1
คมู่ ือการประชุมเชงิ ปฏบิ ัติการ
หลักสูตรพัฒนาทักษะกระบวนการจัดการเรียนรู้เชิงบูรณาการ
กจิ กรรมลดเวลาเรยี น เพมิ่ เวลารู้ Active Learningโดยการใช้
กระบวนการโคช้ Coaching & Mentoring
สนู่ วัตกรรมทีเ่ ป็นเลิศ
เอกสารลาดบั ท่ี 6 /2562
กล่มุ งานพฒั นาหลักสตู รการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐานและกระบวนการเรยี นรู้
กลุม่ นิเทศ ติดตามและประเมนิ ผลการจดั การศกึ ษา
สานกั งานเขตพน้ื ท่ีการศกึ ษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1
กระทรวงศึกษาธกิ าร
2
3
ค่มู อื การประชุมเชิงปฏิบัติการ
หลกั สตู รการพฒั นาทักษะกระบวนการจดั การเรียนร้เู ชิงรกุ
Active Learning โดยใชก้ ระบวนการ
Coaching & Mentoring สู่นวัตกรรมทีเ่ ป็นเลิศ
เอกสารลาดบั ที่ 6 /2562
กลุ่มงานพัฒนาหลักสตู รการศกึ ษาข้ันพ้นื ฐานและกระบวนการเรยี นรู้
กลมุ่ นเิ ทศ ติดตามและประเมนิ ผลการจัดการศึกษา
สานกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1
กระทรวงศึกษาธิการ
4
คำนำ
คมู่ อื “กำรจัดกำรเรยี นรู้ แนว Active Learningโดยใชก้ ระบวนกำร Coaching & Mentoring
สู่นวัตกรรมทีเ่ ป็นเลิศ” ฉบบั น้ีเกิดจำกควำมตอ้ งกำรแกป้ ญั หำและพฒั นำทักษะกระบวนกำรจัดกำรเรยี นรู้
กจิ กรรมลดเวลำเรยี น เพิ่มเวลำรู้ Active Learning โดยใช้กระบวนกำร Coaching & Mentoringระดับ
ครูผูส้ อน ผ้เู รียบเรียง นำงกชวิมลไชยะโสดำ ศึกษำนเิ ทศก์ชำนำญกำรพิเศษ สำนกั งำนเขตพืน้ ที่กำรศึกษำ
ประถมศึกษำพิษณโุ ลก เขต 1เป็นศกึ ษำนเิ ทศก์ผู้รับผิดชอบ กลุ่มหลกั สตู รและกระบวนกำรเรียนรู้ฯ ทพ่ี ยำยำม
จะสอื่ สำรองคค์ วำมรใู้ หม่ ควำมเข้ำใจทีช่ ัดเจน ในกำรจัดกำรศกึ ษำของรฐั บำลในนำมกระทรวงศึกษำธิกำร เสรมิ
ประสิทธิภำพกำรจัดกำรเรยี นรู้เพอื่ กำรขับเคลอ่ื นนโยบำย “ลดเวลำเรียน เพมิ่ เวลำรู้”Active Learning เพ่อื ใช้
เปน็ แนวทำงกำรจดั กำรเรยี นกำรสอนของสถำนศกึ ษำในนำมครผู ูส้ อน ซงึ่ จะต้องออกแบบงำนกำรจัดกำรเรียน
กำรสอนท่เี ช่ือมโยงในนโยบำยสู่กำรปฏิบตั ิจำกควำมรู้เชิงนำมธรรม สวู่ ธิ ีกำรปฏบิ ัติเชงิ รปู ธรรมในระบบ
กำรจดั กำรเรียนรสู้ ำระสำคัญในเอกสำรน้ี ประกอบดว้ ย เนื้อหำสำคัญ ดังนี้ควำมหมำย กำรโค้ช
(Coaching)ควำมหมำย พีเ่ ล้ียง (Mentoring) ผู้นำเชิงบวก ด้วยทักษะกำรโคช้ และพี่เลย้ี ง (Coaching and
Mentoring)บทบำทและหนำ้ ทีใ่ นกำรนิเทศแบบชี้แนะ และกำรเป็นพ่ีเลีย้ ง และ ตวั อย่ำงกำรโค้ชและพี่เล้ียง
(Coaching and Mentoring)
ประโยชนข์ องเอกสำรน้ีสำมำรถนำไปประยกุ ต์ใช้ในกำรออกแบบหน่วยกำรเรยี นรู้ และแผนกำรจดั กำร
เรียนรกู้ จิ กรรมลดเวลำเรยี น เพมิ่ เวลำรู้Active Learningตลอดจนกำรจัดกำรเรียนรตู้ ำมสภำวะปกตขิ องครูได้
เปน็ อย่ำงดซี ึ่งผู้เรยี บเรียง มีควำมยนิ ดีบรกิ ำรวิชำกำร ได้ตลอดเวลำ โดยทกุ ท่ำนสำมำรถสืบคน้ ควำมรู้อ่นื ๆที่
เกี่ยวขอ้ ง และรำยละเอียดเพิ่มเติมไดใ้ นงำนบริกำรวิชำกำร Online โปรแกรม facebookนำม ศน.กชวิมล ไชยะ
โสดำทพ่ี ร้อมเปน็ แหลง่ ส่งเสริมงำนวชิ ำกำรอยำ่ งต่อเนื่อง
กชวมิ ล ไชยะโสดำ
กลุ่มงำนพฒั นำหลกั สูตรกำรศึกษำขัน้ พน้ื ฐำนและกระบวนกำรเรยี นรู้
กลุม่ นเิ ทศ ติดตำมและประเมินผลกำรจดั กำรศึกษำ
สิงหำคม 2562
5
สำรบัญ
เรอ่ื ง หน้ำ
คำนำ
สำรบัญ
ตอนที่ 1 ควำมหมำย กำรโค้ช (Coaching)……………………………………………………………………………………. 8
ตอนท่ี 2ควำมหมำย พเี่ ล้ียง (Mentoring)……………………………………………………………………………………. 11
ตอนที่ 3 ผู้นำเชงิ บวก ด้วยทกั ษะกำรโคช้ และพเ่ี ล้ียง (Coaching and Mentoring)………………………….. 16
ตอนที่ 4บทบำทและหนำ้ ทใี่ นกำร นเิ ทศแบบชแี้ นะ และกำรเป็นพ่ีเลยี้ ง............................................... 24
ตอนที่ 5 ตัวอย่ำงกำรโคช้ และพเ่ี ล้ยี ง (Coaching and Mentoring)…………………………………………………27
บรรณำนุกรม
ประวตั ิผู้เขียน/วทิ ยำกร
6
หลักสูตรฝกึ อบรม การพฒั นาทกั ษะกระบวนการจดั การเรยี นรเู้ ชงิ บรู ณาการ
กจิ กรรมลดเวลาเรยี น เพ่ิมเวลารู้ Active Learning โดยใชก้ ระบวนการ Coaching & Mentoring
ส่นู วัตกรรมท่ีเป็นเลิศ
สภาพปัญหาและความจาเป็น
โครงกำร“ลดเวลำเรียน เพ่ิมเวลำรู้: Active Learning” เป็นนโยบำยหนึ่งของรัฐบำลที่ใช้เป็นแนว
ทำงกำรปฏิรูปกำรศึกษำอยำ่ งเป็นรปู ธรรม เพ่ือเตรียมผู้เรียนใหพ้ ร้อมเข้ำสกู่ ำรเรยี นรู้ในศตวรรษท่ี ๒๑ ซ่งึ ครตู อ้ ง
ออกแบบกำรเรียนรู้ เพ่ือส่งเสริมให้ผู้เรียนมีคุณธรรม จริยธรรม มีทักษะในกำรคิดวิเครำะห์ กำรแก้ปัญหำ รู้จัก
กำรทำงำนเป็นทีม รู้จักกำรปรับตัวมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น มีควำมรู้ควำมสำมำรถตำมหลักสูตรแกนกลำง
กำรศึกษำขั้นพื้นฐำน พุทธศักรำช ๒๕๕๑ และท่ีสำคัญต้องพัฒนำผู้เรียนให้ค้นพบศักยภำพและควำมชอบของ
ตนเอง นโยบำยลดเวลำเรียน เพิ่มเวลำรู้ของกระทรวงศึกษำธิกำร กำหนดให้สถำนศึกษำลดช่ัวโมงเรียนของ
นักเรียนในภำควิชำกำรตำมกลุ่มสำระหลักในช้ันเรียนถึงเวลำ 14.00 น. จำกนั้นนักเรียนจะได้ทำกิจกรรมนอก
ห้องเรียน ในกลุ่มสำระท่ีเหลือแบบบูรณำกำรและกิจกรรมกลุ่ม ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนลดควำมเครียด และ
เสรมิ สร้ำงทักษะทุกดำ้ น คอื ด้ำนร่ำงกำย สติปญั ญำ อำรมณ์ และสงั คม กจิ กรรม "ลดเวลำเรยี น เพ่มิ เวลำร"ู้
เปน็ กิจกรรมสร้ำงสรรค์ที่ช่วยปลกู ฝังให้นักเรยี นรู้จกั คิดวเิ ครำะห์ ควำมมีนำ้ ใจต่อกนั กำรทำงำนเปน็ ทีม
และยงั กระต้นุ ใหผ้ ูเ้ รียนไดค้ ้นหำศักยภำพและควำมชอบของตนเอง เพรำะกิจกรรมเป็นแบบทีน่ กั เรยี นได้ปฎิบตั ิ
ตำมควำมถนดั ควำมสนใจ ควำมตอ้ งกำร ท้ังปฎิบตั ิด้วยตนเองและปฎบิ ตั เิ ป็นกลุ่มเพ่ือให้นกั เรยี นแสดงถึง
ศักยภำพของตนเองออกมำอยำ่ งเตม็ ท่ี กำรส่งเสริมใหค้ รจู ัดกำรเรยี นร้ใู นลักษณะ Active Learning เพอื่ พัฒนำ
ทกั ษะกำรเรยี นรู้ของผู้เรยี น กระตุน้ ใหผ้ เู้ รยี นได้คดิ วำงแผน แกป้ ญั หำ และนำควำมรู้ไปประยกุ ต์ใช้โดยผำ่ นกำร
ลงมอื ปฏบิ ตั ิ หรอื เรยี นรูผ้ ่ำนกำรทำกจิ กรรมทีเ่ ชอ่ื มโยงกับส่ิงแวดล้อมใกลต้ ัว ปัญหำของชมุ ชน สงั คมและ
ประเทศชำติ
จำกนโยบำย “ลดเวลาเรยี น เพม่ิ เวลารู้” มงุ่ เนน้ พัฒนำผ้เู รยี นซ่ึงเปน็ อนำคตของชำตใิ หม้ คี วำมสมดุลท้ัง
ดำ้ นร่ำงกำย ควำมรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในควำมเปน็ พลเมืองไทยและพลโลก ยดึ ม่ันในกำรปกครองตำมระบอบ
ประชำธปิ ไตยอนั มพี ระมหำกษัตรยิ ์ทรงเปน็ ประมุข มคี วำมรแู้ ละทักษะพนื้ ฐำน รวมทง้ั เจตคตทิ จี่ ำเปน็ ต่อ
กำรศกึ ษำต่อ กำรประกอบอำชพี และกำรศกึ ษำตลอดชวี ติ โดยมุ่งเนน้ ผู้เรียนเปน็ สำคัญบนพื้นฐำนควำมเชือ่ วำ่
ทกุ คนสำมำรถเรยี นรูแ้ ละพัฒนำตนเองไดเ้ ต็มตำมศักยภำพ และมีควำมพร้อมในกำรแข่งขนั ระดบั นำนำชำติ
สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศกึ ษำข้นั พ้นื ฐำนได้ปรบั กำรบรหิ ำรจดั กำรหลักสตู รและแนวทำงกำรดำเนินงำนตำม
นโยบำย “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” และมอบนโยบำยให้สำนกั งำนเขตพื้นท่ีกำรศึกษำ (สพท.) และ
สถำนศกึ ษำในสงั กดั นำไปขบั เคลอื่ นอย่ำงย้ังยืนต่อไป
กำรใชก้ ระบวนกำร Coaching & Mentoring เปน็ กำรนำหลักคดิ สำคัญในกำรโค้ช (Coaching)
และระบบพ่เี ลี้ยง (Mentoring) ร่วมมือกนั ระหว่ำง ผู้ชีแ้ นะ(Coach) และผูถ้ กู ช้ีแนะ (Coachee) ใน
กระบวนกำรกระตุน้ ควำมคิดและควำมคิดสร้ำงสรรค์เพ่อื สร้ำงแรงบันดำลใจให้พฒั นำตนเองและกำร
ประกอบอำชีพเต็มตำม ศักยภำพ จนเกิดควำมสำเร็จทง้ั ด้ำนส่วนตวั และหนำ้ ท่ีกำรงำนกำรชแ้ี นะกำรสอน
เปน็ กำรพัฒนำ เปล่ียนแปลงควำมคดิ ควำมรสู้ ึก และพฤติกรรมของครใู นกำรจดั กำรเรียนกำรสอนในชัน้ เรยี น
ปจั จัยทที่ ำใหผ้ ชู้ ี้แนะประสบควำมสำเรจ็ คือ บทบำทของผู้ชแ้ี นะจะต้องเปน็ แบบอยำ่ งท่ีดไี ด้รบั ควำมศรัทธำ
ไวว้ ำงใจ มีทกั ษะในหลำยๆด้ำนเช่น ทกั ษะด้ำนมนษุ ยสัมพันธ์ กำรส่อื สำร กำรจดั กำรและควำมเปน็
7
ผู้เชี่ยวชำญทำงกำรศกึ ษำ ส่วน Mentoring หมำยถึงพี่เล้ยี งซ่ึงเปน็ ผทู้ ี่มีควำมรู้ ควำมสำมำรถเปน็ ท่ยี อมรบั
สำมำรถให้คำปรกึ ษำและแนะนำ ช่วยเหลอื ครใู หพ้ ฒั นำศักยภำพในกำรจัดกำรเรียนรอู้ ย่ำงมคี ณุ ภำพ
กจิ กรรมกำรเรยี นร้ใู นยุคกำรศึกษำไทยให้นำไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ใหก้ ับผู้เรียนเปน็ กิจกรรมกำรเรยี นรทู้ ม่ี ี
ลักษณะทท่ี ำให้ผู้เรยี นมคี วำมกระตือรอื รน้ และคดิ ค้นหำควำมรู้และคำตอบอยู่ตลอดเวลำ (Active learner)
ตำมแนวกำรจัดกำรเรยี นร้เู ชงิ รกุ (Active learning)
ในกำรนี้ สำนักงำนเขตพน้ื ท่กี ำรศกึ ษำประถมศึกษำพิษณโุ ลก เขต 1ได้ดำเนินโครงกำรมำแล้วอย่ำง
ต่อเนื่อง และได้เล็งเห็นถึงควำมสำคัญของกำรจัดทำแผนกำรจัดกิจกรรม ลงสู่หน่วยกำรจัดกิจกรรมมลดเวลำ
เรียน เพ่ิมเวลำรู้(Active Learning) และ กำรใช้กระบวนกำรนิเทศแบบช้ีแนะและระบบพี่เลี้ยง Coaching &
Mentoring ท่ีจะช่วยส่งเสริมซ่ึงทำงสำนักงำนเขตพื้นที่กำรศึกษำประถมศึกษำพิษณุโลก เขต 1 จะได้ดำเนิน
จัดทำโครงกำร กำรพัฒนำทักษะกระบวนกำรจัดกำรเรียนรู้เชิงบูรณำกำร กิจกรรมลดเวลำเรียน เพิ่มเวลำรู้
Active Learning โดยใช้กระบวนกำร Coaching & Mentoringสู่นวัตกรรมที่เป็นเลิศประจำปีงบประมำณ
2562 ต่อไป
หลักการของหลักสตู ร
หลกั สตู รฝึกอบรม กำรพฒั นำทกั ษะกระบวนกำรจดั กำรเรียนรเู้ ชงิ บูรณำกำรกิจกรรมลดเวลำเรยี น
