The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สุนทรียภาพและสุนทรียรสในวรรณกรรม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Kowit Boonduang, 2020-09-29 22:02:34

สุนทรียทางภาษา

สุนทรียภาพและสุนทรียรสในวรรณกรรม

สุนทรียภาพและสุนทรียรสในวรรณกรรม

สุนทรียะของคำประพนั ธ์ไทยหรือรสของวรรณคดี
วิเชียร เกษประทุม ไดก้ ล่ำวถึงควำมหมำยและองคป์ ระกอบ

สุนทรียะของคำประพนั ธ์ไทยไวใ้ นหนงั สือลกั ษณะคำประพนั ธ์ไทย
สรุปดงั น้ี

ความหมายของสุนทรียะ

สุนทรียะ หมำยถึง ควำมนิยมในควำมงำมของคำประพนั ธ์
อนั เป็ นเครื่องทำให้เกิดควำมสะเทือนอำรมณ์อนั ไดแ้ ก่ ควำมสุข
อิ่มเอมใจ ควำมเบิกบำน สำรำญอำรมณ์

ลกั ษณะองค์ประกอบสุนทรียะของคาประพนั ธ์

สุนทรียะของคำประพนั ธม์ ีองคป์ ระกอบ 2 ประกำร ดงั น้ี
1. สุนทรียรูป คือ ฉันทลกั ษณ์ท่ีเหมำะสม ไดแ้ ก่กำรเลือกใชร้ ูปแบบของคำ

ประพนั ธ์ให้เหมำะสมกบั เน้ือหำ และอำรมณ์ที่ผูแ้ ต่งตอ้ งกำรสื่อ รวมท้งั ควำมถูกตอ้ ง
ตำมแบบแผนของคำประพนั ธท์ ี่ใชด้ ว้ ย

2. สุนทรียรส คือ กระบวนกำรพรรณนำท่ีเหมำะสม ไดแ้ ก่ควำมงำมในดำ้ น
กระบวนกำรพรรณนำ หรื อควำมงดงำมในด้ำนอำรมณ์สะเทือนใจ อันเกิดจำก
กระบวนกำรพรรณนำ และกลวิธีในกำรประพนั ธ์ ซ่ึงแบ่งไดต้ ำมที่มำเป็ น 2 ลกั ษณะ
ดงั น้ี

2.1 รสของวรรณคดีไทย มี 4 รส ได้แก่

1) เสำรจนี คือ บทชมโฉม ซ่ึงหมำยถึงกำรชมควำมงำม
2) นำรีปรำโมทย์ คือ บทเก้ียว บทโอโ้ ลม เป็นรสแห่งควำมรักใคร่
3) พิโรธวำทงั คือ บทตดั พอ้ ต่อวำ่ หึงหวง โกรธ วำ่ กลำ่ วประชดประชนั
4) สลั ลำปังคพิไสย คือ บทโศกเศร้ำ คร่ำครวญ อำลยั อำวรณ์

ลำดวนเอ๋ยจะด่วนไปก่อนแลว้ ท้งั เกดแกว้ พิกลุ ยสี่ ุ่นสี
จะโรยร้ำงห่ำงกล่ินมำลี จำปี เอ๋ยกี่ปี จะมำพบ
(พระบำทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลำ้ นภำลยั )

2.2 รสวรรณคดีสันสกฤต มี 9 รส ได้แก่

1) ศฤงคำรส คือ รสแห่งควำมรัก 2) หำสยรส คือ รสแห่งควำมขบขนั

3) กรุณำรส คือ รสแห่งควำมเมตตำกรุณำ 4) รุทธรส คือ รสแห่งควำมโกรธเคือง

5) วีรรส คือ รสแห่งควำมเพียร และควำมกลำ้ หำญ 6) ภยำนกรส คือ รสแห่งควำมกลวั

7) พภี ติรส คือ รสแห่งควำมชงั ควำมรังเกียจ 8) อพั ภูตรส คือ รสแห่งควำมพิศวง ประหลำดใจ

