The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยแม่-ก-กา-ป.1

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Taweephorn, 2023-11-15 02:38:53

วิจัยแม่-ก-กา-ป.1

วิจัยแม่-ก-กา-ป.1

การพัฒนาทักษะการอ่านสะกดค า แม่ ก กา โดยใช้แบบฝึกอ่าน ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ครู........................................................... ต าแหน่ง ............................. โรงเรียน...................................... ต าบล................ อ าเภอ................ จังหวัด.............. ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา................เขต ..... ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน


การพัฒนาทักษะการอ่านค ามาตราตัวสะกดโดยใช้การแบบฝึกอ่านสะกดค าแม่ ก กา ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ก คัดย่อ การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ พัฒนาความสามารถในการอ่านค าแม่ ก กา ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๑ โดยใช้แบบฝึกอ่าน เพื่อเปรียบเทียบผลด้านพัฒนาการทางด้านการอ่านของนักเรียนก่อน และหลังการใช้แบบฝึกอ่านมาตราตัวสะกด ผู้วิจัยได้สร้างแบบฝึกอ่านสะกดค าแม่ ก กา ซึ่งเป็นค าที่น ามาจากบัญชีค าพื้นฐานและพจนานุกรม ภาษาไทย ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ การด าเนินงานวิจัยโดยน าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านสะกดค าแม่ ก กา ไปทดสอบ กับนั กเ รี ยน ของนั กเ รี ยน กลุ่มป ร ะช า ก ร ซึ่งเ ป็นนั กเ รี ยน ชั้นป ร ะถมศึกษ าปีที่ ๑ โ รงเ รี ยน ................................................. จ านวน ๑๐ คน แล้วด าเนินการสอนนักเรียนกลุ่มประชากรด้วยแบบฝึกอ่าน สะกดค าแม่ ก กา จากนั้นจึงท าการทดสอบหลังเรียน แล้วน าคะแนนแบบฝึกและคะแนนหลังเรียนมา วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของแบบฝึกอ่านสะกดค าแม่ ก กา ผลการวิจัยปรากฏว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการทางการอ่านสะกดค าแม่ ก กา ของนักเรียนกลุ่มประชากร ก่อนเรียนและหลังเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ แสดงให้เห็นว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านสะกดค า แม่ ก กา ของนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย มีคะแนนความก้าวหน้า(เพิ่ม) เท่ากับ 1๘.๔๐ คิดเป็นร้อยละ ๙๒.๐๐


การพัฒนาทักษะการอ่านค ามาตราตัวสะกดโดยใช้การแบบฝึกอ่านสะกดค าแม่ ก กา ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ข กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านสะกดค าแม่ ก กา โดยใช้การแบบฝึกอ่านส าหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๑ ที่มีปัญหาด้านการอ่านสะกดค าแม่ ก กา รายวิชาภาษาไทย ส าเร็จลงด้วยดีโดยได้รับ ความร่วมมือช่วยเหลือและความอนุเคราะห์จากหลายฝ่าย ในโอกาสนี้ข้าพเจ้าขอขอบคุณ...................................... ผู้อ านวยการโรงเรียน ครูอาจารย์ โรงเรียน ......................................................... ที่ได้อนุญาตและอ านวยความสะดวกในการเก็บรวบรวมข้อมูลแก่ข้าพเจ้า ขอขอบคุณนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียน............................ ทุกคนที่ให้ความร่วมมือและ ตั้งใจร่วมกิจกรรมการเรียนการสอนตามกระบวนการวิจัยทุกขั้นตอนเป็นอย่างดี ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า แบบฝึกอ่านสะกดค าแม่ ก กา จะเป็นนวัตกรรมที่ช่วยพัฒนาทักษะทางภาษาไทยแก่ทุกท่านที่มีความสนใจ ครู...........................................


การพัฒนาทักษะการอ่านค ามาตราตัวสะกดโดยใช้การแบบฝึกอ่านสะกดค าแม่ ก กา ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ค สารบัญ หน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ข สารบัญ ค ๑. ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา ๑ ๒.วัตถุประสงค์ของการวิจัย ๑ ๓.ขอบเขตการวิจัย ๑ ๔.สมมติฐาน ๑ ๕.นิยามศัพท์เฉพาะ ๒ ๖.ประโยชน์ที่จะได้รับจากการวิจัย ๒ ๗.เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ๒ ๘.วิธีด าเนินการวิจัย ๗ ๘.๑ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ๘.๒ เครื่องมือในการวิจัย ๘.๓ การเก็บรวบรวมข้อมูล ๘.๔ การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ ๙. ผลการใช้ ๙ ๑๐. อภิปรายผล ๑๐ ๑๑.ข้อเสนอแนะ ๑๑ ๑๒.เอกสารอ้างอิง ๑๑ ๑๓.นวัตกรรมที่ใช้ ๑๒ ๑๔.ประวัติผู้วิจัย ๑๒ ๑๕.ภาพผนวก ๑๓


