The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ศูนย์โยธวาทิตในโรงเรียน
ระดับมัธยมศึกษา เพื่อโอกาสทางการศึกษาต่อ
และสร้างภูมิคุ้มกันแก่เยาวชนแบบยั่งยืน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by lbrdesign2, 2022-08-04 00:40:53

หลักการพัฒนาวงโยธวาทิตขั้นนำ

ศูนย์โยธวาทิตในโรงเรียน
ระดับมัธยมศึกษา เพื่อโอกาสทางการศึกษาต่อ
และสร้างภูมิคุ้มกันแก่เยาวชนแบบยั่งยืน

2. Full Band Exercise Major Scale
ทอ่ นที่นำมาเป็นหอ้ งท่ี 1 ถงึ หอ้ งที่ 8 ประกอบไปดว้ ย สองบันไดเสียงด้วยกัน คือ บันได

เสยี ง C Major และบนั ไดเสียง F Major

ภาพแบบฝกึ หัดภาพแบบฝึกหดั Full Band Exercise Major Scale
จากแบบฝกึ หัดท่นี ำมา จะเหน็ ได้ว่ามีลกั ษณะการเขียนเปน็ แนวเสียง เพยี งแค่ 5 กลมุ่ เท่านั้น
วธิ ีการใช้และอา่ นแบง่ ไดด้ งั นี้
2.1 C Instrument คือ กลุ่มเครื่องที่ไมย่ ้ายบันไดเสียง หรือเครื่อง C (เล่นโน้ตตัวโด ได้เสียงโด
คอนเสริ ต์ ) ประกอบไปด้วย ฟลตู และโอโบ

42

2.2 Bb Instrument คือ กลุ่มเครื่อง Bb (เล่นโน้ตตัวโด ได้เสียง Bb) ประกอบไปด้วย Bb
คลาริเนต เบสคลารเิ นต เทนเนอรแ์ ซกโซโฟนและทรมั เปต
2.3 Eb Instrument คือ กลุ่มเครื่อง Eb (เล่นโน้ตตัวโด ได้เสียง Eb) ประกอบไปด้วย Eb
คลารเิ นต อัลโตแซกโซโฟนและบาริโทนแซกโซโฟน
2.4 F Instrument คอื กล่มุ เครอื่ ง F (เลน่ โนต้ ตัวโด ได้เสียง F) ประกอบไปดว้ ย ฮอร์น
2.5 F Clef Instrument คอื กล่มุ เคร่อื งดนตรีทใ่ี ชก้ ญุ แจฟา ท้งั หมด ประกอบไปดว้ ย ทรอมโบน
ยูโฟเนยี ม และทูบา
จะเห็นได้ว่าในทกุ แนว จะมีโน้ตสองชุด คือบนและล่าง ใช้สำหรับการเลือกใหต้ รงช่วงเสียงของ
เครอ่ื งทใ่ี ช้ ตามความเหมาะสม ไม่ให้สงู หรือต่ำจนเกินไป
ในช่วงแรกเป็นการฝึกบันไดเสยี ง และช่วงท้ายเปน็ การฝกึ Arpeggio การฝึกลักษณะน้ี ควรเปิด
เครื่องให้จังหวะ ในการฝึกซอ้ มทุกครั้ง เพื่อเป็นการบังคับ ให้คิดโนต้ ล่วงหน้า และไม่ช้าหรือเร็ว ไม่ตรง
จงั หวะ จากน้ัน ควรปรับจงั หวะให้เร็ว เพื่อเปน็ การฝกึ ความคลอ่ งตวั
วิธีซ้อมแบบทีไ่ ด้ผล คือเริ่มจากวันละบันไดเสียง และเริ่มจากช้ามาก ไปเร็ว เพิ่มไปจนครบทกุ
บนั ไดเสียง เพราะในบันไดเสียงเมเจอร์ มีเพียง 12 บนั ไดเสยี งเท่านน้ั การซ้อมแบบฝึกหัดแบบน้ี จะสง่ ผล
อย่างมากกับการเลน่ เพลง เพราะในเพลงท่ัวไป จะนิยมใช้เสียงตามบันไดเสียงทีก่ ำหนดมา เพราะฉะน้นั
ถา้ เล่นบันไดเสยี งคลอ่ ง การเลน่ เพลงจะง่ายขน้ึ

43

3. Triplet & Sixteen Note Exercise
ชว่ งทต่ี ดั มาเปน็ บนั ไดเสยี งแรกของแบบฝกึ หัดนี้

ภาพแบบฝกึ หดั Triplet and Sixteen Note Exercise
ในแบบฝึกหดั น้ี เปน็ การพฒั นาเรื่องบนั ไดเสยี ง กบั เร่ืองจงั หวะสามพยางค์และเขบ็ตสองช้ัน จาก
โนต้ ที่กำหนดใหจ้ ะเห็นวา่ มลี กั ษณะของการโยงเสียงมาให้ เพราะผู้เขียนตอ้ งการให้ใชล้ มยาวและต่อเนื่อง

44

ที่สุด เท่าที่ผู้เรียนจะสามารถทำได้ เพราะการฝึกแบบนี้นอกจากเรื่องบันไดเสียง ยังได้เรื่องการไลน่ ้ิวอกี
ด้วย

เนอ่ื งจากความหลากหลายของทกั ษะความสามารถผูใ้ ชแ้ บบฝกึ หัดนี้ ผู้เขียนจงึ ได้เขยี นย้ำไวใ้ หว้ ่า
“สามารถลดหรอื เพ่มิ ชว่ งเสยี ง (Octave) ไดต้ ามความเหมาะสม และสามารถเลือกซอ้ ม
บันไดเสียงตามที่ตอ้ งการฝกึ ได้ โดยไม่ตอ้ งเรยี งตามท่กี ำหนดให้”

ที่ผู้เขียนไมก่ ำหนดใหว้ ่าต้องเรียงการฝึกตามบันไดเสียงเพราะต้องการให้ผู้เรียนนำไปใช้ได้จรงิ
โดยผ้เู ขยี นเขา้ ใจในการฝกึ ท่คี ่อนขา้ งเยอะมากและการท่ผี เู้ รยี นทั้งวงจะมีความสามารถไปพรอ้ มกันได้หมด
ไปเป็นได้ยาก จึงให้ซ้อมตามบันไดเสียงที่ใช้จริงในเพลงมากกว่าการซ้อมบันไดเสียงที่ยังไม่ได้ใช้ หาก
ผ้เู รยี นคนใดมีทักษะทด่ี ี สามารถนำไปแยกฝึกซอ้ มเดี่ยวได้อีกทางหน่งึ เช่นกัน

นอกจากน้ี แบบฝึกหดั น้สี ามารถนำไปปรบั กบั การฝึกตดั ลน้ิ โดยเรม่ิ จากช้าไปเร็วเสมอ แตใ่ นช่วง
แรกอาจจะต้องใช้เวลากับแบบฝึกหัดนี้ในระดับหนึ่ง ด้วยการที่ผู้เล่นต้องเข้าใจจังหวะ และบันไดเสียง
อยา่ งมาก ในการฝึก หากมคี วามคลอ่ งตวั มากขนึ้ จงึ ควรเรมิ่ เปล่ียนบนั ไดเสยี งตอ่ ไป

45

วงซมิ โฟนกิ แบนด์ (Symphonic band)

วงซิมโฟนิกแบนด์เป็นการประยุกต์เอาวงโยธวาฑติ ที่นิยมใช้ในการเดินแถว มาบรรเลงในรูปแบบการนง่ั
บรรเลง ในลกั ษณะคอนเสริ ต์ โดยมกี ารเรยี บเรยี งเสยี งประสานที่มลี ักษณะแตกต่างออกไปจากเดิม เพ่ือให้มีสีสัน
และความน่าสนใจมากยิ่งขึน้ เนื่องจากเครื่องดนตรีมีหลากหลายขึ้น รวมไปถึงการนั่งบรรเลงที่ช่วยให้ผู้บรรเลง
สามารถควบคุมการบรรเลงได้ดียิ่งขึ้น จึงทำใหว้ งซิมโฟนกิ แบนด์มีความน่าสนใจมากยิ่งข้ึน อีกทั้งการเรียบเสียง
ประสานของวงซมิ โฟนิกแบนดม์ ีลกั ษณะคลา้ ยกับวงออรเ์ คสตร้าและนิยมนำบทเพลงในวงออรเ์ คสตร้ามาเรยี บเรยี ง
ใหมใ่ ห้กับวงซิมโฟนิกแบนด์

รปู ภาพวง Tokyo Kosei Wind Orchestra

46

บทบาทหน้าทใี่ นวงซิมโฟนิกแบนด์

วงซิมโฟนิกแบนด์ หรือวงนั่งบรรเลง เป็นการประยุกต์เอารูปแบบของวงโยธวาฑิตและวง
ออร์เคสตรา้ มารวมกัน โดยแต่ละเครื่องจะทำหน้าที่คล้าย ๆ กับวงออร์เคสตร้า โดยคลาริเนตเป็นเครื่อง
หลกั ที่นั่งอยแู่ ถวหน้าสดุ ทำหนา้ เชน่ เดยี วกนั กบั หัวหน้าวง ตำแหนง่ ไวโอลิน( Concert master) ในส่วน
ของเครื่องดนตรีที่ใช้ สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทได้แก่ เครื่องเป่าลมไม้ (Woodwind), เครื่องลม
ทองเหลอื ง (Brass), เครอื่ งกระทบ (Percussion) และนำดบั เบิลเบสเข้ามาใชใ้ นวงซึ่งเปน็ เคร่อื งสายเพียง
ชนิดเดียวเท่าน้ัน แต่จะใหค้ วามสำคญั กับเครื่องเป่าเป็นอย่างมาก โดยเพิ่มเครื่องดนตรี โอโบ, บราสซูน,
และเครื่องกระทบอีกหลายชนิดที่ปรากฏในวงออร์เคสตร้ามาใชก้ ับวงนั่งบรรเลงอีกทั้งเพิ่มสสี ันใหก้ บั วง
เป็นอย่างมาก

องค์ประกอบของเคร่ืองดนตรใี นวงซิมโฟนิกแบนด์

เครอื่ งดนตรปี ระเภทเครอื งเปา่ ถอื เป็นเครอื่ งดนตรหี ลกั ทีบ่ รรเลงอยใู่ นวงซมิ โฟนกิ แบนด์ และวง
โยธ-วาทิต ในปัจจุบัน นิยมแบ่งเครือ่ งดนตรีในวงโยธวาทิตและวงซิมโฟนิกแบนด์ เป็น 3 กลุ่มใหญๆ่ คือ
เคร่ืองเป่าลมไม้ (Woodwind Instrument) เครื่องเป่าลมทองเหลือง (Brass Instrument) และเคร่ือง
กระทบหรือเพอร์คัชชัน (Percussion Instruments) ทั้งเคร่ืองดนตรีในกลุ่มดังกล่าว ได้ถูกแบ่งออกไป
ตามลักษณะของเครอ่ื งดนตรีดงั น้ี

