รายงานการวิจัย การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 ด้วยการใช้หลักการออกเสียงตามหลัก IPA (International Phonetic Alphabet ) และจัดการเรียนรู้รูปแบบ GPAS 5 ขั้นตอน โดย นางสาวทรัพย์สมบูรณ์ ประกายสกุล ตำแหน่ง ครู ชำนาญการพิเศษ โรงเรียนชุมแสงชนูทิศ อำเภอ ชุมแสง จังหวัด นครสวรรค์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครสวรรค์
1 ชื่อเรื่อง : การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 ด้วยการใช้หลักการออกเสียงตามหลัก IPA (International Phonetic Alphabet )และจัดการเรียนรู้รูปแบบ GPAS 5 ขั้นตอน ชื่อผู้วิจัย : นางสาวทรัพย์สมบูรณ์ ประกายสกุล ประเภทผลงานวิชาการ : ผลงานวิจัย บทคัดย่อ จุดมุ่งหมายของการวิจัยนี้(1) เพื่อพัฒนานวัตกรรมพัฒนาการออกเสียงตัวอักษรในภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมแสงชนูทิศ ที่เรียนในรายวิชา ภาษาอังกฤษ 2 รหัสวิชา อ 31102 (2) เพื่อศึกษาผลการพัฒนาการออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมแสงชนูทิศ ที่เรียนในรายวิชา ภาษาอังกฤษ 2 รหัสวิชา อ31102 โดยมีวิธีดำเนินการกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/2 โรงเรียนชุมแสงชนูทิศ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 10 คน โดยวิธีการสุ่มแบบง่าย (Simple Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ หลักการออกเสียงตามหลัก IPA (International Phonetic Alphabet ) และจัดการเรียนรู้รูปแบบ GPAS 5 ขั้นตอน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และโปรแกรม ทดสอบที T (t-test) ผลการศึกษาพบว่า 1. ผลการพัฒนานวัตกรรมเพื่อพัฒนาการออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมแสงชนูทิศ ที่เรียนในรายวิชา ภาษาอังกฤษ 2 รหัสวิชา อ31102 ปรากฏผลว่า คำศัพท์และระดับของคำศัพท์ที่ได้อยู่ในแบบฝึกทักษะนั้นมีความ เหมาะสมในด้านเนื้อหา ทั้งนี้เนื่องจาก คำศัพท์ที่ถูกบรรจุอยู่ในแบบฝึกทักษะนั้นมีความสอดคล้องเหมาะสมที่ จะต้องฝึกให้นักศึกษาออกเสียงได้ ถูกต้องตามหลักการออกเสียงภาษาอังกฤษสากล ( International Phonetic Alphabet: IPA) โดยเฉพาะ อย่างยิ่งเสียงพยัญชนะและสระที่มีความแตกต่างหรือเสียงที่ไม่มีในภาษาไทยแต่มักถูก ออกเสียงผิดบ่อยครั้ง เช่น เสียง f เสียง r เสียง th เสียง v เป็นต้น 2. ผลการพัฒนาการออกเสียงตัวอักษรในภาษาอังกฤษ ก่อนเรียน – หลังเรียน หลังจากที่ทดสอบ นักเรียนด้านการอ่านออกเสียงสะกดคำโดยใช้แบบทดสอบก่อนเรียน – หลังเรียนแล้ว ปรากฏผลดังนี้ หลังจาก การใช้นวัตกรรมแล้วนักเรียนมีทักษะการออกเสียงสะกดคำ ภาษาอังกฤษที่ดีขึ้น ซึ่งพบว่า หลังได้รับการฝึก ทักษะการออกเสียงภาษาอังกฤษให้ถูกต้องตามหลักสากล (International Phonetic Alphabet: IPA) นั้น นักศึกษา มีหลักการในการออกเสียงให้สามารถออกเสียงพยัญชนะ ที่ไม่มีในเสียงภาษาไทยได้ถูกต้อง เช่น เสียง f ในคำว่า forward เสียง th ในคำว่า thousand เป็นต้น
2 ประกาศคุณูปการ รายงานการวิจัยฉบับนี้สำเร็จอย่างสมบูรณ์ ได้ด้วยความช่วยเหลืออย่างดียิ่งจาก สมาชิกชุมชนแห่งการ เรียนรู้ (PLC) ของคณะครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โรงเรียนชุมแสงชนูทิศ ที่ได้กรุณาให้ คำแนะนำปรึกษา และข้อมูลต่างๆ ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ โอกาสนี้ ขอขอบพระคุณคุณครูวารุณี โกสีย์ไกรนิรมล หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โรงเรียน ชุมแสงชนูทิศ คุณครูอดิเรก ทองศรี และคุณครูนัฏฐา พรมพิทักษ์ คุณครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ ที่ได้กรุณาให้คำแนะนำตลอดจนตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ขอขอบคุณผู้อำนวยการโรงเรียนชุมแสงชนูทิศ อำเภอชุมแสง จังหวัด นครสวรรค์ และขอขอบคุณ คุณครูที่ปรึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ทุกท่าน ที่ได้ให้ความอนุเคราะห์ อำนวยความสะดวก และให้ความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่งในการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูล คุณค่าและประโยชน์อันพึงมีจากการศึกษาวิจัยนี้ ผู้วิจัยขอน้อมบูชาพระคุณบิดามารดาและบูรพาจารย์ ทุกท่านที่ได้อบรมสั่งสอนวิชาความรู้ และให้ความเมตตาแก่ผู้วิจัยมาโดยตลอด เป็นกำลังใจสำคัญที่ทำให้การ ศึกษาวิจัยฉบับนี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี ทรัพย์สมบูรณ์ ประกายสกุล ผู้วิจัย
3 สารบัญ หัวเรื่อง หน้า บทที่ 1 บทนำ 4 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 4 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 4 ขอบเขตของการวิจัย 5 นิยามศัพท์เฉพาะ 5 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 6 1. หลักการออกเสียงตามหลักIPA……..……… 6 2 กระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ (GPAS 5 Steps) …………..…………………………………..13 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง/เป้าหมาย 17 2. เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 18 3. ขั้นตอนการสร้าง ………… 18 4. วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล 18 5. การวิเคราะห์ข้อมูล 19 6. สถิติที่ใช้ 19 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 20 ตอนที่ 1 ผลการสร้างและผลการหาประสิทธิภาพ…………. 20 ตอนที่ 2 ผลการใช้………………………………………………. 20 ตอนที่ 3 ผลการประเมินความพึงพอใจที่มีต่อ…………………………………………….……………20 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 20 สรุปผลการวิจัย 20 อภิปรายผล 20 ข้อเสนอแนะ 20 บรรณานุกรม…………… 21