9) ศำนติรส คือ รสแห่งควำมสงบ

2. การใช้โวหารในการแต่งคาประพนั ธ์
กลวิธีกำรเลือกใชถ้ อ้ ยคำให้เกิดควำมอลงั กำร หรือท่ีเรียกว่ำ
“วรรณศิลป์ ” ผูป้ ระพนั ธ์ตอ้ งใชก้ ลวิธีทำงศิลปะกำรใช้ภำษำ เพ่ือ
สร้ำงผลงำนให้มีคุณลกั ษณะดงั กล่ำว สุทธิวงศ์ พงส์ไพบูลย์ ได้
กล่ำวถึงกลวธิ ีทำงศิลปะกำรใชภ้ ำษำ อนั ทำใหผ้ ลงำนประพนั ธ์เกิด
ควำมอลงั กำรไดห้ ลำยวิธี ไวใ้ นหนงั สือวรรณคดีวิเครำะห์ สรุป
ได้ 3 วธิ ี ดงั น้ี

1. การใช้ภาษาให้เกดิ ความมชี ีวติ ชีวา สามารถทาได้ 6 วธิ ี ได้แก่

1.1 นำเอำธรรมชำติที่เด่นท่ีสุดของสิ่งน้นั มำพรรณนำ เช่น

เรือมำ้ หนำ้ มุ่งน้ำ แลน่ เฉ่ือยฉ่ำลำระหง
เพยี งมำ้ อำชำทรง องคพ์ ระพำยผำยผนั ผยอง

1.2 นาเอากริยาอาการของส่ิงมชี ีวติ มาเปรียบกบั ส่ิงที่ไม่มชี ีวติ เช่น

เรือมำฟองฟ่ องฟ้อน กลหงส์
จงั กดู ต่ำงตีนกวดั แกวง่ น้ำ
กำงโขดงยรรยงกล กำงปี ก
เสียงสมุทรล้ำฟ้อน ยำ่ นยำว

(กำสรวลโคลงด้นั )

1.3 นาเอากริยามาบอกกริ ิยาอาการแสดงให้เห็นถึงความมวี ญิ ญาณ เช่น

สตั ตบุษยบ์ วั แดงข้ึนแฝงฟัก พน้ ผกั พำดผำ่ นกำ้ นบุปผำ
แพงพวยพงุ่ พำดพนั สนั ตะวำ ลอยคงคำทอดยอดไปตำมธำร

(ขนุ ชำ้ ง- ขนุ แผน)

1.4 พรรณนาให้เห็นว่าสิ่งน้ัน ๆ เพง่ิ ผ่านพ้นลกั ษณะอย่างหน่ึงมา
ยงั มเี ค้ารอยให้เห็น เช่น

หมำกสุกชระลำยปลง ปลิดใหม่

(กำสรวลโคลงด้นั )

1.5 สวมวญิ ญาณให้กบั สิ่งไม่มวี ญิ ญาณ ประหนง่ึ ว่าส่ิงเหล่าน้ันมี
อารมณ์ และความรู้สึกนึกคดิ เหมือนคน เช่น

สำรสง่ั ทุกหยอ่ มหญำ้ ยำ่ นน้ำลำนำง

(นิรำศนรินทร์)

1.6 ใช้คาทสี่ ัมผสั ได้ด้วยประสาทต่าง ๆ (รูป รส กลน่ิ เสียง สัมผสั )
เช่น
ดวงประยงลงลบั อบั ไศล
อรุณไขขำวกระจ่ำงกลำงเวลำ

อุทยั ส่องแสงทองเรืองรองตำ ปักษำแซ่ซอ้ งจำกรังเรียง

มำนุคไพรไขขนั สนนั่ กอ้ ง ดุเหวำ่ ร้องไพเรำเสนำะเสียง

เรไรหมู่ภู่แมลงมีสำเนียง เสนำะเพียงขบั ขำนบรรสำนพณิ

(เงำะป่ ำ)

