The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช กับยุทธศาสตร์ทางเรือ
พลเรือเอก โกมินทร์ โกมุทานนท์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by นาวิกศาสตร์, 2022-01-06 04:35:39

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช กับยุทธศาสตร์ทางเรือ

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช กับยุทธศาสตร์ทางเรือ
พลเรือเอก โกมินทร์ โกมุทานนท์

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับยุทธศาสตร์ทางเรือ










































































พลเรือเอก โกมินทร์ โกมุทานนท์




นาวิกศาสตร์ 22
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔

กล่าวน�า



สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรืออีกพระนามหน่งท่คนไทยเรียกขานว่า “พระเจ้ากรุงธนบุรี” ทรงนับเป็น
พระมหากษัตริย์นักรบที่มีพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ต่อปวงชนชาวไทยตราบจนวันนี้ ด้วยพระปรีชาสามารถ







ในด้านการทหาร โดยเฉพาะการทพระองค์ใช้ยุทธศาสตร์ทางเรอเพอบรรลวตถประสงค์ทางทหาร และทางการเมอง



ในการขับไล่ทหารอังวะออกจากเมืองธนบุร และกรุงศรีอยุธยา กอบกู้เอกราชกลับคนมาในเวลาเพียง ๗ เดอน (วนชนะศก




๖ พฤศจิกายน ๒๓๑๐) สร้างความเป็นปึกแผ่นให้บ้านเมืองดังเดิม (ปราบชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช พ.ศ. ๒๓๑๒) และ
ขยายพระราชอาณาเขตออกไปทางตะวันออก (ยกทัพเรือ และทัพบกไปตีกรุงกัมพูชา พ.ศ. ๒๓๑๔)


บทความน้มีความมุ่งหมายเพ่อเทิดทูน และเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชในฐานะ “จอมทัพเรือ”



ผู้ย่งใหญ่พระองค์หน่งของไทยท่ทรงยกทัพเรือเป็นทัพหลวง และทัพบกไปตีเมืองฮาเตียน (พุทไธมาศ/บันทายมาศ)

และกรุงกัมพูชา (เมืองพุทไธเพชร/อุดงฤาชัย–ราชธานีของเขมรในขณะน้น) โดยผู้เขียนเรียบเรียงจากหนังสือประชุม
พงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่มท ๒ , ๓ และ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๓๙) ประชุมพงศาวดารภาคท ๖๖ ประวัตการทหารเรอไทย







พ.ศ. ๒๕๐๘ ประวัตศาสตร์อยธยาจากพระราชพงศาวดาร พ.ศ. ๒๕๖๒ บันทึกความจริงแห่งราชอาณาจกร


ด่ายนาม (เวียดนาม) บันทึกตระกูลหมัก และบันทึกแห่งซาดิงห์ (เวียดนาม) หนังสือ The Prince of Ha-Tien
(Nicholas Sellers, 1983) และ Ha-Tien or Banteay Meas in The Time of The Fall of Ayutthaya (Yumio
Sakurai, 1999) ฯลฯ














สาหรบเอกสาร/หนงสอทใช้ในการเรยบเรยงบทความนมความแตกต่างกนหลายทมา จงท�าให้รายชอบคคล/








รายพระนาม และสถานที่อาจมีความลักลั่นกันบาง เชน ชื่อเมืองฮาเตียน/เฟองแถงห/บันทายมาศ/พุทไธมาศ/คันเคา/
เปียม เป็นช่อเมืองเดียวกัน สาหรับเจ้าเมืองน้น ญวนเรียกว่า หมักเทียนต ตรงกับภาษาจีนว่าหมอเทียนซ่อ เขมรเรียกว่า





สมเด็จพระโสทัต ไทยเรียกว่า พระยาราชาเศรษฐี ฯลฯ เป็นต้น
การที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงตัดสินพระทัยในการโจมตีเมืองฮาเตียน และกรุงกัมพูชานั้น มีประเด็นที่ชวน
ให้วิเคราะห์ว่า เหตุปัจจัยอะไรท่เป็นแรงผลักดัน และแนวโน้มท่ทาให้พระองค์ทรงพิเคราะห์ว่า เมืองฮาเตียน และ






กรุงกัมพูชาเป็นภัยคุกคามต่อราชบัลลังก์กรุงธนบุร และความม่นคงของราชอาณาจักรท่พระองค์ได้กอบกู้ข้นมาใหม่

รวมทั้งสถานะของสยามในอุษาคเนย์อีกด้วย
นาวิกศาสตร์ 23
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔

ย้อนรอยอโยธยากับกรุงกัมพูชา

ในสมัยอยุธยาตอนต้นได้ขยายขอบเขตปริมณฑลอ�านาจไปทางตะวันออก จากข้อความใน จารึกขุนศรีไชยราช
มงคลเทพ และพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับปลีกหมายเลข ๒/ก ๑๐๔ ต้นฉบับของหอสมุดวชิรญาณ



แสดงให้เห็นว่าสงครามคร้งน้เป็นการยกทัพไปตีเมืองพิมาย พนมรุ้ง จากน้นจึงยกทัพไปเมืองพระนครหลวง
(เมืองพระนครศรียโศธรปุระ ราชธานีของอาณาจักรขอม/กัมพูชาโบราณ) ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงเก่า



ฉบับหลวงประเสริฐ กล่าวว่าเป็นปีท่สมเด็จพระบรมราชาธิราชท ๒ (เจ้าสามพระยา) ยกทัพไปตีเมืองพระนคร
สรุปเนื้อหาส�าคัญได้ว่า
“ศักราช ๗๙๓ กุนศก (พ.ศ. ๑๙๗๔) สมเด็จพระบรมราชาเจ้า เสด็จไปเอาเมืองนครหลวงได้ แลท่านจึงให้พระราชกุมารท่าน
พรนครอินทเจ้า เสวยราชสมบัต ณ เมืองนครหลวงน้น คร้งน้นท่านจึงให้พรญาแก้ว พรญาไทยแลรูปภาพท้งปวง





มายังพรณครศรีอยุธยา...”
การล่มสลายของอาณาจักรเมืองพระนครในคร้งน ี ้






นบได้ว่าเป็นการสนสดหรอหมดยคเทวราชขอม

โดยสมบูรณ์ ทาให้บ้านเมืองตกอยู่ในความวุ่นวาย


แต่อยธยาก็ปกครองอยู่ได้ไม่นาน (๑๕-๒๐ ปี) กลุ่ม

ราชวงศ์ และขุนนางกัมพูชามีเจ้าพญายาตเป็นผู้นา
พยายามแยกตัวเป็นอิสระ มีฐานกาลังอยู่ทางภาคใต้


ของกัมพูชาท่เมืองจตุรมุข/จัตตุรมุข (กรุงพนมเปญ)
สามารถกลับมาชิงเมืองพระนครหลวงคืนได้ และ
ต่อมาได้ย้ายราชธานไปอย่ทีเมองบาสาน (ศรสนธร) ที่มา : https://www.finearts.go.th/fad10/view/25214-






จัตุรมุข และละแวก ตามล�าดับ องค์ความรู้เรื่อง---จารึกขุนศรีไชยราชมงคลเทพ

อย่างไรก็ตาม อยุธยากับกัมพูชายังคงมีการทาสงครามกันหลายคร้งจนถึง พ.ศ. ๒๑๓๖ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช














เสดจไปตเมองละแวกได และไดกวาดตอนผคนและราชวงศบางส่วนไปยงกรงศรอยุธยา แต่หลงจากรัชสมยของพระองค ์
















อทธพลของอยธยากเสอมลง กมพชากแยกตวเป็นอสระและย้ายเมองหลวงไปอย่ทเมองอดงฤาชย (อดงมชย)







ในสมัยน้การเมืองภายในกัมพูชาแตกแยกเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายหน่งสนับสนุนอยุธยา อีกฝ่ายหน่งสนับสนุนญวน เกิดความวุ่นวาย


มีสงครามแย่งชิงราชสมบัติหลายครั้ง และญวนได้เข้ามาแทรกแซงมากขึ้น
ในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ กัมพูชายอมอ่อนน้อมต่อกรุงศรีอยุธยา ถวายต้นไม้เงินต้นไม้ทองทุกปี แต่ญวน
ยังมีอิทธิพลครอบง�าอยู่ ต่อมาใน พ.ศ. ๒๒๘๐ พระเจ้าบรมโกศสามารถสนับสนุนพระศรีธรรมราชาธิราช กษัตริย์เขมร
ที่ลี้ภัยมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๒๕๗ กลับไปครองกรุงกัมพูชาได้อีกครั้ง

อย่างไรก็ตามยังคงมีสงครามแย่งชิงอานาจกันอยู่ รวมท้งการคุกคามจากญวนโดยตรง ใน พ.ศ. ๒๓๐๐

พระอุไทยราชา (นักองค์ตน) ได้ราชสมบัติราชาภิเษกเป็นพระนารายณ์ราชารามาธิบด นักองค์นนท์ถวายนามพระรามราชา


เสด็จล้ภัยไปกรุงศรีอยุธยา (ปลายรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ) จนถึงกองทัพอังวะล้อมกรุงศรีอยุธยาได้เสด็จ



หนีออกมาก่อนกรุงแตก ไปสวามิภักด์กับพระเจ้าตากสินฯ ขณะเสด็จมุ่งหน้าไปทางหัวเมืองตะวันออกเพ่อรวบรวมกาลัง
กลับมากอบกู้กรุงศรีอยุธยา



ดังน้น เม่อพระเจ้าตากสินฯ ปราบดาภิเษกเป็นพระเจ้ากรุงธนบุรีแล้ว ทรงมีพระประสงค์ท่จะช่วยเหลือให้
พระรามราชาได้กลับไปครองกรุงกัมพูชา และเห็นเป็นโอกาสที่จะขยายขอบเขตพระราชอ�านาจออกไปทางตะวันออก
นาวิกศาสตร์ 24
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔

รวมทั้งเป็นการเสาะแสวงหาทรัพยากรมนุษย์ และสินค้าที่มีความจ�าเป็นต่อกรุงธนบุรีอีกด้วย

ตามพระราชพงศาวดารกรุงกัมพูชาฉบับพระองค์นพรัตน์ ระบุว่า

“ใน พ.ศ. ๒๓๑๒ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ได้ใช้ให้ข้าหลวงนาศุภอักษรมาทูลพระนารายณ์ราชารามาธิบด ี

(พระอุไทยราชา-นักองค์ตน) ณ กรุงกัมพูชา ให้มีพระราชสาส์นพร้อมเคร่องราชบรรณาการดอกไม้เงิน ดอกไม้ทอง
ไปถวายแด่พระเจ้าตากสินฯ เพื่อเป็นทางพระราชไมตรีดุจกาลก่อน...”
แต่พระนารายณ์ราชารามาธิบดีไม่ยอมถวายเคร่องราชบรรณาการฯ เป็นการตัดพระราชไมตรีของกรุงธนบุร ี





แสดงตนเป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้าตากสินฯ โดยตรง จึงทรงมีพระราชดารัสให้พระยาอภัยรณฤทธ (รัชกาลท ๑) พระยาอนุชิตราชา


(กรมพระราชวังบวรในรัชกาลท ๑) ยกทัพมีกาลังพลสองพันคนไปทางเมืองนครราชสีมาทางหน่ง และให้





พระยาโกษาธิบดียกทัพมีกาลังพลอีกสองพันคนไปทางเมืองปราจีนบุรีอีกทัพหน่ง เพ่อไปตีเอาเมืองพุทไธเพชร

(อุดงฤาชัยราชธานีของกัมพูชา) ให้แก่พระรามราชา (นักองค์นนท์-องค์รามราชา)



ขณะททัพสยามตีได้เมองพระตะบอง และเสียมราบ (เขมรออกเสยงเสยมเรียบ) ได้แล้ว มีข่าวลอว่าพระเจ้าตากสินฯ



