษ
ที่ 19 ก็มีการก่อตั้งสมาคมที่สนับสนุนเท้าที่เป็นธรรมชาติอย่างเป็น
ทางการ การรัดเท้าก็ค่อยๆ นิยมน้อยลงในศตวรรษที่ 20 จนกลายเป็น
สิ่งที่ห้ามทำและผิดกฎหมายในเวลาต่อมา
CASUAL WEAR
Casual style คือการแต่งตัวแบบสบายๆ เรียบๆ แต่ไม่เชย
เพราะถึงจะเป็นการแต่งตัวสบายๆ ชิวๆ แต่ก็ยังต้องตามเทรนด์ให้
เข้ากับยุคสมัย ซึ่งเดิมทีลุคนี้จะเน้นโทนสีเรียบๆ พื้นๆ แบบเอิร์ธโทน
เสื้อยืดง่ายๆ กางเกง รองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าที่สวมใส่สบาย ก็ได้
ลุค Casual แล้ว และเพื่อให้ตามเทรนด์ให้เข้ากับยุคสมัยก็ต้องมี
ดีไซน์ที่ดูดี หรือมีการเพิ่มเครื่องประดับให้เข้ากับลุคการแต่งตัว แค่
นี้ก็เป็นการแต่งตัวลุคสบายๆแต่มีรายละเอียด ดูไม่เป็นการแต่งตัว
ที่เรียบเชย
TARGET GROUP
Cute
Cheerful
Natural
Inspiration จาก
ชุดฮั่นฝู จึงเลือก
ซึ่งมีความหลง
ไหลในชุดฮั่นฝู
มาก มีอาชีพเป็น
นางแบบ
Activity
Taste of life
ชื่นชอบการแต่งตัว
สนุกกับการทำงานที่ตัว
เองรัก และนำความรู้
ประสบการณ์มาแชร์
เป็นคอนเทนต์ลงยูทูป
Taste of house
ผู้หญิง
ผู้ชาย
LGBTQ+
กลุ่มเป้าหมายทั้งหมด 33 คน เป็นเพศหญิง คิด
เป็นร้อยละ 66.7 เพศชาย ร้อยละ 27.3
และLGBTQ+ ร้อยละ 6
ต่ำกว่า 18 ปี
18 - 20 ปี
21 - 25 ปี
26 - 30 ปี
30 ปีขึ้นไป
กลุ่มเป้าหมายในช่วงเจนเนอเรชั่น ช่วงอายุ 18-30 ปี
จากแบบสอบถามโดยมีอายุ 21 - 25 ปีมากที่สุด คิดเป็น
ร้อยละ 36.4 รองลงมาคือช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไป
กสน.
มัธยมศึกษาตอนต้น
มัธยมศึกษาตอนปลาย / ปวช.
อนุปริญญา / ปวส.
ปริญญาตรี
สูงกว่าปริญญาตรี
คำถาม ตัวเลือกแบบสอบถาม ลำดับความพึงพอใจ
อาชีพปัจจุบันของผู้ทำ
นักศึกษา มากที่สุด
แบบสอบถาม พนักงานบริษัท มาก
ค้าขาย / ธุรกิจส่วนตัว ปานกลาง
ข้าราชการ น้อย
นักเรียน น้อย
อื่ นๆ น้อยที่สุด
ที่พักอาศัยของผู้ทำ กรุงเทพมหานคร มากที่สุด
แบบสอบถาม ต่างจังหวัด มาก
ปริมณฑล น้อย
ผู้ทำแบบสอบถามมี สนใจมาก มากที่สุด
ความสนใจในชุดฮั่นฝู สนใจเล็กน้อย มาก
มากน้อยแค่ไหน ไม่สนใจเลย น้อย
ผู้ทำแบบสอบถามมี
ไม่รู้ประวัติความเป็นมาของ
มากที่สุด
ความรู้ด้านประวัติความ
ชุดฮั่นฝูเลย
เป็นมาของชุดฮั่นฝูมาก
น้อยแค่ไหน พอรู้ประวัติความเป็นมา
มาก
ของชุดฮั่นฝูบ้างเล็กน้อย
รู้ประวัติความเป็นมาของชุด น้อย
ฮั่นฝูเป็นอย่างดี
คำถาม ตัวเลือกแบบสอบถาม ลำดับความพึงพอใจ
ผู้ทำแบบสอบถามมี
ชอบ มาก
ความชื่นชอบในชุดฮั่นฝู
ไม่ชอบ น้อย
หรือไม่
หากผู้ทำแบบสอบถาม
ชุดฮั่นฝูที่เรียบง่าย สวมใส่
มากที่สุด
ต้องเลือกซื้อชุดฮั่นฝู
สบายในชีวิตประจำวัน มาก
หนึ่งชุด ผู้ทำ
น้อย
แบบสอบถามจะเลือก
ชุดฮั่นฝูที่มีรายละเอียด
ชุดฮั่นฝูแบบใด สวมทับเป็นเลเยอร์
ชุดฮั่นฝูที่มีรายละเอียด
เครื่องประดับเยอะๆ เหมาะ
กับสวมใส่ในโอกาสพิเศษ
