The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานการค้นคว้าการทอผ้ากะเหรี่ยง 047กันยา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

รายงานการค้นคว้าการทอผ้ากะเหรี่ยง 047กันยา

รายงานการค้นคว้าการทอผ้ากะเหรี่ยง 047กันยา

รายงานการศึกษาค้นคว้า เรื่อง การทอผ้าของกะเหรี่ยง เสนอ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สาโรช สอาดเอี่ยม จัดทำโดย นางสาวกันยารัตน์ คีรีกนกเขียว รหัส 6410540231047 รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาค้นคว้า รหัส GE4005 ภาคเรียนที่ 1/2566 สาขาการสอนภาษาอังกฤษ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตล้านนา


ก คำนำ รายงานเรื่องการทอผ้าของกะเหรี่ยง ฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อ การศึกษาค้นคว้า รหัสGE4005 มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการทอผ้าของชาวกะเหรี่ยง โดยได้ ศึกษาผ่านแหล่งความรู้ต่างๆ รวมไปถึงแหล่งความรู้จากเว็บไซต์ออนไลน์เพื่อที่จะได้เข้าใจถึงหลักการและ วิธีการทอผ้าของชาวกะเหรี่ยง เนื้อหาในรายงานเล่มนี้จะประกอบไปด้วยเนื้อหาที่เกี่ยวกับการทอผ้าของชาวกะเหรี่ยง ได้แก่ ความ เป็นมา วิธีการทอผ้าของชาวกะเหรี่ยง ความหมายของเสื้อทอกะเหรี่ยงตัวแรก และเอกลักษณ์ศิลปะลวดลาย บนผืนผ้า สรุป การจัดทำรายงานฉบับบนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ทางผู้จัดทำขอขอบพระคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สาโรช สอาดเอี่ยม ที่ท่านได้ให้คำแนะนำในการจัดทำรายงาน จนทำให้รายงานฉบับนี้ สมบูรณ์ในเรื่องของการศึกษาการทำรายงาน การเรียบเรียงเนื้อหา การเขียนบรรณานุกรม รวมไปถึง ขอขอบพระคุณผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่ค่อยสนับสนุน ช่วยเหลือตลอดมา ทางผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เนื้อหาในรายงานฉบับนี้ที่ได้เรียบเรียงมาจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นที่สนใจและต้องการศึกษาค้นคว้า หากมีการ ผิดพลาดประการใด ทางผู้จัดทำขอกราบผู้รู้ช่วยแนะนำต่อไป กันยารัตน์ คีรีกนกเขียว


ข สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ ก สารบัญ ข สารบัญภาพ ค ความเป็นมาการทอผ้าของชาวกะเหรี่ยง 1-2 ความหมายของเสื้อผ้าทอกะเหรี่ยงตัวแรก 3 เอกลักษณ์และศิลปะลวดลายบนผืนผ้า 5-10 -วิธีการทอผ้ากะเหรี่ยง -การปักประดับลูกเดือย ผ้าซิ่น : เครื่องแต่งกายที่สะท้อนถึงความเป็นสตรีชนเผ่ากะเหรี่ยง 11 ย่าม : การทอย่ามของกะเหรี่ยง 12 สรุป 16 บรรณานุกรม 17 ภาคผนวก 18-22


ค สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า ภาพที่ 1 เสื้อผ้าอาภรณ์ตัวแรกของชาวกะเหรี่ยง 1 ภาพที่ 2 การทอผ้ากะเหรี่ยง 2 ภาพที่ 3 วิธีผ้าปักประดับ “ลูกเดือย” 3 ภาพที่ 4 ลักษณะเมล็ดลูกเดือย 4 ภาพที่ 5 เทคนิคการทอผ้ากี่เอว 5 ภาพที่ 6 ลายสะกอพอ (ลายดอกมะเขือ) 6 ภาพที่ 7 เทคนิคการทอผ้าซิ่นลายสลับสี 7 ภาพที่ 8 ลักษณะย่ามกะเหรี่ยง 8 ภาพที่ 9 วิธีการทอย่ามกะเหรี่ยง 9 ภาพที่ 10 การทอผ้าแบบเรียบง่าย 10 ภาพที่ 11 การแทรกสลับด้ายสี 11 ภาพที่ 12 เทคนิคการทอผ้าที่ยาก 12 ภาพที่ 13 การทอประกอบลูกเดือย 13