การพัฒนาทักษะการอ่านค ามาตราตัวสะกดโดยใช้การแบบฝึกอ่านสะกดค าแม่ ก กา ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ๑ การพัฒนาทักษะการอ่านสะกดค า แม่ ก กา โดยใช้แบบฝึกอ่าน ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ๑. ความเป็นมาของปัญหา ภาษาไทยเป็นวัฒนธรรมของมนุษย์ที่เป็นเครื่องหมายแสดงถึงความเป็นชาติ ในอีกรูปแบบหนึ่งที่ แตกต่างจากชาติอื่น แสดงถึงความเป็นเอกราช ความเจริญและประสบการณ์ ที่ได้สั่งสมมาเป็นระยะเวลาอัน ยาวนาน ตั้งแต่ครั้งประวัติศาสตร์ ภาษาไทยจึงได้พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ จนเป็นสมบัติของชาติและของมนุษย์ แต่เป็นสมบัติที่ต้องมีการเรียนรู้ มีการถ่ายทอดและมีการศึกษา ภาษาไทยจึงถือเป็นภาษาประจ าชาติที่แสดงถึง ความเป็นเอกราช และความมีวัฒนธรรมของชาติไทย อีกทั้งยังเป็นภาษาที่มีลักษณะเฉพาะเป็นของตนเอง นอกจากนี้ภาษาไทยยังเป็นสื่อที่แสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ทักษะการอ่านของภาษาไทยเป็นทักษะหนึ่งที่มีความส าคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าทักษะด้านอื่นๆ ในการ ใช้ภาษาไทย เพราะทักษะการอ่านนั้นถือได้ว่าเป็นสิ่งจ าเป็น มีความส าคัญต่อ การเรียนรู้ของนักเรียนอย่าง ต่อเนื่อง ทักษะการอ่านจึงเป็นองค์ประกอบที่ส าคัญของการสื่อสาร เป็นทักษะที่ต้อง เอาใจใส่ ฝึกฝนอย่าง จริงจัง เพื่อให้เกิดความรู้ความช านาญ และไม่ให้เกิดการผิดพลาดในการอ่าน การอ่านเป็นส่วนหนึ่งของ กิจกรรมประจ าวันส าคัญอย่างหนึ่งของบุคคล ผู้ที่มีประสิทธิภาพในการอ่านสารต่างๆ ได้ดี ย่อมด ารงชีวิตอยู่ใน สังคมได้อย่างราบรื่นและเป็นสุข จากการจัดการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยในชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ พบว่านักเรียน ส่วนใหญ่มีปัญหาในเรื่องการอ่านค ามาตราตัวสะกด ส่งผลให้นักเรียนอ่านและเขียนค ามาตราตัวสะกด ไม่ ถูกต้อง ดังนั้น ผู้วิจัยซึ่งเป็นครูผู้สอนกลุ่มสาระภาษาไทยในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ จึงมีความสนใจที่จะ พัฒนาแบบฝึกอ่านค ามาตราตัวสะกด ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ เพื่อพัฒนาความสามารถในการ อ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มสูงขึ้น และช่วยให้การเรียนการสอนมีความ น่าสนใจมากขึ้น อันจะส่งผลให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาของบทเรียนได้มากยิ่งขึ้น และส่งเสริมให้ นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทยด้านการอ่านเพิ่มสูงขึ้น ๒.วัตถุประสงค์ในการวิจัย เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านสะกดค าแม่ ก กา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ โดยใช้การ แบบฝึกอ่านสะกดค าแม่ ก กา ๓.ขอบเขตการวิจัย ๓.๑ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียน.......................................................................... จ านวน ๑๐ คน ๓.๒ แบบฝึกอ่านสะกดค าแม่ ก กา ๓.๓ แบบทดสอบการอ่าน ก่อน และ หลัง ๔. สมมติฐาน การให้นักเรียนฝึกอ่านตามแบบฝึกอ่าน ท าให้นักเรียนสามารถอ่านสะกดค าแม่ ก กา ได้อย่างถูกต้อง ๕. นิยามศัพท์เฉพาะ ๕.๑ แบบทดสอบการอ่าน หมายถึง เครื่องมือที่ใช้ในการวัดและประเมินการอ่านของนักเรียน ๕.๒ แบบฝึกอ่าน หมายถึง แบบฝึกอ่านสะกดค าแม่ ก กา


การพัฒนาทักษะการอ่านค ามาตราตัวสะกดโดยใช้การแบบฝึกอ่านสะกดค าแม่ ก กา ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ๒ ๖. ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย ๖.๑ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ สามารถอ่านสะกดค าแม่ ก กา ได้ถูกต้อง ๖.๒ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ มีความมั่นใจในการอ่านสะกดค าแม่ ก กา เพิ่มมากขึ้น ๗. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เอกสารเกี่ยวกับหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาภาษาไทย พุทธศักราช 2551 ความส าคัญของภาษาไทย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มีดังนี้ (กรมวิชาการ, 2551 : 2 -5) วิสัยทัศน์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นก าลังของชาติให้ เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตส านึกใน ความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพล โลกยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะ พื้นฐาน รวมทั้งเจตคติ ที่จ าเป็นต่อการศึกษาต่อการประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียน เป็นส าคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ภาษาไทย สาระและมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ประกอบด้วย (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551 : 7) สาระที่ 1 : การอ่าน มาตรฐาน ท 1. : ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดไปใช้ตัดสินใจแก้ปัญหา และสร้าง วิสัยทัศน์ในการด ารงชีวิต และมีนิสัยรักการอ่าน สาระที่ 2 : การเขียน มาตรฐาน ท 2.1 : ใช้กระบวนการเขียน เขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเรื่องราวใน รูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมีประสิทธิภาพ สาระที่ 3 : การฟัง การดู และการพูด มาตรฐาน ท 3.1 : สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด ความรู้สึกในโอกาสต่าง ๆ อย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์ สาระที่ 4 : หลักการใช้ภาษา มาตรฐาน ท 4.1 : เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทยการเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลัง ของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษาและรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ มาตรฐาน ท 4.2 : สามารถใช้ภาษาแสวงหาความรู้ เสริมสร้างลักษณะนิสัยบุคลิกภาพ และ ความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับวัฒนธรรม อาชีพ สังคม และชีวิตประจ าวัน สาระที่ 5 : วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท 5.1 : เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดี และวรรณกรรมไทยอย่างเห็น คุณค่า และน ามาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ธรรมชาติของภาษาไทย ภาษาไทยเป็นเครื่องมือการสื่อสารเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันและตรงตามจุดมุ่งหมายในการแสดง ความคิด ความรู้สึก และความต้องการ ค าในภาษาไทยย่อมประกอบด้วย รูปพยัญชนะ เสียง สระ วรรณยุกต์ และความหมาย ส่วนประโยคเป็นการเรียนค าตามหลักเกณฑ์ของภาษาและประโยคหลายประโยคเรียงกันเป็น