เพิม่ เวลำรู้ Active Learning โดยใช้กระบวนกำร Coaching & Mentoring สนู่ วตั กรรมทเ่ี ป็นเลศิ ลงส่กู ิจกรรม
ลดเวลำเรียน เพิม่ เวลำรู้ Active Learning ในรูปหนว่ ยกำรเรียนรกู้ ิจกรรม และแผนกำรจดั กำรเรยี นรกู้ จิ กรรม
ลดเวลำเรยี น เพม่ิ เวลำรู้ Active Learningเชงิ ประจักษ์
จุดมุ่งหมายของหลักสูตร
1. เพ่ือสง่ เสรมิ และพัฒนำให้ครูผู้สอนสำมำรถเห็นควำมสำคญั และตระหนกั รู้ของกำรจดั กำรเรยี นรเู้ ชิง
บรู ณำกำร กิจกรรมลดเวลำเรียน เพิ่มเวลำรู้ Active Learning โดยใชก้ ระบวนกำร Coaching & Mentoring สู่
นวตั กรรมทเ่ี ปน็ เลศิ
2. เพื่อสง่ เสริมและพัฒนำครูผสู้ อนใหม้ แี นวทำงกำรจัดกำรเรียนรู้เชงิ บูรณำกำร กิจกรรมลดเวลำเรียน
เพิ่มเวลำรู้ Active Learningโดยใชก้ ระบวนกำร Coaching & Mentoring สู่นวัตกรรมท่ีเปน็ เลิศ
3. เพื่อส่งเสริมและพัฒนำครูผู้สอนสำมำรถออกแบบกิจกรรมกำรเรียนรู้เชิงบูรณำกำร Active
Learningโดยใช้กระบวนกำร Coaching & Mentoring สนู่ วัตกรรมทีเ่ ปน็ เลศิ
โครงสรา้ งของเนอ้ื หาหลกั สูตร
หลักสูตรฝกึ อบรม กำรพัฒนำทกั ษะกระบวนกำรจัดกำรเรยี นรู้เชิงบูรณำกำรกิจกรรมลดเวลำเรียน
เพม่ิ เวลำรู้ Active Learning สู่นวัตกรรมทีเ่ ป็นเลิศเปน็ หลักสตู รฝึกอบรมระยะสนั้ ท่ีมุ่งพัฒนำกำรวเิ ครำะห์
มำตรฐำนหลกั สูตร /ตวั ชวี้ ัดลงสูก่ ิจกรรมลดเวลำเรียน เพ่ิมเวลำรู้ Active Learning ในรปู หน่วยกำรเรียนรู้
กจิ กรรม และแผนกำรจดั กำรเรียนรูก้ ิจกรรมลดเวลำเรยี น เพิม่ เวลำรู้ Active Learning กำหนดระยะเวลำในกำร
ฝึกอบรม 1 วนั จำนวน 6 ชัว่ โมง โดยแบง่ เนอ้ื หำของหลกั สตู รกำรอบรมเป็น 5หน่วยกำรอบรมดังน้ี
8
ลาดับที่ หนว่ ยการฝกึ อบรม จานวนช่วั โมง
ภำคทฤษฎี ภำคปฏิบตั ิ
1 ควำมหมำย กำรโค้ช (Coaching) (1 ชวั่ โมง) 1-
2 ควำมหมำย พี่เลยี้ ง (Mentoring) (1 ชั่วโมง) 1-
3 ผูน้ ำเชงิ บวก ดว้ ยทักษะกำรโค้ชและพีเ่ ล้ียง (Coaching and 1-
Mentoring) (1 ชั่วโมง) 1-
4 บทบำทและหน้ำทใ่ี นกำร นิเทศแบบชแี้ นะ และกำรเปน็ พ่เี ลี้ยง(1
11
ช่วั โมง) 51
5 ตัวอยำ่ งกำรโค้ชและพี่เล้ียง (Coaching and Mentoring) (2 ชัว่ โมง)
รวมเวลาทใ่ี ช้ในการฝกึ อบรม
6 ภำคปฏิบัตผิ ้เู ข้ำอบรมนำควำมรูส้ ู่กำรปฏิบัติจริง ระยะเวลำ 1 เรยี น
เปา้ หมายของหลักสตู ร
ฝกึ อบรมครูผูส้ อน กิจกรรมลดเวลำเรยี น เพิม่ เวลำรู้ Active Learning โรงเรยี นในสงั กัด
ประจำปีกำรศึกษำ 2562 สำนกั งำนเขตพ้ืนทีก่ ำรศึกษำประถมศกึ ษำพิษณุโลก เขต 1
รวมทั้งสิน้ 114 โรงเรียน
กิจกรรมการฝึกอบรม
กำรจดั กิจกรรมหลกั สูตรฝึกอบรม ได้ประยุกตใ์ ช้หลักกำรตำมทฤษฎี Constructionism และทฤษฎกี ำร
เรียนรู้สำหรับผใู้ หญส่ มยั ใหม่ (Modern Adult Learning Theory) และ Active Learning เปน็ แนวทำงในกำร
จัดกจิ กรรมให้สอดคล้องกบั จุดม่งุ หมำยและเนือ้ หำสำระของหลักสตู รฝกึ อบรม โดยมุ่งเน้นให้ผูเ้ ข้ำรับกำร
ฝกึ อบรมไดส้ รำ้ งสรรค์ช้นิ งำนและเกิดกำรเรียนรู้เพอื่ สร้ำงสรรค์ดว้ ยปัญญำเปน็ แนวทำงในกำรจดั กจิ กรรมกำร
ฝึกอบรม ดังนี้กจิ กรรมกำรทดสอบควำมรู้เร่ือง กำรเรียนรูเ้ ชิงรุก (Active Learning)และกำรจัดกำรเรียนรู้
เชิงรกุ (Active Learning Management) โดยใช้กระบวนกำร Coaching & Mentoring สู่นวัตกรรมท่เี ปน็ เลศิ
กอ่ นเขำ้ รบั กำรอบรม
1. กจิ กรรมทบทวนตรวจสอบพนื้ ฐำนควำมรู้ ระดมควำมคดิ ศึกษำคน้ คว้ำ
2. กิจกรรมบรรยำยใหค้ วำมรู้กบั ผูเ้ ขำ้ รับกำรอบรม ในเร่อื ง กำรเรยี นรู้เชิงรุก (Active Learning)
โดยใช้กระบวนกำร Coaching & Mentoring สูน่ วตั กรรมทเี่ ป็นเลิศ
3. กิจกรรมกำรปฏบิ ตั ิกำร ให้ผเู้ ขำ้ รบั กำรอบรมได้ปฏิบัติชิ้นงำน แลกเปล่ยี นควำมคดิ ข้อสงสยั ทีพ่ บ
ในขณะลงมือปฏบิ ัติ
4. กจิ กรรมสรปุ ควำมรูท้ ี่ได้จำกกำรปฏิบตั ทิ งั้ ในทำงทฤษฎแี ละทำงกำรปฏิบัติหลังจำกกำรฝึกอบรม
โดยผู้ดำเนินกำรฝกึ อบรมจะประเมนิ ผลกำรฝึกปฏิบตั ติ ำมแบบประเมนิ ผล
6. กจิ กรรม กำรทดสอบดำ้ นควำมรู้ และควำมพึงพอใจหลังกำรฝกึ อบรม
9
สอื่ ประกอบการฝกึ อบรม
1. เอกสำรประกอบกำรฝึกอบรม
2. ใบงำน, ใบกจิ กรรม
3. ตัวอยำ่ งหนว่ ยกำรเรียนรู้ และแผนกำรเรยี นรู้
4. วัสดุฝกึ อบรม กระดำษคลิปชำร์ด, ปำกกำเคมี เทปใสฯ.
5. วดี ีทัศน์ 6. Power point ประกอบกำรบรรยำย
การวัดและประเมินผล
ผเู้ ขำ้ รับกำรอบรมต้องผำ่ น กำรประเมิน 2 ดำ้ น ดังนี้
1. ด้ำนควำมรู้
ทดสอบดว้ ยแบบทดสอบควำมรคู้ วำมเขำ้ ใจเกีย่ วกับกำรจดั กำรเรียนรเู้ ชิงรกุ (Active Learning)โดยใช้
กระบวนกำร Coaching & Mentoring สนู่ วัตกรรมทีเ่ ป็นเลิศจำนวน 20ข้อ ต้องผ่ำนร้อยละ 80 ของจำนวน
แบบทดสอบ
2. ดำ้ นทกั ษะกำรปฏิบตั ิวเิ ครำะหแ์ ผนกำรจัดกำรเรียนรู้ กิจกรรม
ใชเ้ กณฑส์ ำหรับกำรพจิ ำรณำคะแนน ดังนี้
คะแนน 3.51 - 4.00 หมำยถึง ผลงำนมีคุณภำพในระดบั ดีมำก
คะแนน 2.51 - 3.50 หมำยถึง ผลงำนมคี ุณภำพในระดบั ดี
คะแนน 1.51 - 2.50 หมำยถงึ ผลงำนมคี ุณภำพในระดับพอใช้
คะแนน 3.50 - 5.00 หมำยถึง ผลงำนควรต้องปรับปรุงคุณภำพ
3. ด้ำนควำมพึงพอใจใชแ้ บบวัดควำมพึงพอใจท่มี ตี ่อกำรนเิ ทศกำรจดั กำรเรียนรูเ้ ชงิ รกุ (Active
Learing) โดยใชก้ ระบวนกำร Coaching & Mentoring สนู่ วตั กรรมทเ่ี ปน็ เลศิ จำนวน 10 ข้อ
ใชเ้ กณฑ์กำรแปลควำมหมำยควำมพึงพอใจ สำหรบั กำรพจิ ำรณำ ดงั นี้
คะแนน 4.51 - 5.00 หมำยถงึ ระดับเหน็ ดว้ ยอย่ำงย่ิง
คะแนน 3.51 - 4.50 หมำยถึง ระดับเห็นดว้ ย
คะแนน 2.51 - 3.50 หมำยถึง ระดบั ไมแ่ น่ใจ
คะแนน 1.51 - 2.50 หมำยถงึ ระดบั ไมเ่ หน็ ด้วย
คะแนน 1.00 - 1.50 หมำยถงึ ระดับไมเ่ หน็ ดว้ ยอย่ำงยิ่ง
การติดตามประเมินผลหลงั การฝึกอบรม
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
10
ตอนที่ 1
ความหมาย การโค้ช (Coaching)
" การโค้ช " คือกระบวนกำรทำงำนรว่ มกนั ระหว่ำงโคช้ ซง่ึ เปน็ ผู้ทชี่ ว่ ยเหลือ ชวนคดิ หรอื ปลดลอ๊ คบำง
อย่ำงในตัวผู้รบั กำรโคช้ (Coachee อำ่ นวำ่ โคช้ ชี)่ มศี ักยภำพสูงขึน้ หรือมคี วำมสุขอยำ่ งทเ่ี ขำต้องกำร ผ่ำน
วธิ กี ำรและเคร่ืองมือตำ่ งๆ เพอ่ื ให้ผรู้ ับกำรโค้ช ได้เรียนรู้ ตระหนกั ในตวั เองและเปลย่ี นแปลง และลงมือทำด้วย
ควำมคิด ควำมถนัด ควำมสำมำรถตวั เอง กำรโค้ช จงึ เปน็ กำรทำงำนร่วมกันระหวำ่ ง โค้ช(Coach) และผรู้ บั กำร
โคช้ (Coachee) ใหถ้ ึงจดุ หมำยท่โี ค้ชชต่ี อ้ งกำร
การโค้ช ( Coaching) มำจำกคำว่ำ Kocs ซ่ึงหมำยถงึ รถมำ้ ขนำดใหญ่ ทช่ี ว่ ยนำคนไปถึงจดุ หมำยได้
อย่ำงรวดเร็วในสมัยก่อน จึงเปน็ ที่มำของคำวำ่ โค้ช (Coach) ในปัจจบุ ัน กำรโค้ช ในสมัยกอ่ น มีผูใ้ ห้ควำมหมำย
ว่ำ เป็นกำรสอนงำน แต่ในปัจจบุ ัน ควำมหมำยได้เปลี่ยนแปลงไป กำรโคช้ จะสำมำรถเกิดข้นึ ได้ เม่ือผูร้ ับกำรโคช้
พรอ้ มและต้องกำรรับกำรโค้ชเท่ำน้นั เรำเรยี กวำ่ สภำวะท่ีพรอ้ มรบั กำรโค้ช (Coachable) บำงครัง้ ท่ผี ูเ้ ขียนเจอ
คือ เม่ือคนเกดิ รู้สกึ วำ่ ต้องกำรพัฒนำตอ่ เติบโตข้ึน แตอ่ ำจจะยังตดิ ประเดน็ บำงอย่ำง ทำให้ไมส่ ำมำรถกำ้ ว
ต่อไปได้ จึงต้องกำรโค้ชเพื่อมำช่วยเป็นเพ่ือนชวนคดิ หรือที่ปรกึ ษำช่วยพฒั นำศักยภำพ
การโคช้ ( Coaching) มีโค้ชหลำยท่ำนไดใ้ ห้คำจำกัดควำม เรอ่ื งของ กำรโคช้ (Coaching) ดงั นี้
“…developing your clients self-awareness and personal responsibility for future development
(Whitmore, 2002)
“…helping people find the means to become who they can and want to be, or to develop
success strategies” (Chavret, 1997)
“Coaching is a conversation with a purpose, also a space where someone can think through
what is going on for them/an opportunity to do ‘great thinking’’ (Starr 2008)
บทบาทหนา้ ท่ขี องผเู้ ป็น Coach
ผูเ้ ป็น Coach ควรเป็นผรู้ กั กำรอ่ำนรักกำรแสวงหำควำมรแู้ ละเป็นผ้ขู วนขวำยหำข้อมูลควำมรู้ใหมๆ่ อยู่
ตลอดเวลำรวมทงั้ แสวงหำประสบกำรณ์ใหม่จำกกำรเข้ำกลุ่มหรือสมำคมตำ่ งๆเพ่ือจะไดน้ ำควำมรู้และ
ประสบกำรณ์ที่ได้รับมำทำหน้ำทีบ่ ทบำทนักฝึกอบรมนักพฒั นำ/นักเปลีย่ นแปลงผูใ้ หค้ ำปรกึ ษำนักจิตวิทยำนกั
แกไ้ ขปญั หำนกั คำดคะเนนักคิด/นักประดิษฐแ์ ละนักปฏิบัติบทบำทดงั กลำ่ วจะแสดงออกในบทบำทใดน้นั ข้นึ อยู่
กบั สถำนกำรณท์ ีแ่ ตกต่ำงกนั ไปซึ่งบำงครัง้ อำจแสดงบทบำทเดยี วหรือแสดงมำกกวำ่ หน่งึ บทบำทเรยี กวำ่ บทบำท
ผสมผสำน (Mixed Roles)
ลักษณะนิสัยของผูท้ เ่ี ปน็ Coach
ไมว่ ่ำผเู้ ปน็ Coach จะสวมบทบำทใดก็ตำมจะต้องอยู่บนพื้นฐำนของลักษณะนสิ ัยที่ดีเป็นทย่ี อมรบั ของ
ลกู นอ้ งลกั ษณะนสิ ยั ทีด่ ีได้แก่กำรยอมรบั ควำมจรงิ , เหน็ อกเหน็ ใจ, มองโลกในแง่ดี,กระตือรือร้น, ชอบใหโ้ อกำส,
ยืดหยนุ่ , มัน่ ใจในตวั เอง, กล้ำรับผิดและรบั ชอบและมองไปขำ้ งหนำ้ ควรหลกี เลีย่ งลักษณะนิสัยทีไ่ มด่ ีได้แก่กำรไม่
ไวว้ ำงใจ, ขรี้ ำคำญ, เอำแตไ่ ด้, ถือตวั , ชอบเปรยี บเทียบ, รอไม่ได้, ไม่มั่นใจในตนเอง, ไมห่ วงั ดีและไมร่ บี รอ้ น
11
แนวทางหลกั ปฏบิ ัติและวธิ ีการในการเป็น Coach
กำรสอนงำนจะเกิดขึ้นไดผ้ ู้สอนงำนและผู้ถูกสอนงำนตอ้ งมีควำมพร้อมดว้ ยกนั ทั้ง 2 ฝ่ำยโดยไมจ่ ำกัดวำ่
จะต้องเป็นเวลำใดท่ีแน่นอนเกิดขน้ึ ไดท้ กุ เม่ือทกุ เวลำควำมพร้อมได้แก่
1. เรอื่ งเวลำควรกำหนดเวลำใหพ้ อดกี บั เน้ือหำท่ีต้องกำรจะสอนและถำ่ ยทอดได้อยำ่ งมรี ะบบและมี
เหตผุ ล
2. อำรมณค์ วรมสี ภำพจติ ใจหรอื สภำวะอำรมณ์ปกติพร้อมท่จี ะถำ่ ยทอดข้อมูล
