รายงาน
เรื่อง แนวโนม้ การพฒั นาหลกั สตู รในศตวรรษท่ี ๒๑
โดย
นางสาวสิรินทรา ศิลปศาสตร์ รหัสนักศึกษา ๖๔๒๑๑๑๔๐๐๔ ชั้นปีท่ี ๒
เสนอ
ผชู้ ว่ ยศาตราจารย์ ดร.พชั รี บางเขยี ว
รายงานฉบบั น้ีเป็นส่วนหน่ึงของการเรียนวิชาการพฒั นาหลักสูตร
ภาคเรียนท่ี ๑ ปกี ารศึกษา ๒๕๖๕
มหาวิทยาลยั ราชภัฏบา้ นสมเด็จเจ้าพระยา
คำนำ
รายงานการศึกษาค้นคว้าเล่มนีจ้ ัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชา การพัฒนาหลักสูตร ๑๑๙๐๒๐๑
D ๕ ชัน้ ปีท่ี ๒ เพอ่ื ใหไ้ ดศ้ กึ ษาหาความรู้ในเร่ือง แนวโนม้ การพัฒนาหลกั สูตรในศตวรรษท่ี ๒๑ และได้ศึกษา
อยา่ งเข้าใจ เพื่อเป็นประโยชนก์ ับการเรียน
ผู้จัดทำหวังว่ารายงายเล่มนี้จะให้ความรู้และเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านหรือนักศึกษา ที่กำลังศึกษา
หาขอ้ มูลเร่อื งนีอ้ ยู่หากมขี อ้ แนะนำหรอื ข้อผดิ พลาดประการใด ผจู้ ัดทำขอน้อมรบั ไว้และขออภัย ณ ทีน่ ี้ด้วย
ผจู้ ดั ทำ
นางสาวสริ ินทรา ศิลปศาสตร์
๖๔๒๑๑๑๔๐๐๔
สารบญั หน้า
เรอ่ื ง ๑
คำนำ ๑-๖
สารบญั ๗ - ๑๐
๑. สภาพปจั จบุ นั ของหลกั สตู รไทย
๑๑
๑.๑ หลักสูตรปฐมวัย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ ๑๑ - ๑๓
๑.๒ หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พื้นฐานปพี ทุ ธศักราช ๒๕๕๑ ๑๓ - ๑๔
(ฉบับปรับปรุง พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐) ๑๔ - ๑๖
๑.๓ หลักสตู รการอาชีวศกึ ษา ๑๖ - ๑๗
๑.๓.๑ ประกาศนยี บตั รวิชาชพี (ปวช.) พทุ ธศักราช ๒๕๖๒ ๑๗ - ๑๘
๑.๓.๒ หลกั สูตรประกาศนยี บตั รวิชาชีพชนั้ สูง (ปวส.) พทุ ธศักราช ๒๕๖๓
๑.๔ หลักสูตรอุดมศึกษา (ภายใต้กรอบมาตรฐานคณุ วฒุ ิอดุ มศกึ ษา) ๑๙
๒. สภาพปัญหาหลักสตู รในประเทศไทย ๒๐
๓. แนวโนม้ การพฒั นาหลักสตู รในศตวรรษท่ี ๒๑
สรปุ
บรรณานกุ รม
แนวโนม้ การพัฒนาหลักสตู รในศตวรรษที่ ๒๑
บทนำ
ความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการ (Information and
Communication Technology : ICT) ทำใหท้ กั ษะทจ่ี ำเป็นสำหรับคนใน ยคุ ศตวรรษที่ ๒๑ มีความแตกต่าง
ไปจากยุคศตวรรษที่ ๒๐ เหตุเนื่องจากงานที่เคยใช้คนทำงานกับเครื่องจักรกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
เพราะคอมพิวเตอรแ์ ละเทคโนโลยีโทรคมนาคมไดข้ ยายขดี ความสามารถจนามารถทำงานแทนที่คนได้ ทำให้
สัดสว่ นแรงงานลดลงเกิดขึน้ ในงานท่ใี ช้สมั ผัสรับรอู้ ย่างจำเจและงานที่ใชแ้ รงงานแบบซ้ำ ๆ ซาก ๆ ซึ่งเป็นงาน
ที่ป้อนคำสั่งให้ตอมพิวเตอร์ทำแทน แต่สัดส่วนแรงงานระดับชาติบางส่วนท่ีพึ่มขึน้ ในงานท่ีเน้นการคิดอยา่ ง
ผเู้ ชีย่ วชาญ และตอ้ งใช้การสอ่ื สารทซี่ บั ซอ้ นเป็นงานทคี่ อมพิวเตอรไ์ ม่สามารถทำแทนได้
สภาพปัจจบุ นั ของหลักสตู รไทย
การศกึ ษาไทยในปัจจุบันมกี ารจัดการศึกษาตามบรบิ ทของการจัดการศึกษาอันเป็นไปตามแผนการ
ศกึ ษาของชาติ คือ พฒั นาคน พัฒนาครูอาจารย์ พัฒนาสังคม ในหลากหลายรูปแบบท่ีเนน้ การมีส่วนร่วมของ
องค์กรภาครัฐ และเอกชนเป็นการจัดการศกึ ษาทีเ่ นน้ ด้านอาชีวศึกษามากข้นึ การมุ่งเน้นให้มกี ารจัดการศึกษา
ขั้นพื้นฐานและระดบั ปรญิ ญาตรีเพื่อเน้นการมงี านทำโดนอาศัยปัจจัยหลักในองค์กรหลักจากภายนอกหลาย
ปัจจัย เช่น ปัจจัยด้านเทคโนโลยี ด้านเศรษฐกิจ ด้านคุณธรรมจริยธรรมซึ่งส่งผลให้จัดระบบบริหารจัดการ
กระทรวงศกึ ษาธิการรูปแบบใหม่ โดยบรู ณาการองค์กรหลักของกระทรวงท้งั ๕ องคก์ ร
หลกั สตู รปฐมวัย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐
การศกึ ษาปฐมวยั เป็นการพัฒนาเด็กต้ังแต่แรกเกดิ ๖ ปบี ริบรู ณ์ อย่างเปน็ องค์รวมบนพนื้ ฐาน
การอบรมเลยี้ งดแู ละการสง่ เสริมกระบวนการเรียนรู้ที่สนองตอ่ ธรรมชาติและพัฒนาการตามวัยของเด็กแต่ละ
คนให้เตม็ ศักยภาพ ภายใตบ้ รบิ ทสังคมและวัฒนธรรมทีเ่ ดก็ อาศัยอยู่ ด้วยความรกั ความเออื้ อาทร และความ
เข้าใจของทุกคนเพื่อสร้างรากฐานคุณภาพชีวิตให้เด็กพัฒนาไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เกิดคุณค่าต่อ
ตนเอง ครอบครัว ชมุ ชน สังคม และประเทศชาติ
หลกั สูตรการศกึ ษาปฐมวัย สำหรับเดก็ อายุต่ำกวา่ ๓ ปี
จดุ มุ่งหมาย
หลักสตู รการศกึ ษาปฐมวัยสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า ๓ ปี ม่งุ ส่งเสริมใหเ้ ด็กมพี ัฒนาการด้านร่างกาย
อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา ที่เหมาะสมกับวัยความสามารถ ความสนใจ และความแตกต่างระหว่าง
บคุ คล ดังนี้
๑. รา่ งกายเจริญเตบิ โตตามวัย แข็งแรง และมสี ุขภาพดี
๒. สุขภาพจติ ดแี ละมีความสขุ
๓. มีทกั ษะชวี ติ และสร้างปฏิสมั พนั ธ์กับครอบครัวรอบตัว และอยรู่ ว่ มกบั ผอู้ ื่นได้อย่างมีความสขุ
๔. มีทกั ษะการใช้ภาษาส่ือสาร และสนใจเรยี นรู้ส่ิงต่างๆ
๑
คุณลักษณะทพ่ี ึงประสงค์
หลักสตู รการศึกษาปฐมวัยสำหรบั เดก็ อายุต่ำกว่า ๓ ปี กำหนดคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ ดังน้ี
๑. พฒั นาด้านร่างกาย
- ร่างกายเจรญิ เติบโตตามวัยและมสี ุขภาพดี
- ใชอ้ วยั วะของร่างกายประสานสัมพนั ธก์ นั
๒. พัฒนาการดา้ นอารมณ์ จิตใจ
- มีความสุขและแสดงออกทางอารมณไ์ ด้เหมาะสมกับวัย
๓. พฒั นาการด้านสงั คม
- รับรูแ้ ละสรา้ งปฏสิ มั พนั ธก์ บั บุคคลและส่ิงแวดลอ้ มรอบตวั
- ชว่ ยเหลือตนเองไดเ้ หมาะสมกบั วัย
๔. พัฒนาการด้านสติปัญญา
- สื่อสารความหมายและใชภ้ าษาไดเ้ หมาะสม
- สนใจเรียนร้สู ิง่ ต่างๆ รอบตวั
สาระการเรยี นรู้
สาระการเรยี นรขู้ องหลักสูตรการศกึ ษาปฐมวัย สำหรับเดก็ ช่วงอายุ ๒ - ๓ ปี เป็นสื่อกลางในการ
จัด ประสบการณ์ เพ่อื ส่งเสริมพัฒนาการทุกด้าน ทง้ั ด้านร่างกาย อารมณ์ จติ ใจ สังคม และสตปิ ญั า ซึ่งจําเป็น
ตอ่ การพฒั นาเดก็ ใหเ้ ป็นมนุษยท์ ่ีสมบูรณ์ โดยอาจจดั ในรูปแบบหน่วยการเรียนรู้แบบบูรณาการ หรือเลือกใช้
รูป แบบที่เหมาะสมกับเดก็ ปฐมวัยสาระการเรียนรปู้ ระกอบไปด้วย ๒ ส่วน คือประสบการณ์สำคญั และสาระที่
ควรเรยี นรู้ ดงั นี้
๑. ประสบการณ์สำคญั
ประสบการณ์สำคัญ เป็นสิ่งจําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้เด็กได้ลงมือทำด้วยตนเอง เพื่อพัฒนาเด็กทง้ั
ทางด้านร่างกายอารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา โดยเฉพาะในระยะแรกเริม่ ชีวิตและช่วงระยะปฐมวัยมี
ความสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นรากฐานของพัฒนาการก้าวต่อไปของชีวิตเด็กแต่ละคน ตลอดจน เป็น
ปัจจยั สำคญั ที่กำหนดความสามารถ แรงจงู ใจใฝ่เรียนรู้ และความกระตอื รอื รน้ ในการพฒั นาตนเองของเด็กท่จี ะ
ส่งผลต่อเนื่องจากช่วงวยั เดก็ ไปสู่วัยรนุ่ และวยั ผ้ใู หญ่ ประสบการณ์สำคญั จะเกี่ยวข้องกบั การจัดสภาพแวดล้อม
ทุกด้านกระตุ้นให้เด็กเกิดการเรียนรู้และมีความสามารถในการสร้างความสัมพนั ธ์ กับสิ่งต่างๆ รอบตัวในวิถี
