รายงานเชิงวิชาการ เรื่อง ไตรภูมิพระร่วง(ตอนมนุสสภูมิ) จัดท าโดย นางสาวอัจฉรา โคตรหานาม เลขที่27 นางสาวกัญฐิสา ปานมณี เลขที่28 นางสาวรพีภัทธ์ สมานพันธ์ เลขที่32 นางสาวพัชรา พึ่งบัว เลขที่33 นางสาวลลิตา บุญศรี เลขที่34 นางสาวภัทรมน แก้วบัว เลขที่38 เสนอ คุณครูอรสา เสาโกมุท รายวิชาการเขียน รหัสวิชา ท33202 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนหนองไผ่ ในพระสังฆราชูปถัมภ์ อ าเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ ส านักงานเขตพื ้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบูรณ์
รายงานเชิงวิชาการ เรื่อง ไตรภูมิพระร่วง(ตอนมนุสสภูมิ) จัดท าโดย นางสาวอัจฉรา โคตรหานาม เลขที่27 นางสาวกัญฐิสา ปานมณี เลขที่28 นางสาวรพีภัทธ์ สมานพันธ์ เลขที่32 นางสาวพัชรา พึ่งบัว เลขที่33 นางสาวลลิตา บุญศรี เลขที่34 นางสาวภัทรมน แก้วบัว เลขที่38 เสนอ คุณครูอรสา เสาโกมุท รายวิชาการเขียน รหัสวิชา ท33202 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนหนองไผ่ ในพระสังฆราชูปถัมภ์ อ าเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ ส านักงานเขตพื ้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบูรณ์
บทคัดย่อ บทความวิจัยเรื่อง “การศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการพระราชนิพนธ์เรื่องไตรภูมิพระร่วง” มีวัตถุประสงค์๒ ประการคือ (๑) เพื่อ ศึกษาโครงสร้างของไตรภูมิและปัจจัยที่มีต่อการพระราชนิพนธ์เรื่องไตรภูมิกถา และ(๒) เพื่อสังเคราะห์รูปแบบในการพัฒนาสื่อนวัตกรรมให้ สอดคล้องกับสังคมไทยปัจจุบัน การวิจัยเป็นแบบการวิจัยเอกสาร ผลการวิจัยพบว่า ไตรภูมิหมายถึงอบายภูมิมนุสสภูมิและสัคคภูมิที่สัตว์ โลกจะต้องวนเวียนไปเกิด หากท าดีตายแล้วจะไปเกิดในมนุสสภูมิหรือสัคคภูมิหากท าชั่วตายแล้วจะไปเกิดในอบายภูมิปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อ พระมหาธรรมราชา ลิไทยให้ทรงพระราชนิพนธ์ไตรภูมิกถา ประกอบด้วย ระบบการเมืองการปกครองแบบธรรมิกราชา คลื่น พระพุทธศาสนาที่เข้าสู่ประเทศไทยพร้อมกับศิลปกรรมและวรรณกรรมพระพุทธศาสนา และหลักธรรมที่อิงหลักการเพื่อความดีงามของสังคม ปัจจัยทุกด้านเป็นผลมาจากปฏิสัมพันธ์ทางพระพุทธศาสนาระหว่างอินเดีย ลังกา พม่าและไทย ในยุคสมัยนั ้น ซึ่งในงานวิจัยนี ้ได้แสดงให้เห็น ถึงปัจจัยแต่ละด้าน ตลอดจนอิทธิพลของไตรภูมิกถาทุกด้านที่มีต่อสังคมไทยในสมัยต่อๆ มาด้วย ในตอนท้ายได้แสดงตัวอย่างการสร้างสรรค์ สื่อนวัตกรรมในไตรภูมิกถาเพื่อน ามาใช้กับสังคมไทยปัจจุบัน ไตรภูมิพระร่วง ตอนมุนสสภูมิ
กิตติกรรมประกาศ รายงานการศึกษาค้นคว้าเล่มนี ้ส าเร็จได้ด้วยความกรุณาช่วยเหลือแนะน าจาก คุณครูอรสา เสาโกมุท ครูประจ ารายวิชาการเขียน รหัสวิชา ท33202 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนหนองไผ่ ที่ได้ให้ค าปรึกษาแนะน าและให้ข้อคิดต่างๆ ใน การท ารายงานการศึกษาค้นคว้า ตลอดจนแก้ไขข้อพกพร้องในการท างานต่างๆ มาโดยตลอด คณะผู้ศึกษาค้นคว้าขอกราบขอบพระคุณเป็น อย่างสูง ประโยช์และคุณค่าของรายงานการศึกษาเล่มนี ้คณะผู้ศึกษาค้นคว้าขอมอบแด่ คุณครูอาจารย์บิดา มารดาข้าราชการและ บุคคลากรโรงเรียนหนองไผ่ ที่ได้สั่งสอนอบรมจากอดีตจนถึงปัจจุบัน คณะผู้ศึกษาค้นคว้า
สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ข สารบัญ ค สารบัญภาพ ง บทที่ 1 บทน า 1 บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง 2-8 บทที่ 3 วิธีการด าเนินการศึกษา 9 บทที่ 4 ผลการศึกษา 10 บทที่ 5 สรุปผล อภิปราย ข้อเสนอแนะ 11 บรรณานุกรม 12 ภาคผนวก 13
สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า ภาพที่1 ศึกษาหาข้อมูล 13
1 บทที่ 1 (บทน า) ไตรภูมิพระร่วง หรือไตรภูมิกถา (เตถูมิกถา) หมายถึง เรื่อวของทั้งโลก 3 ได้แก่ กามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ มีดังนี้ กามภูมิหมายถึง ภพภูมิแห่งกาม กิเลส แบ่งเป็น 2 ภูมิ คือ 1.สุคติภูมิ ดินแดนฝ่ายดี ฝ่ายเจริญ ได้แก่ สนุสสภูมิ (โลกมนุษย์) อยู่ทวีปทั้งสี่ คือ ชมพูทวีป ส่วน สวรรคภูมิ (ฉกามาพจร) ได้แก่ สวรรค์ 6 ชั้น คือ จตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี และปรนิมมิตวสวัส 2. ทุคติภูมิ (อบายภูมิ) ดินแดนแห่งความเสื่อม ดินแดนฝ่ายไม่ดี ได้แก่ นรกภูมิ ดิรัจฉานภูมิ เปรตภูมิ และ อสุรกายภูมิ รูปภูมิหมายถึง ดินแดนแห่งพรหมที่มีรูปผู้บำเพ็ญสมาธิจนได้ฌานสมาบัติจะมาเกิดในดินแดนพรหมแห่งนี้ พรหมชั้นนี้ไม่ มีการเคลื่อนไหว ไม่มีจิตรวิญญาณ ไม่มีการครองเรือน มี 16 ชั้น เรียกว่า โสฬสพรหม อรูปภูมิหมายถึง ดินแดนของพรหมไม่มีรูปมีแต่จิตหรือวิญญาณ มี 4 ชั้น ชั้นสูงสุด คือเนวสัญญายตนภูมิ พระยาลิไทยทรงพระราชนิพนธ์ไตรภูมิพระร่วงเมื่อ พ.ศ.1888 ขณะที่ทรงดำรงตำแหน่งพระมหาอุปราชครองเมืองศรีสัช นาลัย คำว่า “พระร่วง” นั้นเกิดภายหลัง ใช้เป็นคำเรียก ใช้เป็นคำเรียกกษัตริย์ในราชวงศืสุโขทัยทุกพระองค์
2 บทที่2 (เอกสารที่เกี่ยวข้อง) ในรายงานการศึกษาค้นคว้าเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิคณะผู้ศึกษาค้นคว้าได้รวบรวมข้อมูล แนวคิดต่างๆ จากหนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน วรรณคดีและวรรณกรรมชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เอกสาร บทความ ทางอินเตอร์เน็ต และงานวิจัยต่างๆ เกี่ยวกับเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิดังปรากฏให้หัวข้อต่อไปนี้ 1.การพิจารณา 1.1 ที่มาของเรื่อง ไตรภูมิพระร่วงเป็นพระราชนิพนธ์ของพระยาลิไทยที่ทรงค้นคว้ารวบรวมมาจากคัมภีร์พุทธศาสนา จำนวน 33 คัมภีร์มีทั้งพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และปกรณ์พิเศษต่าง ๆ พระองค์มีพระราชประสงค์ให้เทศน์โปรดพระราช มารดาและเป็นธรรมทานสำหรับประชาชน ดังมีข้อความใน “คาถานมัสการบานแพนก” ว่า “เจ้าพระญาลิไทยได้เสวยราชสมบัติในเมืองสัชชนาลัยอยู่ได้6 เข้า จึงได้ไตรภูมิ(ก)ถามูนใส่ เพื่อใด ใส่เพื่อมีอรรถพระอภิธรรม แลจะใคร่เทศนาแก่พระมารดาท่าน อนึ่งจะใคร่จำเริญพระธรรมโสด ผู้ใดจักปรารถนาสวรรค์นิพพาน จงสดับฟังไตรภูมิกถา ด้วย ทำนุกอำรุงอย่าได้ประมาทสักอัน”ดังนั้นเรื่องในไตรภูมิพระร่วงจึงเน้นย้ำให้เข้าใจในเรื่องของโลกที่มีแต่ความไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลง ไปตลอดเวลา ฉะนั้นมนุษย์จึงควรหาทางหลุดพ้นโดยเร่งทำบุญ และมุ่งนิพพานที่ประเสริฐกว่าสิ่งใดๆ เหนือการ เวียนว่ายตายเกิด เป็นโลกแห่งความสงบสุข ถ้าหากยังไม่ได้นิพพาน ก็อาจมีโอกาสเกิดมาพบ กับพระพุทธเจ้าในอนาคต คือ พระ ศรีอารยเมตไตรย มีชีวิตที่เป็นสุขตลอดเวลา 1.2 ประวัติผู้แต่ง พระมหาธรรมราชาที่ 1 (พระยาลิไทย) เป็นพระราชนัดดา ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เป็น พระราชโอรสของพระยาเลอไทย ทรงครองเมืองศรีสัชนาลัยในตำแหน่งมหาอุปราชา ต่อมาเสวยราชย์กรุงสุโขทัยใน พ.