Future Research การวิจัยอนาคต.....
สมาชิกกลุ่ม 10 ๑. นายนพพร พิมพ์ดี ๒. นายนพพร ทองกลัด ๓. นายอิทธิพล ชูพูล ๔. นางสาวปวีณา ดารา ๕. นายภัชรกุล ม่วงงาม
การวิจัยอนาคต มีจุดมุ่งหมาย 2 ประการ เพื่อก าหนดอนาคตของหน่วยงาน/องค์กรและเพื่อวิเคราะห์ ศึกษา ตัดสินใจ เลือกยุทธศาสตร์ในการพัฒนาหน่วยงาน/องค์กร โดยในเรื่องนี้จะน าเสนอสาระส าคัญ ตามล าดับดังนี้ 1. ความหมายของการวิจัยอนาคต 2. เทคนิคการวิจัยแบบเดลฟาย 3. กระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้เทคนิคเดลฟาย 4. ประเด็นที่ต้องตัดสินใจในการใช้เทคนิคเดลฟาย 5. เทคนิคการวิจัยแบบ EFR และ EDFR 6. ข้อพิจารณาเปรียบเทียบระหว่าง EDFR และ Delphi technique 7. ข้อพิจารณาเปรียบเทียบระหว่าง EDFR และ EFR 8. กรณีศึกษางานวิจัยที่ออกแบบด้วยการวิจัยอนาคต
1. ความหมายของการวิจัยอนาคต
ความหมายของการวิจัยอนาคต จุมพล พูลภัทรชีวิน (2559) ได้กล่าวว่า การวิจัยอนาคต มาจากค า ภาษาอังกฤษว่า “Futures Research” เป็นศัพท์เฉพาะ (Technical Term) ที่สื่อถึงแนวคิด วิธีการ กระบวนการ และระเบียบวิธีที่ใช้ในการส ารวจ ศึกษา แนวโน้มที่มีความเป็นไปได้ในอนาคต เกี่ยวกับเรื่องที่ท าการศึกษา ทั้งแนวโน้ม ที่พึงประสงค์และไม่พึงประสงค์ จึงมีตัว “S” ต่อท้ายค าว่า Future เพื่อ สะท้อนแนวคิดว่าเรื่องของอนาคตนั้น มีความ เป็นไปได้ในหลายทิศทาง จึง ต้องส ารวจ และศึกษาแนวโน้มที่มีความเป็นไปได้เหล่านั้น ให้มาก ที่สุดเท่าที่ จะเป็นไปได้ผู้ที่ท าการศึกษาอนาคตอย่างเป็นระบบโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัย อนาคต แบบต่างๆ เรียกว่านักวิจัยอนาคตส่วนนักคิดและนักทฤษฎีเกี่ยวกับ อนาคตเรียกว่า นักอนาคตนิยม ค่ารวมที่ใช้เรียกกลุ่มบุคคลเหล่านี้ คือ นัก อนาคต
ความหมายของการวิจัยอนาคต ดวงนภา มกรานุรักษ์ (2554) ได้กล่าวไว้ว่า การวิจัยอนาคตอยู่ที่ การส ารวจและศึกษาแนวโน้ม ที่เป็นไปได้ หรือน าจะเป็นของเรื่องที่ศึกษา ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ทั้งที่พึงประสงค์ และไม่พึงประสงค์ เพื่อ หาทางท าให้แนวโน้มที่พึงประสงค์เกิดขึ้น ในขณะเดียวกันหาทางป้องกัน หรือขจัด แนวโน้มที่ไม่พึงประสงค์ให้หมดไปด้วยการเริ่มลงมือท าตั้งแต่ ปัจจุบัน
2. เทคนิคเดลฟาย (Delphi Technique) คือ....อะไร เทคนิคเดลฟาย (Delphi Technique) เป็นกระบวนการแสดงความคิดเห็นหรือการ ตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ความเป็นไปได้ ที่จะเกิดขึ้น ในอนาคต จากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ทรงคุณวุฒิ แล้วท าสรุปข้อค้นพบหรือข้อคิดเห็นนั้น ให้เป็น อันหนึ่งอันเดียวกัน โดยไม่มีการนัดหมายให้ ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ทรงคุณวุฒิมาพบปะหรือพูดคุย กัน โดยจะกระท าการให้แต่ละผู้เชี่ยวชาญหรือ ผู้ทรงคุณวุฒิตอบค าถามด้วยตนเองโดยปราศจาก อิทธิพลของการชี้น่าจากบุคคลอื่น
ลักษณะของ Delphi Technique 1. เป็นการรวบรวมข้อคิดเห็นของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ทรงคุณวุฒิ ด้วยแบบสอบถาม 2. เป็นการพยากรณ์หรือแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อใช้เตรียมในการวางแผนการ บริหารงานหรือการตัดสินใจ 3. เป็นการวิจัยที่ไม่มีค าตอบที่ถูกต้องแน่นอน แต่เป็นการรวบรวมข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญหรือ ผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้งด้านความความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ เพื่อหาแนวโน้มและข้อสรุปที่ เป็นไปได้ 4. เป็นอิสระในการแสดงความคิดเห็น ไม่ต้องการความคิดเห็นเชิงกลุ่ม ที่เป็นท าให้มีอิทธิพลต การตัดสินใจ