4 บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ในปัจจุบันการสื่อสารโดยใช้ภาษาอังกฤษ ซึ่งถือว่าเป็น ภาษากลางเพื่อใช้ในการสื่อสารอย่างแพร่หลายทั่วโลก และการจัดการศึกษาของประเทศเทศไทยได้ให้ความสำคัญกับภาษาต่างประเทศ โดยการจัดให้มีการจัดการ เรียนรู้ตามโครงสร้างหลักสูตรสถานศึกษาเพื่อเป้าหมายเพื่อนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน จากการจัดการ เรียนการสอนภาคเรียนที่ 1/2565 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 รายวิชา ภาษาอังกฤษ1 รหัสวิชา อ31101 พบว่านักเรียนยังประสบปัญหาในการออกเสียงภาษาอังกฤษ เนื่องจาก ภาษาอังกฤษมีหลักการออกเสียงที่ แตกต่างกับภาษาไทยจึงทำให้หลายครั้งต้องประสบปัญหาในการออก เสียงคือ การออกเสียงคำผิด โดยอาจ เนื่องมาจากสาเหตุดังต่อไปนี้ 1. นักเรียนได้รับการเรียนรู้ในการออกเสียงภาษาอังกฤษที่ไม่ถูกต้องในตอนเริ่มต้นการเรียนภาษาอังกฤษ 2.นักเรียนขาดโอกาสหรือช่วงเวลาในการฝึกฝนการออกเสียงภาษาอังกฤษเนื่องจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ นักเรียนใช้เพื่อเรียนและนำไปใช้ในการวัดความรู้เท่านั้น ไม่ได้นำไปใช้ในชีวิตประจำวันหรือสถานการณ์ในชีวิต จริง จากปัญหาของนักเรียนข้างต้น ผู้วิจัยได้เล็งเห็นวิธีแก้ปัญหากล่าวนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนใน รายวิชา ภาอังกฤษ 2 รหัสวิชา อ31102 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ด้วยการใช้หลักการออกเสียงตาม หลัก IPA (International Phonetic Alphabet )ร่วมกับจัดการเรียนรู้รูปแบบ GPAS 5 ขั้นตอน และโดย ผู้วิจัยได้รวบรวมแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงพยัญชนะและสระ ภาษาอังกฤษที่ถูกต้องได้มาตรฐาน เพื่อให้ นักศึกษาได้รู้วิธีการออกเสียงภาษาอังกฤษที่ถูกต้อง จึงนำมาซึ่งการทำ วิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านออก เสียงภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ด้วยการใช้หลักการออกเสียงตามหลัก IPA (International Phonetic Alphabet )และจัดการเรียนรู้รูปแบบ GPAS 5 ขั้นตอน วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อพัฒนานวัตกรรมพัฒนาการออกเสียงตัวอักษรในภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมแสงชนูทิศ ที่เรียนในรายวิชา ภาษาอังกฤษ 2 รหัสวิชา อ31102 2. เพื่อศึกษาผลการพัฒนาการออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียน ชุมแสงชนูทิศ ที่เรียนในรายวิชา ภาษาอังกฤษ 2 รหัสวิชา อ31102
5 ขอบเขตของการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยพัฒนาการออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษของนักเรียน ซึ่งมีขอบเขตของ การศึกษาดังนี้ 1.ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมแสงชนูทิศ ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2565 จำนวน 372 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมแสงชนูทิศ ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2565 จำนวน 10 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบกลุ่ม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาที่เรียนตามโครงสร้าง หลักสูตรเหมือนกันและเป็นนักเรียนร่วมการฝึกออกเสียง 2. ระยะเวลา ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2565 3. เนื้อหา เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย การออกเสียงพยัญชนะและสระในภาษาอังกฤษ นิยามศัพท์เฉพาะ 1. นักเรียน หมายถึง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมแสงชนูทิศ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 2. การจัดการเรียนการสอน หมายถึง การจัดการเรียนการสอนรายวิชา ภาษาอังกฤษ 2 รหัสวิชา อ31102 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โดยใช้จัดการเรียนรู้รูปแบบ GPAS 5 ขั้นตอน การออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษ หมายถึง การอ่านออกเสียงพยัญชนะ – สระ ให้ถูกต้องตาม หลักการออก เสียงภาษาอังกฤษสากล (International Phonetic Alphabet: IPA) 2. นวัตกรรม หมายถึง วิธีการจัดการเรียนการเรียนรู้รูปแบบGPAS 5 ขั้นตอนร่วมกับชุดฝึกการออกเสียง ตัวอักษร ตามหลักการออกเสียงภาษาอังกฤษสากล (International Phonetic Alphabet: IPA) ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. นักเรียนสามารถออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ซึ่งเป็นพื้นฐานในการเรียน ระดับสูงต่อไป 2. ได้นวัตกรรมเพื่อพัฒนาการออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษซึ่งสามารถนำไปใช้จัดการเรียนรู้กับนักเรียนที่มี ปัญหา หรือ ตลอดจนเผยแพร่ผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสถานศึกษา หน่วยงานภายนอก และ ชุมชน เพื่อใช้ ประโยชน์จากนวัตกรรมนี้
6 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เป็นการศึกษาเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวกับ…(นวัตกรรม)….. และเนื้อหาตาม หลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน และหลักสูตรสถานศึกษาในสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง โดยนำเสนอใน ลักษณะของการเรียบเรียงเชิงสังเคราะห์ดังนี้ IPA ย่อมาจาก International Phonetic Alphabet หรือในชื่อไทยว่า ‘สัทอักษรสากล’ ซึ่งประกอบ ไปด้วยสัญลักษณ์เฉพาะที่สามารถใช้เป็นมาตรฐานแทนเสียงพูดได้ในทุกภาษา https://www.catdumb.com/old/?p=1064826 IPA นั้นก็เหมือนภาษาหนึ่งที่ประกอบไปด้วยสระ และพยัญชนะ เพียงแต่จะแยกลักษณะการออกเสียงตาม ตำแหน่งในปากของเรานั่นเอง ยกตัวอย่างเช่นสระตามรูปด้านบน ซึ่งสระจะขึ้นอยู่กับลิ้นจึงถูกแบ่งเป็น ด้านหน้าคือการใช้ลิ้นบริเวณใกล้ฟัน (Front), ตรงกลางคือลิ้นอยู่ตรงกลาง (Central), และด้านหลังคือลิ้นม้วนกลับไปยังลำคอ (Back) เป็นต้น Phonetics หรือหลักสัทศาสตร์ คือส่วนหนึ่งของภาษาศาสตร์ที่เกี่ยวกับการเรียนรู้อวัยวะภายในปากที่ใช้ใน การออกเสียง จำแนกเสียงแต่ละเสียง ธรรมชาติของการออกเสียง การเปล่งเสียง รวมถึงลักษณะทางกายภาพ ต่างๆ ของเสียงพูดด้วย IPA หรือสัทอักษรสากลที่ถูกพัฒนาเพื่อให้เป็นสัญกรณ์มาตรฐานสำหรับการแทน เสียงพูดในทุกภาษา นักภาษาศาสตร์จึงใช้ตัวอักษรสากลเหล่านี้เพื่อแทนหน่วยเสียงต่างๆ ที่อวัยวะออกเสียง ของเราสามารถออกเสียงได้ ทำให้เข้าใจการออกเสียงแต่ละภาษาโดยเฉพาะภาษาที่ยากๆ ได้ง่ายขึ้นเรียนรู้การ