2. การใช้ภาษาให้เกดิ ภาพพจน์

คือกำรเลือกสรรถอ้ ยคำ หรือใชก้ ลวธิ ีกลำ่ วอยำ่ งแยบยล เพื่อเป็นกำรสรุปสำระหรือ
เพื่อขยำยให้ควำมลึกและกวำ้ งออกไป ทำให้สิ่งเขำ้ ใจยำกให้เขำ้ ใจง่ำยข้ึน ทำส่ิงท่ีสัมผสั
ไม่ไดใ้ หส้ ำมำรถสมั ผสั ได้ ทำใหข้ อ้ ควำมน้นั ๆ ชวนคิด ชวนจำ เป็นตน้ มี 10 วธิ ี ดงั น้ี

2.1 ใช้วธิ ีอุปมา อุปไมย

คือกำรยกย่องเอำส่ิงที่จะกล่ำวโดยตรงมำต้ัง(อุปไมย) แลว้ นำอีกสิ่งหน่ึงมำ
เปรียบเทียบ ไดแ้ ก่ อุปมำ ,ดุจ,กล,เฉก,เหมือน,คือ,รำว,ประดุจ,เพียง,เสมอ เป็ นต้น
ดงั ตวั อยำ่ ง เช่น

พระองคโ์ อภำสเพ้ยี ง ศศิธร

เสดจ็ ดุจเดือนขจร แจ่มฟ้ำ

ดวงดำวดำษอมั พร เรียงเรียบ

ดูดุจพลเจำ้ หลำ้ รอบลอ้ มเสดจ็ โดย

(ลิลิตพระลอ)

2.2 ใช้วธิ ีอุปลกั ษณ์

คือกำรใชเ้ น้ือควำมท่ียงั ไม่ไดแ้ ปลมำเปรียบเทียบ เป็นกำรเปรียบเทียบโดยนยั ให้
ตีควำมอีกที เช่น

เต่ำเต้ียดอกอยำ่ ต่อใหต้ ีนสูง มิใช่ยงู อยำ่ มำยอ้ มใหเ้ ห็นขนั
หิ่งหอ้ ยฤำจะแข่งแสงพระจนั ทร์ อยำ่ ป้ันน้ำใหห้ ลงตะลึงเงำ

(ขนุ ชำ้ ง-ขนุ แผน)

2.3 ใช้วธิ ีสาธกหรือเท้าความ

คือกำรเปรียบเทียบ โดยกำรนำเอำช่ือคน ช่ือตวั ละคร ชื่อสถำนท่ีหรือเหตุกำรณ์ ซ่ึงรู้จกั กนั ดีแลว้ มำอำ้ ง ทำ
ใหเ้ ขำ้ ใจไดร้ วดเร็ว ชดั เจนข้ึน เช่น

ถึงสำมเสนสืบนำมตำมสำเนียก เม่ือแรกเรียกสำมเสนท้งั กรุงศรี
ประชุมฉุดพทุ ธรูปในวำรี ไม่เคลื่อนที่ชลธำรบนั ดำลดิน
จึงสำปนำมสำมแสนเป็ นช่ือคุง้ เออชำวกรุงกลบั เรียกสำมเสนสิ้น
นี่หรือรักจกั มิน่ำเป็นรำคิน แต่ช่ือดินเจียวยงี กลำยเป็นหลำยคำ

(นิรำศพระบำท สุนทรภู่)

2.4 ใช้สัญลกั ษณ์

คือ กำรใชค้ ำมำเปรียบเทียบอยำ่ งกวำ้ ง ๆ ทว่ั ๆ ไป ไม่จำเพำะเจำะจงเหมือนวิธีอุปลกั ษณ์
เช่น