เสด็จสวรรคตขณะยกทัพไปตีเมืองนครศรีธรรมราช ทัพไทยจึงถอยกลับกรุงธนบุรีพร้อมกับองค์รามราชา
จากทางสองแพร่งของกัมพูชาสู่ฮาเตียน/บันทายมาศ/พุทไธมาศ















อนุสาวรีย์หมักกื่ว ที่เมืองฮาเตียน เมืองฮาเตียน มีชื่อเดิมว่า เปียม ปรากฏในเอกสารไทยในชื่อ
ที่มา : https://worldhistoryconnected.press. บันทายมาศ หรือ พุทไธมาศ
uillinois.edu/17.3/images/Eng_image_1.jpg เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในจังหวัดเกียนซาง ประเทศเวียดนาม


เมืองฮาเตียน (Hà Tiên) น้ก่อต้งโดยหมักก่ว (Mạc Cửu) ชาวจีนกวางตุ้งอพยพมาจากเมืองจีนใน

พ.ศ. ๒๒๑๔ โดยได้รับพระบรมราชานุญาตจากกษัตริย์กัมพูชาให้สร้างเมืองใหม่ในบริเวณใกล้กับเมืองบันทายมาศ และ
เมืองท่าชื่อเฟืองแถงห์ คอยดูแลผลประโยชน์การค้าทางทะเลในแถบนี้ให้กัมพูชาด้วย
ในฐานะเจ้าเมืองหมักกื่ว ได้พัฒนาเฟืองแถงห์จนกลายเป็นเมืองท่าส�าคัญในอุษาคเนย์ และตระหนักดีว่าอ�านาจ
ของเขา และความอยู่รอดของเมืองนี้ขึ้นอยู่กับดุลอ�านาจระหว่างสยาม ตระกูลเหงียน (ญวน) และราชส�านักกัมพูชา




อย่างไรก็ตาม ทางออกหน่งก็คือ การดาเนินนโยบายเลือกพ่งพิงรัฐใดรัฐหน่งอย่างจริงจัง และประสานประโยชน์กับ
รัฐอื่นอย่างเหมาะสม ท�าให้สามารถปกครองตนเองแบบรัฐกึ่งอิสระ ไม่มีการแทรกแซงจากภายนอก

นาวิกศาสตร์ 25
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔



หลักฐานในเอกสารของฝ่ายเวียดนามชี้ว่า หมักก่วส่งเคร่องราชบรรณาการไปยังกรุงเว้ และได้รับการต้อนรับอย่างด ี


จาก “มิญเวือง” เจ้าตระกูลเหงียน ซ่งมีนโยบายจะขยายอิทธิพลเข้ามาในกัมพูชาอยู่แล้ว ได้พระราชทานราชทินนามตาแหน่ง





ขุนนางตราต้ง และช่อ “ฮาเตียน” ให้เมืองท่าเฟืองแถงห์ (ฮาเตียน ในภาษาเวียดนาม หมายถึง จิตวิญญาณแห่งลานา)
ต่อมาชื่อนี้ได้เข้ามาแทนค�าเขมรเดิมที่เรียกมาก่อนคือ “เมืองค�า” และ “เมืองเปียม”
นอกจากนี้แล้วยังมีหลักฐานไทย และเวียดนามยืนยันตรงกันว่า พระองค์เจ้าจุ้ย และพระองค์เจ้าศรีสังข์ ราชวงศ์

บ้านพลูหลวง ได้เสด็จหนีจากอยุธยาไปอยู่เมืองฮาเตียน หรือเมืองบันทายมาศอันเป็นเมืองท่มีคนไทยจานวนมาก

หนีทัพอังวะไปรวมอยู่ โดยมีการบันทึกไว้ว่า
“เจ้าจุ่ย (เจ้าจุ้ย) และเจ้าสีซวาง (เจ้าศรีสังข์) รัชทายาทของกษัตริย์อยุธยาองค์สุดท้ายกับพระบรมวงศานุวงศ์
ผู้ติดตามอีกประมาณ ๑๐๐ คน เข้ามาลี้ภัยในฮาเตียนผ่านเส้นทางเลียบชายฝั่งทิศตะวันออกของอ่าวสยาม”



“แต่เจ้าศรีสังข์น้น บาทหลวงชาวฝร่งเศสพาหลบหนีจากฮาเตียนไปพ่งบารมีของพระนารายณ์ราชารามาธิบด ี
(นักองค์ตน) กษัตริย์เขมรที่เมืองพุทไธเพชร (บันทายเพชร-อุดงฤาชัย) ราชธานีของกัมพูชาในขณะนั้น”
ตามหลักฐานฯท่กล่าวถึงรัชทายาทของกษัตรย์อยุธยาองค์สุดท้าย หมายถึง พระราชวงศ์ท่ไม่ได้ถูกกวาดต้อน



ไปกรุงอังวะฯ หลังกรุงแตกคือ พระองค์เจ้าจุ้ย พระราชโอรสของเจ้าฟ้าอภัย ซ่งเป็นพระราชโอรสในพระเจ้าอยู่หัว

ท้ายสระ ส่วนพระองค์เจ้าศรีสังข์น้น เป็นพระ

ราชโอรสกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (เจ้าฟ้ากุ้ง)
พระราชโอรสในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ

เจ้าเมืองฮาเตียนในขณะน้นคือ หมักเทียนต๋อ

รับต�าแหน่งสืบแทนบิดาคือ หมักกื่ว ใน พ.ศ. ๒๒๗๘
ได้ให้การต้อนรับพระองค์เจ้าจุ้ย และผู้ติดตาม
เป็นอย่างดี เจ้าเมืองนี้ ญวนเรียกว่าหมักเทียนตู/ตื๋อ

ภาษาจีนว่า หม่อเทียนซ่อ แต่มักใช้นาม “หม่อซ่อหลิน”



ในการติดต่อกับจีน ตาแหน่ งในทาเนียบของกัมพูชาเป็น
“สมเด็จพระโสร์ทศ”ส่วนตาแหน่งในสยาม



เป็นพระยาราชาเศรษฐ เน่องจากการท่ฮาเตียน ต้นฉบับสมุดไทย พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม)




ส่งบรรณาการฯ ให้ท้งสยาม ญวน และเขมร เพ่อความอยู่รอดของตนแต่จะพ่งพิงญวนเป็นหลัก เม่อกรุงศรีอยุธยา

เสียแก่ทัพอังวะฯ แล้ว หมักเทียนตื๋อ คิดจะขยายอ�านาจของตนเข้าไปในสยามอย่างน้อยก็เป็นบางส่วน ประกอบกับ

มีเจ้านายช้นสูงแห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวงอยุธยามาอยู่ในอิทธิพลของตน ย่อมจะเป็นโอกาส และถือเอาเจ้านายน้นเป็น

พระเจ้าแผ่นดินของสยามต่อไป







ด้วยเหตน้จงได้อาศยพระนามของพระองค์เจ้าจุ้ยมีหนังสือไปถวายพระเจ้ากรุงจีน รายงานเหตุการณ์ทเกดข้น


ในกรุงศรีอยุธยา พร้อมท้งกล่าวโทษพระเจ้าตากสนฯ ว่าไม่ใช่รชทายาทของราชวงศ์บ้านพลหลวง เป็นเพียงแม่ทพ




และพื้นเพยังเป็นจีนอพยพ ได้ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ซึ่งขัดกับธรรมเนียมจีนที่เน้นการสืบทอดราชบัลลังก์โดยสายเลือด

นอกจากน้ยังกล่าวด้วยว่าพระเจ้าตากสินฯ ไม่นับถือราชวงศ์ เพราะว่าเม่อไปตีเมืองพิมาย ได้จับกรมหม่นเทพพิพิธ



ประหารเสียท่บางกอก (กรมหม่นเทพพิพิธ “ลูกพระสนม” ในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ) ซายังยกทัพไปตีกรุงกัมพูชา




อีกด้วยแต่ไม่สาเร็จ พระเจ้าแผ่นดินเขมรได้สัญญาว่าจะให้การสนับสนุนเจ้าจุ้ย และเจ้าศรีสังข์เอากรุงศรีอยุธยา
กลับคืนมาฯ
นาวิกศาสตร์ 26
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔

พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ระบุว่าพระเจ้าตากสินฯ ทรงรู้จักเมืองฮาเตียนด ี




โดยในช่วงกลาง พ.ศ. ๒๓๑๐ ขณะท่พระองค์รวบรวมกาลังอยู่ท่เมืองระยอง และจับตาดูท่าทีของพระยาจันทบุร ี

ได้มีการเจรจาขอความร่วมมือกับผู้รั้งเมืองระยอง มีศุภอักษรไปขอกาลังจากเมืองฮาเตียนมากู้กรุงศรีอยุธยา
พระยาราชาเศรษฐีเจ้าเมือง (ราชทินนามนี้ปรากฏในรายนามขุนนางของอยุธยา) แจ้งว่าจะยกก�าลังมาช่วยได้เมื่อหมด
ฤดูมรสุมแล้ว





การท่พระองค์เจ้าจุ้ยล้ภัยมาอยู่ท่เมืองฮาเตียนน้น บันทึกตระกูลหมัก รวมถึงหลักฐานเวียดนามช้นอ่นแสดงให้เห็นว่า

หมักเทียนต๋อ เปล่ยนนโยบายทางการเมืองจากดุลอานาจของทุกฝ่าย เป็นเข้าไปแทรกแซงอานาจรัฐท่มีขนาดใหญ่กว่า





อย่างสยาม โดยมี “แผนลับ” จะเข้าโจมตีกรุงธนบุรี





การเปล่ยนนโยบายเช่นน้อาจจะมาจากความม่นใจของหมักเทียนต๋อ ท่มีบทบาทในการช่วยเหลือ

นักองค์สงวน กษัตริย์กัมพูชาให้กลับคืนสู่ราชบัลลังก์อีกคร้ง โดยเป็นคนกลางในการเจรจาระหว่างนักองค์สงวนกับ

ราชสานักเหงียนใน พ.ศ. ๒๒๙๖ รวมท้งการยกทัพไปสนับสนุนนักองค์ตน (พระอุไทยราชา) ให้ข้นครองราชย์ หลังจาก


หลบหนีความวุ่นวายในกัมพูชามาพึ่งพิงที่เมืองฮาเตียน ดังนั้น จึงได้ด�าเนินการตามแผนที่วางไว้กล่าวคือ



ใน พ.ศ. ๒๓๑๑ หมักเทียนต๋อ ทาทีเป็นส่งเรือบรรทุกข้าวสารมายังกรุงธนบุร เพ่อแก้ปัญหาการขาดแคลนข้าวสาร









ซ่งเกิดข้นก่อนหน้าน แต่ท่จริงม “แผนลับ” ท่จะจับตัวพระเจ้าตากสินฯ ไว้ แล้วนาราชวงศ์บ้านพลูหลวงข้นครองบัลลังก์

กรุงธนบุรีแทน ฮาเตียนจะได้มีอิทธิพลเหนือสยามในเวลาถัดมา


ทว่าแผนน้ล้มเหลว เพราะว่าพระเจ้าตากสินฯ ได้รับข่าวแจ้งเตือนล่วงหน้ามาจากคนของพระองค์ท่แฝงตัวอยู่






ในเมืองฮาเตียน จึงทรงส่งให้จับลูกเรือท้งหมดขังคุกไว้ รวมท้งลูกเขยของหมักเทียนต๋อซ่งเป็นผู้ควบคุมเรือมา หลังจากน้น
ก็ประหารชีวิตทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ฮาเตียนยังคงปฏิบัติการเป็นปฏิปักษ์กับกรุงธนบุรีอย่างไม่ลดละ โดยพยายามขัดขวางเรือสาเภา
ท่นาข้าวมาขายให้สยาม เน่องจากเรือสาเภาท่เดินทางค้าขายทางตะวันออกของอ่าวสยาม ส่วนใหญ่มักแวะพัก





ที่เมืองฮาเตียนเป็นประจ�า

บันทึกตระกูลหมักระบุว่า ใน พ.ศ. ๒๓๑๒ ฮาเตยน
ยกทพไปโจมตเมองจนทบรและเมองตราดด้วยเรอรบกว่า