7 ออกเสียงให้ถูกต้อง กับหลัก Phonetics และตัวอักษร IPA เบื้องต้น https://www.scholarship.in.th/phonetics-and-ipa/ สัทสัญลักษณ์ภาษาอังกฤษ และภาษาไทย (English and Thai IPA chart) IPA Chart ที่เราเห็นกันนั้น ไม่ใช่ตัวแทนของเสียงในภาษาใดภาษาหนึ่ง แต่เป็นตัวแทนของเสียงทุกภาษาบน โลก ในแต่ละภาษานั้น ก็จะมีสัทอักษรที่สามารถแทนเสียงในภาษานั้นๆ ของตนเองได้ เรายกตัวอย่างของ IPA symbols ของภาษาใกล้ตัวเองเราอย่างภาษาอังกฤษและภาษาไทย http://phoneticsfrungfring.blogspot.com/2014/12/english-and-thai-ipa-chart.html English Phonetic Symbols
8 Thai Phonetic Symbols
9 ตารางสัทอักษรในภาษาอังกฤษจะมีแตกต่างจากตารางตัวอักษรอย่างสิ้นเชิงดังนั้นหากเราดูเฉพาะคำที่เขียน เราก็จะไม่สามารถออกเสียงในแต่ละพยางค์ได้อย่างถูกต้อง เผยเคล็ดลับการออกเสียงภาษาอังกฤษอย่างถูกต้อง ด้วย IPA https://goga.ai/th/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99- %E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2 %E0%B8%87-%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2- %E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81/ ด้วยทักษะการฟัง: เมื่อคุณรู้การออกเสียงของคำคุณก็จะจำคำศัพท์เหล่านั้นได้อย่างง่ายดายเมื่อคุณได้ยิน ตัวอย่างเช่น หลังจากเรียนด้วยตาราง IPA เมื่อมีคนพูดว่า /ɪˈstæblɪʃ/ คุณจะรู้ว่าคำนั้นคือ establish ด้วยทักษะการพูด: เมื่อคุณเข้าใจแต่ละพยางค์ใน IPA แล้ว คุณจะสามารถพูดแต่ในละคำ วลี และทั้งประโยคได้ อย่างถูกต้องในขณะเดียวกัน ผู้ฟังก็จะเข้าใจข้อมูลที่คุณต้องการถ่ายทอดชัดเจนยิ่งขึ้น ส่วนประกอบในตาราง IPA ตารางสัทอักษร IPA ภาษาอังกฤษประกอบด้วย 44 เสียง (sounds) : สระ 20 ตัวและพยัญชนะ 24 ตัว จาก สระทั้งหมด 20 ตัว มีสระเดี่ยว 12 ตัว (monophthong) และสระควบกล้ำ 8 ตัว (diphthongs) เสียงจะ รวมกันเพื่อสร้างการออกเสียงของคำและแต่ละคำจะมีการเน้นเสียงของคำที่สอดคล้องกัน #1: สระเดี่ยว – monophthongs คำนิยาม:เสียงสระถูกกำหนดให้เป็นการสั่นสะเทือนของกล่องเสียงหรือเสียงที่เมื่อเปล่งออกมาจากกล่องเสียงไป ที่ริมฝีปากจะไม่ถูกปิดกั้น วิธีแยกแยะเสียงสระ:สระถูกแยกแยะบนปัจจัยหลัก 3 ประการดังต่อไปนี้: a. ตำแหน่งของลิ้น (tongue position) ตามตำแหน่งของลิ้นขณะออกเสียง สระ จะแบ่งออกเป็นสระหน้า (front) สระกลาง (middle) และสระหลัง (back)
10 เช่น /i/ เป็นเสียงสระหน้าเพราะว่าส่วนหน้าของลิ้นจะไปทางด้านหน้าของปากเวลาออกเสียง และ /u/ เป็น เสียงสระหลังเพราะส่วนหลังของลิ้นจะไปทางหลังของปาก สระยังถูกแปลงเป็น สระเสียงสูง (high) และสระเสียงต่ำ (low) ด้วยสระเสียงสูง ลิ้นของคุณจะดันเข้าไปใกล้ ช่องปากเช่นเดียวกับเสียง/i/ ตรงกันข้ามกับสระเสียงต่ำ ลิ้นจะลด t ลงไปที่ส่วนล่างของช่องปากเช่นเดียวกับ เมื่อคุณออกเสียง/ae/ b. ระดับความกลมของปาก (lip shape) ปากถูกมองว่าถ้าออกเสียงบริเวณปากจะสร้างรูปตัว O ส่วนที่เหลือจะตึง (ไม่กลม) บรรดาสระที่อยู่หน้าและสระที่อยู่กลางปากจะไม่กลม บรรดาสระที่อยู่หลัง /uː/, /ʊ/, /ɔː/ ปากจะกลม (/ɑː/ และ /ɒ/ ปากไม่กลม) c. ความตึงของกล้ามเนื้อปาก ความตึงของกล้ามเนื้อปากคือระดับของความตึงและคลายของกล้ามเนื้อรอบปากของคุณเมื่อคุณออกเสียง สระเกร็ง (กล้ามเนื้อปากถูกสร้างให้ตึงมากขึ้น): /iː/, /ɔː/, /uː/, /ɜː/, /ɑː/ ระดับความยาวของสระเกร็ง สามารถเปลี่ยนแปลงและมักจะยาวกกว่าสระคลาย สระคลาย (กล้ามเนื้อปากถูกสร้างให้เกร็งน้อยลง): /ɪ/, /e/, /æ/, /ʊ/, /ɒ/, /ʌ/, /ə/. สระคลายมักจะมี เสียงสั้น #2:สระควบกล้ำ -diphthongs dipthongs สระควบกล้ำ เป็น สระเดี่ยว 2 ตัวมารวมเป็นพยางค์เดียวกัน สระควบกล้ำประกอบด้วย 3 กลุ่ม:
11 กลุ่มเสียงสุดท้าย คือ ə: /ɪə/ ใน “dear”, /eə/ ใน “hair” , /ʊə/ใน “ensure”. กลุ่มเสียงสุดท้าย คือ ɪ: /eɪ/ ใน “play”, /ai/ ใน “kind”, /ɔɪ/ ใน “choice”. กลุ่มเสียงสุดท้าย คือ ʊ:/əʊ/ใน “low”, /aʊ/ ใน “now”. ในสระควบกล้ำเสียงแรกจะเป็นเสียงหลักและเสียงที่สองจะเป็นเสียงปิดไม่ใช่ให้ออกเสียงทีละเสียงนะ #3: พยัญชนะ – consonant พยัญชนะคือเสียงที่เปล่งออกมาจากกล่องเสียงผ่านปากหรือเมื่อเปล่งเสียงออกมาอากาศจากกล่องเสียงไปยัง ริมฝีปากถูกปิดกั้น ถูกกัก เช่น ลิ้นและริมฝีปากสัมผัสกัน ริมฝีปาก 2 ส่วนชนกันระหว่างการออกเสียง ก็จะทำ ให้เสียงพยัญชนะจะออกมาดังก็ต่อเมื่อรวมกับสระเท่านั้น กระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ (GPAS 5 Steps) การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมยกระดับคุณภาพการ เรียนรู้แบบ Active Learning ตามแนวคิด GPAS 5 Stepsเพื่อพัฒนาพหุปัญญาและสมรรถนะในศตวรรษที่ ๒๑ ขับเคลื่อนสู่ไทยแลนด์ ๔.๐โครงการความร่วมมือระหว่างคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ในพระบรมราชูปถัมภ์และสถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) เป็น กระบวนการ เรียนรู้ที่สามารถถักทอความรู้ทักษะกระบวนการ และค่านิยมอย่างกลมกลืน ในกระบวนการขั้น ต่าง ๆ โดยไม่ติดกับเนื้อหาวิชาจึงสามารถนำ ไปใช้ได้กับ ทุกวิชาและการเรียนรู้ที่ต้องใช้ศาสตร์ต่าง ๆ มา สัมพันธ์กัน เมื่อนักเรียน มีความสนใจ ความถนัดด้านใด สามารถเริ่มจากคำ ถาม ข้อสงสัยของตน หรือของ กลุ่ม แล้วแสวงหาข้อมูลเพื่อวิเคราะห์สังเคราะห์เป็นความรู้ที่เป็นหลักการ แล้วนำ หลักการที่ได้ไปประยุกต์ใช้ สร้างผลงาน นวัตกรรมที่นำ ไปใช้ประโยชน์กับชุมชน มีการประเมินกำ กับตนเอง ประเมินผลที่เป็นคุณค่าต่อ