1. เครอื่ งเป่าลมไม้ (Woodwind Instruments)
เครอ่ื งดนตรปี ระเภทเครอื งเป่าลมไม้ เป็นเคร่ืองดนตรีทีใช้ไมเ้ ป็นส่วนประกอบหลกั โดย เสียงที่
ผลิตออกมา เกิดจากการเป่าลมผ่านท่อเสียง (Pipe) เพือให้เกิดแรงสน่ั สะเทือน จากน้ันผู้ บรรเลงจะทํา
การเปลี่ยนระดับเสียงสูง - ต่ำ โดยการควบคุมปริมาณและความแรงของลมท่ีเป่าออกมา ผ่านตัวท่อ
รวมถงึ การใชน้ ้ิวมอื ปดิ - เปดิ รขู องทอ่ เสยี งของเครือ่ งดนตรีหรอื ทเ่ี รียกวา่ คยี ์ (Key) ต่าง ๆ ทถ่ี ูกกำหนดอยู่
บนลําตัวของเครอ่ื งดนตรีเพอ่ื เป็นการยอ่ และขยายความสนั้ -ยาวของทอ่ ลม จงึ ทําให้ระดับเสยี งทอี่ อกมามี
ความสงู -ต่ำ แตกตา่ งกันไป โดยเครอ่ื งดนตรปี ระเภทเครืองเปา่ ลมสามารถแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท คือ

47

1.1 กลุ่มเคร่อื งดนตรปี ระเภทขลุย่ (Flute Instruments)
กลุ่มเครื่องดนตรปี ระเภทขลุ่ย เป็นกลุ่มเครื่องดนตรีที่มอี ายุเก่าแก่ที่สุด โดยมีพฒั นาการมาจาก
กระดูกและเขาของสัตวใ์ นยุคกอ่ นประวัติศาสตร์ โดยนำมาเจาะรแู ลว้ เป่าเพ่ือให้เกิดการส่ันสะเทือนและ
ทำใหเ้ กดิ เสยี งสะทอ้ น
เครอื่ งดนตรปี ระเภทขลุ่ย แบง่ ไดต้ ามลักษณะต่าง ๆ คือ กลมุ่ เครอื่ งดนตรีทใ่ี ชเ้ ป่าลมด้านข้างของ
ท่อ (Side-blown Flute or transverse flute) อาทิ ไฟฟ์ (Fife) ฟลูต (Flute) และปิคโคโล (Piccolo)
เป็นต้น และกลุ่มเครื่องดนตรีที่ใช้เป่าลมจากปลายท่อ (End-Blown flute) อาทิ ขลุ่ยรีคอร์ดเดอร์
(Recorder) และฟลาโจเลท (Flageolet)

ภาพปากเปา่ ของฟลูต ที่ใช้เปา่ ลมจากด้านข้าง

ภาพ ปากเปา่ ของรคี อร์ดเดอร์ท่ีใช้ปากเปา่ ลมจากปลายท่อ

ทั้งนี้ เครือ่ งดนตรที ีน่ ยิ มใช้บรรเลงในวงซิมโฟนิกแบนด์ และวงโยธวาทิต คือ ฟลูตและปคิ โคโล ซึ่ง
ลักษณะของฟลูตและปคิ โคโล มีความคล้ายคลึงกัน แต่จะแตกต่างกันเพยี งขนาดของเครื่องดนตรี ซึ่งปิค
โคโลมขี นาดเล็กกวา่ และมเี สียงท่สี งู และแหลมกวา่ เคร่อื งดนตรีฟลตู อีกทัง้ ยังมนี ิ้วกดจำนวนน้อยกว่าฟลู
ตอีกดว้ ย

48

ภาพฟลตู

ภาพปคิ โคโล

ลักษณะของขลุ่ยฟลูตในสมัยก่อน เป็นลักษณะของขลุ่ยที่ทำจากไม้ไผ่ทรงกระบอก และมีการ
เจาะรูตามความห่างของเสียงที่ได้ถูกกำหนดไว้ เริ่มกำหนดไว้ เริ่มนำเข้ามาใช้บรรเลงในวงดนตรีตั้งแต่
ศตวรรษที่ 16 ซึ่งลักษณะของฟลูตในยุคดังกล่าวนี้ สามารถผลิตเสียงได้เพียงไม่กี่เสียง จากนั้น ในช่วง
ศตวรรษที่ 18 ไดม้ ีการพฒั นาฟลตู เพอื่ ใหส้ ามารถบรรเลงในระดบั เสียงทหี่ ลากหลาย และสะดวกตอ่ การใช้
งานมากขนึ้ โดยการเพิ่มคยี ์ของฟลูตเพอ่ื ใหส้ ามารถนำไปบรรเลงในวงดนตรีชนิดอืน่ ๆ ไดอ้ ย่างกลมกลืน
อาทิ การนำไปใช้ในวงซิมโฟนี โดยนำไปใช้บรรเลงแทนขลุ่ยรีคอร์เดอร์ไดเ้ ป็นอย่างดี นอกจากนี้ ในช่วง
ค.ศ. 1794-1881 ได้มนี ักเล่นฟลูตชื่อ เธโอบัลด์ โบม (Theobald Bohm) ไดค้ ิดค้นระบบการเปิดปิดรขู อง
ฟลูตและทำการติดกระเด่ืองและทำการบนุ วมให้กับฝาเพื่อเปิดปิดรูของฟลูต เพื่อให้การกดนิว้ ที่มีความ
ห่างและยากต่อการอุดรู สามารถกดได้ง่ายขึ้น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฟลูตจึงได้ถูกเรียกว่า ขลุ่ยโบม
(Boehm Flute) มาจนถงึ ปัจจบุ ัน

ในวงซมิ โฟนกิ แบนด์ นยิ มนำเอาฟลตู และปคิ โคโล เขา้ มาใชบ้ รรเลงในวง เพราะเป็นเครือ่ งดนตรี
ที่มีลักษณะเสียงสงู แหลม มีหน้าที่ในการบรรเลงทำนองหลัก (Melody) ให้บทเพลงมีความน่าสนใจมาก
ยง่ิ ขน้ึ
1.2 กลมุ่ เครอ่ื งดนตรปี ระเภทปี่ (Reed Instuments)

กลุ่มเครื่องดนตรปี ระเภทป่ี มสี ่วนประกอบทส่ี ำคญั คอื ลิ้น (Reed) ซ่งึ เป็นส่วนทใี่ ช้คกู่ ับปากเป่า
หรือกำพวด (Mouth piece) มลี ักษณะเปน็ แผน่ ไม้ขนาดบาง ส่วนใหญ่ทำจากไม้ไผ่ชนดิ พิเศษ โดยเร่ือง
ดนตรปี ระเภทป่ี ได้แบ่งประเภทตามลักษณะของลิน้ แบบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท คือ ปากเปา่ แบบลนิ้ เด่ียว
และปากเปา่ แบบลิ้นคู่

49

- เคร่ืองดนตรปี ระเภทปากเปา่ แบบลน้ิ เดยี ว (Single Reed) สามารถแบง่ ออกได้
เป็น ชนดิ ทอ่ ลมทรงกระบอก (Cylindrical Pipes) ไดแ้ ก่ เคร่ืองดนตรตี ระกูล
คาริเน็ต (Clarinet Family) และชนดิ ทอ่ ลมทรงกรวย (Conical Pipes) ไดแ้ ก่
เครอ่ื งดนตรตี ระกูลแซกโซโฟน (Sexophone Family)

ภาพลกั ษณะของปากเป่าแบบลนิ้ เดยี ว

เครือ่ งดนตรีคลาริเนต และแซคโซโฟน ล้วนเปน็ เครอ่ื งดนตรชี นิดปากเปา่ ลิ้นเดย่ี ว อกี ทงั้ ยังเปน็ ที่
นิยมนำมาใช้บรรเลงวงซมิ โฟนกิ แบนด์ และวงโยธวาทิต และสามารถบรรเลงเพลงรว่ มกนั โดนมเี สียงท่ี
กลมกลืนกนั โดยเฉพาะในเครอื่ งดตรคี ลารเิ นต ดว้ ยคุณลกั ษณะเฉพาะทส่ี ามารถบรรเลงโน้ตเพลงไดอ้ ย่าง
คลอ่ งแคล่วและมชี ่วงเสยี งกวา้ ง สามารถบรรเลงเพลงในทำนองเดียวกันกบั เครือ่ งดนตรไี วโอลนิ ในวง
ซิมโฟนไี ด้เป็นอยา่ งดี

อีแฟลตคลารเิ นต เบสคลารเิ นต
มเี สียงสงู และขนาดเลก็ กวา่ บแี ฟลตคลารเิ นต มีเสยี งต่ำและมีขนาดใหญก่ วา่ บแี ฟลตคลาริเนต

50

- เคร่ืองดนตรีประเภทปากเปา่ แบบลนิ้ คู่ (Double Reed) ซึง่ เปน็ เคร่อื งดนตรีชนิด
ทีม่ ีลกั ษณะเป็นทอ่ ลมทรงกรวย ได้แก่ บาสซนู (Bassoon), โอโบ (Oboe) และ
ซารือโซโฟน (Sarrusophone)

ภาพส่วนประกอบของปากเป่า (Mouth Piece) ในกล่มุ เครอื่ งดนตรี
แบบลนิ้ คู่ (Double Reed)

โอโบ เป็นเครอื่ งดนตรที ่เี ก่าแกท่ ส่ี ุด โดยชาวอียปิ ต์ไดเ้ คยใช้ปีท่ ่มี ลี ักษณะคล้ายกบั ปโ่ี อโบ เมอื่
ประมาณ 3,500 ปีกอ่ นครศิ ตกาล ซง่ึ ชาวกรีกและชาวโรมันโบราณมปี ลี่ ้ินค่ชู นดิ หนง่ึ เรียกว่า “Aulos”
โดยผบู้ รรเลงจะทำการเป่าพร้อม ๆ กนั ทง้ั สองเลา (ไขแสง ศขุ ะวฒั นะ,2544:33-34)

บาสซนู และโอโบ มีววิ ฒั นาการจากปี่ “Hautboy” โดยแรกเริม่ น้ัน โอโบ มคี วามคลา้ ยคลงึ กบั ป่ี
ในของไทย ซงึ่ ลำคัวมรี ูไวใ้ ช้น้วิ ในการปดิ -เปิด ต่อมาไดม้ กี ารดัดแปลงโดยการติดกระเดอื่ งเชน่ เดยี วกบั ฟ
ลตุ โบม เพอื่ ใหม้ ีความสะดวกต่อการบรรเลงมากขน้ึ ปัจจบุ นั รูปร่างของโอโบ มคี วามคลา้ ยคลงึ กันกบั
คลารเิ นต แต่จะแตกต่างกนั ทปี ากเป่า ซึ่งคาริเนต็ จะใช้ล้นิ เดยี่ วเปน็ ส่วนประกอบ ส่วนโอโบ จะใชล้ ิน้ คู่เป็น
ส่วนประกอบ อกี ท้ังมีความแตกตา่ งของปลายลำโพง ซง่ึ โอโบ จะมปี ลายของลำโพงโค้งเขา้ ไปในทอ่ ลำโพง
สว่ นคาริเน็ต มีปลายของลำโพงทบ่ี านออกจาหทอ่ ลำโพง ไขแสง ศุขะวัฒนะ (2554:28-52) ดงั รปู