3. สขุ ภำพรำ่ งกำยเพรำะกำรมสี ภำพร่ำงกำยทพ่ี ร้อมจะส่งผลต่อไปยงั จิตใจ / ควำมคิด
4. ขอ้ มลู เก่ยี วกบั
4.1 เนื้อหำ / ขอบเขตงำนท่ีต้องรับผิดชอบ
4.2 ผงั โครงสร้ำงองค์กรวิสัยทศั นน์ โยบำยตำ่ งๆขององค์กร
4.3 คแู่ ขง่ ขนั และกลมุ่ ลกู ค้ำเปำ้ หมำย
4.4 ขอ้ มูลเกย่ี วกบั ลกู น้องตนเอง
5. สถำนที่พิจำรณำถงึ จำนวนของผู้สอนและผูร้ ับกำรสอนและลักษณะอปุ กรณ์ท่จี ะนำมำสำธิต
6. อปุ กรณเ์ ครื่องมือควรมีกำรทดสอบประสิทธิภำพในกำรทำงำนของอุปกรณ์ / เคร่ืองมือว่ำสำมำรถใช้
กำร / ทำงำนไดต้ ลอดเวลำที่ทำกำรสำธิต
7. เขำ้ ใจจิตวทิ ยำกำรเรียนรขู้ องลกู น้องทเ่ี ป็นผ้ใู หญด่ ้วยว่ำเขำจะเรียนรู้ได้ดีเมื่อไหร่เช่นเขำอยำกเรยี นรู้
ได้ดเี ม่ือเขำอยำกเรยี นหรอื ทำให้เขำร้วู ่ำถูกคำดหวงั อะไรหรือเมื่อไดเ้ อำสิ่งท่ีไดเ้ รยี นรู้ไปใช้ได้จริงและได้ผล
8. ควำมพร้อมของผ้สู อนงำนกับผู้ถูกสอนงำนย่อมมีส่วนผลกั ดันสง่ เสรมิ และสนับสนนุ ให้กำร
สอนงำนของหัวหนำ้ ประสบผลสำเรจ็
ประเภทของการโค้ช แบ่งออกไดด้ งั ต่อไปนี้
1. โคช้ ผู้บริหำร (Executive coach) สนับสนุน พัฒนำผู้บริหำร ทั้งดำ้ นอำชีพและชวี ติ เพอื่ ให้เตบิ โตใน
อำชพี กำรงำนและเพ่ิมประสทิ ธิภำพของผลงำน
2. โค้ชกีฬำ (Sport Coach) โคช้ ทที่ ำหน้ำทีส่ อน พฒั นำ ฝึกอบรม และเพมิ่ ศักยภำพของนกั กีฬำ
3. โคช้ ชวี ติ (Life Coach) ชว่ ยสร้ำง และพัฒนำบุคคลรำยคน สร้ำงแรงบนั ดำลใจใหบ้ รรลเุ ปำ้ หมำย
ชีวิตในดำ้ นตำ่ งๆ
4. โคช้ กำรเงิน (Money Coach) โคช้ ทีช่ ่วยใหโ้ คช้ ชีบ่ รรลุเป้ำหมำยทำงด้ำนกำรเงินตำมท่ีต้งั ใจไว้
5. โคช้ เพอ่ื ผลกำรปฏบิ ตั ิงำน (Performance coach) โคช้ ที่ดงึ ศักยภำพ ควำมสำมำรถของบคุ คลำกร
เผ่ือปรบั ปรงุ หรือเพ่มิ ผลกำรปฏิบตั ิงำน เป็นต้น
12
ทกั ษะการโค้ช (Coaching Skill)มดี งั น้ี
1. ทกั ษะกำรสร้ำงควำมสมั พันธ์ (Rapport) เพ่ือสร้ำงควำมไว้วำงใจและ engagement กบั ผูท้ ร่ี ับกำร
โคช้
2. คำถำมทรงพลัง (Powerful question) เพ่ือดงึ ศักยภำพและควำมสำมำรถของผรู้ บั กำรโคช้ คำถำม
สว่ นใหญจ่ ะเป็น คำถำมปลำยเปิดเพื่อ brain storming ให้ไดค้ วำมคิดใหมๆ่ สรำ้ งกำรเติบโตทำงควำมคิด ,
3. กำรฟังอย่ำงลึกซ้ึง (Deep Listening) เพ่ือ ให้ไดย้ นิ เสียงที่ไม่ได้พูด
4. กำรสะท้อน (feedback) ทีม่ คี ุณภำพให้เกดิ กำรพัฒนำตวั เอง
5. กำรสรำ้ งแรงบนั ดำลใจด้วย Story telling
6. ทักษะอ่ืนๆ เชน่ กำรเลำ่ เรื่อง (Story telling) กำรจงู ใจ (Motivation) และกำรสือ่ สำร
(Communication) เป็นตน้ ค่ะ
ประโยชนข์ องการใช้ทักษะการโค้ช (Coaching skill)
1. ลดช่องว่ำงระหวำ่ งวยั ระหวำ่ ง Generation :Babyboomer, Gen X , Gen Y and Gen Zในกำร
ทำงำนในองค์กร เพรำะด้วยทักษะกำรฟงั มีกำรถำมเพื่อระดมควำมคิด เป็นกำรเปิดพืน้ ที่ให้ทุกคนได้ออก
ควำมเห็นอยำ่ งอิสระ และเข้ำใจคนอนื่ ๆ
2. สำมำรถดงึ ศกั ยภำพของคนทำงำน กลำ้ ออกจำก comfort zone ต้ังใจเรียนรู้สง่ิ ใหม่ และพฒั นำ
ตัวเองอย่ำงตอ่ เน่ือง
3. สำมำรถลดปัญหำขอ้ ขัดแย้ง สรำ้ งควำมไว้วำงใจและควำมศรทั ธำได้จำกกำรฟังอย่ำงลึกซงึ้ กำร
feedback อยำ่ งมเี หตุ
4. คนทำงำน มองเห็นศักยภำพ ของทมี งำน หวั หนำ้ และองค์กร เปดิ ใจ แลกเปลีย่ นและเช่อื มนั่ ในทีม
ในกำรแกป้ ญั หำ และค้นคว้ำ เพือ่ เสนอแนวทำงใหม่ๆให้กบั องค์กร
เปน็ ต้น
13
ตอนที่ 2
ความหมาย พี่เล้ียง (Mentoring)
ความหมายของ Mentoring
Mentoring หมายถึงพ่ีเลี้ยงเปน็ การให้ผูท้ ่ีมีความสามารถหรือเปน็ ท่ยี อมรบั หรือผูบ้ รหิ ารในหน่วยงานให้
คา่ ปรึกษาและแนะนา่ ชว่ ยเหลอื รนุ่ น้องหรือผทู้ อ่ี ยู่ในระดบั ตา่ กว่าในเรื่องท่ีเปน็ ประโยชน์ต่อการทา่ งานเพ่ือให้มี
ศกั ยภาพสงู ขึน้ แต่อาจไม่เกยี่ วกับหนา้ ท่ีในปัจจบุ นั โดยตรงพ่ีเลีย้ งจะเรียกวา่ Mentor สว่ นบคุ คลท่ีไดร้ ับการดูแล
จากผ้ทู ่ไี ด้รับมอบหมายใหเ้ ป็นพี่เลย้ี งเรียก Menteeบางองค์กรจะเรยี กระบบพ่ีเลย้ี งหรือ Mentoring System น้ี
วา่ Buddy System เปน็ ระบบท่ีพี่จะตอ้ งดูแลเอาใจใส่นอ้ งคอยให้ความชว่ ยเหลอื และให้ค่าปรึกษาแนะน่าเม่ือ
Mentee มีปญั หาสว่ นใหญ่องค์กรจะกา่ หนดให้มรี ะบบการเป็นพเ่ี ล้ียงให้กับพนักงานใหม่ที่เพิง่ เขา้ มาท่างานผทู้ ี่
เป็น Mentor จะเปน็ พนักงานท่ปี ฏบิ ัติงานมากอ่ นทีไ่ ม่ใชห่ วั หน้าโดยตรงทั้งนคี้ ุณสมบตั หิ ลักที่ส่าคัญของบุคคลที่
จะทา่ หนา้ ท่ีพเ่ี ลี้ยงให้แก่พนกั งานใหมน่ ้นั จะตอ้ งเป็นบุคคลท่ีมที ศั นคตหิ รอื ความคิดในเชิงบวก (Positive
Thinking) มีความประพฤตดิ ีสามารถปฏิบตั ิตนใหเ้ ป็นตัวอยา่ งท่ดี ีแก่ Mentee ได้บทบาทและหนา้ ท่ีทีส่ ่าคัญของ
Mentor ไดแ้ ก่การถา่ ยทอดข้อมลู ตา่ งๆภายในองคก์ รให้พนักงานใหม่รบั ทราบรวมถึงจะต้องเป็นผใู้ ห้ค่าปรึกษา
และช้ีแนะแนวทางในการปฏบิ ตั ติ นเพ่ือปรับตัวให้เขา้ กบั วัฒนธรรมองค์กรตลอดทั้งตอ้ งมกี ารตรวจสอบและ
ตดิ ตามผลความรคู้ วามเขา้ ใจในข้อมลู ที่ให้กบั พนักงานใหม่ด้วยการ Mentoring นอกจากใช้กับพนักงานใหม่แลว้
ยงั สามารถนา่ วธิ ีการนม้ี าใช้กับพนักงานทีป่ ฏบิ ัติงานในองค์กรมาก่อนโดยคุณลกั ษณะของผทู้ ีเ่ ขา้ ขา่ ยของการเป็น
Mentee ในองคก์ รไดน้ น้ั ควรมคี ุณลกั ษณะทส่ี า่ คญั ดงั ต่อไปนี้
- เป็นผทู้ ี่มีประวตั ใิ นการท่างานท่ปี ระสบความสา่ เรจ็
- เปน็ ผู้ทม่ี ีความเฉลยี วฉลาดและมคี วามคิดสร้างสรรคใ์ นการท่างาน
- เปน็ ผทู้ ี่มคี วามผูกพันกับบริษัทและผูกพนั กับหน้าท่ีการงานที่ไดร้ ับมอบหมาย
- เป็นผทู้ ม่ี คี วามใฝฝ่ ันและความปรารถนาทีจ่ ะทา่ งานให้บรรลุเปา้ หมาย
- เป็นผทู้ ่ชี อบความทา้ ทายและเต็มใจพร้อมท่ีจะทา่ งานนอกเหนือจากงานประจา่ ของตน
- เป็นผ้ทู ม่ี คี วามปรารถนาทจ่ี ะได้รบั ความก้าวหนา้ และการเตบิ โตในสายอาชพี
- เปน็ ผู้ทเ่ี ต็มใจรบั ฟังคา่ ชี้แนะและข้อมลู ปอ้ นกลบั จากหัวหนา้ งานและคนรอบขา้ งเพอื่ การพฒั นา
และปรับปรุงตนเองอยู่เสมอ
จะเหน็ ไดว้ า่ Mentee เปน็ กลุ่มคนทถ่ี ือว่าเปน็ พวกทม่ี ีผลงานโดดเดน่ กวา่ พนกั งานคนอ่ืนๆเปน็ ดาวเดน่ ท่ี
มีผลงานดเี ลศิ (Top Performer) ซ่งึ องค์กรจะต้องรักษาไวด้ งั นัน้ ผู้ทเี่ ปน็ Mentor จึงเป็นเสมือนแม่แบบของ
Mentee ด้วยนอกจากเปน็ แมแ่ บบแลว้ ผู้ที่เปน็ Mentor ยงั ตอ้ งมีบทบาทของการเปน็ ผู้สอนงาน (Coach)โดย
การสร้างความเข้าใจใหต้ รงกันกบั Mentee ในเร่อื งของวัฒนธรรมองค์กรขอ้ ควรระวังหรือประเด็นความขดั แย้งที่
อาจจะเกดิ ขนึ้ ในองค์กรการปฏบิ ตั ิตนเพอ่ื หลกี เล่ยี งหรอื ไม่ตอ้ งเผชิญกบั ความขดั แย้งท่จี ะเกิดขน้ึ (Political
Praps) รวมถงึ การวิเคราะหจ์ ุดแข็งและข้อที่ควรพัฒนาปรับปรุงของ Menteeเพ่ือท่ีจะไดห้ าวธิ ีการในการพัฒนา
ปรับปรุงความสามารถและศักยภาพของ Mentee ตอ่ ไปนอกจากน้ีMentor ยังมบี ทบาทของการเป็นผสู้ นับสนนุ
(Advocate) คอยให้ก่าลังใจและใหค้ วามช่วยเหลอื ให้Mentee มีโอกาสเติบโตหรือไดร้ บั ความก้าวหนา้ ในหนา้ ท่ี
การงานโดยให้โอกาสหรือเวทีท่จี ะแสดงผลงานแสดงฝมี อื และความสามารถในการท่างาน
14
Mentor ท่ดี ีควรมีคณุ สมบตั ดิ งั น้ี
- มีความสมั พนั ธ์ที่ดี (Interpersonal Skills)
- การมอี ทิ ธิพลเหนือผู้อืน่ (Influence Skills)
- การตระหนกั ถงึ ผลสา่ เรจ็ ในการทา่ งานของผู้อืน่ (Recognized other’s accomplishment)
- การมีทักษะของการบงั คบั บัญชาทด่ี ี (Supervisory Skills)
- ความรู้ในสายวชิ าชีพหรอื สายงานของตน (Technical Knowledge)
บทบาทหน้าที่ของ Mentor
ในองค์กรแหง่ การเรียนรูซ้ ึ่งทุกคนต้องเรยี นรไู้ ปพร้อมกันเป็นทมี นัน้ Mentoring แบบกลุ่มมีความ
เหมาะสมท่ีจะนา่ มาใชพ้ ัฒนาบุคคลในองค์กรได้ดีโดย Mentor หรือ Learning Leader จะท่าหนา้ ที่ดังน้ี
1. Guide เปน็ ผูค้ อยชีช้ อ่ งทางแก่กลุ่ม Mentee และคอยเตอื นใหร้ ะมัดระวงั จุดอันตรายแต่จะ
ไม่เปน็ ผตู้ ดั สินใจเลือกทางให้จะชว่ ยใหก้ ล่มุ มองเหน็ ภาพพจน์ขององค์กรในอนาคตเพื่อกลุ่มยอ้ นไปดวู ่า
การทีเ่ ขากา้ วหน้าในงานขึ้นมาจนอยู่ในต่าแหน่งปจั จบุ ันเขาไดใ้ ช้ทกั ษะวิธกี ารและพฤติกรรมท่ีดีหรอื ไม่
ดอี ย่างไรบ้างนอกจากนย้ี งั คอยต้งั คา่ ถามท่ีกระตุน้ ใหก้ ลุ่มหาค่าตอบซง่ึ จะท่าให้กลุ่มสามารถมองเหน็
กลยุทธ์และเทคนิคใหม่ๆท่จี ะน่าไปใช้ในสถานการณต์ ่างๆได้การเรียนรู้ Mentee ไม่ไดเ้ รียนรจู้ าก
ประสบการณ์ของตนเองเทา่ น้ันแต่จะเรยี นรจู้ ากประสบการณ์ของ Mentee อืน่ ๆในกลุม่
2. Ally เปน็ พันธมติ รที่คอยให้ขอ้ มลู แก่ Mentee แตล่ ะคนในกลมุ่ ว่าบุคคลนอกกลุม่ เขามอง
จดุ ออ่ นจุดแข็งของ Mentee แต่ละคนอย่างไรหาก Mentee เลา่ ถึงปญั หาของตนกจ็ ะฟงั อย่างตั้งใจ
เหน็ อกเหน็ ใจแลว้ ให้ข้อมลู ความเหน็ ท้งั ทางดแี ละทางไมด่ ีอยา่ งตรงไปตรงมาและเป็นมิตร
3. Catalyst เปน็ ผูก้ ระตนุ้ ให้กลุ่มมองภาพวิสยั ทศั น์ขององคก์ รและอนาคตของตนเองชี้ใหเ้ ห็น
วา่ ในอนาคตจะมีอะไรทเี่ ป็นไปไดเ้ กดิ ขน้ึ บา้ งแทนการคาดการณ์การมองภาพในอนาคตน้ันให้มอง
ออกไปนอกแวดวงการทา่ งานของแต่ละคนดว้ ย
4. Savvy Insider Mentor เป็นผู้ซึ่งอยูใ่ นหน่วยงานมานานพอจะรวู้ า่ งานต่างๆในหนว่ ยงาน
ประสบความส่าเร็จไดอ้ ยา่ งไรรู้ลทู่ างวา่ หาก Mentee ในกลุ่มแต่ละคนจะก้าวหน้าบรรลุเป้าหมายท่ี
ก่าหนดไว้จะตอ้ งเดนิ ไปทางไหนจะเป็นผู้ท่าหนา้ ท่ีเช่ือมโยง Mentee กับบคุ คลอื่นในองค์กรทีส่ ามารถ
ช่วยให้ Mentee เกิดการเรียนรไู้ ด้
5. Advocate ในขณะท่ีกลุ่มเกิดการเรียนร้นู ้ันสมาชิกจะเริ่มมองเห็นว่าตนเองสามารถผลกั ดนั