12 สังคม 18 รวมทั้งสิ่งที่ต้องพัฒนาต่อไป เกิดเป็นองค์ความรู้ที่เกิดจากการปฏิบัติในสภาพจริง ของชุมชน แล้วจึง เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่พัฒนาสมรรถนะของนักเรียน ซึ่งสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงตนเองและสังคม ดังนั้น กระบวนการคิดขั้นสูง เชิงระบบ (GPAS 5 Steps) จึงเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่สามารถพัฒนา สมรรถนะเพื่อการเปลี่ยนแปลงตามทิศทางของการเรียนรู้ที่จะช่วยสร้าง อนาคตที่ดี กระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ (GPAS 5 Steps) เป็นเครื่องมือพัฒนาศักยภาพของคนในศตวรรษที่ ๒๑ การพัฒนาทักษะพื้นฐานสำ หรับอนาคต เช่น ทักษะการคิดวิเคราะห์ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ทักษะ ทางสังคม ทักษะการคิดสร้างสรรค์และทักษะการแก้ปัญหา ทักษะที่จำ เป็นดังกล่าวนำ ไปสู่การพัฒนาคนให้มี ความสามารถอยู่ในสังคมโลกอย่างสร้างสรรค์และมีความสุข ดังนั้น ผู้เรียนจึงต้องมีความสามารถในการคิดเชิง ระบบ การคิดแก้ปัญหา และการตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลสารสนเทศได้อย่างมีคุณภาพเที่ยงตรง โดยใช้ กระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ (GPAS 5 Steps) เป็นเครื่องมือการเรียนรู้แบบ Active Learning จากแนวคิดการเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ผู้เรียนจะต้องมีเป้าหมายในการเรียนรู้ค้นหาแนวทางที่จะนำ ไปสู่ โครงสร้างความรู้ที่มีความหมายสอดคล้องและลงตัวจากข้อมูลที่มีอยู่อาศัยหลักการสร้างความรู้(Construction of Knowledge) โดยผู้เรียนสร้างความรู้จากการถ่ายโยงข้อมูลใหม่กับความรู้เดิมอย่างมีความหมาย ทั้งนี้จะ เป็นพื้นฐานในการพัฒนาความสามารถและทักษะการคิดขั้นสูงได้อย่างสมบูรณ์และมากด้วยคุณค่าต่อไป การยกระดับคุณภาพทางการศึกษาให้ตรงเป้าหมายและถูกทิศทางมีหลักการสำคัญ ดังนี้ 1.สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงระบบโครงสร้าง ของหลักสูตรแกนกลางฯ กับการออกแบบการสอน • สถานศึกษาต้องวิเคราะห์หลักสูตรตั้งแต่เนื้อหา ยุทธศาสตร์การเรียนรู้กลวิธีที่สำคัญ ยุทธศาสตร์การวัดและประเมินผล เพื่อให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างกัน •สร้างความเข้าใจกับผู้สอนว่า ผู้เรียนต้องเรียนอะไร (เนื้อหา)นำ ไปสู่การเรียนรู้คือ เรียน อย่างไร (วิธีเรียนรู้) และจะส่งผลให้เกิดความรู้และคุณภาพใด (ผลการเรียนรู้) และมีคุณภาพระดับใด (มิติ คุณภาพ)และวิเคราะห์ให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหากับมาตรฐานการเรียนรู้ตัวชี้วัด และกระบวนการ เรียนรู้อย่างไร • สร้างความเข้าใจให้ผู้สอนเข้าใจว่า ความรู้ความสามารถทุกมิติคุณลักษณะอันพึงประสงค์ และสมรรถนะที่หลักสูตรกำ หนดไว้ทั้งหมดนั้นล้วนอาศัยกระบวนการเรียนรู้ •มิติการคิดวิเคราะห์มิติคุณธรรม ค่านิยม มิติทักษะกระบวนการมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน อย่างเป็นลำดับขั้นตอน •สร้างความเข้าใจให้ผู้สอนเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างกระบวนการกับการวัดและ ประเมินผลตามสภาพจริงที่ใช้มิติคุณภาพ (Rubrics)กับการพัฒนาสมรรถนะของนักเรียนที่ต้องให้ผู้เรียน ประเมินและกำกับตนเอง(Self-regulation) ซึ่งเน้นการประเมินเพื่อการเรียนรู้ •สร้างความเข้าใจให้ผู้สอน เกิดความเข้าใจในเรื่องการออกแบบการเรียนรู้แบบย้อนกลับ (Backward Design) โดยการนำกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบที่เรียกว่าGPAS(Gathering,Processing, Applying,Self-Regulating)5Steps มาใช้ในการออกแบบวิธีเรียนรู้ซึ่งเป็นการเรียนรู้แบบ ActiveLearning
13 เน้น Learning by Doingส่งผลให้ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ความคิดรวบยอดและหลักการได้ด้วยตัวของผู้เรียน เองและสร้างความตระหนักให้ผู้สอนเห็นผลเสียที่เกิดจากการสอนแบบเน้นท่องจำ โดยไม่รู้ความหมาย ไม่ส่งผล ให้ผู้เรียนเกิดความรู้ไม่สัมพันธ์กับมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดของหลักสูแกนกลางฯ ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ดีต่อ การพัฒนาระบบการศึกษาของประเทศหลักสูตรหนึ่ง • สร้างความเข้าใจให้ครูผู้สอนเข้าใจว่า จุดแข็งของหลักสูตรอยู่ที่กระบวนการหรือวิธีเรียนรู้ ไม่ได้อยู่ที่เนื้อหาผู้สอนจึงต้องนำ เนื้อหาไปสร้างให้เป็นความรู้ผ่านกระบวนการหรือวิธีเรียนรู้ที่เอื้อให้ผู้เรียน สร้างความรู้ด้วยตนเอง แล้วผู้เรียนก็สามารถขยายการสร้างความรู้โดยการไปสืบค้นข้อมูล รวบรวมข้อมูลหรือ เนื้อหาผ่านสื่อต่าง ๆ เพิ่มขึ้น เช่น เริ่มศึกษาข้อมูลจากหนังสือเรียน จากนิตยสาร จากสื่ออินเทอร์เน็ต ขยาย ไปสู่สิ่งแวดล้อมผ่านกระบวนการคิดหรือการปฏิบัติมาสร้างเป็นความรู้ใหม่ ๆ ได้เอง ดังนั้นการแก้ปัญหา เกี่ยวกับปริมาณเนื้อหาจึงอยู่ที่การให้ผู้เรียน ผู้สอน ผู้บริหารให้ความสำคัญของกระบวนการ 2. แก้ปัญหาครูนำ เนื้อหามาเป็นเพียงข้อมูลแต่ไม่นำ เนื้อหามาสร้างเป็น ความรู้ •สร้างความเข้าใจให้ครูผู้สอนเกิดความเข้าใจว่า เนื้อหาในหนังสือเรียนนั้นล้วนเป็นความรู้ ของผู้เรียนเป็นเพียงการรับรู้ข้อมูลการสอน แบบเน้นการฟังครูพูด ผู้แสดงหรือผู้เขียนตำ ราเมื่อถ่ายทอด เป็นการเรียนแบบจำ เนื้อหาจึงไม่มีความหมายต่อ การเรียนรู้ของสมอง เพราะสมองไม่ต้องคิดไม่ต้องวิเคราะห์ไม่ต้องแก้ปัญหา ทำ ให้ผู้เรียนเข้าใจไม่ลึกซึ้งผู้เรียน เสียโอกาสในการพัฒนาศักยภาพของตนเอง ส่งผลกระทบต่อระบบการจัดการศึกษาของประเทศเป็นอุปสรรคที่ ยิ่งใหญ่ต่อการที่ประเทศก้าวหน้าสู่ความเป็นสากลในอนาคต 3.