51

ภาพลกั ษณะลำโพงของโอโบ

ภาพลกั ษณะลำโพงของคลารเิ นต ภาพบาสซูน

2. เคร่อื งเปา่ ลมทองเหลอื ง (Brass Instruments)
เครื่องเป่าลมทองเหลือง เป็นเครื่องดนตรีที่อยู่ในตระกูลทองเหลืองและมีอายุเก่าแก่ที่สุดใน

บรรดาเครอ่ื งดนตรตี า่ ง ๆ ในสมัยกรีกโบราณ โดยมีเครือ่ งดนตรี Lur ในแถบสแกดิเนีเวีย (Scandinavian)
และ Buccina ของโรมนั และมสี ่วนประกอบของวัสดทุ ท่ี ำจากโลหะ มนี ว้ิ กดคือลูกสบู (Valve) ที่ใช้ในการ
กดเพ่อื เปลีย่ นนะดับเสยี ง ซึง่ เปน็ การยดื หรอื ขยายความสั้น-ยาว ของทอ่ เสยี งตามทีผ่ บู้ รรเลงต้องการ โดย
เครอื่ งเปา่ ทองเหลอื งมีสว่ นประกอบสำคญั ดงั น้ี

2.1 ปากเป่าหรอื กำพวด (Mouthpiece) ทำจากวสั ดุที่เป็นโลหะ และมีลักษณะที่แตกตา่ งกันไป
ตามการใช้งาน อาทิ กำพวดของฮอร์น (Horn Mouthpiece) จะมีลักษณะเป็นรูปทรงกรวย (Cone-
Shape Mouthpiece) แ ล ะ ก ำ พ วดท รั มเปต (Trumpet), ท ร อ ม โ บน (Trombone), ย ู โ ฟ เ นียม
(Euphonium), และทูบา (Tuba) มีลักษณะกำพวดเป็นรูปทรงคล้ายถ้วยหรือระฆัง (Cup-shaped or
Bell-shaped Mouthpiece) โดยกำพวดจะมีขนาดเล็ก-ใหญ่แตกต่างกันตามคุณลักษณะและความ
เหมาะสมของเคร่อื งดนตรี

ภาพลักษณะกำพวดของฮอรน์

ภาพลกั ษณะกำพวดของทรัมเปต

52

2.2 นว้ิ กดท่เี ป็นกลไลการใช้ล้นิ บงั คับเสยี ง (Valve Mechanism) มีจำนวน 2 ระบบ คือระบบลน้ิ
เปิด-ปิด โดยการบังคับลูกสูบขึ้น-ลง (Piston Valve) ซึ่งเครื่องดนตรีที่ใช้ระบบนี้ ได้แก่ ทรัมเปต ยูโฟ
เนียม ทูบา ส่วนเครื่องเนตรีที่ใช้ระบบลิ้นเปิด-ปิด โดยการบังคับลิ้นหมุน (Rotary Valve) ได้แก่ฮอร์น
และทบู า (ชนดิ โรตารี) เป็นต้น
ไขแสง ศขุ ะวฒั นะ (2554: 60-83)

ภาพระบบลกู สูบ (Piston Valve)

ภาพระบบบังคบั ลน้ิ หมุน (Rotary Valve)

2.3 แตรชนิดอื่น ๆ แตรที่มีความแตกต่างไปจากเครื่องดนตรีดังกล่าวไปทัง้ หมด คือ ทรอมโบน
(Trombone) ซ่งึ เปน็ เครอ่ื งดนตรที ีม่ รี ะบบของการเปลย่ี นเสียงด้วยการสไลด์ท่อเหลก็ ทีม่ ีลักษณะเป็นรูป
โค้งงอเป็นรปู ตัวยยู (U) โดยการใชท้ ่อเหลก็ ชักหรอื ดึงเข้า-ออก เพื่อใหท้ ่อเสียงมีการยดึ และขยายไปตาม
เสยี งทต่ี อ้ งการ แทนการใชล้ นิ้ บงั คบั เปลย่ี นเสียงดว้ ยการใชน้ ว้ิ กด หรอื เรยี กว่า “สไลดท์ รอมโบน” (Slide
Trombone)

ภาพลกั ษณะของสไลดท์ รอมโบน

53

เครอ่ื งเป่าลมทองเหลืองประกอบไปด้วยทอ่ เสยี งท่ีมีความส้ันยาวแตกตา่ งกันไปตามชนดิ ของเคร่ืองดนตรี
และตามคฯุ ลักษณะเสยี งของเครอ่ื งดนตรนี ั้น ๆ สำหรับผเู้ ริ่มผกึ หดั ควรเรม่ิ จากท่อเสยี งที่มีขนาดไม่ใหญ่
มาก อาทิ ทรัมเปต (Trumpet) และคอร์เน็ต (Connet) หรือ ทรอมโบน (Trombone) ซึ่งการเป่าออก
เสียงทำได้ง่ายและมแี ม่นยำในการออกเสยี งมากข้นึ (คอนเวลและกสู บี, 2002:202)
3. เครื่องเพอรค์ ัชชัน่ (Percussion Instuments)

เครื่องดพร์คัชชั่น มีชื่อเรียกในภาษากรีกว่า “Krousticon” และชื่อในภาษาละตินว่า
“Pulsatile” เครื่องเพอร์คัชชั่น เป็นกลุม่ เครื่องดนตรีที่มีความหลากหลายชนิดมากที่สุด เนื่องจากเป็น
เครื่องดนตรีท่ีมีหน้าทีก่ ารใหจ้ ังหวะและบรรเลงประกอบเพลง อีกทั้ง เป็นเครื่องดนตรีที่มีต้นกำเนดิ จาก
หลากหลายประเทศ โดยได้นำมาประยุกต์ใช้ในวงซิมโฟนิก แบนด์ เพ่ือใช้ประกอบจังหวะและสร้างความ
คกึ คักใหก้ บั บทเพลง โดยเครือ่ งเพอรค์ ชั ชัน่ ไดแ้ บง่ ออกเป็น 2 ประเภท ดงั น้ี

1. เครื่องดนตรีทม่ี ีระดบั เสยี ง (Pitch Percussion) โดยเครอ่ื งดนตรใี นกลุ่มน้ีเป็นเคร่ือง
ดนตรีที่มีหลายระดับเสียง เช่น ไซโลโฟน (Xylophone), ทิมปานี (Timpani), มาริมบ้า
(Marimba), ระฆงั ราว (Chimes), ไวบราโฟน (Vibraohone) และ กอ๊ กเคนสปลิ (Glockenspiel)
เป็นตน้

ภาพลกั ษณะของกอ๊ กเคนสปลิ

ภาพลกั ษณะของไซโลโฟน

54

ภาพลกั ษณะของมารมิ บา้
ภาพลักษณะของระฆังราว
ภาพลกั ษณะของทมิ ปานี

55

2. เครื่องดนตรีไม่มีระดับเสียง (Unpitch Percussion) อาทิ ฉาบ (Cymbal), กลอง
ใหญ่ (Bass Drum) และสแนร์ (Snare) เปน็ ต้น

ในการแยกประเภทของเครือ่ งเพอรค์ ัชช่ัน สามารถสังเกตได้จากลักษณะของการบรรเลง
เช่น เครื่องดนตรีที่มีระดับเสียง จะสามารถอ่านโน้ตตามบันไดเสียงได้ ส่วนเครื่องดนตรีที่ไมม่ ี
ระดับเสียง จะไม่สามารถอ่านโน้ตตามระดับเสียงได้ โดยโน้ตที่ใช้จะเป็นไปในลักษณะของการ
กำกับตามจังหวะ มากกว่าการอยู่บนบรรทัดหา้ เส้น

ภาพลักษณะของ Tam Tam

56

รูปแบบการจัดวงนั่งบรรเลง
Symphonic Band & Concert Band Seating

รูปแบบการจดั วงซิมโฟนกิ แบนด์
ภาพข้างต้น เป็นรูปแบบการจัดวงที่เป็นมาตราของวงซิมโฟนิกแบนด์โดยทั่วไป นอกจากนี้อาจจะมีการ
ปรับเปลี่ยนรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป ตามความเหมาะสมของแต่ละวง โดยมาตรฐานแล้วจะแบ่งที่นั่งตาม
ประเภทของเครอ่ื งดนตรีอยา่ งชดั เจน แถวหน้าเปน็ เคร่อื งดนตรปี ระเภทลมไม้ และแถวหลังเป็นเคร่อื งตีตามลำดับ

รูปแบบการจัดวงออรเ์ คสตร้า

57

การจดั วงแบบซมิ โฟนกิ แบนด์ได้นำรูปแบบการจัดวงออร์เครสตรามาประยกุ ต์ใชโ้ ดยใหเ้ คร่อื งประเภทลม
ไม้อยู่สว่ นหน้าเครื่องดนตรีประเภททองเหลือง ได้แก่ ทรัมเปต ทรอมโบน เฟรนฮอร์น อยู่ส่วนกลางเครื่องดนตรี
ประเภทกระทบ ได้แก่ ทิมพานี มาริมบา สแนร์ เบสดรัม อย่สู ่วนหลัง และมคี อนดกั เตอร์ ( Conductor) ทำหนา้ ที่
อำนวยเพลงอยหู่ น้าวง

การจัดวงนง่ั บรรเลง แบบ Huron Concert BandSymphony Orchestra Seating

58

แนะนำแบบฝกึ สำหรบั วงซมิ โฟนกิ แบนด์
Sound Innovation for Book 1

เนอ้ื หาภายในเล่มประกอบไปด้วยความรพู้ ื้นฐานของเคร่ืองดนตรีแตล่ ะช้นิ สอดแทรกเนือ้ หาและบทเพลง
ที่เหมาะสมกับผู้เรียนอย่างเป็นระบบ อีกทั้งยังมีตัวอย่างที่เป็นเสียงของเครื่องดนตรีชนิดนั้นๆ ให้ฟังเพื่อเป็น
แนวทางในการบรรเลง และบางบทเพลงมีดนตรปี ระกอบ (Accompaniment) เพือ่ ใหผ้ เู้ รียนไดฝ้ ึกหดั อีกดว้ ย

Measures of Success

เนื้อหาภายในเล่มประกอบด้วยบทเพลงสั้น ๆ หลากหลายบทเพลง โดยเน้นไปด้านของ Intonation,
Rhythm, และการรวมวงเป็นสำคัญ โดยได้มีการเรียบเรียงบทเพลงดนตรปี ระกอบกับแตล่ ะแบบฝึกหัดให้มีความ
นา่ สนใจมากยงิ่ ขึ้นด้วยดนตรใี นรูปแบบต่าง ๆ เพ่ือให้ผเู้ รียนได้ฝึกซ้อมได้อยา่ งเพลินเพลนิ