การพัฒนาทักษะการอ่านค ามาตราตัวสะกดโดยใช้การแบบฝึกอ่านสะกดค าแม่ ก กา ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ๓ ข้อความ นอกจากนั้นค าภาษาไทยยังมีเสียงหนักเบา มีระดับของภาษา ซึ่งต้องใช้ให้เหมาะแก่กาลเทศะและ บุคคล ภาษาย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ตามสภาพวัฒนธรรมของกลุ่มคนตามสภาพของสังคมและ เศรษฐกิจ การใช้ภาษาเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนให้เกิดความช านาญไม่ว่าจะเป็นการอ่าน การเขียน การพูด การ ฟัง และการดูสื่อต่าง ๆ รวมทั้งต้องใช้ให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ทางภาษา เพื่อสื่อสารให้เกิดประสิทธิภาพ และ ใช้อย่างคล่องแคล่ว มีวิจารณญาณและมีคุณธรรม เอกสารเกี่ยวกับอ่านคิดวิเคราะห์ 1 ความหมายของการอ่าน สุนันทา มั่นเศรษฐวิทย์ (2545 : 2) ได้ให้นิยามการอ่านมีความหมายหลายอย่างขึ้นอยู่กับผู้สนใจ และผู้ที่เกี่ยวข้องว่า จะให้ความหมายอย่างไร นักการศึกษาจะพิจารณาความหมายของการอ่านด้านการเรียน การสอนของครู ส่วนนักจิตวิทยาจะพิจารณาถึงความพร้อม การรับรู้ความต้องการ และความสนใจของผู้เรียน และนักภาษาศาสตร์จะพิจารณาการอ่านเกี่ยวกับตัวอักษร ค า ประโยค และข้อความ ด้วยเหตุนี้ครูภาษาไทย จึงควรพิจารณา การอ่าน หลายด้านเพื่อประโยชน์ของการจัดกิจกรรมการสอนให้เหมาะกับนักเรียน รักษ์สุดา ทรัพย์มาก (2548 : 29) กล่าวว่า การอ่านเป็นกระบวนการสื่อความหมายระหว่างผู้เขียน กับผู้อ่าน โดยแปลความหมายจากตัวอักษรหรือลักษณ์ให้ได้ความหมายที่ถูกต้องชัดเจน การอ่านจึงเป็นทักษะ ที่ส าคัญที่ใช้เป็นเครื่องมือพื้นฐานในการเรียนทุกระดับชั้นในห้องเรียนและนอกห้องเรียนเพราะการอ่านเป็น ทักษะเดียวที่ผู้เรียนจะรักษาไว้ตลอดไปและคงอยู่กับผู้เรียนได้นานที่สุดและเป็นเครื่องมือแสวงหาความรู้ ธนวรรณ เทียนเจษฎา (2548 : 13) สรุปไว้ว่า การอ่าน หมายถึง การแปลความหมายของตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ที่มีการจดบันทึกไว้เพื่อจับใจความ แปลความ ตีความ ขยาย ความ โดยการผสมผสานระหว่าง ความมุ่งหมายของผู้เขียนกับประสบการณ์เดิมของผู้อ่าน และน าข้อความรู้ความคิดมาได้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ สรุปได้ว่า การอ่านเป็นกระบวนการทางสมอง เพื่อรับรู้และเข้าใจความหมายของค าหรือสัญลักษณ์ โดยแปลออกมาเป็นความหมายที่ใช้สื่อความคิดและความรู้ระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่านให้เข้าใจตรงกัน และผู้อ่าน สามารถน าเอาความหมายนั้น ๆ ไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ 2 จุดมุ่งหมายการอ่าน จุดมุ่งหมายของการอ่าน ย่อมแตกต่างกันไปในทุกครั้งที่อ่าน ซึ่งการอ่านครั้งหนึ่ง ๆ อาจมีจุดมุ่งหมาย อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง ดังนี้ พนิตนันท์ บุญพามี (2542 : 11-12) ได้สรุปจุดมุ่งหมายของการอ่าน 5 ประการดังนี้ 1. อ่านเพื่อความรู้ เหมาะส าหรับผู้รักความก้าวหน้าและเป็นการส่งเสริมผู้อ่านให้มีความรอบรู้ในเรื่อง ตนสนใจ ซึ่งมีจุดประสงค์ 5 ประการ ได้แก่ 1.1 เพื่อหาค าตอบในเรื่องที่ต้องการหรือเรื่องที่ยังมีข้อสงสัย และเป็นปัญหาข้องใจ 1.2 เพื่อศึกษาหาความรู้ โดยละเอียดหรือโดยย่อ 1.3 เพื่อรับรู้ข่าวสาร ข้อเท็จจริง เพื่อให้ทราบและเข้าใจเหตุการณ์ปัจจุบัน 1.4 เพื่อศึกษาค้นคว้าเป็นพิเศษ เป็นการเพิ่มพูนความรู้ทั่วไปและความรู้ในสาขาวิชาชีพต่าง ๆ 1.5 เพื่อรวบรวมข้อมูลมาท ารายงานหรือท าวิจัยเผยแพร่ในหมู่นักวิชาการอันจะเป็น ประโยชน์แก่ประเทศชาติ 2. อ่านเพื่อเกิดความคิด ความคิดของคนจะเจริญงอกงามได้ต้องอาศัยการกระตุ้นเตือนให้ใฝ่คิด การ มองเห็นรอบด้าน ช่วยให้มีทรรศนะกว้างขวางขึ้น ช่วยให้การแสดง ความคิดเห็นและตัดสินใจได้ดี มี ข้อบกพร่องน้อย