ชีวิตของเด็กและในสังคมภายนอก อันจะสั่งสมเป็นทักษะพื้นฐานที่จาํ เป็น ต่อการเรียนรูแ้ ละสามารถพัฒนา
ต่อเนอ่ื งไปส่รู ะดบั ทีส่ งู ข้ึน
ประสบการณ์สำคัญที่ช่วยส่งเสรมิ พัฒนาการทางร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปญั ญาของเด็ก
นั้น พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูจำเป็นต้องสนับสนุนให้เด็กได้มีประสบการณ์ตรงด้วยการใช้ประสาทสัมผัสท้ังห้า
การเคลื่อนไหวส่วนต่างๆของร่างกาย การสร้างความรัก ความผูกพนั กับคนใกล้ชิด การปฏิสมั พันธก์ ับผู้คนและ
สิ่งต่างๆ รอบตัว และการรู้จักใช้ภาษาสื่อความหมาย ดังนั้น การฝึกทักษะต่างๆ ต้องให้เด็กมีประสบการณ์
๒
สำคัญผ่านการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันและการเล่น ให้เด็กเกิดการเรียนรู้จากการเลียนแบบ ลองผิดลองถูก
สํารวจ ทดลอง และลงมือกระทำจริง การปฏิสัมพันธ์กับวัตถุส่ิงของ บุคคล และธรรมชาติ รอบตัวเด็กตาม
บรบิ ทของสภาพแวดล้อม จำเป็นมีการจัดประสบการณ์สำคัญแบบองคร์ วมท่ียึดเดก็ เป็นสำคญั ดงั ตอ่ ไปนี้
๑.๑ ประสบการณ์สำคัญท่ีส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย เป็นการสนับสนุนให้เด็กได้มีโอกาส
พฒั นาการใช้กล้ามเน้อื ใหญ่ กลา้ มเน้ือเล็ก การประสานสมั พนั ธ์ระหว่างกลา้ มเน้อื และระบบประสาทในการ
ทำกิจวัตรประจำวันหรือทำกิจกรรมต่างๆ การนอนหลับพักผ่อน การดูแลสุขภาพอนามัย และความ
ปลอดภยั ของตนเอง
ประสบการณ์สำคัญที่ควรส่งเสริม ประกอบด้วย การเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกายตามจังหวะ
ดนตรี การเล่นออกกำลังกลางแจ้งอย่างอิสระ การเคลื่อนไหวและการทรงตัว การประสานสัมพันธ์ของ
กล้ามเนื้อและระบบประสาท การเล่นเครื่องเล่นสัมผัส การวาด การเขียนขีดเขี่ย การปั้นการฉีก การตัดปะ
การดูแลรกั ษาความสะอาดของร่างกาย ของใชส้ ว่ นตวั และการรกั ษาความปลอดภยั เปน็ ต้น
๑.๒ ประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านอารมณ์ จิตใจ เป็นการสนับสนุนให้เด็กได้
แสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกที่เหมาะสมกับวัย มีความสุข ร่าเริง แจ่มใส ได้พัฒนาความรู้สึกที่ดีตอ่
ตนเองและความเชอ่ื มั่นในตนเอง จากการปฏบิ ัติกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวนั พอ่ แม่หรือผู้เลยี้ งดูเปน็ บคุ คล
ทม่ี ีส่วนสำคัญอย่างยิง่ ในการทำใหเ้ ด็กรสู้ กึ เป็นท่ีรัก อบอ่นุ มัน่ คง เกดิ ความรู้สึกปลอดภยั ไวว้ างใจซ่ึงจะส่งผล
ใหเ้ ดก็ เกดิ ความรสู้ ึกท่ีดตี อ่ ตนเองและเรียนรู้ทีจ่ ะสรา้ งความสมั พันธ์ที่ดกี ับผูอ้ ืน่
ประสบการณสำคัญที่ควรสง่ เสรมิ ประกอบด้วย การรบั รูอ้ ารมณ์หรือความรู้สึกของตนเอง การแสดง
อารมณ์ท่ีเป็นสุข การควบคุมอารมณ์และการแสดงออก การเล่นอิสระ การเล่นบทบาทสมมติ การชื่นชม
ธรรมชาติ การเพาะปลูกอย่างง่าย การเลี้ยงสัตว์ การฟังนิทาน การร้องเพลง การท่องคําคล้องจอง การทำ
กจิ กรรมศลิ ปะต่างๆ ตามความสนใจ เปน็ ตน้
๑.๓ ประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านสังคม เป็นการสนับสนุนให้เด็กได้มีโอก าส
ปฏสิ มั พันธ์กบั บุคคลและสิง่ แวดลอ้ มต่างๆ รอบตวั ในชวี ิตประจำวัน ไดป้ ฏิบัติกิจกรรมต่างๆ และปรับตัวอยู่ใน
สงั คมคมเด็กควรมีโอกาสได้เล่นและทำกิจกรรมร่วมกับผ้อู ่นื ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ เด็กวยั เดยี วกับหรือต่างวัยเพศ
เดียวกนั หรอื ต่างเพศอย่างสมำ่ เสมอ
ประสบการณ์สำคัญที่ควรส่งเสริม ประกอบด้วย การช่วยเหลือตนเองในกิจวัตร ประจำวัน ตามวัย
การเล่นอย่างอสิ ระ การเล่นรวมกลุ่มกบั ผู้อื่น การแบ่งปันหรือ การให้ การอดทนรอคอยตามวยั การใช้ภาษา
บอกความต้องการ การออกไปเล่นนอกบ้าน การไปสวนสาธารณะ การออกไปร่วมกิจกรรม ในศาสนสถาน
เปน็ ต้น
๑.๔ ประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญา เป็นการสนับสนุนให้เด็กได้รับรู้ และ
เรียนรสู้ ิ่งต่างๆ รอบตวั ในชีวติ ประจำวนั ผ่านประสาทสัมผัสท้ังห้า และการเคลื่อนไหว ไดพ้ ฒั นาการใช้ ภาษา
สอื่ ความหมายและความคดิ รู้จกั สังเกตคณุ ลกั ษณะต่างๆ ไมว่ ่าจะเป็นสี ขนาด รปู ร่าง รูปทรง ผิวสัมผสั จดจํา
ชอื่ เรียกสิ่งต่างๆ รอบตัว
๓
ประสบการณ์สำคัญที่ควรส่งเสริม ประกอบด้วย การตอบคําถามจารการคิด การเชื่อมโยงจาก
ประสบการณ์เดิม การเรียงลำดับเหตกุ ารณ์ การยืดหยุน่ ความคิดตามวัย การจดจอ่ ใส่ใจ การสังเกต วัตถุหรือ
สิง่ ของที่มสี สี นั และรูปทรงท่ีแตกต่างกนั การฟงั เสยี งต่างๆ รอบตวั การฟังนทิ านหรอื เร่อื งราวสนั้ ๆ การพดู บอก
ความต้องการ การเล่าเร่ืองราว การสํารวจ และกํารทดลองอย่างง่ายๆ การคิดวางแผนท่ีไม่ ซับซ้อน การคดิ
ตัดสนิ ใจหรอื คิดแกป้ ัญหาในเร่ืองทีง่ ่ายๆ ด้วยตนเอง การแสดงความคดิ สร้างสรรคแ์ ละจินตนาการ เปน็ ต้น
๒. สาระที่ควรเรยี นรู้
สาระที่จะให้เด็กช่วงอายุ ๒-๓ ปี เรียนรู้ ควรเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเด็กเป็นลำดับแรกแล้วจงึ
ขยายไปสู่เรื่องที่อยู่ใกล้ตัวเด็กเพื่อนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน เด็กควรได้รับการอบรมเลี้ยงดูและ
ส่งเสรมิ พัฒนาการและการเรยี นรู้ใหเ้ หมาะกับวัย ดังน้ี
๒.๑ เรื่องราวเกี่ยวกับเด็ก เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกบั ชื่อและเพศของตนเอง การเรียกชื่อส่วนต่างๆ
ของใบหน้าและร่างกาย การดูแลตนเองเบื้องต้นโดยมีผู้ใหญ่ให้การช่วยเหลือ การล้างมือ การขับถ่าย การ
รับประทานอาหาร การถอดและสวมใส่เสอ้ื ผา้ การรกั ษาความปลอดภัย และการนอนพักผอ่ น
๒.๒ เรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลและสถานที่แวดล้อมเด็ก เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับบุคคลภายใน
ครอบครวั และบคุ คลภายนอกครอบครัว การรูจ้ ักช่ือเรียกหรอื สรรพนามแทนตัวของญาติหรอื ผเู้ ลี้ยงดู วิธปี ฏิบัติ
กับผ้อู ืน่ อย่างเหมาะสม การทักทายด้วยการไหว้ การเลน่ กับพน่ี อ้ งในบ้าน การไปเท่ียวตลาดและสถานที่ต่างๆ
ในชมุ ชน การเลน่ ทสี่ นามเดก็ เล่น การเขา้ รว่ มกิจกรรมทำงศาสนา วัฒนธรรม และประเพณี
๒.๓ ธรรมชาตริ อบตวั เดก็ ควรเรยี นรู้เกีย่ วกบั การสำรวจสิ่งตา่ งๆ ในธรรมชาตริ อบตัว เช่น สัตว์ พืช
ดอกไม้ ใบไม้ ผา่ นการใช้ประสาทสัมผัสทง้ั ห้า การเล่นน้ำเล่นทราย การเลี้ยงสัตว์ตา่ งๆ ที่ไม่เปน็ อนั ตราย การ
เดินเลน่ ในสวน การเพาะปลูกอยา่ งง่าย
๒.๔ สิ่งต่างๆ รอบตัวเด็ก เด็กที่ควรเรียนรู้เกี่ยวกับชื่อของเล่นของใช้ที่อยู่รอบตัว การเชื่อมโยง
ลักษณะหรือคณุ สมบัตอิ ยา่ งง่ายๆ ของส่งิ ต่างๆ ทีอ่ ย่ใู กล้ตัวเดก็ เชน่ สี รูปร่าง รูปทรง ขนาด ผิวสมั ผัส
การประเมนิ พฒั นาการ
การประเมนิ พฒั นาการเดก็ อายุต่ำากว่า ๓ ปี ควรประเมินใหค้ รอบคลุมครบทกุ ช่วงอายุ เพราะช่วง
วัยนี้มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว อีกทั้งมีความเสี่ยงต่อภาพความผิดปกติต่างๆ จึงจำเป็นต้องเฝ้าระวังและ