ความเจริญก้าวหนา้ และพัฒนาแผนความกา้ วหน้าได้ดว้ ยตนเอง Mentor จะทา่ หน้าทชี่ ่วยให้ Mentee
ไดม้ ีโอกาสแสดงความสามารถใหเ้ หน็ เป็นประจักษแ์ กผ่ ู้บังคับบญั ชา (Visibility) เช่นเมื่อ Mentee
เสนอโครงการปฏิบัติงานท่ีเห็นวา่ ดกี ็พยายามลกั ดันให้โครงการนนั้ ได้รับอนุมัติใหด้ า่ เนินการได้เพื่อ
Mentee จะได้มโี อกาสแสดงความรู้ความสามารถ
บทบาทหนา้ ทขี่ องผูท้ ม่ี สี ว่ นเกยี่ วขอ้ ง(Stakeholders)
Mentoring แบบกลุ่มจะประสบความสา่ เร็จตอ่ เมื่อผู้มีสว่ นเกย่ี วข้องเขา้ มามสี ่วนรว่ มในการ
ด่าเนินการด้วยเพราะ Mentoring ต้องผสมผสานกลมกลืนกับงานอนื่ ๆขององค์กรผ้มู ีสว่ นเกยี่ วขอ้ งท่ี
สา่ คญั นอกเหนอื จาก Mentor คือ Mentee ผบู้ ังคับบญั ชาของ Mentee และผปู้ ฏิบัติงานในฝ่ายบุคคล
ขององค์กรแตล่ ะฝ่ายต้องมบี ทบาทหนา้ ท่ีดังน้ี
1. Mentee ตอ้ งมีบทบาทในเชงิ รกุ Mentee ใน Mentoring แบบกลุ่มจะมบี ทบาทมากกวา่ ใน
Mentoring แบบคเู่ พราะ Mentee ตอ้ งช่วยกนั สนับสนุนผลักดันกลมุ่ และรว่ มกนั คดิ วา่ จะใชป้ ระโยชน์
จากความรู้ของ Mentor ไดอ้ ยา่ งไรต้องเปน็ ผ้กู ่าหนดเป้าหมายของความกา้ วหนา้ ในสายอาชีพของตน
15
ปฏิบัตงิ านทีไ่ ดร้ บั มอบหมายเพือ่ การพฒั นาและพยายามเรียนรจู้ ากประสบการณ์ของซึ่งกนั และกัน
แบ่งปนั ข้อมูลความรู้และให้ข้อมลู ยอ้ นกลบั แก่กนั และกันและโยที่ Mentor หรือ Group Leader ไมไ่ ด้
ทา่ หน้าที่ประธานในการประชุมฉะนนั้ กลุ่ม Mentee ตอ้ งรบั ผดิ ชอบสร้างประสบการณท์ ี่จะช่วยให้เกิด
การเรียนรดู้ ว้ ยตนเองนอกจากน้นั แลว้ ตอ้ งขวนขวายหาความรู้เพ่ิมเติมโดยการศึกษาและฝึกอบรม
2. หวั หน้างานตอ้ งไดร้ บั การบอกกลา่ วเก่ยี วกบั การด่าเนินการ Mentoring และบางครั้งจะเขา้
รว่ มกจิ กรรมดว้ ยหัวหน้างานต้องมจี ติ ใจเปน็ นักพัฒนาเต็มใจจะมีส่วนรว่ มในกิจกรรมเพราะเห็นว่าจะ
เป็นประโยชน์ต่องานทีร่ บั ผิดชอบต่อองค์กรและต่อตวั Mentee ซ่งึ เป็นผู้ใต้บังคับบญั ชาหัวหน้างาน
จะเปน็ ผูค้ อยให้ค่าแนะน่าและมอบหมายงานท่จี ะช่วยใหผ้ ใู้ ตบ้ ังคับบญั ชาไดม้ โี อกาสเรียนรู้จาก
ประสบการณ์การท่างานให้ข้อมลู ความเหน็ เก่ียวกบั จุดแขง็ และจุดอ่อนของผูใ้ ต้บังคับบญั ชาและเป็นตวั
แบบท่ดี ใี นการทา่ งานซึ่งผใู้ ต้บังคบั บัญชาสามารถยึดเป็นแบบอยา่ งในการปฏบิ ตั ติ นได้
3. ฝา่ ยบคุ คลตอ้ งเป็นผรู้ เิ ร่มิ ใหเ้ กดิ วธิ ีการพฒั นาด้วย Mentoring ขึน้ ในองค์กรจัดให้มกี ารให้
ความรูเกี่ยวกบั Mentoring แก่ Mentor และ Mentee และผ้ทู ม่ี สี ่วนเกย่ี วข้องคดั เลือก Mentee จดั
กลมุ่ และคอยติดตามประเมนิ ผลโครงการซึ่งควรประเมินทุกๆ 6 เดือน
รปู แบบของMentoring
วิธีการ Mentoring ได้ริเริ่มมีขึน้ เม่อื ประมาณ 20 ปีทแ่ี ล้วมีวตั ถุประสงค์เพือ่ พัฒนาบุคคลใหม้ ี
ความสามารถสูงและใช้ในการพฒั นาหญงิ ใหส้ ามารถก้าวสกู่ ารเปน็ ผู้บรหิ ารไดเ้ ท่าเทียมกับชายแนวคิดน้ยี งั คงอยู่
ต่อมาจนถงึ ปจั จุบันแต่ในสมัยกอ่ นรปู แบบของ Mentoring จะเป็นแบบคู่คอื จับคู่กันระหว่างMentor 1 คนกบั
Mentee 1 คนหรือ 2 คนซ่ึงปัจจบุ นั มผี ้เู ห็นวา่ แบบคมู่ ีขอ้ จ่ากดั หลายประการเช่นหา Mentor ไดไ้ ม่เพียงพอกบั
จา่ นวน Mentee เพราะ Mentor หายากและการที่ Mentee เรยี นรู้จากMentor เพยี งคนเดยี วนน้ั ไมเ่ พยี งพอ
เนอื่ งจากการพัฒนาบคุ คลนัน้ ต้องอาศัยเครอื ข่ายของกลมุ่ คนทมี่ คี วามรปู้ ระสบการณแ์ ละแนวคดิ ทีแ่ ตกต่างกนั
ออกไปซึ่งรวมถงึ เครอื ขา่ ยในกลมุ่ เพ่ือนรว่ มงานดว้ ยปัจจุบันจึงได้มแี นวความคดิ Mentoring แบบกลมุ่ คอื
Mentor 1 คนต่อ Mentee 4-6 คนไมว่ ่าจะเป็นแบบใดก็ตามการคัดเลือก Mentor จะเลือกจากผูท้ ม่ี รี ะดับ
ต่าแหนง่ สูงกวา่ Mentee มปี ระสบการณ์สงู ประสบความส่าเรจ็ ในการปฏบิ ัติงานและสมัครใจจะเป็น Mentor
ส่วนการคัดเลอื กMentee กจ็ ะเลือกจากผู้มีความรคู้ วามสามารถมีศกั ยภาพและโอกาสท่ีจะเล่อื นระดบั ต่าแหนง่
สูงขึ้นไปเป็นผูบ้ รหิ าร Mentor และ Mentee จะรว่ มกันท่า Mentoring โดยการพบปะประชุมปรึกษาหารือกนั
เป็นระยะๆปกติโครงการน้จี ะกระทา่ ต่อเนื่องเป็นเวลา 1-2 ปMี entoring แบบกลุ่มนี้ Mentor จะเปน็ ผ้นู ่าใหเ้ กิด
การเรียนรู้ (Learning Leader) กลมุ่ จะมีการแลกเปล่ยี นความรคู้ วามคิดกา่ หนดประเดน็ การพัฒนาให้คา่ แนะนา่
กนั เปน็ กล่มุ วิธนี จี้ ะเป็นการพัฒนาทักษะการทา่ งานเป็นทมี ด้วย Mentoring จะกลายเป็นกลุ่มแหง่ การเรียนรู้
(Learning Group)ซง่ึ คลา้ ยกับ Learning Team ใน Learning Organization ของ Peter Senge ที่กล่าวว่า
เมือ่ ทีมเกดิ การเรียนรู้อย่างแท้จรงิ แล้วผลลพั ธท์ ไ่ี ดไ้ ม่เพยี งก่อให้เกดิ ผลงานทด่ี ขี น้ึ เท่าน้นั แตส่ มาชิกแตล่ ะคนในทีม
กเ็ จริญก้าวหนา้ เร็วข้นึ ดว้ ยในกลุ่มแห่งการเรยี นรู้ Mentee ซึ่งเปน็ สมาชิกของกล่มุ ท่ีมีโอกาสเรยี นรู้จากเพื่อน
สมาชิกด้วยกนั และจาก Mentor ด้วยแนวคิดเกี่ยวกับกลุม่ เรียนรู้น้นั กา่ หนดให้ความรบั ผิดชอบในการน่าและ
กอ่ ใหเ้ กดิ การเรยี นรูก้ ระจายไปยงั สมาชกิ ทุกคนรวมทัง้ Mentor ด้วยแบบกลุ่มนี้จะถือได้วา่ Mentor หรือ
LearningLeader เปน็ สว่ นหนึง่ ของกลุม่ มากกว่าจะเปน็ คนนอกแตโ่ ดยที่ Mentor เปน็ ผูม้ ปี ระสบการณแ์ ละ
ความร้ทู ่จี ะแบง่ ปนั ไดม้ ากกวา่ Mentor จงึ ทา่ หนา้ ทีเ่ ป็นผนู้ ่าของกล่มุ การเรียนรู้โดยชว่ ยให้กลมุ่ เขา้ ใจองค์กรให้
แนวทางแก่กล่มุ เพือ่ สามารถวิเคราะหป์ ระสบการณข์ องตนเองและช่วยให้กลุ่มกา่ หนดทศิ ทางของการพฒั นา
กระบวนการน้ีจะชว่ ยให้ Mentee เรียนรู้ประสบการณ์และความรจู้ าก Mentor ซงึ่ มี
16
กระบวนทัศนแ์ ตกตา่ งจาก Mentor จะชว่ ยให้กลมุ่ ประสบความสา่ เรจ็ โดย
- ชว่ ยใหก้ ลุ่มก่าหนดประเด็นในการประชมุ พบปะกัน
- ให้คา่ แนะน่าหวั ข้ออภปิ รายและโครงการท่จี ะช่วยใหก้ ลุ่มเรียนร้เู พ่มิ ข้ึน
- กระตุ้นใหก้ ลุ่มแสดงความคิดเห็น
- ให้คา่ ปรึกษาเม่ือกลุ่มต้องการ
- สนบั สนนุ โดยเชอ่ื มความสัมพันธข์ องบคุ คลในกลุ่มกับบคุ คลอ่ืนในองค์กร
- ใหข้ อ้ มูลย้อนกลับแกส่ มาชิกในกล่มุ เป็นรายบุคคล
ประโยชนข์ องการMentoring
- สร้างกลุ่มคนทีม่ ีความสามารถศักยภาพไดเ้ ร็วกวา่ พนกั งานปกติ
- จูงใจพนกั งานทีม่ ีผลปฏบิ ัตงิ านดีและมีศักยภาพในการทา่ งานสูงให้คงอยู่กบั หนว่ ยงาน
- กระตุ้นให้พนักงานสรา้ งผลงานมากข้นึ พร้อมทจ่ี ะทา่ งานหนกั และท้าทายมากขึ้น
- สร้างบรรยากาศของการน่าเสนอผลงานใหม่ๆหรือความคิดเหน็ นอกกรอบมากขนึ้
- สรา้ งระบบการส่ือสารแบบสองชอ่ งทาง (Two Way Communication) ระหว่าง Mentor
และ Mentee หัวหนา้ งานในฐานะ Mentor มีเวลาทจ่ี ะคดิ วางแผนกา่ หนดนโยบายและวางกลยุทธ์
เพอ่ื เพม่ิ ประสทิ ธิภาพในการท่างานของทมี ไดม้ ากข้นึ เนื่องจากได้มอบหมายสว่ นหนง่ึ ให้ Mentee
รับผดิ ชอบแล้ว
ความเหมอื นและความแตกตา่ งของCoaching และMentoring
Coaching หรือการสอนงานและ Mentoring หรอื การเปน็ พเ่ี ลย้ี งมีความแตกต่างกนั ที่จุดเน้นกลา่ วคอื
การสอนงานนัน้ ผ้บู ังคับบัญชาจะสอนงานผู้ใต้บงั คับบัญชาโดยตรงของตนท่เี กยี่ วกบั วิธีการทา่ งานในหน้าที่
ปัจจบุ ันและมีเป้าหมายระยะสนั้ ในขณะทก่ี ารเปน็ พี่เลยี้ งนั้นผู้ทเ่ี ปน็ Mentor ไมจ่ า่ เป็นต้องเป็นผู้ใต้บงั คับบัญชา
โดยตรงของ Mentee และ Mentee อาจอยใู่ นหน่วยงานเดียวกนั หรือต่างหนว่ ยงานก็ได้หากชว่ ยพัฒนา
Mentee ให้เจริญก้าวหน้าไปในสายอาชพี ไดผ้ เู้ ป็น Mentor มอี ิสระที่จะกา่ หนดจุดมงุ่ หมายในการพัฒนา
Mentee ในระยะยาววธิ ีการดา่ เนนิ การไดก้ ว้างขวางกวา่ Coaching Mentoring จะมุ่งไปท่ีการพฒั นาสายอาชีพ
และจะเปน็ การพัฒนา Mentee เพือ่ ใหเ้ ปน็ ผ้บู รหิ ารของหนว่ ยงานในระดับตา่ งๆต่อไป Coaching และ
Mentoring อาจด่าเนนิ การควบคูก่ ันไปได้เพราะต่างกเ็ ป็นกระบวนการพฒั นาตนเองที่องค์กรต้องเป็นผูก้ ่าหนด
ขนึ้ เช่นกันในช่วงปที ผี่ ่านมาระบบราชการไทยมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึน้ มากมายโดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การบริหาร
ทรัพยากรบุคคลแนวใหม่ท่มี ุ่งเนน้ การพฒั นาทรัพยากรบคุ คลในองค์กรใหเ้ ปน็ ผู้ท่ีมคี วามรู้รอบดา้ นมใิ ช่เพยี งร้ลู ึก
ในงานด้านใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียวความรอบรู้รอบดา้ นท่ีว่าน้ีคอื การสง่ เสริมให้มีการหมนุ เวียนงาน (Job
Rotation) ซง่ึ ข้อดีก็คือเปิดโอกาสให้คนในองค์กรไดเ้ รียนรู้หาประสบการณจ์ ากงานใหม่ๆเปลีย่ นสภาพแวดล้อม
การท่างานใหม่เปน็ การกระตุ้นใหไ้ ดพ้ ัฒนาศกั ยภาพของตนเองอย่างเต็มท่อี ีกท้งั ยังเป็นการเตรียมผนู้ ่าในอนาคตท่ี
มคี วามรู้และประสบการณเ์ กี่ยวกบั งานด้านตา่ งๆในองค์กรซึง่ จะช่วยให้การบรหิ ารงานเป็นไปอย่างมี
ประสิทธิภาพตลอดจนพัฒนาไปสคู่ วามเป็นองค์กรแหง่ การเรยี นรู้ (Learning Organization) อย่างไรก็
ดกี ารหมุนเวียนงานอาจท่าให้หลายคนเกิดความกงั วลวา่ งานจะตอ้ งเกิดการสะดดุ ขาดความต่อเน่ืองเน่ืองจากการ
ทา่ งานต้องใชเ้ วลาในการสงั่ สมความช่านาญและโอกาสในการเรียนรูง้ านใหม่ของแต่ละคนอาจแตกตา่ งกันไป
ขน้ึ อยกู่ ับสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมการท่างานของแต่ละหนว่ ยงานซึ่งยากจะคาดเดาไดว้ ่าการถ่ายทอดความรู้
ที่จ่าเปน็ ในงานจะมีมากน้อยเพียงใดการสอนงานหรอื ระบบพ่เี ล้ยี งจึงเปน็ วิธที ชี่ ่วยปพู นื้ ฐานให้พนักงานใหมห่ รือผู้
