สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับยุทธศาสตร์ทางเรือ
พลเรือเอก โกมินทร์ โกมุทานนท์
นาวิกศาสตร์ 22
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
กล่าวน�า
ึ
ี
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรืออีกพระนามหน่งท่คนไทยเรียกขานว่า “พระเจ้ากรุงธนบุรี” ทรงนับเป็น
พระมหากษัตริย์นักรบที่มีพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ต่อปวงชนชาวไทยตราบจนวันนี้ ด้วยพระปรีชาสามารถ
ื
่
ี
ื
่
ื
ุ
ในด้านการทหาร โดยเฉพาะการทพระองค์ใช้ยุทธศาสตร์ทางเรอเพอบรรลวตถประสงค์ทางทหาร และทางการเมอง
ั
ุ
ื
ในการขับไล่ทหารอังวะออกจากเมืองธนบุร และกรุงศรีอยุธยา กอบกู้เอกราชกลับคนมาในเวลาเพียง ๗ เดอน (วนชนะศก
ั
ื
ึ
ี
๖ พฤศจิกายน ๒๓๑๐) สร้างความเป็นปึกแผ่นให้บ้านเมืองดังเดิม (ปราบชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช พ.ศ. ๒๓๑๒) และ
ขยายพระราชอาณาเขตออกไปทางตะวันออก (ยกทัพเรือ และทัพบกไปตีกรุงกัมพูชา พ.ศ. ๒๓๑๔)
ี
ื
บทความน้มีความมุ่งหมายเพ่อเทิดทูน และเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชในฐานะ “จอมทัพเรือ”
ี
ึ
ิ
ผู้ย่งใหญ่พระองค์หน่งของไทยท่ทรงยกทัพเรือเป็นทัพหลวง และทัพบกไปตีเมืองฮาเตียน (พุทไธมาศ/บันทายมาศ)
ั
และกรุงกัมพูชา (เมืองพุทไธเพชร/อุดงฤาชัย–ราชธานีของเขมรในขณะน้น) โดยผู้เขียนเรียบเรียงจากหนังสือประชุม
พงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่มท ๒ , ๓ และ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๓๙) ประชุมพงศาวดารภาคท ๖๖ ประวัตการทหารเรอไทย
ิ
่
ี
ื
่
ี
ุ
พ.ศ. ๒๕๐๘ ประวัตศาสตร์อยธยาจากพระราชพงศาวดาร พ.ศ. ๒๕๖๒ บันทึกความจริงแห่งราชอาณาจกร
ั
ิ
ด่ายนาม (เวียดนาม) บันทึกตระกูลหมัก และบันทึกแห่งซาดิงห์ (เวียดนาม) หนังสือ The Prince of Ha-Tien
(Nicholas Sellers, 1983) และ Ha-Tien or Banteay Meas in The Time of The Fall of Ayutthaya (Yumio
Sakurai, 1999) ฯลฯ
ี
ื
่
ุ
ึ
ั
ี
่
ี
�
ี
ั
ี
่
สาหรบเอกสาร/หนงสอทใช้ในการเรยบเรยงบทความนมความแตกต่างกนหลายทมา จงท�าให้รายชอบคคล/
ี
้
ั
ื
์
้
่
ื
รายพระนาม และสถานที่อาจมีความลักลั่นกันบาง เชน ชื่อเมืองฮาเตียน/เฟองแถงห/บันทายมาศ/พุทไธมาศ/คันเคา/
เปียม เป็นช่อเมืองเดียวกัน สาหรับเจ้าเมืองน้น ญวนเรียกว่า หมักเทียนต ตรงกับภาษาจีนว่าหมอเทียนซ่อ เขมรเรียกว่า
ื
ื
ั
ู
�
สมเด็จพระโสทัต ไทยเรียกว่า พระยาราชาเศรษฐี ฯลฯ เป็นต้น
การที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงตัดสินพระทัยในการโจมตีเมืองฮาเตียน และกรุงกัมพูชานั้น มีประเด็นที่ชวน
ให้วิเคราะห์ว่า เหตุปัจจัยอะไรท่เป็นแรงผลักดัน และแนวโน้มท่ทาให้พระองค์ทรงพิเคราะห์ว่า เมืองฮาเตียน และ
�
ี
ี
ึ
ี
ั
กรุงกัมพูชาเป็นภัยคุกคามต่อราชบัลลังก์กรุงธนบุร และความม่นคงของราชอาณาจักรท่พระองค์ได้กอบกู้ข้นมาใหม่
ี
รวมทั้งสถานะของสยามในอุษาคเนย์อีกด้วย
นาวิกศาสตร์ 23
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
ย้อนรอยอโยธยากับกรุงกัมพูชา
ในสมัยอยุธยาตอนต้นได้ขยายขอบเขตปริมณฑลอ�านาจไปทางตะวันออก จากข้อความใน จารึกขุนศรีไชยราช
มงคลเทพ และพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับปลีกหมายเลข ๒/ก ๑๐๔ ต้นฉบับของหอสมุดวชิรญาณ
ี
ั
ั
แสดงให้เห็นว่าสงครามคร้งน้เป็นการยกทัพไปตีเมืองพิมาย พนมรุ้ง จากน้นจึงยกทัพไปเมืองพระนครหลวง
(เมืองพระนครศรียโศธรปุระ ราชธานีของอาณาจักรขอม/กัมพูชาโบราณ) ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงเก่า
ี
ี
่
ฉบับหลวงประเสริฐ กล่าวว่าเป็นปีท่สมเด็จพระบรมราชาธิราชท ๒ (เจ้าสามพระยา) ยกทัพไปตีเมืองพระนคร
สรุปเนื้อหาส�าคัญได้ว่า
“ศักราช ๗๙๓ กุนศก (พ.ศ. ๑๙๗๔) สมเด็จพระบรมราชาเจ้า เสด็จไปเอาเมืองนครหลวงได้ แลท่านจึงให้พระราชกุมารท่าน
พรนครอินทเจ้า เสวยราชสมบัต ณ เมืองนครหลวงน้น คร้งน้นท่านจึงให้พรญาแก้ว พรญาไทยแลรูปภาพท้งปวง
ิ
ั
ั
ั
ั
มายังพรณครศรีอยุธยา...”
การล่มสลายของอาณาจักรเมืองพระนครในคร้งน ี ้
ั
ุ
ั
ื
ิ
ุ
นบได้ว่าเป็นการสนสดหรอหมดยคเทวราชขอม
้
โดยสมบูรณ์ ทาให้บ้านเมืองตกอยู่ในความวุ่นวาย
�
ุ
แต่อยธยาก็ปกครองอยู่ได้ไม่นาน (๑๕-๒๐ ปี) กลุ่ม
�
ราชวงศ์ และขุนนางกัมพูชามีเจ้าพญายาตเป็นผู้นา
พยายามแยกตัวเป็นอิสระ มีฐานกาลังอยู่ทางภาคใต้
�
ี
ของกัมพูชาท่เมืองจตุรมุข/จัตตุรมุข (กรุงพนมเปญ)
สามารถกลับมาชิงเมืองพระนครหลวงคืนได้ และ
ต่อมาได้ย้ายราชธานไปอย่ทีเมองบาสาน (ศรสนธร) ที่มา : https://www.finearts.go.th/fad10/view/25214-
ั
ี
ี
ื
่
ู
จัตุรมุข และละแวก ตามล�าดับ องค์ความรู้เรื่อง---จารึกขุนศรีไชยราชมงคลเทพ
ั
อย่างไรก็ตาม อยุธยากับกัมพูชายังคงมีการทาสงครามกันหลายคร้งจนถึง พ.ศ. ๒๑๓๖ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
�
้
้
ู
้
็
ุ
ี
ั
ั
ั
์
้
ื
เสดจไปตเมองละแวกได และไดกวาดตอนผคนและราชวงศบางส่วนไปยงกรงศรอยุธยา แต่หลงจากรัชสมยของพระองค ์
ี
ั
ั
ี
ุ
ุ
ู
ื
ิ
ื
่
ี
ั
ุ
็
่
อทธพลของอยธยากเสอมลง กมพชากแยกตวเป็นอสระและย้ายเมองหลวงไปอย่ทเมองอดงฤาชย (อดงมชย)
ิ
ิ
ู
็
ื
ั
ี
ในสมัยน้การเมืองภายในกัมพูชาแตกแยกเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายหน่งสนับสนุนอยุธยา อีกฝ่ายหน่งสนับสนุนญวน เกิดความวุ่นวาย
ึ
ึ
มีสงครามแย่งชิงราชสมบัติหลายครั้ง และญวนได้เข้ามาแทรกแซงมากขึ้น
ในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ กัมพูชายอมอ่อนน้อมต่อกรุงศรีอยุธยา ถวายต้นไม้เงินต้นไม้ทองทุกปี แต่ญวน
ยังมีอิทธิพลครอบง�าอยู่ ต่อมาใน พ.ศ. ๒๒๘๐ พระเจ้าบรมโกศสามารถสนับสนุนพระศรีธรรมราชาธิราช กษัตริย์เขมร
ที่ลี้ภัยมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๒๕๗ กลับไปครองกรุงกัมพูชาได้อีกครั้ง
�
อย่างไรก็ตามยังคงมีสงครามแย่งชิงอานาจกันอยู่ รวมท้งการคุกคามจากญวนโดยตรง ใน พ.ศ. ๒๓๐๐
ั
พระอุไทยราชา (นักองค์ตน) ได้ราชสมบัติราชาภิเษกเป็นพระนารายณ์ราชารามาธิบด นักองค์นนท์ถวายนามพระรามราชา
ี
ี
เสด็จล้ภัยไปกรุงศรีอยุธยา (ปลายรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ) จนถึงกองทัพอังวะล้อมกรุงศรีอยุธยาได้เสด็จ
�
ื
ิ
หนีออกมาก่อนกรุงแตก ไปสวามิภักด์กับพระเจ้าตากสินฯ ขณะเสด็จมุ่งหน้าไปทางหัวเมืองตะวันออกเพ่อรวบรวมกาลัง
กลับมากอบกู้กรุงศรีอยุธยา
ั
ื
ี
ดังน้น เม่อพระเจ้าตากสินฯ ปราบดาภิเษกเป็นพระเจ้ากรุงธนบุรีแล้ว ทรงมีพระประสงค์ท่จะช่วยเหลือให้
พระรามราชาได้กลับไปครองกรุงกัมพูชา และเห็นเป็นโอกาสที่จะขยายขอบเขตพระราชอ�านาจออกไปทางตะวันออก
นาวิกศาสตร์ 24
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
รวมทั้งเป็นการเสาะแสวงหาทรัพยากรมนุษย์ และสินค้าที่มีความจ�าเป็นต่อกรุงธนบุรีอีกด้วย
ตามพระราชพงศาวดารกรุงกัมพูชาฉบับพระองค์นพรัตน์ ระบุว่า
�
“ใน พ.ศ. ๒๓๑๒ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ได้ใช้ให้ข้าหลวงนาศุภอักษรมาทูลพระนารายณ์ราชารามาธิบด ี
ื
(พระอุไทยราชา-นักองค์ตน) ณ กรุงกัมพูชา ให้มีพระราชสาส์นพร้อมเคร่องราชบรรณาการดอกไม้เงิน ดอกไม้ทอง
ไปถวายแด่พระเจ้าตากสินฯ เพื่อเป็นทางพระราชไมตรีดุจกาลก่อน...”
