ระบบนิเวศชีวิตในสิ่งเเวดล้อม
สารบัญ หน้า
เรื่อง 1
ระบบนิเวศ 2
2-4
ไบโอม
• ไบโอมบนบก
• ไบโอมในนํ้า
5
การเปลี่ยนเเปลงเเทนที่ทางนิเวศวิทยา
มนุษย์กับทรัพยากรธรรมชาติ 6-7
ระบบนิเวศ
ระบบนิเวศคือ ความสัมพันธ์อย่างเป็นระบบที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเรา
ตัวอย่างเช่นความสัมพันธ์ระหว่าง สัตว์ พืช หรือแม้แต่มนุษย์อย่างเรา ๆ
ในระบบนิเวศสิ่งมีชีวิตแต่ละกลุ่มจะมีความสัมพันธ์กันเป็นทอดๆ เช่น สัตว์กินพืช สัตว์
กินสัตว์ และสัตว์ที่กินทั้งพืชและสัตว์ สุดท้ายเมื่อสิ่งมีชีวิตตายลงจุลินทรีย์ก็ทำหน้าที่ย่อย
สลายซากสิ่งมีชีวิตต่อไป เมื่อใดก็ตามที่มีการเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศอย่างเช่น มีสาร
เคมีแปลกปลอมเข้ามาทำลายสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดใดชนิดหนึ่งย่อมส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ
อย่าง หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะในระบบนิเวศทุกๆ สิ่งมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอย่าง
แยกไม่ออกทีเดียว
ไบโอม
ไบโอม (Biomes) หรือ ชีวนิเวศ คือระบบนิเวศใดๆ ก็ตามที่มีองค์ประกอบ
ของปัจจัยทาง กายภาพเช่นอุณหภูมิ ความชื้น และปัจจัยทางชีวภาพ เช่น
พืชและสัตว์ ที่คล้ายคลึงกัน กระจายอยู่ในเขตภูมิศาสตร์ต่างๆ ประเภทของ
ไบโอม แบ่งได้2 ประเภทใหญ่ๆ คือ 1. ไบโอมบนบก 2. ไบโอมในน้้า
ไบโอมบนบก
ไบโอมบนบก ใช้เกณฑ์ปริมาณน้ำฝนและอุณหภูมิเป็นตัวกำหนด ไบโอมบนบกที่มี
อยู่ในโลกนี้แบ่งออกได้หลายไบโอม แต่ไบโอมบนบกที่สำคัญที่จะกล่าวถึง ได้แก่ ไบ
โอมป่าดิบชื้น ไบโอมป่าผลัดใบในเขตอบอุ่น ไบโอมทุ่งหญ้าเขตอบอุ่น ไบโอมสะวัน
นา ไบโอมป่าสน ไบโอมทะเลทราย และไบโอมทุนดรา เป็นต้น
ไบโอมป่าดิบชื้น
ป่าดิบชื้น (tropical rain forest) พบได้ในบริเวณใกล้เขตเส้นศูนย์สูตรของโลกในทวีป
อเมริกากลาง ทวีปอเมริกาใต้ ทวีปแอฟริกา ทวีปเอเชียตอนใต้ และบริเวณบางส่วนของหมู่เกาะ
แปซิฟิก
ลักษณะของภูมิอากาศร้อนและชื้น มีฝนตกตลอดปี ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 200-400 เซนติเมตรต่อปี
ในป่าชนิดนี้พบพืชและสัตว์หลากหลายนับพันสปีชีส์ เป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์
ไบโอมป่าผลัดใบในเขตอบอุ่น
ป่าผลัดใบในเขตอบอุ่น (temperate deciduous forest) พบกระจายทั่วไปในละติจูตกลาง
ซึ่งมีปริมาณความชื้นเพียงพอที่ต้นไม้ใหญ่จะเจริญเติบโตได้ โดยมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 100
เซนติเมตรต่อปี
และมีอากาศค่อนข้างเย็น ในป่าชนิดนี้ต้นไม้จะผลัดใบก่อนที่จะถึงฤดูหนาวและจะเริ่มผลิใบอีกครั้ง
จากฤดูหนาวผ่านพ้นไปแล้ว ต้นไม้ที่พบมีหลากหลายทั้งไม้ยืนต้น ไม้พุ่ม รวมถึง ไม้ล้มลุก
ไบโอมป่าสน