ศ.1840 พระองค์มีพระปรีชาสามารถทั้งในด้านการเป็นผู้นำประเทศ และทรงใช้กุศโลบายปกครองบ้านเมืองโดยใช้หลักธรรมะเป็นหลัก สำคัญนำบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรือง และยังทรงเชี่ยวชาญ ทางโหราศาสตร์และศิลปศาสตร์อีกด้วย ทรงส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้ เจริญรุ่งเรืองในรัชสมัยของพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่ทรงผนวชในขณะทรงครองราชย์ทรงสร้างและบูรณะวัด หลายแห่ง รวมทั้งสร้างพระพุทธรูปเป็นจำนวนมาก เช่น พระพุทธชินสีห์พระศรีศาสดา และพระพุทธรูปองค์สำคัญองค์หนึ่งของ ประเทศ คือ พระพุทธชินราช ปัจจุบันประดิษฐาน อยู่ที่ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร อีกทั้งพระองค์ทรงมีพระปรีชาทางด้านอักษรศาสตร์ ทรงพระราชนิพนธ์ “ไตรภูมิพระร่วง” ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปรัชญาทางพุทธศาสนา แสดงถึงพระปรีชาญาณอันลึกซึ้งแตกฉาน ในทางพุทธศาสนา สมดังพระนามว่า “พระมหาธรรมราชา"
3 1.3 เนื้อเรื่องย่อไตรภูมิพระร่วง เนื้อหาสำคัญของไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงดินแดนในโลกทั้งสาม ได้แก่กามภูมิรูปภูมิและ อรูปภูมิซึ่งในสามภูมินี้ เทวดา มนุษย์และสัตว์จะมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในดินแดนทั้งสามแห่งนี้ตามบุญและบาปที่ได้กระทำไว้ในแต่ละชาติแต่ละภพ จนกว่ามนุษย์และเทวดาจะได้บรรลุนิพพาน ไปยังโลกุตรภูมิเนื้อเรื่องมีทั้งหมด 11 กัณฑ์ตอนแรก กล่าวถึง “กามภูมิ” อันเป็น แดนที่เกี่ยวข้องกับกามกิเลส มีทั้งสุคติภูมิและทุคติภูมิสุคติภูมิคือดินแดนฝ่ายดีได้แก่สวรรคภูมิและมนุสสภูมิ(โลกมนุษย์) ส่วนทุคติภูมิคือ ดินแดนฝ่ายไม่ดีได้แก่ นรกภูมิดิรัจฉานภูมิเปรตภูมิและอสุรกายภูมิจากนั้นกล่าวถึงรูปภูมิเป็นดินแดนแห่ง พรหมมีรูปมีทั้งสิ้น 16 ชั้น ผู้มาเกิดในภูมินี้ต้องบำเพ็ญสมาธิขึ้นฌานสมาบัติๆ ไม่มีจิตหรือวิญญาณแต่มีรูปพรหมทั้ง 16 ชั้น เรียกว่า โสฬสพรหม พรรณนาตั้งแต่ภูมิชั้นตํ่า ได้แก่ "ปาริสัชชาภูมิ" จนถึงภูมิชั้นสูงสุด เรียกว่า "อกนิษฐภูมิ" ส่วนอรูปภูมิเป็น ดินแดนของพรหมไม่มีรูป มีแต่จิต หรือวิญญาณ มี4 ชั้น การอุบัติในภพภูมิทั้งสามนี้เกิดจากผลบุญและบาปในชาติก่อน ผล กรรมดังกล่าวทำให้สัตว์ทั้งหลายต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ เมื่อกล่าวถึงภูมิทั้งสามจบแล้ว กล่าวถึงฉัพพรรณรังสีของ พระพุทธเจ้า (รัศมี5 ประการ ได้แก่ เขียวเหมือนดอกอัญชัน เหลืองเหมือนหรดาลทอง แดงเหมือนตะวันอ่อน ขาวเหมือนแผ่น เงิน สีหงสบาทเหมือนตอกหงอนไก่ เลื่อมพรายเหมือนแก้วผลึก) อนิจจลักษณะ (ลักษณะความไม่เที่ยงแท้แน่นอน) กล่าวถึงสิ่ง ต่าง ๆ และสถานที่คือ ภูเขา แม่น้ำ พระอาทิตย์พระจันทร์ดาวนพเคราะห์ดวงดาว