๑๐๐ ลา โดยมีพระองค์เจ้าจุ้ยไปในกองทัพด้วย เพ่อเรียกร้อง



การสนับสนุนจากชาวสยามท่ยังคงจงรักภักดีต่อราชวงศ์
บ้านพลูหลวงอยู่ โดยหวังว่าจะให้เกิดกบฏต่อต้าน
พระเจ้าตากสินฯ กันเอง ในหลักฐานไทยไม่ได้กล่าวถึง


เหตุการณ์น แต่ไปปรากฏในพงศาวดารเขมร จ.ศ. ๑๒๑๗
ให้รายละเอียดว่าใน พ.ศ. ๒๓๑๓ (พ.ศ.ของเขมรจะเร็วกว่า
ไทย ๑ ปี) หมักเทียนตื๋อได้น�าทัพด้วยตัวเอง

“สมเด็จพระโสทัต (หมักเทียนต๋อ) ผู้เป็นใหญ่ในเมืองเปียม เรือส�าเภาจีน ที่ใช้กันในยุคอยุธยา

(ฮาเตียน) คิดตามอาเภอใจด้วยโลภเจตนาเหมือนตักกะแตน
เข้าดับเพลิงละเลิงใจ เกณฑ์ไพร่พลในแขวงเมืองบันทายมาศ เมืองตรัง ยกเป็นกองทัพไปจับคนเมืองทุ่งใหญ่ (ตราด)
เมืองจันทบุรีจึงยกพวกกองทัพไทยออกมาสู้รบชนะ แม่ทัพแม่กองสมเด็จพระโสทัตแตกหนีกระจัดกระจายถอยกลับ
มาเมืองเปียม”
นาวิกศาสตร์ 27
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔




















กองทพทรบมอกบกองทพของฮาเตยนทจนทบรและตราดคอ พระยาพพธเจ้าเมองจนทบร ซงเป็นคนจนแต้จว







หรืออาจกล่าวได้ว่าการปะทะกันคร้งน้เป็นเร่องระหว่างจีนแต้จ๋วกับจีนกวางตุ้งโดยเปิดเผย รวมท้งส่งผลและแสดงการเป็น




ปรปักษ์ระหว่างฮาเตียนกับกรุงธนบุรีชัดเจนมากยิ่งขึ้น
“ตราต�าแหน่งพิเศษ” คือ ตราโลโต ใช้ประทับพระราชสาส์นของพระเจ้ากรุงสยามที่มีไปถึงราชส�านักจีน
เป็นตราที่จักรพรรดิจีนพระราชทานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
















เหตการณดังกลาว เมอมองไปในระดบการเมืองภมภาคจะเหนความเก่ยวข้องกบมหาอานาจในขณะนนกคอ ราชวงศชง






ซ่งมีนัยสาคัญสาหรับพระเจ้าตากสินฯ เพราะนอกจากฮาเตียนจะเป็นก้างขวางคอเร่องการค้าแล้ว ยังเป็นภัยต่อ
พระราชบัลลังก์ และยังคอยขัดขวางความสัมพันธ์ทางการทูตกับราชวงศ์ชิงแบบไม่ลดละอีกด้วย อันเป็นสาเหต ุ







ให้ข้าหลวงท่กวางตุ้งปฏิเสธคาขอของคณะทตจากกรงธนบรีทพระเจ้าตากสินฯ ส่งไปขอรับตรามหาโลโตคือ ตราประทับ
จากราชส�านักจีน ยอมรับว่าพระองค์เป็นกษัตริย์สยามจะท�าให้กรุงธนบุรีสามารถท�าการค้าขายจิ้มก้องแบบเดียวกับที่
อยุธยาเคยท�ามา เพื่อเป็นการฟื้นฟูเศรษฐกิจในสยามใหม่ที่พระองค์เพิ่งจะกอบกู้ขึ้นมา ทั้งนี้ เพราะทางราชส�านักจีน

เช่อในรายงานเหตุการณ์ฯ ของหมักเทียนต๋อท่ส่งมาถวายพระเจ้าเฉินหลงก่อนหน้าน รวมท้งทาให้ทรงมีพระราชสาส์น






มาต�าหนิพระเจ้ากรุงธนบุรีโดยตรง มีข้อความบางตอนดังนี้


“กันเอินซ่อ (พระเจ้าตากสินฯ) เดิมเป็นคนตาต้อยในประเทศจีน ระหกระเหินไปอยู่แดนโพ้นทะเล ฐานะเป็น






ข้าทูลละอองของพระเจ้ากรุงสยาม บัดน ประเทศน้นระสาระสาย ถูกตีแตก เจ้าเหนือหัวหายสาบสูญ กลับบังอาจ





















ฉวยโอกาสทประเทศตกอยในอนตรายปนป่วนยงเหยง คดตงตนเปนใหญหวงไดรบตราตังโดยมชอบ เพอเปนเครองมอ





ตั้งตนเหนือผู้อื่นมิได้ส�านึกในพระมหากรุณาธิคุณ และพระเมตตาของเจ้านายเก่า อีกทั้งมิได้สืบหาองค์รัชทายาทเพื่อ
กอบกู้ชาติแลโจมตีอริศัตรู ถือว่าผิดคุณธรรม จริยธรรม”
สงครามฮาเตียนและกัมพูชา..การศึกเพื่อความมั่นคงของกรุงธนบุรี

ใน พ.ศ. ๒๓๑๔ พระเจ้าตากสินฯ ทรงสามารถจัดการความเรียบร้อยในลุ่มแม่นาเจ้าพระยา และทรงรวบรวม










อานาจของกรงธนบรให้มสภาพเหมอนเดมในสมยกรงศรีอยธยา ประกอบกับท่าทของราชสานกจีนเปล่ยนแปลงไป





มีความเป็นมิตรมากขึ้น เนื่องจากพระองค์ได้ส่งเชลยอังวะระดับแม่ทัพนายกองไปยังเมืองกวางตุ้ง (จีนแพ้สงครามกับ





อังวะทางตอนใต้ของยูนนาน) และเร่มยอมรับว่าพระเจ้าตากสินฯ เป็นผู้มีอานาจแท้จริงในสยาม รวมท้งการท่ราชสานักจีน
วางเฉยต่อฮาเตียน ดังน้น พระเจ้าตากสินฯ จึงเห็นว่า ถึงเวลาแล้วท่จะทรงจัดการปัญหาท่ตกค้างในฮาเตียน และกัมพูชา







ให้เรียบร้อย โดยทรงมีวัตถุประสงค์ท่สาคัญ ประการแรกคือ กาจัดอิทธิพลของหมักเทียนต๋อในเมืองฮาเตียน และ
เมืองใกล้เคียง ซ่งมีผลต่อการค้าขายตามเมืองท่าชายขอบอ่าวสยามของกรุงธนบุร อีกท้งยังเป็นการควบคุม



นาวิกศาสตร์ 28
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔

จุดยุทธศาสตร์อันเป็นปากทางเข้าสู่กรุงกัมพูชาที่อยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดินได้สะดวกที่สุดจากทางทะเล และยุทธศาสตร์





การขยายอิทธิพลสยามเหนือดินแดนแถบน ย่อมดาเนินไปได้อย่างราบร่น ยังไม่นับว่าน่เป็นการกาจัดอิทธิพล














ทางการค้าของชาวจนกวางต้งในฮาเตยน ค่แข่งของเมองจนทบรซงชาวจนแต้จวมอทธพลการค้าอย่ ประการท่สอง










เพ่อเป็นการฟื้นฟูอิทธิพลของราชสานักสยามเหนือราชสานักกัมพูชา เน่องด้วย พระนารายณ์ราชารามาธิบด ี

(นักองค์ตน-พระอุไทยราชา) ไม่ยอมถวายเคร่องราชบรรณาการฯ ให้พระองค์ในฐานะกษัตริย์สยามองค์ใหม่


และทรงต้องการสถาปนาองค์รามราชา (นักองค์นนท์) ท่ได้เข้าถวายตัวกับพระองค์ต้งแต่เสด็จฯ ออกจากกรุงศรีอยุธยา
แล้วเป็นเจ้ากรุงกัมพูชา และอีกประการหนึ่ง เป็นยุทธศาสตร์ในการขยายขอบเขตปริมณฑลอ�านาจไปทางตะวันออก
และตะวันออกเฉียงเหนือ ปัจจุบันคือพื้นที่ปากแม่น�้าโขง คาบสมุทรอินโดจีนของเวียดนาม กัมพูชา และลาวทั้งหมด
รวมทั้งเป็นการเสาะแสวงหาทรัพยากรมนุษย์ (มีความส�าคัญมากในสมัยนั้น) และสินค้าในดินแดนเหล่านั้น
ยุทธศาสตร์ทางเรือและแผนการทัพ



จดหมายเหตุรายวันทัพสมัยกรุงธนบุรีคราวปราบเมืองพุทไธมาศ และเขมร เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๔ ให้รายละเอียดว่า


วันพฤหัสบด เดือน ๑๑ ข้น ๙ คา ปีเถาะ (จ.ศ. ๑๑๓๓ พ.ศ. ๒๓๑๔) พระเจ้าตากสินฯ โปรดฯ ให้พระยายมราช (รัชกาลท ๑)




เป็นแม่ทัพบก ถือพล ๑๐,๐๐๐ ยกไปทางเมืองปราจีน ให้ตีเอาเมืองปัตบอง (พระตะบอง) เมืองโพธิสัตว์ ตลอดจน
ไปถึงเมืองพุทไธเพชร (อุดงฤาชัย)
ครั้นถึงมหาพิไชยฤกษ์ วันอาทิตย์ เดือน ๑๑ แรม ๑๑ ค�่า ปีเถาะ พระเจ้าตากสิน ฯ ทรงเรือพระที่นั่งส�าเภาทอง



พร้อมด้วยเรือท้าวพระยา ข้าทูลละอองธุลีพระบาท ไทย จีน ฝร่ง ฝ่ายทหาร พลเรือน ท้งปวง เรือรบ ๒๐๐ ลา

เรือทะเล ๑๐๐ ลา พลทหาร ๑๕,๐๐๐ เศษ ให้พระพิชัยไอศวรรย์เป็นแม่ทัพหน้า แล้วยกพยุหยาตราพลนาวา

ทัพหลวงสรรพด้วยเคร่องศัสตราวุธ (องค์รามราชา-นักองค์นนท์ เสด็จไปในทัพหลวงด้วย) จากกรุงธนบุร ี


ออกปากนาสมุทรปราการ ลัดเลาะไปตามชายฝั่งตะวันออกของอ่าวสยามได้ ๕ วัน ถึงเมืองจันทบูร (จันทบุรี) จึงโปรดให้

พระยาโกษาธิบดีแยกทัพบก ทัพเรือ ล่วงไปตีเมืองกระพงโสม (กาปงโสม) แล้วทัพหลวงก็เสด็จไปอีก ๖ วัน
ณ วัน พฤหัสบดี เดือน ๑๒ ขึ้น ๘ ค�่า (๑๔ พฤศจิกายน ๒๓๑๔) ถึงเมืองฮาเตียน/ปากน�้าเมืองพุทไธมาศ ประทับ
ณ ตึกจีนแห่งหนึ่งทางฝากตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง แล้วตั้งค่ายล้อมเมือง ณ จุดยุทธศาสตร์ที่ส�าคัญทางด้านตะวันตก
ตะวันออก เกาะในแม่น�้า และบนฝั่งแม่น�้าเซิงแทงห์ (Giang Thanh)


