The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การนับ เวลา แบบไทย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by piyapatmos10, 2022-12-23 21:10:05

การนับ เวลา แบบไทย

การนับ เวลา แบบไทย

การนับ
เวลา
แบบไทย


ศักราช

ศักราช หมายถึง อายุเวลาซึ่งกำหนดตั้งขึ้นเป็นทางการ เริ่มแต่จุดใดจุดหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นที่หมายเหตุการณ์
สำคัญ เรียงลำดับกันเป็นปีๆศักราชที่นิยมใช้กันและที่สามารถพบในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้แก่

พุทธศักราช (พ.ศ.) มหาศักราช (ม.ศ.) รัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ.)

เริ่มนับตั้งแต่พระพุ ทธเจ้าได้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน เริ่มนับเมื่อพระระเจ้ากนิษกะแห่งราชวงศ์กุษาณะ เมื่อ พ.ศ. ผ่านมาได้ 2,325 ปี ซึ่งพระบาทสมเด็จ พระ
ซึ่งแต่เดิมนับเอาวันเพ็ญเดือนหก เป็นวันเปลี่ยนศักราช กษัตริย์ผู้ครอง คันธาระราฐของอินเดียทรงคิดค้นขึ้น จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงพระกรุณาโปรด
ต่อมาเปลี่ยนแปลงให้ถือเอาวันที่ 1 เมษายนแทน ต่อมา ภายหลั งได้เผยแพร่เข้าสู่บริเวณสุ วรรณภู มิและ เกล้าฯ ให้บัญญัติขึ้น โดยเริ่มนับวันที่ พระบาทสมเด็จ
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระอนันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ประเทศไทย ผ่านทางพวกพราหมณ์และพ่อค้าอินเดียที่ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) ทรงสร้าง
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ โดย เดินทางเข้ามาติดต่อค้าขายในดินแดนแถบนี้ กรุงเทพมหานคร เป็น ร.ศ. 1 และวันเริ่มต้นปี คือ วันที่ 1
เริ่มนับตามแบบสากล คือ วันที่ 1 มกราคม ตั้งแต่ปี เมษายน ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่
พ.ศ. 2483.เป็นต้นมา จุลศักราช (จ.ศ.) หัว (รัชกาลที่6)ได้ยกเลิกการใช้ร.ศ.

คริสต์ ศักราช (ค.ศ.) ฮิจเราะห์ศักราช (ฮ.ศ.)

เริ่มนับตั้งแต่ปีที่พระเยซูเกิด เป็นค.ศ. 1 ซึ่งในขณะนั้น เริ่มนับเมื่อ พ.ศ. ผ่านมาได้ 1,181 ปี โดยนับเอาวันที่ เป็นศักราชทางศาสนาอิสลาม เริ่มนับเมื่อท่านนบีมุฮัม
ได้มีการใช้ พุทธศักราชเป็นเวลาถึง 543 ปีแล้ว การ พระเถระพม่ารูปหนึ่งนามว่า "บุพโสระหัน" ลึกออกจาก หมัด กระทำฮิจเราะห์ (Higra แปลว่า การอพยพโยก
คำนวณเดือนของ ค.ศ. จะเป็นแบบสุริยคติ ดังนั้นวันขึ้น การเป็นพระ เพื่อชิงราชบัลลังก์ในสมัยพุกามอาณาจักร ย้าย) คือ อพยพจากเมืองเมกกะ ไปอยู่ที่เมืองเมดินะ
ปีใหม่ของค.ศ. จะเริ่มในวันที่ 1 มกราคมของทุกปี การนับเดือน ปี ของ จ.ศ. จะเป็นแบบจันทรคติ โดยถือ เป็นปีเริ่มต้นของศักราชอิสลาม
วันขึ้น1ค่ำเดือน5เป็นวันขึ้นปีใหม่

การเทียบศักราช

การเปรียบเทียบศักราชสามารถกระทำได้ง่ายๆ โดยนำตัวเลขผลต่างของอายุศักราชแต่ละศักราชมาบวก
หรือลบศักราขที่เราต้องการ ตามหลักเกณฑ์ ดังนี้

ม.ศ. + 621 = พ.ศ. ค.ศ. + 543 = พ.ศ.
พ.ศ. - 621 = ม.ศ. พ.ศ. - 543 = ค.ศ.
จ.ศ. + 1181 = พ.ศ. ฮ.ศ. + 621 = ค.ศ.
พ.ศ. - 1181 = จ.ศ. ค.ศ. - 621 = ฮ.ศ.
ร.ศ. + 2324 = พ.ศ. ฮ.ศ. + 1164 = พ.ศ.
พ.ศ. - 2324 = ร.ศ. พ.ศ. - 1164 = ฮ.ศ.