ชมพูทวีป ป่าหิมพานต์กล่าวถึงการสิ้นสุด ของโลก คือ กัลปสุญญตา กัลปวินาศ ประลัยกัลป์จนสุดท้ายว่าด้วย คัณฑ์นิพพานกถา เรื่องนิพพานเมื่อพ้นจากไตรภูมิแล้วจะมี วิธีปฏิบัติเพื่อบรรลุนิพพาน เรียกว่า โลกุตรภูมิ(ภูมิที่พ้นจากโลก ระดับจิตใจของพระอริยบุคคล) 1.4 เนื้อเรื่องย่อ ตอนมนุสสถภูมิ ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมินี้กล่าวถึงการเกิดมนุษย์ปฏิสนธิเริ่มต้นจากกัลป์ละ อัมพุทะ เปสิฆานะ เบญจสาขาหูด หลังจากนั้นก็จะกล่าวถึงการเกิดขึ้นของอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ฝ่ามือ - นิ้วมือ ลายนิ้วมือ ขน เล็บ มือ เล็บเท้า ต่อจากนั้นจึงกล่าวถึงความเป็นมนุษย์ครบสมบูรณ์นั่งกลางท้องแม่ - เมื่อครบกำหนดคลอด ผู้ที่มาจากสวรรค์ตัว เย็น ออกมาแล้วหัวเราะ ส่วนผู้ที่มาจากนรก ตัวร้อน ออกมา แล้วร้องไห้
4 2.โวหารภาพพจน์และวรรณศิลป์ในวรรณคดีไทย 2.1 คุณค่าด้านเนื้อหา 2.1.1 เนื้อเรื่อง ตอนที่เรียนเป็นตอน มนุสสภูมิกล่าวถึง การเกิดของมนุษย์ซึ่งเมื่อเทียบกับการเกิดในทางวิทยาศาสตร์นับว่า ใกล้เคียงกันมากทีเดียวเริ่มจากเป็นเซลล์เล็ก ๆ เป็นชิ้นเนื้อ เป็นก้อนเนื้อ เป็นตัวตน ในตอนมนุสสภูมินั้นยังกล่าวถึงมนุษย์ใน 4 ทวีป ได้แก่ชมพูทวีป บุพวิเทหทวีป อุตร กุรุทวีป และอมรโคยานทวีป โดยเน้นไปที่ “อุตรกุรุทวีป” ทวีปที่เราอยู่คือ ชมพูทวีป ซึ่งมีอายุขัยไม่แน่นอนสุดแล้วแต่บุญหรือกรรมที่ทำไว้แต่เป็นทวีปที่เกิดของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์พระจักรพรรดิซึ่งมนุษย์ ในทวีปนี้ถ้ารับฟังธรรมะและคำสั่งสอน สะสมบุญบารมีอาจมีโอกาสไปเกิดในภพภูมิที่ดีและถ้าบำเพ็ญสมาธิก็จะข้ามพ้น วัฏสงสารไปสู่นิพพานได้ส่วนมนุษย์ที่เกิดในอีก 3 ทวีป (ไม่นับชมพูทวีป) จะมีอายุขัยทีแน่นอน และอยู่อย่างมีความสุขเพราะรักษาศีลเป็นนิจ ในบรรดา 3 ทวีป นี้อุตรกุรุทวีปจะมีความสุขมากที่สุด ทวีปนี้อยู่ทาง ทิศเหนือของเขาพระสุเมรุ มนุษย์ในอุดรกุรุทวีตจะมีอายุยืน 1000 ปีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในทวีปนี้ดีเป็นเลิศมีสิ่งแวดล้อมดีที่อยู่อาศัยสะดวกสบาย ร่างกายงดงาม มีสุขภาพดีไม่รู้จักการเจ็บใครได้ป่วย เมื่อมีอายุครบ 1000 ปีก็ตายไม่มีใครร้องไห้เศร้าโศกเสียใจเพราะรู้ว่าจะไป เกิดในสวรรค์ ดังกล่าวข้อความว่า “….เขาไสร้เทียรย่อมไปเกิดในที่ดีคือสวรรค์ชั้นฟ้าแล เพราะว่าเค้านั้นย่อมตั้งอยู่ในปัญจสินนั้นทุกเมื่อแล้วบอกมิได้ขาด….”
5 เนื้อหาในไตรภูมิพระร่วงจึงมุ่งเน้นไปเพื่อสอนศีลธรรม ให้มนุษย์กระทำความดีจะได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีกว่านี้และเมื่อ มนุษย์ทำแต่ความดีรักษาศีลไม่เบียดเบียนกันสังคมก็จะร่มเย็นเป็นสุขซึ่งไตรภูมิพระร่วงเท่ากับเป็นการสร้างกรอบคุณธรรมที่ดีให้ มนุษย์มีจริยธรรมในสังคมและพยายามสร้างสังคมในฝันหรือสังคมในโลกอุดมคติให้เป็นสังคมแห่ง ความเป็นจริงได้ถ้าหากมนุษย์ ทุกคนยึดมั่นในศีลห้ามิได้ขาดตกบกพร่องนอกจากนี้เนื้อหาในไตรภูมิพระร่วงยังกล่าวถึง โลกนี้ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ปรวนแปรไป ตามสิ่งต่างๆแต่ที่แน่นอนคือการกระทำความดีการสะสมบุญทำสมาธิเพื่อจะให้บรรลุนิพานหรือถ้าไม่บรรลุนิพานก็จะมีโอกาสได้ ไปพบพระศรีอาริยะเมตไตรยซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต 2.1.2 แก่นเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ กล่าวถึงการกำเนิดของมนุษย์ที่มีวิวัฒนาการตามธรรมชาติ 2.2 คุณค่าด้านวรรณศิลป์ 2.2.1 ลักษณะคำประพันธ์ ไตรภูมิพระร่วง เป็นวรรณคดีที่เรียบเรียงด้วยลักษณะร้อยแก้วมีการใช้คำศัพท์โบราณหลายคำ เช่น ตืดและเอือน หมายถึง พยาธิ และมีสำนวนแบบโบราณแทรกปนอยู่ เช่น ผิ ไสร้ ลิ การเขียนแบบร้อยแก้วในไตรภูมิพระร่วงอาจ กล่าวได้แม้จะมีรูปแบบที่เป็นร้อยแก้วแต่เมื่ออ่านแล้วพบว่ามีลักษณะไพเราะคล้ายมีสัมผัสคล้องจอง 2.2.2 ศิลปะการประพันธ์ 1) แม้จะเป็นเรื่องที่มีอายุยาวนานหลายร้อยปี มีสำนวนเก่าและภาษาโบราณอยู่บ้างแต่ก็สามารถ เข้าใจได้เช่น ผิ (ถ้า) ไสร้ (ไซร้) เข้า (ปี) จะงอยไส้ดือ (ปลายสายสะดือ) เดือดเนื้อเดือดใจ (เดือดเนื้อร้อนใจ) แค้นเนื้อแค้นใจ (แค้นอกแค้นใจ) สะหน่อย (สักหน่อย) 2) ใช้คำซ้ำหรือวลีซ้ำๆกันคล้ายภาษาในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชทำให้ภาษาเป็นจังหวะไพเราะ น่าฟัง เช่น เย็นเนื้อเย็นใจ ออกลูกออกเต้า เจ็บเนื้อเจ็บตน เกิดเป็นชายก็ดีเป็นหญิงก็ดีพึงเกลียดพึงหน่าย บ่มิได้กล้าแข็ง บ่มีทน แดดทนฝนได้แล 3) ใช้คำสัมผัสคล้องจองทำให้คำเชื่อมต่อการไพเราะ เช่น อยู่เย็นเป็นสุข สำราญบานใจ ครูคอต่อหัวเข่าทั้งสอง อันมีในท้องผู้น้อยค่อยเย็นเป็น
6 4) ใช้โวหารภาพพจน์แบบอุปมาหลายแห่ง เช่น 2.3 คุณค่าด้านสังคมและวัฒนธรรม ไตรภูมิพระรั่วงสะท้อนให้เห็รถึงความเชื่อเกี่ยวกับนรกสวรรค์อย่างเด่นชัด คือ เชื่อว่าสรรค์เป็นภพภูมิ แห่งความดี เป็นดินแดนที่สงบสุข มนุษย์ที่ทำความดีจะได้อยู่ ณ ที่แห่งนั้น ตรงข้ามกับนรกอันเป็นดินแดนที่น่ากลัวและทุกข์ ทรมาน มนุษย์ที่ทำความชั่วจะต้องตกไปอยู่ ณ ที่แห่งนั้น ความเชื่อดังกล่วสะท้อนให้เห็นจากข้อความนี้ 2.4 ความรู้จากวรรณคดี 2.4.1 ได้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องวิวัฒนาการทางกายของทารกในครรภ์ ซึ่งสอดคล้องทางวิทยาศาสตร์ 2.4.2 ได้ความรู้เกี่ยวกับความเชื่อทางพุทธศาสนา และผลของการทำความดีความชั่ว 2.5 ข้อคิดนำชีวิต 2.5.1 ควรมีความประพฤติยึดมั่นในศีลธรรม ทำบุญละบาป เพื่อความสุขความเจริญแก่ตนเองและ สังคมส่วนรวม และเพื่อให้ ไปถึงสังคมในอุดมคติได้ 2.5.2 เมื่อเป็นผู้บริหารบ้านเมือง ควรมีคุณธรรมจริยธรรมจะทำให้บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุข 2.5.3 ควรพิจารณาการเกิดของมนุษย์นั้นเป็นทุกข์ ฉะนั้น ควรทำแต่ความดีให้สมกับที่เกิดมาง่อยลงเต็มตน 2.5.4ฃ ควรนึกถึงพระคุณมารดาที่ให้กำเนิดและตอบแทนท่าน “…. เบื้องหลังกุมารนั้นตอนหลังท้องแม่ แลนั่งยองอยู่ในท้องแม่แลกำมือ ทั้งสองคู้คอต่อหัวเข่าทั้งสอง เอาหัวไว้เหนือหัว เข่าเมื่อนั่งอยู่นั้น เลือดและน้ำเหลืองย้อยลงเต็มตนยะหยดทุกเมื่อแล ดุจดังลิงเมื่อฝนตก….” “….อันว่าสายสะดือแห่งกุมารนั้นกลวงดั่งสายก้านบัวอันมีชื่อว่าอุบล….” “….ผิแลคนอันมาแต่นรกก็ดีแลมาแต่เปรตก็ดีมันคำนึงถึงความอันลำบากนั้น ครั้นว่าออกมาก็ร้องไห้แล ผิแลคนผู้มาจาก สวรรค์แลคำนึงความสุขแต่ก่อนนั้น ครั้นว่าออกมาไสร้ ก็ย่อมหัวร่อก่อนแล….”