1 ความเป็นมา วิธีการทอผ้าของชาวกะเหรี่ยง กระบวนการทอผ้าของชาวกะเหรี่ยงนั้น สำเร็จได้โดยไม่ต้องอาศัยปัจจัยจากภายนอก เริ่มตั้งแต่การ ปลูกฝ้าย การย้อมเส้นด้ายด้วยสีธรรมชาติ ส่วนการทอนั้นใช้ "กี่เอว" ที่เรียกว่า "ทอแบบห้างหลัง" (Back-strap body tension loom) พัฒนามาจากการทอผ้าหน้าแคบที่ไม่ใช้กี่แบบสากล หากแต่ตัวผู้ทอเป็นจุดขึงเส้นด้าย แบบที่ชาวไทยเหนือหรือไทยใหญ่ในยูนนาน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน รวมทั้งกลุ่มชาติพันธุ์บางเผ่าเช่น ลัวะ และ ลาหู่ ในประเทศไทยที่ยังคงทอกันอยู่ โดยผู้ทอต้องนั่งกับพื้น เหยียดขาตรงไปข้างหน้าทั้งสองข้าง เท้าแนบชิดกัน บางแห่งมีขอนไม้ยันเพื่อ ไม่ให้ตัวเลื่อนไหลไปข้างหน้ามากเกินไป ด้ายเส้นยืนมีสายหนังคาดรัดโอบไปด้านหลังของเอว บางแห่งจึง เรียกว่า "การทอมัดเอว" หรือ "กี่เอว" การทอผ้าวิธีนี้ไม่ใช้กระสวยช่วยสอดด้ายพุ่ง หากแต่ใช้นิ้วหรือไม้ไผ่ซีก เล็กๆ สอดด้ายเส้นพุ่ง แล้วใช้แผ่นไม้เล็กๆ ที่เรียกว่า "หน่อทาแพะ" กระแทกด้ายเส้นพุ่งให้แน่นแทนการใช้ฟืม ส่วนปลายของเส้นยืน จะผูกมัดกับเสาเรือนหรือโคนต้นไม้ ทำให้เลือกสถานที่ทอได้ตามความพอใจ เช่น บน เรือน ใต้ถุนบ้าน ผู้ทอจะต้องก้มและยืดตัวขึ้นสลับกับการสอดด้ายเส้นพุ่งเข้าไประหว่างเส้นยืนด้วยไม้ สลับกับ การกระทบด้ายเส้นพุ่งให้เรียงกันแน่นด้วยแผ่นไม้บางๆ การทอประเภทนี้ยังไม่ใช้ฟืม ผ้าจึงไม่เรียบแน่น ข้อ สำคัญทำให้ผ้าที่ทอออกมามีหน้าแคบ เวลาตัดเย็บต้องนำมาเรียงต่อกันหลายผืน การทอผ้าวิธีนี้ อาจเป็นต้นกำเนิดของการทอผ้าแบบดั้งเดิมของมนุษย์ที่ยังไม่ได้ใช้ กี่ หรือ หูก และฟืม เข้ามาช่วยเหมือนการทอผ้าในปัจจุบัน ที่พัฒนามาเป็นการทอผ้าแบบนั่งห้อยขา มีฟืมสำหรับกระทบ สามารถ ทอผ้าได้หน้ากว้างมากขึ้น ผ้ากะเหรี่ยง มีความเกี่ยวเนื่องกับประเพณีของกลุ่มชน เช่น หญิงสาวจะต้องทอผ้าสำหรับใช้ในพิธี แต่งงานของตนเอง ขณะที่ผู้ชายจะต้องทำเครื่องจักสาน เครื่องเงิน เพื่อมอบให้เจ้าสาวของตนเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะกำไลเงินที่เจ้าบ่าวมอบให้เจ้าสาวในพิธีแต่งงานนั้น เจ้าสาวต้องสวมติดข้อมือไว้ตลอดชีวิต การแต่งกายของชาวกะเหรี่ยงมีเอกลักษณ์เฉพาะกลุ่ม โดยมีผ้าเป็นเครื่องนุ่งห่ม ที่ใช้สีสันและรูปแบบ เป็นเครื่องบ่งบอกเพศและสถานภาพทางสังคม ดังนั้น ผ้ากะเหรี่ยงจึงมีแบบแผนและรูปแบบเป็นของตนเอง กลุ่มกะเหรี่ยงสะกอ และ โปว์ ในทุกจังหวัดของประเทศไทย ยังคงรักษาลักษณะร่วมที่แสดงสถานะ ของหญิงสาวและหญิงแม่เรือน เช่นเดียวกัน คือ หญิงทุกวัยที่ยังไม่ได้แต่งงาน ต้องสวมชุดยาวสีขาว หรือ "เช ควา" เมื่อแต่งงานแล้วจะต้องเปลี่ยนมาเป็นสวมใส่ เสื้อสีดำหรือที่เรียกว่า "เช โม่ ซู" และผ้าถุงคนละท่อน เท่านั้น ห้ามกลับไปสวมใส่ชุดยาวสีขาวอีก ส่วนผู้ชายทั้งกลุ่มโปว์และสะกอว์แถบภาคเหนือ มักสวมกางเกงสี ดำและสีน้ำเงิน หรือกรมท่า ในขณะที่แถบจังหวัดตาก และอำเภอลี้ จังหวัดลำพูน มักสวมโสร่ง ลักษณะเสื้อ


2 ผู้ชายวัยหนุ่มใช้สีแดงทุกกลุ่ม แต่มีลวดลายมากน้อยต่างกัน การแต่งกายในโอกาสพิเศษ เช่น พิธีปีใหม่ พิธี แต่งงาน เน้นสวมใส่เสื้อผ้าใหม่ จะเห็นชัดว่าชายหนุ่มและหญิงสาวจะพิถีพิถันแต่งกายสวยงามเป็นพิเศษ ปัจจุบัน กลุ่มกะเหรี่ยงที่ยังคงสวมใส่เครื่องแต่งกายประจำเผ่าในวิถีชีวิตปกติ มีเพียงกลุ่มโปว์และ สะกอว์เท่านั้น ส่วนกลุ่มคยาและต่องสู้ ไม่นิยมสวมใส่ชุดประจำเผ่าในชีวิตประจำวันแล้ว กะเหรี่ยงแต่ละกลุ่ม นอกจากจะมีการแต่งกายที่แตกต่างกันแล้ว กะเหรี่ยงกลุ่มเดียวกันแต่อยู่ต่างพื้นที่ ก็มีลักษณะการแต่งกายไม่ เหมือนกันด้วย เช่น กะเหรี่ยงโปว์แถบอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน แต่งกายมีสีสันมากกว่าแถบ จังหวัดเชียงใหม่ หญิงกะเหรี่ยงสะกอว์แถบจังหวัดแม่ฮ่องสอนและอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ดังเช่นวัตถุ จัดแสดงชิ้นนี้ ตกแต่งเสื้อมีลวดลายหลากหลาย และละเอียดมากกว่าแถบจังหวัดตากหรือกะเหรี่ยงโปว์แถบ จังหวัดกาญจนบุรี ก็มีลวดลายตกแต่งเสื้อผ้าแตกต่างจากภาคเหนือ เสื้อสตรีกะเหรี่ยง หรือที่เรียกว่า "เช โม่ ซู" ตัวนี้ทอด้วยผ้าฝ้ายสีดำเป็นผ้าพื้น และปักลวดลายท่อน ล่างด้วยไหมพรมสีแดงกับลูกเดือยสีขาว เป็นการบ่งบอกสถานะของผู้สวมใส่ว่าเป็นหญิงสาวที่ผ่านการสมรส แล้ว ไม่ใช่เด็กสาวพรหมจารีซึ่งต้องสวมชุดสีขาวยาวกรอมเท้า เรียกว่า "เช ควา" การตัดเย็บจะเห็นว่าเกิดจากการใช้ผ้าทอหน้าแคบผืนยาวมากจำนวนสองผืนมาเป็นประกบกัน โดย วางผ้าแต่ละชิ้นพับครึ่งกลางก่อน รอยพับกึ่งกลางนั้นเป็นตำแหน่งของบ่า จากนั้นเย็บตะเข็บข้าง โดยเว้นพื้นที่ สำหรับใส่ช่องวงแขนไว้ส่วนหนึ่งด้วยด้ายไหมพรมยาวไปจนสุดชายเสื้อด้านหนึ่ง ทำแบบนี้ทั้งสองผืน แล้วจึง นำมาเย็บติดต่อกันในส่วนกลางลำตัวด้านหน้าและด้านหลัง โดยเว้นช่องคอสำหรับสวมหัวให้กว้างพอ รูปทรง เสื้อผ้าของชาวกะเหรี่ยงจึงไม่มีโค้งไม่มีเว้าใด ๆ ถือว่าเป็นการเข้าเสื้อโดยไม่จำเป็นต้องตัดผ้าทอทิ้งเลยแม้แต่ ส่วนเดียว ดังนั้น การทอผ้าแต่ละครั้งจะต้องกำหนดขนาดจำนวนความสูงของเส้นด้ายให้ลงตัวกับรูปร่างของผู้ สวม ซึ่งชาวกะเหรี่ยงไม่มีเครื่องมือประเภทสายวัดที่ใช้เป็นมาตรฐานในการวัด ส่วนใหญ่ใช้วิธีกะประมาณเอา ด้วยอาศัยความเคยชิน การทอแต่ละครั้ง ผู้ทอจะยึดรูปร่างของตนเป็นมาตรฐาน เมื่อขึ้นเครื่องทอต้องกะ ประมาณเอาว่าควรเรียงด้ายสูงประมาณเท่าไหร่ ของไม้ที่เสียบบนไม้ขึ้นเครื่องทอ เช่น หากผู้ใส่ตัวเล็กกว่าตนก็ น่าจะประมาณ "ครึ่งไม้" หรือ "ค่อนไม้" หากผู้ใส่รูปร่างใหญ่ก็ "เต็มไม้" คือ ผู้ทอต้องเรียนรู้วิธีที่จะลดหรือเพิ่ม ขนาดของด้ายด้วยการเปรียบเทียบจากรูปร่างของผู้ใส่กับผู้ทอเอง