ปฏิกลู มูลกำกจะหอม นอบนอ้ มกนั ทวั่ หลำ้ น่ำขำ

ข้ีมีค่ำกวำ่ ทองคำ เลิศล้ำทุกส่ำสตั ยอ์ ศั จรรย์

วนั หน่ึงมนุษยจ์ ะโบยบิน ไปกินกบั พระเจำ้ บนสวรรค์

แลว้ ร้ือวมิ ำนทิพยน์ ้นั ฉบั พลนั มำทำเวจกฎุ ี

(มนุษยอ์ มตะ: องั คำร กลั ป์ ยำณพงศ)์

2.5 ใช้อธิพจน์

คือ กำรกลำ่ วเกินจริงเพอ่ื ใหเ้ ห็นอำรมณ์หรือควำมรู้สึกที่รุนแรง เช่น

จะเจบ็ จำไปถึงปรโลก ฤำรอยโศกรู้ร้ำงจำงหำย

จะเกิดก่ีฟ้ำมำตรมตำย อยำ่ หมำยวำ่ จะใหห้ วั ใจ

(เสียเจำ้ : องั คำร กลั ป์ ยำณพงศ)์

2.6 ใช้บุคลาธิษฐานเพื่อให้เกดิ ภาพพจน์

หมำยถึง กำรสมมุติใหส้ ่ิงที่กลำ่ วมีอำกปั กิริยำเหมือนมนุษย์ เช่น

ขอฝำกฝงู เทพไท้ ภูมินทร์

อำกำศพฤกษำสินธ์ ป่ ำกวำ้ ง

(ลิลิตพระลอ)

2.7 ใช้คาทม่ี คี วามหมายขดั แย้งกนั

หรือมีควำมหมำยตรงกนั ขำ้ มมำเคียงคู่กนั เช่น

ภายในสองนางชอบ บอกมิชอบภายนอก

(ลลิ ติ พระลอ)

ใชว้ ิธีถำมโดยไม่ตอ้ งกำรคำตอบ เช่น 2.8 ใช้คาถามยว่ั ให้ย้งั คดิ

เสียงฦำเสียงเล่ำอำ้ ง อนั ใด พีเ่ อย
เสียงยอ่ มยอยศใคร ทว่ั หลำ้
สองเขือพ่ีหลบั ใหล ลืมตื่น ฤำพี่
สองพคี่ ิดเองอำ้ อยำ่ ไดถ้ ำมเผอื

(ลิลิตพระลอ)

คอื การกลา่ วเปรยี บเปรยประชดประชนั เช่น 2.9 ใช้วธิ ีกล่าวประ

แมน้ มว้ ยดินสนิ้ ชายท่พี งึ เชย อยา่ มีคเู่ สียเลยจะดีกวา่
พ่พี ลอยรอ้ นใจแทนทกุ เวลา วาสนานอ้ งจะตอ้ งกนั

(อเิ หนา)

2.10 ใช้ถ้อยคาทม่ี รี สความ

คือ กำรใชถ้ อ้ ยคำที่เป็นภำษำกวีโดยตรง ซ่ึงไม่ใชใ้ นภำษำสำมญั ถอ้ ยคำเหล่ำน้นั เมื่อใช้
แลว้ ไดใ้ จควำมกวำ้ งขวำง กินใจ เช่น

ระลึกคมแหลมศร เนตรนอ้ ง

(นิรำศนรินทร์)

กีดบ่มีกิ่งฟ้ำ ฝำกนอ้ งนำงเดียว

(นิรำศนรินทร์)

3. กลวธิ ีการพรรณนาให้ผู้อ่านเกดิ จนิ ตภาพ

คือ ภำพอนั เกิดข้ึนจำกควำมคิดคำนึงของผอู้ ่ำน อนั เน่ืองมำจำกกำรพรรณนำนำ
ของผปู้ ระพนั ธ์ มี 5 วิธี ดงั น้ี

3.1 พรรณนำถึงสภำพปกติของธรรมชำติท่ีคนส่วนมำกมีประสบกำรณ์ร่วมซ่งึ ทำ
ใหผ้ อู้ ่ำนสำมำรถรำลึกถึงภำพอนั เกิดแต่กำรพรรณนำน้นั สมั พนั ธ์เชื่อมโยงกบั
ประสบกำรณ์เดิมของตน เช่น