59

Accent on Achievement

เป็นหนังสือที่ขายดีอีกเล่มหนึ่งที่นิยมใช้สำหรับพัฒนาวงคอนเสิรต์ แบนด์ โดยเนื้อหาประกอบไปด้วยบท
เพลงคลาสสคิ และบทเพลงพ้นื บา้ นของแตล่ ะประเทศต่าง ๆ ท่ไี ด้รบั ความนิยม นำมาเรียบเรยี บใหมใ่ ห้เหมาะสมกบั
ความสามารถของผูเ้ รียน เพื่อทีจ่ ะให้ผ้เู รียนสามารถเรยี นรไู้ ด้อยา่ งรวดเรว็ อกี ทัง้ ไดส้ อดแทรกรปู แบบจงั หวะตา่ ง ๆ
ท่ีมีความแตกตา่ งกันออกไป อีกทง้ั โนต้ ตวั หยดุ และบันไดเสียง เข้าไปในตัวบทเพลง จงึ ทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่าง
เป็นขน้ั ตอนจากง่ายไปยาก นอกจากน้ีผู้เขียนได้เรยี บเรียงบทเพลงสำหรับวงคอนเสริ ต์ แบนด์ไวภ้ ายในเล่มท้ังหมด
11บทเพลง เพ่อื ใหผ้ ู้เรียนได้ฝึกหดั เทคนคิ การรวมวงอกี ดว้ ย

60

Essential Element for band

เปน็ หนงั สอื ที่นิยมใชก้ ันอยา่ งแพรห่ ลายในท่ัวโลกรวมไปถึงในประเทศไทย เนือ่ งจากเน้อื หาภายในเล่มได้
นำเสนอต้งั แต่ความรพู้ ้ืนฐานต้ังแต่วธิ ีการฝกึ ของเครอ่ื งดนตรแี ต่ละชนิดรวมไปถงึ การออกเสยี งอย่างถกู ต้อง อีกทั้ง
ทา่ ทางการนงั่ บรรเลงการหายใจ, บนั ไดเสียง,แบบฝึกเร่ืองจงั หวะ เปน็ ต้น โดยแตล่ ะเล่มแต่ละเครื่องดนตรีจะเน้น
พัฒนาการบรรเลงและเทคนคิ แต่ละเคร่ืองดนตรีอยา่ งชัดเจน กลา่ วคือมกี ารสอดแทรกบทเพลงท่ีมลี กั ษณะของบท
เพลงการบรรเลงเดีย่ ว (Solo) กับเปียโน เพื่อใหผ้ ู้เรียนได้พฒั นาทักษะทัง้ ด้านการบรรเลงเดี่ยวและเทคนิคตา่ งๆ
ของเครือ่ งดนตรีแต่ละชนดิ ไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ

61

ศลิ ปะแห่งการฝกึ ซ้อมดนตรี (Art of Practicing)

เบอ้ื งหลงั ความสำเรจ็ ของนักโซโล่ นกั ดนตรีในวงออเคสตรา้ หรอื แมก้ ระทงั่ นกั ดนตรีในวงซิมโฟนกิ แบนด์ ท่ี
เพิง่ บรรเลงจบไปเมอ่ื ไมก่ ี่นาทีท่ผี า่ นมา คงตอ้ งผา่ นการซ้อมมาไมต่ ำ่ กวา่ 1000 ครง้ั และมากกว่า 100 ชั่วโมง โดย
เป็นท่ีประทับใจของผู้ชมทั้งหลาย นักดนตรตี ้องผ่านการซ้อมมาเป็นอย่างดี ซึ่งการซ้อมเป็นอย่างดีนน้ั เป็นเช่นไร
อาจจะเป็นการอยากทจ่ี ะจำกดั ความของคำวา่ การซ้อมมาเป็นอย่างดี

การซ้อมดนตรีคือการเตรียมตัว เป็นศิลปะชั้นสูงอย่างหนึ่งที่มีความละเอียดอ่อน ซึ่งนักดนตรีต้องผ่าน
การศึกษาและทำความเข้าใจมาเป็นอย่างดี โดยการซ้อมดนตรีที่มีประสิทธิภาพนั้น เราต้องใช้เวลาทุกนาที
ทกุ ชัว่ โมงใหม้ ีคา่ มากทสี่ ุด และมีเป้าหมายในการซอ้ มอย่างชัดเจน โดยใชเ้ วลาใหน้ ้อยทีส่ ุดและได้ผลมากท่ีสุด โดย
จะนำเสนอหลักการซอ้ ม 10 หัวขอ้ ไวด้ งั น้ี

1. ต้องรูต้ ัวว่าการซ้อมในกำลงั แก้ไขสิ่งใดและทำไมตอ้ งแก้
การซ้อมที่ดีต้องรู้ตัวเสมอว่าเรากำลังซ้อมเพื่อพัฒนาหรือแก้ไขเรื่องใดโดยไม่ปล่อยให้การซ้อมที่ใช้
เวลาแต่ไม่มีวี่แววที่จะพัฒนาขึ้นแต่อย่างใด ดังนั้นเราต้องหาปัญหาที่ต้องการจะแก้ไขให้พบ และ
วางแผนการฝึกซ้อมเป็นระบบตามลำดับความยากง่าย โดยก่อนเร่ิมการฝึกซอ้ มตอ้ งคดิ วางแผนการ
ฝกึ ซ้อมครั้งใหเ้ รยี บร้อยก่อนจะเริ่ม เพียงแค่ 3-5 นาทีทเี่ สยี ไปกบั การวางแผนการฝกึ ซ้อม ดีกว่าการ
ฝกึ ซอ้ ม 2-3 ชั่วโมงแตไ่ ม่ได้อะไรเลย
2. วางแผนการซ้อมให้เหมาะกับสถานการณ์
วางแผนล่วงหน้าเก่ยี วกับจำนวนเวลาที่เราจะซ้อมในแตล่ ะเรือ่ ง โดยขึ้นอย่กู บั เวลาทีเ่ รามีอย่ใู หใ้ นการ
ซ้อม

ควรวางแผนเป็นวนั เป็นอาทติ ย์หรอื วางในระยะยาว
การซ้อมแบง่ ไดเ้ ปน็ 5 ข้อดงั น้ี

1. เรยี นเพลงหรอื เทคนคิ ใหม่ ๆ ทเ่ี รายังทำไมไ่ ด้หรอื ได้ไมด่ ี

2. เปลี่ยนหรือแก้ไขปัญหาด้านเทคนิคทเ่ี ฉพาะเจาะจง เชน่ Vibrato, Staccato เป็นตน้

3. ซ้อมเพลงทเ่ี รามีเป็น repertoire หรือซอ้ มเทคนคิ ตา่ ง ๆ ท่ีเราทำได้ดีแลว้

4. ซอ้ มเพ่ือเตรยี มแสดงคอนเสิรต์ การแข่งขนั หรือ audition

5. ซอ้ มเพือ่ ทบทวนเพลงเกา่ ๆ โดยหาการตคี วามบทเพลงในแนวท่แี ตกตา่ งออกไป

62

การซ้อมในแต่ละครั้งอาจจะซ้อมผสมกันในแต่ละครั้ง แต่ควรเน้นการซ้อมในข้อหนึ่งข้อใดเปน็
หลัก เรอื่ งการวางแผนเวลาซอ้ มน้ัน เราตอ้ งดูว่าเรากำลังอยู่ในสถานการณ์แบบใด

1. ยงั เป็นนกั เรียนในโรงเรียน วิชาเรียนเยอะมาก

2. เป็นนักเรยี นในโรงเรยี น แต่ยงั ตอ้ งทำงานพเิ ศษหรอื เรยี นพิเศษ

3. เป็นมือสมคั รเลน่ ซ่งึ มเี วลาซอ้ มน้อย

4. เป็นมอื อาชีพแต่มธี ุระยงุ่

5. เปน็ คนทม่ี ีเวลาวา่ งมาก (ปดิ เทอมหรือโชคดที ี่ว่าง)

ไมว่ ่าจะกรณีใด เราควรจะซ้อมมากน้อยเพียงใด โดยรวมแล้ว เราแคเ่ พียงต้องการทีจ่ ะเรยี นเพลง
ใหด้ ที ีส่ ุดทเ่ี ราสามารถจะ make music โดยไม่ต้องกงั วลเรอื่ งปญั หาทางเทคนคิ การเล่น ถ้าเราทำได้ถึงจุด
น้ี เราก็สามารถจะแก้ปัญหาดา้ นการต่ืนเวทไี ปไดเ้ ยอะแลว้ โปรดจำไว้วา่ ซ้อมอย่างมีสมาธิเพยี ง 2 ช่ัวโมง
ดกี ว่าซ้อม 7-8 ชั่วโมงอยา่ งเลื่อนลอย

เราตอ้ งร้ตู วั เราเองว่าระยะเวลานานเทา่ ไรทีเ่ ราสามารถซ้อมได้อย่างมสี มาธิ เราต้องทราบจดุ เด่น
และจุดด้อยในการเล่นของเรา และที่สำคัญเราต้องเรียนรู้ท่ีจะฟังการเล่นของเราและต้องไม่ปล่อยสิ่งที่
ผิดพลาดออกไปโดยไม่มีการแก้ไข นั่นคือ เราต้องเป็นครูคอยสอนสั่งเคี่ยวเข็ญตัวเองเสมอ คนบางคน
สามารถเรยี นรู้ และจดจำได้เร็วกวา่ อีกคนหนง่ึ แต่ไมไ่ ด้หมายความว่าคนทเี่ รียนรู้ได้เร็วน้ันจะสามารถได้
ประโยชน์จากการซอ้ มดกี ว่าคนทเี่ รียนรชู้ ้า และบางทคี นท่คี ่อย ๆ ซ้อมไปชา้ ๆ อาจจะเขา้ ใจไดด้ ีกว่าและ
สามารถแก้ไขเทคนคิ การเลน่ ให้ดขี ึ้นและม่ันคงอยกู่ ับตัวได้นานกวา่ กเ็ ป็นได้

3. (การซ้อมแบบซ้ำ ๆ ที่เก่าหลาย ๆ ครั้ง จะได้ผลก็ต่อเมื่อ เราซ้อมช่วงน้ันแบบดี perfectให้บ่อย
กว่าทีผ่ ดิ พลาด)

ถา้ เราเล่นช่วงทีย่ ากของเพลงอยา่ งถูกเปน็ ครงั้ แรกหลงั จากผดิ พลาดมานบั สบิ คร้งั อยา่ เพิ่งหลงดี
ใจวา่ เราแก้ไขปัญหาการเล่นได้แล้วจริง ๆ แล้ว เราเพ่ิงจะสอนรา่ งกายของเราให้เคยชนิ กับการเล่นที่
ผดิ พลาดมานบั เป็นสิบ ๆ ครั้งและเพ่ิงจะพลาดมาเล่นถูกเพียงคร้ังเดียวหรือสองสามคร้งั เท่านั้น และ
แนวโน้มท่ีเราจะเลน่ อนั ที่เคยผิดพลาดในการแสดงนัน้ จะมมี ากกว่าอันที่ถกู เพราะรา่ งกายของเราเกดิ
ความเคยชินกบั แบบที่ผดิ ๆ ไป เสียแล้ว ฉะนั้น เมื่อเราเริ่มหัดเพลงใหม่ ๆ ให้แน่ใจว่าเราเล่นอย่าง
ถูกตอ้ งตัง้ แตแ่ รก และซ้อมเช่นน้นั อย่างระมัดระวัง ควรซ้อมอย่างชา้ ๆ ก่อนเพ่ือใหเ้ ราฟังและทราบ