การพัฒนาทักษะการอ่านค ามาตราตัวสะกดโดยใช้การแบบฝึกอ่านสะกดค าแม่ ก กา ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ๔ 3. การอ่านเพื่อเข้าใจแนวคิดที่ส าคัญ เป็นการจัดล าดับชั้นแนวคิดของผู้เขียนพร้อมทั้งพิจารณาหา เหตุผล และแรงจูงใจในการเขียนเรื่องนั้น ๆ ขึ้นมา ขณะเดียวกันก็เป็นชนวนให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ในตัว ผู้อ่านด้วย 4. อ่านเพื่อความบันเทิง เป็นการอ่านเพื่อการพักผ่อน คลายความเครียดจากงานประจ า ในบางครั้งก็ อ่านเพื่อฆ่าเวลาหรือใช้เวลาให้หมดไป มักเป็นจุดมุ่งหมายของอ่านหนังสือประเภทร้องกรอง นวนิยาย เรื่องสั้น นิทาน บทละคร เป็นต้น ซึ่งงานเขียนเหล่านี้มีคุณค่าต่อการพัฒนาความรู้สึก พัฒนาอารมณ์ ตลอดจนความ สะเทือนใจในระดับต่าง ๆ 5. อ่านเพื่อปรับบุคลิกภาพ การอ่านสามารถพัฒนาความรู้ สติปัญญา ความคิดและทัศนคติได้ดี โดยเฉพาะการอ่านเพื่อวิพากษ์วิจารณ์ ผู้รักการอ่านจะเป็นคนทันสมัย มีความรู้กว้างขวาง น่าคบหาสมาคม เพราะมีข่าวสารแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน วัฒนา คัชมาตย์ (2544 : 88) ได้สรุปเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของการอ่านหลายประการ ดังนี้ 1. อ่านเพื่อต้องการศึกษาหาความรู้ 2. อ่านเพื่อหาค าตอบในสิ่งที่ต้องการ 3. อ่านเพื่อทดสอบความเข้าใจ 4. อ่านเพื่อแสดงความคิดเห็น 5. อ่านเพื่อปฏิบัติตามค าแนะน า 6. อ่านเพื่อวิจารณ์ 7. อ่านเพื่อความบันเทิง สมพร จารุนัฏ (2549 : 46-62) กล่าวโดยสรุปเกี่ยวกับความมุ่งหมายของการอ่านว่าการตั้งค าถาม แบบเปิดว่า ใคร ท าอะไร ที่ไหน อย่างไร เป็นวิธีการก าหนดจุดมุ่งหมายใน การอ่านที่ดี เวลาอ่านเรื่องอะไรก็ ตามควรพยายามแปลงหัวเรื่องเป็นค าถามให้ติดเป็นนิสัยบางคนอาจเขียนค าถามไว้ข้าง ๆ หัวข้อเรื่อง การตั้ง ค าถามก่อนการอ่านในลักษณะเช่นนี้ช่วยให้เรามีจุดมุ่งหมายในการอ่าน สรุปว่าจุดมุ่งหมายของการอ่านที่กล่าวมา ทั้งจุดมุ่งหมายทั่วไปและจุดมุ่งหมายเฉพาะย่อมมีบทบาท ส าคัญส าหรับใช้ก าหนดแนวทางของการอ่านในปัจจุบัน การรู้จักเลือกให้เหมาะสมกับเวลา โอกาส และ ลักษณะของนักเรียนแต่ละคน ก็จะช่วยให้การอ่านประสบผลส าเร็จตามจุดมุ่งหมายที่ต้องการ เอกสารเกี่ยวกับการสอนแบบบัตรค าศัพท 1 ความหมายของบัตรค าศัพท อัจฉรา ชีวพันธ์ และคนอื่น ๆ (2532 : 48) ได้กล่าวว่า แบบฝึกหมายถึง สิ่งที่สร้างขึ้นเพื่อ เสริมสร้างความเข้าใจ ตามแนวของหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการ และเสริมเพิ่มเติมเนื้อหาบางส่วน ช่วยให้ นักเรียนน าความรึความเข้าใจไปใช้ได้อย่างแม่นย าถูกต้องและคล่องแคล่ว พรสวรรค์ ค าบุญ (2534 : 17) กล่าวถึงแบบฝึกว่า คือสิ่งที่สร้างขึ้นเพื่อเสริมสร้างทักษะให้ นักเรียน มีลักษณะเป็นแบบฝึกที่มีกิจกรรมให้นักเรียนกระท า วิไลวรรณ อินทร์เชื้อ (2536 : 22) กล่าวว่า แบบฝึกเป็นอุปกรณ์การเรียนการสอนอย่างหนึ่งที่ สร้างขึ้นเพื่อให้นักเรียนได้ฝึกเพิ่มพูนทักษะในด้านต่าง ๆ โดยมีลักษณะเป็นแบบฝึกที่มีกิจกรรมให้นักเรียน กระท า ส านักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2537 : 147) ให้ความหมายว่าแบบฝึก หรือ แบบฝึกหัด หรือแบบฝึกเสริมทักษะ เป็นสื่อการเรียนประเภทหนึ่งส าหรับให้นักเรียนปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความรู้