3 ความหมายของเสื้อผ้าทอกะเหรี่ยงตัวแรก ภาพที่ 1 เสื้อผ้าอาภรณ์ตัวแรกของชาวกะเหรี่ยง เสื้อผ้าอาภรณ์นอกจากจะช่วยระบุตัวตนของคนแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์แล้ว ในชาติพันธุ์เดียวกันก็ยังใช้ เสื้อผ้าในการช่วยระบุสถานะทางสังคมอีกด้วย เด็กปกาเกอะญอเกิดมาเมื่ออายุได้ครบ 1 ปี แม่จะต้องทอเสื้อเพื่อทำพิธี "เสื้อตัวแรก" ให้กับลูกได้สวม ใส่ โดยจะต้องทอให้เสร็จภายใน 1 วัน โดยมีความเชื่อว่าเมื่อได้ใส่เสื้อตัวแรกลูกจะเติบโตและมีสุขภาพแข็งแรง โดยเด็กผู้ชายจะใส่เสื้อสีแดง เรียกว่า เช-กอ ส่วนเด็กผู้หญิงจะใส่ชุดยาวสีขาว เรียกว่า เช-วา เด็กหญิงจะสวม ชุดยาวสีขาวตั้งแต่เป็นเด็กเล็กไปจนถึงเป็นสาว สีขาวที่สวมใส่นั้นแสดงสถานะทางสังคมว่ายังเป็นสาวบริสุทธิ์ ยังไม่แต่งงานมีคู่ หนุ่ม ๆ ต่างหมู่บ้านเมื่อได้มาพบเจอตามงานประเพณีต่าง ๆ ก็จะแยกแยะได้ว่าสาวคนไหนยัง โสดอยู่ เมื่อเข้าพิธีแต่งงานแล้ว สตรีจะเปลี่ยนเครื่องแต่งกายจากการแต่งชุดยาวสีขาว มาใส่เสื้อแม่บ้านสีดำที่ เรียกว่า เช-ซู และสวมผ้าซิ่นมีลายมัดหมี่ เสื้อแม่บ้านสีดำนั้นเป็นสัญลักษณ์ของการเข้าสู่สถานภาพใหม่ ทั้ง ความเป็นภรรยาและความเป็นแม่ มีความรับผิดชอบในชีวิตที่มากขึ้น ชีวิตไม่สดใสเหมือนตอนเป็นหญิงสาวอีก แล้ว โดยเสื้อเชซูของแม่บ้านนั้น จะมีสองแบบคือ เสื้อทอลาย (เชกิ) และเสื้อปักลูกเดือย (เชเบอะ) ซึ่งลูกเดือย ก็ยังเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นแม่ เป็นผู้เก็บเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต แต่สำหรับผู้ชายนั้นจะสวมเสื้อแดงตั้งแต่เป็น เด็กจนแก่เฒ่า ปัจจุบันเสื้อมีหลากสีสันมากขึ้น แต่เมื่อมีงานประเพณีที่สำคัญ ผู้ชายส่วนใหญ่ก็จะสวมใส่ด้วย เสื้อสีแดง หรือ เชกอ ผ้าทอปกาเกอะญอ หรือผ้าทอกะเหรี่ยงได้รับความนิยมจากกลุ่มคนใช้ผ้าพื้นเมืองมานาน ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผู้ชาย ชุดเดรสยาวเสื้อปักลูกเดือย เสื้อทอลาย ย่ามกะเหรี่ยง ผ้าคลุมไหล่ ผ้าพันคอ ฯลฯ นั่นก็อาจจะเป็น


4 ส่วนหนึ่งที่ทำให้งานผ้าของชาวปกาเกอะญอยังมีลมหายใจที่สดใสทั้งในตลาดผ้าทอ และในชุมชนตามดงดอย ต่าง ๆ แต่สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ภูมิปัญญาในการผลิตผ้าทอกะเหรี่ยงยังสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบันนั่นก็คือ ความคิดความเชื่อ ธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ ที่ผู้เป็นแม่ได้ทำหน้าที่ส่งต่อให้กับลูกสาว ทั้งเทคนิคการถักทอ และความเชื่อต่าง ๆ เช่น ผู้หญิงจะต้องทอผ้าเป็น เพื่อที่เมื่อออกเรือนแล้วจะต้องทอผ้าให้สามีและตัวเองสวม ใส่ เมื่อมีลูกอายุครบขวบปีก็ต้องทอเสื้อตัวแรกให้ลูกสวมตามประเพณี สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นแรงขับเคลื่อน อย่างหนึ่งที่ทำให้มีการสืบสานทักษะการถักทอยังอยู่ในชุมชน รวมถึงมีการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ เพิ่มเติมเข้าไป ในผืนผ้าไม่หยุดนิ่ง ด้วยความงามอันวิเศษแต่เรียบง่ายของผ้าทอกะเหรี่ยง ทำให้คนทั่วไปนอกจากจะเป็นผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ จากชุมชนแล้ว ก็ยังสนใจเรียนรู้วิธีการถักทออีกด้วย การได้เห็นวิธีการผลิต ได้พูดคุยกับคนถักทอ ได้ฟัง เบื้องหลังความคิดความเชื่อของแต่ละลวดลาย ก็ยิ่งทำให้ผ้าทอแต่ละผืนมีคุณค่ามากขึ้นไปอีกหลายเท่า ภูมิปัญญาศิลปะของชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ความหมายของเสื้อกะเหรี่ยง ทำไมเสื้อกะเหรี่ยงถึงไม่มีกระเป๋า ? และทำไมด้านหน้าและหลังต้องเหมือนกันด้วย ? ทำไมเสื้อแต่ละตัวต้องเป็นแบบนั้น แบบนี้ ? คำตอบคือ เสื้อกะเหรี่ยงที่ใส่อยู่มีความเป็นมาและคติสอนใจที่สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษรุ่นสู่รุ่นว่า 1. เสื้อกะเหรี่ยงใส่สลับหน้าหลังได้ คือ ด้านหน้าและด้านหลังจะเหมือนกันเพื่อตอกย้ำว่าผู้สวมใส่ต้อง ไม่กลับกลอกปลิ้นปล้อนทั้งต่อหน้าอย่างไรลับหลังก็เช่นกัน 2. เสื้อกะเหรี่ยงไม่มีกระเป๋า จึงไม่ต้องมีอะไรซุกซ่อน ซ่อนเร้น อำพราง 3. เสื้อกะเหรี่ยงไม่มีคอปกแขนเสื้อ กระดุมวิถีกะเหรี่ยงจึงเรียบง่ายสมถะ กินพออิ่ม นุ่งพออุ่น สามข้อคิดก็สะกิดและเตือนเราให้รู้สำนึกตัวว่า เราคือใครมาจากไหน ไม่ควรลืมผู้มีพระคุณและ รากเหง้าของตัวเอง