7 ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ พระมหาธรรมราชาที่ 1 (พระยาลิไทย) ผิรูปอันจะเกิดเป็นชายก็ดีเป็นหญิงก็ติเกิดมียาที่แต่เกิดเป็นกลละนั้นโดยใหญ่แต่ละวันแลน้อย ครั้นถึง 2 วัน เป็นดังน้ำล้างเนื้อนั้นเรียกว่าอัมพุทะ อัมพุทะนั้นโดยใหญ่ไปทุกวารไตร่ 7 วาร ชั้นเป็นตั้งตะกั่วอันเชื่อมอยู่ในหม้อเรียกชื่อ ว่าเปสิเปตินั้นค่อยใหญ่ไปทุกวัน ครั้งถึง 7 วัน แข็งเป็นก้อนดังไขไกเรียกว่าฒนะ ฆนะนั้นค่อยใหญ่ไปทุกวัน ครั้นถึง 7 วันเป็นตุ่ม ออกได้5 แห่ง ดังพูดนั้น เรียกว่าเบญจสาขาพูด เบญจสาขาพูดนั้นเป็นเมือ 2 อัน เป็นคืน 2อัน พูดเป็นหัวนั้นอันหนึ่ง แลแต่นั้น ค่อยไปเบื้องหน้าทุกวัน ครั้น 7 วันเป็นฝ่ามือ เป็นนิ้วมือ แต่นั้นไปถึง 7 วัน คำรบ 42 จึงเป็นขุน เป็นเล็บคืน เห็บมือ เป็นเครื่อง สำหรับเป็นมนุษย์ถ้วนทุกอันแล แต่รูปอันมีกลางคนไตร์50 แต่รูปอันมีหัวได้34 แต่รูปอันมีเบื้องคำได้50 ผสมรูปทั้งหลายอัน เกิดเป็นสัตว์อันอยู่ในท้องแม่ได้184 แลกุมารนั้นนั่งกลางท้องแม่ แลเอาหลังมาต่อหนังท้องแน อาหารอันแม่กินเข้าไปแตก่อนนั้น อยู่ใต้กุมารนั้น อาหารอันแม่กินเข้าไปใหม่นั้นอยู่เหนือกุมารนั้น เมื่อกุมารอยู่ในท้องแม่นั้นลำบากนักหนา พึงเกลียด พึงหน่ายพ้น ประมาณนักก็ชิ้นแลเหม็นกลิ่นตึดแลเถื่อนอันได้กันได้30 ตรอก ซึ่งอยู่ในท้องแม่อันเป็น ที่เหม็นแลที่ออกลูกออกเต้า ที่เถ้า ที่ ตายที่เร่ว ฝูงติดแลเยือนทั้งหลายนั้นคนกันอยู่ในท้องแม่ ติดแลเดือน ฝูงนั้นเริ่มตัวกุมารนั้นไสร้ดุจดังหนอนอันอยู่ในปลาเน่าแล หนอนอันอยู่ในลามกอาจมนั้นแล อันว่าสายสะดือแห่งกุมารนั้นกลวงดังสายก้านบัวอันมีชื่อว่าอุบล จะงอยไส้คือนั้นกลวงขึ้นไป เบื้องบน คิดหลังห้องแม่แล ข้าวน้ำอาหารอันไดแม่กินไลรู้แลโอชารสนั้นก็เป็นน้ำชุ่มเข้าไปในไส้คือนั้น แลเข้าไปในท้องกุมารนั้น แล สะหน่อย ๆ แลผู้น้อยนั้นก็ได้กินทุกค่ำเข้าทุกวัน แม่จะพึงกินเข้าไป อยู่เหนือกระหม่อมทับหัวกุมารอยู่นั้นแล แลลำบาก นักหนา แต่อาหารอันแม่กินก่อนไสร้แลกุมารนั้นอยู่ เหนืออาหารนั้น เบื้องหลังกุมารนั้นต่อหลังท้องแม่ แลนั่งยองอยู่ในท้องแม่ แลกำมือทั้งสอง ตู้คอ ต่อหัวเข่าทั้งสอง เอาหัวไว้เหนือหัวเข่าเมื่อนั่งอยู่นั้น ดังนั้น เลือดแลน้ำเหลืองย้อยลงเต็มตนยะ หยดทุก เมื่อแล ดุจดังลึงเมื่อฝนตก แลนั่งกำมือเขาเจ้าอยู่ในโพรงไม้นั้นแล ในท้องแม่นั้นร้อนนักหนา ตุจดังเราเอาใบตองเข้าจ่อตน แลต้ม ในหม้อนั้นไสร้สิ่งอาหารอันแม่กินเข้าไปในท้องนั้นไหม้และย่อยลง ด้วยอำนาจแห่งไฟธาตุอันร้อนนั้น ส่วนตัวกุมารนั้นบมิไหม้ เพราะว่าเป็นธรรมดาด้วยบุญกุมารนั้น จะเป็นคนแลจึงให้บมิไหม้บมิตายเพื่อดังนั้นแล แต่กุมารนั้นอยู่ในท้องแม่ บ่ท่อนได้หายใจ เข้าออกเสียเลย บ่ท่อนได้เหยียดตีนมือออกตั้งเราท่านทั้งหลายนี้สักคาบหนึ่งเลย แลกุมารนั้นเจ็บเนื้อเจ็บตนดังคน อันท่านขังไว้ ในไหอันคับแคบนักหนา แค้นเนื้อแค้นใจ แลเดือดเนื้อเดือดใจนักหนา เหยียดตีนมือบ่มิได้ตั้งท่านเอาใส่ไว้ในที่คับ ผีแลว่าเมื่อแม่ เดินไปก็ดีนอนก็ดีฟื้นตนก็ดีกุมารอยู่ในท้องแม่นั้นให้เจ็บเพียง จะตายแล ดุจดั่งลูกทรายอันพึ่งออกแล อยู่ธรห้อย ผีบ่มีดุจดั่ง คนอันเมาเหล้า ผีบ่มิดุจดังลูกงูอันหมอง เอาไปเล่นนั้นแล อันอยู่ลำบากยากใจดุจดังนั้น บ่มิได้ลำบากแต่ 2 วาร 3 วารแลจะพ้น ได้เลย อยู่ยากแล 7 เดือน ลางคาบ 4 เดือน สางคน 4 เดือน ลางคน 10 เดือน ลางคน 11 เดือน ลางคนคำรบปีหนึ่ง จึงคลอดก็ มีแลคนผู้ไดอยู่ในท้องแม่ 5 เดือนแลตลอดนั้น บ่ห่อนจะได้สักตาบ คนผู้ใดอยู่ในท้องแม่ 7 เดือนแล คลอดนั้น แม้เลี้ยงเป็นคนก็ดี