ติดตามดูแดอย่างใกล้ชดิ พ่อแม่ ผู้เลี้ยงดูหรือผูท้ ี่เกี่ยวข้องกับการอบรมเลี้ยงดู ควรสังเกตพัฒนาการเด็กโดย
คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล หากพบความผิดปกติต้องรีบพาไปพบแพทย์หรือผู้ที่มีความรู้ความ
เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการพัฒนาเด็ก เพื่อหาทางแก้ไขหรอื บำบัดฟื้นฟูโดยเร็วที่สุด สำหรับหลักในการประเมนิ
พฒั นาการ มีดังนี้
๑. ประเมนิ พฒั นาการของเดก็ ครบทุกวนั
๒. ประเมนิ เป็นรายบคุ คลอยา่ งสมำ่ เสมอ ตอ่ เน่ือง
๔
๓. ประเมินด้วยวิธีการที่หลากหลาย ซึ่งมีวิธีการประเมินที่เหมาะสมกบั เด็กอายุต่ำกว่า ๓ ปี มีการ
สังเกตพฤติกรรมของเด็กในกิจกรรมต่างๆ และกิจวัตรประจำวัน การบันทึกพฤติกรรม การสนทนา การ
สัมภาษณ์เด็กและผ้ใู กล้ชดิ และการวเิ คราะหข์ ้อมลู จากผลงานเด็ก
๔. บันทึกพัฒนาการลงในสมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็ก (เล่มสีชมพู) และใช้คู่มือการเฝ้าระวัง และ
ส่งเสริมพฒั นาการเดก็ ปฐมวยั (DSPM) ของกรมอนำมัย กระทรวงสาธารณสุข หรอื ของหนว่ ยงานอนื่
๕. นำผลที่ได้จำกกำรประเมนิ พฒั นาการไปพจิ ารณาจัดกิจกรรม เพื่อเปิดโอกาสใหเ้ ด็กเรยี นรู้และ มี
พฒั นาการเหมาะสมตามวยั
การใช้หลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวัย
พ่อแม่ผู้เลี้ยงดูหรือผู้เกี่ยวข้องกับการอบรมเลี้ยงดู และสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยจะนำหลักสูตร
การศึกษาปฐมวยั สำหรับเด็กอายตุ ่ำกว่า ๓ ปี ไปใชอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ ตรงตามเจตนารมณข์ อหลักสูตรท่ีมุ้ง
เน้นการอบรมเลย้ี งดลู ะสง่ เสริมพฒั นาการและการเรียนรู้ ควรดำเนนิ การดังน้ี
๑. การใชห้ ลกั สูตรการศกึ ษาปฐมวยั สำหรบั พ่อแมห่ รือผเู้ ลย้ี งดู พอ่ แมห่ รือผูเ้ ล้ียงดมู คี วามเชื่อและ
วธิ ีกำรในการอบรมเลี้ยงดูเด็กแตกต่างกนั ไปตำมแนวความคิด และสภาพแวดล้อมของทอ้ งถ่นิ ท่ีตนเองอยู่อาศัย
หลกั สตู รกำรศึกษาปฐมวัย สำหรบั เดก็ อายตุ ่ำกวา่ ๓ ปี ฉบับนี้ จะเป็นแนวทางให้พอ่ แม่หรือผ้เู ลี้ยงดูใช้ในการ
อบรมเลย้ี งดแู ละส่งเสริมพัฒนาการทุกด้านของเดก็ ซ่งึ มีขอ้ แนะนำ ดงั นี้
๑.๑ ศึกษาปรชั ญาการศึกษา หลักการ จุดหมาย เพื่อทำความเข้าใจกบั แนวทางการพัฒนา
เดก็ อย่างมีคณุ ภาพ
๑.๒ ศึกษาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ เพื่อใช้เป็นแนวทางการอบรมเลี้ยงดูและส่งเสริม
พัฒนาการเด็กปฐมวัยอย่างเหมาะสมกับวัย ในกรณีการอบรมเลี้ยงดูเด็กช่วงอายุแรกเกิด ๒ ปี ให้ใช้แนว
ปฏิบัตกิ ารอบรม เลีย้ งดูตามวิถีชีวิตประจำวนั เปน็ กรอบกำรพฒั นาเดก็ และหากมีการอบรมเล้ียงดูเด็กช่วงอายุ
๒ - ๓ ปี ใหใ้ ชแ้ นวปฏบิ ตั กิ ารอบรมเล้ยี งดูและสง่ เสริมพัฒนากาและการเรียนรู้
๑.๓ ตดิ ตามประเมินพฒั นาการทุกดา้ นของเดก็ โดยสงั เกตและบันทึกการเจริญเติบโต และ
พัฒนาการตามช่วงอายุที่กำหนด รวมถึงการเฝ้าระวังปัญหาพัฒนาการที่ล่าช้าหรือความผิดปกติ ท่ีอาจเกิด
ขน้ึ กบั เด็ก หากพบวา่ เดก็ มพี ฒั นาการชำ้ กว่าปกติ ควรปรึกษาแพทยห์ รอื เจา้ หน้าท่ีสำธารณสขุ เพื่อช่วยเหลือ
เดก็ ต่อไป
๑.๔ ยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคลของเด็ก เด็กแต่ละคนมีพัฒนาการเร็วช้าต่างกัน
พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูหลีกเลี่ยงการเปรยี บเทียบเด็ก หรือเลือกปฏิบัติต่อเดก็ เฉพาะคน แต่ควรจัดกิจกรรม เพอ่ื
สง่ เสริมพัฒนาการด้านท่ีบกพรอ่ งหรอื ด้านท่เี ดก็ ขาดโอกาสในการพัฒนา
๒. การใช้หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย สำหรับสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย เด็กอายุต่ำกว่า ๓ ปี ควร
ไดร้ ับการอบรมดูแลจากพอ่ แม่หรอื บคุ คลในครอบครวั แต่เนอื่ งจากสภาพเศรษฐกิจและสังคมท่ีเปล่ียนแปลงไป
ทำใหต้ อ้ งออกไปทำงานนอกบา้ น ประกอบกบั ครอบครวั ส่วนใหญ่มักจะเป็นครอบครัวเดยี่ ว พอ่ แม่จงึ นำเดก็ ไป
๕
รับการเลี้ยงดูในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ดังนั้น สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแต่ละแห่งควรดำเนินการจัดทำ
หลักสตู รสถานพฒั นาเดก็ ปฐมวยั โดยวางแผนหรือกำหนดแนวทางการอบรมเลย้ี งดแู ละสง่ เสริมพฒั นาการและ
การเรียนรู้ เพื่อให้เด็กได้รับการพัฒนาเต็มศักยภาพตรงตามปรัชญาการศึกษาและหลักการของหลักสูตร
การศึกษาปฐมวัย
สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยควรดำเนินการจัดหลักสูตรสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยร่วมกับพ่อแม่ครอบครวั
บุคคลกรทางสาธารณสุข ผู้เลี้ยงดูหรือผู้สอน คณะกรรมการที่มีส่วนเกีย่ วข้อง และชุมชน เพื่อพัฒนาเดก็ ให้
บรรลคุ ณุ ลกั ษณะที่พึงประสงค์ของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย
๒.๑ การจดั ทำหลักสูตรสถานศึกษาพัฒนาเดก็ ปฐมวยั
หลักสูตรสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยควรออกแบบและจัดทำบนพ้ืนฐานของหลักสูตรการศึกษาปฐมวยั
โดยสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยกำหนดคุณลักษณะที่พึงประสงค์สอดคล้องกับหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย ทั้งนี้
กระบวนการจดั ทำหลกั สูตรสถานพัฒนาเดก็ ปฐมวยั มีดังนี้
๒.๑.๑ ศกึ ษาทำความเขา้ ใจ หลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวยั และค่มู ือหลกั สูตรการศึกษา
ปฐมวยั สำหรบั เดก็ อายุต่ำกว่า ๓ ปี รวมท้ังรวบรวมขอ้ มลู ด้านตา่ งๆ เชน่ วธิ ีการอบรมเลีย้ งดู ความตอ้ งการของ
พ่อแม่ ผู้ปกครอง วฒั นธรรมความเชอ่ื ของทอ้ งถิน่ และความพร้อมของสถานพัฒนาเด็กปฐมวยั
๒.๑.๒ จัดทำหลักสูตรสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย โดยการกำหนดปรัชญาการศึกษา
วิสยั ทัศน์ ภารกจิ หรือพนั ธกิจ เปา้ หมาย คุณลักษณะพึงประสงค์ และกำหนดสาระการเรยี นรู้ในแตล่ ะชว่ งอายุ
อย่างกว้างๆ ให้ครอบคลุมพัฒนาการท้ัง ๔ ด้านผ่านประสบการณ์สำคัญท่ีเด็กใช้ในการเรียนรู้ตามหลักสูตร
ศึกษาปฐมวยั และสาระทค่ี วรเรยี นรู้ ซึ่งอาจต่างกันตามบริบทหรอื สภาพแวดลอ้ มของเด็ก การจัดประสบการณ์
การสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ สื่อและแหล่งการเรียนรู้ และการประเมินพัฒนาการ โดยสถานพัฒนาเด็ก
ปฐมวยั อาจกำหนดหวั ขอ้ อน่ื ๆ ได้ตามความเหมาะสมและความจำเป็นของสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแต่ละแห่ง
๒.๑.๓ ประเมินหลักสูตรสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยเป็นข้ันตอนของการตรวจสอบ
หลักสูตร สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย แบ่งออกเป็น การประเมินก่อนนําหลักสูตรไปใช้ เป็นการประเมินเพ่ือ