* ปัจจุบันศักราชที่ใช้กันมาก คือ คริสต์ศักราชและพุทธศักราช เมื่อเปรียบเทียบศักราช ทั้งสองต้องใช้ 543 บวกหรือลบแล้วแต่
กรณี ถ้าเทียบได้คล่องจะทำให้เราเข้าใจประวัติศาสตร์ไทย หรือสากลได้ง่ายขึ้น


ทศวรรษ ศตวรรษ สหัสวรรษ

ทศวรรษ มาจากคำว่า ทศ (ทด-สะ) แปลว่า 10 ส่วนวรรษแปลว่า ปี

จะนับตั้งแต่ปีที่ลงท้ายด้วย 0 จนถึงปีที่ลงท้ายด้วย 9 เช่น ค.ศ.1986 คือ ทศวรรษ 9 ในศตวรรษที่ 20
เป็นต้น ส่วนในรูปแบบที่ 2 จะนับโดยไม่อิงถึงศตวรรษ เช่น ปี 1986 คือ ทศวรรษที่ 1980 หรือภาษาอังกฤษ
จะเป็น 1980s (ใช้ s ตามหลังเพื่อสื่อถึงศตวรรษ)

ศตวรรษ ศตวรรษ มาจากคำว่า ศต (สัด-ตะ) แปลว่า 100 ส่วนวรรษก็แปลว่า ปีวิธีดูก็คือถ้าหากว่าเลข 2
ตัวท้ายเป็น 00 เลขที่ศตวรรษจะเป็นเลข 2 ตัวหน้า แต่ถ้าเลข 2 ตัวท้ายไม่ใช่ 00 เลขที่ศตวรรษจะเป็นเลข
2 ตัวหน้าบวกด้วย 1 เช่น ปี 1800 อยู่ในศตวรรษที่ 18 และปี 1986 อยู่ในศตวรรษที่ 20

สหัสวรรษ มาจากคำว่า สหัส (สะ-หัด-สะ) แปลว่า 1,000 ส่วนวรรษแปลว่า ปี
วิธีดูถ้าให้นับตามหลักก็จะคล้ายกับศตวรรษ คือ ถ้าหากว่าเลข 3 ตัวท้ายเป็น 000 เลขที่ศตวรรษจะเป็นเลข
ตัวหน้าสุด แต่ถ้าเลข 2 ตัวท้ายไม่ใช่ 00 เลขที่ศตวรรษจะเป็นเลขตัวหน้าสุดบวกด้วย 1 เช่น ปี 1000 อยู่
ในสหัสวรรษที่ 1 และปี 1986 อยู่ในสหัสวรรษที่ 2


การบอกวัน เดือน ข้างขึ้นและข้างแรม


การนับเวลาแบบจันทรคติ เป็นการนับเวลาโดยยึดเอาการโคจรรอบโลกของดวงจันทร์เป็นหลัก ซึ่งวันทาง
จันทรคติเรียกว่า ข้างขึ้น ข้างแรม อ้าย(๑) มกราคม

ยี่(๒) กุมภาพันธ์

๑ หมายถึง วันอาทิตย์ สาม(๓) มีนาคม

๒ หมายถึง วันจันทร์ สี่(๔) เมษายน

๓ หมายถึง วันอังคาร ห้า(๕) พฤษภาคม

๔ หมายถึง วันพุธ หก(๖) มิถุนายน

๕ หมายถึง วันพฤหัส เจ็ด(๗) กรกฎาคม

๖ หมายถึง วันศุกร์ แปด(๘) สิงหาคม

๗ หมายถึง วันเสาร์ แเก้า(๙) กันายายน

สิบ(๑๐) ตุลาคม

สิบเอ็ด(๑๑) พฤศจิกายน

สิบสอง(๑๒) ธันวาคม


การนับในรอบวัน

คนไทยสมัยก่อนใช้การตีฆ้องและตีกลองเพื่อเป็นสัญญาณบอกเวลา คำ โมง จึงเป็นคำ
ที่เลียนเสียงฆ้อง ส่วนคำ ทุ่ม เลียนมาจากเสียงกลองนั่นเอง พจนานุกรม ฉบับ
ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้อธิบายคำศัพท์ที่เกี่ยวกับการนับเวลาของไทยไว้ดังนี้


