ร า ย ง า น วิ จั ย
การศึกษาพฤติกรรมการไม่เข้าทำแบบทดสอบออนไลน์
ในรายวิชา ภาษาอังกฤษอ่าน - เขียน 3 ระดับชั้ น ม.5/5
โรงรียนชุมแสงชนูทิศ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564
น า ง ส า ว ท รั พ ย์ ส ม บู ร ณ์ ป ร ะ ก า ย ส กุ ล
ตำ แ ห น่ ง ค รู วิ ท ย ฐ า น ะ ชำ น า ญ ก า ร
โ ร ง เ รี ย น ชุ ม แ ส ง ช นู ทิ ศ
สำนักงานเขตพื้นที่ การศึ กษามัธยมศึ กษานครสวรรค์
สำนักงานคณะกรรมการศึ กษาขั้ นพื้นฐาน
บทนำ
ในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ วิธีการสอนเป็นสิ่งสำคัญประการหนึ่งที่จะช่วยให้นักเรียนสามารถ
เรียนรู้ภาษาอังกฤษ สามารถอ่านออก พูด และเขียนได้อย่างรวดเร็ว โดยครูผู้สอนจะต้องคำนึงถึงหลัก จิตวิทยาการเรียนการสอน
ภาษาอังกฤษและวัยของผู้เรียนซึ่งรูปแบบการสอนก็มีหลากหลายเช่นกัน การจัดการเรียนการสอนแบบ5 Step ได้ เป็นเทคนิคการสอนอีก
วิธีหนึ่งซึ่งมีขั้นตอนการสอน ดังนี้ 1) การเรียนรู้ตั้งคำถาม หรือขั้นตั้งคำถาม 2) การเรียนรู้แสวงหาสารสนเทศ 3) การเรียนรู้เพื่อสร้างองค์
ความรู้ 4) การเรียนรู้เพื่อการสื่อสาร
5) การเรียนรู้เพื่อตอบแทนสังคม เป็นขั้นตอนการฝึกเด็กให้นำความรู้ที่เข้าใจ นำการเรียนรู้ไปใช้ประโยชน์เพื่อส่วนรวม หรือเห็นต่ประโยชน์
ส่วนรวมด้วยการทำงานเป็นกลุ่ม ร่วมสร้างผลงานที่ได้จากการแก้ปัญหาสังคมอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งอาจเป็นความรู้ แนวทางสิ่งประดิษฐ์
ซึ่งอาจเป็นนวัตกรรม ด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม อันเป็นการแสดงออกของการเกื้อกูล และแบ่งปันให้สังคมมีสันติอย่างยั่งยืนจากการ
จัดการเรียนการสอนกลุ่มสาระภาษาต่างประเทศก่อนกลางภาค ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 ที่ผ่านมา พบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ 5/5 ซึ่งเป็นนักเรียนห้องเรียนพิเศษภาษาอังกฤษ-จีน จำนวน 2คน ไม่เข้าทำแบบทดสอบหลังเรียนออนไลน์ตามเวลาที่กำหนดจากการ
สอบถามผู้ปกครองนักเรียนได้รับการสนับสนุนในเรื่องอุปกรณ์การเรียน ออนไลน์อย่างเต็มที่ จากการสังเกตพฤติกรรมการเรียนก่อนกลาง
ภาค ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 พบว่าปัจจัยที่ส่งผลให้การเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียนกลุ่มนี้มีข้อจำกัดคือ นักเรียนขาดความ
มั่นใจในการสื่อสารทั้งการอ่านและการเขียน ประกอบกับ นักเรียนมีพื้นฐานทางการเรียนภาษาอังกฤษช้ากว่านักเรียนคนอื่น ส่งผลให้
นักเรียนกลุ่มดังกล่าวขาดทักษะด้านการสื่อสาร นักเรียนเรียนเกิด ความเบื่อหน่ายในการเรียน จากสภาพปัญหาดังกล่าว อาจส่งผลให้ผล
สัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนไม่เป็นไปตามค่าเป้าหมายของทางโรงเรียน ปีการศึกษา 2564 ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะแก้ปัญหา
ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน (Peer-assisted Learning) เพื่อแก้ปัญหาการไม่เข้าทำแบบทดสอบหลังเรียนออนไลน์ตามเวลา
ที่กำหนดสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/5 เนื่องด้วยทักษะการอ่านและเขียนเป็นทักษะที่สำคัญที่สามารถทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
และการสื่อสาร จุดเด่นสำคัญที่ผู้วิจัยคิดว่าจะสามารถทำให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/5 โรงเรียนชุมแสงชนูทิศเกิดการเรียนรู้ที่ดีคือ
เป็นกิจกรรมการเรียนรู้โดยให้ผู้เรียนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แทนที่ครูจะเป็นผู้สอนโดยตรง เป็นการสอนกันแบบตัวต่อตัวที่เพื่อนสามารถ