บ่มิได้กล้าแข็ง บ่มีทนแดดทนฝนได้แล คนผู้ใดจากแต่นรกมาเกิดนั้น เมื่อคลอดออกตนกุมารนั้นร้อน เมื่อมันอยู่ในท้องแม่นั้นย่อม เดือดเนื้อร้อนใจแลกระหนกระหาย อีกเนื้อแม่นั้นก็พลอยร้อนด้วยโสด คนผู้จากแต่สวรรค์ลงมาเกิดนั้นเมื่อจะ คลอดออก ตนกุมารนั้นเย็น เย็นเนื้อเย็นใจ เมื่อยังอยู่ในท้องแม่นั้น อยู่เย็นเป็นสุข สำราญบานใจ แลเนื้อแม่นั้นก็เย็นด้วยโสด คน ผู้อยู่ในท้องแม่ก็ดีเมื่อถึงจักคลอดนั้นก็ดีด้วยกรรมนั้นกลายเป็นลมในท้องแม่สิ่งหนึ่ง พัดให้ตัวกุมารนั้นขึ้นหนบน ให้หัวลงมาสู่ ที่จะออกนั้น ดุจดั่งฝูงนรกอันยมบาลกุมตีนแลหย่อนหัวลงในขุมนรก นั้น อันลึกได้แลร้อยวานั้น เมื่อกุมารนั้นคลอดออกจากท้อง แม่ออกแลไปบ่มิพ้นตน ตนเย็นนั้นแล เจ็บเนื้อเจ็บตนนักหนา
8 ดังช้างสารอันท่านชักท่านเข็นออกจากประตูลักษอันน้อยนั้น แลคับตัว ออกยากลำบากนั้น ผิบมิดังนั้น ดังคนผู้อยู่ ในนรกแล แลภูเขาอันชื่อดังไคยบรรพตหีบแลเหงแลบดบี้นั้นแล ครั้นออกจากท้องแม่ไสร้ลมอันมีในท้องผู้น้อย ค่อยพัดออกก่อน ลมอันมีภายนอกนั้นจึงพัดเข้า นั้นนักหนา พัดเข้าถึงต้นลิ้นผู้น้อยจึงอย่า ครั้นออกจากท้องแม่ แต่ นั้นไปเมื่อหน้ากุมารนั้นจึงรู้หายใจ เข้าออกแล ผีแลคนอันมาแต่นรกก็ดีแลมาแต่เปรตก็ดีมันคำนึงถึงความอัน ลำบากนั้น ครั้นว่าออกมาก็ร้องไห้แล ผิแลคนผู้มาแต่สวรรค์แลคำนึงถึงความสุขแต่ก่อนนั้น ครั้นว่าออกมาไสร้ก็ ย่อมหัวร่อก่อน แล แต่คนผู้มาอยู่ในแผ่นดินนี้ทั่วทั้งจักรวาลอันใดอันอื่นก็ดีเมื่อแรกมาเกิดในท้องแม่ก็ดีเมื่ออยู่ใน ท้องแม่ก็ดีเมื่อออกจากท้องแม่ก็ดีในกาลทั้ง ๓ นั้นย่อมหลงบ่มิได้คำนึงรู้อันใดสักสิ่ง ฝูงอันมาเกิด เป็นพระปัจเจก โพธิเจ้าก็ดีแลเป็นพระอรหันตาขีณาสพเจ้าก็ดีแลมาเป็นพระองค์อัครสาวกเจ้าก็ดีเมื่อ ธ แรกมาเอาปฏิสนธินั้นก็ ดีเมื่อ ธ อยู่ในท้องแม่นั้นก็ดีแลสองสิ่งนี้เมื่ออยู่ในท้องแม่นั้นบ่ท่อน จะรู้หลง แลยังคำนึงรู้อยู่ทุกอัน เมื่อจะออก จากท้องแม่วันนั้นไสร้จึงลมกรรมชวาตก็พัดให้หัวผู้น้อยนั้น ลงมาสู่ที่จะออก แลคับแคบแอ่นยันนักหนา เจ็บเนื้อ เจ็บตนลำบากนักดังกล่าวมาแต่ก่อน แลพลิกหัวลง บ่มิได้รู้สึกสักอัน บ่เริ่มดังท่านผู้จะออกมาเป็นพระปัจเจกโพธิ เจ้าก็ดีผู้จะมาเกิดเป็นลูกพระพุทธเจ้าก็ดีคำนึงรู้สึกตนแลบ่มิหลงแต่สองสิ่งนี้คือ เมื่อจะเอาปฏิสนธิแลอยู่ในท้อง แม่นั้นได้แล เมื่อจะออกจาก ท้องแม่นั้นย่อมหลงดุจคนทั้งหลายนี้แล ส่วนว่าคนทั้งหลายนี้ไสร้ยอมหลงทั้ง ๓ เมื่อ ควรอิ่มสงสารแล
9 บทที่3 (วิธีดำเนินการศึกษา) รายงานการศึกษาค้นคว้าเรื่องไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิเป็นรายงานประเภทค้นคว้าที่มุ่งศึกษา เกี่ยวกับการเรียนรู้และเข้าใจเนื้อหาในเรื่องไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิเพื่อเป็นประโยชน์ในการสอนรายวิชาการเขียน รหัส วิชา ท33202 โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ประชุมและปรึกษา เสนอความคิดภายในกลุ่ม คัดเลือกเรื่องที่จะจัดทำรายงาน แบ่งหน้าที่ของสมาชิกภายในกลุ่ม ดำเนินการหาข้อมูลและดำเนินการ รวบรวมข้อมูลที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าทำมาวิเคราะห์และเลือกใช้ส่วนที่สำคัญ ดำเนินการเขียนโครงรายงาน นำโครงรายงานที่เขียนไปขอคำปรึกษาจากคุณครูที่ปรึกษาประจำรายวิชา ดำเนินการจัดทำโครงงานที่เขียนและปรับตามตามคำแนะนำของครูประจำรายวิชา นำรายงานที่จัดทำแล้วเสร็จมานำเสนอในรูปแบบหนังสือออนไลน์e-book ระยะเวลาการดำเนินงาน คณะผู้คึกษาค้นคว้าได้เริ่มปรึกษาและวางแผนจัดทำโครงงานตั้งแต่ วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2566 ถึง วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์พ.ศ. 2567 รวมระยะเวลาในการดำเนินงานตั้งแต่เรื่งวางแผนจนแล้วเสร็จเป็นเวลา 1 เดือน 14 วัน