63

ว่าสิ่งที่เราเลน่ นัน้ ถูกต้องทั้งด้านโน้ต จังหวะ เทคนิคและการเคลื่อนไหวของร่างกาย หลังจากน้นั จึง
ซอ้ มแบบซ้ำ ๆหลาย ๆ ครั้งจนกระทั่งมันเกดิ ขน้ึ เองจนเปน็ ธรรมชาติโดยทเ่ี ราไม่ต้องบังคับมันอีกเลย
จำไว้วา่ “รา่ งกายของเราเปรียบไดก้ บั เครอ่ื งคอมพิวเตอร์ ถา้ เราใสข่ อ้ มลู ผิด ๆ เขา้ ไปคร้ังแรก โอกาส
ที่คอมพวิ เตอรแ์ สดงผลอยา่ งผิด ๆ จะมีสูง และเราจะแก้ไขยาก”

4. Practice Fast as Well as Slowly (ซอ้ มเร็วเชน่ เดยี วกบั ซอ้ มชา้ )

การซ้อมช้า ๆ เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิง่ เพื่อให้หูและสมองไดใ้ ส่ข้อมูลอย่างถูกต้องและสามารถ
ควบคมุ และส่ังสอนกลา้ มเน้ือทกุ ส่วนสำหรับการเล่นไดโ้ ดยปกติแลว้ การซ้อมช้า ๆ นัน้ จะทำให้เพลง
ขาดจิตวญิ าณของเพลงน้ัน ๆ ไป เราอาจจะตอ้ งลองเลน่ เพลงนด้ี ้วยความเร็วจริงก่อน (แม้กระทั่งเรา
ไม่เคยเลน่ เพลงนี้มากอ่ นเลย) เพื่อใหเ้ ราทราบ idea และปัญหาท่เี ราจะพบในเพลงอยา่ งคราว ๆ กอ่ น
หลงั จากนน้ั เราจึงมาหา Fingering และเทคนคิ ต่าง ๆ ตอ่ ไป

มีอาจารยท์ ่านหนงึ่ เคยกลา่ วไว้ว่า เวลาเริ่มหัดเพลงใหม่ ให้ซอ้ มชา้ 4 ครั้ง แลว้ จึงตามด้วยซ้อมเรว็
1 คร้งั เสมอ และเม่ือเราคล่องแล้วใหซ้ อ้ มเร็ว 4 ชา้ 1 Metronome เป็นอุปกรณท์ ี่จำเป็นในการซ้อม เรา
ต้องควบคมุ ความชา้ เรว็ ใหไ้ ด้ดตี ลอดเวลา Metronome สอนใหเ้ ราฟงั และควบคุมไดด้ อี ีกดว้ ย

มีนกั เรยี นหลายคนสามารถเลน่ เร็วไดด้ ี แต่พอใหเ้ ล่นช้า ๆ กไ็ มส่ ามารถควบคมุ เทคนิคต่าง ๆ ได้
นน่ั แสดงว่าการเลน่ ของเรายงั ไมป่ ลอดภัย จำไวว้ ่า “ถ้าเราเล่นช้าไมไ่ ด้ดีแลว้ เราจะไมส่ ามารถเล่นเร็วได้
อยา่ งปลอดภัยไปทุกครัง้ ”

5. Separate the Problems and Solve Them One by One (แบ่งแยกปัญหาให้ออกและ
แกไ้ ขทลี ะอย่าง)

แต่ละช่วงของเพลงมักจะเกิดปัญหาในการเล่นต่างกันและมากน้อยหลากหลายกัน
ออกไป การทีจ่ ะพยายามแก้ไขทกุ อย่างไปพรอ้ ม ๆ กันนั้นจะทำให้เราไมส่ ามารถแก้ไขปัญหาได้
เลยสักอย่างเดียว แถมว่าจะเข้ากฎข้อ 3 ด้วย นั่นคือเราซ้อมย้ำ ๆ แต่แบบท่ีผิด ๆ …. ใจเย็น ๆ
ครับ ... แบ่งปัญหาที่พบให้ออกว่าเป็นด้านอะไร rhythm? Intonation? Articulation? Basic
ทั่ว ๆ ไป, เทคนิคเฉพาะของมือซ้ายหรือมือขวา? ปัญหาเรื่องการประสานงานกันระหวา่ งมือทง้ั
สอง? ความคล่องตัวของนิ้ว มือ แขน ? การใช้ลม ? หรืออื่น ๆ หรือทั้งหมด? จากนั้นค่อย ๆ
แก้ไขไปทีละอย่าง แตกมันออกมาอย่าง ๆ ช้า ๆ เพ่อื สอนกล้ามเนือ้ ของเรา เทคนิคบางอย่างนั้น

64

เราอาจตอ้ งไปหา studies, etudes ต่าง ๆ มาฝึกเพิ่มเติมเพื่อช่วยแก้ปัญหาในบทเพลงของเรา
การแกไ้ ขปญั หาเฉพาะท่ีตา่ ง ๆ ครูของท่านอาจให้คำแนะนำได้

6. Practice Difficult Passages in Context (นำชว่ งท่ยี ากของเพลงออกมาซ้อมเฉพาะจุด)

น่เี ปน็ เรอ่ื งต่อจากข้อที่แล้ว หลังจากแบ่งแยกปญั หาออกมาไดแ้ ละแกป้ ัญหาทลี ะอยา่ งได้
หมดแล้ว เราก็สามารถรวมการเลน่ ได้ออกมาเป็นแบบท่เี พลงเขียนไว้ โดยซ้อมชา้ ๆ กอ่ น ฟังว่า
ปญั หาต่าง ๆ ทเ่ี ราแก้ไปยงั อย่อู กี หรอื ไม่ ถา้ ยังพบอยู่ ให้กลับไปแก้เฉพาะจดุ น้นั

7. Practice Performing: Don’t Only Practice Practicing (ให้ซ้อมการแสดงคลา้ ยการแสดง
จริงดว้ ย)

การซ้อมในห้องสี่เหล่ียมเล็ก ๆ โดยมีเพียงแค่เราอยู่คนเดยี วน้ัน ไม่ใช่เป้าหมายสุดท้าย
ของการเล่นดนตรี แมว้ ่าเราสามารถทำให้มันสนุกจนไม่อยากละมอื ออกจากการซอ้ ม ถา้ เราเรยี น
concerto, sonata ได้เปน็ สบิ ๆ บท มนั กไ็ มม่ ปี ระโยชนแ์ ละไมถ่ อื วา่ ได้เรยี นอยา่ งสมบรู ณ์ ถ้าเรา
ไม่อยใู่ นสภาพทพ่ี รอ้ มที่จะนำออกแสดงได้การแสดงต่อหน้าผ้คู นจำนวนมาก ทง้ั ทเ่ี รารู้จักและไม่
รู้จักนั้น เป็นสิ่งที่ยากต่อความรู้สึกและไม่สามารถเกิดการควบคุมความรู้สึกนี้ขึ้นได้เองตาม
ธรรมชาติ ต้องอาศยั การฝกึ ฝนและความเคยชิน ส่ิงต่าง ๆ อาจมผี ลกระทบตอ่ การเลน่ ของเราใน
การแสดง ความตน่ื เต้น ตนื่ เวที อุณหภมู ิ สภาพอาการ สภาพร่างกายจติ ใจ สภาพทางเสยี ง และ
ตัวแปรอื่น ๆ อาจทำให้เราตื่นเต้นมากจนเกนิ ไป หลังจากการฝึกซ้อมจนถึงระดับหนึ่งแล้ว เรา
ควรมีการฝกึ ซ้อมการแสดงดว้ ย เราอาจจนิ ตนาการวา่ มผี ู้ฟงั หรือถ้ามโี อกาส ใหไ้ ปลองบรรเลงใน
สถานที่จริงที่เราต้องแสดง โดยห้ามหยุดบรรเลงตั้งแต่ต้นจนจบเพลง ดูว่า เรายังมีปัญหาการ
บรรเลงหลงเหลอื อยหู่ รือไม่ ถา้ มี นั่นคอื โอกาสที่เราจะทราบและนำกลับไปแก้ไขให้ทันก่อนการ
แสดงจริง หรือถา้ จะใหด้ กี ว่านั้น ใหล้ องเชญิ เพอ่ื นฝูง คนร้จู กั มานั่งฟังการซ้อมการบรรเลงแบบไม่
มหี ยุดของเราดว้ ย จะเป็นการดีย่ิงข้ึน เราอาจจะถามความคดิ เหน็ ของผ้ฟู ังด้วยก็เปน็ ได้ ชดุ ทใ่ี สใ่ น
วันบรรเลงก็มผี ลต่อการเล่นเช่นกัน ชุดสูทท่ีคับหรอื หลวมเกินไป รองเทา้ สน้ สูง กระโปรงทีแ่ คบ
หรอื ลากยาว เครื่องประดับหรือกระดมุ ทสี่ ามารถเกะกะหรือกระแทกเครอ่ื งดนตรขี องเรา เหลา่ นี้
ควรจะมกี ารจดั เตรยี มและแก้ไขมากอ่ นล่วงหนา้

วิชา Concert Practice ที่ผมเคยเรยี นมาน้ัน มีประโยชน์มากในการฝึกตรงน้ี โดยที่เรา
เล่นใหเ้ พือ่ นดแู ละเพอื่ นกเ็ ล่นใหเ้ ราดู โดยมกี ารเดินเข้าออก ทำการโคง้ และปรบมอื เช่นการแสดง

65

จริง ๆ หลังจากนัน้ ก็มีการแลกเปล่ียนความคดิ เหน็ นั่นเป็นสิ่งที่ดีทีเ่ ราควรมีการเริ่มในบ้านเรา
เรอื่ งความตน่ื เตน้ ในการแสดงนนั้ เป็นเร่ืองปกติธรรมดาของมนษุ ย์ ถ้าจะใหพ้ ูดถงึ เร่อื งนี้ คงต้อง
กล่าวกันยาวมาก ความตื่นเตน้ เปน็ เรื่องของจติ ใจโดยแท้ และเป็นสิ่งทดี่ ี ถ้าเราไม่มีความต่ืนเต้น
บนเวทีเลยแม้แต่น้อย นั่นแสดงว่าเรามีความผิดปกติหรือไม่ใส่ใจในการแสดงเท่าที่ควร ความ
ต่ืนเตน้ จะเกดิ ขน้ึ เมอื่ เราอายุมากขึน้ รู้มากข้ึน มสี ่งิ ที่ตอ้ งระวังมากขน้ึ สนใจความรู้สกึ ของคนอื่น
จนทำให้เราขาดสมาธิในการเล่น สิ่งเหลา่ นี้ฝึกฝนกันได้ และต้องอาศยั ความมีประสบการณ์เจน
เวที

หัวใจที่เตน้ ถี่เร็วและแรง อาการเขา้ ห้องน้ำเพือ่ ถ่ายเบาบ่อย เหงื่อออกทีม่ ือ มือส่นั ไม่มี
แรงปวดมวนท้อง อาการต่าง ๆ เหล่านี้คืออาการตื่นเวทีที่พบได้ประจำในหลาย ๆ คน ถ้าท่าน
เป็นคนทีเ่ อาจรงิ เอาจงั กบั การแสดงและตอ้ งการใหก้ ารแสดงออกมาดี ไม่มที างหรอกครบั ทีเ่ ราจะ
ขจัดความตื่นเต้นในการแสดงออกได้หมด ฉะนั้น จงเตรียมใจไว้ได้เลยว่า ไม่ว่าเราจะซ้อมมาดี
เยี่ยมขนาดไหนก็ตาม ท่านจะตื่นเต้นในการแสดงอย่างแนน่ อน แต่ท่านต้องรูจ้ ักที่จะควบคุมมัน
อยกู่ ับมนั เปลีย่ นมนั ใหเ้ ป็นพลงั ทางบวก เรอื่ งทัง้ หมดน้ีอยู่ท่ีสมาธิและใจครบั ครั้งแรก ๆ ในการ
แสดงหรือการ audition ท่านอาจจะต่ืนเต้นจนควบคมุ ไมไ่ ด้ แต่อย่าเพิ่งท้อใจ นั่นเป็นเพียงการ
เรมิ่ ต้นพบปญั หา ส่งิ ที่ชว่ ยเราไดบ้ นเวทนี ่ันคือการมีสมาธกิ ับสงิ่ ที่ท่านทำอยู่และ Enjoy สิ่งท่ีท่าน
แสดง!