สร้างกระบวนการเรียนรู้ซึ่งเป็นแก่นแท้สำคัญในการยกระดับคุณภาพของผู้เรียนที่สอดคล้องกับ มาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตร •กระบวนการเป็นเครื่องมือสำ คัญในการนำ เนื้อหามาสร้าง ความรู้ในแต่ละมิติทุกระดับ •ความรู้ความสามารถทุกมิติเกิดขึ้นจากการใช้กระบวนการความรู้หลังจากการคิดของผู้เรียน คือ ความรู้มิติคิดวิเคราะห์ (Knowledge)ความรู้หลังการประเมินความคิดเพื่อเพิ่มคุณภาพด้านคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมที่ส่งประโยชน์ถึงสังคม คือความรู้มิติคุณธรรม ค่านิยม (Attitude)และหลังจากนำความรู้ มิติคุณธรรม ค่านิยมไปสู่การลงมือทำจริง ตรวจสอบและแก้ปัญหาจนเกิดผลสำ เร็จจึงเป็นความรู้ด้านทักษะ กระบวนการ(Process) •กระบวนการเป็นวิธีเรียนรู้สำคัญที่สุดตามแนวคิดของBackward Design •กระบวนการเมื่อตกผลึกในตัวผู้เรียนก็จะกลายเป็นความรู้ ขั้นสูงผู้เรียนสามารถนำ ไปเรียนรู้สิ่งต่างๆได้ด้วยตนเองหรือนำ ไปเป็นเครื่องมือ สร้างเนื้อหาต่าง ๆ ให้เป็นความรู้ได้ด้วยตนเองตลอดชีวิต •การจัดการเรียนการสอนจึงต้องสอนวิธีเรียนรู้ไม่ควรสอน ให้จำ ทำตามแบบ ตามที่ผู้สอนกำหนด
14 4.วัดผลประเมินผลให้ตรงกับตัวชี้วัดและกระบวนการเรียนรู้และผลการเรียนรู้อันเกิดจาก กระบวนการที่เป็นผลงานชิ้นงาน โครงงาน นวัตกรรม • ใช้กระบวนการพัฒนาให้ผู้เรียนมีความสามารถในการวางแผน นำผลของการคิดมาวางแผน อย่างมีขั้นตอนก่อนลงมือทำ เห็นขั้นตอนการทำ งานตลอดแนวเป็น Mind Map • ให้ผู้เรียนลงมือทำ งานตามแผนงานที่วางไว้มีการตรวจสอบผลของงานทุกขั้นตอนอย่าง เป็นระบบ เพื่อนำ ไปสู่การแก้ปัญหา การพัฒนาให้ดีกว่าเดิม เพิ่มคุณค่าให้มากกว่าเดิม เกิดเป็นผลงานใน รูปแบบชิ้นงาน โครงงานและสามารถต่อยอดเป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ สามารถสรุปเชื่อมโยงความสัมพันธ์ ของความคิดรวบยอดมาเป็นหลักการหรือองค์ความรู้สามารถนำ หลักการหรือองค์ความรู้ไปเป็นเครื่องมือ เรียนรู้ต่อเนื่องในสิ่งที่ตนเองสนใจในทุกโอกาสทุกสถานที่ได้ด้วยตนเองตลอดชีวิต 5.จัดทำ หรือจัดหาแผนการสอนหรือแผนการจัดการเรียนรู้ที่มีองค์ประกอบจากการวิเคราะห์ มาตรฐานการเรียนรู้ตัวชี้วัด และหนังสือเรียนแล้วนำ ไปออกแบบเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ออกแบบเกณฑ์การ ประเมินมิติคุณภาพ (Rubrics) ไว้ครบทุกหน่วยการเรียนรู้ตามที่หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กำหนดไว้เพื่อเป็นเครื่องมือนำ ทางให้ครูค่อยๆเปลี่ยนวิธีสอน โดยการสอนตามแผนการ สอนที่ดีแล้วค่อยๆ ปรับแผนการสอนเป็นของตนเอง • การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนจึงไม่สามารถสอนเฉพาะหนังสือเรียนเพียงอย่างเดียวได้ จำ เป็นต้องใช้แผนการสอนหรือแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีแนวทางการเรียนรู้จากการปฏิบัติไปสู่ทฤษฎี หรือจากรูปธรรมไปสู่นามธรรม • การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ต้องเน้นการออกแบบการเรียนรู้ตาม แนวทางของ Backward Design ใช้กระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ (GPAS 5 Steps) ตามที่หลักสูตรกำ หนด เป็นการเน้นให้ผู้เรียนเรียนรู้จากการปฏิบัติด้วยการใช้คำ ถามพาคิด พาทำ เพื่อให้ผู้เรียนคิด วิเคราะห์ประเมิน ลงมือทำ ส่งผลให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจหลังคิดหลังทำ ผู้เรียนเป็นผู้สรุปความรู้ความคิดรวบยอด และหลักการ ที่เกิดจากความเข้าใจอย่างแท้จริงด้วยตัวของผู้เรียนเอง • การใช้กระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ (GPAS 5 Steps) ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างความรู้ อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นกระบวนการที่ใช้พัฒนาการคิดสู่การสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ และการบริหารจัดการ ความรู้แท้(Knowledge Management) อีกทั้งการเรียนรู้ตามแนวทางที่สอดคล้องกับการพัฒนาและการ เรียนรู้ของสมอง (Brain-based Learning) ของผู้เรียนแต่ละคน • ความรู้ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ (GPAS5 Steps) ตรงตัวชี้วัดทุกตัว ดังนั้น แผนการจัดการเรียนรู้หรือแผนการสอนที่ออกแบบตามแนวทางของ Backward Design จึงมีความจำ เป็นมากในการใช้ร่วมกับหนังสือเรียน ถ้าสอนโดยไม่ใช้แผนการสอนดังกล่าว ผู้เรียนจะไม่เกิดความเข้าใจ ไม่ เกิดความรู้ไม่เกิดหลักการ ไม่สามารถวิเคราะห์ข้อสอบ O-NET, PISA, TIMSS ได้