ท่เี ปลี่ยนไปทา่ งานในต่าแหนง่ ใหม่หลายคนอาจจะสบั สนวา่ การสอนกับระบบพเ่ี ลีย้ งเหมือนกนั เพราะใช้ทกั ษะ
เดยี วกันได้แก่ทักษะในการติดตอ่ ส่ือสารและสรา้ งความสมั พันธภาพท่ีดกี ับบุคคลอนื่ แต่แม้ว่าจะทง้ั สอง
17
กระบวนการจะใชท้ ักษะเดยี วกนั แต่ก็มีความแตกต่างกนั ซ่ึงการเลอื กใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์และ
วัตถปุ ระสงค์ก็จะเปน็ ประโยชนต์ อ่ การพฒั นาทรัพยากรบุคคลในองคก์ รไดอ้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพและบรรลตุ าม
เปา้ หมายไดด้ ีย่ิงข้นึ ผู้เขยี นได้อา่ นบทความเกยี่ วกบั การสอนงานและระบบพี่เลีย้ งขององคก์ ารด้านการบรหิ าร
ทรัพยากรบุคคลหลายแหง่ ด้วยกนั ซ่งึ บทความต่างๆได้กลา่ วถึงลักษณะท่แี ตกตา่ งกนั ไว้
สรปุ
Coaching และMentoring เปน็ เทคนิคในการพัฒนาการเรียนรขู้ องบุคลากรในองค์กรที่ตอ้ งการจะให้
องค์กรเปน็ องคก์ รแหง่ การเรียนรู้ Coaching เปน็ การสอนงานจากผู้บังคับบัญชาถงึ ผู้ใต้บังคบั บัญชาโดยตรงด้วย
วิธกี ารให้คา่ แนะนา่ และสอนงานแบบสองทาง (Two WayCommunication) เพ่ือใหผ้ ู้ใต้บังคบั บญั ชาสามารถ
ทา่ งานที่ไดร้ ับมอบหมายอย่างมปี ระสิทธิภาพและมีโอกาสได้พัฒนาศักยภาพของตนเองไปพรอ้ มๆกนั ส่วน
Mentoring การเปน็ พเ่ี ลี้ยงเลือกจากผทู้ ่มี คี วามสามารถเป็นที่ยอมรับหรือเปน็ ผู้บรหิ ารในหนว่ ยงานมาให้
ค่าปรึกษาและแนะนา่ ชว่ ยเหลือรุ่นนอ้ งหรือผู้ที่อยู่ในระดับตา่ กว่าในเรอื่ งท่เี ปน็ ประโยชน์โดยตรงตอ่ การทา่ งาน
เพื่อให้มีศักยภาพสูงข้ึนซ่ึงอาจไมเ่ กี่ยวกบั หน้าทใ่ี นปัจจบุ ันโดยตรงกไ็ ด้อยา่ งไรกต็ ามทัง้ Coaching และ
Mentoring ตา่ งกเ็ ป็นเทคนิคในการพฒั นาทรัพยากรมนุษย์ที่จะทา่ ใหท้ ั้งผบู้ งั คบั บญั ชาผู้ใต้บังคับบญั ชาท่างานได้
อย่างเต็มศักยภาพและองคก์ รมคี วามพร้อมในการบั การเปล่ียนแปลงมีผลการปฏบิ ัติงานเป็นไปตามเป้าหมายที่
วางไวอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพ
18
ตอนที่ 3
ผนู้ าเชิงบวก ด้วยทกั ษะการโคช้ และพเ่ี ลยี้ ง (Coaching and Mentoring)
คุณลกั ษณะของผู้นาเชิงบวก
“ผูน้ ำทีม่ คี วำมเปน็ โค้ช (Coach)” และ “ผู้นำทีม่ คี วำมเปน็ พี่เล้ยี ง (Mentor)”
โคช้ คือกำรนำแบบ “ดงึ ” (Supportive) ช่วยให้เขำแก้ปญั หำด้วยตนเองพ่เี ลีย้ ง คือกำรนำแบบ “ผลกั ”
(Directive) ชว่ ยเข้ำไปแก้ปญั หำให้กับเขำ
แนวทางการนาแบบ "ดึง" (Supportive) และ "ผลกั " (Directive) ดงึ (ช่วยให้เขาแกไ้ ขปัญหาดว้ ยตนเอง)
ฟงั เชงิ รุก
สรุปประเด็นและสะท้อนกลับ
ต้ังคำถำมเพ่ือใหเ้ กิดกำรตระหนกั รู้
ใหก้ ำลงั ใจและสนับสนนุ
ให้ควำมท้ำทำยในกำรทำงำน
ใหข้ อ้ มลู ป้อนกลับ
ใหท้ ำงเลือกตำ่ งๆ
ใหม้ ุมมองใหม่
ใหค้ ำเสนอแนะ
ให้แนวทำง
ใหค้ ำแนะนำ
ให้คำส่ัง
สัง่ ให้ทำ / แสดงใหด้ ู
ผลัก (ช่วยแกป้ ญั หำใหเ้ ขำ)
ภำพจำก Presentation ในกำรเรียน BE Positive Leader with Coaching and Mentoring
19
ทศั นคติสาหรับการโคช้ ม6ี ขอ้ มีดังตอ่ ไปน้ี
1. คนมีทรพั ยำกรเพยี งพอ ในกำรบรรลุเปำ้ หมำยของตวั เอง
2. คนตดั สินใจเลอื กสงิ่ ทีด่ ีท่สี ดุ สำหรับตนเอง ตำมทรพั ยำกรทม่ี ีในขณะนน้ั
3. คนมีควำมรบั ผิดชอบต่อหนทำงท่เี ขำคดิ เอง
4. กำร Coaching เป็นเรอ่ื งของโคช้ ชล่ี ว้ นๆ ไมใ่ ชเ่ ร่ืองของโคช้
5. โค้ชรบั ผดิ ชอบแค่กระบวนกำร Coach
6. คนเรำมมี ุมมอง ควำมคิดและแผนทช่ี ีวติ ที่ตำ่ งกัน ไม่อำจบอกได้ว่ำใครถูกต้องกว่ำใคร (และสงิ่ ทีโ่ คช้ พดู คิด
กไ็ ม่ใชว่ ิง่ ทีผ่ ดิ หรอื ถกู เช่นกัน)
โดยระหวำ่ งท่ีเรำโคช้ จะตอ้ งพยำยำมควบคุมควำมพอดี ไมใ่ ห้โคช้ ชเ่ี กดิ ควำมกดดนั เปน็ กงั วล หรือเปน็ ทกุ ข์ มำก
เกินไป (Anxiety) หรอื กลับกนั ไม่ใสค่ วำมทำ้ ทำย หรอื ทำอะไรเลย จนโค้ชชเี่ กิดควำมเบ่อื หนำ่ ย (Bored) ซง่ึ
สถำนกำรณ์น้ี มภี ำพเปรียบเทยี บไว้ เรยี กว่ำ The Flow State คือพยำยำมทำใหโ้ ค้ชช่ใี หอ้ ยู่ในสภำวะกลำงๆ ให้
เร็วท่ีสดุ ไม่เบื่อจนเกินไป ไมม่ ีแรงจงู ใจทำงำน หรอื ทำ้ ทำยจนเครียดและกดดนั
ภำพจำก https://harveyhypnosis.com/2017/02/21/the-flow-state-getting-in-the-zone/
ปจั จยั ท่ีผโู้ ค้ชควรตระหนักในการทางานกบั ผู้รับการโคช้
สง่ิ ทีผ่ ู้โคช้ ควรทำและไมค่ วรทำ โดยให้คำนงึ ถึง 5 หวั ข้อ เรยี กว่ำ SCARF Model
S = Statue (สถานะ) คือ สร้ำงควำมสัมพันธต์ ่อกัน ใหร้ ู้สกึ เหมือนเป็นพีน่ ้อง ญำติ ทสี่ ำมำรถพดู คยุ ได้
- ที่ไม่ควรทำ เช่น ทำตวั สงู ส่ง
C = Certainty (ความแน่นอน มัน่ คง) คอื ตอ้ งมสี ื่อสำรท่ีดี ให้เขำ้ ใจควำมต้องกำรของเรำ และไม่โลเล
เปลี่ยนแปลงบ่อย
- ทไี่ มค่ วรทำ เชน่ อำรมณไ์ มค่ งท่ี, เช้ำสง่ั อย่ำงหนงึ่ เย็นสั่งอกี อยำ่ งหนึง่
A = Autonomy (มอี ิสระทางความคดิ และตัดสนิ ใจ) คือ ใหโ้ อกำสลูกนอ้ งเพอื่ คิดและทำสิ่งต่ำงๆ
- ทีไ่ มค่ วรทำ เช่น ชอบบี้ ชอบจิก ชอบสงั่ ลกู นอ้ ง
R = Relatedness (มคี วามสัมพันธภาพทดี่ )ี รวมถงึ เรอื่ งไหนควรเข้ำไปโคช้ หรือเป็นพเี่ ลี้ยง
- ทีไ่ มค่ วรทำ เช่น ทำตวั หำ่ งเหนิ กับลูกน้อง
F = Fairness (ได้รบั การดูแลอย่างยุติธรรม)
- ท่ีไม่ควรทำ เชน่ มอี คติ หรือเมินเฉยในบำงคน
20
ภำพจำก http://www.edbatista.com/2010/03/scarf.html
รูปแบบการส่ือสารอย่างโคช้
ถ้ำสงั เกตดๆี กำรส่ือสำรค่อนข้ำงสำคญั ในกำรเปน็ โคช้ โดยในขนั้ ตอนทโี่ คช้ เรำจะต้องพยำยำมดำด่งิ ลงไปใหถ้ งึ
ระดับควำมคดิ ค่ำนิยม ควำมเช่อื ของโคช้ ช่ี วำ่ ทำไมเขำถงึ รสู้ กึ แบบนน้ั มีกำรแสดงออกแบบนน้ั ซ่ึงนีเ้ อง คอ่ นขำ้ ง
ยำกทีจ่ ะมองใหอ้ อก ต้องอำศยั กำรถำม กำรฟัง และกำรสะท้อนกลับ
ภำพจำก http://www.coaching.net.nz/how-not-to-act-insanely/
Beliefs (ควำมเช่ือ)> Values (ค่ำนยิ ม)> Thinking (ควำมคิด)> Emotions (ควำมรสู้ กึ )> Behaviours
(พฤตกิ รรม)> Result (ผลลพั ธ)์
21
ในข้นั ตอนกำรโคช้ จะมีวงจรหนึง่ ท่สี ำคัญมำกเพอื่ ใหเ้ กิดกำรสำวลึกลงไปใหถ้ งึ ระดับควำมคิด น่นั คอื วงจรท่ผี สู้ อน
เรยี กว่ำ“วงจรแห่งปญั ญำ” (“Insight Loop: PQC”)
ก่อนเขำ้ ไปโคช้ ตอ้ งแจง้ กบั โคช้ ชีเ่ พ่ือขออนุญำตทำกำรโค้ช (Permission) จำกนน้ั จงึ เริ่มเขำ้ สกู่ ำร ตัง้ ประเดน็
(Placement), ถำม (Questioning) และ ทำให้เกิดควำมกระจำ่ ง (Clarifying)
ภำพจำก https://www.slideshare.net/KaushikSahaSrBusines/coaching-model-coach-for-
performance
1. การขออนุญาต (Permission) : ทำเพอื่ สรำ้ งควำมไวว้ ำงใจใหก้ บั โคช้ ช่ี ใหท้ ำงเลือก แสดงควำมเคำรพต่อ
กนั ขอเปิดโอกำสเขำ้ สู่ควำมคดิ ซึง่ จะทำคร้งั แรกครั้งเดยี วก่อนจะโคช้
2. ตงั้ ประเดน็ (Placement) : เป็นกำรเปดิ ประเดน็ สนทนำเพอ่ื สรำ้ งควำมสัมพนั ธ์ ระบผุ ลลพั ธข์ องกำรโคช้ ที่
จะเกิด หรอื แจ้งวตั ถุประสงค์ท่จี ะทำกำรโคช้ เวลำทจ่ี ะใชโ้ คช้ จะเกิดอะไรขึน้ บำ้ งระหวำ่ งที่โค้ช
3. ถาม (Questioning) : เป็นสว่ นที่ผมคดิ วำ่ ยำกมำก เพรำะเป็นทักษะทโี่ ค้ชตอ้ งฝกึ ซ่ึงผมจะมเี ขียนไว้
หลังจำกนี้ แตส่ ง่ิ ทีต่ ้องพึงระวงั คอื มำรยำทในกำรถำม ควำมเหมำะสมของคำถำมทเ่ี รำจะใชก้ บั โค้ชชี่ ควำม
เหมำะสมของกำลเทศะ ควำมมสี ำระ และควำมกระชบั ชดั เจนทำงภำษำ
4. ความกระจา่ ง (Clarifying) : เปน็ อีกสว่ นทยี่ ำกเชน่ กนั เพรำะโคช้ จะต้องทำควำมเข้ำใจวำ่ สิ่งท่ีโคช้ ช่พี ดู มำ
มีอะไรอย่เู บ้อื งหลังคำพดู เหลำ่ นั้น สำมำรถสรุปแกน่ ของสง่ิ ท่ีโคช้ ช่ีพูดได้ หรอื สำมำรถสะท้อนกลบั ได้
(Reflect) ว่ำควำมคดิ ควำมรสู้ ึกของโคช้ ชี่ ณ ตอนนนั้ คอื อะไร
โค้ชต้องฟังดว้ ยใจ (Empathy Listening)
ทักษะแรกท(่ี ดเู หมือนจะ)ง่ำยทีส่ ุด ที่โคช้ พอจะเร่ิมฝึกไดค้ ือเรอื่ งของกำรฟงั นอกจำกฟังดว้ ย 2 หู แลว้ ยงั ต้องมี 1
ใจ ทเี่ รำต้องคอยฟังจำกโคช้ ชต่ี ลอดเวลำ ผำ่ นกำรสงั เกต เชน่ สำยตำของเขำ สหี นำ้ กริ ยิ ำท่ำทำง ว่ำสือ่ ถึงอะไร
อปุ สรรคทโ่ี ค้ชมกั จะเจอในตอนฟงั โคช้ ชี่คอื ควำมลำเอยี ง หรืออคติที่โค้ชมีกับโค้ชช่ี, สถำนทีไ่ มเ่ หมำะสม, อำรมณ์
ของโคช้ โค้ชชี่ และสุดทำ้ ยคอื สมำธิของโค้ช
นอกจำกอุปสรรคดงั กลำ่ วแลว้ ในฐำนะของโคช้ เองต้องไม่แสดงพฤติกรรมดังน้ดี ้วย เชน่ แสรง้ ทำเปน็ ฟงั , พดู
แทรก, วเิ ครำะห์หำทผี่ ดิ , พำออกนอกเรอ่ื ง, ชอบแยง้ ค้ำน ขดั , เสนอแนะ เพรำะจะกลำยเปน็ อุปสรรคในกำรฟัง
ของโค้ช และกำรเลำ่ ของโคช้ ชี่ทนั ที
ผู้สอนจึงไดแ้ นะนำ เทคนคิ การฟังให้เข้าใจ 5 ขอ้ คอื
1. ฟงั ดว้ ยหู — ต้องมีควำมสนใจ ตงั้ ใจ ใส่ใจฟงั เพือ่ จับใจควำมประเดน็ หลกั
2. ฟงั ด้วยตวั — สังเกตภำษำกำย แสดงให้คสู่ นทนำเห็นวำ่ เรำฟงั เชน่ พยกั หนำ้ ตอบรบั ออกเสียงตอบรบั
22
3. ฟังดว้ ยตา — คอยสบตำกบั ผพู้ ูดอยู่เสมอ
4. ฟงั ด้วยปาก — คอยถำมเพื่อทบทวนควำมเข้ำใจ หรอื สรปุ เพือ่ ใหผ้ พู้ ดู รวู้ ำ่ เรำเขำ้ ใจถกู หรอื ไม่
5. ฟังด้วยใจ — ฟังแบบไม่มีอคติ หรือควำมลำเอยี งเขำ้ มำแทรก
ท้ังนี้ เป้ำหมำยคอื นอกจำกเรำจะฟังสิง่ ท่โี ค้ชชพี่ ดู แลว้ เราจะตอ้ งฟงั ในสิ่งท่ี “เขาไมไ่ ดพ้ ดู ” ด้วย ซงึ่ ถำ้ อำ้ งองิ
จำกรปู ภเู ขำน้ำแขง็ ก็คอื ส่วนทอี่ ย่ใู ต้น้ำ ย่ิงเรำฟงั แล้วสำมำรถสมั ผสั ได้ลกึ เทำ่ ไร ก็จะทำใหเ้ ข้ำใจโค้ชชี่มำกขน้ึ
คาถามท่โี ค้ชควรถาม (Powerful Questioning)
เปน็ สง่ิ ทโ่ี คช้ ต้องพยำยำมฝึกมำกๆพอกบั กำรฟงั เพรำะเปน็ ส่วนที่ทำใหช้ ่วยเรำดึงประเด็นของโค้ชชีข่ ึ้นมำได้ ซ่งึ