9 Practice Also Without Instrument (ซ้อมโดยไม่ใชเ้ ครื่องดนตรีดว้ ย)

เพียงแค่เราฝึกซอ้ มทางด้านร่างกายกับเครื่องดนตรีอยา่ งเดียวนั้นไม่เพียงพอแน่ ๆ เรา
ควรจะซ้อมดา้ นจติ ใจความรสู้ ึกนึกคดิ ที่เกี่ยวกบั บทเพลงท่เี ราจะแสดงดว้ ย จริง ๆ แลว้ สมองของ
เราเป็นตัวควบคุมจัดการกับกิริยาทุกอย่างในการเล่น เช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ที่ดีได้ ต้องมี
โปรแกรมทดี่ ี ใหล้ องมองดโู นต้ เพลงทท่ี ่าน จะเล่น แลว้ จนิ ตนาการเสียงตาม บางครั้งเราอาจพบ
หนทางตีความบทเพลงแบบใหม่ ๆ ที่อาจดีกว่าแบบเก่าที่เราเคยชินก็เป็นได้ บางครั้งท่านอาจ
หลับตาแล้วจินตนาการว่าเรากำลังเล่นบทเพลงนั้น ๆ จริง ๆ การฝึกเช่นนี้ ไม่เพียงช่วยด้าน
เทคนคิ แตช่ ่วยเรื่องการจดจำบทเพลงไดด้ ว้ ย ถา้ เราสามารถเล่นเพลงด้วยจนิ ตนาการได้ต้ังแต่ต้น
จนจบโดยไม่อาศัยเครื่องดนตรีเลย โดยมี tempo ที่ดีและไม่มีการหลงลืมหรือชะงัก (ตัดสิน

66

ตัวเองอย่างเปน็ ธรรม อย่าเข้าข้างตัวเองดว้ ยนะครับ) เราอาจพูดได้วา่ เราสามารถจำบทเพลงได้
แล้ว แต่ถา้ ยงั หลงลืมบางจดุ ให้เรากลบั ไปแก้ไขจุดนั้นโดยเร็ว

10 Do Not Neglect the Easy Sections: They Tend to Take Revenge on You (อ ย่ า
ละเลยชว่ งท่ีง่าย ๆ มันอาจกลบั มากอ่ ความย่งุ ยากให้เราได้)

เพลงท่ีเราจะเลน่ นั้น อาจมหี ลายช่วงทีม่ ีความง่าย ไม่มีปญั หาแม้กระท่ังลองเล่นในครั้ง
แรกเพียงคร้ังเดียว คนบางคนก็ชอบเล่นแต่ช่วงง่าย ๆ นี้บ่อย ๆ โดยไม่ค่อยอยากไปเล่นในช่วง
ยาก ๆ เพราะเสยี งดีสู้ชว่ งงา่ ย ๆ นีไ้ ม่ได้ แต่อกี พวกหน่ึง ซอ้ มแต่ชว่ งยาก ๆ จนแทบไม่สนใจช่วง
ง่ายอกี เลย

จริง ๆ แล้ว เรากไ็ ม่จำเป็นต้องเสียเวลากับช่วงงา่ ย ๆ เหล่านีม้ ากนกั แต่อย่างน้อยกใ็ ห้
ผา่ นตาไว้บ้าง อย่าใหเ้ มอื่ ถึงเวลานำออกแสดงแล้วชว่ งงา่ ย ๆ เหล่านี้ กลายเป็นสิ่งท่ีเราไม่คุ้นเคย
เหมือนเพงิ่ เคยเหน็ การไมค่ ุ้นเคยน้จี ะทำให้เราลังเลวา่ “เล่นถูกหรือเปล่า” “ใช้นิ้วอะไรดี ตรงน้ี”
อยา่ ใหส้ งิ่ เหล่านเี้ กิดขน้ึ นะครับ มนั จะทำลายสมาธเิ รา

น่นั คือ 10 หวั ขอ้ หลัก ๆ ในการทำการซอ้ มใหไ้ ด้ผลและเปน็ ศลิ ปะทน่ี กั ดนตรีทุกคนควร
ยึดไว้ในใจเสมอ

แบง่ ขัน้ ตอนวัดในความกา้ วหน้าในการซอ้ มของเราอยา่ งง่าย ๆ ไว้ดังนี้

1. Building up time เป็นช่วงแรกทีเ่ ราเริ่มเรียนเพลงโดยเฉพาะเพลงใหม่ที่เราไม่รู้จัก
โน้ตเลย Building ในที่น้ี หมายถึง การหัดโน้ต จังหวะ แก้ไขปัญหาเรื่องเทคนิค หาเทคนิคมา
เสริมในเพลงนั้น ตรวจสอบ intonation ต่าง ๆ ฯลฯ อันเป็นเรื่องพื้นฐานทั่วไปของดนตรี ทั้ง
เรือ่ งเสียง จงั หวะ เราต้องหัดช้า ๆ และคอ่ ย ๆ เพม่ิ เร็วขึ้น สลบั กันไป โดยใชก้ ฎข้อ 1 ถงึ 7

2. Interpretation Time เปน็ ชว่ งตคี วามบทเพลง หลังจากผา่ น Building Up time จน
เราสามารถเล่นโน้ตได้อย่างคล่องแคล่ว โดยไม่มีปัญหาทางเทคนิคแล้ว ให้เราคิดถึงเรื่อง
Dynamic ความดังเบา vibrato, articulation ความสั้นยาวของโน้ตต่าง ๆ เพื่อเพิ่มสีสันให้กบั
บทเพลง สิง่ นี้จะสร้างให้เพลงของเรามี Musical มากขนึ้ ขอ้ น้ีทำได้โดยใช้หลักข้อ 9 ครบั

3. Performance Time หลังจากทุกอย่างเริ่มลงตัวแล้ว ควรจะลองนำออกแสดงดูวา่
ยังมปี ัญหาอะไรหลงเหลอื อยบู่ ้าง ไมจ่ ำเป็นวา่ จะต้องนำออกแสดงที่โรงคอนเสริ ์ตที่มีผู้ชมจำนวน

67

มาก บางทีทา่ นอาจขอร้องให้เพอื่ นซกั คนสองคนนั่งดูการแสดงของท่าน โดยท่านตอ้ งทำทุกอย่าง
เหมอื นการแสดงจริง เรอ่ื งนเี้ ป็นเรอ่ื งเกีย่ วกบั ใจแลว้ ครับ กลบั ไปอา่ นกฏขอ้ 8 ได้ นั่นเป็นการวัด
ความก้าวหนา้ อย่างครา่ ว ๆ นะครบั ซง่ึ บางทที า่ นอาจต้องย้อนขัน้ ตอนกลบั ไปกลบั มาและหา้ มละ
ทิ้งขั้นตอนท่ี 1 เป็นอันขาด แม้ว่าท่านอาจอยู่ในข้ันตอนท่ีสามารถนำเพลงออกแสดงได้แล้ว แต่
ท่านยังต้องซ้อมแบบ Building Up อยู่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีการควบคุมทางเทคนิคที่มีความ
ยากน้ัน มีความแม่นยำและสม่ำเสมอ

บทความโดย อาจารย์อภชิ ยั เลีย่ มทอง
ท่ีมา: วารสารดนตรีรังสติ ปีที่ : 7 ฉบบั ที่ : 1 เลขหน้า : 29-39 ปีพ.ศ. : 2555

วิธีการฝกึ ซ้อมบทเพลงพระราชนพิ นธ์ เราสู้
บทเพลงนเ้ี รยี บเรียงเสียงประสานสำหรับวงซมิ โฟนกิ แบนด์โดยอาจารย์ วจิ ิตร์ จติ รังสรรค์

68

โดยขนาดวงท่ไี ม่ใหญเ่ กนิ ไปโดย ทั้งน้ีสงั เกตได้จาก Trumpet มีเพลง 1-2 แนวและ Percussion ก็
เป็นรูปแบบมาตรฐานที่ใช้เพียง Snare, Bass Drum และ Cymbal โดยไม่ใช้เครื่องชนิดอื่น อย่างเช่น
Marimba, Vibraphone, Gong เปน็ ตน้

การตีความบทเพลงและการฝกึ ซอ้ ม
บทเพลงนี้เป็นบทเพลงประเภทเพลงปลุกใจ ทั้งในคำร้องท่ีมีเนื้อหาปลุกใจให้เกิดความรักในผืนแผ่นดนิ
ไทย ฉะนั้นการบรรเลงต้องมีความแข็งแรงและมีพลังในเวลาเดียวกัน โดยผู้เรียบเรียงได้นำโมทีฟแบบสาม
พยางค์เขา้ มาใชเ้ ปน็ โมทีฟหลักของบทเพลงนี้ ซึง่ จะปรากฏตลอดทั้งบทเพลง ดงั ทีป่ รากฏในตัวอย่างต่อไปน้ี

69

ฉะนนั้ การฝกึ ซอ้ มต้องให้ความสำคัญกับอัตราส่วนสามพยางค์เปน็ อย่างมาก เพอื่ ให้เกดิ ความพร้อมเพียง
และเป็นไปในทิศทางเดยี วกัน อีกทั้งแนวทำนองหลักส่วนใหญ่จะอยู่ท่ีเครื่องบราส ผู้ควบคุมวงจึงจำเป็นต้องให้
ความสำคัญกบั เครอื่ งบราสเปน็ พิเศษ อีกทั้งเครอื่ งลมไม้ต้องมีความคล่องตวั ในการบรรเลงนกั ดนตรตี ้องมเี ทคนคิ ที่
ดพี อสมควร ในการบรรเลงโนต้ 6 -7 พยางค์ในอตั ราสว่ นเขบ็ตสองชั้น ซ่ึงเป็นอัตราสว่ นที่มคี วามเรว็ มากท่ีสุด ท่ี
ปรากฏในบทเพลงน้ี

โดยเริ่มฝึกจากช้าไปเร็วจนได้จังหวะที่ต้องการ ซึ่งการฝึกซ้อมเริ่มจากช้าจะช่วยให้เกิดความแม่นยำมาก
ย่ิงขึ้นและลดความผดิ พลาดลงไปไดเ้ ป็นอย่างมาก