ป่าสน (coniferous forest) ป่าไทกา (taiga) และ ป่าบอเรียล (boreal) เป็นป่าประเภท
เดียวกันที่มีต้นไม้เขียวชอุ่มตลอดปีพบได้ทางตอนใต้ของแคนาดา ทางตอนเหนือของทวีป
อเมริกาเหนือ ทวีปเอเชีย และยุโรป ในเขตละติจูตตั้งแต่ 45-67 องศาเหนือ ลักษณะของภูมิ
อากาศมีฤดูหนาวค่อนข้างยาวนาน อากาศเย็นและแห้งพืชเด่นที่พบ ได้แก่ พืชจำพวกสน เช่น
ไพน์ (pine) เฟอ (fir) สพรูซ (spruce) และเฮมลอค (hemlok) เป็นต้น
ไบโอมทุ่งหญ้าเขตอบอุ่น
ทุ่งหญ้าเขตอบอุ่น (temperate grassland) หรือที่รู้จักกันในชื่อของ ทุ่งหญ้าแพรี่ (prairie)
ในตอนกลางของทวีปอเมริกาเหนือและทุ่งหญ้าสเตปส์ (steppes) ของประเทศรัสเซีย เป็นต้น
สภาพภูมิอากาศมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 25-50 เซนติเมตรต่อปี ทุ่งหญ้าเขตอบอุ่นนี้เหมาะ
สำหรับการทำการกสิกรรมและปศุสัตว์ เพราะดินมีความอุดมสมบูรณ์สูงมีหญ้านานาชนิดขึ้นอยู่
ส่วนใหญ่พบมีการทำเกษตรกรรมควบคู่ในพื้นที่นี้ด้วยชั้นต่ำ เช่น ไลเคน ด้วย
ไบโอมสะวันนา
สะวันนา (savanna) เป็นทุ่งหญ้าที่พบได้ในทวีปแอฟริกา ทวีปอเมริกาใต้ ทวีปออสเตรเลีย และ
พบบ้างทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเอเชีย ลักษณะของภูมิอากาศร้อน พืชที่ขึ้นส่วนใหญ่เป็น
หญ้าและมีต้นไม้ขึ้นกระจายเป็นหย่อม ๆ ในฤดูร้อนมักมีไฟป่า เกิดขึ้นอยู่เสมอ ๆ
ไบโอมทะเลทราย
ทะเลทราย (desert) พบได้ทั่วไปในโลก ในพื้นที่ที่มีปริมาณฝนตกเฉลี่ยน้อยกว่า 25
เซนติเมตรต่อปี ทะเลทรายบางแห่งร้อนมากมีอุณหภูมิเหนือผิวดินสูงถึง 60 องศาเซลเซียส
ตลอดวัน บางแห่งค่อนข้างหนาวเย็น พืชที่พบในไบโอมทะเลทรายนี้มีการป้องกันการสูญเสียน้ำ
โดยใบเปลี่ยนรูปเป็นหนาม ลำต้นอวบเก็บสะสมน้ำ ทะเลทรายที่รู้จักกันโดยทั่วไปได้แก่ ทะเล
ทรายซาฮารา (Sahara) ในทวีปแอฟริกา ทะเลทรายโกบี (Gobi) ในประเทศสาธารณรัฐ
ประชาชนจีนและทะเลทรายโมฮาวี (Mojave) ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
ไบโอมทุนดรา
ทุนดรา (tundra) เป็นเขตที่มีฤดูหนาวค่อนข้างยาวนานฤดูร้อนช่วงสั้น ๆ ลักษณะเด่นคือ ชั้น
ของดินชั้นบนลงไปจะจับตัวเป็นน้ำแข็งอย่างถาวร ทุนดราพบทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาเหนือ
และยูเรเซีย พบพืชและสัตว์อาศัยอยู่น้อยชนิด ปริมาณฝนน้อยมาก ฤดูร้อนช่วงสั้น ๆ น้ำแข็งที่
ผิวหน้าดินจะละลาย แต่เนื่องจากน้ำสามารถซึมผ่านลงไปในชั้นน้ำแข็งได้จึงท่วมขังอยู่บนผิวดิน
ทำให้ปลูกพืชได้ในระยะสั้น ๆ พืชที่พบจะเป็นพวกไม้ดอกและไม้พุ่ม นอกจากนี้ยังพบสิ่งมีชีวิต
ชั้นต่ำ เช่น ไลเคน ด้วย
ไบโอมนํ้า
ไบโอมในน้ำ (aquatic biomes) ที่พบเป็นองค์ประกอบหลักในไบโอสเฟียร์นั้น ประกอบ
ด้วย ไบโอมแหล่งน้ำจืด (freshwater biomes) และไบโอมแหล่งน้ำเค็ม(marine
biomes) และพบกระจายอยู่ทั่วเขตภูมิศาสตร์ในโลกนี้
ไบโอมแหล่งน้ำจืด