กระบวนการของการวิจัย Delphi Technique เริ่มจากการก าหนดปัญหาของการวิจัย จ ากนั้นท าก า รคัดเลือกผู้เชี่ย วช าญและ ผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อรวมตอบแบบสอบถาม และ เพื่อให้ได้ความเห็นที่ตรงกับความเป็นจริง และ น่าเชื่อถือมากขึ้น จึงต้องส่งถามย้ าพร้องส่ง แบบสอบถามไปถึงกลุ่มผู้เชี่ยวชาญและ ผู้ทรงคุณวุฒิหลายรอบ โดทั่วไปจะส่ง 3-4 รอบ
กระบวนการของการวิจัย Delphi Technique
3. กระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยใช้เทคนิคเดลฟาย (Delphi Technique) แบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้ 1. ขั้นการวางกรอบการเก็บข้อมูล การก าหนดค าถามส าหรับการวางกรอบการเก็บข้อมูล ผู้รับผิดชอบในกระบวนการเดลฟายต้องสอบถามความคิดเห็นจากผู้ ตัดสินใจว่าต้องการน าข้อมูลไปท าอะไร สนใจอยากได้ข้อมูลสารสนเทศในเรื่องอะไร การสร้างค าถามในรอบนี้ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง 2. ขั้นการก าหนดผู้เชี่ยวชาญ ประเด็นที่ผู้รับผิดชอบต้องพิจารณาในขั้นการก าหนดผู้เชี่ยวชาญ คือ คุณสมบัติของกลุ่มผู้ให้ข้อมูลและขนาดของกลุ่มผู้ให้ ข้อมูล โดยผู้ให้ข้อมูลต้องมีส่วนร่วมในกระบวนการ มีข้อมูลเพียงพอที่จะแลกเปลี่ยน มีแรงจูงใจอยากเข้าร่วม และรู้สึกสนใจผลที่ได้ จากการสรุปความคิดของผู้เกี่ยวข้องในส่วนของขนาดของกลุ่มผู้ให้ข้อมูลขึ้นอยู่กับลักษณะของผู้ให้ข้อมูล ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ที่ใช้เทคนิค เดลฟายมักจะอ้างอิงจากการศึกษาของ Macmillan (1971) ที่พบว่าหากจ านวนผู้เชี่ยวชาญมีขนาดตั้งแต่ 17 คนขึ้นไปอัตรา ความคลาดเคลื่อนจะน้อยมากจนคงที่ จึงนิยมใช้จ านวนผู้เชี่ยวชาญ 17 คนขึ้นไป แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเป็นเอกพันธ์ของกลุ่ม ผู้เชี่ยวชาญด้วย
3. ขั้นการเก็บข้อมูล การเก็บข้อมูลส่วนใหญ่จะไม่เกิน 4 รอบ แต่ละรอบจะมีการเตรียมข้อมูล และน าเสนอข้อมูลต่างกัน ดังนี้ รอบที่ 1 เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญโดยใช้ค าถามปลายเปิด ท าให้เกิดอิสระในความคิด และอาจมีการส่งจดหมายน าชี้แจงจุดมุ่งหมายของการเก็บข้อมูล รอบที่ 2 เมื่อได้ค าตอบจากรอบแรกแล้ว ต้องท าการวิเคราะห์เนื้อหา สรุปประเด็นความคิดเห็นทั้งหมด และน ามาจัดท าเป็นแบบสอบถามปลายปิดในรูปของมาตรประมาณค่า ซึ่งนิยมใช้แบบ 5 ระดับ โดยค าถามต้องมาจากความ คิดเห็นของผู้ให้ข้อมูลในรอบแรกเท่านั้น ไม่น าเสนอความคิดเห็นส่วนตัวของผู้วิจัย รอบที่ 3 น าข้อมูลในรอบที่ 2 มาสร้างเป็นแบบสอบถาม โดยจุดมุ่งหมายในรอบนี้เพื่อตรวจสอบความ คิดเห็นของผู้ให้ข้อมูลซ้ า ซึ่งผู้ให้ข้อมูลแต่ละคนจะได้รับข้อมูลย้อนกลับประกอบด้วยข้อมูล 2 ส่วน คือ ส่วนแรกเป็นข้อมูลที่ เป็นความคิดเห็นของกลุ่มที่แสดงด้วยค่าสถิติ ส่วนที่สองเป็นค าตอบของผู้เชี่ยวชาญที่เป็นเจ้าของค าตอบแต่ละคน 4. ขั้นการรายงานผล ขั้นตอนนี้เป็นการจัดท ารายงานผลที่ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลรอบสุดท้าย เพื่อเสนอกลุ่มผู้เชี่ยวชาญและผู้มีอ านาจ ในการตัดสินใจส าหรับน าไปใช้ประโยชน์ต่อไป
4. ประเด็นที่ต้องตัดสินใจ โดยใช้เทคนิคเดลฟาย (Delphi Technique) 1. ผู้เชี่ยวชาญ 2. เครื่องมือที่ใช้ 3. จ านวนรอบที่เหมาะสม 4. ระดับฉันทามติที่เหมาะสม