การพัฒนาทักษะการอ่านค ามาตราตัวสะกดโดยใช้การแบบฝึกอ่านสะกดค าแม่ ก กา ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ๕ ความเข้าใจ และทักษะเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่หนังสือเรียนจะมีแบบฝึกหัดอยู่ท้ายบทเรียน ในบางวิชาแบบฝึกหัดจะ มีลักษณะเป็นแบบฝึกปฏิบัติ จากข้อความดังกล่าวสรุปได้ว่า แบบฝึกเสริมทักษะ หมายถึง เครื่องมือหรือสื่อการเรียนการ สอนอย่างหนึ่งที่สร้างขึ้น เพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้จากการปฏิบัติด้วยตนเอง เพื่อฝึกทักษะเพิ่มเติมหลัก จากที่ได้เรียนเนื้อหาจากบทเรียนไปแล้ว โดยมีลักษณะเป็นแบบฝึกที่มีกิจกรรมให้นักเรียนกระท าเพื่อให้ สามารถน าประสบการณ์จากแบบฝึกไปใช้ได้อย่างถูกต้อง คล่องแคล่ว 2 ความส าคัญของแบบฝึกเสริมทักษะ เชาวนี เกิดเพทางค์ (2524 : 23) ได้กล่าวถึงความส าคัญของแบบฝึกเสริมทักษะไว้ว่า แบบฝึกทักษะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ ท าให้เกิดความสนใจ และช่วยให้ครูทราบผลการเรียนของ นักเรียนได้ทันที กมล ดิษฐกมล (2526 : 18) กล่าวว่า แบบฝึกเสริมทักษะเป็นหัวใจของการสอนวิชา ทักษะอยู่ที่การฝึก การฝึกอย่างถูกวิธีเท่านั้นจะท าให้เกิดความช านาญ แคล่วคล่องว่องไวและท าได้โดยอัตโนมัติ วีระ ไทยพานิช (2528 : 11) ได้อธิบายว่า แบบฝึกเสริมทักษะท าให้เกิดการเรียนรู้จาก การกระท าจริง เป็นประสบการณ์ที่ผู้เรียนมีจุดประสงค์แน่นอน ท าให้สามารถรู้และจดจ าสิ่งที่เรียนได้ดี จนน าไปใช้ในสถานการณ์เช่นเดียวกันได้ จากความส าคัญของแบบฝึกเสริมทักษะที่กล่าวมาข้างต้น จึงสรุปได้ว่า แบบฝึกเสริมทักษะ เป็นเครื่องมือที่ส าคัญ ที่จะช่วยให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนสูงขึ้น แบบฝึกเสริมทักษะจึงนับว่า มีความส าคัญและจ าเป็นต่อการเรียนวิชาที่ต้องการฝึกเพื่อให้เกิดความช านาญ มีความเข้าใจเนื้อหาบทเรียน มากยิ่งขึ้น เอกสารเกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain based Learning : BBL) การจัดกระบวนการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain-based learning) ในศตวรรษที่ 21 เริ่ม เด่นชัดและมีความส าคัญเป็นอย่างมาก Brain based learning เป็นที่รู้จักในวงการการศึกษาไทย กระทรวงศึกษาธิการเองก็มีนโยบายให้มีการจัดการศึกษาในแนวทางนี้เป็นแนวทางหลักที่ใช้ในโรงเรียน คนเรา จะเกิดมาฉลาดหลักแหลมหรือเป็นคนโง่ทึ่มนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง แต่ปัจจัยที่ส าคัญที่สุดยังคงเป็น "สมอง" เพราะสมองเป็นตัวที่จะรับรู้และสั่งการ ท าให้เรามีความคิดและการกระท า ถ้าปราศจากการสั่งการ จากสมองแล้ว เราคงจะท าอะไรไม่ได้เลย 1 ความหมายของการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน แนวการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญตามหลักการของสมองกับการเรียนรู้ การเรียนรู้ต้องใช้ ทุกส่วนทั้งการคิด ความรู้สึกและการลงมือปฏิบัติไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งเป็นการสรุปความรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้ 2 พื้นฐาน 3 ข้อของการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain based Learning: BBL) 1.การท าให้เด็กเกิดการตื่นตัวแบบผ่อนคลาย - การสร้างบรรยากาศให้เด็กไม่รู้สึกเหมือนถูกกดดัน แต่ มีความท้าทาย ชวนให้ค้นคว้าหาค าตอบ 2.การท าให้เด็กจดจ่อในสิ่งเดียวกัน - การใช้สื่อหลาย ๆ แบบ รวมทั้งการยกปรากฏการณ์จริงมาเป็น ตัวอย่าง และการเปรียบเทียบให้เห็นภาพ - การเชื่อมโยงความรู้หลาย ๆ อย่าง - การอธิบายปรากฏการณ์ด้วย ความรู้ที่เด็กได้รับ 3.ท าให้เกิดความรู้จากการกระท าด้วยตนเอง - การให้เด็กได้ลงมือทดลอง ประดิษฐ์ หรือได้เล่า ประสบการณ์จริงที่เกี่ยวข้อง


การพัฒนาทักษะการอ่านค ามาตราตัวสะกดโดยใช้การแบบฝึกอ่านสะกดค าแม่ ก กา ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ๖ 3 กุญแจ 5 ดอก ก้าวสู่BBL กุญแจดอกที่ 1 สนามเด็กเล่น เปลี่ยนสนามเด็กเล่น เพื่อพัฒนาสมองน้อยและไขสันหลังให้แข็งแกร่ง เมื่อเด็กออกก าลังกายร่างกาย จะส่งเลือดไปเลี่ยงสมองมากขึ้น ท าให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพ Make จัดท าสนามที่มีฐานหลากหลาย ให้เด็กได้วิ่ง ปีน โหน ลอด กระโดด ฯลฯ และมีวัสดุกัน กระแทก Move จัดเวลาให้เด็กได้เล่นสนามวันละ 20 - 30 นาที ทุกวัน โดยมีคุณครูคอยดูแลอย่างใกล้ชิด กุญแจดอกที่ 2 ห้องเรียน เปลี่ยนห้องเรียน เพื่อเปลี่ยนสมองของเด็กสิ่งแวดล้อมที่แปลกใหม่ มีความเข้มข้น มีสีสันจะช่วย กระตุ้นให้เด็กสามารถเรียนรู้และจดจ าเนื้อหาที่เรียนได้ดีขึ้น Color ปรับปรุงห้องเรียน ทาสีผนังหรือน าฟิวเจอร์บอร์ดสีมาติดผนัง และทาสีโต๊ะเก้าอี้ Corner จัดมุมอ่านไว้ในห้องเรียนทุกห้อง Clean ทิ้งของที่ไม่ใช้ในห้องเรียน จัดวางอุปกรณ์และสื่อต่างๆ ไว้บนชั้นให้เป็นระเบียบ Clear รื้อบอร์ดเก่าที่ไม่มีประโยชน์ทิ้งไป แล้วน าความรู้ที่มีประโยชน์มาจัดบอร์ด กุญแจดอกที่ 3 กระบวนการเรียนรู้ กระตุ้นกระบวนการเรียนรู้ของเด็ก โดยใช้กิจกรรมต่างๆ ในการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้สมอง ของเด็กตื่นตัว สนใจ ท้าทายการคิด ค้นหา ลองผิด ลองถูก เรียนรู้ และจดจ า One กระตุ้นสมองน้อย ด้วยกิจกรรม "ขยับกาย ขยายสมอง" ทุกๆด้านต้นชั่วโมง TWo กระตุ้นสมองทั้งสองซีก โดยใช้บทเพลงและบทกลอน และกิจกรรมที่สนุกสนานช่วยในการ สอนภาษาและคณิตศาสตร์ Four กระตุ้นสมองทั้งสี่ส่วน โดยจัดกิจกรรมให้นักเรียนได้เห็นภาพ ได้รับรู้ผ่านการได้ยินเสียงได้ เคลื่อนไหว และได้ใช้ประสาทสัมผัส กุญแจดอกที่ 4 หนังสือเรียน ใช้หนังสือและใบงาน ที่ได้รับการออกแบบให้สอดคล้องกับการท างานของสมอง เพื่อช่วยกระตุ้น สมองของนักเรียน ฝึกให้เด็กคิดที่ละขั้นตอน และน าทักษะและความรู้ในแต่ละขั้น มาประกอบกันเป็นความ เข้าใจ (concept) ในที่สุด Brainy Books จัดหาหนังสือเรียน และหนังสืออ่านเพิ่มเติมต่างๆ ที่จะกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ อย่างมีคุณภาพ Brainy Worksheets จัดท าใบงานตามหลักการ BBL ที่มี road map น านักเรียนสู่ความส าเร็จ กุญแจดอกที่ 5 สื่อและนวัตกรรมการเรียนรู้ ใช้สื่อและนวัตกรรมที่แปลกใหม่ น่าตื่นเต้น และมีสีสัน และมีจ านวนเพียงพอส าหรับนักเรียนทุกคน เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยในการเรียนรู้ และกระตุ้นให้เด็กรู้สึกสนุกสนาน พึงพอใจ เกิดความตั้งใจที่จะเรียนรู้ เนื้อหาที่ซับซ้อน Learning Tools จัดหาสื่อ เคร่ืองมือ และอุปกรณ์ที่จ าเป็นส าหรับกิจกรรมการเรียนรู้ Learning Board จัดหากระดานเคลื่อนที่ ส าหรับห้องเรียนชั้นอนุบาลและประถมทุกห้อง Learning Cards จัดหาบัตรภาพ บัตรค า เพื่อใช้ประกอบการสอน