5 เอกลักษณ์และศิลปะลวดลายบนผืนผ้า : ผ้าทอชนเผากะเหรี่ยง กะเหรี่ยง เป็นกลุ่มชนเผ่ากลุ่มหนึ่งที่เรารู้จักกันอย่างคุ้นชินแบบชื่อที่เรียกกันในภาคกลางของไทย กะเหรี่ยงเป็นชนเผ่าที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยเมื่อ 200 กว่าปีที่แล้ว นับว่าเป็นกลุ่มชนเผ่าที่มี ประชากรมากที่สุดในประเทศไทย มีถิ่นที่อยู่อาศัยกระจายอยู่หลายพื้นที่ทั้งพื้นที่ภูเขาสูง และพื้นที่ราบ กะเหรี่ยงที่พบในประเทศไทยอาจแบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม กะเหรี่ยงสะกอ (หรือที่เรียกกันว่าปกากะญอ) กะเหรี่ยง โปว์กะเหรี่ยงปะโอ และกะเหรี่ยงบะเว และที่เรามักจะพบเห็นลักษณะการแต่งกายแบบชนเผ่า และ เอกลักษณ์ผืนผ้าทอที่สะท้อนถึงทักษะความเชี่ยวชาญในด้านศิลปะการสร้างลวดลายบนผืนผ้าที่งดงามนั้น ส่วนมากจะพบเห็นอยู่ใน 2 กลุ่มใหญ่ นั่นคือ กลุ่มกะเหรี่ยงโปว์และกลุ่มกะเหรี่ยงสะกอ หรือปกาเกอะญอ ผู้หญิงชาวกะเหรี่ยงได้รับการกล่าวขานว่าเป็นชนเผ่าผู้มีฝีมือในการทอผ้าที่เก่งที่สุดเผ่าหนึ่ง ด้วยจะ ได้รับการถ่ายทอดความรู้ทักษะฝีมือการทอผ้ามาจากผู้เป็นแม่ตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิงในวัยประมาณ 10 ปี ผู้หญิงชาวกะเหรี่ยงมักจะทอเสื้อผ้าไว้ใช้สวมใสในชีวิตประจําวัน ทั้งของตนเองและสมาชิกในครอบครัว หรือ ทอเก็บไว้ใช้ในงานพิธีสําคัญๆ เช่น งานแต่งงาน งานประเพณีสําคัญต่าง ๆ ผ้าทอกะเหรี่ยง มีลักษณะเป็นผ้าทอหน้าแคบ ที่ใช้เครื่องมือทอแบบห้างหลัง หรือที่เรียกกันว่ากี่เอว ผ้าที่ทอจะถูกกำหนดตามความต้องการใช้งานตั้งแต่เริ่มต้นทอ เช่น ผ้าทอสําหรับเสื้อ ผ้าทอสําหรับผ้าซิ่นผ้าทอ สําหรับผ้าโพกศีรษะ หรือผ้าทอสําหรับทาเป็นย่าม เป็นต้น ศิลปะลวดลายบนผืนผ้าของชนเผ่ากะเหรี่ยง มีเอกลักษณ์โดดเด่นที่แสดงถึงตัวตนของชนเผ่ากะเหรี่ยง ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ลวดลายต่างๆ มักเกิดจากการสังเกต การใช้จินตนา การนําเอาลักษณะเด่นจากสิ่ง ที่พบเห็นในธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบตัว ทั้งพืชพรรณ ดอกไม้ต้นไม้สัตว์น้อยใหญ่ข้าวของเครื่องใช้ใน ชีวิตประจําวัน ตลอดไปจนถึงประเพณีและคตินิยมของชนเผ่ามาประยุกต์ถ่ายทอดลงสู่ลวดลายบนผืนผ้าได้ อย่างงดงาม ด้วยเทคนิคการสร้างสรรค์ลวดลายที่หลากหลาย ทั้งการจก การทอยกดอก การมัดหมี่การปักด้วย ด้ายหรือไหมพรมหลากสีการปักประดับตกแต่งด้วยเมล็ดลูกเดือย เป็นต้น เอกลักษณ์ลวดลายที่มีลักษณะเป็นลวดลายดั้งเดิมที่ปรากฎบนผืนผ้าทอกะเหรี่ยงที่สืบทอดต่อกันมา จากบรรพบุรุษหลายชั่วอายุคน เป็นลวดลายที่พบได้ในกะเหรี่ยงโปว์และปกาเกอะญอแทบทุกพื้นที่ เช่น ลักษณะลายเป็นสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนรูปแบบต่างๆ ลายดอกไม้ลายเส้นตรง ลายกากบาท เป็นต้น ชื่อของ ลวดลายผ้าทอกะเหรี่ยงนั้นอาจไม่มีชื่อหรือความหมายที่เป็นภาษาไทยที่จะเข้าใจได้โดยง่าย เนื่องจากเป็นชื่อ เรียกลวดลายโบราณดั้งเดิมของชนเผ่าที่ถูกเรียกขานและถ่ายทอดต่อๆ กันมานับตั้งแต่บรรพบุรุษด้วยภาษา ของชนเผ่ากะเหรี่ยงในแต่ละท้องถิ่นนั่นเอง แต่อย่างไรก็ตามด้วยลักษณะลวดลายที่สะท้อนถึงเอกลักษณ์ เฉพาะของผ้าทอชนเผ่ากะเหรี่ยงนี้เอง หากเราเห็นผืนผ้าที่มีเอกลักษณ์ในลักษณะเช่นนี้เราก็สามารถรับรู้ได้ ทันทีว่า นี่คือผ้าทอแห่งชนเผ่ากะเหรี่ยง