แต่พระนารายณ์ราชารามาธิบดีไม่ยอมถวายเคร่องราชบรรณาการฯ เป็นการตัดพระราชไมตรีของกรุงธนบุร ี
ื
ิ
ี
�
์
แสดงตนเป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้าตากสินฯ โดยตรง จึงทรงมีพระราชดารัสให้พระยาอภัยรณฤทธ (รัชกาลท ๑) พระยาอนุชิตราชา
่
�
(กรมพระราชวังบวรในรัชกาลท ๑) ยกทัพมีกาลังพลสองพันคนไปทางเมืองนครราชสีมาทางหน่ง และให้
่
ี
ึ
�
ึ
พระยาโกษาธิบดียกทัพมีกาลังพลอีกสองพันคนไปทางเมืองปราจีนบุรีอีกทัพหน่ง เพ่อไปตีเอาเมืองพุทไธเพชร
ื
(อุดงฤาชัยราชธานีของกัมพูชา) ให้แก่พระรามราชา (นักองค์นนท์-องค์รามราชา)
ี
ื
ี
ขณะททัพสยามตีได้เมองพระตะบอง และเสียมราบ (เขมรออกเสยงเสยมเรียบ) ได้แล้ว มีข่าวลอว่าพระเจ้าตากสินฯ
่
ี
ื
เสด็จสวรรคตขณะยกทัพไปตีเมืองนครศรีธรรมราช ทัพไทยจึงถอยกลับกรุงธนบุรีพร้อมกับองค์รามราชา
จากทางสองแพร่งของกัมพูชาสู่ฮาเตียน/บันทายมาศ/พุทไธมาศ
อนุสาวรีย์หมักกื่ว ที่เมืองฮาเตียน เมืองฮาเตียน มีชื่อเดิมว่า เปียม ปรากฏในเอกสารไทยในชื่อ
ที่มา : https://worldhistoryconnected.press. บันทายมาศ หรือ พุทไธมาศ
uillinois.edu/17.3/images/Eng_image_1.jpg เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในจังหวัดเกียนซาง ประเทศเวียดนาม
ั
ี
เมืองฮาเตียน (Hà Tiên) น้ก่อต้งโดยหมักก่ว (Mạc Cửu) ชาวจีนกวางตุ้งอพยพมาจากเมืองจีนใน
ื
พ.ศ. ๒๒๑๔ โดยได้รับพระบรมราชานุญาตจากกษัตริย์กัมพูชาให้สร้างเมืองใหม่ในบริเวณใกล้กับเมืองบันทายมาศ และ
เมืองท่าชื่อเฟืองแถงห์ คอยดูแลผลประโยชน์การค้าทางทะเลในแถบนี้ให้กัมพูชาด้วย
ในฐานะเจ้าเมืองหมักกื่ว ได้พัฒนาเฟืองแถงห์จนกลายเป็นเมืองท่าส�าคัญในอุษาคเนย์ และตระหนักดีว่าอ�านาจ
ของเขา และความอยู่รอดของเมืองนี้ขึ้นอยู่กับดุลอ�านาจระหว่างสยาม ตระกูลเหงียน (ญวน) และราชส�านักกัมพูชา
ึ
ึ
�
ึ
อย่างไรก็ตาม ทางออกหน่งก็คือ การดาเนินนโยบายเลือกพ่งพิงรัฐใดรัฐหน่งอย่างจริงจัง และประสานประโยชน์กับ
รัฐอื่นอย่างเหมาะสม ท�าให้สามารถปกครองตนเองแบบรัฐกึ่งอิสระ ไม่มีการแทรกแซงจากภายนอก
นาวิกศาสตร์ 25
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
ื
ื
หลักฐานในเอกสารของฝ่ายเวียดนามชี้ว่า หมักก่วส่งเคร่องราชบรรณาการไปยังกรุงเว้ และได้รับการต้อนรับอย่างด ี
�
ึ
จาก “มิญเวือง” เจ้าตระกูลเหงียน ซ่งมีนโยบายจะขยายอิทธิพลเข้ามาในกัมพูชาอยู่แล้ว ได้พระราชทานราชทินนามตาแหน่ง
ื
ั
�
้
�
ขุนนางตราต้ง และช่อ “ฮาเตียน” ให้เมืองท่าเฟืองแถงห์ (ฮาเตียน ในภาษาเวียดนาม หมายถึง จิตวิญญาณแห่งลานา)
ต่อมาชื่อนี้ได้เข้ามาแทนค�าเขมรเดิมที่เรียกมาก่อนคือ “เมืองค�า” และ “เมืองเปียม”
นอกจากนี้แล้วยังมีหลักฐานไทย และเวียดนามยืนยันตรงกันว่า พระองค์เจ้าจุ้ย และพระองค์เจ้าศรีสังข์ ราชวงศ์
ี
บ้านพลูหลวง ได้เสด็จหนีจากอยุธยาไปอยู่เมืองฮาเตียน หรือเมืองบันทายมาศอันเป็นเมืองท่มีคนไทยจานวนมาก
�
หนีทัพอังวะไปรวมอยู่ โดยมีการบันทึกไว้ว่า
“เจ้าจุ่ย (เจ้าจุ้ย) และเจ้าสีซวาง (เจ้าศรีสังข์) รัชทายาทของกษัตริย์อยุธยาองค์สุดท้ายกับพระบรมวงศานุวงศ์
ผู้ติดตามอีกประมาณ ๑๐๐ คน เข้ามาลี้ภัยในฮาเตียนผ่านเส้นทางเลียบชายฝั่งทิศตะวันออกของอ่าวสยาม”
ึ
ั
ั
“แต่เจ้าศรีสังข์น้น บาทหลวงชาวฝร่งเศสพาหลบหนีจากฮาเตียนไปพ่งบารมีของพระนารายณ์ราชารามาธิบด ี
(นักองค์ตน) กษัตริย์เขมรที่เมืองพุทไธเพชร (บันทายเพชร-อุดงฤาชัย) ราชธานีของกัมพูชาในขณะนั้น”
ตามหลักฐานฯท่กล่าวถึงรัชทายาทของกษัตรย์อยุธยาองค์สุดท้าย หมายถึง พระราชวงศ์ท่ไม่ได้ถูกกวาดต้อน
ี
ี
ิ
ไปกรุงอังวะฯ หลังกรุงแตกคือ พระองค์เจ้าจุ้ย พระราชโอรสของเจ้าฟ้าอภัย ซ่งเป็นพระราชโอรสในพระเจ้าอยู่หัว
ึ
ท้ายสระ ส่วนพระองค์เจ้าศรีสังข์น้น เป็นพระ
ั
ราชโอรสกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (เจ้าฟ้ากุ้ง)
พระราชโอรสในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
ั
เจ้าเมืองฮาเตียนในขณะน้นคือ หมักเทียนต๋อ
ื
รับต�าแหน่งสืบแทนบิดาคือ หมักกื่ว ใน พ.ศ. ๒๒๗๘
ได้ให้การต้อนรับพระองค์เจ้าจุ้ย และผู้ติดตาม
เป็นอย่างดี เจ้าเมืองนี้ ญวนเรียกว่าหมักเทียนตู/ตื๋อ
ื
ภาษาจีนว่า หม่อเทียนซ่อ แต่มักใช้นาม “หม่อซ่อหลิน”
ื
�
�
ในการติดต่อกับจีน ตาแหน่ งในทาเนียบของกัมพูชาเป็น
“สมเด็จพระโสร์ทศ”ส่วนตาแหน่งในสยาม
�
ี
ื
เป็นพระยาราชาเศรษฐ เน่องจากการท่ฮาเตียน ต้นฉบับสมุดไทย พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม)
ี
ึ
ื
ั
ส่งบรรณาการฯ ให้ท้งสยาม ญวน และเขมร เพ่อความอยู่รอดของตนแต่จะพ่งพิงญวนเป็นหลัก เม่อกรุงศรีอยุธยา
ื
เสียแก่ทัพอังวะฯ แล้ว หมักเทียนตื๋อ คิดจะขยายอ�านาจของตนเข้าไปในสยามอย่างน้อยก็เป็นบางส่วน ประกอบกับ
ั
มีเจ้านายช้นสูงแห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวงอยุธยามาอยู่ในอิทธิพลของตน ย่อมจะเป็นโอกาส และถือเอาเจ้านายน้นเป็น
ั
พระเจ้าแผ่นดินของสยามต่อไป
ี
่
ึ
ิ
ึ
ี
ั
ด้วยเหตน้จงได้อาศยพระนามของพระองค์เจ้าจุ้ยมีหนังสือไปถวายพระเจ้ากรุงจีน รายงานเหตุการณ์ทเกดข้น
ุ
ู
ในกรุงศรีอยุธยา พร้อมท้งกล่าวโทษพระเจ้าตากสนฯ ว่าไม่ใช่รชทายาทของราชวงศ์บ้านพลหลวง เป็นเพียงแม่ทพ
ั
ั
ั
ิ
และพื้นเพยังเป็นจีนอพยพ ได้ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ซึ่งขัดกับธรรมเนียมจีนที่เน้นการสืบทอดราชบัลลังก์โดยสายเลือด
ื
นอกจากน้ยังกล่าวด้วยว่าพระเจ้าตากสินฯ ไม่นับถือราชวงศ์ เพราะว่าเม่อไปตีเมืองพิมาย ได้จับกรมหม่นเทพพิพิธ
ี
ื
�
ประหารเสียท่บางกอก (กรมหม่นเทพพิพิธ “ลูกพระสนม” ในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ) ซายังยกทัพไปตีกรุงกัมพูชา
้
ื
ี
�
อีกด้วยแต่ไม่สาเร็จ พระเจ้าแผ่นดินเขมรได้สัญญาว่าจะให้การสนับสนุนเจ้าจุ้ย และเจ้าศรีสังข์เอากรุงศรีอยุธยา
กลับคืนมาฯ
นาวิกศาสตร์ 26
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ระบุว่าพระเจ้าตากสินฯ ทรงรู้จักเมืองฮาเตียนด ี
ี
�
ี
โดยในช่วงกลาง พ.ศ. ๒๓๑๐ ขณะท่พระองค์รวบรวมกาลังอยู่ท่เมืองระยอง และจับตาดูท่าทีของพระยาจันทบุร ี
�
ได้มีการเจรจาขอความร่วมมือกับผู้รั้งเมืองระยอง มีศุภอักษรไปขอกาลังจากเมืองฮาเตียนมากู้กรุงศรีอยุธยา
พระยาราชาเศรษฐีเจ้าเมือง (ราชทินนามนี้ปรากฏในรายนามขุนนางของอยุธยา) แจ้งว่าจะยกก�าลังมาช่วยได้เมื่อหมด
ฤดูมรสุมแล้ว
ี
ั
ื
ิ
ี
การท่พระองค์เจ้าจุ้ยล้ภัยมาอยู่ท่เมืองฮาเตียนน้น บันทึกตระกูลหมัก รวมถึงหลักฐานเวียดนามช้นอ่นแสดงให้เห็นว่า
ี
หมักเทียนต๋อ เปล่ยนนโยบายทางการเมืองจากดุลอานาจของทุกฝ่าย เป็นเข้าไปแทรกแซงอานาจรัฐท่มีขนาดใหญ่กว่า
�
�
ี
ื
ี
อย่างสยาม โดยมี “แผนลับ” จะเข้าโจมตีกรุงธนบุรี
ั
ี
ี
ื
ี
การเปล่ยนนโยบายเช่นน้อาจจะมาจากความม่นใจของหมักเทียนต๋อ ท่มีบทบาทในการช่วยเหลือ
ั
นักองค์สงวน กษัตริย์กัมพูชาให้กลับคืนสู่ราชบัลลังก์อีกคร้ง โดยเป็นคนกลางในการเจรจาระหว่างนักองค์สงวนกับ
ึ
ราชสานักเหงียนใน พ.ศ. ๒๒๙๖ รวมท้งการยกทัพไปสนับสนุนนักองค์ตน (พระอุไทยราชา) ให้ข้นครองราชย์ หลังจาก
�
ั
หลบหนีความวุ่นวายในกัมพูชามาพึ่งพิงที่เมืองฮาเตียน ดังนั้น จึงได้ด�าเนินการตามแผนที่วางไว้กล่าวคือ
ื
ื
ี
ใน พ.ศ. ๒๓๑๑ หมักเทียนต๋อ ทาทีเป็นส่งเรือบรรทุกข้าวสารมายังกรุงธนบุร เพ่อแก้ปัญหาการขาดแคลนข้าวสาร
�
ี
้
ี
�
ึ
ึ
ี
ี
ซ่งเกิดข้นก่อนหน้าน แต่ท่จริงม “แผนลับ” ท่จะจับตัวพระเจ้าตากสินฯ ไว้ แล้วนาราชวงศ์บ้านพลูหลวงข้นครองบัลลังก์