ตรวจสอบ คุณภาพของหลักสูตรหลงั จากทไ่ี ดจ้ ัดทำแลว้ โดยอาศยั ความคิดเห็นจากผู้ใช้หลกั สูตร ผู้มีส่วนร่วม
ในการทำหลักสูตร ผู้เช่ียวชาํ ญ ผู้ทรงคณุ วฒุ ิในด้านต่างๆ การประเมนิ ระหว่างการดำเนินการใช้หลักสตู ร เป็น
การประเมนิ เพอื่ ตรวจสอบว่าหลกั สูตรสามารถนําไปใชไ้ ด้ดีเพยี งใด ควรมกี ารปรับปรงุ แกไ้ ขในเร่ืองใด และการ
ประเมนิ หลังการใชห้ ลักสตู รเป็นการประเมินเพือ่ ตรวจสอบหลักสตู รทั้งระบบ หลงั จากที่ใชห้ ลักสูตรครบแต่ละ
ช่วงอายุ เพอ่ื สรปุ ผลว่าหลักสูตรที่จดั ทำควรมกี ารปรับปรุงหรือพัฒนาใหด้ ีขนึ้ อย่างไร
๖
หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน ปีพุทธศกั ราช ๒๕๕๑
(ฉบับปรับปรุง พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐)
วสิ ยั ทศั น์
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน มุง่ พัฒนาผู้เรียนทกุ คน ซง่ึ เปน็ กำลงั ของชาติให้เป็นมนุษย์
ท่มี คี วามสมดุลท้งั ด้านร่างกาย ความรู้ คณุ ธรรม มีจติ สำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลกยึดมั่น
ในการปกครองตามระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมีความรู้และทักษะพื้นฐาน
รวมทั้งเจตคตทิ ีจ่ ำเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และการศึกษาตลอดชีวิตโดยมุ่งเน้นผู้เรียนเปน็
สำคัญบนพื้นฐานความเช่ือวา่ ทกุ คนสามารถเรียนรแู้ ละพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มตามศกั ยภาพ
หลกั การ
หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน มีหลกั การทสี่ ำคญั ดงั น้ี
๑. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อดวามเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้
เปน็ เป้าหมายสำหรับพัฒนาเดก็ และเยาวชนใหม้ ีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคณุ ธรรมบนพื้นฐานของ
ความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล
๒. เป็นหลกั สตู รการศกึ ษาเพอ่ื ปวงชน ทป่ี ระชาชนทกุ คนมีโอกาสได้รบั การศกึ ษาอยา่ งเสมอภาค
และมคี ณุ ภาพ
๓. เปน็ หลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจใหส้ งั คมมีส่วนรว่ มในการจัดการศึกษาให้
สอดคล้องกบั สภาพและความตอ้ งการของทอ้ งถนิ่
๔. เป็นหลักสตู รการศกึ ษาทม่ี ีโครงสรา้ งยืดหยุ่นท้ังดา้ นสาระการเรียนรู้ เวลาและ
๕. เป็นหลกั สูตรการศึกษาท่เี นน้ ผเู้ รียนเป็นสำคัญ
๖. เป็นหลักสตู รการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอธั ยาศัยครอบคลุมทุก
กลุม่ เป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์
จดุ หมาย
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข
มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงกำหนดเป็นจดุ หมาย เพ่ือให้เกิดกบั ผเู้ รียนเมือ่ จบการศึกษา
ขั้นพ้ืนฐาน ดังน้ี
๑. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมทีพ่ ึงประสงค์เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและปฏิบัติตนตาม
หลักธรรมของพระพทุ ธศาสนา หรอื ศาสนาทต่ี นนับถอื ยดึ หลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
๒. มคี วามรอู้ ันเปน็ สากลและมีความสามารถในการส่ือสาร การคดิ การแก้ปญั หา การใช้เทคโนโลยี
และมที กั ษะชีวติ
๓. มีสขุ ภาพกายและสขุ ภาพจิตที่ดี มีสุขนสิ ยั และการรักการอ่านออกกำลังกาย
๗
๔. มคี วามรักชาติ มจี ิตสำนกึ ในความเป็นพลเมอื งไทยและพลโลก ยดึ มน่ั ในวิถีชวี ิตและการปกครอง
ตามระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษัตริยท์ รงเป็นประมขุ
๕. มีจิตสำนกึ ในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภมู ิปัญญาไทย การอนรุ กั ษ์ และพัฒนาสง่ิ แวดล้อม มีจิต
สาธารณะทม่ี ุ่งทำประโยชนแ์ ละสร้างสง่ิ ทีด่ ีงามในสังคม และอยรู่ ่วมกันในสงั คมอย่างมีความสขุ
ตัวชี้วดั
ตวั ชีว้ ดั ระบุส่ิงที่ผู้เรยี นพงึ รแู้ ละปฏิบัตไิ ด้ รวมทัง้ คุณลักษณะของผเู้ รยี นในแต่ละระดับช้ัน
ซึง่ สะท้อนถงึ มาตรฐานการเรียนรู้ มีความเฉพาะเจาะจงและมคี วามเป็นรูปธรรมนำไปใช้ในการกำหนดเน้ือหา
จัดทำหน่วยการเรียนรู้ จัดการเรียนการสอน และเป็นเกณฑ์สำคัญสำหรับการวัดประเมินผลเพ่ือตรวจสอบ
คุณภาพผู้เรยี น
๑. ตัวชี้วดั ช้ันปี เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผูเ้ รียนแต่ละช้ันปีในระดับการศึกษาภาคบังคับ
(ประถมศกึ ษาปีที่ ๑ - มัธยมศึกษาปีที่ ๓)
๒. ตัวชี้วัดช่วงชั้น เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
(มธั ยมศึกษาปีที่ ๔ - ๖)
หลักสตู รได้มีการกำหนดรหัสกำกับมาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตัวชี้วดั เพอื่ ความเขา้ ใจและให้สื่อสาร
ตรงกัน ดังน้ี
๘
สาระการเรียนรู้
สาระการเรียนรู้ ประกอบด้วย องค์ความรู้ ทักษะหรือกระบวนการเรียนรู้ และ
คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ซึ่งกำหนดให้ผู้เรียนทุกคนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานจำเป็นต้องเรียนรู้ โดย
แบ่งเปน็ ๘ กลมุ่ สาระการเรียนรู้ ดังน้ี
๑.คณิตศาสตร์ : การนำความรู้ทักษะและ ๒.วิทยาศาสตร์ : การนำความรู้ และ
กระบวนการทางคณิตศาสตรไ์ ปใช้ในการแก้ปัญหา กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรไ์ ปใช้ในการศึกษา
การดำเนินชวี ิต และศึกษาตอ่ การมีเหตมุ ผี ล มีเจต คนั คว้าหาความรู้ และแก้ปัญหา อย่างเปน็ ระบบ
คติที่ดีต่อคณิตศาสตร์ พัฒนาการคิดอย่างเป็น การคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลคิดวิเคราะห์คิด
ระบบ และสรา้ งสรรค์ สรา้ งสรรค์และจิตวทิ ยาศาสตร์
๓.สงั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม : ๔.การงานอาชีพและเทคโนโลยี : ความรู้
การอยู่ร่วมกันในสังคมไทย และสังคมโลกอย่าง ทักษะ และเจตคตใิ นการทำงาน การจัดการ
สันตสิ ขุ การเปน็ พลเมืองดี ศรัทธาในหลักธรรมของ การดำรงชีวิตการประกอบอาชีพ และการใช้
ศาสนา การเห็น คุณค่าของทรัพยากร และ เทคโนโลยี
สง่ิ แวดล้อมความรักชาติ และภมู ิใจในความเปน็ ไทย
องค์ความรู้ ทกั ษะสำคัญและคุณลกั ษณะใน
หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐาน
๕.สขุ ศึกษาและพลศึกษา : ความรู้ ทกั ษะและ ๖.ภาษาตา่ งประเทศ : ความรู้ ทกั ษะ
เจตคติในการสร้างเสริมสุขภาพพลานามัยของตนเอง เจตคติและวัฒนธรรมการใช้ภาษาต่างประเทศ
และผอู้ ื่นการป้องกนั และ ปฏบิ ตั ติ อ่ สิ่งตา่ ง ๆ ท่ีมีผลต่อ ในการสื่อสารการแสวงหาความรู้ และ การ
สุขภาพอยา่ งถกู วิธีและทักษะในการดำเนินชีวติ ประกอบอาชีพ
๗.ศิลปะ : ความรู้และทักษะในการคิดริเร่ิม ๘.ภาษาไทย : ความรู้ ทักษะและวัฒนธรรม
จินตนาการ สร้างสรรค์งานศิลปะ สนุ ทรยี ภาพ และ การใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร ความชื่นชมการเห็น
การเห็นคณุ คา่ ทางศิลปะ คณุ คา่ ภมู ิปัญญาไทย และภมู ใิ จในภาษาประจำชาติ