6 การทอผ้าของชนเผ่าชาวกะเหรี่ยง เป็นการทอแบบวิถีดั้งเดิม เรียกว่าทอแบบ กี่เอว หรือการทอแบบ ห้างหลัง โดยใช้อุปกรณ์เครื่องทอขนาดเล็กเรียกว่า กี่เอว ลักษณะการทอผ้าแบบกี่เอวนี้ผู้ทอจะต้องนั่งกับพื้น เหยียดขาขนานตรงไปข้างหน้าทั้งสองข้าง มีสายคาด (สายคาดอาจทําด้วยแผ่นหนัง หรือผ้าที่ทบกันหลายๆ ชั้น หรือเชือกที่ฝั้นเป็นเกลียวให้แข็งแรง) ที่ผูกติดด้วยด้ายเส้นยืนคาดรัดโอบไปด้านหลังของเอว อีกด้านหนึ่ง จะผูกมัดกับเสาเรือน หรือโคนต้นไม้หรือหลักที่มีความเข็งแรงก็ได้การทอด้วยกี่เอวจะใช้การขยับเคลื่อนตัวของ ผู้ทอบังคับเส้นด้ายยืนให้ตึงหรือหย่อนได้ตามต้องการทําให้ผู้ทอสามารถเลือกสถานที่ทอได้ตามความพอใจ โยกย้ายได้สะดวก ผ้าที่ทอด้วยกี่เอวจะมีขนาดผ้าหน้าแคบ ๆ ด้วยฝีมืออันล้ำเลิศ ผสานกับเทคนิคและภูมิปัญญาที่สั่งสมและถูกถ่ายทอดสั่งสอนมาจากบรรพบุรุษ สืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน ทั้งเทคนิคการมัดหมี่ จก ขิด และยกดอก ผ้าทอของชนเผ่ากระเหรี่ยงจึงมีความ งดงาม โดดเด่นด้วยสีสันตระการตา และผู้คนทั่วไปยังคงพบเห็นรูปแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของเครื่องแต่งกาย ของชนเผ่ากะเหรี่ยง ด้วยเสื้อหลากสีสัน จนเป็นที่ต้องตาต้องใจของคนเมือง ของนักท่องเที่ยว และชาวต่างชาติ ให้ต้องซื้อหากลับไปสวมใส่จนถึงปัจจุบันนี้ การทอผ้ากะเหรี่ยงเป็นศิลปะอันทรงคุณค่า และน่าภูมิใจเป็นผ้าทอมืออาศัยเครื่องมือธรรมชาติในการ ทอผู้ทอต้องอาศัยความพยายาม และฝีมือในการเป็นอย่างมาก ซึ่งต้องอาศัยศิลปะในการทอสืบทอดมาจาก บรรพบุรุษ แล้วนํามาสวมใส่ในงานประเพณีที่สําคัญของตนเอง ภาพที่ 2 การทอผ้ากะเหรี่ยง


7 การทอผ้ากะเหรี่ยง 1. นําฝ้ายที่จัดหามาม้วน หรือปั่นให้เป็นรูปกลม ๆ 2. นําทำเบลิงวางไว้ให้พอเหมาะกับความต้องการ กะระยะให้ได้ขนาดที่จะทอนําอุปกรณ์เสียบไว้ตามรู ที่ต้องการ 3. คล้องฝ้ายไปมาลักษณะคล้ายแถวเรียงหน้ากระดานให้ได้ขนาดตามความต้องการ แล้วยกลง 4. ถอดออกมาทั้งหมด วางลงในแนวนอน ดึงอุปกรณ์ออกจากทาเบลิง 5. เสียบลู่คูให้ได้ขนาด 45 องศา แล้วเริ่มทําการทอไปเรื่อย ๆ การยกดอก หรือลายต่าง ๆ แล้วแต่จะ จินตนาการของ ผู้ทอ 6. นํามาเย็บเป็นรูปร่าง แล้วแต่ความต้องการผ้าทอ ผ้าทอกะเหรี่ยงที่ทําสําเร็จแล้ว ส่วนใหญ่ใช้เป็นเครื่องนุ่งห่มในครอบครัวชาวกะเหรี่ยง แต่ไม่ได้ใช้ทุก วัน ทุกคนต้องมีอย่างน้อยคนละ 1 ชุด เพื่อใส่ ในงานพิธีสําคัญ เช่น ประเพณีงานบุญ ประเพณีแต่งงาน ประเพณีเวียนศาลา ประเพณีข้าวห่อ เป็นต้น แต่ก็ได้ประยุกต์งานผ้ากะเหรี่ยงเพื่อการนําไปประดิษฐ์ให้เกิดความหลากหลายเพื่อให้เกิดประโยชน์ใน ชีวิตประจําวัน และเป็นการสร้างความภาคภูมิใจให้กับชนรุ่นหลัง ฉะนั้นเมื่อต้องทอให้ผู้อื่นจึงต้องเพิ่ม หรือลดขนาดของด้ายลง โดยอาศัยการเปรียบเทียบจากรูปร่าง ของผู้ทอดังกล่าว ปกติแล้วความกว้างของผ้าที่ทอได้มีขนาดเพียง 1 ใน 4 ของรอบ อก ผู้สวมใส่ อย่างหลวม ๆ ถ้าทอผ้าห่มความกว้างอาจเท่ากับ 1/2 หรือ 1/3 ของความกว้างที่ต้องการก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการนําไป ประกอบเป็นเครื่องนุ่งห่ม เช่น ผืนผ้าที่ทอจะเท่ากัน 4 เท่าของความยาวแท้จริงของเสื้อ หรือชุดยาวก็จะทอ ผ้าขนาดเดียวกัน คือ 2 ผืน โดยแต่ละผืนมีความยาว 2 เท่าของความยาวที่แท้จริง เป็นต้น เครื่องทอผ้าไม่มี หลักฐานที่แสดงว่าแต่เดิมรูปแบบของการทอผ้าของกะเหรี่ยงเป็นแบบใด แต่เท่าที่ปรากฏให้เห็นมาจนถึง ปัจจุบันพบว่าเป็นแบบทอมัดเอว หรือห้างหลังเช่นเดียวกับการทอผ้าของละวะ และลาหู่ ซึ่งลักษณะการทอผ้า นี้คล้ายของชาวเปรูสมัยโบราณ ชนเผ่าแถบกัวเตมาลาฟิลิปปินส์และแมกซิโก ก็พบว่ามีการทอผ้าด้วยเครื่องทอ แบบห้างหลังเช่นกัน