นอกจากนีผ้ ู้สอนและผู้บรรเลงต้องมคี วามรูค้ วามเขา้ ใจในเร่ืองArticulation หรือการออกเสียงเคร่ืองหมาย
ในแบบตา่ ง ๆ ใหแ้ ตกต่างกันอย่างชัดเจน อีกทง้ั ความเบา - ดงั ซึ่งในบทเพลงนอ้ี าจจะมเี ครือ่ งหมาย เบา - ดัง ไม่
หลายหลายเทา่ ใดนัก แต่ควรจะทำให้เกดิ ความแตกต่างกนั อยากชัดเจน เพ่ือให้บทเพลงมีความน่าสนใจและมคี วาม
ไพเราะมากย่ิงข้ึนดังตวั อย่างต่อไปนี้

70

ฉะนน้ั การฝึกซอ้ มต้องมกี ารวางแผนใหเ้ ปน็ ขัน้ ตอนโดยเริม่ จาก
1. แก้ปญั หาสิง่ ทค่ี าดวา่ จะเป็นปญั หา เชน่ โน้ต 7 พยางค,์ การออกเสียง (Articulation) เปน็ ตน้
2. นำส่วนที่ยากออกมาสรา้ งแบบฝกึ หัดเพือ่ ซ้อมเฉพาะจุด
3. เรม่ิ จากสว่ นที่ยาก ไปหางา่ ยของบทเพลง
4. ซอ้ มจากชา้ ไปเรว็
5. ซอ้ มท้ังบทเพลงตามความเร็วทีต่ อ้ งการ

71

วิธกี ารฝกึ ซ้อมบทเพลง Omens of Love ของ T - Square

ที-สแควร์ คอื วงดนตรแี นวแจส๊ ฟิวชันจากประเทศญป่ี ่นุ ทป่ี ระสบความสำเร็จทสี่ ุดในประเทศญี่ปุ่นเดมิ ช่ือ
วงว่าเดอะสแควร์ (The Square) ก่อตั้งวงโดย มาซาฮิโระอันโดะ ในปี 1976 ขณะที่เขาศึกษาอยู่ในวิทยาลัยโดย
ออกผลงานอลั บ้ัมชุดแรกชดุ Lucky Summer Lady ในปี 1978 โดยมสี มาชิกแรกเริ่มคอื ทาเคชิอิโต้ (Sax),คิโยฮิ
โกะเซมบ้า (เพอร์คัสชั่น), ยูจิมิคุริยะ (กีต้าร์), ยูจินากามูระ (เบส), ไมเคิ่ลเซนจิคาวาอิ (กลอง), มิยางิจุนโกะ
(เปยี โน) และ ชโิ รซ่ างสิ ึ (คยี บอร์ด) หลงั จากออกอัลบม้ั Midnight Lover มาในปเี ดียวกันMikuriyaกอ็ อกจากวงไป
สมาชิกของวงจึงเหลือหกคน (ซางิสึเป็นเพียง Support Member จนถึงชุด Make Me A Star) หลังจากทำชุด
Make Me A Star ในปี1979 อัลบั้มชุด Rockoon ก็ได้ ยุนอาโอยาม่า ก็เข้ามาเป็นมือกลองแทนคาวาอิและได้คุ
เมะไดซากุ อดตี มอื คยี บอรด์ วง Prism เขา้ มาแทนจุนโกะ

ปี1982 อัลบั้มชุด Kyakusenbi No Yuhwaku ออกมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงสมาชิกอีกครั้งโดยได้
ฮิโรทากะอซิ มึ เขา้ มาเปน็ มอื คยี บอรด์ /เปยี โนแทนที่ไดซากุและโทรฮุ าเซเบ้ เข้ามาเป็นมอื กลอง T-Square กบั ไลน์
อัพยุคนี้เกบ็ เกี่ยวชื่อเสียงไดม้ ากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งในปี1984 ที่ออกอัลบั้มชุด Adventures T-Square ก็มีคอนเสิร์ต
ใหญ่เป็นครั้งแรกที่มีชื่อว่า Live Adventures จนกระทัง่ ปี 1985 กับอัลบัม้ ชุด R.E.S.O.R.T ที่เพลง Omens Of
Love และ Forgotten Saga กลายเปน็ เพลงในตำนานของวงไปหลังจากนนั้ ฮโิ รยูกโิ นริทากะก็เข้ามาแทนฮาเซเบ้
ในปีต่อมากับชุด S.P.O.R.T.S และ มิตซึรุซูโต้ เข้ามาเป็นมือเบสแทนทานากะในชุด Truth ในปี 1987 เพลง
‘Truth’ ของ The Square ถกู นำไปประกอบการแข่งรถ F1 Grand Prix ทำให้ชือ่ เสยี งของวงโดง่ ดังถึงขีดสุดและ
อันโดะถูกว่าจ้างให้ทำเพลงให้กับ Gran Turismo Series ซงึ่ อัลบ้ัมนีถ้ กู ขายไปกวา่ 36 ล้านแผน่ ท่ัวไป

บทเพลง Omens of Love จัดอยู่ในระดับ เกรด 4 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับกลาง โดยอัตราส่วนที่นำมาใช้
สว่ นมากจะเป็นอตั ราจังหวะ สามพยางค์, เขบต็ หนงึ่ ช้ัน, เขบต็ สองช้ัน, ตวั ดำ, ตวั ขาว เป็นหลกั ดงั ตัวอยา่ งต่อไปน้ี

72

จากภาพข้างตน้ ทป่ี รากฏในกรอบ 4 เหล่ยี ม เป็นอตั ราส่วนหลักท่ีใชใ้ นช่วงตน้ ของบทเพลง การประพันธ์
บทเพลงน้ี โดยจะเนน้ อตั ราส่วนที่ง่าย ประกอบกับการใช้เครือ่ งหมาย Slur, Tie, Accent ของโน้ตแต่ละกลุ่มเข้า
ไป บทเพลงนม้ี คี วามเรว็ ในแบบ Allegro โดยทโ่ี นต้ ตัวดำ มคี ่าเท่ากบั 132 โดยอยู่ในอัตราความเรว็ ปานกลาง และ
มีการเปลี่ยนแปลงความเร็วเพิ่มขึน้ โดยที่มีโน้ตตัวดำ มีค่าเท่ากบั 156 อีกทั้งอตั ราส่วนสามพยางค์ที่ปรากฎใน
ภาพขา้ งต้น ผบู้ รรเลงตอ้ งให้ความสำคญั เป็นอย่างมาก เน่อื งจากมี การบรรเลงรับช่วงต่อกันในแต่ละแนวเสียงใน
อัตราจังหวะสามพยางค์ จากกลุ่มหนึ่งไปยังอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งต้องอาศัยความเข้าใจในการบรรเลงให้ถูกต้องตาม
จังหวะและรูปแบบเดียวกนั ของท้ังวง จึงจะทำใหบ้ ทเพลงนเ้ี ป็นอนั หนึ่งอันเดียวกันและช่วยเสริมให้บทเพลงมีพลัง
มากยง่ิ ขึน้ ไป

นอกจากนี้ในท+อน A ดังตัวอย+างข4างต4นที่มีเครื่องหมาย Staccato, Accent, Marcato ซึ่งผู4บรรเลงต4อง
ศกึ ษาให4เขา4 ใจและปฎบิ ัติได4อย+างถูกต4องเพื่อให4การบรรเลงบทเพลง Omens of Love เป\นไปในทิศทางเดียวกัน
ทั้งหมดและถูกตอ4 งตามวตั ถุประสงค_ของผ4ูประพนั ธ_

อีกทั้งผู4บรรเลงต4องให4ความสำคัญกับอัตราจังหวะในรูปแบบ Syncopation หรืออัตราจังหวะขัด
ดังที่ปรากฏในตัวอย+างข4างต4น โดยผู4บรรเลงต4องมีความรูค4 วามเข4าใจใน Articulation ในรูปแบบต+างๆ ที่มีความ
แตกต+างกันเพือ่ เติมเต็มใหบ4 ทเพลงมชี วี ิตชีวามากยง่ิ ขนึ้

73

นอกจากนีใ้ นท+อน D ปรากฏอตั ราจงั หวะในแบบเขบต็ สองชั้น ซึ่งอยใ+ู นแนวเสียงของ Flute, Clarinet ซ่ึง
มลี กั ษณะเป\นแบบซเี ควน ทม่ี กี ารซ้ำรปู แบบในลักษณะจากสูงมาตำ่ ซ่ึงผบู4 รรเลงต4องฝrกซ4อมอย+างระมัดระวังโดย
เริ่มจากช4าให4มีความชำนาญและเพิม่ ความเร็วขึ้นทลี ะน4อย จนได4ความเรว็ ตามที่ผ4ูควบคุมวงต4องการ เพื่อพฒั นา
เทคนคิ ในรปู แบบนี้ใหด4 ียง่ิ ข้ึนไป ผค4ู วบคุมวงควรหาแบบฝrกหัดท่ีเกยี่ วกับเรอ่ื ง Fingering มาชว+ ยเสรมิ ใหผ4 ู4บรรเลง
ไดฝ4 rกจะสามารถทำให4ผบู4 รรเลงมที ักษะทีด่ ีขึ้นในการเล+นโนต4 ท่มี คี วามเรว็ เชน+ ตวั อย+าง ข4างต4น

บทเพลงน้ีหากจำแนกออกเปน\ ท+อนต+างๆ กจ็ ะสามารถจำแนกได4เพยี ง 3 ท+อนหลักทีม่ ีความแตกตา+ งกนั ซง่ึ
ง+ายในการตีความและกำหนดความแตกต+างของบทเพลง จงึ เป\นบทเพลงท่ีเหมาะจะเปน\ แบบฝrกหดั สำหรับผท4ู ีเ่ พิง่
เริ่มต4นได4เปน\ อย+างดี และการฝrกซ4อมทุกครั้งจำเป\นต4องฝrกควบคู+ไปกับเมเทอร_โนม ( Meternorm) เพ่ือฝrกให4มี
ความแม+นยำในเรื่องของจังหวะอีกด4วย และบทเพลงนม้ี ีการใช4เครื่องหมาย Articulation ที่มีความหลากหลาย
ฉะนัน้ ผูบ4 รรเลงต4องทำความเข4าใจในแตล+ ะสัญลักษณ_ใหเ4 ขา4 ใจ เพื่อใหก4 ารบรรเลงมีความแตกต+างกัน

74

นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่องที่สำคญั ไมแ+ พ4กันคือเรื่องการลากเสียง ผู4บรรเลงควรลากเสียงตัวโน4ตที่มที ั้งตวั ขาว
ตัวกลมให4เตม็ คา+ ของตัวโน4ตนนั้ ๆ ทกุ ครัง้ โดยไมห+ ยุดก+อน อันจะทำให4คอร_ดหรอื เสยี งประสานเกิดความไม+สมบรู ณ_
ทา4 ยสดุ น้ีบทเพลง Omens of Love การฝrกซอ4 มตอ4 งมกี ารวางแผนใหเ4 ป\นขนั้ ตอนโดยเริม่ จาก

1. แกป4 ญ{ หาสิ่งทคี่ าดวา+ จะเป\นปญ{ หา เช+น โน4ตSlur, Tie, การออกเสยี ง (Articulation) เป\นตน4
2. นำส+วนที่ยากออกมาสร4างแบบฝกr หัดเพื่อซ4อมเฉพาะจุดซึ่งในบทเพลงนี้จะมีจุดที่ควรให4ความสำคัญคือ