ึ
กรุงธนบุรีแทน ฮาเตียนจะได้มีอิทธิพลเหนือสยามในเวลาถัดมา
ี
ี
ทว่าแผนน้ล้มเหลว เพราะว่าพระเจ้าตากสินฯ ได้รับข่าวแจ้งเตือนล่วงหน้ามาจากคนของพระองค์ท่แฝงตัวอยู่
ั
ื
ั
ั
ึ
ั
ในเมืองฮาเตียน จึงทรงส่งให้จับลูกเรือท้งหมดขังคุกไว้ รวมท้งลูกเขยของหมักเทียนต๋อซ่งเป็นผู้ควบคุมเรือมา หลังจากน้น
ก็ประหารชีวิตทั้งหมด
�
อย่างไรก็ตาม ฮาเตียนยังคงปฏิบัติการเป็นปฏิปักษ์กับกรุงธนบุรีอย่างไม่ลดละ โดยพยายามขัดขวางเรือสาเภา
ท่นาข้าวมาขายให้สยาม เน่องจากเรือสาเภาท่เดินทางค้าขายทางตะวันออกของอ่าวสยาม ส่วนใหญ่มักแวะพัก
ี
�
ี
ื
�
ที่เมืองฮาเตียนเป็นประจ�า
ี
บันทึกตระกูลหมักระบุว่า ใน พ.ศ. ๒๓๑๒ ฮาเตยน
ยกทพไปโจมตเมองจนทบรและเมองตราดด้วยเรอรบกว่า
ี
ุ
ื
ื
ั
ี
ื
ั
๑๐๐ ลา โดยมีพระองค์เจ้าจุ้ยไปในกองทัพด้วย เพ่อเรียกร้อง
�
ื
ี
การสนับสนุนจากชาวสยามท่ยังคงจงรักภักดีต่อราชวงศ์
บ้านพลูหลวงอยู่ โดยหวังว่าจะให้เกิดกบฏต่อต้าน
พระเจ้าตากสินฯ กันเอง ในหลักฐานไทยไม่ได้กล่าวถึง
้
ี
เหตุการณ์น แต่ไปปรากฏในพงศาวดารเขมร จ.ศ. ๑๒๑๗
ให้รายละเอียดว่าใน พ.ศ. ๒๓๑๓ (พ.ศ.ของเขมรจะเร็วกว่า
ไทย ๑ ปี) หมักเทียนตื๋อได้น�าทัพด้วยตัวเอง
ื
“สมเด็จพระโสทัต (หมักเทียนต๋อ) ผู้เป็นใหญ่ในเมืองเปียม เรือส�าเภาจีน ที่ใช้กันในยุคอยุธยา
�
(ฮาเตียน) คิดตามอาเภอใจด้วยโลภเจตนาเหมือนตักกะแตน
เข้าดับเพลิงละเลิงใจ เกณฑ์ไพร่พลในแขวงเมืองบันทายมาศ เมืองตรัง ยกเป็นกองทัพไปจับคนเมืองทุ่งใหญ่ (ตราด)
เมืองจันทบุรีจึงยกพวกกองทัพไทยออกมาสู้รบชนะ แม่ทัพแม่กองสมเด็จพระโสทัตแตกหนีกระจัดกระจายถอยกลับ
มาเมืองเปียม”
นาวิกศาสตร์ 27
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
ี
ุ
ื
ี
๋
ี
่
ั
่
่
ึ
ี
ั
ั
ั
ิ
ี
ี
ุ
กองทพทรบมอกบกองทพของฮาเตยนทจนทบรและตราดคอ พระยาพพธเจ้าเมองจนทบร ซงเป็นคนจนแต้จว
ื
ื
ิ
ิ
ั
ั
ั
หรืออาจกล่าวได้ว่าการปะทะกันคร้งน้เป็นเร่องระหว่างจีนแต้จ๋วกับจีนกวางตุ้งโดยเปิดเผย รวมท้งส่งผลและแสดงการเป็น
ิ
ี
ั
ื
ปรปักษ์ระหว่างฮาเตียนกับกรุงธนบุรีชัดเจนมากยิ่งขึ้น
“ตราต�าแหน่งพิเศษ” คือ ตราโลโต ใช้ประทับพระราชสาส์นของพระเจ้ากรุงสยามที่มีไปถึงราชส�านักจีน
เป็นตราที่จักรพรรดิจีนพระราชทานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
่
ิ
ู
็
ี
ั
่
ื
ั
�
็
ิ
ื
้
ุ
ั
เหตการณดังกลาว เมอมองไปในระดบการเมืองภมภาคจะเหนความเก่ยวข้องกบมหาอานาจในขณะนนกคอ ราชวงศชง
์
์
ึ
ื
�
�
ซ่งมีนัยสาคัญสาหรับพระเจ้าตากสินฯ เพราะนอกจากฮาเตียนจะเป็นก้างขวางคอเร่องการค้าแล้ว ยังเป็นภัยต่อ
พระราชบัลลังก์ และยังคอยขัดขวางความสัมพันธ์ทางการทูตกับราชวงศ์ชิงแบบไม่ลดละอีกด้วย อันเป็นสาเหต ุ
ุ
ู
ี
�
ี
่
ุ
ให้ข้าหลวงท่กวางตุ้งปฏิเสธคาขอของคณะทตจากกรงธนบรีทพระเจ้าตากสินฯ ส่งไปขอรับตรามหาโลโตคือ ตราประทับ
จากราชส�านักจีน ยอมรับว่าพระองค์เป็นกษัตริย์สยามจะท�าให้กรุงธนบุรีสามารถท�าการค้าขายจิ้มก้องแบบเดียวกับที่
อยุธยาเคยท�ามา เพื่อเป็นการฟื้นฟูเศรษฐกิจในสยามใหม่ที่พระองค์เพิ่งจะกอบกู้ขึ้นมา ทั้งนี้ เพราะทางราชส�านักจีน
ื
เช่อในรายงานเหตุการณ์ฯ ของหมักเทียนต๋อท่ส่งมาถวายพระเจ้าเฉินหลงก่อนหน้าน รวมท้งทาให้ทรงมีพระราชสาส์น
ี
้
ั
�
ื
ี
มาต�าหนิพระเจ้ากรุงธนบุรีโดยตรง มีข้อความบางตอนดังนี้
่
�
“กันเอินซ่อ (พระเจ้าตากสินฯ) เดิมเป็นคนตาต้อยในประเทศจีน ระหกระเหินไปอยู่แดนโพ้นทะเล ฐานะเป็น
ื
่
ั
�
้
ี
ข้าทูลละอองของพระเจ้ากรุงสยาม บัดน ประเทศน้นระสาระสาย ถูกตีแตก เจ้าเหนือหัวหายสาบสูญ กลับบังอาจ
่
็
ิ
้
่
ื
ื
้
็
ื
่
ั
ั
่
ู
ิ
ุ
่
ั
ั
่
ฉวยโอกาสทประเทศตกอยในอนตรายปนป่วนยงเหยง คดตงตนเปนใหญหวงไดรบตราตังโดยมชอบ เพอเปนเครองมอ
้
ี
่
ิ
ั
ตั้งตนเหนือผู้อื่นมิได้ส�านึกในพระมหากรุณาธิคุณ และพระเมตตาของเจ้านายเก่า อีกทั้งมิได้สืบหาองค์รัชทายาทเพื่อ
กอบกู้ชาติแลโจมตีอริศัตรู ถือว่าผิดคุณธรรม จริยธรรม”
สงครามฮาเตียนและกัมพูชา..การศึกเพื่อความมั่นคงของกรุงธนบุรี
้
ใน พ.ศ. ๒๓๑๔ พระเจ้าตากสินฯ ทรงสามารถจัดการความเรียบร้อยในลุ่มแม่นาเจ้าพระยา และทรงรวบรวม
�
ุ
ั
�
ี
ี
�
ุ
ุ
ื
อานาจของกรงธนบรให้มสภาพเหมอนเดมในสมยกรงศรีอยธยา ประกอบกับท่าทของราชสานกจีนเปล่ยนแปลงไป
ี
ิ
ั
ี
ุ
มีความเป็นมิตรมากขึ้น เนื่องจากพระองค์ได้ส่งเชลยอังวะระดับแม่ทัพนายกองไปยังเมืองกวางตุ้ง (จีนแพ้สงครามกับ
ิ
ี
�
�
ั
อังวะทางตอนใต้ของยูนนาน) และเร่มยอมรับว่าพระเจ้าตากสินฯ เป็นผู้มีอานาจแท้จริงในสยาม รวมท้งการท่ราชสานักจีน
วางเฉยต่อฮาเตียน ดังน้น พระเจ้าตากสินฯ จึงเห็นว่า ถึงเวลาแล้วท่จะทรงจัดการปัญหาท่ตกค้างในฮาเตียน และกัมพูชา
ี
ี
ั
ี
�
�
ื
ให้เรียบร้อย โดยทรงมีวัตถุประสงค์ท่สาคัญ ประการแรกคือ กาจัดอิทธิพลของหมักเทียนต๋อในเมืองฮาเตียน และ
เมืองใกล้เคียง ซ่งมีผลต่อการค้าขายตามเมืองท่าชายขอบอ่าวสยามของกรุงธนบุร อีกท้งยังเป็นการควบคุม
ึ
ั
ี
นาวิกศาสตร์ 28
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
จุดยุทธศาสตร์อันเป็นปากทางเข้าสู่กรุงกัมพูชาที่อยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดินได้สะดวกที่สุดจากทางทะเล และยุทธศาสตร์
้
ี
ื
�
การขยายอิทธิพลสยามเหนือดินแดนแถบน ย่อมดาเนินไปได้อย่างราบร่น ยังไม่นับว่าน่เป็นการกาจัดอิทธิพล
�
ี
ี
ุ
ั
ื
ี
ุ
ู
ี
ึ
ิ
ิ
ี
ทางการค้าของชาวจนกวางต้งในฮาเตยน ค่แข่งของเมองจนทบรซงชาวจนแต้จวมอทธพลการค้าอย่ ประการท่สอง
ี
ู
่
ี
ิ
๋
�
ื
�
ื
เพ่อเป็นการฟื้นฟูอิทธิพลของราชสานักสยามเหนือราชสานักกัมพูชา เน่องด้วย พระนารายณ์ราชารามาธิบด ี
ื
(นักองค์ตน-พระอุไทยราชา) ไม่ยอมถวายเคร่องราชบรรณาการฯ ให้พระองค์ในฐานะกษัตริย์สยามองค์ใหม่
ั
ี
และทรงต้องการสถาปนาองค์รามราชา (นักองค์นนท์) ท่ได้เข้าถวายตัวกับพระองค์ต้งแต่เสด็จฯ ออกจากกรุงศรีอยุธยา
แล้วเป็นเจ้ากรุงกัมพูชา และอีกประการหนึ่ง เป็นยุทธศาสตร์ในการขยายขอบเขตปริมณฑลอ�านาจไปทางตะวันออก
และตะวันออกเฉียงเหนือ ปัจจุบันคือพื้นที่ปากแม่น�้าโขง คาบสมุทรอินโดจีนของเวียดนาม กัมพูชา และลาวทั้งหมด
รวมทั้งเป็นการเสาะแสวงหาทรัพยากรมนุษย์ (มีความส�าคัญมากในสมัยนั้น) และสินค้าในดินแดนเหล่านั้น
ยุทธศาสตร์ทางเรือและแผนการทัพ
จดหมายเหตุรายวันทัพสมัยกรุงธนบุรีคราวปราบเมืองพุทไธมาศ และเขมร เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๔ ให้รายละเอียดว่า
่
ี
วันพฤหัสบด เดือน ๑๑ ข้น ๙ คา ปีเถาะ (จ.ศ. ๑๑๓๓ พ.ศ. ๒๓๑๔) พระเจ้าตากสินฯ โปรดฯ ให้พระยายมราช (รัชกาลท ๑)
ึ
�
่
ี
เป็นแม่ทัพบก ถือพล ๑๐,๐๐๐ ยกไปทางเมืองปราจีน ให้ตีเอาเมืองปัตบอง (พระตะบอง) เมืองโพธิสัตว์ ตลอดจน
ไปถึงเมืองพุทไธเพชร (อุดงฤาชัย)
ครั้นถึงมหาพิไชยฤกษ์ วันอาทิตย์ เดือน ๑๑ แรม ๑๑ ค�่า ปีเถาะ พระเจ้าตากสิน ฯ ทรงเรือพระที่นั่งส�าเภาทอง
�
ั
ั
พร้อมด้วยเรือท้าวพระยา ข้าทูลละอองธุลีพระบาท ไทย จีน ฝร่ง ฝ่ายทหาร พลเรือน ท้งปวง เรือรบ ๒๐๐ ลา
�
เรือทะเล ๑๐๐ ลา พลทหาร ๑๕,๐๐๐ เศษ ให้พระพิชัยไอศวรรย์เป็นแม่ทัพหน้า แล้วยกพยุหยาตราพลนาวา
ื
ทัพหลวงสรรพด้วยเคร่องศัสตราวุธ (องค์รามราชา-นักองค์นนท์ เสด็จไปในทัพหลวงด้วย) จากกรุงธนบุร ี
�
้
ออกปากนาสมุทรปราการ ลัดเลาะไปตามชายฝั่งตะวันออกของอ่าวสยามได้ ๕ วัน ถึงเมืองจันทบูร (จันทบุรี) จึงโปรดให้
�
พระยาโกษาธิบดีแยกทัพบก ทัพเรือ ล่วงไปตีเมืองกระพงโสม (กาปงโสม) แล้วทัพหลวงก็เสด็จไปอีก ๖ วัน