5. เทคนิคการวิจัยแบบ EFR และ EDFR วิธีวิจัย EDFR และกระบวนการคิด EDFR (Ethnographic Delphi Futures Research) ที่เป็นการผสมผสาน ระหว่างเทคนิคการวิจัยแบบ EFR (Ethnographic Futures Research) และเดลฟาย (Delphi) เข้าด้วยกัน 1. เทคนิคการวิจัยเดลฟาย (The Delphi Technique) เดลฟายเป็น เทคนิคการท านายที่พัฒนาขึ้นโดยนักคิดนักวิจัยของ Rand Corporation คือ Helmer, Dalkey และ Rescher เป็นเทคนิคการสื่อสารระหว่างกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนได้รับ ข่าวสารและแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญระหว่างกันโดยไม่มีการเผชิญหน้ากันโดยตรง เช่นเดียวกับการระดมสมอง (Brainstorming)
๒. เทคนิคการวิจัย EFR (The Ethnographic Futures Research) ผู้พัฒนาเทคนิคการวิจัยอนาคตแบบ EFR คือ ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ Robert B.Textor มหาวิทยาลัย สแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา เป็นเทคนิคที่พัฒนามาจากระเบียบวิธีวิจัยทางมานุษยวิทยาที่เรียกว่า การวิจัยชาติ พันธุ์วรรณา (Ethnographic Research หรือ Ethnography) 1. ก าหนดกลุ่มตัวอย่าง 2. สัมภาษณ์ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะคือ 2.1 แบบเปิดและไม่ชี้น า 2.2 แบบกึ่งมีโครงสร้าง คือมีการเตรียม หัวข้อหรือประเด็นการสัมภาษณ์ไว้ล่วงหน้า และ 2.3 ใช้เทคนิคการสรุปสะสม 2.4 สัมภาษณ์อนาคต ภาพ 3 แบบ 2.4.1) ภาพอนาคตทางที่ดี 2.4.2) ภาพอนาคตทางที่ไม่ดี และ 2.4.3) ภาพอนาคตที่มีความเป็นไปได้ มากที่สุด 3. วิเคราะห์/สังเคราะห์ หาฉันทามติ 4. เขียนอนาคตภาพ (Scenario Write-up)
๓. เทคนิคการวิจัย EDFR (Ethnographic Delphi Futures Research) เป็นเทคนิคการวิจัยอนาคตที่รวมเอาจุดเด่นหรือข้อดีของเทคนิค EFR และ Delphi เข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นการยกระดับข้อดีทั้งสองเทคนิค และช่วยแก้จุดอ่อนของแต่ละเทคนิคได้เป็นอย่างดี 1. การก าหนดและเตรียมตัวกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ 2. สัมภาษณ์ (EDFR รอบที่ 1) ลักษณะการสัมภาษณ์และขั้นตอนคล้ายกับ EFR แต่ EDFR มีความ ยืดหยุ่นมากกว่า 3. วิเคราะห์/สังเคราะห์ข้อมูล 4. สร้างเครื่องมือ 5. ท า EDFR รอบที่ 2, 3 การน าแบบสอบถามไปสอบถามผู้เชี่ยวชาญ และน าแบบสอบถามมาวิเคราะห์ ด้วยสถิติพื้นฐาน เพื่อจ าแนกข้อมูล หาฉันทามติ ในการท า EDFR รอบที่ 2 และ 3 ในรอบนี้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละ ท่านจะได้รับรู้ข้อมูลป้อนกลับเชิงสถิติ 6. เขียนภาพอนาคต (แนวโน้ม)
6. ข้อพิจารณาเปรียบเทียบระหว่าง EDFR และ Delphi technique รอบ EDFR Delphi 1 สัมภาษณ์เพื่อถาม ORS,PRS,MPS ค าถาม Opened End 2 Rating Scale ถามระดับความคิดเห็น Rating Scale ถามระดับ ความคิดเห็น 3 Rating Scale ถามเพื่อยืนยันค าตอบ Rating Scale ถามเพื่อ ยืนยันค าตอบ 4 Rating Scale ถามเพื่อยืนยันค าตอบและ สรุป Rating Scale ถามเพื่อ ยืนยันค าตอบและสรุป
7. ข้อพิจารณาเปรียบเทียบระหว่าง EDFR และ EFR รอบ EDFR EFR 1 สัมภาษณ์เพื่อถาม ORS,PRS,MPS สัมภาษณ์เพื่อถาม ORS,PRS,MPS 2 Rating Scale ถามระดับความคิดเห็น - 3 Rating Scale ถามเพื่อยืนยันค าตอบ - 4 Rating Scale ถามเพื่อยืนยันค าตอบและ สรุป Rating Scale ถามเพื่อยืนยันค าตอบ และสรุป
8. กรณีศึกษางานวิจัยที่ออกแบบด้วยการวิจัยอนาคต
จบการน าเสนอ