ช่วยเหลือแนะนำเพื่อนได้โดยตรงหรือใช้สื่อการเรียนรู้อื่นมาประกอบ เป็นการสอนที่เน้นปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียน ด้วยกัน โดยให้
ผู้เรียนที่เก่งกว่าได้มีโอกาสถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้เรียนที่อ่อนกว่าภายในกลุ่มเดียวกัน การนำกิจกรรมการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนมาใช้
ในการพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/5 เพื่อศึกษาว่านักเรียนที่ได้รับ
การจัดการเรียนรู้โดย การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน จะสามารถยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาอังกฤษเพื่อ
การสื่อสาร 4 ในภาคเรียนที่2/2564 ได้หรือไม่ และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนภาษาอังกฤษในระดับใด
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อแก้ไขปรับเปลี่ยนพฤติการการเข้าทำแบบทดสอบหลังเรียนของ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/5 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเพื่อน
ช่วยเพื่อนก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
2. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถด้านทักษะการอ่านการเขียนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/5 ภายหลังได้
รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบแบบเพื่อนช่วยเพื่อนกับเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือนักเรียนได้รับการเรียนระดับ 3 ร้อยละ 50
3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการเรียนรายวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร 3 ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/5 ของนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 5/5 หลังผ่านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามรูปแบบการการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน
ประโยชน์ของการวิจัย
1. นักเรียนได้เรียนรู้วิธีการอ่านการเขียนและสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ตลอดจนนักเรียนสามารถ นำประสบการณ์การเรียนรู้ที่ได้
จากการฝึกทักษะการอ่านการเขียนไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้
2. เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามรูปแบบการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อนให้กับครู ผู้สอนทั้งในระดับชั้นเดียวกันและต่างระดับ
ชั้นกัน ตลอดจนเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ในรายวิชาอื่นๆ ต่อไป
3. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มมากขึ้น
สมมติฐานของการวิจัย
1. นักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการเข้าทำ
แบบทดสอบหลังเรียนตามเวลาที่กำหนด
2. นักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน ร้อยละ 70 มีคะแนนเฉลี่ยรายวิชาภาษา
อังกฤษเพื่อการสื่อสาร 3 ในระดับ 3
ขอบเขตของการวิจัย
ขอบเขตประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 1 ห้องเรียน รวม 20 คน ซึ่งมี
สถิติการเข้าทำแบบทดสอบหลังเรียนน้อยกว่าร้อยละ 50 ของแบบทดสอบทั้งหมดจำนวน 8 แบบทดสอบหลังเรียนออนไลน์จำนวน 2 คน
ขอบเขตเนื้อหา
เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วยวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การจัดกิจกรรมแบบ เพื่อนช่วยเพื่อน (Peer-assisted
Learning) ตามแนวความคิดของ อาภรณ์ใจเที่ยง (2546 : 122-123) ซึ่งประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ 1) ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 2) ขั้นสอน 3)