นาวิกศาสตร์ 29
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔

การจัดกระบวนทัพเรือ


ยาตราไปยังเมืองฮาเตียน และกรุงกัมพูชา ตามระเบียบกองทัพเรือสมัยกรุงธนบุร ได้แบ่งเรือท้งหมดออกเป็น
๘ กองเรือ
กองทัพหน้า
กองที่ ๑ พระยาพิไชยไอศวรรย์ เป็นแม่ทัพ มีเรือ ๗๓ ล�า ก�าลังพล ๑,๖๘๖ คน
กองที่ ๒ พระยาพิพิธ เป็นแม่กอง มีเรือ ๕๐ ล�า ก�าลังพล ๑,๔๘๐ คน
กองที่ ๓ พระศรีราชเดโช เป็นแม่กอง มีเรือ ๒๗ ล�า ก�าลังพล ๙๗๔ คน
กองที่ ๔ พระท้ายน�้า เป็นแม่กอง มีเรือ ๔๓ ล�า ก�าลังพล ๑,๑๐๑ คน
ทัพหลวง

กองที่ ๕ เจ้าพระยาจักรี (หมุด) เป็นแม่ทัพหน้าของกองทัพหลวง มีเรือ ๑๓ ล�า ก�าลังพล ๖๘๙ คน






กองท ๖ พระยาโกษา เป็นแม่กอง มีเรือ ๓๔ ลา กาลังพล ๑,๗๐๕ คน (กองน้แยกไปตีเมืองกาปงโสม
และเมืองก�าปอด)
กองที่ ๗ พระยาทิพโกษา เป็นแม่กอง มีเรือ ๑๓ ล�า ก�าลังพล ๔๕๓ คน
กองที่ ๘ กองหลวง พระเจ้าตากสินฯ ทรงเป็นจอมทัพ ประทับในเรือพระที่นั่งส�าเภาทอง มีเรือทั้งหมด ๘๔ ล�า
ก�าลังพล ๒,๒๔๒ คน
เรือรบแต่ละล�ามีปืนหน้าเรือล�าละ ๑ กระบอก ปืนรายแคมล�าละ ๒ กระบอก ส่วนปืนคาบศิลา และปืนคาบชุด



จานวนตามกาลังของพลเรือ สาหรับเรือขนาดใหญ่คงใช้
ปืนใหญ่หน้าเรือกระสุน ๔-๕ น้ว (กินดินหน่งช่ง) และ



เป็นเรือใช้เดินในแม่น�้าล�าคลองได้
นอกจากเรือรบหลวง แล้วยังมีเรือสาเภา เรือรบ



เชลยศักด (เรือท่ไม่ใช่ของหลวง) และเรือท่เกณฑ์มาจาก


หัวเมืองชายทะเลทางปักษ์ใต้ และทางฝั่งตะวันออก
สรุปรวมเป็นเรือทั้งหมด ๓๓๗ ล�า (เรือส�าเภา ๕๘ ล�า
เรือรบ และเรืออื่น ๆ ๒๗๙ ล�า) ปืนหน้าเรือ ๒๕๔ กระบอก
ปืนรายแคม ๕๑๔ กระบอก ปืนคาบศิลา ๒,๑๖๕ กระบอก ปืนคาบชุด และปืนคาบศิลา
ปืนคาบชุด ๕๖๗ กระบอก รวมปืนใหญ่ ปืนเล็ก ๓,๕๐๐ กระบอก ที่มา : https://www.siambusinessnews.com/wp-content/up-

พระราชพงศาวดารกรุงธนบุร ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) loads/2020/01/FB_IMG_1578632256539.jpg
บันทึกว่า


“วันพฤหัสบด เดือน ๑๒ ข้น ๘ คา เถิงปากนาพุทไธมาศ




สถิต ณ ตึกจีนฝากตะวันตกเฉียงใต้ จึงได้มีหนังสือ

พญาพิชัยไอศวรรย์กองทัพหน้า ให้ญวนมีช่อ (เชลยญวน)







ซงจบได้มานน ถอเข้าไปเถงพญาราชาเศรษฐว่า สมเดจ



พระพุทธเจ้าอยู่หัวยกกองทัพบก ทัพเรือมาน้ พระราชประสงค์
จะเศกพระองค์รามราชาให้ครองกรงกมพชาธบด ี




แล้วจะเอาตัวเจ้าจุ้ย เจ้าเสสังข์ แลข้าหลวงชาวกรุง เรือรบสมัยอยุธยา
นาวิกศาสตร์ 30
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔














ซงไปอย่เมองใด ๆ จงสน ถ้าและพญาราชาเศรษฐมได้ภกดด้วย เหนว่าต้านทานได้ กให้แต่งการป้องกน




เมืองจงสรรพ ถ้าเห็นว่าจะสู้มิได้ ก็ยังทรงพระกรุณาโปรดอยู่ ให้ออกมากราบถวายบังคมเราจะช่วยทานบารง
เถิงว่าแก่แล้วมามิได้ ก็ให้แต่งหุเอียบุตรออกมาถวายบังคมจงพลัน ถ้าช้าอยู่จะทรงพิโรธฆ่าเสียให้ส้น”

สภาพแวดล้อมทางยุทธการ








ที่มา : https://www.pcf45.com/sealords/hatien/hatien.html

วันเสาร์ เดือน ๑๒ ขึ้น ๑๐ ค�่า (๑๖ พฤศจิกายน ๒๓๑๔) พระเจ้าตากสินฯ ทรงพระอุตสาหะเสด็จด้วยพระบาท


ยนอยู่ฟากตะวนออกตรงป้อมเมองฝั่งตะวันตก (แหลมเผ่าได๋อยู่ทางตะวนตกของเมองฮาเตยน) สามารถมองเหน





ตัวเมืองได้ท้งหมด และเป็นจุดยุทธศาสตร์ท่สาคัญ จากหนังสือ The Prince of Ha-Tien (นิโคลัส เซลเลอร์)



ให้ภาพของตัวเมืองฮาเตียนว่า แบ่งเป็นสองส่วนค่นด้วยแม่นาเซิงแทงห์ ตัวเมืองฮาเตียนอยู่ด้านเหนือ






ด้านใต้เป็นตัวเมืองใหม่ กาแพงเมืองสร้างด้วยไม้ไผ่บางส่วนและกาแพงหิน กาแพงเมืองภายในทาด้วยหิน กว้าง ๒๐๐ เมตร


ยาว ๕๐๐ เมตร ก่อด้วยอิฐสีเทา น่าจะไม่ใช่กาแพงเมืองป้องกันทางทะเล โดยเฉพาะทางตะวันตกตรงแหลมเผ่าได๋
ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์คุมช่องทางเข้าออกปากแม่น�้าเซิงแทงห์ (เขมร เรียกว่า แม่น�้าขาม) กับอ่าวสยาม


เม่อพระยาราชาเศรษฐีไม่ออกมาอ่อนน้อม พระเจ้าตากสินฯ โปรดให้พระยาอภัยรณฤทธ์ไปต้งค่ายสกัดอยู่

ณ เชิงเขาฝ่ายทิศตะวันออก พระยาพิไชยไอศวรรย์และเรือรบอาสาหกเหล่า กองหน้านั้นให้รออยู่ท้ายเกาะหน้าเมือง

ฝ่ายตะวันออก เจ้าพระยาจักร (หมุด) พระยาทิพโกษา ทาค่ายน�า ๒ ฟาก ไว้หว่างกลาง กว้างประมาณ ๑๐ เส้น







จะได้ให้เรือรบซ่งมีปืนหน้าเรือกินดินช่งหน่ง คอยรบคุมปากแม่นาเซิงแทงห์ ไม่ให้เรือญวนหนีรอดไปได้ และลาดตระเวน
ตรวจดูก�าลังฝ่ายข้าศึกว่าเตรียมจัดการตั้งรับไว้อย่างไรด้วย
การวางแผนเข้าตีเมือง
พระเจ้าตากสินฯ ทรงวางแผนเข้าตีเมืองฮาเตียนโดยใช้ทหารกองอาจารย์ (พวกคงกระพันชาตรีกล้าตาย)




จานวน ๑๑๑ คน บกนาในทศทางด้วยวธีการท่มพระกระแสรบสง และกาลังทหารทคัดเลอกอีก ๒,๔๐๐ คน เตรียมเข้าต ี











เวลาสองยามวันอาทิตย์ เดือน ๑๒ ข้น ๑๑ คา (๑๗ พฤศจิกายน ๒๓๑๔) และจะต้องกระทาให้สาเร็จเด็ดขาด




การจัดก�าลังทหารที่ขึ้นบกยกเข้าตีเมืองในครั้งนี้ ทหารกองอาจารย์อยู่ในกองหลวง ก�าลังทหารอีก ๒,๔๐๐ คน
เป็นทหารส่วนหนึ่งของทัพหน้าของพระยาพิชัยไอยศวรรย์ อันมีกองทหารอาสาหกเหล่าซึ่งเป็นทหารชั้นดีรวมอยู่ด้วย
มีพระศรีราชเดโช และพระท้ายน�้าเป็นผู้บังคับบัญชา ส่วนกองเจ้าพระยาจักรี (หมุด) กองพระยาทิพโกษา ท�าหน้าที่
อยู่ในเรือเป็นทัพหนุน และคอยสกัดจับข้าศึกที่แตกหนีออกมาทางทะเล ส่วนกองมหาดเล็กซึ่งอยู่ในกองหลวงแบ่งอยู่
นาวิกศาสตร์ 31
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔


รักษาพระองค์ฯ ออกไปรบสมทบกับทัพหน้าบนบกบ้าง ดังจะเห็นได้จากข้อความในพงศาวดารฯ ท่มีพระราช
ดารัสแก่แม่ทัพนายกองภายหลังการรบแล้ว ส่วนกองพระยาพิพิธคงจัดไว้เป็นกองหนุนเหมือนกันในเวลาเข้าตีเมือง













ู่
และมไดกลาวไวว่าพระเจาตากสนฯ ทรงอานวยการรบอย่บนบกหรืออยในเรอ แต่เข้าใจว่าทรงอานวยการรบอย่ในเรอมากกวา




เพราะเป็นการสะดวกท่จะเสด็จไปท่ใด และมองเห็นสมรภูมิและภาพเหตุการณ์ได้ท่วไป (จากประวัติการทหารเรือไทย
พ.ศ. ๒๕๐๘)






นิโคลัส เซลเลอร์ ได้ให้รายละเอียดเพ่มเติมว่า “สยามน่าจะโจมตีเมืองเป็น ๒ ระลอก เร่มด้วยการโจมต ี







ทางกาแพงเมืองก่อนแล้วสนับสนุนด้วยปืนใหญ่ และปืนไฟท่นาข้นไปบนเนินเขาโตเจินซ่งเป็นภูเขาลูกย่อม ๆ สูง ๓๐๐ เมตร




จากระดับนาทะเลปานกลาง สามารถมองเห็นตัวเมืองได้คล้ายกับแหลมเผ่าได๋ซ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ท่สาคัญ”

ทัพบก ทัพเรือพรักพร้อมกันหักเอาเมืองได้รุ่งเช้า ไพร่พลเมืองฮาเตียนแตกกระจัดกระจายหนีไป พระยาราชาเศรษฐ ี
(หมักเทียนตื๋อ) หนีลงเรือไปได้ จับตัวพระองค์เจ้าจุ้ย และเจ้าเมืองจันทบุรีคนเก่า (ซึ่งหลบหนีมาเมื่อพระเจ้าตากสินฯ
ตีเมืองจันทบุรี) ไปจ�าขังไว้
เวลาโมงเช้าเศษ พระเจ้าตากสินฯ เสด็จเข้ามาประทับที่จวน พระยาราชาเศรษฐีตรัสสั่งว่า “สัมฤทธิ์ราชการแล้ว
ให้มีกฎหมายประกาศแก่นายทัพนายกองไทยจีนท้งปวง ซ่งจีนและญวนไพร่พลเมืองจะเดินทางไปมาค้าขาย






ตามถนนหนทางอย่าให้จับกุมโบยตีฆ่าฟันเป็นอันขาด ให้ต้งเกล้ยกล่อมทามาหากินตามภูมิลาเนาดังแต่ก่อน ถ้าผู้ใดมิฟัง