ณ วัน พฤหัสบดี เดือน ๑๒ ขึ้น ๘ ค�่า (๑๔ พฤศจิกายน ๒๓๑๔) ถึงเมืองฮาเตียน/ปากน�้าเมืองพุทไธมาศ ประทับ
ณ ตึกจีนแห่งหนึ่งทางฝากตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง แล้วตั้งค่ายล้อมเมือง ณ จุดยุทธศาสตร์ที่ส�าคัญทางด้านตะวันตก
ตะวันออก เกาะในแม่น�้า และบนฝั่งแม่น�้าเซิงแทงห์ (Giang Thanh)
นาวิกศาสตร์ 29
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
การจัดกระบวนทัพเรือ
ั
ี
ยาตราไปยังเมืองฮาเตียน และกรุงกัมพูชา ตามระเบียบกองทัพเรือสมัยกรุงธนบุร ได้แบ่งเรือท้งหมดออกเป็น
๘ กองเรือ
กองทัพหน้า
กองที่ ๑ พระยาพิไชยไอศวรรย์ เป็นแม่ทัพ มีเรือ ๗๓ ล�า ก�าลังพล ๑,๖๘๖ คน
กองที่ ๒ พระยาพิพิธ เป็นแม่กอง มีเรือ ๕๐ ล�า ก�าลังพล ๑,๔๘๐ คน
กองที่ ๓ พระศรีราชเดโช เป็นแม่กอง มีเรือ ๒๗ ล�า ก�าลังพล ๙๗๔ คน
กองที่ ๔ พระท้ายน�้า เป็นแม่กอง มีเรือ ๔๓ ล�า ก�าลังพล ๑,๑๐๑ คน
ทัพหลวง
กองที่ ๕ เจ้าพระยาจักรี (หมุด) เป็นแม่ทัพหน้าของกองทัพหลวง มีเรือ ๑๓ ล�า ก�าลังพล ๖๘๙ คน
�
�
�
ี
ี
่
กองท ๖ พระยาโกษา เป็นแม่กอง มีเรือ ๓๔ ลา กาลังพล ๑,๗๐๕ คน (กองน้แยกไปตีเมืองกาปงโสม
และเมืองก�าปอด)
กองที่ ๗ พระยาทิพโกษา เป็นแม่กอง มีเรือ ๑๓ ล�า ก�าลังพล ๔๕๓ คน
กองที่ ๘ กองหลวง พระเจ้าตากสินฯ ทรงเป็นจอมทัพ ประทับในเรือพระที่นั่งส�าเภาทอง มีเรือทั้งหมด ๘๔ ล�า
ก�าลังพล ๒,๒๔๒ คน
เรือรบแต่ละล�ามีปืนหน้าเรือล�าละ ๑ กระบอก ปืนรายแคมล�าละ ๒ กระบอก ส่วนปืนคาบศิลา และปืนคาบชุด
�
�
�
จานวนตามกาลังของพลเรือ สาหรับเรือขนาดใหญ่คงใช้
ปืนใหญ่หน้าเรือกระสุน ๔-๕ น้ว (กินดินหน่งช่ง) และ
ั
ึ
ิ
เป็นเรือใช้เดินในแม่น�้าล�าคลองได้
นอกจากเรือรบหลวง แล้วยังมีเรือสาเภา เรือรบ
�
ิ
์
เชลยศักด (เรือท่ไม่ใช่ของหลวง) และเรือท่เกณฑ์มาจาก
ี
ี
หัวเมืองชายทะเลทางปักษ์ใต้ และทางฝั่งตะวันออก
สรุปรวมเป็นเรือทั้งหมด ๓๓๗ ล�า (เรือส�าเภา ๕๘ ล�า
เรือรบ และเรืออื่น ๆ ๒๗๙ ล�า) ปืนหน้าเรือ ๒๕๔ กระบอก
ปืนรายแคม ๕๑๔ กระบอก ปืนคาบศิลา ๒,๑๖๕ กระบอก ปืนคาบชุด และปืนคาบศิลา
ปืนคาบชุด ๕๖๗ กระบอก รวมปืนใหญ่ ปืนเล็ก ๓,๕๐๐ กระบอก ที่มา : https://www.siambusinessnews.com/wp-content/up-
ี
พระราชพงศาวดารกรุงธนบุร ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) loads/2020/01/FB_IMG_1578632256539.jpg
บันทึกว่า
�
ึ
“วันพฤหัสบด เดือน ๑๒ ข้น ๘ คา เถิงปากนาพุทไธมาศ
�
้
ี
่
สถิต ณ ตึกจีนฝากตะวันตกเฉียงใต้ จึงได้มีหนังสือ
ื
พญาพิชัยไอศวรรย์กองทัพหน้า ให้ญวนมีช่อ (เชลยญวน)
ี
็
ั
้
่
ั
ึ
ซงจบได้มานน ถอเข้าไปเถงพญาราชาเศรษฐว่า สมเดจ
ิ
ื
ี
พระพุทธเจ้าอยู่หัวยกกองทัพบก ทัพเรือมาน้ พระราชประสงค์
จะเศกพระองค์รามราชาให้ครองกรงกมพชาธบด ี
ู
ั
ิ
ุ
แล้วจะเอาตัวเจ้าจุ้ย เจ้าเสสังข์ แลข้าหลวงชาวกรุง เรือรบสมัยอยุธยา
นาวิกศาสตร์ 30
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
ึ
ู
ื
ั
็
่
็
ั
ี
ิ
้
ิ
ี
ซงไปอย่เมองใด ๆ จงสน ถ้าและพญาราชาเศรษฐมได้ภกดด้วย เหนว่าต้านทานได้ กให้แต่งการป้องกน
�
�
ุ
ุ
เมืองจงสรรพ ถ้าเห็นว่าจะสู้มิได้ ก็ยังทรงพระกรุณาโปรดอยู่ ให้ออกมากราบถวายบังคมเราจะช่วยทานบารง
เถิงว่าแก่แล้วมามิได้ ก็ให้แต่งหุเอียบุตรออกมาถวายบังคมจงพลัน ถ้าช้าอยู่จะทรงพิโรธฆ่าเสียให้ส้น”
ิ
สภาพแวดล้อมทางยุทธการ
ที่มา : https://www.pcf45.com/sealords/hatien/hatien.html
วันเสาร์ เดือน ๑๒ ขึ้น ๑๐ ค�่า (๑๖ พฤศจิกายน ๒๓๑๔) พระเจ้าตากสินฯ ทรงพระอุตสาหะเสด็จด้วยพระบาท
ั
ั
ยนอยู่ฟากตะวนออกตรงป้อมเมองฝั่งตะวันตก (แหลมเผ่าได๋อยู่ทางตะวนตกของเมองฮาเตยน) สามารถมองเหน
ี
ื
็
ื
ื
ตัวเมืองได้ท้งหมด และเป็นจุดยุทธศาสตร์ท่สาคัญ จากหนังสือ The Prince of Ha-Tien (นิโคลัส เซลเลอร์)
�
ี
ั
ให้ภาพของตัวเมืองฮาเตียนว่า แบ่งเป็นสองส่วนค่นด้วยแม่นาเซิงแทงห์ ตัวเมืองฮาเตียนอยู่ด้านเหนือ
ั
้
�
�
�
�
ด้านใต้เป็นตัวเมืองใหม่ กาแพงเมืองสร้างด้วยไม้ไผ่บางส่วนและกาแพงหิน กาแพงเมืองภายในทาด้วยหิน กว้าง ๒๐๐ เมตร
�
�
ยาว ๕๐๐ เมตร ก่อด้วยอิฐสีเทา น่าจะไม่ใช่กาแพงเมืองป้องกันทางทะเล โดยเฉพาะทางตะวันตกตรงแหลมเผ่าได๋
ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์คุมช่องทางเข้าออกปากแม่น�้าเซิงแทงห์ (เขมร เรียกว่า แม่น�้าขาม) กับอ่าวสยาม
ั
ื
เม่อพระยาราชาเศรษฐีไม่ออกมาอ่อนน้อม พระเจ้าตากสินฯ โปรดให้พระยาอภัยรณฤทธ์ไปต้งค่ายสกัดอยู่
ิ
ณ เชิงเขาฝ่ายทิศตะวันออก พระยาพิไชยไอศวรรย์และเรือรบอาสาหกเหล่า กองหน้านั้นให้รออยู่ท้ายเกาะหน้าเมือง
ี
ฝ่ายตะวันออก เจ้าพระยาจักร (หมุด) พระยาทิพโกษา ทาค่ายน�า ๒ ฟาก ไว้หว่างกลาง กว้างประมาณ ๑๐ เส้น
้
�
้
�
ึ
ึ
ั
จะได้ให้เรือรบซ่งมีปืนหน้าเรือกินดินช่งหน่ง คอยรบคุมปากแม่นาเซิงแทงห์ ไม่ให้เรือญวนหนีรอดไปได้ และลาดตระเวน
ตรวจดูก�าลังฝ่ายข้าศึกว่าเตรียมจัดการตั้งรับไว้อย่างไรด้วย
การวางแผนเข้าตีเมือง
พระเจ้าตากสินฯ ทรงวางแผนเข้าตีเมืองฮาเตียนโดยใช้ทหารกองอาจารย์ (พวกคงกระพันชาตรีกล้าตาย)
่
ี
ุ
�
จานวน ๑๑๑ คน บกนาในทศทางด้วยวธีการท่มพระกระแสรบสง และกาลังทหารทคัดเลอกอีก ๒,๔๐๐ คน เตรียมเข้าต ี
ื
�
ี
ี
ั
่
ิ
�
ั
ิ
�
เวลาสองยามวันอาทิตย์ เดือน ๑๒ ข้น ๑๑ คา (๑๗ พฤศจิกายน ๒๓๑๔) และจะต้องกระทาให้สาเร็จเด็ดขาด
่
�
�
ึ
การจัดก�าลังทหารที่ขึ้นบกยกเข้าตีเมืองในครั้งนี้ ทหารกองอาจารย์อยู่ในกองหลวง ก�าลังทหารอีก ๒,๔๐๐ คน
เป็นทหารส่วนหนึ่งของทัพหน้าของพระยาพิชัยไอยศวรรย์ อันมีกองทหารอาสาหกเหล่าซึ่งเป็นทหารชั้นดีรวมอยู่ด้วย
มีพระศรีราชเดโช และพระท้ายน�้าเป็นผู้บังคับบัญชา ส่วนกองเจ้าพระยาจักรี (หมุด) กองพระยาทิพโกษา ท�าหน้าที่
อยู่ในเรือเป็นทัพหนุน และคอยสกัดจับข้าศึกที่แตกหนีออกมาทางทะเล ส่วนกองมหาดเล็กซึ่งอยู่ในกองหลวงแบ่งอยู่
นาวิกศาสตร์ 31
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
ี
รักษาพระองค์ฯ ออกไปรบสมทบกับทัพหน้าบนบกบ้าง ดังจะเห็นได้จากข้อความในพงศาวดารฯ ท่มีพระราช
ดารัสแก่แม่ทัพนายกองภายหลังการรบแล้ว ส่วนกองพระยาพิพิธคงจัดไว้เป็นกองหนุนเหมือนกันในเวลาเข้าตีเมือง
�
้
�
ิ
้
ิ
้
่
ู
ื
�
ู
่
ู่
และมไดกลาวไวว่าพระเจาตากสนฯ ทรงอานวยการรบอย่บนบกหรืออยในเรอ แต่เข้าใจว่าทรงอานวยการรบอย่ในเรอมากกวา
ื
ี
ี
ั
เพราะเป็นการสะดวกท่จะเสด็จไปท่ใด และมองเห็นสมรภูมิและภาพเหตุการณ์ได้ท่วไป (จากประวัติการทหารเรือไทย
พ.ศ. ๒๕๐๘)
นิโคลัส เซลเลอร์ ได้ให้รายละเอียดเพ่มเติมว่า “สยามน่าจะโจมตีเมืองเป็น ๒ ระลอก เร่มด้วยการโจมต ี
ิ
ิ
ึ
ึ
ี
�
�
ทางกาแพงเมืองก่อนแล้วสนับสนุนด้วยปืนใหญ่ และปืนไฟท่นาข้นไปบนเนินเขาโตเจินซ่งเป็นภูเขาลูกย่อม ๆ สูง ๓๐๐ เมตร
�
�
ี
้
จากระดับนาทะเลปานกลาง สามารถมองเห็นตัวเมืองได้คล้ายกับแหลมเผ่าได๋ซ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ท่สาคัญ”
ึ
ทัพบก ทัพเรือพรักพร้อมกันหักเอาเมืองได้รุ่งเช้า ไพร่พลเมืองฮาเตียนแตกกระจัดกระจายหนีไป พระยาราชาเศรษฐ ี
(หมักเทียนตื๋อ) หนีลงเรือไปได้ จับตัวพระองค์เจ้าจุ้ย และเจ้าเมืองจันทบุรีคนเก่า (ซึ่งหลบหนีมาเมื่อพระเจ้าตากสินฯ
ตีเมืองจันทบุรี) ไปจ�าขังไว้
เวลาโมงเช้าเศษ พระเจ้าตากสินฯ เสด็จเข้ามาประทับที่จวน พระยาราชาเศรษฐีตรัสสั่งว่า “สัมฤทธิ์ราชการแล้ว
ให้มีกฎหมายประกาศแก่นายทัพนายกองไทยจีนท้งปวง ซ่งจีนและญวนไพร่พลเมืองจะเดินทางไปมาค้าขาย
ั
ึ
�
�
ั
ี