ขั้นทำกิจกรรมกลุ่ม 4) ขั้นตรวจสอบ ผลงาน 5) ขั้นสรุปบทเรียนและประเมินผลการทำงานกลุ่ม โดยใช้เนื้อหาตามหลักสูตรสถานศึกษา
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ รายวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร 3 หน่วยการเรียนรู้เรื่อง Critical Reading
ขอบเขตตัวแปร
ตัวแปรอิสระ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน
ตัวแปรตาม 1. ทักษะการอ่านการเขียนเพื่อการสื่อสาร 2. ความพึงพอใจต่อการเรียนภาษาอังกฤษ
วิธีดำเนินการวิจัย
กลุ่มประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา2564 โรงเรียนชุมแสงชนูทิศ
อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ จำนวน 20 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
ผู้วิจัยได้สร้างเครื่องมือเพื่อใช้ในการวิจัย มี 3 ชนิด ประกอบด้วย
1. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วยแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รายวิชาภาษาอังกฤษ หน่วยการเรียนรู้เรื่อง Critical
Readingโดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนและ 5 stepS สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5/5 จำนวน 1 แผน จำนวน 8
ชั่วโมง
2. แบบทดสอบหลังงเรียนออนไลน์
3. แบบประเมินความพึงพอใจต่อการเรียนภาษาอังกฤษ จำนวน 24 ข้อ
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลดังนี้
1. จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา2564
2. ดำเนินการจัดการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบเพื่อนช่วยเพื่อน จำนวน 1 แผน 8 ชั่วโมง
5. ประเมินหลังการทดลองโดยใช้เพื่อแบบทดสอบหลังเรียนครั้งที่ 9 และ แบบประเมินความพึงพอใจแล้วนำไปวิเคราะห์ด้วยวิธีทางสถิติ
การวิเคราะห์ข้อมูล การเข้าทำแบบทดสอบหลังเรียนของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียน
รู้ก่อนและหลังเรียนโดยใช้นวัตกรรม ที่ผ่านเกณฑ์โดยใช้ค่าร้อยละ 50
สรุปผลการวิจัย
1. ผลการเปรียบเทียบการเข้าทำแบบทดสอบหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาาปีที่ 5/5 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเพื่อน
ช่วยเพื่อน (Peer-Assisted Learning) ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ผลวิจัยพบว่า นักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ
เพื่อน ช่วยเพื่อน เลขที่ 1 และเลขที่ 7 มีคะแนนหลังเรียน สูงกว่าเพื่อนอย่างเห็นได้ชัดเจน
2. ผลการเปรียบเทียบความสามารถด้านทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/5 ที่ได้รับการจัด
กิจกรรมการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน (Peer-Assisted Learning) ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ผลวิจัยพบว่า นักเรียนที่ได้รับ
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเพื่อน ช่วยเพื่อนจำนวน 2 คน มีสถิติการเข้าทำแบบทดสอบหลังเรียนตามเวลาที่กำหนด
3. ผลการศึกษาความพึงพอใจต่อการเรียนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร 3 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/5 หลังผ่านการจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้ตามรูปแบบการการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน ผลวิจัยพบว่า หลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจต่อ