บังอาจละเมิดพระราชกาหนดจงลงพระราชอาญาผู้น้นถึงชีวิต” (เป็นการอนุรักษ์ยุทธวินัยมิให้ทหารข่มเหงพลเมือง
ที่มิได้ตีโต้อันจะท�าให้พลเมืองมีความจงรักภักดีต่อไป)





ส่งหน่งท่ตรงกับหลักการสงครามสมัยใหม่ก็คือ การทา Lesson Learn หลังเสร็จยุทธการท่มีมาต้งแต่สมัย



พระเจ้าตากสินฯ กล่าวคือ หลังจากน้นทรงมีรับส่งสอบถามบรรดาแม่ทัพนายกองถึงวิธีปฏิบัติในเวลารบท้งฝ่ายเรือและ

ฝ่ายบก เพื่อจะได้ทรงทราบว่าใครท�าถูกท�าผิด จะได้เป็นบทเรียนไว้ส�าหรับการรบในคราวต่อไป เช่น
- มีรับสั่งถามเจ้าพระยาจักรี (หมุด) ว่า เมื่อญวนลงเรือหนีไปท�าไมจึงไม่ยิงปืน ในเวลานั้นเจ้าพระยาจักรี (หมุด)


กราบทูลว่า เพราะเรือรบในบังคับบัญชาของจม่นไวยวรนาถขวางหน้าอยู่ จึงเข้าพระทัยว่าจม่นไวยวรนาถทาการรบ

ไม่เข้มแข็ง รี ๆ รอ ๆ ไม่รีบเข้าตีเรือข้าศึก ท�าให้เกะกะไม่เป็นประโยชน์อันใดในการสู้รบ ควรจะต้องลงพระอาญาเฆี่ยน
คนละ ๓๐ ที แต่ให้ทุเลาไว้ก่อน และให้ท�าการแก้ตัวในการรบครั้งต่อไป

- มีรบส่งถามหวหน้ากองอาจารย์ว่า คุมทหารหักเข้าค่ายทางด้านไหน หัวหน้ากองอาจารย์ ๓ คน กราบทลไม่เหมือนกัน



ได้ความจริงว่าไม่เข้าตีตามท่รับส่งไว้ นับว่ามีความผิด จึงให้ลงพระอาญาเฆ่ยนคนละ ๕๐ ท ไพร่คนละ ๒๐ ท ี




ส่วนความชอบที่ตีค่ายได้นั้น ก็พระราชทานบ�าเหน็จรางวัลคนละ ๖ ชั่ง
นาวิกศาสตร์ 32
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔






ดังน จะเห็นได้ว่าแม่ทัพน้นจะต้องมีความเด็ดขาด ผู้ใดจะขัดคาส่งมิได้ ผิดก็ต้องเป็นผิด ถูกก็ต้องเป็นถูก


แสดงความเด็ดขาดชัดเจนไปเลย เพราะในราชการทัพนนจะอ่อนแอมิได้ ใครทาความดีก็ได้รับความชอบ ใครทาผิด



ก็ต้องได้รับโทษเพ่อมิให้เป็นเย่ยงอย่าง และเป็นการผดุงวินัยอันเฉียบขาดของกองทัพ แล้วทรงพระกรุณาจัดแจงบ้านเมือง





















ดงเกา จงพระราชทานตงพระยาพพธผชวยราชการโกษาธบดเปนพระยาราชาเศรษฐรังเมองปากนาพทไธมาศ (ฮาเตยน)
จากความเป็นไปที่กล่าวมาข้างต้น บ่งชี้อย่างชัดเจนว่าพระเจ้าตากสินฯ เป็น “ผู้น�าทหาร” ที่แท้จริง โดยทรงมี
คุณสมบัติครบถ้วน โดยเฉพาะความเข้มแข็ง เด็ดขาด กล้าตัดสินใจ รู้จักการอ่อนตัว ยืดหยุ่นตามสถานการณ์เช่นเดียวกับ
แม่ทัพผู้มีชื่อเสียงของโลกในยุคปัจจุบัน
วันจันทร์ เดือน ๑๒ ขึ้น ๑๒ ค�่า (๑๘ พฤศจิกายน ๒๓๑๔) โปรดฯ ให้เจ้าพระยาจักรี (หมุด) เป็นแม่ทัพหน้า

ทรงพระกรุณาพระราชทานเรือพระท่น่งรองลาหน่งให้เป็นเกียรติยศ ยกทัพจากเมืองฮาเตียนไปตีเมืองพุทไธเพชร



(อุดงฤาชัย) ราชธานี กรุงกัมพูชาธิบดี ประกอบดวยกองเรือพระยาโกษา กองเรือพระมหาเทพ กองเรือจมื่นไวยวรนาถ

กองเรือองค์พระรามราชา รวม ๕ กอง จ�านวนเรือรบ ๙๗ ล�า นาย ไพร่ ๓,๓๐๗ คน สรรพด้วยปืนหน้าเรือ ปืนรายแคม





เคร่องศัสตราวุธท้งปวงยกล่วงหน้าไปก่อน เดินทัพไปตามลานาเข้าสู่แม่นาโขง คร้นยกออกไปถึงปากนาโพรงกระสัง





พบเรือประเจียงญวน ๓ ล�า ได้รบกัน แลญวนนั้นแตกหนีไป โดดน�้าบ้าง ถูกปืนตายบ้าง จับได้ฟันเสียบ้าง แล้วยกเรือ
ขึ้นไปตามล�าน�้า เพื่อไปตีกรุงกัมพูชาธิบดีต่อไป



วันพุธ เดือน ๑๒ ข้น ๑๔ คา (๒๐ พฤศจิกายน ๒๓๑๔) เพลายาฆ้องคา ๕ บาท เป็นมหาพิชัยฤกษ์ พระเจ้าตากสินฯ




เสด็จยกทัพหลวง นาย ไพร่ ๕,๐๐๐ เศษ เรือรบ ๖๐ ล�า สรรพด้วยปืนหน้าเรือ ปืนรายแคม ปืนคาบศิลา ๒,๐๐๐


และเคร่องศัสตราวุธท้งปวง ยกออกจากเมืองฮาเตียนโดยทางชลมารคข้นไปตีกรุงกัมพูชาธิบด ประทับแรมตามรายทาง


จากบ้านปลิงกุ บ้านแหลม ปากน�้าโพรงกะสัง และที่บ้านจีนริมน�้า จีนมาเฝ้ากราบทูลพระกรุณาว่า เจ้าเมืองกัมพูชา
หนีไปแล้ว จึงเสด็จไปประทับ ณ เกาะพนมเพ็ง (บริเวณเมืองพนมเปญ)
กองเรือพระยาโกษาธิบดีที่แยกมาจากกองทัพหลวงตีได้เมืองกัมพงโสมแล้วยกจะตีเอาเมืองกาปอด

พระยาปังกลิมา แขกจามเจ้าเมืองยอมอ่อนน้อมมิได้ต่อรบจึงพาตัวข้นมาเฝ้า ณ เกาะพนมเพ็ง จึงโปรดฯ

ให้พระยาปังกลิมากลับไปอยู่รั้งเมืองก�าปอดดังเก่า

หลังจากทรงพระกรุณาพระราชทานเรือแลข้าวปลาอาหารให้แก่พระสงฆ์ไทยท่สมัครจะเข้าไปเมืองธนบุรีแล้ว
เสด็จฯ จากเกาะพนมเพ็งมาประทับอยู่ ณ ปากน�้าถวายพะแพฟากตะวันตก หนังสือเจ้าพระยาจักรี (หมุด) บอกมา

ทูลพระกรุณาเป็นใจความว่า เขมรประมาณ ๑,๐๐๐ เศษ ต้งค่าย ๒ ฟากคลอง คลองน้นผูกแพสกัดไว้ได้เข้ารบพุ่ง

ติดพันกันอยู่ รุ่งขึ้นวันพฤหัสบดี เดือน ๑๒ แรม ๑๔ ค�่า เพลาเช้าเสด็จออกโยธาทหารทั้งปวง ทรงพระกรุณาด�ารัส

เหนือเกล้าฯ ส่งว่า บันดาจีนไทยท้งปวงซ่งได้เขมรเชลยไว้ ให้เอาข้นทูลเกล้าฯ ถวายจะพระราชทานให้เจ้าองค์รามราชา



ซึ่งอยู่กินเมืองกัมพูชาธิบดี แลกองทัพเจ้าพระยายมราช (รัชกาลที่ ๑) พระยาโกษาให้อยู่ช่วยราชการองค์รามราชากว่า


สนบสนัดก่อน อน่งเจ้าพระยาจักร (หมุด) ซ่งไปตีครัว ณ ปาพนมน้นสัมฤทธ์ราชการแล้ว กลับคืนมายังทัพหลวงซ่งต้งอย ู่





ณ ปากนาถวายพะแพ เพลาเช้า ๒ โมงเศษ เสด็จฯ ยกพลหยุหทัพเพ่อจะกลับคืนยังเมืองพุทไธมาศ/ฮาเตียน โดย



เสด็จฯ มาประทับแรม ณ เกาะปากน�้าทางจะไปกัมพูชา คอยโยธาทหารมาพร้อมแล้วจึงทรงวิจารณ์จัดแจงแล้ว รุ่งขึ้น
เพลาเช้ายกออกจากเกาะล่องไปประทับอยู่ฟากตะวันตก ณ ปากสองแคว จะไปกัมพูชา จะไปปาสัก



ู่

อน่ง นายทัพนายกองซ่งทรงพระกรุณาให้ไปต้งอย ณ ปากนา แล้วจึงให้ไปเกล้ยกล่อมเมืองปาสัก มิได้ต้งอยู่ตามรับส่ง




ล่วงเข้าไปพบเรือญวนประมาณ ๕๐ ล�า รบกัน ลาดทัพถอยมาให้เสียพระสิริสวัสดิ์ (เสื่อมเสียพระเกียรติยศ) เสียคน




เสียเรือ ๑๑ ลา แล้วเสด็จฯ มาต้งค่ายอยู่ ณ ปากนาโพรงกระสัง บันดาเรือเชลยซ่งตีได้มาน้นให้ล่วงหน้าไปเมือง


นาวิกศาสตร์ 33
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔












พุทไธมาศก่อน คร้นรุ่งข้นวันเสาร์ เดือนอ้าย ข้นคาหน่ง ยกจากค่ายปากนาโพรงกระสัง ให้เจ้าพระยาจักร (หมุด) ต้งม่นอย ู่






บ้านจินจง แลนายทัพนายกองที่ลาดทัพมาแต่ปาสัก ให้สมทบอยู่ในกองน้ด้วย รุ่งข้นยกออกมาเพลาคา นาในคลองน้นต้น


เรือครัวจะไปนั้นมิได้ ทรงพระมหากรุณาให้ฝีพายทนายเลือก (นักมวยป้องกันพระองค์) ช่วยเข็นเรือ แล้วสั่งให้ทดน�้า
ทงกลางวนกลางคน เรอรบเรอเชลยใหญ่น้อยทงปวงผ่านไปได้ (สงนแสดงให้เหนถงพระปรชาสามารถในการอานวย





































การทพในฐานะผ้บญชาการพนทซงต้องตดสนใจแก้ไขปัญหาทเกดขน และเป็นผ้สงการในพนทเพอขจดอปสรรค






ต่อแผนหลักที่วางไว้) วันจันทร์ เดือนอ้าย ขึ้น ๓ ค�่า เพลาบ่าย ๓ โมง ถึงเมืองพุทไธมาศ สั่งให้พระยาพิชัยไอศวรรย์


แต่งคนไปเอาข่าวราชการ ณ กรุงเทพมหานคร (กรุงธนบุรี) รุ่งข้นเพลาบ่าย ๔ โมงเศษ พระยาทิพโกษานาเอาจีนบุญเส็ง
หลวงสงขลา ซึ่งหนีไปนั้นมาทูลเกล้าฯ ถวาย จึงตรัสประภาษ ทั้งสองโทษถึงตาย ทรงพระกรุณาตามที่กราบทูลจะอยู่
ท�าราชการสนองพระเดชพระคุณต่อไป
วันพุธ เดือนอ้าย ขึ้น ๕ ค�่า เพลา ๒ ยามเศษ เจ้าพระยาจักรี (หมุด) พระยาอภัยรณฤทธิ์ บอกมาให้กราบทูล
พระกรุณาใจความว่า นายทัพนายกองซึ่งไปราชการเมืองปาสัก รบกับญวนเสียคนถูกปืนตายและเรือ ๘ ล�า นายและ