โดย ทั่วไปประกอบด้วยแหล่งน้ำนิ่ง ซึ่งได้แก่ ทะเลสาบ สระ หนอง หรือบึง กับแหล่งน้ำ
ไหล ซึ่งได้แก่ ธารน้ำไหลและแม่น้ำ เป็นต้น
ไบโอมแหล่งน้ำเค็ม
โดยทั่วไปประกอบด้วยแหล่งน้ำเค็ม ซึ่งได้แก่ ทะเลและมหาสมุทร ซึ่งพบได้ในปริมาณมาก
ถึงร้อยละ 71 ของพื้นที่ผิวโลก และมีความลึกมากโดยเฉลี่ยถึง 3,750 เมตร ไบโอมแหล่ง
น้ำเค็มจะแตกต่างจากน้ำจืดตรงที่มีน้ำขึ้นน้ำลงเป็นปัจจัยกายภาพสำคัญ[1]
ไบโอมแหล่งน้ำกร่อย
ช่วงรอยต่อของแหล่งน้ำจืดและน้ำเค็มที่มาบรรจบกัน ซึ่งมักจะพบตามปากแม่น้ำ การขึ้นลง
ของกระแสน้ำมีอิทธิผลต่อการเปลี่ยนแปลงค่าความเค็มของน้ำในแหล่ง น้ำกร่อยเป็นอย่าง
มาก
ละติจูด:อาร์กติกเหนือพอสมควรค่อนข้างร้อนในเขตร้อนชื้น
ความชื้น:แห้งแล้ง
การเปลี่ยนแปลงแทนที่ทางนิเวศวิทยา
การเปลี่ยนแปลงแทนที่ทางนิเวศวิทยา ( ecological succession ) หมายถึง การที่
กลุ่มสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติชนิดหนึ่งถูกแทนที่โดยกลุ่มสิ่งมีชีวิต ใหม่ เมื่อสภาพ
แวดล้อมของแหล่งที่อยู่เปลี่ยนแปลงไป และจะหยุดการเปลี่ยนแปลงแทนที่ของกลุ่ม
สิ่งมีชีวิต เมื่อสภาพแวดล้อมของแหล่งที่อยู่ไม่ เปลี่ยนแปลง ซึ่งการเปลี่ยนแปลง
แทนที่มี 2 แบบ ดังนี้
1. การเปลี่ยนแปลงแทนที่แบบปฐมภูมิ ( primary succession ) เป็นการ
เปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยมีสิ่งมีชีวิตนั้นมาก่อน แต่ต่อมามีกลุ่มสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ปรากฏ
ขึ้น และมีการแทนที่กันจนในที่สุดได้กลุ่มสิ่งมีชีวิตขั้นสุดท้าย เช่น พื้นที่ที่ไม่เคยมี
หญ้าขึ้นมาก่อน ต่อมามีหญ้าญี่ปุ่นเกิดขึ้น ในเวลาต่อมามีหญ้า แห้วหมูขึ้นทำให้หญ้า
ญี่ปุ่นค่อย ๆ ลดจำนวนลงจนกระทั่งพื้นที่นั้นเป็นหญ้าแห้วหมูทั้งหมด
2.การเปลี่ยนแปลงแทนที่แบบทุติยภูมิ ( secondary succession ) เป็นการ
เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อมีกลุ่มสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่เข้าไปแทนที่กลุ่มสิ่งมีชีวิตปฐม
ภูมิ เช่น ภูเขาที่มีต้นไม้ใหญ่ เมื่อเกิดไฟไหม้ป่าต้นไม้ตายหมด เมื่อฝนตกลงมาจะมี
หญ้าขึ้นแทน
มนุษย์กับทรัพยากรธรรมชาติ
ทรัพยากรธรรมชาติ หมายถึง สิ่งที่ได้มาจากธรรมชาติซึ่งมีประโยชน์ต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์โดย
เฉพาะเป็นปัจจัยสี่ที่มีความจำเป็นในการดำรงชีวิตที่มนุษย์สามารถเสาะแสวงหามาใช้ เช่น พืช
สัตว์ แร่ธาตุ ป่าไม้ ถ่านหิน และน้ำมัน เป็นต้น สามารถแบ่งทรัพยากรธรรมชาติออกเป็น 3
ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่
1.ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้ไม่หมดสิ้น (non-exhausting natural resource) เป็น
ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่มาก พบได้ทุกแห่งในโลก มีความจำเป็นในการดำรงชีวิตของสิ่งมี