คำถำมทโี่ คช้ ควรใช้หลักๆจะมดี ังนี้ คือ
เป็นคาถามท่สี ะท้อนมาจากการฟงั หยบิ คำ ประโยค ของเขำมำใช้ถำม
เช่น เทำ่ ทฟ่ี ังคุณใหข้ อ้ มูลมำ อยำกใหช้ ว่ ยอธบิ ำยควำมหมำยของคำว่ำ ควำมยตุ ธิ รรม ในมมุ มองของคณุ
เป็นคาถามท่กี ระตนุ้ ให้คดิ เพือ่ คน้ พบ เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความเข้าใจอย่างลึกซ้งึ
เชน่ สมมตวิ ำ่ ถำ้ มีคนถำมคุณวำ่ … คุณจะตอบคำถำมน้ีอย่ำงไร
เป็นคาถามปลายเปดิ
เชน่ คณุ มคี วำมร้สู ึกอยำ่ งไรกบั กำรทำงำนชน้ิ นี้
ใช้คาถามท่จี ะพาโคช้ ชไ่ี ปขา้ งหนา้ เข้าหาเปา้ หมาย
เชน่ คณุ คดิ วำ่ ปัจจยั ของควำมสำเร็จในโครงกำรน้คี ืออะไร
และที่ควรระวังในกำรใชต้ งั้ คำถำม เชน่
ไมใ่ ชค้ าถามวา่ “ทาไม”
เช่น ทำไมงำนทผ่ี ำ่ นมำจงึ ล้มเหลว (ใหเ้ ปลยี่ นเป็น อะไรเป็นสำเหตุทีท่ ำให้งำนครงั้ ทผี่ ่ำนมำไม่ประสบ
ผลสำเรจ็ )
ไม่ใชค้ าถามชน้ี า
เชน่ เรำก็ทำงำนมำตงั้ นำน ลองเกบ็ ออมเงินไวบ้ ้ำงดีไหม
ส่งิ ทโ่ี คช้ ควรจะโฟกสั ในกำรคำถำมคือ ถำมระดบั วสิ ยั ทศั น์ เพือ่ เน้นให้เหน็ ผลลัพธ์, ถำมระดับกำรวำงแผน เพอื่ ให้
เหน็ แผน และถำมระดบั รำยละเอยี ดบ้ำง เพอ่ื ให้เหน็ วธิ ีกำร แตจ่ ะไมเ่ นน้ เจำะลึกนัก
ส่วนทจี่ ะพยำยำมเลย่ี งเลยคือ กำรถำมเจำะถึงปญั หำ และอำรมณ์
เชน่ วัตถุประสงคข์ องคณุ คืออะไร, วสิ ยั ทัศน์ของคุณคอื อะไร, คุณวำดภำพผลลพั ธใ์ นควำมคิดของคณุ ไว้อยำ่ งไร,
คุณมแี ผนอย่ำงไรทจ่ี ะบรรลเุ ปำ้ หมำยเหล่ำน,้ี คุณมที ำงเลอื กอะไรบ้ำงทจ่ี ะทำให้เรำบรรลเุ ปำ้ หมำยเหลำ่ นี้ เปน็ ตน้
หรือถำ้ โคช้ ชยี่ ังหำเปำ้ หมำยไม่เจอ ผสู้ อนแนะนำให้ลองใชห้ ลัก SMART เพอื่ ใหโ้ คช้ ชไี่ ดต้ ั้งเปำ้ หมำยกับตัวเอง
ดกู อ่ น
23
ภำพจำก https://www.1213.or.th/th/moneymgt/finplan/Pages/planningsteps.aspx
จำกนน้ั โค้ชจะเร่ิมต้งั คำถำม โดยใชห้ ลัก 6 GOAL Setting Questions ซ่งึ จะเปน็ ชุดคำถำม 6 ขอ้ คือ
1. วันน้ีคณุ อยำกพดู คุยเรอื่ งอะไรเป็นพเิ ศษ
2. เรอ่ื งนน้ั เปน็ ปัญหำอะไรสำหรบั คุณในตอนนี้
3. ถ้ำทกุ อย่ำงเปน็ ไปไดต้ ำมทค่ี ณุ ต้องกำร ภำพฝนั จะเปน็ แบบไหน (Visualize) แลว้ คณุ เหน็ อะไร ได้ยนิ อะไร
รู้สกึ อยำ่ งไรในภำพฝนั จะบอกกบั ตวั เองวำ่ อยำ่ งไร และหำกบอกกับคนอน่ื จะบอกว่ำอะไร แล้วเขำจะตอบ
กลบั มำอย่ำงไร (Visualize ไปในอนำคตใหเ้ หน็ ผลลัพธ์)
4. กำรได้สิ่งนนั้ มำจะให้อะไรกับตวั คุณ / เรอ่ื งนน้ั สำคญั อยำ่ งไรกับตวั คุณ
5. ในสงิ่ ท่คี ณุ อยำกใหเ้ ปน็ มีอะไรขำดหำยไปจำกท่ีคุณเป็นอย่ใู นตอนน้ี (Gap ระหว่ำงปจั จุบนั กบั เปำ้ หมำยของ
เขำ)
6. ผลลัพธท์ ดี่ ีทส่ี ุดทีค่ ณุ อยำกเห็นจำกกำรโค้ชคร้ังนี้ (ผลลพั ธจ์ ำกกำรคุยกบั โคช้ )
ขนั้ ตอนการโคช้ และ G.R.O.W+ Model
ผู้สอนไดใ้ หร้ ้จู กั กับ G.R.O.W+ Model เพอ่ื ใชใ้ นกระบวนกำรโคช้ ซง่ึ จะคล้ำยกบั G.R.O.W Model ที่เคยเห็นกนั
ใน Internet แตไ่ ดเ้ พม่ิ เติมรำยละเอยี ดไว้ไดเ้ ข้ำใจเลยหละครับ โดยในทุกขั้นตอนจะใชว้ งจรแหง่ ปญั ญำ หรอื
Dance Toward Insight — PQC ในกำรกระทำแตล่ ะขัน้ ตอนเสมอ ใชเ้ ทคนคิ กำร ฟัง ถำม และสะทอ้ นกลบั
เพ่อื ให้บรรลุในแตล่ ะข้ัน โดยในที่น้ีผสู้ อนเองบอกวำ่ อำจจะกลบั ไปมำในแต่ละขนั้ ตอนไดด้ ว้ ย โดยไมต่ อ้ งเรยี งกัน
และสิ่งท่ีสำคัญ คือ จะต้องทำ Rapport คอื สรำ้ งควำมสัมพันธ์ ควำมไว้วำงใจในกำรพดู คยุ ควำมเข้ำใจใหต้ รงกนั
ตลอดระยะเวลำทที่ ำกำรโคช้ ด้วย .. ฟังดคู อ่ นข้ำงยำก ต้องฝึกฝนมำกพอสมควรเลยทีเดยี ว
โดยมี 3 ขนั้ ตอน คือ
1. ทาการ Pre Coaching Session
- โค้ชจะอธบิ ำยทำควำมเขำ้ ใจกฎ กตกิ ำ ของกำรโคช้ หรือเทคนคิ ทจี่ ะใช้ จะทำอะไร
- Builing Rapport เพ่อื สร้ำงสำยสมั พนั ธ์ ทำควำมคุน้ เคย
2. โคช้ จะขออนญุ าต เรมิ่ การโคช้
- แจ้งเวลำทจ่ี ะโคช้
3. เรมิ่ กระบวนการตาม G.R.O.W+ Model
G — Goal ค้นหำเป้ำหมำย เช่น เปำ้ หมำยท่ีคุณต้องกำรคอื เรอ่ื งอะไร, ผลลัพธ์ที่ต้องกำรใหเ้ กิด มลี ักษณะ
อย่ำงไร, เป้ำหมำยนม้ี ีควำมสำคัญกบั คณุ ในเรอื่ งอะไร
24
R — Reality ค้นหำควำมเปน็ จรงิ ในปจั จบุ นั เชน่ ปัจจบุ นั เม่อื เทียบกับเปำ้ หมำยแล้วเปน็ อย่ำงไร, ถ้ำ
เปำ้ หมำยคือ 10 ปัจจบุ ันอยู่ที่คะแนนเท่ำไร, ปจั จยั อะไรทีม่ คี วำมสำคญั ท่จี ะทำให้คุณบรรลเุ ป้ำหมำย
O — Option ค้นหำทำงเลือกทมี่ ี เชน่ คณุ มีทำงเลือกทเี่ หมำะสมในกำรประสบควำมสำเร็จอะไรบ้ำง, คุณ
มแี ผนงำน หรอื วธิ ีกำรในกำรบรรลุเป้ำหมำยอย่ำงไร
W — Will / Way Forward คนหำกำรตัดสนิ ใจ ควำมมงุ่ มน่ั ท่ีจะทำ เชน่ เพื่อบรรลเุ ปำ้ หมำย คุณ
ตัดสนิ ใจทจี่ ะปฏบิ ัตใิ นเร่ืองอะไร, คณุ ชว่ ยสรปุ ส่งิ ทีค่ ุณจะไปลงมือปฏิบตั ิ, คุณมัน่ ใจในแนวทำงน้มี ำกแค่ไหน,
คณุ ร้สู กึ อย่ำงไรกับกำรตดั สนิ ใจในครั้งนี้
+ Plus ให้กำรสนบั สนนุ ใหก้ ำลังใจ
ภำพจำก Presentation ในกำรเรยี น BE Positive Leader with Coaching and Mentoring
ผสู้ อนไดใ้ หเ้ ทคนิคเพม่ิ เตมิ คือ ถำ้ ตอนทเี่ รำถำม Will/Way Foreard ยังพบวำ่ พลังงำนเขำยงั มีไมม่ ำก ควำมม่งุ มน่ั
ไมม่ ำกพอ เรำควรต้องวนกลับไป Goal, Reality, Option ตอ่ ไป ไม่ควรปล่อยเขำผ่ำนไป เพรำะสิ่งนนั้ อำจจะไม่
สำเร็จและถ้ำคำถำมทเี่ รำถำม เขำเกิดกำรฉกุ คิดขนึ้ มำ เป็นไปไดว้ ่ำเปน็ คำถำมทีท่ รงพลัง (Powerful Question)
แตถ่ ำ้ เรำถำมปบุ๊ และเขำตอบปบ๊ั แปลวำ่ เขำอำจจะคิดไว้อยแู่ ลว้ เขำจะเอำสมองสว่ นควำมจำเขำ้ มำใชต้ อบเรำ
ซง่ึ เขำจะไม่เกดิ กำรพัฒนำ
5 สิง่ สูงสดุ ที่ไม่ควรทาในระหวา่ งการโคช้ เพราะจะลดความไวว้ างใจ
Closed Question — ใช้คำถำมปลำยปดิ
Offer Solution Question — ถำมเพ่อื นำเสนอทำงออกตำมควำมคิดของโค้ช
Rambling Question — ยิงทีละหลำยประโยค หลำยคำถำม
Leading Question — ถำมโดยใช้ควำมรู้สึกของโคช้ เขำ้ ตดั สนิ ในเรือ่ งรำวที่ไดฟ้ ัง
Neglecting to Interrupt — ไม่กลำ้ ตัดบท หำกโค้ชช่ีพดู ออกนอกประเดน็ หรอื ลงรำยละเอียดมำก
เกนิ ไป
วา่ ด้วยเรื่องของการเป็นพเี่ ลี้ยง (Mentoring)
เมอ่ื อ่ำนจำกกำรโคช้ ท้ังหมดแลว้ และเขำ้ ใจแลว้ วำ่ กำรโคช้ คอื อะไร เรำจะทำควำมเขำ้ ใจของเรอื่ งกำรเปน็ พี่เล้ียง
ไดไ้ มย่ ำก แต่กอ่ นอน่ื ต้องเขำ้ ใจกอ่ นว่ำ ต่ำงกันอยำ่ งไร ซง่ึ สรุปไดส้ นั้ ๆคอื
การโคช้ คอื การตั้งคาถาม การเป็นพเี่ ลยี้ ง คือการสอน การบอก
โดยกำรจะเป็น Mentoring จะตอ้ งมี 3E คือ
1. มีประสบการณ์ (Experience) — จะไปสอนเขำได้ ตวั เองตอ้ งมปี ระสบกำรณ์เคยทำมำกอ่ น
25
2. แลกเปลี่ยนได้ (Exchange) — สำมำรถแลกเปลยี่ นประสบกำรณ์กนั ได้ เพื่อเพม่ิ พนู ควำมรู้
3. อธิบายได้ (Explain) — ต้องอธบิ ำยเปน็ เพือ่ ให้คนเรยี นเขำ้ ใจ
และมขี นั้ ตอนกำร Mentoring อยู่ 4 ขน้ั ตอน คอื
1. Explain — อธบิ ำยได้วำ่ จะทำอะไร เพ่ืออะไร สำคัญอยำ่ งไร
2. I Do — ทำใหด้ เู ปน็ ตวั อยำ่ ง
3. We Do — ทำไปพรอ้ มกัน, ชว่ ยเหลือให้ทำได้, มีคำชม
4. You Do — ให้ผเู้ รยี นทำเอง โดยเขำจะต้องทำใหเ้ รำเห็นกอ่ น เรำถงึ จะปลอ่ ยให้ทำเอง และเรำตอ้ งติดตำม
ผลดว้ ย
กุญแจสำคญั ที่จะทำให้กำร Mentoring สำเร็จมี 5 ขอ้ คอื
1. Together — ไปด้วยกนั
2. Real Situation — ใหล้ องทำจรงิ พำไปเหน็ ของจรงิ
3. Understand — เรำตอ้ งเขำ้ ใจ และอธบิ ำยใหเ้ ขำเขำ้ ใจ
4. Show — ทำให้เขำดู
5. Time — ให้เวลำเขำในกำรเรยี นรู้
26
ตอนที่ 4
บทบาทและหน้าทใ่ี นการ นเิ ทศแบบชี้แนะ และการเป็นพเ่ี ล้ียง
กำรยกระดบั กำรจัดกำรเรียนรู้ ตำมกระบวนกำรจัดกำรเรียนรู้เชงิ รกุ Active Learning โดยใช้
กระบวนกำรนิเทศแบบช้ีแนะและกำรเป็นพเ่ี ลย้ี ง (Coaching & Mentoring) ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ดงั น้ี 1)
ขนั้ ก่อนสังเกต 2) ขน้ั สงั เกต และ 3) ขนั้ หลังสงั เกตขน้ั ก่อนกำรสงั เกต (Pre - Observation) กำรสร้ำง
ปฏิสัมพันธ์เชงิ บวกระหว่ำงบุคคล โดยกำรพูดคุย แลกเปลี่ยนแนวคิด หรอื โดยบคุ ลิกท่วงทำ่ ท่กี ่อให้เกิดควำมไว้
เนอ้ื เชื่อใจ เปน็ กำรสร้ำงควำมคนุ้ เคย แสดงออกซ่ึง ควำมเคำรพนับถือ และให้เกยี รติระหวำ่ งกนั เป็นปัจจัยหน่งึ
ซง่ึ กอ่ ใหเ้ กิดควำมสำเร็จในกิจกรรมใดๆ ที่ดำเนินกำรผโู้ ค้ชและผรู้ บั กำรโคช้ ภำยใตก้ ำรนิเทศ ติดตำมกำรจัดกำร
เรยี นรู้เชิงรุก (Active Learning) โดยใช้กระบวนกำรช้แี นะและกำรเปน็ พีเ่ ล้ียง (Coaching & Mentoring) ก็
เชน่ เดียวกนั ท่ีมีควำมจำเป็นเบอื้ งตน้ คือกำรสร้ำงควำมคนุ้ เคย เช่อื ถือ เชอื่ ใจ พร้อมท่ีจะเปิดใจระหวำ่ งผ้รู ับกำร
โคช้ (ครู) และผโู้ คช้ (ศกึ ษำนเิ ทศก์)ในประเด็นดงั น้ี 1. กำรวำงแผนกำรจัดกำรเรียนรู้ 2. กำรออกแบบหนว่ ยกำร
เรยี นรู้ 3. กำรจดั ทำแผนกำรจัดกำรเรียนร้ขู นั้ สังเกต (Observation) กำรสงั เกตกำรสอน เปน็ พ้ืนฐำนสำคญั ของ
กำรได้มำซ่งึ สำรสนเทศสำหรบั นำไปใช้ พัฒนำต่อยอดโดยเฉพำะบทบำทหน้ำที่ของผูน้ ิเทศคอื กำรปรบั ปรงุ และ
พฒั นำด้ำนกำรเรียนกำรสอน กำรพฒั นำผู้เก่ียวข้อง และกำรน ำหลกั สูตรไปใชไ้ ด้อยำ่ งมีคุณภำพในระดบั ชัน้
เรยี น และอีกประกำรหนง่ึ เชอ่ื วำ่ กำรสงั เกตกำรสอน คือทำงเลือกหนง่ึ ทีจ่ ะช่วยเสริมสร้ำงควำมเทำ่ เทยี ม สรำ้ ง
คณุ คำ่ และสรำ้ งบรรยำกำศของกำรท ำงำนร่วมกันอยำ่ งกัลยำณมิตร โดยมปี ระเด็นดงั น้ี 1. ข้นั นำเข้ำสู่
บทเรยี น–กำรนำเขำ้ สู่บทเรียนสอดคล้องกับเน้ือหำที่สอน - กำรกระตนุ้ ใหผ้ ้เู รียนเกิดแรงจูงใจในกำรเรยี นรู้ 2.