ไพร่รอดมาได้ ๑๘๖ คน ข้นบกเดนตามริมนามาถึงบ้านพระยาพิชัยสงคราม เขมรซ่งเกล้ยกล่อมไว้น้นรับเล้ยงดไว้



ว่าจะส่งเข้ามา อนึ่ง พระสงฆ์เขมร ๕ รูป ถือหนังสือพระยาอธิกวงศา เจ้าเมืองปาสัก และพระยาราชาสงคราม มาเถิง
นายทัพนายกองท้งปวง ในใจความว่า จะสวามิภักด์สมัครเป็นข้าใต้ละอองฯ แลให้นายทัพนายกองช่วยทานุบารุง







เอาเน้อความกราบทูลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ อย่าให้มีความผิดส่งหน่งส่งใดเลย พระหลวงขุน




หม่นเขมรจะได้มีชีวิตสืบไป จะได้ทาการสงครามมิได้กลัวแก่ญวนเลย คร้นได้ทรงฟังหนังสือบอกน้นแล้ว จึงตรัสประภาษว่า




เจ้าเมืองปาสักน้มีความชอบอยู่ ซ่งข้าทูลละอองฯ จะอาษาไปตีน้นให้ยกไว้ จึงทรงพระอักษรไปเถิงเจ้าพระยาจักร ี



(หมุด) ในใจความว่า ข้าหลวงซ่งไปราชการเมืองปาสัก ญวนบังอาจตีแตกกระจัดกระจายหนีข้นบกได้น้น เจ้าเมืองปาสัก

และพระยาราชาสงคราม เขมรรับไว้เล้ยงด ให้กินแล้วแต่งคน เรือ เสบียงส่งมาน้น เป็นความชอบใหญ่หลวง






ทรงพระกรุณาพระราชทานเส้อผ้าคนละสารับ เงินคนละช่ง แล้วให้เจ้าพระยาจักร (หมุด) หาลงมาพระราชทาน แล้วให้
ห้ามนายทัพนายกองท้งปวงอย่าให้ไปตีเมืองปาสักเลย ให้พระยาอธิกวงศากินเมืองปาสักสืบไป ทรงพระกรุณาจะฝากฝัง

พระองครามราชา ซงครองกมพชาธบด ใหทาราชการยง ๆ ขนไป ถาพระยาทงสองจะใครไปถวายบงคมพระองครามราชา



















ก็ให้ไป ถ้าใคร่จะมาถวายบังคมล้นเกล้าฯ ณ เมืองพุทไธมาศ ก็ให้พาตัวลงมา หนังสือแลส่งของพระราชทานน้น


ให้พระยาเดโช เขมร นายแกว่นถือไป (พนักงานมหาดไทย)

วันพฤหัสบด เดือนอ้าย ข้น ๖ คา เพลาเช้า ทรงพระอักษร ๒ ฉบับ เป็นหนังสือพระยาโกษาธิบด ให้นายวิสูตร องไดฉาม







ลักเกียด ไพร่ไทย ๕ ญวน ๕ ถือไปกรุงอนากก ในเร่องราวใจความฉบับหน่งว่า ให้เสนาบดีกราบบังคมทูลพระเจ้าอนากก

ให้ว่าแก่ญวนลูกหนาย (เมืองซาดิงห์/ไซ่ง่อน) ให้ส่งเรือรบ ๘ ล�า นายและไพร่ ๑๐๐ เงิน ๑๐๐ ชั่ง ซึ่งญวนสกัดตีซึ่ง
ข้าหลวงราชการเมืองปาสัก โดยทางพระราชไมตรีแลไมตรีมิให้พิโรธแก่กัน
อนึ่ง ตรัสสั่งพระอาลักษณ์ ให้หมายบอกกรมนา จ่ายข้าวสาร ๓ เกวียน แลกัปปิยะ (เครื่องใช้สมควรแก่สมณะ)
ถวายพระสงฆ์ ๕๐ เณร ๕๐ รวม ๑๐๐ รูป ซึ่งจะได้รับพระราชทานฉัน กว่าจะไปเถิงเมืองธนบุรี






วันอาทิตย์ เดือนอ้าย ข้น ๙ คา เพลาบ่าย ๒ โมง ทรงพระอักษรดารัสส่งหลวงราชนิกุลให้ไปเถิงเจ้าพระยาจักร (หมุด)
เป็นใจความว่า กองทัพพระศรีพิพัฒ ซึ่งไปราชการเมืองปาสัก แตกญวนหนีมา เสียเรือรบ เรือไล่ นั้น ครั้นจะไม่เอาโทษ
ข้าราชการทั้งปวงก็จะดูเยี่ยงอย่างกันสืบไป ครั้นจะเอาโทษเล่า คนมากกว่า ๓๐๐ นั้น ทรงพระราชด�าริจะลงโทษให้
ก่อก�าแพงเมืองธนบุรี แลให้แต่งคนคุมผู้มีชื่อเป็นหมวดเป็นกองลงมา ณ เมืองพุทไธมาศ จะได้ให้มีนายประกันรับตัว
เข้าไปยังเมืองธนบุรี แลให้เจ้าพระยาจักรี (หมุด) แลกองทัพทั้งปวงกลับมา ณ เมืองพุทไธมาศ จะได้จัดแจงแต่งเรือรบ
นาวิกศาสตร์ 34
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔







ู่
ุ่




เรอไล่ให้พร้อมไว เพลาทมเศษเสด็จอย ณ พระตาหนกเมองพุทไธมาศ ขนวิสตรแลลาวมช่อ กบหนังสือบอกพระยาพชัย

(ทองดี) และหนังสือเจ้าพระยาศรีธรรมมาธิราชเป็นหลายฉบับ ทรงหนังสือบอกในท่ามกลางราชบริษัทท้งปวง ในใจความ

นั้นว่า พระยาพิชัย (ทองดี) ให้ขุนคลังไปสืบข่าวราชการพะม่า พระยาศรีสุริวงศ์ บอกเนื้อความว่าไปสอดแนมราชการ
ณ เมืองแพร่ เมืองน่าน พบนายจุด นายตน นายค�ามูน ให้การว่า มังมะยุง่วน เจ้าเมืองเชียงใหม่ (ขณะนั้นขึ้นกับพะม่า)
ให้กะเกณฑ์พลทหารเป็นหลายบ้านไปพร้อมกัน ณ เมืองเชียงใหม่ กับทัพเมืองเมาะตะมะ เป็น ๒ ทัพ จะยกไปเมืองใด
คนมากน้อยเท่าใดมิได้รู้ พระยาพิชัย (ทองดี) เกณฑ์คนเมืองลับแล เมืองฝาง เป็นกองหลวงได้คน ๔๐๐ ตระเตรียมไว้

อน่ง พระยากาญจนบุรีบอกเข้ามาว่า ได้แต่งคนออกไปตระเวณปลายด่านพบพะม่าแลมอญ จึงยกพวกพลทหาร


ก้าวสะกัดยิงพะม่าตาย ๒ คน พะม่าแตกพ่ายไป จึงได้หมวก เส้อ ปืน แลละว้า (ชาวเขาเผ่าหน่งอยู่ทางตอนเหนือของสยาม)


ซ่งพะม่ากวาดเอาไปน้นคืนมาได้ ๗๐ คน ข่าวว่าราชการในเมืองเมาะตะมะสงบอยู่ แลหนังสือบอกราชการในเมือง

ธนบุร คร้นทรงอ่านแล้วและทรงซักไซ้ไต่ถามลาวมีช่อ (เชลยชาวลาว) ด้วยภาษาลาว ก็แจ้งและอนุมานตามกระแส


เนื้อความนั้น จึงตรัสแก่บริษัททั้งปวงว่าพะม่าจะยกมานั้นหามิได้





ความเป็นไปข้างต้นน ช้ให้เห็นว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงให้ความสาคัญ เร่อง “ข่าวกรอง” โดยมีการรวบรวม
สืบเสาะข้อมูลข่าวสารของฝ่ายตรงข้ามแล้วนามาวิเคราะห์ เพ่อประเมินภัยคุกคามเช่นเดียวกับหลักการทหารในปัจจุบัน


วันจันทร์ เดือนอ้าย ขึ้น ๑๑ ค�่า เพลาเช้าโมงเศษ พระยาโกษานอกราชการทัพบก ยกลงมาแต่กรุงกัมพูชาธิบดี
มาเฝ้ากราบทูลพระกรุณาในเนื้อความว่า เมื่อยกทัพลงมานั้น เขมรป่าพวกละ ๕๐๐ พวกละ ๖๐๐ คน ยกกันมาสกัด
ทาอันตราย กลางวันบ้าง เข้าตีปล้นกลางคืนบ้าง ได้รบกันเป็นสามารถ เขมรร้องว่ามึงแตกทัพญวนลงมาแล้วหรือ

แลกองทัพพระยาโกษา กองทัพเจ้าพระยาอนุรักษ์ภูธร แลกองทัพขุนหมื่นข้าหลวงทั้งปวง ได้ไล่ตะลุมบอนฆ่าฟันเขมร
ล้มตายเป็นอันมาก ฝ่ายเขมรก็ต่อสู้ยิงกองทัพด้วยธนูหน้าไม้ ถูกไพร่ทหารในกองทัพ ๘๐ คนเศษ แต่จะได้อันตราย
ล้มตายแต่สักคนหนึ่งมิได้นั้น จึงทรงพระกรุณาตรัสแก่พระยาโกษาว่า เราคิดเอ็นดูว่าเขมรนี้มิได้แกล้วกล้าในสงคราม
เราจึงอดลดไว้ บัดนี้มาท�าร้ายแก่ไพร่กองทัพนั้น เห็นว่าแผ่นดินกัมพูชาธิบดียังมิสงบจะไว้ชีวิตมิได้ สั่งให้พระยาโกษา

เจ้าพระยาอนุรักษ์ภูธร ยกกองทัพข้นไปปราบเขมรเหล่าร้ายให้สงบจงได้ อน่ง เพลาทุ่มเศษ ทรงแต่งกฎประกาศ

แก่ข้าทูลละอองฯ ฝ่ายทหาร พลเรือนไทยจีน ว่าทางจะไปญวนนั้นขัดสน แลได้มีศุภอักษรไปแก่ญวนแล้วถ้าเป็นไมตรี






ต่อแล้วกแล้วไป ถ้าดอดงอย่จะยกกองทพเรอไป แลให้พระยายมราช (รชกาลท ๑) พระยาโกษาอย่ช่วยราชการ






พระองค์รามราชา ณ เมืองกัมพูชาธิบด กว่าเขมรจะราบคาบสงบแล้วจึงให้กลับไป เม่อจะกลับไปน้น ให้เกณฑ์กัน




ต้งค่ายเป็นทอดไปกว่าจะถึงกรุงฯ อย่าให้เป็นเหตุการณ์อันตราย จะเอานายทัพนายกองเป็นโทษถึงตาย อน่งญวน
เขมรอ่อนแก่การสงคราม จะตั้งค่ายก็ตั้งแค่ ๓ ด้าน จะรบเรือก็ลอยเรือยิง เรือใหญ่ช่องปืนยิงนั้นจ�าเพาะแต่ปากปืนนั้น
จะยักย้ายมิได้ ล้อรางไม่รวดเร็วอย่างกับเรือรบกรุงฯ ถ้าทแกล้วทหารบุกรุกเข้าไปญวนกระโดดนาหนีไป ได้เรือ




เคร่องศัสตราวุธเป็นหลายแห่ง หลายตาบล แลกองทัพพระศรีพิพัฒรบกับญวน ญวนลอยเรือรบยิงแต่ไกล มิได้ยกบุกรุก