เร่อื ง Articulation
3. เรม่ิ จากสว+ นทีย่ าก ไปหาง+ายของบทเพลง
4. ซ4อมจากช4าไปเรว็
5. ซอ4 มทงั้ บทเพลงตามความเร็วทต่ี 4องการ

75

วธิ ีการฝ)กซ+อมบทเพลง Because of you ของ Kelly Clarkson

บทเพลง Because of you ผลงานการร4องของ Kelly Clarkson จัดไดว4 า+ เปน\ บทเพลงรอ4 งทไ่ี ด4รับความนยิ ม
อย+างมาก ตง้ั แตเ+ ปดÉ ตวั ครง้ั แรกในปÑ 2009 จนถงึ ปจ{ จบุ ันกระแสความนยิ มกไ็ มไ+ ดล4 ดลงไปแต+อย+างใด อีกท้งั ยงั มีการ
นำไปบรรเลงในหลากหลายรปู แบบ เช+น วงออร_เครสตร4า, แบบแจáส, หรอื แมก4 ระทั้งวงซมิ โฟนกิ แบนด_ และอื่น ๆ
อกี มากมาย โดยเอกลักษณ_ท่โี ดดเด+นของบทเพลงน้ที ่สี ุดก็คอื แนวทำนองทมี่ ีความไพเราะและมคี วามเร4าใจ หากผ4ู
บรรเลงได4ฟ{งบทเพลงพร4อมกับทำความเข4าใจความหมายเพลง ก็จะง+ายแก+การตีความบทเพลง และสามารถ
ถา+ ยทอดอารมณ_ของบทเพลงออกมาได4สมบูรณแ_ บบมากยง่ิ ขึ้น

เนอ่ื งจากบทเพลงนีด้ ัดแปลงมาจากบทเพลงรอ4 ง เพอ่ื ให4คงความมีกล่ินอายของบทเพลงรอ4 ง ผเู4 รียบเรียงได4
เพิ่มเครื่องดนตรีประเภทริทึม (Rhythm) เข4าไปในการเรียบเรียงประกอบด4วย Piano, Guitar, Bass Guitar,
Drum อกี ทั้งยังเพม่ิ เครื่องสายเขา4 ไปในบทเพลง เพอื่ ชว+ ยเสรมิ ใหบ4 ทเพลงมสี ีสันมากยง่ิ ขน้ึ

ในบทเพลง Because of you มีการผสมอัตราจังหวะแบบ 4/4 กับ2/4 ในบทเพลงช+วงท4ายของแต+ละ
ประโยคทั้งบทเพลงโดยบทเพลงนี้จะมีการใช4อัตราจังหวะ 2/4 ทุกช+วงการนำเข4าสู+ช+วงแนวทำนองหลัก โดยจะ
ปรากฎในท+อน B และ D ดังในตัวอย+างต+อไปนี้

76

ในบทเพลง Because of you สำหรับวงซมิ โฟนิกนี้ จัดได4ว+ามีความยากในระดับปานกลาง แต+จุดที่ควรให4
ความสำคญั เป\นอยา+ งยิง่ คือโน4ตลากยาว ที่เป\นโนต4 แนวตั้งในรูปแบบคอรด_ โดยผบู4 รรเลงต4องมโี สตทักษะท่ีดี เพอื่ ให4
บทเพลงมคี วามราบรนื่ มากทสี่ ุด ซึ่งวิธีการฝกr ซอ4 มแนะนำว+า แยกฝกr ซ4อม ออกเปน\ กลุ+มระหว+างกลม+ุ ทเ่ี ลน+ เป\นแนว
ทำนอง กับกลุ+มเป\นคอร_ด โดยกลุ+มที่ทำหน4าที่เปน\ คอร_ด ควรฝrกซ4อมไปกับเปÑยโนทุกครั้ง ซึ่งจะเป\นการง+ายที่ผ4ู
บรรเลงสามารถฟ{งเสยี งจากเปÑยโนเป\นหลกั ได4 และทำใหก4 ารซ4อมมีประสทิ ธิภาพมากย่งิ ข้ึน

อกี ทง้ั ในแนวทำนองหลกั เนื่องจากมีความซบั ซ4อนของอัตราจังหวะท่ีค+อนข4างยาก ผู4บรรเลงสามารถทำความ
เข4าใจจากการฟ{งคำรอ4 งของต4นฉบับ และนำมาปรับใชใ4 นการบรรเลงได4 โดยในการฝกr ซอ4 มควรฝrกซ4อมเรมิ่ จากช4าไป
เร็ว ดังที่กล+าวไว4ใน Art of practice เพื่อให4ได4ประสิทธิภาพในการฝrกซ4อมอย+างสูงสุด เนื่องจากมีการเล+นแนว
ทำนองด4วยกนั หลายเคร่ืองจึงต4องการความแมน+ ยำของเสยี งคอ+ นข4างมาก ฉะนั้นผคู4 วบคุมวงต4องใหค4 วามสำคัญเปน\
พเิ ศษ อกี ทัง้ ความกลมกลนื (Balance) เปน\ อีกเรือ่ งหนงึ่ ทตี่ 4องให4ความสำคญั เน่ืองจากหากเครื่องหน่ึงเครื่องใดดัง
เกินไปก็อาจจะสง+ ผลใหบ4 ทเพลงไม+มีความกลมกลืนและขาดสสี นั ของบทเพลงไป

ตวั อยา+ งของกลม+ุ เครอ่ื งดนตรีทีม่ หี น4าที่ในการดำเนินคอร_ด

77

ตัวอยา+ งของกลุ+มเครือ่ งดนตรีทม่ี ีหน4าทใ่ี นการดำเนนิ ทำนอง
บทเพลง Because of you กลุ+มเครื่องดนตรีที่เป\นแนวทำนองหลักคือกลุ+มเครื่อง Woodwind ฉะนั้นผ4ู
บรรเลง Woodwind ต4องมีความเข4าใจอัตราส+วนต+าง ๆ ของบทเพลงอย+างชัดเจน ซึ่งอัตราส+วนที่ควรจะให4
ความสำคญั และมกั เกดิ ปญ{ หาเปน\ ประจำกค็ ือรปู แบบจงั หวะเขบต็ สองชนั้ ดงั ต+อไปนี้

โดยผู4บรรเลงมักจะสับสนกับอัตราจังหวะเขบ็ตหนึ่งชั้น ฉะนั้นผู4ควบคุมต4องชี้แจ4งให4ผู4บรรเลงเข4าใจถึงความ
แตกต+าง และวิธีการบรรเลงที่ถูกตอ4 ง เพื่อให4การบรรเลงเป\นไปในทิศทางเดียวกนั ต4องตามคำร4อง และตามความ
ตอ4 งการของผเู4 รียบเรยี งจะเปลยี่ นแปลง Key Signature เปน\ Gmในห4องที่ 52 ทอ+ น F

78

กล+าวโดยรวมไดว4 +าบทเพลง Because of you เป\นบทเพลงที่เหมาะสำหรับผ4ูทีเ่ พิ่งเริม่ ต4นมาได4ในระดับ
หนึ่ง ซึ่งผู4บรรเลงต4องมีทักษะการฟ{งคอร_ดให4ชำนาญ ซึ่งสามารถฝrกการฟ{งเพื่อพัฒนาด4านโสตทักษะมากขึ้นจะ
สามารถชว+ ยใหก4 ารบรรเลงยิง่ ดขี นึ้ ไป นอกจากน้ีการเรยี บเรยี งสำหรบั วงซิมโฟนิกบทเพลงน้แี นวทำนองหลกั จะอยู+
ทีก่ ล+ุมเคร่ือง Woodwind โดยแยกไปตามแต+ละเคร่ือง เพ่ือใหเ4 กดิ สสี นั ทม่ี ีความหลากหลายมากย่งิ ขนึ้ ผเ4ู ลน+ ควรให4
ความสำคัญกับการเรื่อง Intonation เป\นสำคัญ เนื่องจากมีการนำเสนอแนวทำนองเดียวกันและระดับเสียง
เดียวกัน จากเครื่องหนึง่ ไปยังอีกเครื่องหนึ่ง ฉะนั้นสิ่งที่ต4องให4ความสำคัญเป\นอย+างย่ิงคอื เรือ่ ง Intonation ซึ่งผู4
เลน+ ตอ4 งมคี วามแม+นยำ เพือ่ ให4เกดิ ความราบร่ืนของแนวทำนองของทง้ั ชว+ งนแี้ ละฟง{ ดนู +าสนใจมากยงิ่ ข้นึ

ฉะนั้นการฝrกซอ4 มบทเพลงน้ีก็จะมแี นวทางทคี่ ล4าย ๆ กับบทเพลงในข4างต4นเพียงแตจ+ ะเพมิ่ ให4ผบ4ู รรเลงควร
จะได4ฟ{งเพลงจากต4นฉบับแทรกเข4าไปจะทำให4ผู4บรรเลงเข4าใจวิธีการบรรเลงและสามารถตีความบทเพลงและสือ่
อารมณ_ออกมาไดส4 มบูรณแ_ บบมากยิ่งขึน้

79

อา้ งอิง

เครือ่ งดนตรี
https://usa.yamaha.com/products/musical_instruments/percussion/chimes/index.html
Marching band
https://www.shutterstock.com/search/marching+band+instruments
https://en.m.wikipedia.org/wiki/Marching_band
Marimba https://www.thomann.de/gb/adams_mspvt43_thomann_marimba_a442.htm
Timpani
https://www.interstatemusic.com/55923-Ludwig-Standard-Polished-Copper-23-And-quot-26-And-
quot-29-And-quot-and-32-And-quot-Timpani-Set-with-Tuning-Gauges-LKS404PG.aspx
Tuba http://www.b-and-s.com/en/instruments/c-tubas/3098l/
Tam Tam https://www.thomann.de/gb/thomann_wuhan_tam_tam_110.htm

80

บรรณานุกรม
Miller, Hugh M. 1978. Introduction to Music. (2nd Ed.) New York: Barnes and Noble

Books.
Malm, William P. 1967. Music Cultures of the Pacific, the Near East, and Asia.

Englewood Cliff, NJ: Prentice-Hall.
โกวทิ ย์ ขันธศริ .ิ (2550). ดรุ ิยางคศิลป์ตะวันตก ( เบอื งตน้ ). กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณฯ์ .
ไขแสง ศขุ ะวัฒนะ. (2554). สงั คตี นิยม ว่าดว้ ยเครื่องดนตรขี องวงดุริยางค์ (พิมพค์ รงั้ ท่ี 2).

กรุงเทพ-มหานคร: จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .
ณฐั ศรณั ย์ ทฤษฎิคุณ. 2555. การฝึกซอ้ มวงซมิ โฟนิก แบนด์ ระดบั มธั ยมศกึ ษา เพอื การประกวด,

วทิ ยานิพนธ์ระดับปริญญาโท, วทิ ยาลยั ดุริยางคศลิ ป์ มหาวทิ ยาลัยมหิดล.
นิตนิ ยั พึ่งยา. 2554. แนวทางการฝึกซอ้ มเพ่อื พัฒนาคุณภาพเสียงรวมวงของวงซิมโฟนกิ แบนด์

นักเรียน, วทิ ยานิพนธร์ ะดับปรญิ ญาโท, คณะครุศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั .

81




Click to View FlipBook Version