15 ดร.ศักดิ์สิน โรจน์สราญรมย์ กรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา ชูโมเดลการคิดขั้นสูงเชิงระบบ 5 ขั้น (GPAS 5 Steps) เน้นกระตุ้นผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้แบบแอคทีฟเลินนิ่ง พร้อมทั้งเป็นเจ้าของการเรียนรู้ ประกอบด้วย 1. แสวงหาข้อมูลรอบด้านเพื่อตอบโจทย์การเรียนรู้ 2. คิด-วิเคราะห์-สรุปความรู้เพื่อวางแผนเตรียมปฏิบัติ 3. ลงมือทำจริง แก้ปัญหาจริง เพื่อพัฒนาหาแนวทางที่ดีที่สุด 4. สื่อสารและนำเสนอในรูปแบบที่หลากหลาย 5. สร้างคุณค่าให้ผลงาน ต่อยอดประโยชน์สู่สังคม ซึ่งสอดคล้องกับแผนปฏิรูปฯ การศึกษาบิ๊กร็อคที่ 2 ซึ่งมีเป้าหมายให้ผู้เรียนมีความรู้และทักษะความสามารถที่ คงทนผ่านการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยเฉพาะการพัฒนานวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ผลสำเร็จจาก 30 โรงเรียนต้นแบบ พบว่าเด็กนักเรียนในช่วงชั้น ป.1-ป.6 สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมกว่า 1,800 นวัตกรรม และคาดว่าจะมากขึ้นในปีการศึกษาต่อไป ดร.ศักดิ์สิน โรจน์สราญรมย์ กรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา เปิดเผยว่า การปฏิรูปการศึกษาต้อง คำนึงถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในด้านประชากร ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี รวมทั้งสถานการณ์โควิด-19 ที่กระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนทุกช่วงวัย จึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการจัดการเรียนรู้และรูปแบบ การเรียนการสอน มาเป็นการจัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อพัฒนาสมรรถนะแบบผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Active Learning) ที่เน้นการยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางและสนับสนุนให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการสร้างการเรียนรู้ ผ่านการพัฒนากระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ (GPAS) โดย คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา ได้วางกรอบนโยบายปฏิรูปการศึกษา เรื่องการพัฒนาการ จัดการเรียนการสอนสู่การเรียนรู้ฐานสมรรถนะ เพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 (บิ๊กร็อคที่ 2) ซึ่งประกอบด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ 5 ขั้น (GPAS 5 Steps) มีสาระสำคัญ ดังนี้ · แสวงหาข้อมูลรอบด้านเพื่อตอบโจทย์การเรียนรู้ (Gathering) ผู้เรียนเกิดการสังเกต หรือตั้งข้อสงสัยในปัญหา จากการกระตุ้นของครูผู้สอนผ่านกิจกรรมการเรียนการสอน เช่น การสร้างสถานการณ์เพื่อฝึกให้ผู้เรียนตั้ง คำถามกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในชุมชน ทำให้ผู้เรียนต้องการหาคำตอบด้วยตัวเองด้วยการสืบค้น ความรู้จากแหล่งข้อมูลรอบตัว คิด-วิเคราะห์-สรุปความรู้เพื่อวางแผนเตรียมปฏิบัติ (Processing) ผู้เรียนนำข้อมูลหรือองค์ความรู้ที่รวบรวม ได้มาร่วมกันวิเคราะห์ ว่าจะสามารถนำไปแก้ปัญหาหรือสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร จากนั้นจึงจัด
16 จำแนกข้อมูล และนำไปวางแผนการปฏิบัติ เช่น การคิดสร้างนวัตกรรมเพื่อนำไปแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมใน ชุมชน · ลงมือทำจริง แก้ปัญหาจริง เพื่อพัฒนาหาแนวทางที่ดีที่สุด (Applying 1) ผู้เรียนนำองค์ความรู้ที่ผ่านการ วิเคราะห์และวางแผนแล้วไปปฏิบัติและลงมือทำ โดยจะเกิดการเรียนรู้จากการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่าง กระบวนการปฏิบัติจริง การสื่อสาร และการทำงานเป็นทีม เพื่อพัฒนาให้เกิดผลสำเร็จที่ดียิ่งขึ้นต่อไป ·สื่อสารและนำเสนอในรูปแบบที่หลากหลาย (Applying 2) ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจในองค์ความรู้ที่เกิดขึ้น จากการปฏิบัติงานและการแก้ปัญหา จนสามารถสรุปออกมาเป็นหลักการ สื่อสารผ่านการนำเสนอในรูปแบบ แผนภาพความคิด นำเสนอเป็นรายงาน การอภิปราย การบรรยาย หรือจัดทำเป็นสื่อต่างๆ สร้างคุณค่าให้ผลงาน ต่อยอดประโยชน์สู่สังคม (Self-Regulating) ผู้เรียนมีจิตสาธารณะและเห็นคุณค่าใน ผลงาน สามารถขยายผลหรือต่อยอดองค์ความรู้นั้น เพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม หรือแก้ไขปัญหา สังคมในด้านต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การพัฒนานวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาให้ตรงกับบริบทของแต่ละ ชุมชน ทั้งนี้ ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการจัดกระบวนการเรียนรู้ในรูปแบบ Active Learning คือ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้สอนที่ต้องมีความรู้ความเข้าใจในการพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ มีสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ การออกแบบการเรียนรู้ รวมทั้งการจัดกิจกรรมต่างๆ ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนมีความรู้และทักษะที่คงทนผ่านการทำ กิจกรรมที่หลากหลาย มีส่วนร่วมในทุกกระบวนการเรียนรู้ เกิดความกระตือรือร้นที่จะใฝ่รู้ สามารถใช้องค์ ความรู้ผลิตผลงานหรือสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต และสอดคล้องต่อการ เปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 ได้
17 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย กรอบแนวคิดของการวิจัย ผู้วิจัยได้กำหนดกรอบแนวคิดการวิจัย ดังนี้ ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม วิธีดำเนินการวิจัย การดำเนินการวิจัย เรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ด้วยการใช้หลักการออกเสียงตามหลัก IPA (International Phonetic Alphabet )และจัดการเรียนรู้รูปแบบ GPAS 5 ขั้นตอน ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 3. การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ 4. วิธีดำเนินการทดลองและการเก็บรวบรวมข้อมูล 5. การวิเคราะห์ข้อมูล 6. สถิติที่ใช้ในการวิจัย 1.ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมแสงชนูทิศ ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2565 จำนวน 372 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมแสงชนูทิศ ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2565 จำนวน 10 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบกลุ่ม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาที่เรียนตามโครงสร้าง หลักสูตรเหมือนกันและเป็นนักเรียนร่วมการฝึกออกเสียง นวัตกรรมเพื่อพัฒนา การออกเสียงตัวอักษรใน ภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียน พัฒนาการในการออกเสียง ตัวอักษรในภาษาอังกฤษของ นักเรียน