8 ผ้าปักประดับ “ลูกเดือย” เอกลักษณ์ผ้าชนเผ่ากะเหรี่ยง ภาพที่ 3 วิธีผ้าปักประดับ “ลูกเดือย” การปักและประดับบนผืนผ้าทอที่หญิงชาวกะเหรี่ยงบรรจงปักอย่างประณีต ด้วยการใช้วัสดุจาก ธรรมชาติอย่าง “ลูกเดือย” ตกแต่งเป็นลวดลายต่างๆ อย่างงดงามนี้มีการสืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ และ ถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของผ้าทอชนเผ่ากะเหรี่ยงอย่างหนึ่งที่สะท้อนตัวตนของความเป็นชนเผ่ากะเหรี่ยงได้ อย่างชัดเจน และยังคงพบเห็นเครื่องแต่งกายที่มีการปักประดับด้วยลูกเดือยสําหรับหญิงชาวกะเหรี่ยงได้ โดยทั่วไปในปัจจุบัน ภาพที่ 4 ลักษณะเมล็ดลูกเดือย ลูกเดือย เป็นเมล็ดพืชชนิดหนึ่ง ที่มีลักษณะเมล็ดกลม รีหรือมน มีทั้งสีขาว สีเกือบเหลือง เป็นพืชที่ ส่วนใหญ่ชนเผากะเหรี่ยงจะปลูกไว้ในไร่นาเพื่อใช้เมล็ดที่แก่มาปักประดับ ตกแต่งเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย โดยเฉพาะเสื้อของหญิงชาวกะเหรี่ยง ถือเป็นเครื่องประดับชนิดหนึ่งที่ใช้ในการตกแต่งเบนเสื้อผ้าเพื่อความ สวยงาม (เสื้อผู้ชายกะเหรี่ยงจะไม่ปักลูกเดือย)


9 ภาพที่ 5 เทคนิคการทอผ้ากี่เอว ผ้าทอกะเหรี่ยงเป็นภูมิปัญญาการทอผ้ากี่เอว ด้วยเทคนิคที่มีเอกลักษณ์เฉพาะชาวชาติพันธุ์กะเหรี่ยงที่ มีการสืบทอดมายาวนานกว่าร้อยปี ผ้าทอกะเหรี่ยง มีลักษณะเป็นผ้าทอหน้าแคบ ที่ใช้เครื่องมือทอแบบข้าง หลัง หรือที่เรียกกันว่ากี่เอว ผ้าที่ทอจะถูกกำหนดตามความต้องการใช้งานตั้งแต่เริ่มต้นทอ ศิลปะลวดลายบน ผืนผ้าของชนเผ่ากะเหรี่ยง มีเอกลักษณ์โดดเด่นที่แสดงถึงตัวตนของชนเผ่ากะเหรี่ยงที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ลวดลายต่างๆ มักเกิดจากการสังเกต การใช้จินตนา การนําเอาลักษณะเด่นจากสิ่งที่พบเห็นในธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมรอบตัว ทั้งพืชพรรณ ดอกไม้ ต้นไม้ สัตว์น้อยใหญ่ ข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจําวัน ตลอดไป จนถึงประเพณีและคตินิยมของชนเผ่ามาประยุกต์ถ่ายทอดลงสู่ลวดลายบนผืนผ้าได้อย่างงดงาม ด้วยเทคนิค การสร้างสรรค์ลวดลายที่หลากหลาย ทั้งการจก การทอยกดอก การมัดหมี่ การปักด้วยด้ายหรือไหมพรม หลากสี การปักประดับตกแต่งด้วยเมล็ดลูกเดือย เป็นต้น


10 ภาพที่6 ลายสะกอพอ (ลายดอกมะเขือ) สะกอพอ เป็นภาษาของชนเผ่ากะเหรี่ยงปลากะยอ ใช้เรียกขาน ลวดลายที่มีลักษณะมองดูคล้ายกลุ่ม พวงดอกไม่มีแตกกิ่งก้านออกไป รอบด้าน 8 กิ่ง แต่ละปลายกิ่งแตกช่อดอกเป็นพวงพุ่มหลากสีสันงดงาม เป็น ลวดลายโบราณดั้งเดิมที่สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ ใช้ เทคนิคการปักด้วยเส้นฝ้ายหรือไหมพรม สะกอพอ แปลเป็นภาษาไทย ว่า ดอกมะเขือ ที่มาของลายมาจากการที่บรรพบุรุษชาวกะเหรี่ยงสังเกต เห็นถึง ลักษณะดอกมะเขือพวงซึ่งเป็นพืชผักพื้นบ้านในชีวิตประจำวัน ทีมีลักษณะเป็นดอกเล็กๆ อยู่รวมกันเป็นช่อๆ ซึ่งชาวกะเหรี่ยงเชื่อว่า ดอกมะเขือพวงมีลักษณะที่ดี มีความหมายหมายถึงการเป็นกลุ่มเป็นก้อน ตรงตามคติ นิยมการใช้ชีวิตของชาวกะเหรี่ยงที่ให้ความสำคัญถึงความ สามัคคี รักพวกพ้อง ลายสะกลพอ นี้นิยมปักในเสื้อ ผู้หญิงที่ใช้ใน พิธีแต่งงาน มีความหมายเหมือนกับการอวยพรให้คู่สามีภรรยารักกัน ไม่ทะเลาะหรือแตกแยกกัน อยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า