๙
การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนต้องอยู่บนหลักการพื้นฐานสองประการ
คอื การประเมนิ พฒั นาผ้เู รียนและเพ่อื ตดั สินผลการเรียน ในการพัฒนาคุณภาพการเรยี นรขู้ องผู้เรียนใหป้ ระสบ
ผลสำเรจ็ นนั้ ผเู้ รียนจะต้องไดร้ บั การพฒั นาและการประเมินตามตัวช้ีวดั เพื่อให้บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้
สะท้อนสมรรถนะสำคัญ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนซึ่งเป็นเป้าหมายหลักในการวัดและ
ประเมินผลการเรยี นรใู้ นทุกระดบั ไมว่ า่ จะเปน็ ระดับช้ันเรียน ระดับสถานศกึ ษา ระดบั เขตพืน้ ทกี่ ารศึกษา และ
ระดบั ชาติ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้เป็นกระบวนการพฒั นาคุณภาพผูเ้ รยี น โดยใชผ้ ลการประเมินเป็น
ข้อมูลและสารสนเทศที่แสดงพัฒนาการ ความก้าวหน้า และความสำเร็จทางการเรียนของผู้เรียน ตลอดจน
ข้อมลู ทีเ่ ป็นประโยชนต์ อ่ การสง่ เสรมิ ใหผ้ ู้เรยี นเกิดการพฒั นาและเรียนรู้อยา่ งเตม็ ศกั ยภาพ
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ แบ่งออกเป็น ๔ ระดับ ได้แก่ ระดับชั้นเรียน ระดับสถานศึกษา
ระดบั เขตพ้ืนท่กี ารศกึ ษา และระดับชาติ มีรายละเอียด ดังนี้
๑. การประเมนิ ระดบั ชน้ั เรียน เป็นการวัดและประเมินผลท่อี ยใู่ นกระบวนการจัดการเรียนรู้
ผู้สอนดำเนินการเป็นปกติและสม่ำเสมอในการจัดการเรียนการสอน ใช้เทคนิคการประเมนิ อยา่ งหลากหลาย
เช่น การซักถาม การสังเกต การตรวจการบ้าน การประเมินโครงการ การประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน แฟ้ม
สะสมงาน การใชแ้ บบทดสอบ ฯลฯ โดยผสู้ อนเป็นผู้ประเมินเองหรอื เปดิ โอกาศให้ผเู้ รียนประเมนิ ตนเอง เพ่ือ
ประเมินเพื่อน ผ้ปู กครองร่วมประเมิน
๒. การประเมนิ ระดบั สถานศึกษา เปน็ การตรวจสอบผลการเรยี นของผู้เรียนเปน็ รายปี/ราย
ภาค ผลการประเมิน การอ่าน คิดวิเคราะหแ์ ละเขียน คุณอันลักษณะพึงประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผูเ้ รียน
และเป็นการประเมินเกี่ยวกับการจัดการศึกษาสถานศึกษา ว่าส่งผลต่อการเรียนของผู้เรียนตามเป้าหม าย
หรือไม่ ผู้เรียนมีสิ่งที่ต้องการพัฒนาในด้านใด รวมทั้งสามารถนำผลการเรียนของผู้เรียนในสถานศึกษา
เปรยี บเทยี บกบั เกณฑร์ ะดับชาติ และระดบั เขตพื้นท่กี ารศึกษาผลการประเมินระดับสถานศกึ ษาจะเป็นข้อมูล
และสารสนเทศ เพอ่ื การปรบั ปรุงนโยบาย หลกั สูตรโครงการ หรอื วธิ กี ารจดั การเรยี นการสอน
๓. การประเมินระดับเขตพื้นท่ีการศกึ ษา เปน็ การประเมนิ คณุ ภาพผ้เู รยี นในระดบั เขตพ้ืนท่ี
การศึกษาตามมาตรบานการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน เพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานใน
การพัฒนาคุณภาพการศึกษาของเขตพื้นที่การศึกษา ตามภาระความรับผิดชอบ สามารถดำเนินการโดย
ประเมินคณุ ภาพผู้เรยี นด้วยวธิ กี ารและเคร่ืองมือทเี่ ป็นมาตรฐานท่ีจัดทำและดำเนนิ การโดยเขตพ้นื ทก่ี ารศึกษา
๔. การประเมินระดับชาติ เปน็ การประเมินคุณภาพผ้เู รียนในระดับชาตติ ามมาตรฐานการ
เรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนทุกคนที่เรียนในชั้น
ประถมศึกษาปที ่ี ๓ ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี ๖ ชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ ๓ ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี ๖ เขา้ รับการประเมินใช้
เป็นข้อมูลในการเทยี บเคียงคุณภาพการศึกษาในระดับต่างๆ เพื่อนำไปใชใ้ นการวางแผนยกระดับคุณภาพการ
จัดการศกึ ษา ตลอดจนเปน็ ขอ้ มูลสนบั สนุนการตัดสนิ ใจในระดบั นโยบายของประเทศ
๑๐
หลกั สตู รการอาชีวศกึ ษา
การเรียนสายอาชีวศึกษาหรือสายอาชีพ คือ การเรียนต่อในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ หรอื
ปวช. เปน็ การเรยี นในหลกั สูตรท่ไี ม่ไดเ้ น้นการเรียนวิชาพนื้ ฐานเหมือนกบั สายสามญั มีระยะเวลาในการเรียน ๓
ปี โดยหากเรยี นจบแลว้ จะมที างเลือกในการเรยี นต่อ ๒ ทางเลอื กใหญๆ่ คือ
๑. การเรยี นตอ่ ในระดบั ประกาศนียบัตรวิชาชพี ชนั้ สูง หรือ (ปวส.) ใชเ้ วลาเรียน ๒ ปี หลังจากจบแล้ว
สามารถเรียนตอ่ ปริญญาตรี อีก ๒ ปี
๒. การเรยี นต่อในระดบั มหาวิทยาลัย (ระดับปรญิ ญาตรี) ใช้เวลาเรียน ๔ – ๕ ปี แล้วแต่คณะวชิ าท่ี
เลือกจุดเด่นสำคัญท่ีทำให้หลายๆ คนเลือกเรยี นต่อสายอาชพี นัน้ เพราะจะได้มโี อกาสเรยี นในสายวิชาทีเ่ น้น
การทำงานจริงเป็นหลัก ได้พุ่งเป้าไปที่การเรียนในดา้ นนั้นๆอย่างเต็มท่ี ต่อให้เรยี นจบระดับ ปวช. ก็สามารถ
ทำงานได้ และทำให้นกั เรียนไดเ้ ขา้ ใจถงึ การเรยี นตามหลักสูตรที่ออกแบบมาเพอ่ื การประกอบอาชพี ในอนาคต
ประกาศนียบตั รวชิ าชพี (ปวช.) พุทธศกั ราช ๒๕๖๒
หลักการของหลกั สตู ร
๑. เป็นหลักสูตรระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพหลังมัธยมศึกษาตอนต้นหรือเทียบเท่าด้าน
วิชาชีพที่ สอดกล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนการศึกษาแห่งชาติ เป็นไปตามกรอบ
คุณวุฒิแห่งชาติมาตรฐานการศึกษาของชาติ และกรอบคุณวุฒิอาชีวศึกษาแห่งชาติ เพื่อผลิตและพัฒนา
กำลงั คนระดับฝมี ือให้มสี มรรถนะ มีคณุ ธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชพี สามารถประกอบอาชีพได้ตรง
ตามความต้องการของสถานประกอบการและการประกอบอาชีพอสิ ระ
๒. เปน็ หลกั สตู รที่เปิดโอกาสให้เลอื กเรียนได้อย่างกว้างขวาง เน้นสมรรถนะเฉพาะด้านด้วย
การปฏิบัติจริงสามารถเลือกวิธีการเรียนตามศักยภาพและ โอกาสของผู้เรียน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถ
เทียบโอนผลการเรียนสะสมการเรียน เทียบโอนความรู้และประสบการณ์จากแหล่งวิทยาการ สถาน
ประกอบการและสถานประกอบอาชีพอสิ ระ
๓. เป็นหลักสูตรที่สนับสนุนการประสานความร่วมมือในการจัดการศึกษาร่วมกันระหว่าง
หนว่ ยงานและองค์กรทีเ่ กีย่ วข้องทงั้ ภาครัฐและเอกชน
๔. เปน็ หลักสตู รทเ่ี ปดิ โอกาสใหส้ ถานศกึ ษา สถานประกอบการ ชมุ ชนและทอ้ งถนิ่ มีสว่ นรว่ ม
ในการพัฒนาหลักสูตรให้ตรงตามความต้องการ โดยยึดโยงกับมาตรฐานอาชีพ และสอดคล้องกับสภาพ
ยุทธศาสตรข์ องภูมภิ ากเพอื่ เพม่ิ ขีดความสามารถในการแข่งขนั ของประ
จุดม่งุ หมาย
๑. เพื่อให้มีความรู้ ทักษะและประสบการณ์ในงานอาชีพสอดคลื้องกับมาตรฐานวิชชีพ สา
มารนำไปประยกุ ต์ใชใ้ นการปฏบิ ัติงนอชพี ไดอ้ ย่ามีประสิทธิภาพลือกวถิ กี ารคำรงชีวติ และการประกอบอาชีพได้
อย่างหมาะสมกับตนสร้างสรรคค์ วามเจริญต่อชมุ ชน ท้องถ่นิ และประเทศชาดิ
๑๑
๒. เพื่อให้เป็นผู้มีปญั ญา มีความคิดรเิ ริ่มสร้างสรรค์ ไปเรียนรู้ เพื่อพฒั นาคุณภาพชีวิตและ
การประกอบอาชีพมีทักษะการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศ ทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทักษะการคดิ
วิเคราะห์และการแก้ปัญหา ทักษะด้นสุขภาวะและความปลอดภยั ตลอดจนทักษะการจัดการ สามารถสร้าง
อาชพี และพัฒนาอาชีพใหก้ า้ วหนา้ อยเู่ สมอ
๓. เพื่อให้มีเจตคติที่ดีต่ออาชีพมีความมั่นใจและภาคภูมิใจในวิชาชีพที่เรียน รักงาน รัก
หนว่ ยงาน สามารถทำงานเปน็ หมูค่ ณะไดด้ ี โดยมีความคารพในสทิ ธแิ ละหน้าทข่ี องตนเองและผูอ้ ่ืน
๔. เพื่อให้เป็นผู้มีพฤตกิ รรมทางสงั คมที่ดีงาม ทั้งในการทำงาน การอยู่รว่ มกัน การต่อค้าน
ความรุนแรงและสารเสพติด มีความรบั ผดิ ชอบต่อครอบครัว หนว่ ยงาน ทอ้ งถ่ินและประเทศชาติ ดำรงดนตาม
หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เข้าใจและเห็นคุณคำของการอนุรักษ์ศิลปะวัฒนธรรมและภูมิปัญญา
ทอ้ งถนิ่ มจี ติ สาธารณะและจิตสำนึกในการอนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาตแิ ละสรา้ งสงิ่ แวดลอ้ มทดี่ ี
๕. เพือ่ ให้มบี ุคลกิ ภพท่ีดี มมี นุษย์สมั พันธ์ มคี ุณธรม จรยิ ธรรม และวนิ ยั ในตนเอง มีสุขภาพ
อนามัยท่ีสมบูรณ์ทัง้ รา่ งกายและจิตใจ เหมาะสมกับงานอาชพี
๖. เพอื่ ให้ตระหนกั และมีส่วนร่วมในการแกไ้ ขปัญหาเศรษฐกิจ สังคม การเมอื งของประเทศ
และโลกมีความรักชาติ สำนึกในความเป็นไทย เสียสละเพื่อส่วนรวม ดำรงรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงของชาติ
ศาสนา พระมหากษตั ริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมพี ระมหากษัตริยท์ รงเป็นประมุข
การเรยี นการสอน
๑.๑ การเรียนการสอนตามหลกั สตู รนี้ ผ้เู รยี นสามารถลงทะเบยี นเรียนไดท้ ุกวธิ ีเรียนท่ีกำหนด
และนำผลการเรียน แต่ละวิธีมาประเมินผลร่วมกันได้ สามารถขอเทียบโอนผลการเรียน และขอเทียบโอน
ความรูแ้ ละประสบการณไ์ ด้
๑.๒ การจัดการเรยี นการสอนเนน้ การปฏิบตั จิ รงิ สามารถจัดการเรียนการสอนได้หลากหลาย
รปู แบบ เพ่อื ให้ผูเ้ รียนมคี วามรู้ ความเข้าใจในหลักการ วิธกี ารและการดำเนินงาน มีทักษะการปฏิบัติงานตาม
แบบแผน ในขอบเขตสำคญั และบรบิ ทต่าง ๆ ท่สี มั พนั ธก์ นั ซ่งึ ส่วนใหญ่เป็นงานประจำใ ให้คำแนะนำพ้ืนฐานที่
ตอ้ งใช้ในการ
การจัดการศึกษาและเวลาเรยี น
การจัดการศึกษาในระบบปกติ ใช้ระยะเวลา ๓ ปีการศึกษา การจัดเวลาเรียนให้ดำเนินการ ดังน้ี
๒.๑ ในปีการศึกษาหนึ่งๆ ให้แบ่งภาครียนออกเป็น ๒ ภาคเรียนปกติหรือระบบทวิภาค
ภาคเรียนละ ๓ สัปดาห์ รวมเวลาการวัดผล โดยมีเวลาเรียนและจำนวนหน่วยกิตตามที่กำหนด และ
สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรอื สถาบนั อาจเปีดสอนภาคเรียนฤดรู ้อนไดอ้ ีกตามที่เหน็ สมควร
๒.๒ การเรียนในระบบชั้นเรียน ให้สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันเปิดทำการสอนไม่
น้อยกวา่ สปั ดาห์ละ ๕ วัน ๆ ละไมเ่ กิน ๗ ชว่ั โมง โดยกำหนดใหจ้ ัดการเรยี นการสอนคาบละ ๖๐ นาที
๑๒
การประเมนิ ผลการเรียน
เน้นการประเมินสภาพจริง ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการจัด
การศึกษาและ การประเมินผลการเรยี นตามหลักสูตรประกาศนยี บัตรวิชาชพี
หลกั สตู รประกาศนียบัตรวชิ าชีพช้นั สูง (ปวส.) พุทธศกั ราช ๒๕๖๓
หลักการของหลักสูตร
๑. เพื่อให้มคี วามรู้ทางทฤษฎีและเทคนิคเชงิ ลึกภายใต้ขอบเขตของงานอาชีพ มีทักษะดา้ น
เทคโนโลยี สารสนเทศและการสือ่ สารเพื่อใช้ในการดำรงชีวิตและงานอาชีพ สามารถศึกษาค้นคว้าเพิม่ เติมหรือ
ศกึ ษา ตอ่ ในระดบั ท่ีสงู ข้นึ
๒. เพ่ือให้มีทกั ษะและสมรรถนะในงานอาชพี ตามมาตรฐานวิชาชีพ สามารถบรู ณาการความรู้
ทักษะจากศาสตร์ตา่ ง ๆ ประยกุ ตใ์ ช้ในงานอาชพี สอดคล้องกบั การเปลีย่ นแปลงทางเทคโนโลยี
๓. เพื่อให้มีปัญญา มีความคิดสร้างสรรค์ มีความสามารถในการคิด วิเคราะห์ วางแผน
บริหารจัดการ ตัดสินใจ แก้ปัญหา ประสานงานและประเมินผลการปฏิบัติงานอาชีพ มีทักษะการเรียนรู้
แสวงหาความรู้ และแนวทางใหม่ ๆ มาพัฒนาตนเองและประยุกตใ์ ช้ในการสร้างงานใหส้ อดคล้องกบั วิชาชพี
และ การพฒั นางานอาชพี อยา่ งตอ่ เน่อื ง
๔. เพ่ือใหม้ ีเจตคตทิ ีด่ ตี ่ออาชพี มคี วามมัน่ ใจและภาคภมู ิใจในงานอาชพี รกั งาน รักหนว่ ยงาน
สามารถทำงาน เปน็ หมูค่ ณะ ได้ดี มคี วามภาคภูมใิ จในตนเองต่อการเรยี นวชิ าชีพ
๕. เพือ่ ใหม้ บี คุ ลิกภาพท่ีดี มคี ณุ ธรรม จรยิ ธรรม ช่ือสัตย์ มวี นิ ัย มีสขุ ภาพสมบูรณแ์ ข็งแรงท้ัง
ร่างกายและ จติ ใจเหมาะสมกับการปฏบิ ัติงานในอาชีพนนั้ ๆ
๖. เพื่อใหเ้ ป็นผมู้ ีพฤติกรรมทางสังคมท่ีดีงาม ตอ่ คา้ นความรุนแรงและสารเสพติด ท้ังในการ
ทำงาน การอยู่ ร่วมกันมีความรับผิดชอบต่อครอบครัว องค์กร ท้องถิ่นและประเทศชาติ อุทิศตนเพื่อสังคม
เข้าใจและเห็น คุณค่าของศิลปะวัฒนธรรมไทย ภูมิปัญญาท้องถิ่น ตระหนักในปัญหาและความสำคัญของ
ส่งิ แวดล้อม
๗. เพื่อให้ตระหนักและมีสว่ นร่วมในการพัฒนาและแกไ้ ขปัญหาเศรษฐกจิ ของประเทศ โดย
เป็นกำลังสำคัญ ในดา้ นการผลติ และใหบ้ ริการ
๘. เพื่อให้เห็นคุณค่าและดำรงไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ปฏิบัติตนใน
ฐานะพลเมอื งดี ตามระบอบประชาธิปไตย อันมพี ระมหากษัตริยท์ รงเป็นประมขุ
การเรียนการสอน
๑. การเรยี นการสอนตามหลักสตู รนี้ ผเู้ รียนสามารถลงทะเบยี นเรยี น ได้ทกุ วธิ ีเรียนที่กำหนด
และนำผลการเรียน แต่ละวิธีมาประเมินผลร่วมกัน ได้สามารถขอเทียบโอนผลการเรียน และขอเทียบโอน
ความร้แู ละประสบการณไ์ ด้
๒. การจัดการเรยี นการสอนเน้นการปฏบิ ัติจริง สามารถจัดการเรียนการสอนได้หลากหลาย
รูปแบบเพอื่ ใหผ้ ู้เรียนมี ความรู้ ความเขา้ ใจในหลักการ วธิ กี ารและการดำเนินงาน มีทกั ษะการปฏิบัติงานตาม
๑๓
แบบแผนและปรับตัวได้ ภายใต้ความเปลี่ยนแปลง สามารถบูรณาการและประยุกต์ใช้ความรู้และทกั ษะทาง
วิชาการทส่ี มั พนั ธก์ ับวิชาชีพ เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร ในการตดั สินใจ วางแผน แก้ปัญหาบริหาร
จัดการ ประสานงานแประเมนิ ผล การคำเนินงานไดอ้ ยา่ งเหมาะสม มีสว่ นรว่ มในการวางแผนและพัฒนาริเร่ิม
สิ่งใหมม่ ีความรับผิดชอบตอ่ ตนเอง ผู้อ่ืนและหมคู่ ณะ รวมทัง้ มีคณุ ธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพเจตคติ
และกิจนิสัยทเ่ี หมาะสมในการทำงาน
การจัดการศกึ ษาและเวลาเรียน
๑. การจดั การศึกษาในระบบปกติสำหรับผู้เข้าเรียนท่ีสำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตร
วิชาชพี (ปวช.) หรอื เทียบเทา่ ในประเภทวิชาและสาขาวิชาตามทีห่ ลกั สูตรกำหนด ใชร้ ะยะเวลา ๒ ปกี ารศกึ ษา
ส่วนผูเ้ ข้าเรียนที่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลายหรอื เทยี บเท่า และผเู้ ข้าเรยี นท่ีสำเร็จการศึกษา
ระดับประกาศนียบัตรวชิ าชพี (ปวช.) หรือเทยี บเท่าต่างประเภทวิทาและสาขาวิชาทีก่ ำหนด ใช้ระยะเวลาไม่
นอ้ ย กวา่ ๒ ปกี ารศึกษา และเปน็ ไปตามเงอ่ื นไขทห่ี ลักสตู รกำหนด
๒. การจดั เวลาเรียนใหด้ ำเนินการ ดงั น้ี