การพัฒนาทักษะการอ่านค ามาตราตัวสะกดโดยใช้การแบบฝึกอ่านสะกดค าแม่ ก กา ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ๗ ๘.วิธีการด าเนินงานวิจัย ๘.๑ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง/แหล่งข้อมูล ประชากร นักเรียนโรงเรียน...................................... กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ จ านวน ๑๐ คน ๘.๒ เครื่องมือในการวิจัย แบบทดสอบการอ่านก่อนเรียน-หลังเรียน แบบฝึกอ่านสะกดค าแม่ ก กา ๘.๓ การเก็บรวบรวมข้อมูล การใช้แบบฝึกอ่านสะกดค าแม่ ก กา ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ด าเนินการ ดังนี้ ๑.๑ ทดสอบการอ่านก่อนใช้แบบฝึกสะกดค าแม่ ก กา ตรวจและบันทึกคะแนน ๑.๒ นักเรียนเรียนด้วยแบบฝึกอ่านสะกดค าแม่ ก กา โดยด าเนินการตามค าแนะน าการใช้ที่ ก าหนดไว้ในแต่ละตอน ๑.๓ นักเรียนอ่านแบบฝึกอ่านสะกดค าแม่ ก กา ครูผู้สอนตรวจและบันทึกคะแนน ๑.๔ ทดสอบหลังการใช้แบบฝึกอ่านสะกดค าแม่ ก กา ตรวจและบันทึกคะแนน ๘.๔ การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ ผู้วิจัยได้น าข้อมูลมาวิเคราะห์ ดังนี้ 1. การวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของการใช้แบบฝึกอ่านสะกดค าแม่ ก กา เพื่อหาประสิทธิภาพตาม เกณฑ์มาตรฐาน 80/80 80 ตัวแรก หมายถึง ค่าเฉลี่ย คิดเป็นร้อยละของจ านวนคะแนนที่นักเรียนท าการสอบการ อ่านค าควบกล้ าเป็นประสิทธิภาพกระบวนการของแบบฝึกตามเกณฑ์มาตรฐาน 80 ตัวแรก 80 ตัวหลัง หมายถึง ค่าเฉลี่ย คิดเป็นร้อยละของคะแนนที่นักเรียนท าแบบทดสอบหลัง เรียน เป็นประสิทธิภาพกระบวนการของแบบฝึกตามเกณฑ์มาตรฐาน 80 ตัวหลัง 2. วิเคราะห์ความก้าวหน้าของนักเรียนกลุ่มประชากร หลังจากที่ได้เรียนโดยใช้แบบฝึกอ่านค าควบ กล้ าน ามาเปรียบเทียบผลต่างของคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนแต่ละคนโดยใช้ค่า (T-test) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ๑.การหาค่าร้อยละ (Percentage) P แทน ร้อยละ F แทน จ านวนสมาชิกที่ต้องการแปลค่าให้เป็นร้อยละ n แทน แทนจ านวนสมาชิกในกลุ่มประชากรทั้งหมด