การเรียนภาษาอังกฤษโดยภาพรวม อยู่ ใ่ นระดับมาก มีคาเฉลี่ยเท่ากับ 4.19 และเมื่อพิจารณาแต่ละด้าน พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจ ต่อ
ด้านครูผู้สอนและอยู่ในระดับมากที่สุด และมีความพึงพอใจต่อด้านเนื้อหาวิชาด้านการจัดกิจกรรม การเรียนรู้และด้านการวัดและประเมิน
ผลอยู่ในระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 4.02, 4.11 และ 4.22 ตามลำดับ
การอภิปรายผล
จากผลการวิจัย นักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเพื่อน ช่วยเพื่อนจำนวน 2 คน มีสถิติการเข้าทำแบบทดสอบหลังเรียนตาม
เวลาที่กำหนด ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ทั้งนี้ เนื่องจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนเป็นรูปแบบที่มุ่งพัฒนาเด็กทุก
คนที่มีความสามารถ แตกต่างกันทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา ให้มีความสามารถในการเรียนรู้เท่ากัน เน้นให้นักเรียนมี
การรวมกลุ่มเพื่อการทำงานหรือในการปฏิบัติกิจกรรม การเรียนการสอนมุ่งให้ผู้เรียน ที่มีผลสัมฤทธิ์อยู่ในเกณฑ์ต่ำได้รับประโยชน์จากเพื่อน
ช่วยเพื่อนจากนักเรียนที่เก่งกว่าหรือมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนสูงกว่า นักเรียนสามารถดูแลกันได้ทั่วถึง อยู่ในวัยใกล้เคียงกัน มีความสนิท
สนมกัน ภาษาที่ใช้ ในการสื่อสารเข้าใจได้ดีสะดวก กล้าซักถามกันเอง จึงทำให้บรรยากาศการเรียนไม่เครียด มีความสุข เป็นกันเอง พร้อมทั้ง
เป็นการฝึกทักษะทางสังคม ถ้อยทีถ้อยอาศัย ส่งผลให้สังคมอยู่รวมกันอย่างเป็นสุข จากเหตุผลดังกล่าว จึงทำให้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
แบบเพื่อนช่วยเพื่อนมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนสูงขึ้น จากการวิจัยพบว่า หลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนภาษาอังกฤษ ภาพรวมอยู่ ใ่ นระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.19และเมื่อพิจารณาแต่ละด้านพบว่า
นักเรียน มีความพึงพอใจต่อด้านครูผู้สอนอยู่ในระดับมากที่สุดทั้งนี้เพราะว่านักเรียนได้มีโอกาสทำกิจกรรมร่วมกันเป็นกลุ่มโดย คละความ
สามารถลงมือปฏิบัติทำให้เกิดความสนุกสนาน สมาชิกทุกคนมีความสำคัญต่อกลุ่มและเห็นคุณค่า ของตนเองกิจกรรมสอดคล้องกับความ
ต้องการความสนใจเหมาะสมกับวัยและเรียนรู้อย่างมีความสุขและ ขณะที่ทำกิจกรรมครูผู้สอนคอยให้คำแนะนำและให้กำลังใจ สนับสนุน
กระบวนการทำงานของนักเรียน
ข้อเสนอแนะ
ข้อเสนอแนะการนำผลการวิจัยไปใช้
1 ก่อนที่จะจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนครูผู้สอนควรอธิบายขั้นตอนวิธีการ ให้นักเรียนที่ทำหน้าที่สอนเพื่อนให้เข้าใจเสียก่อน
ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักเรียนที่ทำหน้าที่ช่วยเพื่อน
2. ในการทำกิจกรรมตามแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ควรยืดหยุ่นเวลาในการทำ กิจกรรมการพูดตามความเหมาะสมของ
เนื้อหาที่สอน เพื่อให้นักเรียนไม่เกิดความคับข้องใจในการพูดในระยะ เวลาที่จำกัด
3. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน ในขั้นทำกิจกรรมกลุ่ม ครูผู้สอนไม่ควรให้นักเรียน อยู่กลุ่มเดิมตลอด ควรให้นักเรียนได้
เปลี่ยนกลุ่มใหม่เมื่อสอนจบแต่ละชั่วโมง
ข้อเสนอแนะการวิจัยครั้งต่อไป
1. ควรมีการศึกษาเปรียบเทียบการเรียนที่เน้นกระบวนการเพื่อนช่วยเพื่อนกับวิธีการสอนหรือ เทคนิคการสอนรูปแบบต่างๆ เพื่อจะได้เป็น
แนวทางในการปรับปรุงพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
2. ควรมีการศึกษาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนในระดับชั้นอื่นและกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นๆ