18 2. เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นวัตกรรมเพื่อพัฒนาการออกเสียงตัวอักษรในภาษาอังกฤษ คือวิธีการ จัดการเรียนการเรียนรู้รูปแบบGPAS 5 ขั้นตอนร่วมกับชุดฝึกการออกเสียงตัวอักษร ตามหลักการออกเสียง ภาษาอังกฤษสากล (International Phonetic Alphabet: IPA) และ แบบฝึกหัดท้ายบท และแบบทดสอบการ ออกเสียง Pre-test และ Posttest ด้วยข้อความภาษาอังกฤษ จำนวน 20 ข้อความ ข้อความละ 1 คะแนน 3. การสร้างเครื่องมือ ผู้วิจัยได้สร้างนวัตกรรมเพื่อพัฒนาการออกเสียงตัวอักษรในภาษาอังกฤษ ในรูปแบบแบบฝึกทักษะการออก เสียงภาษาอังกฤษ (Phonics) ดังขั้นตอนต่อไปนี้กัญณภัทร นิธิศวราภากุล3 , พานิช บัวสำอางค์4 และ นรวัลลภ์ ชุมนุมนาวิน5 Kanaphat NITHIWARAPHAKUN, Panich BUASAM-ANG, Narawan CHUMNUMNAWIN, E-mail: [email protected], [email protected], [email protected]. 3.1 ศึกษาหลักการ แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหลักการออกเสียงภาษาอังกฤษ สากล (International Phonetic Alphabet: IPA) 3.2 กำหนดส่วนประกอบของนวัตกรรมพัฒนาการออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษและวาง แผนการจัดทำอย่าง ละเอียด 3.3 สร้างนวัตกรรมพัฒนาการออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษตามหลักการออกเสียง ภาษาอังกฤษสากล (International Phonetic Alphabet: IPA) 3.4 ประเมินคุณภาพของนวัตกรรมพัฒนาการออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษด้วยค่าความ เที่ยงตรงเชิงเนื้อหา หรือค่าความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ ( Index of item objective congruence: IOC) โดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน จากนั้นปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ 3.5 หาค่าประสิทธิภาพเครื่องมือโดยทดลองใช้นวัตกรรมพัฒนาการออกเสียงตัวอักษร ภาษาอังกฤษกับกลุ่ม ทดลองประสิทธิภาพเครื่องมือ จากนั้นปรับปรุงให้สมบูรณ์ 3.6 นำแบบฝึกทักษะไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง 4. วิธีดำเนินการทดลองและการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล ตามขั้นตอนดังต่อไปนี้กัญณภัทร นิธิศวราภากุล3 , พานิช บัวสำอางค์4 และ นรวัลลภ์ ชุมนุมนาวิน5 Kanaphat NITHIWARAPHAKUN, Panich BUASAM-ANG, Narawan CHUMNUMNAWIN, E-mail: [email protected], [email protected], [email protected]. 4.1 ทดสอบก่อนเรียนและบันทึกคะแนนรายบุคคล 4.2 นำนวัตกรรมไปใช้ในการจัดกิจกรรมฝึกการออก เสียงโดยการจัดตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
19 1) จัดกิจกรรมการเรียนรู้และฝึก เรื่องเสียงพยัญชนะและเสียงสระโดยเน้นย้ำ ซ้ำทวน เสียงพยัญชนะและ สระแต่ละเสียงจนนักศึกษาจำได้ 2) ทดสอบหลังเรียน และบันทึกคะแนนรายบุคคล 5. การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณจากแบบทดสอบ การออกเสียง ตัวอักษรในภาษาอังกฤษ ผู้วิจัยมีขั้นตอนในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้กัญณภัทร นิธิศวราภากุล3 , พานิช บัว สำอางค์4 และ นรวัลลภ์ ชุมนุมนาวิน5 Kanaphat NITHIWARAPHAKUN, Panich BUASAM-ANG, Narawan CHUMNUMNAWIN, E-mail: [email protected], [email protected], [email protected]. 5.1 วิเคราะห์ข้อมูลด้านปริมาณค่าสถิติพื้นฐาน 5.2 วิเคราะห์ข้อมูลด้านคุณภาพด้วยการบรรยาย 6. สถิติที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยนำผลการทดลองมาวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติ ดังนี้ 6.1 สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย (x) ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) 6.2 สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการทดสอบสมมุติฐาน ได้แก่ ค่าที (t-test) แบบ dependent กรณีกลุ่ม ตัวอย่างไม่ เป็นอิสระแก่กัน
20 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัย 1. ผลการพัฒนานวัตกรรมเพื่อพัฒนาการออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมแสงชนูทิศ ที่เรียนในรายวิชา ภาษาอังกฤษ 2 รหัสวิชา อ31102 พบว่า นวัตกรรมดังกล่าว ถูก พัฒนาขึ้นในรูปแบบของแบบฝึกทักษะ ชื่อว่า แบบฝึก ทักษะการออกเสียงภาษาอังกฤษตามหลักสากล (International Phonetic Alphabet: IPA ซึ่งผ่านการ ตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสมจากผู้เชี่ยวชาญด้าน ภาษาอังกฤษเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 2. ผลการพัฒนาการออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษ : ก่อนเรียน – หลังเรียน หลังจากที่ทดสอบนักเรียนด้าน การออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษโดยใช้แบบทดสอบก่อนเรียน – หลังเรียนแล้ว ปรากฏผลดังนี้ ตารางที่1 แสดงค่าสถิติของผลคะแนนด้านการออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษตามหลักสากล (International Phonetic Alphabet: IPA) โดยใช้แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง การทดสอบ ค่าเฉลี่ย ( x̅) ร้อยละ (%) ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) ค่าทดสอบ ค่าT SIG. ก่อนเรียน 4.20 42 1.14 3.50 8.72 0.0000 หลังเรียน 7.70 77 0.67 *มีนัยยะสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จากตารางที่ 1 แสดงให้เห็นว่าในการทดสอบก่อนเรียนนักเรียนสามารถอ่านออกเสียง ตัวอักษรตามหลักสากล (International Phonetic Alphabet: IPA) ได้เฉลี่ย 4.20 