ตามถนนหนทางอย่าให้จับกุมโบยตีฆ่าฟันเป็นอันขาด ให้ต้งเกล้ยกล่อมทามาหากินตามภูมิลาเนาดังแต่ก่อน ถ้าผู้ใดมิฟัง
�
ั
บังอาจละเมิดพระราชกาหนดจงลงพระราชอาญาผู้น้นถึงชีวิต” (เป็นการอนุรักษ์ยุทธวินัยมิให้ทหารข่มเหงพลเมือง
ที่มิได้ตีโต้อันจะท�าให้พลเมืองมีความจงรักภักดีต่อไป)
�
ี
ั
ึ
ิ
ส่งหน่งท่ตรงกับหลักการสงครามสมัยใหม่ก็คือ การทา Lesson Learn หลังเสร็จยุทธการท่มีมาต้งแต่สมัย
ี
ั
ั
พระเจ้าตากสินฯ กล่าวคือ หลังจากน้นทรงมีรับส่งสอบถามบรรดาแม่ทัพนายกองถึงวิธีปฏิบัติในเวลารบท้งฝ่ายเรือและ
ั
ฝ่ายบก เพื่อจะได้ทรงทราบว่าใครท�าถูกท�าผิด จะได้เป็นบทเรียนไว้ส�าหรับการรบในคราวต่อไป เช่น
- มีรับสั่งถามเจ้าพระยาจักรี (หมุด) ว่า เมื่อญวนลงเรือหนีไปท�าไมจึงไม่ยิงปืน ในเวลานั้นเจ้าพระยาจักรี (หมุด)
�
ื
กราบทูลว่า เพราะเรือรบในบังคับบัญชาของจม่นไวยวรนาถขวางหน้าอยู่ จึงเข้าพระทัยว่าจม่นไวยวรนาถทาการรบ
ื
ไม่เข้มแข็ง รี ๆ รอ ๆ ไม่รีบเข้าตีเรือข้าศึก ท�าให้เกะกะไม่เป็นประโยชน์อันใดในการสู้รบ ควรจะต้องลงพระอาญาเฆี่ยน
คนละ ๓๐ ที แต่ให้ทุเลาไว้ก่อน และให้ท�าการแก้ตัวในการรบครั้งต่อไป
ั
- มีรบส่งถามหวหน้ากองอาจารย์ว่า คุมทหารหักเข้าค่ายทางด้านไหน หัวหน้ากองอาจารย์ ๓ คน กราบทลไม่เหมือนกัน
ั
ู
ั
ได้ความจริงว่าไม่เข้าตีตามท่รับส่งไว้ นับว่ามีความผิด จึงให้ลงพระอาญาเฆ่ยนคนละ ๕๐ ท ไพร่คนละ ๒๐ ท ี
ี
ี
ี
ั
ส่วนความชอบที่ตีค่ายได้นั้น ก็พระราชทานบ�าเหน็จรางวัลคนละ ๖ ชั่ง
นาวิกศาสตร์ 32
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
้
ี
ั
ั
�
ดังน จะเห็นได้ว่าแม่ทัพน้นจะต้องมีความเด็ดขาด ผู้ใดจะขัดคาส่งมิได้ ผิดก็ต้องเป็นผิด ถูกก็ต้องเป็นถูก
้
�
แสดงความเด็ดขาดชัดเจนไปเลย เพราะในราชการทัพนนจะอ่อนแอมิได้ ใครทาความดีก็ได้รับความชอบ ใครทาผิด
�
ั
ี
ก็ต้องได้รับโทษเพ่อมิให้เป็นเย่ยงอย่าง และเป็นการผดุงวินัยอันเฉียบขาดของกองทัพ แล้วทรงพระกรุณาจัดแจงบ้านเมือง
ื
ิ
ิ
่
ั
ึ
ั
้
ู
้
ื
้
ี
ุ
�
ิ
่
้
ี
็
ี
ดงเกา จงพระราชทานตงพระยาพพธผชวยราชการโกษาธบดเปนพระยาราชาเศรษฐรังเมองปากนาพทไธมาศ (ฮาเตยน)
จากความเป็นไปที่กล่าวมาข้างต้น บ่งชี้อย่างชัดเจนว่าพระเจ้าตากสินฯ เป็น “ผู้น�าทหาร” ที่แท้จริง โดยทรงมี
คุณสมบัติครบถ้วน โดยเฉพาะความเข้มแข็ง เด็ดขาด กล้าตัดสินใจ รู้จักการอ่อนตัว ยืดหยุ่นตามสถานการณ์เช่นเดียวกับ
แม่ทัพผู้มีชื่อเสียงของโลกในยุคปัจจุบัน
วันจันทร์ เดือน ๑๒ ขึ้น ๑๒ ค�่า (๑๘ พฤศจิกายน ๒๓๑๔) โปรดฯ ให้เจ้าพระยาจักรี (หมุด) เป็นแม่ทัพหน้า
ี
ทรงพระกรุณาพระราชทานเรือพระท่น่งรองลาหน่งให้เป็นเกียรติยศ ยกทัพจากเมืองฮาเตียนไปตีเมืองพุทไธเพชร
ั
�
ึ
(อุดงฤาชัย) ราชธานี กรุงกัมพูชาธิบดี ประกอบดวยกองเรือพระยาโกษา กองเรือพระมหาเทพ กองเรือจมื่นไวยวรนาถ
้
กองเรือองค์พระรามราชา รวม ๕ กอง จ�านวนเรือรบ ๙๗ ล�า นาย ไพร่ ๓,๓๐๗ คน สรรพด้วยปืนหน้าเรือ ปืนรายแคม
้
้
�
�
ั
เคร่องศัสตราวุธท้งปวงยกล่วงหน้าไปก่อน เดินทัพไปตามลานาเข้าสู่แม่นาโขง คร้นยกออกไปถึงปากนาโพรงกระสัง
ั
�
ื
�
้
พบเรือประเจียงญวน ๓ ล�า ได้รบกัน แลญวนนั้นแตกหนีไป โดดน�้าบ้าง ถูกปืนตายบ้าง จับได้ฟันเสียบ้าง แล้วยกเรือ
ขึ้นไปตามล�าน�้า เพื่อไปตีกรุงกัมพูชาธิบดีต่อไป
่
�
่
วันพุธ เดือน ๑๒ ข้น ๑๔ คา (๒๐ พฤศจิกายน ๒๓๑๔) เพลายาฆ้องคา ๕ บาท เป็นมหาพิชัยฤกษ์ พระเจ้าตากสินฯ
�
่
�
ึ
เสด็จยกทัพหลวง นาย ไพร่ ๕,๐๐๐ เศษ เรือรบ ๖๐ ล�า สรรพด้วยปืนหน้าเรือ ปืนรายแคม ปืนคาบศิลา ๒,๐๐๐
ึ
ี
และเคร่องศัสตราวุธท้งปวง ยกออกจากเมืองฮาเตียนโดยทางชลมารคข้นไปตีกรุงกัมพูชาธิบด ประทับแรมตามรายทาง
ั
ื
จากบ้านปลิงกุ บ้านแหลม ปากน�้าโพรงกะสัง และที่บ้านจีนริมน�้า จีนมาเฝ้ากราบทูลพระกรุณาว่า เจ้าเมืองกัมพูชา
หนีไปแล้ว จึงเสด็จไปประทับ ณ เกาะพนมเพ็ง (บริเวณเมืองพนมเปญ)
กองเรือพระยาโกษาธิบดีที่แยกมาจากกองทัพหลวงตีได้เมืองกัมพงโสมแล้วยกจะตีเอาเมืองกาปอด
�
พระยาปังกลิมา แขกจามเจ้าเมืองยอมอ่อนน้อมมิได้ต่อรบจึงพาตัวข้นมาเฝ้า ณ เกาะพนมเพ็ง จึงโปรดฯ
ึ
ให้พระยาปังกลิมากลับไปอยู่รั้งเมืองก�าปอดดังเก่า
ี
หลังจากทรงพระกรุณาพระราชทานเรือแลข้าวปลาอาหารให้แก่พระสงฆ์ไทยท่สมัครจะเข้าไปเมืองธนบุรีแล้ว
เสด็จฯ จากเกาะพนมเพ็งมาประทับอยู่ ณ ปากน�้าถวายพะแพฟากตะวันตก หนังสือเจ้าพระยาจักรี (หมุด) บอกมา
ั
ทูลพระกรุณาเป็นใจความว่า เขมรประมาณ ๑,๐๐๐ เศษ ต้งค่าย ๒ ฟากคลอง คลองน้นผูกแพสกัดไว้ได้เข้ารบพุ่ง
ั
ติดพันกันอยู่ รุ่งขึ้นวันพฤหัสบดี เดือน ๑๒ แรม ๑๔ ค�่า เพลาเช้าเสด็จออกโยธาทหารทั้งปวง ทรงพระกรุณาด�ารัส
ั
เหนือเกล้าฯ ส่งว่า บันดาจีนไทยท้งปวงซ่งได้เขมรเชลยไว้ ให้เอาข้นทูลเกล้าฯ ถวายจะพระราชทานให้เจ้าองค์รามราชา
ึ
ั
ึ
ซึ่งอยู่กินเมืองกัมพูชาธิบดี แลกองทัพเจ้าพระยายมราช (รัชกาลที่ ๑) พระยาโกษาให้อยู่ช่วยราชการองค์รามราชากว่า
ิ
ึ
สนบสนัดก่อน อน่งเจ้าพระยาจักร (หมุด) ซ่งไปตีครัว ณ ปาพนมน้นสัมฤทธ์ราชการแล้ว กลับคืนมายังทัพหลวงซ่งต้งอย ู่
ึ
ั
ึ
ี
ั
ณ ปากนาถวายพะแพ เพลาเช้า ๒ โมงเศษ เสด็จฯ ยกพลหยุหทัพเพ่อจะกลับคืนยังเมืองพุทไธมาศ/ฮาเตียน โดย
้
�
ื
เสด็จฯ มาประทับแรม ณ เกาะปากน�้าทางจะไปกัมพูชา คอยโยธาทหารมาพร้อมแล้วจึงทรงวิจารณ์จัดแจงแล้ว รุ่งขึ้น
เพลาเช้ายกออกจากเกาะล่องไปประทับอยู่ฟากตะวันตก ณ ปากสองแคว จะไปกัมพูชา จะไปปาสัก
ึ
ั
ั
ู่
�
อน่ง นายทัพนายกองซ่งทรงพระกรุณาให้ไปต้งอย ณ ปากนา แล้วจึงให้ไปเกล้ยกล่อมเมืองปาสัก มิได้ต้งอยู่ตามรับส่ง
ึ
้
ี
ั
ล่วงเข้าไปพบเรือญวนประมาณ ๕๐ ล�า รบกัน ลาดทัพถอยมาให้เสียพระสิริสวัสดิ์ (เสื่อมเสียพระเกียรติยศ) เสียคน
�
้
�
ั
เสียเรือ ๑๑ ลา แล้วเสด็จฯ มาต้งค่ายอยู่ ณ ปากนาโพรงกระสัง บันดาเรือเชลยซ่งตีได้มาน้นให้ล่วงหน้าไปเมือง
ั
ึ
นาวิกศาสตร์ 33
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
�
่
ึ
ั
ึ
ึ
ั
ั
ี
้
�
พุทไธมาศก่อน คร้นรุ่งข้นวันเสาร์ เดือนอ้าย ข้นคาหน่ง ยกจากค่ายปากนาโพรงกระสัง ให้เจ้าพระยาจักร (หมุด) ต้งม่นอย ู่
�
�
้
ี
ึ
่
บ้านจินจง แลนายทัพนายกองที่ลาดทัพมาแต่ปาสัก ให้สมทบอยู่ในกองน้ด้วย รุ่งข้นยกออกมาเพลาคา นาในคลองน้นต้น
ั
ื
เรือครัวจะไปนั้นมิได้ ทรงพระมหากรุณาให้ฝีพายทนายเลือก (นักมวยป้องกันพระองค์) ช่วยเข็นเรือ แล้วสั่งให้ทดน�้า
ทงกลางวนกลางคน เรอรบเรอเชลยใหญ่น้อยทงปวงผ่านไปได้ (สงนแสดงให้เหนถงพระปรชาสามารถในการอานวย
ื
ื
้
็
้
ึ
ั
ี
่
้
ี
ื
ิ
�
ั
ั
ั
ี
่
ึ
ี
่
ั
ื
่
ิ
้
ิ
้
ี
ั
ื
่
่
ื
ุ
ั
การทพในฐานะผ้บญชาการพนทซงต้องตดสนใจแก้ไขปัญหาทเกดขน และเป็นผ้สงการในพนทเพอขจดอปสรรค
ั
ึ
ู
้
่
ู
ต่อแผนหลักที่วางไว้) วันจันทร์ เดือนอ้าย ขึ้น ๓ ค�่า เพลาบ่าย ๓ โมง ถึงเมืองพุทไธมาศ สั่งให้พระยาพิชัยไอศวรรย์
�
ึ
แต่งคนไปเอาข่าวราชการ ณ กรุงเทพมหานคร (กรุงธนบุรี) รุ่งข้นเพลาบ่าย ๔ โมงเศษ พระยาทิพโกษานาเอาจีนบุญเส็ง
หลวงสงขลา ซึ่งหนีไปนั้นมาทูลเกล้าฯ ถวาย จึงตรัสประภาษ ทั้งสองโทษถึงตาย ทรงพระกรุณาตามที่กราบทูลจะอยู่
ท�าราชการสนองพระเดชพระคุณต่อไป
วันพุธ เดือนอ้าย ขึ้น ๕ ค�่า เพลา ๒ ยามเศษ เจ้าพระยาจักรี (หมุด) พระยาอภัยรณฤทธิ์ บอกมาให้กราบทูล
พระกรุณาใจความว่า นายทัพนายกองซึ่งไปราชการเมืองปาสัก รบกับญวนเสียคนถูกปืนตายและเรือ ๘ ล�า นายและ
้
ึ
�
ั
ึ
ี
ไพร่รอดมาได้ ๑๘๖ คน ข้นบกเดนตามริมนามาถึงบ้านพระยาพิชัยสงคราม เขมรซ่งเกล้ยกล่อมไว้น้นรับเล้ยงดไว้
ี
ู
ิ