ผู้ทำแบบสอบถามเคย เคยแต่ง มาก
ลองแต่งชุดฮั่นฝูดั้งเดิม ไม่เคยแต่ง น้อย
หรือชุดฮั่นฝูประยุกต์
หรือไม่
ผู้ทำแบบสอบถามมัก
ซีรี่ย์ มากที่สุด
พบเห็นชุดฮั่นฝูจากที่ใด หนัง มาก
Social Media ปานกลาง
หนังสือ น้อย
อื่ นๆ น้อย
โฆษณา น้อยที่สุด
จากคำถามของ
แบบสอบถามที่ว่า ชุดฮั่น
ฝูในแต่ละยุคสมัยของ
แต่ละราชวงศ์มีความ
แตกต่างกันอย่างไร สรุป
คำตอบจากผู้ทำ
แบบสอบถามได้ดั้งนี้
การแต่งกายได้รับ
อิทธิพลจากสภาพทาง
สังคม การเมือง
เศรษฐกิจ และการ
ปกครอง ทำให้การแต่ง
กายแต่ละยุคสมัยมีความ
แตกต่างกัน
จากการสรุปแบบสอบถามพฤติกรรม ความรู้ ความพึง
พอใจของกลุ่มผู้บริโภค ได้ข้อสรุปดังนี้ กลุ่มเป้าหมายส่วน
มากมีความรู้เรื่องประวัติความเป็นมาของชุดฮั่นฝูเล็กน้อย
ไม่มีความรู้ประวัติความเป็นมาของชุดฮั่นฝูเลยรองลงมา
และมีความรู้เรื่องประวัติความเป็นมาของชุดฮั่นฝูเป็นอย่างดี
เล็กน้อย กลุ่มเป้าหมายมีความสนใจในเรื่องชุดฮั่นฝู และยัง
ไม่เคยที่จะลองแต่งชุดฮั่นฝู
กลุ่มเป้าหมายมีความสนใจชุดฮั่นฝูที่เรียบง่าย สามารถใส่
ได้สบายในชีวิตประจำวัน
METHODOLGY
Balloon Diagram
Mood board
Inspiration
ก่อนหน้านี้ชุดฮั่นฝูได้รับความ
นิยมเฉพาะกลุ่ม สวมใส่กันใน
กลุ่มเล็กๆ ในช่วงเทศกาลวัน
หยุดวันสำคัญๆของจีน ปัจจุบัน
ชุดฮั่นฝูได้รับความนิยมมากขึ้น
จากซีรี่ย์ หนังประวัติศาสตร์
หรือศิลปิน ดารา เราจะเห็นกลุ่ม
วัยรุ่นสวมชุดฮั่นตามถนน สวน
สาธารณะในเมืองจีนกันเป็น
ปกติ
เทรนซีรี่ย์จีนเป็นที่นิยมในไทย
มากขึ้น ดังนั้นจึงมีกลุ่มแฟน
คลับค่อนข้างเยอะที่อยากแต่ง
ตัวตามในซีรี่ย์จึงเกิดเป็นไอเดีย
ในการออกแบบในครั้งนี้ จึงนำ
เอาเครื่องแต่งการจีนหรือชุด
ฮั่นฝูมาออกแบบเพื่อให้สวมใส่
ได้ง่ายในชีวิตประจำวัน
TECHNIQUE & DETAIL
Embroidery ( การปัก )
Tucking ( การทํารอยพับ/จีบแล้วเย็บ )
Pleating ( การอัดจีบ )
CONCLUSION
RECOMMENDATION
การออกแบบครั้งนี้ผ่านการศึกษา ค้นคว้า รวบรวมข้อมูลต่างๆเกี่ยว
กับชุดฮั่นฝูในสมัยราชวงศ์ซ่ง พบปัญหาในขั้นตอนการค้นคว้า
รวบรวม เนื่องจากต้องค้นคว้าเป็นภาษาอังกฤษ และภาษาจีน จึง
ต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งในการแปลข้อมูล
ชุดฮั่นฝูในแต่ละยุคสมัย แต่ละราชวงศ์มีความแตกต่างกัน และมี
เอกลักษณ์ของแต่ละยุคสมัย ควรศึกษาและเปรียบเทียบ เพื่อหา
เอกลักษณ์ให้ชัดเจนของราชวงศ์ที่ต้องการศึกษา ค้นคว้า เพื่อง่ายต่อ
การนำข้อมูลเหล่านั้นมาตีความออกแบบต่อไป
ในการทำเทคนิค เพื่อให้ได้ความซับซ้อน แปลกใหม่ ต้องให้เวลากับการ
ทำ และทดลองในหลากหลายรูปแบบ
BIBLIOGRAPHY
Morag Hobbs. (2564). The Hanfu revival, more than just a clothing style
สืบค้น 1 ตุลาคม 2565, จาก https://news.cgtn.com/news/2021-03-12/The-Hanfu-revival-more-
than-just-a-clothing-style-Yzis9SFZgQ/index.html?