ชีวิตทุกชนิดทรัพยากรเหล่านี้หากใช้ไม่ดี ไม่มีการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้
ทรัพยากรที่มีค่ามหาศาลเหล่านี้อาจเสื่อมสภาพไปจนไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ถ้าใช้
อย่างไม่ระมัดระวัง ได้แก่ น้ำ อากาศ แสงสว่างจากดวงอาทิตย์
2. ทรัพยากรธรรมชาติที่บำรุงรักษาให้คงสภาพอยู่ได้ เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่บนผิวโลก
ตามแหล่งต่าง ๆ ถ้ามนุษย์ใช้ทรัพยากรเหล่านี้อย่างถูกต้องและมีการบำรุงรักษาแล้ว
ทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้จะยังคงอยู่และใช้ประโยชน์ได้ตลอดไป ได้แก่ ดิน ป่าไม้ ทุ่ง
หญ้า สัตว์ป่า พลังงานมนุษย์
3. ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วสิ้นเปลือง เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วหมดไป ไม่สามารถ
สร้างขึ้นมาใหม่ได้หรือไม่สามารถหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ได้ หรือถ้าทำได้ก็กินเวลานาน
นับพันนับหมื่นปีทรัพยากรเหล่านี้ ได้แก่ แร่ธาตุ (รวมทั้งน้ำมันถ่านหิน) และทิวทัศน์ที่
สวยงาม
การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
การทำให้ทรัพยากรฯ คงสภาพเดิม หรือเกิดการสูญเปล่าน้อยที่สุด ซึ่งเริ่มจาก
1. การสำรวจข้อมูล ทราบถึงรายละเอียดต่าง ๆ เช่น แหล่งที่มา ปริมาณ คุณลักษณะ คุณสมบัติ วิธี
การนำมาใช้ ผลกระทบของการสูญเสีย สาเหตุของการขาดแคลนหรือเสื่อมคุณภาพ
2. การป้องกันรักษา การพยายามทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับทรัพยากรธรรมชาติ ให้น้อยที่สุด หรือไม่
เกิดขึ้นเลย เช่น การจัดการแบบเด็ดขาด - การจับกุมผู้กระทำผิด
การจัดการ ( management )
การจัดการใช้ทรัพยากรฯ อย่างถูกวิธีและเป็นระบบ เพื่อให้ทรัพยากรฯ เพียงพอกับความต้องการ และ
เกิดผลกระทบน้อยที่สุด ทำได้โดย
1. การฟื้นฟูและปรับปรุงคุณภาพ ทรัพยากรธรรมชาติ เมื่อใช้แล้วมีสมบัติไม่เหมาะที่จะใช้ต่อ ต้องมีการ
ปรับปรุง และฟื้นฟูคุณภาพให้ดี ก่อนนำกลับมาใช้ เช่น การบำบัดน้ำเสีย การใส่ปุ๋ยบำรุงดิน การปลูก
พืชหมุนเวียน การซ่อมแซมอุปกรณ์เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่
2. การใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ใช้ ทรัพยากรฯ ให้ถูกประเภทถูกวิธี จะเกิดประโยชน์สูงสุด
ผลพลอยได้จากการใช้ ทรัพยากรฯ นำมาใช้ประโยชน์ต่อได้อีก เช่น นำขี้เลื่อยมาอัดเป็นก้อน เป็นแท่ง
เพื่อทำเฟอร์นิเจอร์แทนแผ่นไม้
3. การนำกลับมาใช้ใหม่ ( recycle )
4. การแสวงหาแหล่งทรัพยากรเพิ่มเติม เช่นการสำรวจแหล่งแร่ในทะเลลึก แหล่งน้ำมันดิบ การสำรวจ
แหล่ง ทรัพยากรฯ จากนอกโลก
5. การหาสิ่งอื่นมาทดแทน เช่น ใช้เส้นใยสังเคราะห์แทนขนสัตว์ ใช้อะลูมิเนียมแทนเหล็ก ใช้
พลาสติกแทนไม้ ใช้พลังงานแสงอาทิตย์แทนเชื้อเพลิง