ขน้ั กำรจดั กิจกรรมกำรเรยี นรู้ - กำรจดั กิจกรรมสอดคล้องกับแผนจัดกำรเรียนรู้ - กำรสรำ้ งบรรยำกำศในกำร
จดั กำรเรียนรู้ - กำรสร้ำงปฏสิ มั พันธ์ของครูกบั นกั เรียน - กจิ กรรมเน้นใหน้ ักเรยี นมสี ว่ นร่วมปฏิบตั จิ ริง–กำรใช้
คำถำมกระตุ้นควำมคิดนักเรียน - กำรใชส้ ่อื กำรเรียนรสู้ อดคล้องกับกิจกรรม–พฤติกรรมกำรสอนของครูโดยรวม
4. ขน้ั สรุป - นกั เรยี นและครูรว่ มสรปุ บทเรยี น - นกั เรียนแสดงออกถงึ กำรมีทกั ษะกำรคิด–กำรส่งเสรมิ ใหน้ ักเรยี น
ประยกุ ต์ใช้ควำมรู้ 4. ขน้ั ประเมนิ - ครใู ช้วธิ ีกำรวัดและประเมนิ ผลทห่ี ลำกหลำยขัน้ หลังกำรสังเกต (Post -
Observation) กำรสะท้อนคิดร่วมกนั หลังกำรสงั เกตกำรสอนของผ้โู ค้ชและผรู้ บั กำรโค้ช เพือ่ สร้ำงควำมชดั เจน
ร่วมกนั โดยกำรตคี วำมอยำ่ งลุ่มลึกในสงิ่ ทีส่ งั เกตของผโู้ คช้ จำกกำรเก็บข้อมูลขณะสังเกตด้วยวิธกี ำรทีห่ ลำกหลำย
และรบั ฟังผู้รับกำรนิเทศ ถือเปน็ ข้นั ตอนสำคัญท่จี ะทำให้กำรสะท้อนผลกำรนเิ ทศ ประสบควำมสำเร็จ ใน
ประเดน็ ดงั นี้ 1. ผู้รบั กำรโค้ชสะทอ้ นตนเองในกำรจัดกำรเรียนรู้ 2. ผ้โู คช้ สะท้อนผลกำรจดั กำรเรียนรู้ให้กับผรู้ ับ
กำรโคช้ 3. ผรู้ บั กำรโค้ชและผู้โค้ชรว่ มกันหำแนวทำงในกำรปรับปรงุ พฒั นำกำรจดั กำรเรียนรู้
27
ตัวอยำ่ ง กำรตัง้ ประเด็นคำถำมสำหรับกำรโคช้
ประเดน็ คาถาม
1 ข้นั กอ่ นสงั เกต กำรวำงแผนกำรจดั กำร -คุณครมู ีกำรเตรยี มกำรวำงแผนกำรจัดกำรเรียนรู้
เรียนรู้ อยำ่ งไร -คุณครมู ีกำรวิเครำะหผ์ เู้ รียนเปน็ รำยบคุ คล
เพ่อื กำรวำงแผนกำรจดั กำรเรียนรู้อย่ำงไร
การออกแบบ -คณุ ครูออกแบบหนว่ ยกำร -คณุ ครูออกแบบหนว่ ยกำรเรียนรูอ้ ยำ่ งไร
หนว่ ยการเรยี นรู้ เรยี นรอู้ ยำ่ งไร -คุณครคู ดิ วำ่ หน่วยกำรเรียนรู้สอดคลอ้ งกบั หลกั สูตร
-คุณครคู ิดวำ่ หน่วยกำร กลุ่มสำระอยำ่ งไร
เรียนรูส้ อดคลอ้ งกับ
หลกั สตู รกล่มุ สำระอยำ่ งไร
การจดั ทา -ครมู กี ำรจดั ท ำแผนกำร -ครูมกี ำรจดั ท ำแผนกำรเรยี นร้โู ดยมีองค์ประกอบ
แผนการเรยี นรู้ เรียนรโู้ ดยมอี งคป์ ระกอบ อะไรบำ้ ง
อะไรบำ้ ง -กำรจดั กจิ กรรมเนน้ กำรปฏบิ ัติอยำ่ งไร
-กำรจดั กจิ กรรมเนน้ กำร
ปฏิบัติอย่ำงไร
2 ขัน้ สังเกต ขนั้ นำเขำ้ สบู่ ทเรยี น สังเกตกำรสอน (ใชแ้ บบบนั ทึกเพ่ิมเติม)
ข้ันกำรจดั กิจกรรมกำรเรียนรู้
ข้นั สรปุ
3 ข้นั หลงั สังเกต ผ้รู ับกำรโคช้ สะทอ้ นตนเอง -คุณครูช่วยสะท้อนตนเองในกำรจัดกำรเรียนรูใ้ น
ในกำรจัดกำรเรยี นรู้ วนั น้ีว่ำเปน็ อย่ำงไรบำ้ ง
-ในกำรสอนวนั นี้คุณครคู ดิ วำ่ ข้ันใดที่คุณครูท ำไดด้ ี
และขน้ั ใดที่ยงั ต้องพัฒนำ
-คณุ ครชู ว่ ยสะท้อนผลกำรสอนในวนั น้ี ว่ำบรรลุตำม
เปำ้ หมำย และวัตถุประสงค์
หรอื ไม่ ถ้ำเป็นไปตำมเปำ้ ทีต่ งั้ ไวเ้ ป็นอย่ำงไร และถ้ำ
ไม่เปน็ ไปตำมเปำ้ คุณครวู ่ำ
เปน็ เพรำะเหตใุ ด
-คุณครคู ิดว่ำมีปัญหำอปุ สรรคในกำรจัดกำรเรยี น
กำรสอนในวันน้ีหรือไม่ ถ้ำมี
มีอะไรบำ้ ง
ผู้โคช้ สะทอ้ นผลกำร -ผู้โค้ชให้ขอ้ เสนอแนะเพมิ่ เติมเพ่ือใหค้ ุณครูนำไป
จัดกำรเรียนรู้ใหก้ บั ปรบั ปรุงพัฒนำ ใน/
ผ้รู ับกำรโค้ช กำรจดั กำรเรียนกำรสอนแบบ Active Learning
28
ผูร้ บั กำรโคช้ และผูโ้ คช้ - คณุ ครูคดิ วำ่ คร้ังต่อไปคุณครูจะต่อยอดกำรจัดกำร
ร่วมกนั หำแนวทำงในกำร เรยี นในคร้งั ต่อไป
ปรับปรงุ พฒั นำกำรจดั กำร อย่ำงไรบ้ำง
เรียนรู้ -คณุ ครูจะจัดกำรเรยี นรู้ใหด้ ีขึ้นกว่ำเดิม ทำ่ นจะ
วำงแผนอย่ำงไร
-ผู้โคช้ พดู คยุ ใหก้ ำลงั ใจเชงิ บวกเกย่ี วกับกำรจัดกำร
เรยี นรูข้ องครู
เพื่อสร้ำงแรงบันดำลใจ ในกำรจดั กำรเรยี นรแู้ บบ
Active Learning
29
ตอนที่ 5
ตัวอย่างการโคช้ และพีเ่ ลีย้ ง (Coaching and Mentoring)
กรณศี ึกษา
กรณศี กึ ษำที่ 1
ให้ท่านสวมบทบาทเปน็ โค้ชของคุณครูสุมาลี
คณุ ครสู มุ ำลีสอนชั/นอนุบำล 2 มำแล้ว 18 ปีมคี วำมรบั ผดิ ชอบในกำรสอนดมี ำกได้รบั คำชม
จำกผปู้ กครองอยู่เสมอว่ำเอำใจใส่ลกู ๆนกั เรียนอนบุ ำลเหมือนลูกของครเู องครูสุมำลไี มไ่ ด้จบปฐมวยั
มำโดยตรงแตจ่ บวิชำเอกสังคมศึกษำและดว้ ยประสบกำรณก์ ำรสอนที่ได้รับมอบหมำยจำกผู้บรหิ ำร
มำยำวนำนทำใหค้ รูสุมำลีมคี วำมม่ันใจในวธิ กี ำรสอนของตนเองมำกและเปน็ ท่ีชื่นชอบของผปู้ กครอง
ตลอดมำวธิ กี ำรสอนของครสู ุมำลีจะใชว้ ิธีใหน้ ักเรียนท่องจำขดี เส้นตำมรอยประเน้นกำรเขียนให้เปน็
ตัวหนังสอื และเป็นตวั เลขสอนอำ่ นสอนเขียนภำษำไทยและบวกลบทำงคณติ ศำสตร์มีอำรมณ์กบั เดก็
ตมี ือเดก็ ทที่ ำไมถ่ ูกบำ้ งเป็นบำงครั้งแต่อย่ำงไรกต็ ำมนักเรยี นหลำยๆร่นุ ของคุณครูสุมำลสี ว่ นใหญอ่ ่ำน
และเขียนไดก้ อ่ นขึ้นชนั้ ป.1ตอ่ มำครูกรนนั ท์เปน็ ครูผู้ช่วยท่ีจบสำขำปฐมวยั มำโดยตรงมำบรรจุใหม่
และได้รบั มอบหมำยจำกผู้บริหำรใหส้ อนประจำช้ันอนุบำล 2 อกี หอ้ งหนงึ่ ท่ีอยู่ใกลเ้ คยี งกนั ไดย้ ินครู
สมุ ำลีสอนด้วยวิธกี ำรดังกลำ่ วทุกวนั ดว้ ยควำมห่วงใยอยำกใหค้ รูสมุ ำลสี อนได้ถูกต้องตำมหลกั กำร
จดั กำรเรยี นรรู้ ะดับปฐมวัยท่ีเน้นกำรเตรยี มควำมพร้อมที่เกิดจำกกำรจัดประสบกำรณ์ให้ผเู้ รียนไดล้ ง
มอื ปฏิบตั ิ (Active Learning) มีกำรฝึกกล้ำมเนอื้ เล็กกล้ำมเน้ือใหญ่ให้มพี ฒั นำกำรเต็มตำมวยั จึง
ได้มำขอพูดคุยและใหข้ อ้ เสนอแนะครูสมุ ำลวี ำ่ ตำมหลกั กำรจดั กจิ กรรมกำรเรียนรู้ระดับปฐมวยั ไม่ให้
เน้นกำรสอนอ่ำนสอนเขียนเปน็ คำเปน็ ประโยคถงึ ขั้นทจ่ี ะอำ่ นออกเขียนไดค้ ิดเลขเปน็ อย่ำงที่ครูสุมำลี
สอนอยกู่ ำรจดั กำรเรียนรู้ระดบั ปฐมวยั ควรจัดกจิ กรรมเพยี งเพื่อเตรียมควำมพร้อมของเดก็ ใหมี้
พัฒนำกำรเตม็ ตำมวัยเท่ำน้ันรอให้เดก็ ข้ึนป.1 จงึ จะใหอ้ ่ำนเขียนและบวกลบคูณหำรเลขครูสุมำลี
ร้สู กึ เครยี ดมำกและฝืนใจสอนมำเป็นระยะเวลำหนึ่งจนทนไมไ่ หวจงึ บนั ทึกขอ้ ควำมขออนญุ ำต
ผู้บริหำรไปสอนในระดบั ป.1 หรือป.2 จึงเดือดรอ้ นถึง
ผบู้ รหิ ำรโรงเรียนทต่ี อ้ งหำครูมำสอนระดับปฐมวยั แทนซึ่งในโรงเรยี นไม่มอี กี แลว้ ในฐำนะ Coach &
Mentor กำรจดั กำรเรียนรเู้ ชิงรกุ (Active Learning)
ท่านจะช่วยคณุ ครูสุมาลอี ย่างไร?????????
30
กรณศี ึกษา
กรณศี กึ ษำที่ 2
ใหท้ ่านสวมบทบาทเป็นโคช้ ของคณุ ครูแก้วตา
ครูแก้วตำสอนในช้ันป. 3 มำแล้ว 15 ปวี ิชำท่ีครูแก้วตำถนัดและจบมำคือภำษำไทยครู
แก้วตำมีควำมรบั ผดิ ชอบในกำรสอนดีมำกไดร้ ับคำชมจำกผ้ปู กครองอยู่เสมอว่ำเอำใจใส่นกั เรยี นดมี ี
ควำมตั้งใจในกำรสอนมำกวิธีกำรสอนของครูแกว้ ตำจะใชว้ ธิ ใี ห้นกั เรียนท่องจำอ่ำนตำมครคู ดั ลำยมือ
ฟังครอู ธิบำยถ้ำไม่เข้ำใจให้ยกมอื ถำมท่ีผ่ำนมำพบว่ำนกั เรยี นของครแู ก้วตำมคี วำมสำมำรถในกำร
อ่ำน – เขยี นในระดบดั ีต่อมำกระทรวงศกึ ษำธกิ ำรมีนโยบำยใหค้ รูทุกคนปรบั เปล่ียนวธิ สี อนโดยเน้น
ใหน้ กั เรียนได้ลงมอื ปฏบิ ัติ (Active Learning) ใหส้ ำมำรถสรุปควำมรไู้ ดแ้ ละประยุกตใ์ ชค้ วำมรู้เป็น
ครูแกว้ ตำรบั ทรำบแนวนโยบำยท่ีเปล่ียนแปลงแล้วและคิดวำ่ ตนเองจะต้องเปล่ียนวิธีสอนของตนเอง
แตย่ ังไมเ่ ข้ำใจว่ำกำรสอนโดยใหน้ ักเรียนไดล้ งมอื ปฏิบัติ(Active Learning) แล้วสำมำรถสรุปควำมรู้
ไดแ้ ละประยกุ ตใ์ ช้ควำมร้เู ปน็ มีข้ันตอนและวิธีกำรอยำ่ งไรบทบำทครตู ้องทำอะไรบำ้ งอย่ำงไรและ
บทบำทของนักเรียนเปน็ อย่ำงไรกำรวัดประเมินผลตำมสภำพจริงทำอย่ำงไรจงึ จะถือวำ่ เปน็ กำร
จดั กำรเรยี นรใู้ ห้ผู้เรยี นได้ลงมอื ปฏบิ ตั ิและยงั สงสัยต่อไปวำ่ นกั เรยี นจะมีควำมรูไ้ ด้อยำ่ งไรถำ้ ครูไม่
บอกหรือสอนใหไ้ ด้ควำมรู้และลึกๆในใจครแู ก้วตำก็คิดอยเู่ สมอว่ำวิธีกำรสอนท่ีตนเองใช้ในปจั จบุ ันก็
ยังใชไ้ ด้อย่เู พรำะลกู ศิษยท์ ี่สอนก็มีควำมรู้ดผี ู้ปกครองกพ็ งึ พอใจที่ลกู อำนออกเขียนได้จงึ ยงั ลงั เลใจว่ำ
ถ้ำเปลย่ี นไปใหน้ กั เรยี นได้ลงมอื ปฏิบตั มิ ำกๆผปู้ กครองเห็นอำจจะไม่เขำ้ ใจและอำจจะมำตอ่ วำ่ ครตู อ่
ว่ำผบู้ รหิ ำรโรงเรยี นไดว้ ่ำไมส่ อนนักเรยี นมีแต่ปลอ่ ยใหน้ กั เรียนเล่นหรือทำอะไรก็ไมร่ ไู้ มส่ นใจนักเรียน
และท้ังวันครูก็ไมต่ ้ังใจสอนเลย
ท่านจะช่วยคณุ ครแู ก้วตาอยา่ งไร?????????
31
กรณศี ึกษา
กรณีศกึ ษำที่ 3
ให้ทา่ นสวมบทบาทเป็นโคช้ ของคณุ ครูศิรอิ ร
คุณครูศริ ิอรสอนโรงเรียนมัธยมศกึ ษำขนำดกลำงในกลมุ่ สำระคณิตศำสตร์ระดับชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 3
สอนมำแล้ว 10 ปมี ีควำมรับผดิ ชอบในกำรสอนดมี ำกได้รบั คำชมจำกผปู้ กครองอยเู่ สมอว่ำเอำใจใส่
ลกู ๆนกั เรียนดมี ำกครศู ิรอิ รจบปรญิ ญำตรีคณิตศำสตรต์ รงกับวิชำท่ีสอนและดว้ยประสบกำรณก์ ำร
สอน 10 ปีในวชิ ำนจ้ี ึงไมห่ ่วงเกี่ยวกับกำรสอนให้นักเรียนเรียนจบไดต้ ำมหลักสูตรและครูศิรอิ รได้
จัดทำแผนกำรสอนสง่ ให้ฝ่ำยวิชำกำรตรวจทกุ ปไี มบ่ กพร่องตำมนโยบำยของโรงเรียน (จำกกำร
ตรวจสอบแผนกำรสอนพบวำ่ เปน็ แผนกำรจัดกำรเรียนรูท้ ี่เน้นผ้เู รียนเปน็ สำคัญที่ไดม้ ำ
จำก CD ทวี่ ำงขำยท่ัวไปหรอื ที่ down load จำกเว็บไซต์ทหี่ ำไดท้ ั่วไปโดยไม่ได้คำนึงถึงกำร
ตรวจสอบควำมถกู ตอ้ งเกี่ยวกับควำมเชื่อมโยงกบั มำตรฐำนและตัวช้ีวดั ตำมหลักกำรของหลกั สตู รซ่ึง
ส่วนใหญม่ ักจะเรียกกันตดิ ปำกวำ่ เป็นแผนสง่ ไมใ่ ชแ่ ผนสอน)ในระยะต่อมำโรงเรียนไดเ้ ปลี่ยน
ผบู้ ริหำรและมีกำรปรบั นโยบำยให้จัดทำแผนกำรจดักำรเรียนรูเ้ ชิงรกุ (Active Learning) เนน้ ให้
ผเู้ รยี นลงมอื ปฏิบตั มิ ีเป้ำหมำยใหน้ ักเรียนมีควำมสำมำรถในกำรคดิ แกป้ ัญหำสรปุ ควำมรไู้ ดแ้ ละใช้
ควำมรเู้ ปน็ เนน้ กำรประเมินชิ้นงำนและพัฒนำกำรตำมสภำพจริงทำใหค้ รศู ิรอิ รมคี วำมเครียดทงั้ ใน
งำนสอนและงำนพิเศษที่ได้รับมอบหมำยคือรับผิดชอบงำนทะเบียนวัดผลและสอนติวณิตศำสตร์
ให้นกเั รียนม.3 เตรยี มสอบ O-net ทุกเยน็ของวนั จันทร์/พธุ /ศกุ รต์ ลอดภำคเรียนรวมถึงควำมไม่
คนุ้ เคยและไมเ่ ข้ำใจเกี่ยวกับกำรจดั ทำแผนกำรจัดกำรเรยี นรู้เชงิ รุก(Active Learning) ทเี่ นน้ ให้
ผเู้ รยี นลงมือปฏบิ ตั ทิ ำใหค้ รศู ริ อิ รกงั วลใจหลำยเรื่องทั้งจัดเวลำไม่ถกู ไมม่ แี ผนกำรจดั กำรเรียนร้สู ่ง
ฝำ่ ยวิชำกำรทำใหก้ ำรสอนคณิตศำสตร์ในชั่วโมงสอนปกติไมไ่ ดค้ ำนงึ ถงึ กระบวนกำรจดั กำรเรยี นรู้เชงิ
รกุ (Active Learning) เลย
ท่านจะช่วยคุณครูแก้วตาอยา่ งไร?????????
32
แบบบันทึกการสังเกตการสอน
ประเดน็ สงั เกต บนั ทึกการสังเกต อ่นื ๆ
(ชน่ื ชม ซักถาม หรืออธิบาย)
1. กำรจดั ผังชน้ั เรยี น
2.กำรนำเข้ำสบู่ ทเรียน
3. กำรใชเ้ วลำมำกน้อยในกำรสอน
แต่ละข้นั ตอนตำมแผนกำรจัดกำร
เรียนรู้
4. กำรใชส้ ่ือกำรจัดกำรเรียนรู้
5. กำรวดั และประเมนิ ผล
6. พฤติกรรมกำรแสดงออกครู และ
นักเรียนระหวำ่ งกำรจัดกจิ กรรม
กำรสอน
7. เร่ืองอื่น ๆ เช่นกำรแต่งตัวกำรใช้
คำพดู กำรจดั กำรชน้ั เรียนฯลฯ
33
เครื่องมือสังเกตและบันทกึ พฤตกิ รรมการใช้คาพูดของครู
ชอ่ื ครูผสู้ อน....................................................................ช้นั ................กลมุ่ สาระการเรยี นรู้..........................
หนว่ ย/เร่อื ง..............................................................................เวลา.............................................................
องคป์ ระกอบในกระบวนการสอน พฤติกรรมทปี่ รากฏ
บนั ทกึ เพมิ่ เติม
๑. ขัน้ นำเขำ้ สบู่ ทเรยี น ทบทวน ดึงควำมสนใจ
๒. แจง้ จุดประสงคก์ ำรเรียนร/ู้ เป้ำหมำยกำร มี ไม่มี
เรียนกำรสอน
๓. กำรให้ควำมรู้ / กระบวนกำรเรียนรู้
๔. กำรสำธิต / ทำตวั อย่ำงใหด้ ู
๕. กำรฝึกโดยครูแนะนำ
๖. กำรฝกึ โดยอิสระ
๗. กำรตรวจสอบควำมเขำ้ ใจในบทเรียน
…………………………………………………………. ผู้สังเกตกำรณส์ อน
วนั ท.ี่ ........................................................................