การพัฒนาทักษะการอ่านค ามาตราตัวสะกดโดยใช้การแบบฝึกอ่านสะกดค าแม่ ก กา ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ๘ ๒.หาค่าเฉลี่ย (Mean) โดยใช้สูตร N x เมื่อ แทน คะแนนเฉลี่ย x แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด N แทน จ านวนนักเรียนที่ท าการทดสอบ ๓. หาค่าความแตกต่างระหว่างคะแนนเฉลี่ยของการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนแบบทดสอบการ อ่านสะกดค า แม่ ก กา ของนักเรียนกลุ่มประชากร โดยใช้สูตร 1 2 2 N D D D t เมื่อ t แทน การตรวจสอบความแตกต่างคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน D แทน ผลรวมความแตกคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนของแต่ละคน D 2 แทน ผลรวมความแตกต่างของผลต่างคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน ของแต่ละคนยกก าลังสอง ( D) 2 แทน ผลรวมความแตกต่างคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนของ แต่ละคนทั้งหมดยกก าลังสอง N แทน จ านวนนักเรียน ๙. ผลการใช้ การพัฒนาทักษะการอ่านสะกดค าแม่ ก กา โดยใช้แบบฝึกอ่านส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียน......................................................ผู้วิจัยได้ด าเนินการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ได้ผลดังที่จะเสนอ ต่อไปนี้ 1. ผลการหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดค าแม่ ก กา ภาษาไทยตามเกณฑ์ มาตรฐานร้อยละ 80/80 2. ผลการทดสอบความแตกต่างระหว่างคะแนนเฉลี่ยของการทดสอบก่อนกับหลังการใช้แบบฝึก ทักษะการอ่านสะกดค าแม่ ก กา ภาษาไทย


การพัฒนาทักษะการอ่านค ามาตราตัวสะกดโดยใช้การแบบฝึกอ่านสะกดค าแม่ ก กา ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ๙ ตอนที่ 1 ผลการหาประสิทธิภาพของการพัฒนาทักษะการอ่านสะกดค าแม่ ก กา โดยใช้การแบบฝึกอ่าน ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ตามเกณฑ์มาตรฐานร้อยละ 80/80 ดังตารางที่ 1 ต่อไปนี้ เลขที่ นักเรียน ชื่อนักเรียน คะแนนแบบฝึกหัด (๑๐๐) E1 คะแนนแบบทดสอบหลัง เรียน (๒0) E2 1 90 20 2 ๙๔ 20 3 ๘๕ 19 4 ๙๗ 20 ๕ ๗๓ 16 ๖ ๘๘ 19 ๗ ๘๓ 19 ๘ ๙๗ 20 ๙ ๙๗ 20 ๑๐ ๘๒ 19 คะแนนรวม 886 192 คะแนนเฉลี่ย 88.6๐ 19.2๐ ร้อยละ 88.6๐ 96.๐๐ E1/E2 = 8๘.๐๐ / 9๖.๐๐ จากตารางที่ ๑ แสดงให้เห็นว่า ประสิทธิภาพกระบวนการ (E1) ที่ได้จากการท าแบบฝึกหัดและอ่าน สะกดค าแม่ ก กา ส าหรับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ระหว่างเรียนเท่ากับ 8๘.๐๐ ประสิทธิภาพผลลัพธ์ (E2) ที่ได้ จากคะแนนแบบทดสอบหลังเรียน เท่ากับ 9๖.๐๐


การพัฒนาทักษะการอ่านค ามาตราตัวสะกดโดยใช้การแบบฝึกอ่านสะกดค าแม่ ก กา ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ๑๐ ตอนที่ 2 ผลการทดสอบความแตกต่างระหว่างคะแนนเฉลี่ยของการทดสอบก่อนกับหลังการใช้ แบบฝึกอ่านสะกดค าแม่ ก กา ดังตารางที่ 2 ต่อไปนี้ จากตารางที่ 2 แสดงให้เห็นว่าผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านสะกดค าแม่ ก กา ของนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย คะแนนความก้าวหน้าเฉลี่ย (เพิ่ม) เท่ากับ 1๘.๔๐ คิดเป็นร้อยละ ๙๒.๐๐ ๑๐. อภิปรายผล การพัฒนาทักษะการอ่านค ามาตราตัวสะกดโดยใช้การแบบฝึกอ่านสะกดค าแม่ ก กา ส าหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียน.......................................... มีวัตถุประสงค์เพื่อ เพื่อพัฒนา ความสามารถในการอ่านสะกดค าแม่ ก กาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ โดยใช้แบบฝึกอ่าน ก ลุ่ มป ร ะ ช า ก รที่ใ ช้ใน ก า รท ด ล องไ ด้ แก่ นั ก เ รี ย น ชั้นป ร ะ ถ ม ศึ กษ า ปีที่ ๑ โ รง เ รี ย น ........................................ จ านวน ๑๐ คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลได้แก่ แผนการจัดการ เรียนรู้ เรื่อง สะกดค าแม่ ก กาและแบบทดสอบการอ่านสะกดค าก่อนเรียนและหลังเรียน จากนั้นจึง น าข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อหาค าตอบให้กับวัตถุประสงค์ โดยมีผลดังนี้ 1. สรุปผลการวิจัย 1.1 ประสิทธิภาพของแบบฝึกอ่านสะกดค าแม่ ก กา ที่ผู้วิจัยสร้างมีค่าประสิทธิภาพ E1/E2 = 8๘.๐๐ / 9๖.๐๐ เลขที่ นักเรียน ชื่อนักเรียน คะแนน แบบทดสอบ ก่อนเรียน (๒๐) คะแนนแบบทดสอบ หลังเรียน (๒๐) คะแนนเพิ่ม (D) 1 0 20 20 2 3 20 17 3 0 19 19 4 2 20 18 5 0 16 16 ๖ 1 19 18 ๗ 0 19 19 ๘ 1 20 19 ๙ 1 20 19 ๑๐ 0 19 19 คะแนนรวม 8 192 184 คะแนนเฉลี่ย ๐.4 19.2๐ ๑๘.๔๐ ร้อยละ ๔.๐๐ 96.๐๐ 92.๐๐