ว่าจะส่งเข้ามา อนึ่ง พระสงฆ์เขมร ๕ รูป ถือหนังสือพระยาอธิกวงศา เจ้าเมืองปาสัก และพระยาราชาสงคราม มาเถิง
นายทัพนายกองท้งปวง ในใจความว่า จะสวามิภักด์สมัครเป็นข้าใต้ละอองฯ แลให้นายทัพนายกองช่วยทานุบารุง
ิ
�
�
ั
ิ
ึ
ื
เอาเน้อความกราบทูลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ อย่าให้มีความผิดส่งหน่งส่งใดเลย พระหลวงขุน
ิ
ั
�
ื
หม่นเขมรจะได้มีชีวิตสืบไป จะได้ทาการสงครามมิได้กลัวแก่ญวนเลย คร้นได้ทรงฟังหนังสือบอกน้นแล้ว จึงตรัสประภาษว่า
ั
ั
ี
ึ
เจ้าเมืองปาสักน้มีความชอบอยู่ ซ่งข้าทูลละอองฯ จะอาษาไปตีน้นให้ยกไว้ จึงทรงพระอักษรไปเถิงเจ้าพระยาจักร ี
ึ
ั
ึ
(หมุด) ในใจความว่า ข้าหลวงซ่งไปราชการเมืองปาสัก ญวนบังอาจตีแตกกระจัดกระจายหนีข้นบกได้น้น เจ้าเมืองปาสัก
ั
และพระยาราชาสงคราม เขมรรับไว้เล้ยงด ให้กินแล้วแต่งคน เรือ เสบียงส่งมาน้น เป็นความชอบใหญ่หลวง
ู
ี
ื
ี
�
ั
ทรงพระกรุณาพระราชทานเส้อผ้าคนละสารับ เงินคนละช่ง แล้วให้เจ้าพระยาจักร (หมุด) หาลงมาพระราชทาน แล้วให้
ห้ามนายทัพนายกองท้งปวงอย่าให้ไปตีเมืองปาสักเลย ให้พระยาอธิกวงศากินเมืองปาสักสืบไป ทรงพระกรุณาจะฝากฝัง
ั
พระองครามราชา ซงครองกมพชาธบด ใหทาราชการยง ๆ ขนไป ถาพระยาทงสองจะใครไปถวายบงคมพระองครามราชา
ั
่
์
ึ
ั
่
�
ู
้
้
ึ
่
ิ
์
ี
ิ
ั
้
้
ก็ให้ไป ถ้าใคร่จะมาถวายบังคมล้นเกล้าฯ ณ เมืองพุทไธมาศ ก็ให้พาตัวลงมา หนังสือแลส่งของพระราชทานน้น
ั
ิ
ให้พระยาเดโช เขมร นายแกว่นถือไป (พนักงานมหาดไทย)
ี
วันพฤหัสบด เดือนอ้าย ข้น ๖ คา เพลาเช้า ทรงพระอักษร ๒ ฉบับ เป็นหนังสือพระยาโกษาธิบด ให้นายวิสูตร องไดฉาม
ี
ึ
่
�
�
ื
�
ลักเกียด ไพร่ไทย ๕ ญวน ๕ ถือไปกรุงอนากก ในเร่องราวใจความฉบับหน่งว่า ให้เสนาบดีกราบบังคมทูลพระเจ้าอนากก
ึ
ให้ว่าแก่ญวนลูกหนาย (เมืองซาดิงห์/ไซ่ง่อน) ให้ส่งเรือรบ ๘ ล�า นายและไพร่ ๑๐๐ เงิน ๑๐๐ ชั่ง ซึ่งญวนสกัดตีซึ่ง
ข้าหลวงราชการเมืองปาสัก โดยทางพระราชไมตรีแลไมตรีมิให้พิโรธแก่กัน
อนึ่ง ตรัสสั่งพระอาลักษณ์ ให้หมายบอกกรมนา จ่ายข้าวสาร ๓ เกวียน แลกัปปิยะ (เครื่องใช้สมควรแก่สมณะ)
ถวายพระสงฆ์ ๕๐ เณร ๕๐ รวม ๑๐๐ รูป ซึ่งจะได้รับพระราชทานฉัน กว่าจะไปเถิงเมืองธนบุรี
ั
�
่
ี
�
ึ
วันอาทิตย์ เดือนอ้าย ข้น ๙ คา เพลาบ่าย ๒ โมง ทรงพระอักษรดารัสส่งหลวงราชนิกุลให้ไปเถิงเจ้าพระยาจักร (หมุด)
เป็นใจความว่า กองทัพพระศรีพิพัฒ ซึ่งไปราชการเมืองปาสัก แตกญวนหนีมา เสียเรือรบ เรือไล่ นั้น ครั้นจะไม่เอาโทษ
ข้าราชการทั้งปวงก็จะดูเยี่ยงอย่างกันสืบไป ครั้นจะเอาโทษเล่า คนมากกว่า ๓๐๐ นั้น ทรงพระราชด�าริจะลงโทษให้
ก่อก�าแพงเมืองธนบุรี แลให้แต่งคนคุมผู้มีชื่อเป็นหมวดเป็นกองลงมา ณ เมืองพุทไธมาศ จะได้ให้มีนายประกันรับตัว
เข้าไปยังเมืองธนบุรี แลให้เจ้าพระยาจักรี (หมุด) แลกองทัพทั้งปวงกลับมา ณ เมืองพุทไธมาศ จะได้จัดแจงแต่งเรือรบ
นาวิกศาสตร์ 34
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
ื
ู
ุ
ั
ื
ี
ู่
ุ่
้
ื
ั
�
เรอไล่ให้พร้อมไว เพลาทมเศษเสด็จอย ณ พระตาหนกเมองพุทไธมาศ ขนวิสตรแลลาวมช่อ กบหนังสือบอกพระยาพชัย
ิ
(ทองดี) และหนังสือเจ้าพระยาศรีธรรมมาธิราชเป็นหลายฉบับ ทรงหนังสือบอกในท่ามกลางราชบริษัทท้งปวง ในใจความ
ั
นั้นว่า พระยาพิชัย (ทองดี) ให้ขุนคลังไปสืบข่าวราชการพะม่า พระยาศรีสุริวงศ์ บอกเนื้อความว่าไปสอดแนมราชการ
ณ เมืองแพร่ เมืองน่าน พบนายจุด นายตน นายค�ามูน ให้การว่า มังมะยุง่วน เจ้าเมืองเชียงใหม่ (ขณะนั้นขึ้นกับพะม่า)
ให้กะเกณฑ์พลทหารเป็นหลายบ้านไปพร้อมกัน ณ เมืองเชียงใหม่ กับทัพเมืองเมาะตะมะ เป็น ๒ ทัพ จะยกไปเมืองใด
คนมากน้อยเท่าใดมิได้รู้ พระยาพิชัย (ทองดี) เกณฑ์คนเมืองลับแล เมืองฝาง เป็นกองหลวงได้คน ๔๐๐ ตระเตรียมไว้
ึ
อน่ง พระยากาญจนบุรีบอกเข้ามาว่า ได้แต่งคนออกไปตระเวณปลายด่านพบพะม่าแลมอญ จึงยกพวกพลทหาร
ึ
ื
ก้าวสะกัดยิงพะม่าตาย ๒ คน พะม่าแตกพ่ายไป จึงได้หมวก เส้อ ปืน แลละว้า (ชาวเขาเผ่าหน่งอยู่ทางตอนเหนือของสยาม)
ั
ึ
ซ่งพะม่ากวาดเอาไปน้นคืนมาได้ ๗๐ คน ข่าวว่าราชการในเมืองเมาะตะมะสงบอยู่ แลหนังสือบอกราชการในเมือง
ั
ธนบุร คร้นทรงอ่านแล้วและทรงซักไซ้ไต่ถามลาวมีช่อ (เชลยชาวลาว) ด้วยภาษาลาว ก็แจ้งและอนุมานตามกระแส
ื
ี
เนื้อความนั้น จึงตรัสแก่บริษัททั้งปวงว่าพะม่าจะยกมานั้นหามิได้
�
ื
ี
ี
้
ความเป็นไปข้างต้นน ช้ให้เห็นว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงให้ความสาคัญ เร่อง “ข่าวกรอง” โดยมีการรวบรวม
สืบเสาะข้อมูลข่าวสารของฝ่ายตรงข้ามแล้วนามาวิเคราะห์ เพ่อประเมินภัยคุกคามเช่นเดียวกับหลักการทหารในปัจจุบัน
�
ื
วันจันทร์ เดือนอ้าย ขึ้น ๑๑ ค�่า เพลาเช้าโมงเศษ พระยาโกษานอกราชการทัพบก ยกลงมาแต่กรุงกัมพูชาธิบดี
มาเฝ้ากราบทูลพระกรุณาในเนื้อความว่า เมื่อยกทัพลงมานั้น เขมรป่าพวกละ ๕๐๐ พวกละ ๖๐๐ คน ยกกันมาสกัด
ทาอันตราย กลางวันบ้าง เข้าตีปล้นกลางคืนบ้าง ได้รบกันเป็นสามารถ เขมรร้องว่ามึงแตกทัพญวนลงมาแล้วหรือ
�
แลกองทัพพระยาโกษา กองทัพเจ้าพระยาอนุรักษ์ภูธร แลกองทัพขุนหมื่นข้าหลวงทั้งปวง ได้ไล่ตะลุมบอนฆ่าฟันเขมร
ล้มตายเป็นอันมาก ฝ่ายเขมรก็ต่อสู้ยิงกองทัพด้วยธนูหน้าไม้ ถูกไพร่ทหารในกองทัพ ๘๐ คนเศษ แต่จะได้อันตราย
ล้มตายแต่สักคนหนึ่งมิได้นั้น จึงทรงพระกรุณาตรัสแก่พระยาโกษาว่า เราคิดเอ็นดูว่าเขมรนี้มิได้แกล้วกล้าในสงคราม
เราจึงอดลดไว้ บัดนี้มาท�าร้ายแก่ไพร่กองทัพนั้น เห็นว่าแผ่นดินกัมพูชาธิบดียังมิสงบจะไว้ชีวิตมิได้ สั่งให้พระยาโกษา
ึ
เจ้าพระยาอนุรักษ์ภูธร ยกกองทัพข้นไปปราบเขมรเหล่าร้ายให้สงบจงได้ อน่ง เพลาทุ่มเศษ ทรงแต่งกฎประกาศ
ึ
แก่ข้าทูลละอองฯ ฝ่ายทหาร พลเรือนไทยจีน ว่าทางจะไปญวนนั้นขัดสน แลได้มีศุภอักษรไปแก่ญวนแล้วถ้าเป็นไมตรี
ี
ั
ู
ื
ั
่
ต่อแล้วกแล้วไป ถ้าดอดงอย่จะยกกองทพเรอไป แลให้พระยายมราช (รชกาลท ๑) พระยาโกษาอย่ช่วยราชการ
ึ
ู
้
็
ื
ื
พระองค์รามราชา ณ เมืองกัมพูชาธิบด กว่าเขมรจะราบคาบสงบแล้วจึงให้กลับไป เม่อจะกลับไปน้น ให้เกณฑ์กัน
ี
ั
ึ
ั
ต้งค่ายเป็นทอดไปกว่าจะถึงกรุงฯ อย่าให้เป็นเหตุการณ์อันตราย จะเอานายทัพนายกองเป็นโทษถึงตาย อน่งญวน
เขมรอ่อนแก่การสงคราม จะตั้งค่ายก็ตั้งแค่ ๓ ด้าน จะรบเรือก็ลอยเรือยิง เรือใหญ่ช่องปืนยิงนั้นจ�าเพาะแต่ปากปืนนั้น
จะยักย้ายมิได้ ล้อรางไม่รวดเร็วอย่างกับเรือรบกรุงฯ ถ้าทแกล้วทหารบุกรุกเข้าไปญวนกระโดดนาหนีไป ได้เรือ
้
�
ื
�
เคร่องศัสตราวุธเป็นหลายแห่ง หลายตาบล แลกองทัพพระศรีพิพัฒรบกับญวน ญวนลอยเรือรบยิงแต่ไกล มิได้ยกบุกรุก
ั
ึ
้
ี
ี
จงเสยคน ๑๐ คน เรือ ๖ ลา และพระอุทัยธรรมมิได้ช่วยกัน ลาดถอยเรือหนีมาให้เสยราชการนน จะเอาตัว
�
เป็นโทษตามโทษานุโทษแต่น้สืบไปเม่อหน้า นายทัพนายกองท้งปวงจะรบญวนน้นให้เข้าเป็นกอง ๑๐ ลาบ้าง ๕ ลาบ้าง
ั
ื
�
ี
ั
�
ิ
ให้ตีแต่เข้าไปให้ชิดได้แคมได้ข้าง ถึงจะยิงปืนช่องปืนจาเพาะแต่ปากบอก จะยกท้ายข้นมได้ ก็จะพ้นไป เสยทางปืน
�
ึ
ี
แล้วญวนก็จะโดดน�้าหนี จะได้ชัยชนะมาทูลเกล้าฯ เป็นความชอบนัก แลนายทัพนายกองจะรบด้วยเรือรบญวน ผู้ใด
ี
ร้งรอย่อหย่อนอยู่ให้เสียราชศรีสวัสด์น้น ให้นายทัพผู้ใหญ่ตัดศีรษะเสียบ อย่าได้ดูเย่ยงอย่างกัน ญวนต้งค่ายรบเอา
ั
ั
ิ
ั
เรือรบ เรือล่อ อย่าให้บุกรุกเข้าไป ถ้าพอจะเอาเรือรบซ่อนไว้ได้ ก็ให้ซุ่มไว้ ให้แต่งกองออกล่อให้เสียกลแล้ว ก็ให้ตัดท้าย
ตัดกลางบุกรุกเข้าไป จึงจะได้ชัยชนะด้วยง่าย
นาวิกศาสตร์ 35
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