จงเสยคน ๑๐ คน เรือ ๖ ลา และพระอุทัยธรรมมิได้ช่วยกัน ลาดถอยเรือหนีมาให้เสยราชการนน จะเอาตัว

เป็นโทษตามโทษานุโทษแต่น้สืบไปเม่อหน้า นายทัพนายกองท้งปวงจะรบญวนน้นให้เข้าเป็นกอง ๑๐ ลาบ้าง ๕ ลาบ้าง







ให้ตีแต่เข้าไปให้ชิดได้แคมได้ข้าง ถึงจะยิงปืนช่องปืนจาเพาะแต่ปากบอก จะยกท้ายข้นมได้ ก็จะพ้นไป เสยทางปืน



แล้วญวนก็จะโดดน�้าหนี จะได้ชัยชนะมาทูลเกล้าฯ เป็นความชอบนัก แลนายทัพนายกองจะรบด้วยเรือรบญวน ผู้ใด

ร้งรอย่อหย่อนอยู่ให้เสียราชศรีสวัสด์น้น ให้นายทัพผู้ใหญ่ตัดศีรษะเสียบ อย่าได้ดูเย่ยงอย่างกัน ญวนต้งค่ายรบเอา




เรือรบ เรือล่อ อย่าให้บุกรุกเข้าไป ถ้าพอจะเอาเรือรบซ่อนไว้ได้ ก็ให้ซุ่มไว้ ให้แต่งกองออกล่อให้เสียกลแล้ว ก็ให้ตัดท้าย
ตัดกลางบุกรุกเข้าไป จึงจะได้ชัยชนะด้วยง่าย
นาวิกศาสตร์ 35
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔




วันพุธ เดือนอ้าย ข้น ๑๒ คา เพลาบ่าย ๓ โมงเศษ ฯพฯ ลูกขุน (ข้าราชการช้นผู้ใหญ่) ณ ศาลาท่ประทับ










ได้เอาหนังสือบอกของพระยายมราช (รชกาลท ๑) น้น กราบทูลพระกรณาในใจความน้นว่า วันจันทร์ เดอน ๑๒ ข้น ๕ คา




ยกกองทัพบกมาถึงบ้านปราสาทเอกไกลเมืองพระตะบองประมาณ ๑๕๐ เส้น ต้งค่ายม่นลงแล้ว แต่งให้พระหลวง





ขุนหม่น ทแกล้วทหารท้งปวง ๑,๐๐๐ เศษ ยกเข้าตีเมืองดูกาลัง รบกันเพลาบ่ายโมงจนเพลาคา เขมรยังรบพุ่งต้านทานอย ู่


คร้นเพลาประมาณ ๒ ทุ่มเศษ พระอนุชิตราชาและนายทัพนายกองท้งปวง จึงแต่งคนให้ข้ามนาวกหลังไปตีเขมร





แตกพ่ายไป จึงยกมาต้งม่นอยู่ ณ บ้านปลงกะบ แล้วให้พระยากาแหงวิชิต ยกรบัตรทัพอยู่รักษาด่าน กองหลวง


กองหน้า กองเกียกกาย กองยกรบัตรทัพ กับนายทัพนายกองท้งปวง ยกไปตีเขมรท่ค่ายส�านักระกา รบพุ่งกันแต่

เพลาเช้า ๒ โมง จนเพลาบ่าย ๒ โมง ตะลุมบอนฟันแทงเขมรตายประมาณ ๑๐๐ คนเศษ เขมรแตกไป จับได้ ๒๗ คน
ได้ปืนแกว (ญวน) ๕๐ กระบอก ม้า และเครื่องศัสตราวุธเป็นอันมาก พระวิเศษถูกปืนตาย และทหารบาดเจ็บ ๑๔ คน
ตาย ๑ คน แลสืบข่าวได้ว่าเขมรตั้งค่ายรบ ณ บ้านตะพงปรัก ๒ ค่าย จึงให้ฟ้าทะละหะ และนายเงินน้องพระวิเศษ
ทาราชการแทนพระวิเศษกองหน้าต่อไป ยกกองทัพเข้าตีเมืองโพธิสัตว์เขมรแตกหนีไป จึงต้งค่ายพักอยู่หาเสบียง



ณ เมืองโพธิสัตว์ ๓ วัน แต่งให้ทหารรักษาเมือง ๒๐๐ คน แล้วให้แยกข้นทางเมืองตะคร้อ เมืองขลุง เมืองลารอง
เมืองบริบูรณ์ ตัดตรงจะเข้าตีเมืองพุทไธเพชร คร้นถึงบ้านกาแรง จับเขมรได้ ให้การว่า กองทัพหลวงได้เมืองพุทไธเพชร


แล้วจึงยกรีบมาตามเสด็จฯ (พระยายมราช รัชกาลท ๑ เข้าพระทัยว่าพระเจ้าตากสินฯ เสด็จมากับทัพหลวง ความจริงแล้ว




เป็นทัพหน้าของเจ้าพระยาจักร (หมุด) ท่ตีเมืองพุทไธเพชรได้ก่อนแล้ว) พบพระองค์รามราชาบอกว่าเสด็จฯ
กลับไปเมืองฮาเตียน/พุทไธมาศแล้ว แลเมืองพุทไธเพชรน้น ข้าวปลาอาหารขัดสน จึงยกมาต้ง ณ เมืองโพธิสัตว์





เมืองปัตบอง (พระตะบอง) ข้าวปลาอาหาร ผู้คนค่อยม่งค่ง ให้ฟ้าทะละหะอยู่เกล้ยกล่อมจะได้ช่วยราชการไปกว่าจะสงบ




คร้นได้ทรงฟังในหนังสือบอกน้นแล้ว จึงทรงฯ ตรัสส่งว่า ฟ้าทะละหะน้นให้อยู่เกล้ยกล่อม ณ เมืองโพธิสัตว์

เมืองปัตบอง ที่ข้าวปลาอาหาร ผู้คนมาก และให้มีหนังสือไปเถิงพระองค์รามราชา ว่าได้ให้พระยายมราช (รัชกาลที่ ๑)
พระยาโกษาอยู่ช่วยราชการพระองค์รามราชา ถ้าราชการกรุงกัมพูชาธิบดีสงบแล้วจึงให้กองทัพกลับเข้าไปกรุงฯ
แลพระราชทานข้าว ๑๐๐ เกวียน ดินประสิว ๕ หาบ ดีบุก ๕ หาบ ไว้แก่พระองค์รามราชาสาหรับราชการ อน่ง ฟ้าทะละหะ


ครั้นสงบราชการแล้ว ให้คงที่เป็นฟ้าทะละหะท�าราชการทะนุบ�ารุงแผ่นดินกรุงกัมพูชาธิบดีสืบไป แล้วทรงพระกรุณา
พระราชทานข้าวไว้สาหรับเมือง ให้พระองค์รามราชา ๑๐๐ เกวียน พระยาราชาเศรษฐ ๑๐๐ เกวียน ไว้เมืองพุทไธมาศ


ถ้าพระองค์รามราชาขัดสนก็ให้แต่งคนลงไปรับเอาต่อพระยาราชาเศรษฐี เมืองปากน�้าพุทไธมาศ (ฮาเตียน)






วันศุกร์ เดือนอ้าย ข้น ๑๔ คา เพลาเช้า เสด็จฯ ออกขุนนาง ณ ตาหนักเมืองพุทไธมาศ ตรัสส่งเจ้าพระยาสรประสิทธ์ว่า
ณ วันเดือนอ้าย แรม ๓ ค�่า จะเสด็จกลับไปเมืองธนบุรี ให้ตั้งพิธีไปแต่วันนี้ ให้เป็นลมว่าว ลมตะวันออก กว่าจะเสด็จฯ
กลับไปเถิงเมืองธนบุรี อย่าให้เป็นเหตุการณ์แก่พิริยโยธาทั้งปวง


อน่ง เพลายาคาแล้ว ทรงพระอักษรส่งให้นายเล่ห์อาวุธ (มหาดเล็ก) ให้หมาดไทยหมายบอกข้าทูลละอองฯ



ฝ่ายทหาร พลเรือน ทแกล้วทหารทั้งปวงในใจความว่า จะเสด็จฯ กลับไปโดยทางชลมารคนั้น ให้ไปเป็นหมวดเป็นกอง

อย่าให้พลัดหมวด พลัดกอง มีราชการจะได้หากันสะดวก แลฤดูน้เป็นเทศกาลลมว่าวพัดด้านข้างเรือ ลมตะวันออก
พัดข้างเรือ ห้ามอย่าให้ออกไปไกลฝั่ง ให้เลียบริมฝั่งไป ถ้าจะข้ามอ่าว ลมพัดข้างเรือนัก คลื่นใหญ่จะไปมิได้ ให้หยุดอยู่
กว่าคลื่นจะสงบราบก่อนจึงไป ให้ได้อ่าวอาศัยถ้าเห็นว่าลมเปล่าโปร่งดี ก็ให้ไปทั้งกลางวันกลางคืน อย่าให้หยุดอยู่ที่ใด

ท่หน่ง แลให้นายทัพนายกองกาชับว่ากล่าวกัน อย่าให้เป็นเหตุการณ์แต่ส่งหน่งส่งใดได้ อน่ง ลูกเรือน้นให้ดูโคม (สัญญาณไฟ)







นายเรือเป็นส�าคัญ ให้ไปเป็นหมวดเป็นกองกันตามรับสั่ง
นาวิกศาสตร์ 36
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔




ความเป็นไปข้างต้นน ช้ให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพความเป็นชาวเรือของพระเจ้าตากสินฯ ท่ทรงวิเคราะห์คาดการณ์

สภาพท้องทะเล และฟ้าอากาศ ซึ่งจะมีผลกระทบโดยตรงต่อการยาตราเรือจ�านวนมาก






วันเสาร์ เดือนอ้าย ข้น ๑๕ คา เพลาเช้าเสด็จฯ ทรงม้าพระท่น่งไปบาเพ็ญการกุศล ณ วัดญวน ให้สังฆการีธรรมการ
(เจ้าพนักงานผู้มีหน้าท่เก่ยวกับสงฆ์ในงานหลวง) นิมนต์พระสงฆ์ไทย จีน และญวน เป็นอันมาก มาพร้อมกัน ณ วัดญวน


แล้วสวดพระพุทธมนต์ตามภาษา ครั้นจบแล้วถวายไทยทาน แล้วตรัสประภาษให้โอวาทพระสงฆ์ญวนโดยภาษาญวน
พระสงฆ์จีนโดยภาษาจีน ในพระราชอธิบายว่าให้ตั้งอยู่ในสังวรศีล (ความส�ารวมเป็นศีลได้แก่สังวร ๕ อย่าง)


รุ่งข้นเพลาบ่าย ๓ โมงเศษ พระยาพิษณุโลก เจ้าเมืองเชิงกะชุม พระยาโยธาภักด เจ้าเมืองมะลิกุน พระยาราวีโยธาธิบด ี


เจ้าเมืองนครบุร พระยาจักร (หมุด) พามาเฝ้า ทรงพระกรุณาพระราชทานเส้อผ้าคนละสารับ พระราชทานปืนใหญ่ ๒ บอก



ให้พระยาพิษณุโลกรักษาค่ายปากนาโพรงกระสัง ฝากไปพระองค์ราม ปืนใหญ่ ๕ บอก และให้พระยาจักร (หมุด)





มีหนังสือไปถึงพระองค์รามราชา ใจความว่า ทรงพระกรุณาพระราชทานปืนใหญ่ไว้สาหรับเมือง ๕ บอก และเมืองซ่งข้นแก่

กัมพูชาธิบด อย่าเพ่อให้เรียกส่วยไรก่อน ด้วยว่ากองทัพมายาย ผู้คนยังขัดสนอยู่ แลให้โอบอ้อมเกล้ยกล่อมเอาไว้ใช้





โดยไมตร อย่าให้เสียนาใจได้ แล้วให้พระองค์รามราชาสืบดูหนทางจะไปเมืองอนากก เมืองลูกหนาย (เมืองซาดิงห์/