โมง หมายถึง วิธีนับเวลาตามประเพณีในเวลากลางวัน ถ้าเป็น
เวลาก่อนเที่ยงวัน ตั้งแต่ ๗ นาฬิกา ถึง ๑๑ นาฬิกา เรียกว่า โมงเช้า
ถึง ๕ โมงเช้า ถ้าเป็น ๑๒ นาฬิกา นิยมเรียกว่า เที่ยงวัน ถ้าหลัง
เที่ยงวัน ตั้งแต่ ๑๓ นาฬิกา ถึง ๑๗ นาฬิกา เรียกว่า บ่ายโมง ถึง
บ่าย ๕ โมง ถ้า ๑๘ นาฬิกา นิยมเรียกว่า ๖ โมงเย็น หรือ ยํ่าคํ่า

ทุ่ม หมายถึง วิธีนับเวลาตามประเพณีสําหรับ ๖ ชั่วโมงแรกของ
กลางคืน ตั้งแต่ ๑๙ นาฬิกา ถึง ๒๔ นาฬิกา เรียกว่า ๑ ทุ่ม ถึง ๖
ทุ่ม แต่ ๖ ทุ่ม นิยมเรียกว่า สองยาม

ตี หมายถึง วิธีนับเวลาตามประเพณีในเวลากลางคืน หลังเที่ยง
คืน ตั้งแต่ ๑ นาฬิกา ถึง ๖ นาฬิกา เรียกว่า ตี ๑ ถึง ตี ๖ แต่ตี ๖
นิยมเรียกว่า ยํ่ารุ่ง


การนับยามกลางคืน

ยาม เป็นการนับเวลากลางคืนในประเทศไทยสมัยโบราณ และพบในการพากย์
ภาพยนตร์จีนที่เรียกว่า ชั่วยาม โดยในจีนแบ่ง ๑ วันเป็น ๑๒ ชั่วยามตามที่บอกไว้ในธงชาติ
สาธารณรัฐจีน ขณะที่หนึ่งยามของไทยมีค่าประมาณ ๓ ชั่วโมง


คำที่เกี่ยวกับ “ยาม” ที่คนไทยเรารู้จักและเข้าใจดีคำหนึ่งก็คือ “แขก
ยาม” ซึ่งได้แก่แขกที่เป็นชาวอินเดีย มักจะเป็นแขกปาทาน นุ่งผ้าขาวโจง
กระเบน ที่เรามักว่าจ้างให้มาอยู่ยามตามตลาด หรือโรงเลื่อยโรงสี ตลอด
จนโรงแรมใหญ่ ๆ บางคนก็มีเตียงนอนถักด้วยเชือก เขามักจ้างเฝ้ายาม
เฉพาะในเวลากลางคืน แขกพวกนี้มักจะถือกระบองอันโต ๆ น่าเกรงขาม
และมักจะตีเหล็กแผ่นเป็นสัญญาณบอกเวลาทุกชั่วโมง

คำว่า “ยาม” ที่เรานับกันตามแบบไทย ๆ กับ “ยาม” ของแขกตามที่ปรากฏในบาลีนั้นแตกต่างกัน
ทั้งนี้เพราะคืนหนึ่งเราแบ่งเป็น ๔ ยาม ยามละ ๓ ชั่วโมง

ตั้งแต่ย่ำค่ำ คือ ๑๘ นาฬิกา ถึง ๓ ทุ่ม (๒๑ นาฬิกา) เป็นยามที่ ๑
หลังจาก ๒๑ นาฬิกา หรือ ๓ ทุ่ม ไปถึง ๒๔ นาฬิกา หรือ เที่ยงคืน เราเรียกว่า ยาม ๒ หรือ ๒
ยาม
หลัง ๒๔ นาฬิกา ไปถึงตี ๓ (๓ นาฬิกา) เราเรียกว่า ยาม ๓
และหลังจากตี ๓ ไปจนย่ำรุ่ง หรือ ๖ นาฬิกา เราเรียกว่า ยาม ๔ ซึ่งเป็นยามสุดท้ายของคืน

ปฐมยาม หรือ ยามแรก ได้แก่ช่วงเวลา ๑๘.๐๐-๒๒.๐๐ น.
ทุติยยาม หรือ ยามที่ 2 ได้แก่ช่วงเวลา ๒๒.๐๐-๐๒.๐๐ น. และ
ปัจฉิมยาม หรือ ยามสุดท้าย ได้แก่ช่วงเวลา ๐๒.๐๐-๐๖.๐๐ น.


RESOURCES


Click to View FlipBook Version