ั
ี
ึ
วันพุธ เดือนอ้าย ข้น ๑๒ คา เพลาบ่าย ๓ โมงเศษ ฯพฯ ลูกขุน (ข้าราชการช้นผู้ใหญ่) ณ ศาลาท่ประทับ
�
่
ั
�
่
ื
ึ
่
ุ
ั
ได้เอาหนังสือบอกของพระยายมราช (รชกาลท ๑) น้น กราบทูลพระกรณาในใจความน้นว่า วันจันทร์ เดอน ๑๒ ข้น ๕ คา
ั
ี
ั
ั
ยกกองทัพบกมาถึงบ้านปราสาทเอกไกลเมืองพระตะบองประมาณ ๑๕๐ เส้น ต้งค่ายม่นลงแล้ว แต่งให้พระหลวง
�
่
ั
�
ื
ขุนหม่น ทแกล้วทหารท้งปวง ๑,๐๐๐ เศษ ยกเข้าตีเมืองดูกาลัง รบกันเพลาบ่ายโมงจนเพลาคา เขมรยังรบพุ่งต้านทานอย ู่
้
�
คร้นเพลาประมาณ ๒ ทุ่มเศษ พระอนุชิตราชาและนายทัพนายกองท้งปวง จึงแต่งคนให้ข้ามนาวกหลังไปตีเขมร
ั
ั
ั
ั
�
แตกพ่ายไป จึงยกมาต้งม่นอยู่ ณ บ้านปลงกะบ แล้วให้พระยากาแหงวิชิต ยกรบัตรทัพอยู่รักษาด่าน กองหลวง
ู
ี
กองหน้า กองเกียกกาย กองยกรบัตรทัพ กับนายทัพนายกองท้งปวง ยกไปตีเขมรท่ค่ายส�านักระกา รบพุ่งกันแต่
ั
เพลาเช้า ๒ โมง จนเพลาบ่าย ๒ โมง ตะลุมบอนฟันแทงเขมรตายประมาณ ๑๐๐ คนเศษ เขมรแตกไป จับได้ ๒๗ คน
ได้ปืนแกว (ญวน) ๕๐ กระบอก ม้า และเครื่องศัสตราวุธเป็นอันมาก พระวิเศษถูกปืนตาย และทหารบาดเจ็บ ๑๔ คน
ตาย ๑ คน แลสืบข่าวได้ว่าเขมรตั้งค่ายรบ ณ บ้านตะพงปรัก ๒ ค่าย จึงให้ฟ้าทะละหะ และนายเงินน้องพระวิเศษ
ทาราชการแทนพระวิเศษกองหน้าต่อไป ยกกองทัพเข้าตีเมืองโพธิสัตว์เขมรแตกหนีไป จึงต้งค่ายพักอยู่หาเสบียง
ั
�
ึ
ณ เมืองโพธิสัตว์ ๓ วัน แต่งให้ทหารรักษาเมือง ๒๐๐ คน แล้วให้แยกข้นทางเมืองตะคร้อ เมืองขลุง เมืองลารอง
เมืองบริบูรณ์ ตัดตรงจะเข้าตีเมืองพุทไธเพชร คร้นถึงบ้านกาแรง จับเขมรได้ ให้การว่า กองทัพหลวงได้เมืองพุทไธเพชร
�
ั
แล้วจึงยกรีบมาตามเสด็จฯ (พระยายมราช รัชกาลท ๑ เข้าพระทัยว่าพระเจ้าตากสินฯ เสด็จมากับทัพหลวง ความจริงแล้ว
่
ี
ี
ี
เป็นทัพหน้าของเจ้าพระยาจักร (หมุด) ท่ตีเมืองพุทไธเพชรได้ก่อนแล้ว) พบพระองค์รามราชาบอกว่าเสด็จฯ
กลับไปเมืองฮาเตียน/พุทไธมาศแล้ว แลเมืองพุทไธเพชรน้น ข้าวปลาอาหารขัดสน จึงยกมาต้ง ณ เมืองโพธิสัตว์
ั
ั
ั
ั
ี
เมืองปัตบอง (พระตะบอง) ข้าวปลาอาหาร ผู้คนค่อยม่งค่ง ให้ฟ้าทะละหะอยู่เกล้ยกล่อมจะได้ช่วยราชการไปกว่าจะสงบ
ั
ั
ั
ั
คร้นได้ทรงฟังในหนังสือบอกน้นแล้ว จึงทรงฯ ตรัสส่งว่า ฟ้าทะละหะน้นให้อยู่เกล้ยกล่อม ณ เมืองโพธิสัตว์
ี
เมืองปัตบอง ที่ข้าวปลาอาหาร ผู้คนมาก และให้มีหนังสือไปเถิงพระองค์รามราชา ว่าได้ให้พระยายมราช (รัชกาลที่ ๑)
พระยาโกษาอยู่ช่วยราชการพระองค์รามราชา ถ้าราชการกรุงกัมพูชาธิบดีสงบแล้วจึงให้กองทัพกลับเข้าไปกรุงฯ
แลพระราชทานข้าว ๑๐๐ เกวียน ดินประสิว ๕ หาบ ดีบุก ๕ หาบ ไว้แก่พระองค์รามราชาสาหรับราชการ อน่ง ฟ้าทะละหะ
�
ึ
ครั้นสงบราชการแล้ว ให้คงที่เป็นฟ้าทะละหะท�าราชการทะนุบ�ารุงแผ่นดินกรุงกัมพูชาธิบดีสืบไป แล้วทรงพระกรุณา
พระราชทานข้าวไว้สาหรับเมือง ให้พระองค์รามราชา ๑๐๐ เกวียน พระยาราชาเศรษฐ ๑๐๐ เกวียน ไว้เมืองพุทไธมาศ
ี
�
ถ้าพระองค์รามราชาขัดสนก็ให้แต่งคนลงไปรับเอาต่อพระยาราชาเศรษฐี เมืองปากน�้าพุทไธมาศ (ฮาเตียน)
ิ
ั
�
�
ึ
่
วันศุกร์ เดือนอ้าย ข้น ๑๔ คา เพลาเช้า เสด็จฯ ออกขุนนาง ณ ตาหนักเมืองพุทไธมาศ ตรัสส่งเจ้าพระยาสรประสิทธ์ว่า
ณ วันเดือนอ้าย แรม ๓ ค�่า จะเสด็จกลับไปเมืองธนบุรี ให้ตั้งพิธีไปแต่วันนี้ ให้เป็นลมว่าว ลมตะวันออก กว่าจะเสด็จฯ
กลับไปเถิงเมืองธนบุรี อย่าให้เป็นเหตุการณ์แก่พิริยโยธาทั้งปวง
�
่
อน่ง เพลายาคาแล้ว ทรงพระอักษรส่งให้นายเล่ห์อาวุธ (มหาดเล็ก) ให้หมาดไทยหมายบอกข้าทูลละอองฯ
ึ
่
�
ฝ่ายทหาร พลเรือน ทแกล้วทหารทั้งปวงในใจความว่า จะเสด็จฯ กลับไปโดยทางชลมารคนั้น ให้ไปเป็นหมวดเป็นกอง
ี
อย่าให้พลัดหมวด พลัดกอง มีราชการจะได้หากันสะดวก แลฤดูน้เป็นเทศกาลลมว่าวพัดด้านข้างเรือ ลมตะวันออก
พัดข้างเรือ ห้ามอย่าให้ออกไปไกลฝั่ง ให้เลียบริมฝั่งไป ถ้าจะข้ามอ่าว ลมพัดข้างเรือนัก คลื่นใหญ่จะไปมิได้ ให้หยุดอยู่
กว่าคลื่นจะสงบราบก่อนจึงไป ให้ได้อ่าวอาศัยถ้าเห็นว่าลมเปล่าโปร่งดี ก็ให้ไปทั้งกลางวันกลางคืน อย่าให้หยุดอยู่ที่ใด
ิ
ท่หน่ง แลให้นายทัพนายกองกาชับว่ากล่าวกัน อย่าให้เป็นเหตุการณ์แต่ส่งหน่งส่งใดได้ อน่ง ลูกเรือน้นให้ดูโคม (สัญญาณไฟ)
ิ
�
ึ
ึ
ี
ั
ึ
นายเรือเป็นส�าคัญ ให้ไปเป็นหมวดเป็นกองกันตามรับสั่ง
นาวิกศาสตร์ 36
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
ี
้
ี
ความเป็นไปข้างต้นน ช้ให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพความเป็นชาวเรือของพระเจ้าตากสินฯ ท่ทรงวิเคราะห์คาดการณ์
ี
สภาพท้องทะเล และฟ้าอากาศ ซึ่งจะมีผลกระทบโดยตรงต่อการยาตราเรือจ�านวนมาก
ึ
่
ั
�
�
ี
วันเสาร์ เดือนอ้าย ข้น ๑๕ คา เพลาเช้าเสด็จฯ ทรงม้าพระท่น่งไปบาเพ็ญการกุศล ณ วัดญวน ให้สังฆการีธรรมการ
(เจ้าพนักงานผู้มีหน้าท่เก่ยวกับสงฆ์ในงานหลวง) นิมนต์พระสงฆ์ไทย จีน และญวน เป็นอันมาก มาพร้อมกัน ณ วัดญวน
ี
ี
แล้วสวดพระพุทธมนต์ตามภาษา ครั้นจบแล้วถวายไทยทาน แล้วตรัสประภาษให้โอวาทพระสงฆ์ญวนโดยภาษาญวน
พระสงฆ์จีนโดยภาษาจีน ในพระราชอธิบายว่าให้ตั้งอยู่ในสังวรศีล (ความส�ารวมเป็นศีลได้แก่สังวร ๕ อย่าง)
ี
ึ
รุ่งข้นเพลาบ่าย ๓ โมงเศษ พระยาพิษณุโลก เจ้าเมืองเชิงกะชุม พระยาโยธาภักด เจ้าเมืองมะลิกุน พระยาราวีโยธาธิบด ี
ี
ื
เจ้าเมืองนครบุร พระยาจักร (หมุด) พามาเฝ้า ทรงพระกรุณาพระราชทานเส้อผ้าคนละสารับ พระราชทานปืนใหญ่ ๒ บอก
ี
�
�
ให้พระยาพิษณุโลกรักษาค่ายปากนาโพรงกระสัง ฝากไปพระองค์ราม ปืนใหญ่ ๕ บอก และให้พระยาจักร (หมุด)
้
ี
ึ
ึ
�
มีหนังสือไปถึงพระองค์รามราชา ใจความว่า ทรงพระกรุณาพระราชทานปืนใหญ่ไว้สาหรับเมือง ๕ บอก และเมืองซ่งข้นแก่
ี
กัมพูชาธิบด อย่าเพ่อให้เรียกส่วยไรก่อน ด้วยว่ากองทัพมายาย ผู้คนยังขัดสนอยู่ แลให้โอบอ้อมเกล้ยกล่อมเอาไว้ใช้
่
ี
�
ี
�
โดยไมตร อย่าให้เสียนาใจได้ แล้วให้พระองค์รามราชาสืบดูหนทางจะไปเมืองอนากก เมืองลูกหนาย (เมืองซาดิงห์/
�
ี
้
ไซง่อน) ให้สรรพไว้
�
�
่
วันจันทร์ เดือนอ้าย แรม ๒ คา เพลายาฆ้องคาแล้วทุ่มเศษ พระองค์รามราชามีหนังสือบอกมากราบทูล
่
�
่
พระกรุณาใจความว่า พระองค์อุทัยราชา (นักองค์ตน) เจ้าเสสัง (พระองค์เจ้าศรีสังข์) หนีไปแคว้นเมืองญวนติดตาม
ไปไม่ได้ จึงยกทัพกลับมา แลให้ทหารไปเกลี้ยกล่อม พบกองทัพพระองค์อุทัยฯ ได้รบกันแตกหนีไป แลขัดสนด้วยปืน
�
จะขอปืนคาบศิลาซ่งเบิกไปสาหรับทัพ ๓๐ บอก จะขอใหม่ ๗๐ เป็น ๑๐๐ บอก จะได้เป็นกาลังราชการไป
ึ
�
ั
คร้นได้ทรงฟังหนังสือบอกน้น แล้วจึงส่งให้พระราชทานปืนคาบศิลา ๑๐๐ บอก แลจัดปืนคาบชุด ๑๒ บอก พระราชทาน
ั
ั
ี
ไปเป็น ๑๑๒ บอก แล้วทรงพระอักษรให้เจ้าพระยาจักร (หมุด) บอกไปเถิงพระองค์รามราชาใจความว่า ปืนใหญ่ ๕ บอก
ฝากพระยาพิษณุโลกข้นไปถึงพระองค์รามราชา แลพระราชทานปืนใหญ่พระยาพิษณุโลก ๒ บอก สาหรับรักษา
�
ึ
ค่ายปากน�้าโพรงกระสัง ถ้าช้าไปก็ให้พระองค์รามราชาแต่งคนลงมารับเอาต่อพระยาพิษณุโลก อนึ่ง ดีบุก ๕๐ หาบ
ดินประสิว ๕๐ หาบ ฝากพระยาโกษา (นอกราชการที่โปรดให้ไปอยู่ช่วยราชการ ณ กรุงกัมพูชาฯ) ไปพระราชทาน
ั
พระองค์รามราชา ถ้าขดสนด้วยลูกกระสุนดนประสว ทรงพระกรุณาพระราชทาน พระยาราชาเศรษฐไว้เป็นอันมาก
ี
ิ
ิ
ให้พระองค์รามราชาแต่งคนมายืมเอา อนึ่ง ข้าวเปลือก ๗๐ เกวียน มอบพระยาราชาเศรษฐีไว้ ถ้าพระองค์รามฯ ขัดสน
ด้วยอาหารก็ให้แต่งคน แต่งเกวียนลงไปรับเอา จะเสด็จอยู่ที่เมืองพุทไธมาศช้านักมิได้ ด้วยเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช
แลข้าหลวง (ผู้รักษาพระนคร-กรุงธนบุรี) บอกหนังสือส่งคนข่าว ลาว ละว้า พะม่า หน้าด่านมา พะม่าเสียแก่ห้อ (ฮ่อ-จีน) แล้ว
ึ
ื
�
แลพม่าแตกต่นมาหน้าด่าน จะเสด็จฯ พระดาเนินมายังกรุงธนบุร จะแต่งกองทัพข้นไปจัดแจงเมืองเชียงใหม่
ี
เมืองมัตมะ และเมืองหงสา
วันอังคาร เดือนอ้าย แรม ๓ ค�่า ยกโยธาทัพหลวง จากเมืองพุทไธมาศกลับคืนพระนคร เสด็จฯ โดยทางชลมารค
มาในท้องทะเลหลวง คลื่นลมสงบ หาอันตรายมิได้ เสด็จฯ มา ๑๓ วัน วันจันทร์ เดือนอ้าย แรม ๑๓ ค�่า ถึงเมืองธนบุรี
ิ
(พระองค์เจ้าจุ้ยแลเจ้าเมืองจันทบุรีคนเก่า พร้อมพวกถูกประหารส้น ส่วนพระองค์เจ้าศรีสังข์น้น ตามพระราชพงศาวดาร
ั
กรุงกัมพูชา ฉบับพระองค์นพรัตน์ กล่าวว่า “ลุเดือน ๓ ในปีเถาะ (จ.ศ. ๑๑๓๓ พ.ศ. ๒๓๑๔ นี้ เจ้าเสสัง (ศรีสังข์)
ซึ่งเป็นเจ้านายไทยที่หนีมาจากกรุงศรีอยุธยา ครั้งเมื่อพม่ามาตีเมืองมาอยู่เมืองเขมรนั้นได้สิ้นพระชนม์ลง”)
นาวิกศาสตร์ 37
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
บทสรุป
�
ี
�
ื
สยามสามารถกาจัดอิทธิพลของหมักเทียนต๋อไม่ให้มารบกวนการแผ่ปริมณฑลอานาจของธนบุร และความสัมพันธ์
กับราชสานักจีน ตลอดจนการสถาปนากษัตริย์กัมพูชาภายใต้การกากับของธนบุร แม้จะไม่มีอานาจเหนือกัมพูชา
�
�
ี
�
�
้
ั
ิ
ี
ท้งหมดก็ตาม นอกจากน ยังเป็นการส้นสุดอานาจทางการเมืองของราชวงศ์บ้านพลูหลวงอยุธยาในอุษาคเนย์
และไม่เป็นอุปสรรคต่อการครองบัลลังก์กรุงธนบุรีอีกต่อไป
้
ี
สาหรับเรือท่ไปราชการทัพคร้งน มีจานวนมากประมาณ ๓๐๐-๔๐๐ ลา คงจะเกณฑ์มาจากหัวเมืองปักษ์ใต้
ั
ี
�
�
�
�
ั
ี
ั
ั
(รวมท้งเรือท่รับส่งให้ต่อใหม่คราวยกทัพเรือไปตีเมืองนครศรีธรรมราช) และหัวเมืองตะวันออก รวมท้งสาเภาของขุนนาง
ข้าราชการ และลูกค้าจีนทั้งปวง ส่วนปืนเล็กปืนใหญ่นั้น ในพงศาวดารกล่าวว่า
ื
ี
ื
ั
ี
ิ
ู
ั
ี
ิ
�
ู
“แขกเมองตรงกาน และแขกเมองยกตรา (ปัตตาเวย/อนโดนเซย) นาเอาปืนคาบศลาเข้ามาทลเกล้าถวาย
ถึง ๒,๒๐๐ กระบอก เป็นพระราชลาภอันวิเศษ”
กับอีกคราวหนึ่ง กล่าวอย่างสั้น ๆ ว่า
“เมืองยักตราถวายปืนใหญ่ ๑๐๐ กระบอก”
ี
ในจดหมายเหตุของฮอลันดามีกล่าวว่า “ฮอลันดาทางเมืองชวาได้จัดส่งปืนมาให้สยามตามท่ต้องการ
ในสมัยกรุงธนบุร (น่าจะเป็นการค้าขาย)” ซ่งทางฝ่ายฮอลันดาคงจะเห็นแล้วว่าเป็นการทาบุญคุณกันไว้ ต่อไปภายหน้า
�
ึ
ี
จะได้เข้ามาค้าขายกับกรุงธนบุรีได้โดยสะดวก ท้งน นับว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงดาเนินนโยบายทางการเมืองกับ
ั
้
ี
�
ชาติตะวันตกได้เป็นอย่างด ซ่งแม้แผ่นดินกรุงธนบุรีเป็นราชธานีของไทยจะมีระยะเวลาไม่ยาวนานนัก แต่ตลอดห้วงเวลาน้น
ึ
ี
ั
ไม่ปรากฏภัยคุกคามจากชาติตะวันตกเลยแม้แต่น้อย
ทั้งนี้ก็ด้วยพระปรีชาสามารถของพระเจ้าตากสินฯ ผู้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้แก่ปวงชนชาวไทย
นั่นเอง
ี
นอกจากน้แล้วสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงมีพระปรีชาสามารถในการทาสงครามอย่างดีย่ง ท้งศาสตร์และ
ิ
�
ั
ศิลป์ ดังเห็นได้จากทรงวางแผนการทัพในการพิชิตเมืองฮาเตียน และกรุงกัมพูชาอย่างเป็นระบบ โดยส่งกองทัพบก
ี
ั
ไปทางปราจีนบุร ส่วนพระองค์ยกทัพเรือเป็นทัพหลวงไปตีเมืองฮาเตียน และเมื่อกองเรือไปถึงเมืองจันทบุรีได้ทรงส่งให้
ื
�
�
กองเรือของพระยาโกษาแยกไปตีเมืองกาปงโสม และเมืองกาปอด เม่อทัพหลวงไปถึงเมืองฮาเตียนแล้วทรงสารวจ
�
ึ
ภูมิประเทศโดยเสด็จด้วยพระบาทยืนอยู่บนแหลมเผ่าได๋ ซ่งสามารถมองเห็นตัวเมืองได้ท้งหมด และเป็นจุดยุทธศาสตร์
ั
�
�
สาคัญ จากนั้นทรงวางแผนเข้าตีเมืองอย่างเป็นระบบ หลังจากการรบแล้วทรงตรัสถามท้งกาลังทางบกและทางเรือ
ั
ี
�
ั
ว่าได้ดาเนินการตามท่ได้ทรงรับส่งไว้หรือไม่ เพ่อเป็นบทเรียนในการรบคร้งต่อไป รวมท้งมีการลงโทษผู้ไม่ปฏิบัติตามรับส่ง
ั
ื
ั
ั
�
และปูนบาเหน็จให้ด้วยหลังจากทรงจัดการบ้านเมืองให้เรียบร้อยแล้วด้วยการออกกฎหมายประเทศ ไม่ให้ทหาร
ี
ี
�
ทาอันตรายต่อพลเมืองผู้ไม่เก่ยวข้องกับการรบ แล้วทรงวางแผนข้นต่อไป โปรดให้เจ้าพระยาจักร (หมุด) เป็นแม่ทัพหน้า
ั
์
้
ยกทัพไปตีเมืองพุทไธเพชร (อุดงฤาชัย) กองเรือขององครามราชารวมอยู่ดวย ยกล่วงหน้าไปก่อนทัพหลวง โดยเดินทัพ
ไปตามล�าน�้า ซึ่งจะเป็นการประสานสอดคล้องกับทัพบกที่ยกมาอีกทางหนึ่ง
�
การดาเนินการทางด้านการทูตน้น พระองค์ทรงกระทาควบคู่กันไปด้วย เช่น มีศุภอักษรถึงเจ้าเมืองฮาเตียน
ั
�
ี
ให้ออกมายอมแพ้ก่อนถึงจะเข้าตีเมือง รวมท้งเม่อได้เมืองพุทไธเพชรแล้ว ทรงให้มีศุภอักษรไปถึงเจ้าอนากก (ท่เมืองเว้)
�
ั
ื
เป็นทางพระราชไมตรีมิให้พิโรธแก่กัน ด้วยจะแบ่งแผ่นดินกัมพูชาเป็น ๒ ภาค
ั
ในทางด้านยุทธศาสตร์แล้ว การท่ทรงขยายขอบเขตปริมณฑลอานาจมาทางตะวันออกน้น เป็นการป้องกันในเชิงลึก
ี
�
ื
ี
เพ่อไม่ให้ญวนใช้เขมรเป็นฐานในการบุกรุกสยามได้ รวมท้งการมีแผนท่จะกลับไปจัดการกับหัวเมืองเหนือ (ล้านนา)
ั
ซึ่งพม่าใช้เป็นแหล่งสะสมเสบียง และก�าลังคนในการตีอยุธยามาแล้ว
นาวิกศาสตร์ 38
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
ี
�
ส่วนในทางยุทธวิธ พระองค์ทรงมีความรอบรู้เป็นอย่างดีในการใช้ปืนใหญ่เรือ และทรงแนะนาจุดอ่อนการใช้
�
ี
ปืนใหญ่ฝ่ายญวน นอกจากน้การเสด็จกลับกรุงธนบุรีโดยทางชลมารค ได้ทรงตรัสแนะนาวิธีการในการเดินเรือโดยละเอียด
ี
�
ั
ื
่
เพ่อมิให้เกิดเหตุการณ์แก่พิริยโยธาท้งปวง สาหรับกองทัพบกในส่วนท่ให้พระยายมราช (รัชกาลท ๑) และพระยาโกษา
ี
ั
ั
อยู่ช่วยราชการพระองค์รามราชาจนกว่าบ้านเมืองสงบแล้ว จึงให้กองทัพกลับไปกรุงธนบุรีน้น ทรงรับส่งถึงรายละเอียด
ในการถอนกองทัพเป็นขั้นเป็นตอน
นอกจากน้ในด้านส่งกาลังบารุง ทรงจัดข้าวสาร กระสุนดินดา ตลอดจนยุทโธปกรณ์มอบให้เมืองฮาเตียน
�
�
ี
�
องค์รามราชา และแม่ทัพที่รักษาเมืองอื่น ๆ อย่างเพียงพอ
เอกสารประกอบการเขียน
๑. กรมศิลปากร. ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๖. (จดหมายรายวันทัพสมัยกรุงธนบุรี คราวปราบเมืองพุทธไธมาศและ
์
ี
ั
ิ
ิ
ิ
ั
ั
เขมร พ.ศ. ๒๓๑๔) ในอนุสรณงานพระราชทานเพลงศพ นาวาตร หลวงจกรวธานสนทด (กมล อากาศวภาต). พ.ศ.๒๕๐๓.
๒. แชน ปัจจุสานนท์, พลเรือตรี. ประวัติการทหารเรือไทย. พ.ศ. ๒๕๐๘.
๓. ด�ารงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. ต�านานเรือรบไทย. อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ
นาวาเอก พระประพิณพนยุทธ์ (พิณ พลชาติ). พระนคร: โรงพิมพ์พระจันทร์. ๒๔๙๖.
๔. พนจนทนมาศ (เจม). พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ: จดหมายรายวันทัพ, อภินิหารบรรพบุรุษ
ุ
ิ
ั
ั
และเอกสารอื่น. กรุงเทพฯ: ศรีปัญญา, ๒๕๕๑.
�
ิ
๕. สุเจน กรรพฤทธ์. ศึกชิง “กัมพูชา” และ “ฮาเตียน” ระหว่างราชสานักสยามและตระกูลเหงวียนช่วงปลาย
่
ี
คริสต์ศตวรรษท่ ๑๘ ถึงต้นคริสต์ศตวรรษท่ ๑๙. ใน วารสารประวัติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ฉบับท ๑ (ม.ค .- มิ.ย. ๒๕๖๑).
ี
ี
หน้า ๑๑๗ - ๑๗๕
ุ
๖. สานักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร. ประชมพงศาวดารฉบบกาญจนาภเษก เล่ม ๒, ๓ และ
ิ
�
ั
๑๒. กรมศิลปากร, ๒๕๔๙
๗. Sellers, Nicholas. The Prince of Ha-Tien, (1983).
๘. Sakurai, Yumio. Ha-Tien or Banteay Meas in The Time of The Fall of Ayutthaya, (1999).
นาวิกศาสตร์ 39
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
ราชนาวิกสภา
นาวิกศาสตร์ 40
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