การพัฒนาทักษะการอ่านค ามาตราตัวสะกดโดยใช้การแบบฝึกอ่านสะกดค าแม่ ก กา ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ๑๑ 1.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการการพัฒนาทักษะการอ่านสะกดค าแม่ ก กา โดยใช้แบบฝึกอ่านส าหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียน............................................. ปรากฏว่าหลังเรียนเรียนสูงกว่าก่อน เรียนเท่ากับ 1๘.๔๐ คิดเป็นร้อยละ ๙๒.๐๐ 2. อภิปรายผล 2.1 ประสิทธิภาพของแบบฝึกอ่านสะกดค าแม่ ก กา เท่ากับ 8๘.๐๐ / 9๖.๐๐ ผลเป็นเช่นนี้อาจเป็น เพราะ การสร้างแบบฝึกอ่าน ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นได้มีการน าไปใช้ผู้เชียวชาญในการตรวจสอบก่อน จึงท าให้แบบฝึก มีประสิทธิภาพ ผลการวิจัยพบว่า แบบฝึกเสริมทักษะที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ 80/80 คือ 8๘.๐๐ / 9๖.๐๐ 2.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการพัฒนาทักษะการอ่านสะกดค าแม่ ก กา โดยใช้แบบฝึกอ่าน ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียน........................................................... ปรากฏว่าหลังเรียนเรียน สูงกว่าก่อนเรียนเท่ากับ 1๘.๔๐ คิดเป็นร้อยละ ๙๒.๐๐ ผลเป็นเช่นนี้ อาจเป็นเพราะแบบฝึกที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ฝึกความสามารถของนักเรียนจากงายไปหายาก สอดแทรกเรื่องความรู้ทั่วไป ที่ใกล้ตัวเด็กนักเรียน อีกทั้งมี ภาพประกอบที่ช่วยกระตุ้นความสนใจของนักเรียน ผลนี้มีความสอดคล้องกับ เครือวัลย์ ชรสุวรรณ (2541 : บทคัดย่อ) ได้ท าการทดลองโดยการใช้ แบบฝึกเขียนสะกดค ายากส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2541 โรงเรียน วัดชัยชนะ กลุ่มโรงเรียนต าบลประดู่ป่า อ าเภอเมือง จังหวัดล าพูน จ านวน 30 คน พบว่า นักเรียนได้รับการ สอนโดยใช้ แบบฝึกการเขียนค าที่มีตัวสะกดค ายากนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเขียนค าสูงก่อนการใช้แบบ ฝึกอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.1 แสดงว่าหลังจากที่นักเรียนได้รับการฝึกแล้วนักเรียนมีผลการเรียนดี ขึ้น คือสามารถสะกดค ายากได้มากขึ้น ๑๑. ข้อเสนอแนะ ๑.ครูผู้สอนสามารถใช้แบบฝึกอ่านสะกดค าแม่ ก กา ส าหรับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ไปสอนในชั่วโมง ปกติหรือสอนในชั่วโมงซ่อมเสริมได้ ๒.ครูควรให้ค าแนะน ากับนักเรียนเกี่ยวกับการอ่านสะกดค าแม่ ก กา แก่นักเรียนก่อนเพื่อให้นักเรียน ท าความเข้าใจและอ่านสะกดค าได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้แล้วนักเรียนสามารถน าหลักการอ่านสะกด ค าแม่ ก กา ไปประยุกต์ใช้ ในการเรียนรู้รายวิชาอื่นๆ ต่อไป ๑๒. เอกสารที่อ้างอิง กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จ ากัด. กรมวิชาการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ : กระทรวงศึกษาธิการ. ชนาธิป พรกุล.(2554) .การสอนกระบวนการคิด ทฤษฎีและการน าไปใช้.กรุงเทพฯ : ส านัก พิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ธนวรรณ เทียนเจษฎา. (2548). การเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ด้านการอ่านจับใจความภาษาไทยชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างการจัดกิจกรรมกลุ่มแบบจิกซอว์กับการจัดกิจกรรมตามคู่มือครู. การศึกษาค้นคว้า อิสระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. พนิตนันท์ บุญพามี. (2542). เทคนิคการอ่านเบื้องต้นส าหรับบรรณารักษ์. นครราชสีมา :


การพัฒนาทักษะการอ่านค ามาตราตัวสะกดโดยใช้การแบบฝึกอ่านสะกดค าแม่ ก กา ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ๑๒ โปรแกรมวิชาบรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และ สังคมศาสตร์ สถาบันราชภัฏ นครราชสีมา. รักษ์สุดา ทรัพย์มาก. (2548). การพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้วิธีร่วมมือกันเรียนรู้แบบผสมผสารและการประเมินตามสภาพจริง. วิทยานิพนธ์ ศษ.ม. ขอนแก่น : มหาวิทยาลัยขอนแก่น. วัฒนา คัชมาตย์. (2544). การใช้ภาษาไทย. เพชรบูรณ์ : ภาควิชาภาษาไทย คณะ มนุษยศาสตร์และสังคมศึกษา วิทยาลัยครูเพชรบุรี. สุนันทา มั่นเศรษฐวิทย์. (2545). หลักและวิธีการสอนภาษาไทย. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช. สมพร จารุนัฏ. (2549). “ก าหนดจุดมุ่งหมายในการอ่าน,” วิชาการ. 39(4) : 46 – 62 ; กรกฎาคม-กันยายน. ๑๓. นวัตกรรมที่ใช้ แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องเรียนรู้สะกดค าแม่ ก กา พร้อมแบบฝึกอ่านสะกดค าแม่ ก กา ๑๔. ประวัติผู้วิจัย ข้อมูลทั่วไป ๑.๑ ชื่อ ..........................................นามสกุล .......................... ๑.๒ วัน/เดือน/ปีเกิด ................................ อายุ ....................... ปี ๑.๓ เข้ารับบรรจุข้าราชการ ............................. ปฏิบัติการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ต าแหน่ง .................. วิทยฐานะ ................................. ต าแหน่งเลขที่ ........................... สถานศึกษา/หน่วยงาน โรงเรียน................................. อ าเภอ/เขต ................. ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา............ เขต ..................... ส่วนราชการ ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ๑.๔ ที่อยู่ปัจจุบัน บ้านเลขที่ ............................................................ ๑.๕ โทรศัพท์เคลื่อนที ............................................................ ๑.๖ E-mail ............................................................ ใส่รูปตัวเอง


การพัฒนาทักษะการอ่านค ามาตราตัวสะกดโดยใช้การแบบฝึกอ่านสะกดค าแม่ ก กา ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ 13 ภาคผนวก


Click to View FlipBook Version