๒.๑ ในปีการศึกษาหนึ่ง ๆ ให้แบ่งภาคเรียนออกเป็น ๒ ภาคเรียนปกติหรือระบบ
ทวิภาคภาค เรยี นละ ๑๘ สัปดาห์ รวมเวลาการวดั ผล โดยมเี วลาเรยี นและจำนวนหน่วยกติ ตามที่กำหนด และ
สถานศึกษา อาชีวศึกษาหรอื สถาบนั อาจเปิดสอนภาคเรียนฤดรู ้อนไดอ้ กี ตามท่ีเหน็ สมควร
๒.๒ การเรียนในระบบช้ันเรียน ให้สถานศึกษาอาชีศึกยาหรือสถาบนั เปดิ ทำการสอน
ไมน่ อ้ ยกว่า สปั ดาห์ละ ๕ วนั ๆ ละไม่เกิน ๗ ช่วั โมง โดยกำหนดให้จัดการเรียนการสอนคาบละ ๖๐ นาที
การประเมนิ ผลการเรยี น
เน้นการประเมินสภาพจริง ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการจัด
การศกึ ษา และการประเมินผลการเรยี นตามหลักสตู รประกาศนยี บตั รวิชาชพี ชั้นสงู
หลกั สูตรอดุ มศกึ ษา (ภายในกรอบมาตรฐานคณุ วฒุ ิอดุ มศกึ ษา)
มาตรฐานการอดุ มศึกษา ประกอบด้วย มาตรฐาน ๓ ด้าน ๑๒ ตัวบง่ ช้ี ดงั นี้
๑. มาตรฐานด้านคุณภาพบัณฑิต บัณฑิตระดับอุดมศึกษาเป็นผู้มีความรู้ มีคุณธรรม จริยธรรม
มีความสามารถ ใน การเรียนรู้ และพัฒนาตนเอง สามารถประยุกต์ใช้ความรู้เพื่อการดำรงชีวิตในสังคม
ได้อย่างมีความสุขทั้งทางร่างกายและจิตใจ มีความสำนึกและความรับผิดชอบในฐานะ พลเมืองและพลโลก
ตวั บ่งช้ี
๑.๑ บณั ฑิตมคี วามรู้ ความเชี่ยวชาญในศาสตรข์ องตน สามารถเรียนรู้ สร้าง และประยุกต์ใช้
ความรู้เพื่อพัฒนา ตนเอง สามารถปฏิบัติงานและสร้างงานเพื่อพัฒนาสังคม ให้สามารถแข่งขันได้ใน
ระดับสากล
๑.๒ บณั ฑติ มีจิตสำนกึ ดำรงชวี ิต และปฏบิ ตั ิหนา้ ทต่ี ามความรับผิดชอบ โดยยึดหลักคณุ ธรรม
จรยิ ธรรม
๑๔
๑.๓ บัณฑิตมีสุขภาพดีทั้งด้านร่างกายและจิตใจ มีการดูแล เอาใจใส่ รักษา สุขภาพของ
ตนเองอย่างถกู ต้อง เหมาะสม
๒. มาตรฐานดา้ นการบรหิ ารจัดการการอุดมศึกษา มกี ารบรหิ ารจัดการการอุดมศกึ ษาตามหลักธรร
มาภบิ าล และ พันธกจิ ของ การอุดมศึกษาอยา่ งมีดุลยภาพ ก. มาตรฐานดา้ นธรรมาภิบาลของการบริหารการ
อดุ มศกึ ษา มีการบริหารจดั การการอุดมศึกษาตาม หลกั ธรรมาภบิ าล โดยคำนงึ ถึง ความหลากหลายและความ
เป็นอสิ ระทางวชิ าการ ตวั บง่ ชี้
๒.๑ มีการบริหารจัดการบุคลากรที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล มีความยืดหยุ่น
สอดคล้องกับความตอ้ งการที่ หลากหลายของประเภทสถาบันและสงั คม เพื่อเพิม่ ศักยภาพในการปฏบิ ัติงาน
อย่างมอี สิ ระทางวิชาการ
๒.๒ มีการบริหารจัดการทรัพยากรและเทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสารที่มี
ประสทิ ธภิ าพและประสทิ ธิผล คลอ่ งตวั โปร่งใสและตรวจสอบได้ มกี ารจดั การศึกษาผา่ นระบบและวิธีการต่าง
ๆ อย่างเหมาะสมและค้มุ ค่าคุม้ ทุน
๒.๓ มีระบบการประกนั คณุ ภาพเพอ่ื นำไปสกู่ ารพฒั นาคุณภาพและมาตรฐาน การอดุ มศกึ ษา
อย่างต่อเนื่อง ข. มาตรฐานด้านพันธกิจของการบริหารการอุดมศึกษา การดำเนินงานตามพันธกิจของการ
อุดมศกึ ษาทงั้ ๔ ดา้ น อยา่ งมดี ลุ ยภาพโดยมกี ารประสานความร่วมมือรวมพลังจากทกุ ภาคส่วนของชุมชน และ
สังคมในการจัดการความรู้ ตวั บง่ ชี้
๒.๓.๑ มีหลักสูตรและการเรียน การสอนที่ทันสมัย ยืดหยุ่น สอดคล้องกับ ความ
ต้องการที่หลากหลายของประเภท สถาบันและสังคม โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนา คุณภาพผู้เรียนแบบ
ผู้เรียนเป็นสำคัญ เน้นการเรียนรู้และการ สร้างงานด้วยตนเอง ตามสภาพจริง ใช้การวิจัยเป็นฐาน มีการ
ประเมินและใช้ผลการประเมินเพอ่ื พฒั นาผูเ้ รียน และการบริหารจดั การหลักสตู ร ตลอดจนมกี ารบริหารกจิ การ
นิสติ นักศกึ ษาทีเ่ หมาะสม สอดคล้องกบั หลกั สตู รและ การเรียน การสอน
๒.๓.๒ มีการวิจยั เพือ่ สร้างและประยุกตใ์ ชอ้ งค์ความรใู้ หม่ท่เี ปน็ การขยาย พรมแดน
ความร้แู ละทรพั ยส์ ินทางปัญญาที่ เชอ่ื มโยงกบั สภาพเศรษฐกิจ สงั คม วฒั นธรรม และสง่ิ แวดล้อมตามศกั ยภาพ
ของประเภทสถาบัน มีการสร้าง เครือข่ายความร่วมมอื ระหว่างสถาบนั อุดมศึกษาทง้ั ในและต่างประเทศ เพื่อ
พฒั นาความสามารถในการแข่งขนั ได้ ในระดับ นานาชาติของสังคมแลประเทศชาติ
๒.๓.๓ มีการให้บริการวิชาการที่ทันสมัย เหมาะสม สอดคล้องกับความต้องการ
ของสังคมตามระดับความเชี่ยวชาญ ของประเภทสถาบัน มีการประสาน ความร่วมมือระหว่าง
สถาบันอุดมศึกษากับภาคธุรกิจอุตสาหกรรมท้ังในและ ต่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและความ
ยง่ั ยนื ของสังคมและประเทศชาติ
๒.๓.๔ มีการอนรุ กั ษ์ ฟนื้ ฟู สืบสาน พฒั นา เผยแพร่ วฒั นธรรม ภมู ิปัญญา ท้องถิ่น
เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และความภาคภูมิใจในความเป็นไทย มีการปรับใช้ศิลปะ วัฒนธรรม
ตา่ งประเทศอยา่ งเหมาะสม เพื่อประโยชนใ์ น การพฒั นา สังคมและประเทศชาติ
๑๕
๓. มาตรฐานด้านการสร้างและพัฒนาสังคม ฐานความรู้และสังคมแห่งการเรียนรู้ การแสวงหา
การสร้างและ จัดการความรู้ตามแนวทาง/หลักการอันนำ ไปสู่สังคมฐานความรู้ และสังคมแห่งการเรียนรู้
ตวั บง่ ชี้
๓.๑ มีการแสวงหา การสร้าง และการใช้ประโยชน์ความรู้ ทั้งส่วนที่เป็น ภูมิปัญญาท้องถ่นิ
และเทศ เพอื่ เสรมิ สร้าง สังคมฐานความรู้
๓.๒ มีการบริหารจัดการความรอู้ ย่างเปน็ ระบบ โดยใช้หลกั การวจิ ยั แบบบูรณาการ หลกั การ
แลกเปลี่ยนเรียนรู้ หลักการสร้างเครือข่าย และหลักการ ประสานความร่วมมือรวมพลังอันนำไปสู่สังคม
แหง่ การเรยี นรู้
สภาพปัญหาหลกั สตู รในประเทศไทย
การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาของไทยยังไม่พัฒนาไปถึงไหนปัญหาที่พบ คือ คณะกรรมการ
สถานศึกษาและคณะผู้จัดทำหลักสูตรมคี วามรู้ ความเข้าใจในเรื่องการจัดทำหลักสูตรสภานศึกษาไม่ชดั เจน
เมอ่ื มีการจดั จัดทำหลักสูตรสถานศึกษากด็ ำเนนิ การอย่างเรง่ รีบในระยะเวลาอันสั้น ทำให้คณะครูในโรงเรียน
ขาดความเชือ่ มน่ั ในความถูกต้อง เหมาะสมของหลกั สตู รตนเอง และยังพบว่าโรงเรยี นจดั เวลาเรียนให้กับสาระ
เพิ่มเติมต่าง ๆ น้อย ทำให้ไม่สามารถสนองความต้องการ ความสามารถและความสนใจของผู้เรียนได้
ครูบางส่วนของแต่ละสถานศึกษาขาดความสนใจ และไม่ให้ความร่วมมือในการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา
เท่าท่คี วร ทำใหเ้ กิดความล่าชา้ ในการดำเนนิ การและไดห้ ลักสตู รสถานศึกษาท่ไี ม่มีคณุ ภาพ สถานศกึ ษาจำนวน
น้อยที่ดำเนินการตามขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาอย่างถูกต้อง และโรงเรียนส่วนใหญ่ขาดการ
สำรวจความตอ้ งการของชุมชน หรอื เชญิ คณะกรรมการสถานศกึ ษาเขา้ รว่ มในการจัดทำหลักสตู รสถานศกึ ษา
ปญั หาหลกั สตู รในการศึกษาปฐมวยั
การเรียนการสอนจะเน้นสอนเนื้อหาวิชาตามหลักสูตรมากกว่าการพัฒนาการเด็ก ทำให้เกิด
ความเครียด การไมไ่ ด้ใช้ประโยชน์จากหลักสูตรอย่างเตม็ ที่ แนวทางปฏบิ ตั ิเกย่ี วกับการใช้หลักสูตรขาดความ
เป็นเอกภาพ
ปญั หาหลักสตู รในการศกึ ษข้ันพื้นฐาน
การจัดโครงสร้างหลักสูตรใหม่ทำให้ครูต้องสอนเนื้อหาหนักมากขึ้น และผู้เรียนต้องเรยี นหนกั มาก