สถำนกำรณ์กำรโคช้
แบบวเิ คราะหก์ รณีศกึ ษาเตร
ช่อื -สกลุ ผู้ท่ไี ด้รับกำรโคช้ …………………………………………………………………………………………
ครั้งน้เี ปน็ กำรโค้ชครง้ั ที่ …………….….………………สถำนทท่ี ี่จะไปโคช้ …………………………………
เป้ำหมำยของกำรโคช้ หลักฐำนผลกำ
(สิ่งทีค่ ำดหวังให้ครูเปลี่ยนแปลง) (ร่องรอยหลักฐำนทส่ี งั เ
1)……………………………………………………………………. 1)………………………………………
………………………………………………………………………... ……………………………………………
………………………………………………………………………… ……………………………………………
2)……………………………………………………………………. 2)………………………………………
……………………………………………………………………….. ……………………………………………
……………………………………...………………………………… ……………………………………...……
……………………………………...……………………………….. ……………………………………...……
3)……………………………………………………………………. 3)………………………………………
……………………………………………………………………….. ……………………………………………
………………………………………………………………………… ……………………………………………
................................................................................. .................................................
34
รยี มการออกแบบการโคช้
…………….อำยุ………….……………..ปี ตำแหน่ง………………………………………………………..
……………..……………………..วนั -เวลำที่จะไปโคช้ ……………………………………………………
ำรโคช้ พฤติกรรมกำรโค้ช รวมทงั้ คำพดู หรอื คำถำมสำคัญ
เกตได้ วดั ได้) และ/หรือส่ือ (ถำ้ มี)
………………………………. 1) พฤติกรรมในขณะโค้ช……………………………………………..
……………………………... ……………………………………………………………………………………
……………………………… ...............................................................................................
………………………………. 2) คำพูดหรือคำถำมสำคัญท่ีจะใชโ้ ค้ช
…………………………….. ………………………………………………………………………...............
……………………………… ………………………………………………………………………...............
…………………………….. ...............................................................................................
………………………………. 3) สื่อทใี่ ชโ้ คช้
…………………………….. ………………………………………………………………………...............
……………………………… ……………………………………..………………………………….............
.................................. ...............................................................................................
๑.สงิ่ ท่ไี มค่ วรทำในกำรโค้ช ๒. สงิ่ ทีค่ วรทำในก
1)……………………………………………………………………. 1)………………………………………
………………………………………………………………………... ……………………………………………
………………………………………………………………………… ……………………………………………
2)……………………………………………………………………. 2)………………………………………
……………………………………………………………………….. ……………………………………………
……………………………………...………………………………… ……………………………………...……
……………………………………...……………………………….. ……………………………………...……
3)……………………………………………………………………. 3)………………………………………
……………………………………………………………………….. ……………………………………………
………………………………………………………………………… ……………………………………………
................................................................................. ...................................................
35
กำรโค้ช ๓.บนั ทกึ หลงั กำรโค้ช
(บนั ทกึ สง่ิ ทีโ่ ค้ชได้พดู และปฏบิ ตั ิ และสงิ่ ที่ผ้รู ับกำรโค้ช
………………………………. เปลย่ี นแปลง รวมทงั้ ข้อตกลงในกำรพฒั นำงำนร่วมกนั และกำรนดั
หมำยเพ่อื โค้ชครงั้ ตอ่ ไป)
……………………………………………………………………….
……………………………... ………………………………………………………………………...
……………………………… …………………………………………………………………………
………………………………. ……………………………………………………………………….
…………………………….. ………………………………………………………………………..
……………………………… ……………………………………...…………………………………
…………………………….. ……………………………………...………………………………..
………………………………. ……………………………………………………………………….
…………………………….. ………………………………………………………………………..
……………………………… …………………………………………………………………………
............................... ...................................................................................
36
การวเิ คราะหก์ รณศี กึ ษาเพือ่ การออกแบบการโคช้
ชอื่ – สกลุ ผู้ทไ่ี ด้รบั กำรโค้ช............................................... อำยุ.......... ปี ตำแหนง่ ............................ ................
โคช้ ครง้ั ท.ี่ .............สถำนท่ีทจี่ ะไปโค้ช..............................วนั – เวลำที่จะไปโคช้ ......................................................
เปา้ หมายของการโคช้ หลกั ฐานผลการโค้ช พฤตกิ รรมการโคช้ รวมทงั้
(สง่ิ ทีค่ าดหวังใหค้ รูเปล่ยี นแปลง)
(ร่องรอยหลกั ฐานที่สงั เกตได้วัดได)้ คาพดู หรอื คาถามสาคญั และ/
1)………………………………………………………
หรือส่ือ(ถ้ามี)
1)……………………………………………………… 1) พฤติกรรมในขณะโค้ช
………………………………………………………… ………………………………………………………… ……………………………………………………
………………………………………………………… ………………………………………………………… ……………………………………………………
………………………………………………………… ………………………………………………………… ……………………………………………………
………………………………………………………… ………………………………………………………… ……………………………………………………
………………………………………………………… …………………………………………………………
2)คำพดู หรอื คำถำมสำคัญทใ่ี ช้โคช้
2)……………………………………………………… 2)……………………………………………………… ……………………………………………………
………………………………………………………… ………………………………………………………… ……………………………………...……………
……………………………………...………………… ……………………………………...………………… ……………………………………...……………
……………………………………...………………… ……………………………………...………………… ……………………………………………………
………………………………………………………… ………………………………………………………… ……………………………………………………
………………………………………………………… …………………………………………………………
………………………………………………………… ………………………………………………………… 3) สอื่ ท่ใี ชโ้ คช้
……………………………………………………
3)……………………………………………………… 3)……………………………………………………… ……………………………………………………
………………………………………………………… ………………………………………………………… ............................................................
………………………………………………………… ………………………………………………………… ……………………………………………………
.................................................................. ..................................................................
……………………………………………………
………………………………………………………… …………………………………………………………
………………………………………………………… …………………………………………………………
37
สะท้อนคิดหลังการโคช้
ชอ่ื – สกลุ ……………………................................................ อำย.ุ ......... ปี ตำแหนง่ ............................ ................
คาชแี้ จง ให้แต่ละกรอกข้อควำมเฉพำะชอ่ งที่ตนเองทำหน้ำทใ่ี นระหวำ่ งกำรโค้ช
ประเดน็ สะท้อนคิด ขณะโค้ช ขณะถกู โค้ช ขณะสงั เกตการณ์
ควำมรู้สกึ
ควำมคิด /บทเรียน
คำถำม / ปัญหำ
ประโยชน์ท่ไี ด้รับ
38
แนวทางการจัดทาแผนกิจกรรมและผลลัพธ์ทจ่ี ะเกิดข้นึ ในการโคช้ เพ่ือเปน็ แนวทางในการวางแผนการโค้ช
จรงิ ในการนเิ ทศทีต่ อ้ งต่อเน่ืองกนั หลายครงั้ (มากกวา่ 3 ครง้ั กไ็ ด)้ จนบรรลเุ ป้าหมายของการโค้ช
ผลลพั ธท์ ่ี กิจกรรมสาคญั กิจกรรมสาคัญ กจิ กรรมสาคญั การจดั กิจกรรม
คาดหวัง กอ่ นไปโค้ช ขณะโคช้ หลงั การโคช้ การเรยี นรู้
(พฤตกิ รรมคาพูด (การประเมินผล
และคาถาม เพ่อื การ ข้อคดิ และส่ิงที่
สาคัญ) ปรบั ปรุง) ควรระวัง
ครงั้ ที่ 1
(แรกพบ)
ครงั้ ที่ .....
(คร้ังต่อมำ)
ฯลฯ
คร้ังที่ ......
(ครง้ั
สดุ ท้ำย)
กำรประชุม
สัมมนำส้นิ
ภำค
กำรศึกษำ
39
แบบบนั ทกึ การ Coaching การจดั การเรียนรู้
ช่ือผูโ้ คช้ ………………………………………………………..ตำแหนง่ ………………………………….สังกดั ………………………
วันที่…………………………..……….เวลำ…………………………………สถำนที่…………………………………………………….
ชอ่ื (ผรู้ บั กำรโคช้ )……………………………………………………………….กลุม่ สำรกำรเรียนรู้…………………………………
ชอื่ สถำนศกึ ษำ………………………………………………………………………สังกัด…………………………………………………
ชอื่ หนว่ ยกำรเรียนรู้………………………………………………..ชอื่ แผนกำรจดั กำรเรยี นรู้……………………………………..
ระดบั ชัน้ ………………………………..ห้อง…………………………………..จำนวนผเู้ รียน……………………………………..คน
คาชแี้ จง โปรดทำเคร่ืองหมำย √ ตำมระดบั ปฏบิ ตั ิของครู (1 :ปรบั ปรุง 2: พอใช้ 3: มำก 4:มำกทส่ี ดุ )
กำรแปลควำมหมำยกำรตรวจสอบ
เกณฑ์ คำ่ เฉลี่ย 1.00-1.50 ปรบั ปรงุ 1.51-2.50 พอใช้ 2.51-3.50 พอใช้ 2.51-3.50 ดี 3.51-4.00 มำก
เกณฑ์การผา่ น มีผลกำรประเมินในระดับดีขนึ้ ไป
ก.บนั ทกึ การสังเกตการจดั การเรยี นรู้
1. กระบวนการจัดการเรยี นรู้
รายการ 1 ระดับปฏิบัติ 4
23
1. กำรเกร่ินนำเข้ำสู่บทเรียน
2. กำรอธิบำยขน้ั ตอนกำรดำเนนิ กจิ กรรมชัดเจน
3. กำรตั้งคำถำมเพ่ือสร้ำงกำรเรียนรู้
4. กำรต้ังคำถำมเพื่อให้ผเู้ รยี นเกิดกระบวนกำรคิด
5. กำรเปิดโอกำสใหผ้ ูเ้ รยี นแสดงควำมคิดเหน็ ซักถำม
6. กำรฟัง และกำรจับประเด็นส ำคัญ
7. กำรสรปุ และสะท้อนเปน็ ระยะ ๆ ใหผ้ ้เู รียนติดตำมควำมคดิ และกำร
เรยี นรู้ของกล่มุ
8. กำรเช่ือมโยงควำมคดิ เหน็ ผเู้ รยี นสู่กำรสรปุ แนวคิดหลักของบทเรียน
9. กำรลำดบั ควำมคดิ และประเดน็ กำรเรยี นรู้ เพ่อื นำไปสู่ขอ้ สรุปทงั้ หมดของคำบ
เรยี นโดยสอดคล้องกบั วัตถปุ ระสงค์ของแผนกำรจดั กำรเรียนรู้
10. กำรจดั กำรเรียนรู้ใหผ้ เู้ รียนไดเ้ กิดกำรเรยี นรดู้ ้วยกำรปฏิบัติจรงิ
รวม
สรุปรวม
เฉล่ีย/กำรแปลควำมหมำย
40
บนั ทกึ เพิม่ เติม สงิ่ ทคี่ วรพัฒนา
สงิ่ ทีค่ รปู ฏิบัตไิ ดด้ ี
2.ทัศนะและท่าทขี องครผู ูจ้ ดั การเรียนรู้ท่มี ีต่อผเู้ รยี น 41
รายการ
ระดบั ปฏิบัติ
1. ท่ำทเี ป็นมติ ร (ย้ิมแย้ม แจ่มใส กำรทำใหผ้ ้เู รยี นมีส่วนร่วม) 1234
2. ไมช่ ถี้ ูกช้ีผดิ หรอื บอกควรทำ/ไม่ควรทำ
3. ไมโ่ นม้ น้ำวให้คิดเหมือนครู ส่ิงที่ควรพัฒนา
รวม
สรุปรวม
เฉลยี่ /กำรแปลควำมหมำย
บนั ทึกเพ่ิมเติม
สิง่ ที่ครูปฏบิ ัตไิ ดด้ ี
3. การใหข้ อ้ มูลของครผู ู้จดั การเรยี นรู้ 42
รายการ ระดับปฏิบัติ
1234
1. ใหข้ อ้ มูลรอบด้ำน ไม่ปดิ บัง
2. ให้ขอ้ มลู ถกู ตอ้ ง ไม่คลำดเคลอ่ื น ส่งิ ท่ีควรพัฒนา
3. อธิบำยได้ชัดเจน
รวม
สรปุ รวม
เฉล่ีย/กำรแปลควำมหมำย
บนั ทกึ เพม่ิ เติม
สงิ่ ทค่ี รูปฏบิ ตั ไิ ดด้ ี
43
ข. บนั ทกึ สิ่งท่ี Coach เห็นว่าเปน็ อปุ สรรคในการจดั การเรียนรคู้ ร้งั น้ี (กรณุ าระบุ)
เวลำ (มำก/น้อย)…………………………………………….………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ผู้เรียน(จำนวน/ควำมสนใจ)…………………………….………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
กิจกรรม (ควำมเหมำะสมกบั ผู้เรยี น)…………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ครู (กำรเตรยี มตัว/ขอ้ มลู /ทกั ษะ)…………………………….………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
อุปกรณ์ (สอื่ /ห้องเรียน/แหล่งเรียนร)ู้ ………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
กำรวดั ผล /ประเมินผล (วิธกี ำร/กระบวนกำร)…………………………….………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
อนื่ ๆ…………………………….………………………………..……………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ค. บันทกึ ข้อสังเกตอน่ื ๆของ Coach
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
44
เอกสารอา้ งองิ
เกศรารักชาติ. (2549). องคก์ รแหง่ การเรียนรู้ (Awakening Organization). กรงุ เทพมหานคร :
เนชนั่ มลั ติมเี ดียกรุ๊ปจ่ากดั (มหาชน).
อาภรณภ์ ู่วทิ ยาพนั ธ.์ุ (2548). สอนงานอย่างไรใหไ้ ดง้ าน (Coaching). กรุงเทพมหานคร : เอชอาร์
เซน็ เตอรจ์ ่ากัด.
ดร. สจุ ิตราธนานนั ท์ (2548) การพฒั นาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Development)
กรุงเทพมหานคร : ทีพีเอ็นเพรส
ดร. สุจติ ราธนานนั ท์ (เอกสารประกอบการสอนวิชา PA 781) การประเมนิ ศักยภาพและการพฒั นา
ทรัพยากรมนุษย์ (Competency Assessmentand Human Resource Development)
Starcevich, M. M., Coach, Mentor : Is there a difference? Source : http :
//www.coachingandmentoring.com/mentsurvey.htm A.
What is Mentoring? Source : http://www.wisegeek.com/what-is-mentoring.htm
วรรณวรางค์ทัพเสนยี .์ (2553). กระแสคนกระแสโลก. สา่ นกั งานคณะกรรมการขา้ ราชการพลเรือน
สเุ ดือนเพ็ญคงคะจนั ทร์และคณะ. (2550). เอกสารประกอบการอบรมหลักสูตรนักบริหารงาน
ส่งเสรมิ สขุ ภาพระดับกลางร่นุ ท่ี 6/2550 ระหวา่ งวนั ท่ี 24 สิงหาคม– 3 กนั ยายน 2550 ณ
โรงแรมเซ็นทรัลเพลสจงั หวัดสมุทรสาคร
45
ประวตั ผิ เู้ ขียน/วิทยำกร
ช่อื -สกลุ นางกชวมิ ล ไชยะโสดา วัน เดือน ปีเกิด 25 ธันวาคม 2521
ตำแหนง่ ปจั จุบนั ศึกษานิเทศก์ วทิ ยฐานะชานาญการพิเศษ
สานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1
รับผิดชอบกลุ่มงานหลักสตู ร สาระสังคมศึกษา จิตวทิ ยา และการแนะแนว
กำรศึกษำ 1. ครศุ าสตรบ์ ณั ฑิต วชิ าเอก ภาษาอังกฤษ สถาบันราชภัฎกาแพงเพชร
2. ครศุ าสตร์มหาบณั ฑติ วิชาเอก หลักสตู รและการสอนภาษาอังกฤษ
มหาวิทยาลัยราชภัฏอตุ รดติ ถ์
วิทยำกร 1. การประชมุ เชงิ ปฏบิ ัตกิ าร หลักสูตรกำรศกึ ษำกระบวนกำรจัดเรยี นรู้แผนบูรณำกำร
กิจกรรมลดเวลำเรยี น เพิ่มเวลำรู้ Active Learning ตำมศำสตร์พระรำชำ ปงี บประมำณ
2562สานักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาพษิ ณุโลก เขต 1
2. การประชมุ เชิงปฏิบัตกิ าร หลักสตู รพัฒนำหลักสตู รกระบวนกำรเรยี นกำรสอนกำร
วัดและประเมินผล(กิจกรรมขับเคลือ่ นและสนบั สนนุ กำรลดเวลำเรยี นเพ่ิมเวลำรู้และ
กจิ กรรม Active Learning)ปงี บประมำณ 2561 สานักงานเขตพ้ืนทกี่ ารศึกษา
ประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1
3.การประชมุ เชงิ ปฏิบัตกิ ารครูผสู้ อนวิชาภาษาอังกฤษในศตวรรษที่ 21
ปีงบประมำณ
2558 สานกั งานเขตพน้ื ที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2
ทอี่ ยู่ปัจจบุ นั 10/29 หมู่ 5 ตาบลบา้ นคลอง อาเภอเมืองพษิ ณุโลก จงั หวัดพิษณุโลก 65000
คติพจน์ พร่งุ น้เี ร่มิ ต้นใหม่ได้เสมอ
E-mail [email protected]
ID Line 0918417396
46
47
กลมุ่ งานพฒั นาหลักสตู รการศึกษาข้ันพน้ื ฐานและกระบวนการเรยี นรู้
กลมุ่ นเิ ทศ ติดตามและประเมนิ ผลการจดั การศึกษา
สานักงานเขตพน้ื ท่ีการศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1