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นร้อย ละ 42 มีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.14 และเมื่อทำการทดสอบหลังเรียนนักเรียน สามารถออกเสียงตัวอักษร ได้เฉลี่ย 7.70 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 77 มีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.67 ทั้งนี้ แสดงว่าหลังจากการจัดการ ฝึกทักษะและฝึกการออกเสียงโดยใช้นวัตกรรมเพื่อพัฒนาการออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษแล้วนักศึกษามี ทักษะการออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษที่ดีขึ้น โดยมีค่า SIG. น้อยกว่าค่านัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงว่าคะแนนและ ผลสัมฤทธิ์ด้านการออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งสอดคล้องกับสมมุติฐานที่ตั้งไว้โดยใช้โปรแกรมการวิเคราะห์ข้อมูล ดร. ปกรณ์ ประจัญบาน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร พิษณุโลก
21 บทที่5 สรุปผลการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ สรุปผลการวิจัย 1. ผลการพัฒนานวัตกรรมเพื่อพัฒนาการออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมแสงชนูทิศ ที่เรียนในรายวิชา ภาษาอังกฤษ 2 รหัสวิชา อ31102 ปรากฏผลว่า คำศัพท์และระดับ ของคำศัพท์ที่ได้อยู่ในแบบฝึกทักษะนั้นมีความ เหมาะสมในด้านเนื้อหา ทั้งนี้เนื่องจากคำศัพท์ที่ถูกบรรจุอยู่ใน แบบฝึกทักษะนั้นมีความสอดคล้องเหมาะสมที่ จะต้องฝึกให้นักศึกษาออกเสียงได้ถูกต้องตามหลักการออกเสียง ภาษาอังกฤษสากล ( International Phonetic Alphabet: IPA) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงพยัญชนะและสระที่มี ความแตกต่างหรือเสียงที่ไม่มีในภาษาไทยแต่มักถูก ออกเสียงผิดบ่อยครั้ง เช่น เสียง f เสียง r เสียง th เสียง v เป็นต้น 2. ผลการพัฒนาการออกเสียงตัวอักษรในภาษาอังกฤษ ก่อนเรียน – หลังเรียน หลังจากที่ทดสอบนักเรียน ด้านการอ่านออกเสียงสะกดคำโดยใช้แบบทดสอบก่อนเรียน – หลังเรียนแล้ว ปรากฏผลดังนี้หลังจากการใช้ นวัตกรรมแล้วนักเรียนมีทักษะการออกเสียงสะกดคำ ภาษาอังกฤษที่ดีขึ้น ซึ่งพบว่า หลังได้รับการฝึกทักษะการ ออกเสียงภาษาอังกฤษให้ถูกต้องตามหลักสากล (International Phonetic Alphabet: IPA) นั้นนักศึกษา มี หลักการในการออกเสียงให้สามารถออกเสียงพยัญชนะ ที่ไม่มีในเสียงภาษาไทยได้ถูกต้อง เช่น เสียง f ในคำว่า forward เสียง th ในคำว่า thousand เป็นต้น ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะทั่วไป 1.1 ด้านเนื้อหา สามารถปรับปรุงและประยุกต์ใช้คำศัพท์และการสอนโฟนิกส์ได้จากบทเรียนด้านการออก เสียงหรือแหล่งการเรียนรู้อื่นๆ ที่เหมาะสมกับระดับชั้นของนักศึกษาได้อย่างหลากหลาย 1.2 รูปแบบของแบบฝึกทักษะ ผู้สอนสามารถประยุกต์ใช้ได้หลากหลายวิธี เช่น ทำเป็น website หรือ application เป็นต้น 1.3 การออกเสียงภาษาอังกฤษที่ถูกต้องเป็นทักษะพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการสื่อสารภาษาอังกฤษให้มี ประสิทธิภาพ ดังนั้นผู้สอนควรให้ความสำคัญและฝึกฝนนักศึกษาซ้ำๆ จนสามารถออกเสียงได้อย่างคล่องแคล่ว และ มีประสิทธิภาพ 2. ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป 2.1 ควรมีการวิจัยเกี่ยวกับการออกเสียงพยัญชนะภาษาอังกฤษที่เป็นปัญหาสำหรับนักศึกษา เพื่อแก้ไข ปัญหา ในการจัดการเรียนการสอน หรือเพื่อศึกษาเป็นกรณีตัวอย่าง
22 2.2 ควรมีการวิจัยเกี่ยวกับการออกเสียงพยัญชนะท้ายคำ (final sound) เนื่องจากนักศึกษาเป็นปัญหา มาก สำหรับคนไทย เพราะในภาษาไทยไม่มีการออกเสียงพยัญชนะท้ายคำ 2.3 ควรมีการวิจัยเกี่ยวกับการอ่านออกเสียงประโยค เพื่อให้นักศึกษานำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้55 HUSO Journal of Humanities and Social Sciences ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน 2563
23 บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศ ไทย จำกัด, 2551. กฤษณา ยอดมงคล. เอกสารประกอบการสอน 1535203 สัทศาสตร์และสรวิทยา 3(2-2-5) Practical English Phonetics and Phonology. เลย : คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราช ภัฏเลย, 2553. กรองแก้ว ไชยปะ. สัทศาสตร์อังกฤษและสรวิทยาเบื้องต้น. เลย : คณะมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย, 2548. จีรนันท์ เมฆวงษ์. การพัฒนาความสามารถในการออกเสียงภาษาอังกฤษและความคงทนในการเรียนรู้คำศัพท์ ด้วย วิธีการสอนแบบโฟนิกส์. เชียงใหม่ : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2547. ดวงใจ ตั้งสง่า. ชวนลูกเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ตอนโฟนิคส์คืออะไร ทำไมต้องเรียน [Online]. เข้าถึงได้จาก http://taamkru.com/th/โฟนิคส์คืออะไร-ทำไมต้องเรียน/, 2555-2556. (15 กรกฎาคม 2557) ณัฐฎา แสงคำ, แบบฝึกเสริมทักษะ. [Online]. เข้าถึงได้จาก http://www.sahavicha.com/?name =media&file=readmedia&id=1667, 2553. (15 กรกฎาคม 2557) มณีรัตน์ สุกโชติรัตน์. ออกเสียงภาษาอังกฤษอย่างง่าย. กรุงเทพฯ : นานมีบุ๊คพับลิเคชั่นส์, 2552. สำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. UTQ online e-Training Course UTQ – 2108 : กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ สำหรับครูผู้สอนระดับประถมศึกษา. กรุงเทพฯ : สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ : 2555. สำนักวิชาการและ มาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกระทรวงศึกษาธิการ. ตัวชี้วัด และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ชั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑. กรุงเทพฯ : คุรุสภาลาดพร้าว, 2551.
24