ขนึ้ สถานศึกษาจัดทำเองไมม่ ีความชัดเจนกรมวิชาการและกรมเจ้าสงั กัดมีจดุ เน้นไมต่ รงกัน มีเสียงสะท้อนโย
บายการจัดทำหลักสูตรการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พ.ศ. ๒๕๔๔ ทท่ี ำให้โรงเรยี นจัดทำเอง ไมม่ คี วามชดั เจน ทำให้ครู
เกิดความสบั สน
๑๖
ปญั หาหลกั สูตรการอาชวี ศึกษา
ผ้เู ขา้ เรยี นในการอาชีวศกึ ษาไม่มคี ุณภาพเท่าทีค่ วรหลักสูตรก่อนถงึ ระดับ ปวช. คอื ระดบั มธั ยมตน้
หรือการศึกษาผู้ใหญ่เป็นการปูพืน้ ฐานความรูร้ ะดับต่ำ เช่น อ่าน สะกดคำไม่ได้ ขาดความสามารถในการใช้
ภาษาอังกฤษ เมื่อมาเรียนต่อในระดับอาชวี ศึกษาจึงเกิดปัญหา แม้ครูจะเตรียมการสอนดีอยา่ งไร ผู้เรียนไม่
สามารถ่อยอดความรไู้ ดเ้ พราะพ้ืนฐานความร้ไู มเ่ พยี งพอ
ปญั หาหลักสตู รอดุ มศกึ ษา
สถาบันอุดมศกึ ษาปรบั ตัวไม่ทนั ตอ่ การเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะในเรื่องการสร้างและพัฒนคณุ ภาพ
มาตรฐานการเรียนการสอนและการวจิ ัยเปิดหลักสูตรตามความพอใจโดยไมค่ ำนึกถึง คุณภาพและมาตรฐาน
การศึกษา ขาดการวางแผนพัฒนาสถาบันในระยะยาวมหาวทิ ยาลยั ในไทย โดยภาพรวมยังมีจุดอ่อนเรื่องการ
บรหิ ารเชิงคณุ ภาพโดยเฉพาะการเป็นมหาลัยวิจัย
แนวโนม้ การพฒั นาหลักสตู รในศตวรรษที่ ๒๑
กรอบความคิดของภาคเี พ่ือทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑
๑.๑ วิชาแกน (core subject) พระราชบัญญัติการศึกษาขั้นพื้นฐานถ้วนหน้า ค.ศ. ๒๐๐๑ (No
Child Left Behind Act of ๒๐๐๑) ของสหรัฐอเมริกา ได้กำหนดวิชชาแกนที่จำเป็นต้องเรยี นรู้ไว้ คือ วิชา
ภาษาอังกฤษ การอ่าน ศิลปะการใช้ภาษาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาต่างประเทศ หน้าที่พลเมือง การ
ปกครอง เศรษฐศาสตร์ ศิลปะ ประวตั ศิ าสตร์ และภมู ิศาสตร์
๑.๒ เนื้อหาสำหรับศตวรรษที่ ๒๑ เนื้อหาในสาขาใหมๆ่ ที่สำคัญต่อความสำเร็จในที่ทำงานและ
ชุมชน แต่โรงเรียนต่างๆในทุกวันนี้ไม่ได้เน้นในการนำไปสอน ได้แก่ จิตสำนึกต่อโลก ความรู้พื้นฐานด้าน
การเงิน เศรษฐกิจ ธรุ กิจ และการเปน็ ผปู้ ระกอบการ ความรู้พน้ื ฐานด้านพลเมอื ง และความตระหนกั ในสขุ ภาพ
และสวัสด์ิภาพ
๑.๓ ทกั ษะการเรียนรู้และการคดิ นอกจากการเรยี นรู้เนื้อหาวิชาการแล้ว นกั เรียนจำเปน็ ต้องรู้จัก
วิธกี ารเรยี นรอู้ ย่างตอ่ เนอื่ งตลอดชีวติ รู้จักใชส้ ่ิงที่เรียนมาอยา่ งมปี ระสิทธิภาพและสร้างสรรค์ ทกั ษะการเรียนรู้
และการคิด ประกอบด้วย การคิดเชิงวิพากษ์ ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการสร้างสรรค์และผลิตนวัตกรรม
ทักษะการทำงานรว่ มกนั ทักษะการเรียนรู้ตามบริบท และทกั ษะพื้นฐานดา้ นขอ้ มูลและส่อื
๑.๔ ความรู้พ้นื ฐานไอซีที (ICT literacy) ความรพู้ นื้ ฐานดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่อื สาร
คือความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพ่อื พัฒนาความรแู้ ละทักษะแห่งศตวรรษท่ี ๒๑ ในบริบทของการเรียนรู้
วิชาแกน นกั เรียนต้องใชเ้ ทคโนโลยีให้เป็นเพื่อเรยี นรเู้ น้ือหาและทักษะ และจะไดเ้ รยี นรู้วธิ ีการเรียนรู้ การคิด
เชงิ วพิ ากษ์ การแกไ้ ขปัญหา การใช้ข้อมูลข่าวสาร การสือ่ สาร การผลติ นวตั กรรม และการรว่ มมอื ทำงาน
๑๗
๑.๕ ทกั ษะชวี ติ ทักษะชีวิตท่สี ำคญั ทค่ี วรส่งเสริมให้ผเู้ รียน ได้แก่ ความเปน็ ผ้นู ำ ความมีจริยธรรม
การรู้จกั รับผิดชอบ ความสามารถในการปรับตัว การรู้จักเพิ่มพูนประสทิ ธิผลของตนเอง ความรับผิดชอบตอ่
ตนเอง ทกั ษะในการเขา้ ถงึ คน ความสามารถในการชนี้ ำตนเอง และความรับผดิ ชอบต่อสงั คม
๑๘
สรุป
การให้การศึกษาสำหรับศตวรรษที่ ๒๑ ต้องเปลี่ยนแปลงทัศนะ (perspectives) จากกระบวนทัศน์
แบบดังเดมิ (tradition paradigm) ไปสู่กระบวนการทัศน์ใหม่ (new paradigm) ท่ที ำให้โลกของนักเรียน และ
โลกความเป็นจริงเป็น ศูนย์กลางของกระบวนการเรียนรู้ เป็นการเรียนรู้ที่ไปไกลกว่าการได้รับความรู้
แบบง่ายๆ ไปสู่การเน้นพฒั นา ทักษะและทัศนคติ ทักษะการคดิ ทกั ษะการแก้ปัญหา ทกั ษะองคก์ าร ทัศนคติ
เชงิ บวก ความเคารพตนเอง นวัตกรรม ความคดิ สรา้ งสรรค์ ทกั ษะการสอื่ สาร ทักษะและค่านิยมทางเทคโนโลยี
ความเชื่อมั่นตนเอง ความยืดหยุ่น การจูงใจตนเองและตระหนักในสภาพแวดล้อม และเหนืออ่ื นใด คือ
ความสามารถใชค้ วามรูอ้ ย่างสร้างสรรค์ ถอื เป็นทักษะที่สำคญั จำเปน็ สำหรบั การเป็นนักเรียนในศตวรรษที่ ๒๑
ถือเป็นสิ่งที่ท้าทายในการที่จะพัฒนาเรียนการเรียนเพือ่ อนาคต ให้นักเรียนมี ทักษะ ทัศนคติ ค่านิยม และ
บุคลกิ ภาพสว่ นบคุ คล เพ่ือเผชิญกบั อนาคตด้วยภาพในทางบวก (optimism) ท่มี ีท้ังความสำเร็จและมีความสุข
หลักสูตรเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาการศึกษา ในส่วนของการศึกษานั้น ควรวางแผนการจัด
การศึกษาไว้ล่วงหน้า โดยการวางแผนดังกล่าวอาศัยข้อมูลในปัจจุบันและการคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต
ดงั นนั้ หากพิจารณาในมุมมองของศตวรรษที่ ๒๑ ในการพฒั นาหลกั สตู รจงึ ควรกำหนดแนวโนม้ ของหลักสูตร
ในศตวรรษที่ ๒๑ โดยพิจารณาถึงลักษณะและแนวโนม้ ความเปล่ยี นแปลงต่าง ๆ ในศตวรรษท่ี ๒๑ น้ันอาจมี
ลกั ษณะดังนี้
๑. ด้านการสรา้ งหรอื การปรับปรงุ หลักสูตร ในส่วนของหลกั สตู รควรมลี ักษณะเป็นหลักสตู ร
ระยะสั้นเออื้ ใหผ้ ู้เรียนเรียนรไู้ ด้มาก รวดเรว็ และลงทุนน้อย ในการพฒั นาหลกั สตู รดังกลา่ วต้องคำนึงถึงปัจจยั
ดา้ นบริบทโลก รวมท้ังการกำหนดเน้ือหาสาระของหลักสูตรท่คี วรเป็นลกั ษณะสหวิทยาการ
๒. การบริหารจัดการหลักสตู รดว้ ยการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในศตวรรษท่ี ๒๑ เปน็ ฐาน
๓. การประเมนิ หลักสตู รภายใต้ขอบเขต ๓ ด้าน คือ ดา้ นความรู้ทไี่ ดร้ ับ ดา้ นทกั ษะที่เกดิ ขน้ึ
และด้านคุณลักษณะชีวิตที่ตอ้ งการเน้น
๑๙
บรรณานกุ รม
หลกั สตู รปฐมวยั พุทธศกั ราช ๒๕๖๐. (๒๕๖๐). [ออนไลน]์ . จาก http://academic.obec.go.th/
[สืบค้น ๑๐ ธนั วาคม ๒๕๖๕]
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน. (๒๕๕๑). [ออนไลน]์ . จาก http://academic.obec.go.th/
[สบื คน้ ๑๐ ธนั วาคม ๒๕๖๕]
หลกั สูตรประกาศนยี บตั รวิชาชีพ พุทธศกั ราช ๒๕๖๒. [๒๕๖๒]. [ออนไลน์].จาก https://bsq.vec.go.th/
[สืบคน้ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๕]
หลกั สูตรประกาศนยี บตั รวิชาชีพช้นั สูง พุทธศกั ราช ๒๕๖๓. [๒๕๖๓]. จาก https://bsq.vec.go.th/
[สืบคน้ ๑๑ ธนั วาคม ๒๕๖๕]
หลกั สตู รระดบั อดุ มศึกษา. [๒๕๕๘]. [ออนไลน์]. จาก http://cid.buu.ac.th/
[สบื ค้น ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๕]
ลักษณะของหลักสตู รในศตวรรษที่ ๒๑. [๒๕๖๐]. [ออนไลน์]. http://kannikasunatda.blogspot.com/
[สืบค้น ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๕
๒๐
๑