11 ผ้าซิ่น : เครื่องแต่งกายที่สะท้อนถึงความเป็นสตรีชนเผ่ากะเหรี่ยง ภาพที่ 7 เทคนิคการทอผ้าซิ่นลายสลับสี ผ้าซิ่น เป็นเครื่องแต่งกายที่สะท้อนถึงความเป็นสตรีชนเผ่ากะเหรี่ยงได้อย่างชัดเจน ผ้าซิ่นกะเหรี่ยง นิยมทอด้วยฝ้าย เป็นผ้าหน้าแคบที่ทอด้วยกี่เอวจึงต้องใช้ผ้าที่ทอเหมือนกัน 2 ผืนมาเย็บต่อกันจึงจะได้ผ้าซิ่น 1 ผืน ผ้าซิ่นกะเหรี่ยงที่เรามักคุ้นชินตาด้วยเอกลักษณ์ลวดลาย สีสันที่โดดเด่น ก็คือผ้าซิ่นของกลุ่มกะเหรี่ยงโปว์ (หรือโผล่ง) และผ้าซิ่นกลุ่มกะเหรี่ยงสะกอ (หรือปาเกอกะญอ) ที่มีสีสันสดใส ผ้าซิ่นกะเหรี่ยง มีทั้งเทคนิคการ ทอลายสลับสีการสร้างลวดลายด้วยเทคนิคการจก ขิด และมัดหมี่ (ผ้าซิ่นมัดหมี่ของชนเผ่ากะเหรี่ยงจะเป็นผ้า มัดหมี่เส้นยืน ซึ่งจะแตกต่างจากผ้ามัดหมี่ของภาคอีสานซึ่งเป็นมัดหมี่เส้นพุ่ง) หรืออาจมีการผสมผสานกัน ระหว่างมัดหมี่ และจก ขิด ในผืนเดียวกัน ลักษณะลวดลายของผืนผ้าซิ่นกะเหรี่ยงยังคงเอกลักษณ์ลวดลาย โบราณดั้งเดิมที่สืบทอดต่อเนื่องมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ที่มาของลวดลายก็ด้วยการสร้างสรรค์ตามจินตนาการและ การเลียนแบบลักษณะของธรรมชาติ สัตว์ หรือสิ่งของเครื่องใช้ และสิ่งแวดล้อมรอบตัว บางลวดลายจะใช้ เฉพาะในผ้าซิ่นของหญิงสาว หรือบางลวดลายจะใช้ในพิธิีการที่สําคัญ เช่น ผ้าซิ่นที่เป็นผ้าสําหรับใช้ในงาน เหมือนตามประเพณีชาวกะเหรี่ยงโปว์ ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ โดยนับตั้งแต่โบราณกาลมานั้น ในพิธีหมั้น ของชายหญิงชาวกะเหรี่ยง ฝ่ายชายจะต้องนําผ้าซิ่นทอมือมามอบให้กับผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง โดยในตัวผืนผ้าซิ่นนั้นก็ จะรากฎลวดลายเฉพาะที่บ่งบอกได้ว่าผ้าผืนนี้ใช้เพื่อพิธีหมั้นนี้เท่านั้น หากไม่ปรากฎลายนั้นก็จะไม่ถือว่าผ้าผืน


12 นั้นเป็นผ้าสําหรับใช้ในงานหมั้นก็จะประกอบพิธีหมั้นไม่ได้ ผู้หญิงชาวกะเหรี่ยงทุกคนที่มีลูกชายจึงจะต้องทอ ผ้าซิ่นที่มีลักษณะลายพิเศษนี้เก็บไว้เพื่อให้ลูกชายนําไปมอบให้ผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงในวันหมั้นถือเป็นประเพณีสืบต่อ กันมาในทุกครอบครัวของชนเผากะเหรี่ยงโปว์เช่นนี้เป็นต้น ผ้าซิ่นจึงทอเป็นเอกลักษณ์ที่แสดงถึงตัวตนของชน เผ่ากะเหรี่ยงที่มีความชัดเจนที่สุด และยังคงนิยมการแต่งกายในชีวิตประจําวัน ด้วยผ้าซิ่นตามวัฒนธรรมของ ชนเผ่ามาจนถึงปัจจุบันนี้ อย่างไรก็ตามด้วยภาวะทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมในสังคมเมืองที่มีการ เปลี่ยนแปลงไป สังคมชนเผ่ากะเหรี่ยงก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน ในปัจจุบันอาจมีชุมชนเผ่ากะเหรี่ยงใน หลายๆ พื้นที่อาจมีการทอผ้าน้อยลง ผ้าซิ่นที่ใช้สวมใส่ในชีวิตประจําวันจึงมักนิยมซื้อหาจากท้องตลาดมาสวม ใส่กันมากขึ้นเพื่อความสะดวกและง่ายต่อการดําเนินชีวิต แต่ก็ยังคงมีอีกหลายพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มกะเหรี่ยง บนดอยสูงที่ยังคงทอผ้าด้วยตัวเองเพื่อใช้สวมใส่ในครอบครัว และใช้สําหรับพิธีสําคัญตามวัฒนธรรมของชนเผ่า แต่ถึงอย่างไรนั้น ชนเผ่ากะเหรี่ยงก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์ที่สะท้อนวิถิีแห่งชนเผ่าไว้อย่างเหนียวแน่ไม่แพ้กลุ่ม ชาติพันธุ์อื่น ๆ ย่าม : การทอย่ามของกะเหรี่ยง วัสดุที่นำมาทอ : เส้นฝ้าย เส้นไหม ภาพที่ 8 ลักษณะย่ามกะเหรี่ยง


13 การเตรียมเครื่องทอย่าม 1. การปั่นด้าย อุปกรณ์ในการปั่นด้ายย่ามทอกะเหรี่ยง ประกอบด้วย หลอดกรอด้าย และเครื่องมือ กรอด้าย หลอดกรอด้วย เดิมชาวกะเหรี่ยงใช้วิธีบ้านด้ายด้วยมือให้เป็นก่อน 2. การกรอด้ายขวาง ด้ายขวางเป็นด้าย สอดเข้าไป ระหว่างด้ายยืม ทําให้เกิดลวดลายต่างๆเรียกว่าลุง ตุ้ย ใช้ด้ายพันกับไม้ ขนาดยาวประมาณ 1 ฟุตเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร 3. ตั้งไม้เครื่องทอที่เอว หลังจากปั่นด้ายเสร็จเรียบร้อย แล้วก็นำด้ายมา นาย 4.การขึ้นด้าย หรือการขึ้นเครื่องทอที่เอว เป็นการน่าเอาเส้นด้ายมาเรียงต่อกันอย่างมีระเบียบ ตาม แนวนอนโดยพันรอบกับส่วนประกอบของเครื่อง ทอ และก่อนที่จะมีการขึ้นด้ายจะต้องมีการเตรียม เส้นด้าย ด้วยการปั่นด้าย การตั้งเครื่องทอ การเรียงเส้นด้าย การเปลี่ยนไม้เป็นเครื่องทอ ขั้นตอนการทอย่าม 1.เริ่มต้นคล้องด้ายลง หลักที 1 สาวเส้นด้ายผ่านหลัก ที่ 2,3,4,5,6,7 นำไปคล้องทีหลักที่ 8 และสาว มาคล้อง หลักที่ 1 2. ดึงด้ายทั้งหมดให้ตึงเสมอกัน นำมาพันรอบหลักที่ 2 3.ดึงด้ายให้ตึงเสมอกันพาดผ่านด้านหน้าของไม้หลักที่ 3 ถึงไม้หลักที 4 เป็นจุดแยกด้าย โดยใช้ด้ายสี ขาว อีกกลุ่มหนึ่งเป็นเส้นด้ายตะกอสอดเข้าไประหว่างเส้นด้าย เป็น 2 ส่วนเท่า ๆ กัน ส่วนที่ไม่ได้คล้องกับ ตะกอแยก เส้นด้ายผ่านหลังหลักที่ 4 และส่วนที่คล้องตะกองเส้นด้ายผ่านด้านหน้าหลักที่ 4 4. รวบด้ายทั้งสองส่วนเข้าด้วยกันให้ตึง พาดผ่านหลักที่ 5 . 6 พันอ้อมหลักที่ 7 5. ดึงด้ายทั้งหมดให้ตึงพร้อมอ้อมหลักที่ 8 และสาวให้ตั้งกลับมาเริ่มต้นที่หลักที่ 1 ใหม่ 6. สอดไม้ทั้งหมดออกจากเครื่องทอ และนำไม้ใบ 1 อัน สอดเข้าไปแทน ใส่ตะกอที่ 1 นำไม้ใบ 2 ชั้น เข้า ภาพที่ 9 วิธีการทอย่ามกะเหรี่ยง