10 บทที่4 (ผลการศึกษา) ผลของการศึกษาค้นคว้าที่นำเสนอในบทนี้ประกอบด้วย 1.เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในรายวิชาการเขียน รหัสวิชา ท33202 2.เพื่อให้ผู้อ่านมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ 3.เพื่อบอกแง่คิดด้านด้านศิลปะการใช้ภาษา ด้านปัญญา ด้านความเชื่อ ด้านสังคม จากเรื่องไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ 4.เพื่อชี้ให้เห็นคุณค่าและโทษของโลกทั้งสามที่ไม่มีความแน่นอน 5.เพื่อใช้ประกอบการเรียนรู้ในรายวิชาภาษาไทย ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ผลของการศึกษาค้นคว้า 1.รายงานเล่มนี้สามารถใช้เพื่อเป็นสื่อประกอบการเรียนรู้ในรายวิชาภาษาไทย ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 2.ผู้ที่อ่านรายงานเล่มนี้ได้รับความรู้ความเข้าใจเนื้อหาและแง่คิดจากเรื่องไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ 3.คณะผู้ศึกษาค้นคว้าได้รับความรู้ความเข้าใจจากเรื่องไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ
11 บทที่5 (สรุปผล อภิปรายผล ข้อเสนอแนะ) รายงานการศึกษาค้นคว้าเรื่องไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิเป็นการศึกษาค้นคว้าของรายงานเรื่องนี้โดยมี วัตถุประสงค์ดังนี้ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในรายวิชาการเขียน รหัสวิชา ท33202 เพื่อให้ผู้อ่านมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ เพื่อบอกแง่คิดด้านด้านศิลปะการใช้ภาษา ด้านปัญญา ด้านความเชื่อ ด้านสังคม จากเรื่องไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ เพื่อชี้ให้เห็นคุณค่าและโทษของโลกทั้งสามที่ไม่มีความแน่นอน เพื่อใช้ประกอบการเรียนรู้ในรายวิชาภาษาไทย ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สามารถสรุปการศึกษาค้นคว้าได้ดังนี้ รายงานเล่มนี้ใช้เพื่อเป็นสื่อประกอบการศึกษาค้นคว้าวิชาภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาค้นคว้าของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ได้ผู้อ่านรายงานเล่มนี้เมื่อได้ป่านแล้วมีความรู้ความเข้าใจและได้รับแง่คิดจากเรื่องไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิมากยิ่งขึ้น สุดท้านคณะผู้จัดทำได้พัฒนาทักษะความรู้ของตนเองเพื่อนำไปถ่ายทอดในอนาคตได้อย่างถูกต้อง ข้อเสนอแนะ 1.นำความรู้ได้รับการนำรายงานเล่มนี้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน 2.นำปัญหาและประสบการณ์ที่ได้รับไปพัฒนาการทำรายงานครั้งต่อไป 3.นำข้อคิดเห็นและข้อติชมจากคุณครูประจำรายวิชาหรือเพื่อนไปพัฒนาแลัปรับปรุงกับรายงานชิ้นถัดไป
12 บรรณานุกรม หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทยวรรณคดีและวรรณกรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ( ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ หน้าที่ 140 - 149 ) เข้าถึงได้จาก https://finearts.go.th/promotion/view/22416-%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A0%E0%B8% B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%96%E0%B8%B2 เข้าถึงได้จาก https://www.gotoknow.org/posts/408054 เข้าถึงได้จาก https://rak-pooh.wixsite.com/naritsara/blank-w1u61
13 ภาคผนวก