fbclid=IwAR1NAoOj042a8Q8I2Tb7cXFp7miXYdnOHrkVOUaVjaPm7_mKlQfXBHGZ1Q4
วรศักดิ์ มหัทธโนบล. (2564). จีนสมัยราชวงศ์ซ่ง (1)/เงาตะวันออก วรศักดิ์ มหัทธโนบล
สืบค้น 1 ตุลาคม 2565, จาก https://www.matichonweekly.com/column/article_423392
วิทย์ สิทธิเวคิน. (2565). เล่าประวัติศาสตร์ราชวงศ์ซ่ง ผ่านวรรณกรรมจีน (Part 2/2)
สืบค้น 1 ตุลาคม 2565, จาก https://thestandard.co/podcast/8-minutes-history-ep161/
เฉินซิ่วเชง. (2553). งามด้วยเครื่องแต่งกายแบบจีน...
สืบค้น 1 ตุลาคม 2565, จาก http://hakkapeople.com/node/464.html
สุ่ยหลิน. (2559). ฉิน, ฮั่น, ถัง, ซ่ง, หยวน, หมิง, ชิง??? เปาปุ้นจิ้นก็มา!! องค์หญิงกำมะลอก็มา!! ตอน 2
สืบค้น 1 ตุลาคม 2565, จาก https://chinesexpert.net/ประวัติศาสตร์จีน-ตอน-2/
KRU_TAY_BLOG. (2562). ราชวงศ์ซ่ง
สืบค้น 2 ตุลาคม 2565, จาก http://kru-tay.blogspot.com/2019/07/blog-post_70.html
宋代的服饰Hong Qipao Shop. (2556). เครื่องแต่งกายสมัยซ่ง
宋代的服饰สืบค้น 2 ตุลาคม 2565, จาก http://www.hongqipaoshop.com/article/23/เครื่องแต่งกายสมัยซ่ง-
Hong Qipao Shop. (2562). วัฒนธรรมการแต่งกายของจีน
สืบค้น 3 ตุลาคม 2565, จาก http://www.kongqipaoshop.com/article/15/วัฒนธรรมการแต่งกาย
ของจีน
(2561). ลัทธิขงจื๊อ คืออะไร และมีแนวคิดเช่นไร
สืบค้น 5 ตุลาคม 2565, จาก https://www.inclusivechurch.net/ลัทธิขงจื๊อ-คืออะไร-และม/
วิภา จิรภาไพศาล. (2564). ขงจื่อปราญ์ผู้ยิ่งในปวศ.จีน กับท่าทีอีหลักอีเหลื่อ ของพรรคคอมมิวนิสต์
สืบค้น 10 ตุลาคม 2565, จาก https://www.silpa-mag.com/history/article_39355
Tui YeaH Factory - ตุยเย่ แฟคทอรี่. (2564). วันนี้เรามาทำความรู้จักกับ"ฮั่นฝู"กันนน
สืบค้น 12 ตุลาคม 2565, จาก https://m.facebook.com/story.php?
story_fbid=pfbid02F2nGEKiiXBjyBNufTbssy2bM5FZ4Gi61CGvie5SQuqtLC7sT5yVswTwqhm66
gLGCl&id=105289481435504
StoryfromStory. (2565). เครื่องแต่งกายขุนนาง
สืบค้น 12 ตุลาคม 2565, จาก https://m.facebook.com/story.php?
story_fbid=pfbid02SKiYxNLrq2EKFSP7REUAJmRNJMqJKkyMYZ7FRTDB8aM2AzhXi2R2g8jpm
ZHLhUApl&id=100063549057125&mibextid=qC1gEa
สถาบันขงจื่อมหาวิทยาลัยอัสชัมชัญ. (2565). ปรัชญาความคิดขงจื่อ
สืบค้น 18 ตุลาคม 2565, จาก http://www.ci.au.edu/th/index.php/about/2015-08-24-11-58-20
ธันวา วิน. (2565). ประเพณีการรัดเท้า : ประเพณีแห่งความเจ็บปวด
สืบค้น 2 พฤศจิกายน 2565, จาก https://www.silpa-mag.com/history/article_19060
ธนพร สมบูรณ์สิทธิ์. (2565). ความงามที่แลกมาด้วยความเจ็บปวด.. ย้อนรอยประเพณีการรัดเท้าของ
สตรีจีนยุคโบราณ
สืบค้น 2 พฤศจิกายน 2565, จาก https://www.vogue.co.th/lifestyle/article/foot-binding-chinese-
culture
MGR Online. (2561). ไขข้อสงสัยสตรีจีนสมัยโบราณ
สืบค้น 3 พฤศจิกายน 2565, จาก https://mgronline.com/china/detail/9610000040058
Victory tale. (2565). “การรัดเท้า” ประเพณีอันแสนเจ็บปวดของผู้หญิงจีนโบราณ
สืบค้น 5 พฤศจิกายน 2565, จาก https://victorytale.com/th/foot-binding-china/
Rookies LBKTH. (2559). จัดลุค Casual Style เรียบง่าย แต่ดูดี!
สืบค้น 16 พฤศจิกายน 2565, จาก https://www.lookbook.in.th/casual-style/