14 การสร้างลวดลายบนผ้าทอกะเหรี่ยง ภาพที่ 10 การทอผ้าแบบเรียบง่าย 1. การทอธรรมดาหรือทอพื้น ผ้าที่ได้จะมีสีเดียวตลอดทั้งผืน ผ้าเรียบสม่ำเสมอ เป็นวิธีการทอขั้น พื้นฐานใช้สำหรับทอเย็บชุดเด็กหญิง เสื้อผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ย่ามกะเหรี่ยง ภาพที่ 11 การแทรกสลับด้ายสี 2. การทอลายสลับสี เป็นการทอแบบธรรมดา แต่แทรกด้ายสีต่างๆ สลับกันเข้าไป


15 ภาพที่ 12 เทคนิคการทอผ้าที่ยาก 3. การทอลายจกหรือลายแกะดอก เป็นวิธีการทอลวดลายที่มีเทคนิคการทอที่ยากที่สุด เมื่อทอเป็นผืน แล้ว ด้ายที่แทรกเข้าไปนั้น จะปรากฏเป็นลวดลายนูนบนผืนผ้าทั้งผืน ภาพที่ 13 การทอประกอบลูกเดือย 4. การทอประกอบลูกเดือย การปักลูกเดือยประดับชายเสื้อผู้หญิง จะใช้วิธีปักหลังจากเย็บผ้า ประกอบเข้าไปพร้อมกันในขณะทอผ้าโดยร้อยลูกเดือยเข้ากับเส้นด้ายขวางระหว่างด้ายยืน โดยให้ลูกเดือย ลอยตัวอยู่บนผืนผ้า เมื่อประกอบเป็นลวดลายแล้วจึงปักทับด้าย สลับสีลงในช่องระหว่างลูกเดือยเหล่านั้น เป็น การทำลวดลายบนผืนผ้าให้สวยงามหลังจากเย็บเป็นเครื่องนุ่งห่มแล้ว


16 สรุป ภูมิปัญญาศิลปะของชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ความหมายของเสื้อกะเหรี่ยง ทำไมเสื้อกะเหรี่ยงถึงไม่มีกระเป๋า ? และทำไมด้านหน้าและหลังต้องเหมือนกันด้วย ? ทำไมเสื้อแต่ละตัวต้องเป็นแบบนั้น แบบนี้ ? คำตอบคือ เสื้อกะเหรี่ยงที่ใส่อยู่มีความเป็นมาและคติสอนใจที่สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษรุ่นสู่รุ่นว่า 1. เสื้อกะเหรี่ยงใส่สลับหน้าหลังได้ คือ ด้านหน้าและด้านหลังจะเหมือนกันเพื่อตอกย้ำว่าผู้สวมใส่ต้อง ไม่กลับกลอกปลิ้นปล้อนทั้งต่อหน้าอย่างไรลับหลังก็เช่นกัน 2. เสื้อกะเหรี่ยงไม่มีกระเป๋า จึงไม่ต้องมีอะไรซุกซ่อน ซ่อนเร้น อำพราง 3. เสื้อกะเหรี่ยงไม่มีคอปกแขนเสื้อ กระดุมวิถีกะเหรี่ยงจึงเรียบง่ายสมถะ กินพออิ่ม นุ่งพออุ่น สามข้อคิดก็สะกิดและเตือนเราให้รู้สำนึกตัวว่า เราคือใครมาจากไหน ไม่ควรลืมผู้มีพระคุณและรากเหง้าของ ตัวเอง


17 บรรณานุกรม หน่อโยเธอ บุญเนตร.(2565). กลุ่มทอผ้ากระเหรี่ยงบ้านศรีดอนไชย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : https://www.gosmartfarmer.com/article/12179 (วันที่ค้นหาข้อมูล: 23 สิงหาคม 2566) เพ็ญสุภา สุขคตะ.(2561). เสื้อสตรีกะเหรี่ยง. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : https://bitly.ws/Typ9 (วันที่ค้นหาข้อมูล: 15 สิงหาคม 2566)


18 ภาคผนวก


19 ภาพที่ 1 เสื้อผ้าอาภรณ์ตัวแรกของชาวกะเหรี่ยง ภาพที่ 2 การทอผ้ากะเหรี่ยง ภาพที่ 3 วิธีผ้าปักประดับ “ลูกเดือย” ภาพที่ 4 ลักษณะเมล็ดลูกเดือย


20 ภาพที่ 5 เทคนิคการทอผ้ากี่เอว ภาพที่ 6 ลายสะกอพอ (ลายดอกมะเขือ) ภาพที่ 7 เทคนิคการทอผ้าซิ่นลายสลับสี


21 ภาพที่ 8 ลักษณะย่ามกะเหรี่ยง ภาพที่ 9 วิธีการทอย่ามกะเหรี่ยง ภาพที่ 10 การทอผ้าแบบเรียบง่าย


22 ภาพที่ 11 การแทรกสลับด้ายสี ภาพที่ 12 เทคนิคการทอผ้าที่ยาก ภาพที่ 13 การทอประกอบลูกเดือย


Click to View FlipBook Version