รินรินหอมกลิ่นขำ้ ว น้ำนม

ยำมเม่ือฝนหยดุ ลม เร่ือยริ้ว

รื่นรื่นชื่นอำรมณ์ ชมเมลด็ ขำ้ วเอย

ตน้ สะบดั ใบพลิกพลิ้ว อ่อนคอ้ มคอรวง

(โครงพระรำชพธิ ีทวำมำส : กรมพระยำบำรำบปรปักษ)์

3.2 ใช้ศิลปะในการเลือกเฟ้น

คือ เลือกหยบิ ยกเอำลกั ษณะอนั เด่นชดั ของสิ่งน้นั มำพรรณนำ เช่น

ถดั ถึงกระถำงอำ่ งน้ำ ปลำทองวำ่ ยคล่ำเคลำ้ คลึงสม
พ่นนา้ ดาลอยถอยจม น่ำชมชกั คู่อยเู่ คียงกนั

บำ้ งแหวกจอกออกช่องภูเขำเคียง วดั เหวย่ี งแวง้ หำงระเหิดหนั

บำ้ งกินไคลไล่เคลำ้ พลั วนั ถดั น้นั แอกไถละไมงอน

(ขนุ ชำ้ ง-ขนุ แผน)

3.3 ใช้วธิ ีบ่งกริ ิยาอาการพเิ ศษ เช่น

นง่ั ยองยองมองดูแลว้ ปูผำ้ พนมมือเมินหนำ้ ท่ำแบกขวำน
รำวกบั จะรับศีลสมภำร พงั พำบกรำบกรำนท่ำนแม่ยำย

คร้ันชำ้ ไก่ขนั เรียก (สงั ขท์ อง : รัชกำลท่ี 2)
คร้ันธรจะทนั ไก่กระเหลียกตำดู
ไก่ค่อยผนั ค่อยผำย ระร่ำยตีนเดิน

(ลิลิตพระลอ)

3.4 ใช้วธิ ีทาให้สิ่งทหี่ ยุดน่ิงมอี าการเคลื่อนไหวเพราะมอี ื่นมากระทา เช่น

ใบโพธ์ิสุวรรณหอ้ ย ระยำบยอ้ ยบรุงรัง
ลมพดั กระดึงดงั เสนำะศพั ทอลเวง

(ปุณโณวำทคำฉนั ท)์

3.5 ใช้วธิ ีบรรยายกริ ิยาอาการสัมพนั ธ์เกยี่ วโยงแก่กนั เช่น

ไก่ป่ ำเจำ้ เสียงเต้ีย พำลกู เมียเข่ียหำกิน
เห็นคนก่นวิง่ บิน เขำ้ เร้นรอกซอกซอนหำย

(กำพยห์ ่อโคลงนิรำศธำรทองแดง)

3.คาไวพจน์

ราชบัณฑิตยสถาน1 ไดใ้ หค้ วามหมายคาไวพจนใ์ นพจนานุกรม ฉบับปี พ.ศ.
2525 สรุปไดว้ ่า คาไวพจน์ คือ คาท่ีเขียนต่างกนั แต่มีความหมายเหมือนกนั หรือกัน
หรอื ใกลเ้ คียงกนั เรยี กอีกอย่างหน่งึ ว่า คาพอ้ งความ เช่น คนกบั มนษุ ย์ บา้ นกบั เรอื น
รอกบั คอย ป่ากบั ดง เป็นตน้ เชน่ .....

พระเจำ้ แผน่ ดิน คำไวพจนห์ รือคำพอ้ งควำมปรำกฏ กษตั ริย,์ ทำ้ ว, ไท้ ,ธรณิศ,
ธรณิศร,ธเรศ , นเรศวร, บดินทร์, บพติ ร, ภูธร, ภูธเรศวร, ภูนำภ ....

ลิง คำไวพจน์หรือคำพอ้ งควำมท่ีปรำกฏ กบินทร์ , กบิล, กบ่ี, กเบนทร์, กปิ ,
กระบี่ ...

ดอกไม้ คำไวพจนห์ รือคำพอ้ งควำมที่ปรำกฏ มำลย์ , มำลำ, มำลี ,บุหงำ ,บุปผำ
,บุปผชำติ ,ผกำ ,พบู ,สะกำระ ...

ดอกบวั คำไวพจน์หรือคำพอ้ งควำมท่ีปรำกฏ กช , กมุท , กระมุท ,โกกนุท ,
โกเมศ ,ไกรพ,จงกลนี ,จงกล ....


Click to View FlipBook Version