ไซง่อน) ให้สรรพไว้



วันจันทร์ เดือนอ้าย แรม ๒ คา เพลายาฆ้องคาแล้วทุ่มเศษ พระองค์รามราชามีหนังสือบอกมากราบทูล



พระกรุณาใจความว่า พระองค์อุทัยราชา (นักองค์ตน) เจ้าเสสัง (พระองค์เจ้าศรีสังข์) หนีไปแคว้นเมืองญวนติดตาม
ไปไม่ได้ จึงยกทัพกลับมา แลให้ทหารไปเกลี้ยกล่อม พบกองทัพพระองค์อุทัยฯ ได้รบกันแตกหนีไป แลขัดสนด้วยปืน

จะขอปืนคาบศิลาซ่งเบิกไปสาหรับทัพ ๓๐ บอก จะขอใหม่ ๗๐ เป็น ๑๐๐ บอก จะได้เป็นกาลังราชการไป



คร้นได้ทรงฟังหนังสือบอกน้น แล้วจึงส่งให้พระราชทานปืนคาบศิลา ๑๐๐ บอก แลจัดปืนคาบชุด ๑๒ บอก พระราชทาน



ไปเป็น ๑๑๒ บอก แล้วทรงพระอักษรให้เจ้าพระยาจักร (หมุด) บอกไปเถิงพระองค์รามราชาใจความว่า ปืนใหญ่ ๕ บอก
ฝากพระยาพิษณุโลกข้นไปถึงพระองค์รามราชา แลพระราชทานปืนใหญ่พระยาพิษณุโลก ๒ บอก สาหรับรักษา


ค่ายปากน�้าโพรงกระสัง ถ้าช้าไปก็ให้พระองค์รามราชาแต่งคนลงมารับเอาต่อพระยาพิษณุโลก อนึ่ง ดีบุก ๕๐ หาบ
ดินประสิว ๕๐ หาบ ฝากพระยาโกษา (นอกราชการที่โปรดให้ไปอยู่ช่วยราชการ ณ กรุงกัมพูชาฯ) ไปพระราชทาน

พระองค์รามราชา ถ้าขดสนด้วยลูกกระสุนดนประสว ทรงพระกรุณาพระราชทาน พระยาราชาเศรษฐไว้เป็นอันมาก



ให้พระองค์รามราชาแต่งคนมายืมเอา อนึ่ง ข้าวเปลือก ๗๐ เกวียน มอบพระยาราชาเศรษฐีไว้ ถ้าพระองค์รามฯ ขัดสน
ด้วยอาหารก็ให้แต่งคน แต่งเกวียนลงไปรับเอา จะเสด็จอยู่ที่เมืองพุทไธมาศช้านักมิได้ ด้วยเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช
แลข้าหลวง (ผู้รักษาพระนคร-กรุงธนบุรี) บอกหนังสือส่งคนข่าว ลาว ละว้า พะม่า หน้าด่านมา พะม่าเสียแก่ห้อ (ฮ่อ-จีน) แล้ว



แลพม่าแตกต่นมาหน้าด่าน จะเสด็จฯ พระดาเนินมายังกรุงธนบุร จะแต่งกองทัพข้นไปจัดแจงเมืองเชียงใหม่

เมืองมัตมะ และเมืองหงสา
วันอังคาร เดือนอ้าย แรม ๓ ค�่า ยกโยธาทัพหลวง จากเมืองพุทไธมาศกลับคืนพระนคร เสด็จฯ โดยทางชลมารค
มาในท้องทะเลหลวง คลื่นลมสงบ หาอันตรายมิได้ เสด็จฯ มา ๑๓ วัน วันจันทร์ เดือนอ้าย แรม ๑๓ ค�่า ถึงเมืองธนบุรี

(พระองค์เจ้าจุ้ยแลเจ้าเมืองจันทบุรีคนเก่า พร้อมพวกถูกประหารส้น ส่วนพระองค์เจ้าศรีสังข์น้น ตามพระราชพงศาวดาร

กรุงกัมพูชา ฉบับพระองค์นพรัตน์ กล่าวว่า “ลุเดือน ๓ ในปีเถาะ (จ.ศ. ๑๑๓๓ พ.ศ. ๒๓๑๔ นี้ เจ้าเสสัง (ศรีสังข์)
ซึ่งเป็นเจ้านายไทยที่หนีมาจากกรุงศรีอยุธยา ครั้งเมื่อพม่ามาตีเมืองมาอยู่เมืองเขมรนั้นได้สิ้นพระชนม์ลง”)
นาวิกศาสตร์ 37
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔

บทสรุป




สยามสามารถกาจัดอิทธิพลของหมักเทียนต๋อไม่ให้มารบกวนการแผ่ปริมณฑลอานาจของธนบุร และความสัมพันธ์
กับราชสานักจีน ตลอดจนการสถาปนากษัตริย์กัมพูชาภายใต้การกากับของธนบุร แม้จะไม่มีอานาจเหนือกัมพูชา









ท้งหมดก็ตาม นอกจากน ยังเป็นการส้นสุดอานาจทางการเมืองของราชวงศ์บ้านพลูหลวงอยุธยาในอุษาคเนย์
และไม่เป็นอุปสรรคต่อการครองบัลลังก์กรุงธนบุรีอีกต่อไป


สาหรับเรือท่ไปราชการทัพคร้งน มีจานวนมากประมาณ ๓๐๐-๔๐๐ ลา คงจะเกณฑ์มาจากหัวเมืองปักษ์ใต้










(รวมท้งเรือท่รับส่งให้ต่อใหม่คราวยกทัพเรือไปตีเมืองนครศรีธรรมราช) และหัวเมืองตะวันออก รวมท้งสาเภาของขุนนาง
ข้าราชการ และลูกค้าจีนทั้งปวง ส่วนปืนเล็กปืนใหญ่นั้น ในพงศาวดารกล่าวว่า












“แขกเมองตรงกาน และแขกเมองยกตรา (ปัตตาเวย/อนโดนเซย) นาเอาปืนคาบศลาเข้ามาทลเกล้าถวาย
ถึง ๒,๒๐๐ กระบอก เป็นพระราชลาภอันวิเศษ”
กับอีกคราวหนึ่ง กล่าวอย่างสั้น ๆ ว่า
“เมืองยักตราถวายปืนใหญ่ ๑๐๐ กระบอก”

ในจดหมายเหตุของฮอลันดามีกล่าวว่า “ฮอลันดาทางเมืองชวาได้จัดส่งปืนมาให้สยามตามท่ต้องการ
ในสมัยกรุงธนบุร (น่าจะเป็นการค้าขาย)” ซ่งทางฝ่ายฮอลันดาคงจะเห็นแล้วว่าเป็นการทาบุญคุณกันไว้ ต่อไปภายหน้า



จะได้เข้ามาค้าขายกับกรุงธนบุรีได้โดยสะดวก ท้งน นับว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงดาเนินนโยบายทางการเมืองกับ




ชาติตะวันตกได้เป็นอย่างด ซ่งแม้แผ่นดินกรุงธนบุรีเป็นราชธานีของไทยจะมีระยะเวลาไม่ยาวนานนัก แต่ตลอดห้วงเวลาน้น



ไม่ปรากฏภัยคุกคามจากชาติตะวันตกเลยแม้แต่น้อย
ทั้งนี้ก็ด้วยพระปรีชาสามารถของพระเจ้าตากสินฯ ผู้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้แก่ปวงชนชาวไทย
นั่นเอง

นอกจากน้แล้วสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงมีพระปรีชาสามารถในการทาสงครามอย่างดีย่ง ท้งศาสตร์และ



ศิลป์ ดังเห็นได้จากทรงวางแผนการทัพในการพิชิตเมืองฮาเตียน และกรุงกัมพูชาอย่างเป็นระบบ โดยส่งกองทัพบก


ไปทางปราจีนบุร ส่วนพระองค์ยกทัพเรือเป็นทัพหลวงไปตีเมืองฮาเตียน และเมื่อกองเรือไปถึงเมืองจันทบุรีได้ทรงส่งให้



กองเรือของพระยาโกษาแยกไปตีเมืองกาปงโสม และเมืองกาปอด เม่อทัพหลวงไปถึงเมืองฮาเตียนแล้วทรงสารวจ


ภูมิประเทศโดยเสด็จด้วยพระบาทยืนอยู่บนแหลมเผ่าได๋ ซ่งสามารถมองเห็นตัวเมืองได้ท้งหมด และเป็นจุดยุทธศาสตร์



สาคัญ จากนั้นทรงวางแผนเข้าตีเมืองอย่างเป็นระบบ หลังจากการรบแล้วทรงตรัสถามท้งกาลังทางบกและทางเรือ




ว่าได้ดาเนินการตามท่ได้ทรงรับส่งไว้หรือไม่ เพ่อเป็นบทเรียนในการรบคร้งต่อไป รวมท้งมีการลงโทษผู้ไม่ปฏิบัติตามรับส่ง





และปูนบาเหน็จให้ด้วยหลังจากทรงจัดการบ้านเมืองให้เรียบร้อยแล้วด้วยการออกกฎหมายประเทศ ไม่ให้ทหาร



ทาอันตรายต่อพลเมืองผู้ไม่เก่ยวข้องกับการรบ แล้วทรงวางแผนข้นต่อไป โปรดให้เจ้าพระยาจักร (หมุด) เป็นแม่ทัพหน้า



ยกทัพไปตีเมืองพุทไธเพชร (อุดงฤาชัย) กองเรือขององครามราชารวมอยู่ดวย ยกล่วงหน้าไปก่อนทัพหลวง โดยเดินทัพ
ไปตามล�าน�้า ซึ่งจะเป็นการประสานสอดคล้องกับทัพบกที่ยกมาอีกทางหนึ่ง

การดาเนินการทางด้านการทูตน้น พระองค์ทรงกระทาควบคู่กันไปด้วย เช่น มีศุภอักษรถึงเจ้าเมืองฮาเตียน



ให้ออกมายอมแพ้ก่อนถึงจะเข้าตีเมือง รวมท้งเม่อได้เมืองพุทไธเพชรแล้ว ทรงให้มีศุภอักษรไปถึงเจ้าอนากก (ท่เมืองเว้)



เป็นทางพระราชไมตรีมิให้พิโรธแก่กัน ด้วยจะแบ่งแผ่นดินกัมพูชาเป็น ๒ ภาค

ในทางด้านยุทธศาสตร์แล้ว การท่ทรงขยายขอบเขตปริมณฑลอานาจมาทางตะวันออกน้น เป็นการป้องกันในเชิงลึก




เพ่อไม่ให้ญวนใช้เขมรเป็นฐานในการบุกรุกสยามได้ รวมท้งการมีแผนท่จะกลับไปจัดการกับหัวเมืองเหนือ (ล้านนา)

ซึ่งพม่าใช้เป็นแหล่งสะสมเสบียง และก�าลังคนในการตีอยุธยามาแล้ว
นาวิกศาสตร์ 38
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔



ส่วนในทางยุทธวิธ พระองค์ทรงมีความรอบรู้เป็นอย่างดีในการใช้ปืนใหญ่เรือ และทรงแนะนาจุดอ่อนการใช้


ปืนใหญ่ฝ่ายญวน นอกจากน้การเสด็จกลับกรุงธนบุรีโดยทางชลมารค ได้ทรงตรัสแนะนาวิธีการในการเดินเรือโดยละเอียด





เพ่อมิให้เกิดเหตุการณ์แก่พิริยโยธาท้งปวง สาหรับกองทัพบกในส่วนท่ให้พระยายมราช (รัชกาลท ๑) และพระยาโกษา



อยู่ช่วยราชการพระองค์รามราชาจนกว่าบ้านเมืองสงบแล้ว จึงให้กองทัพกลับไปกรุงธนบุรีน้น ทรงรับส่งถึงรายละเอียด
ในการถอนกองทัพเป็นขั้นเป็นตอน
นอกจากน้ในด้านส่งกาลังบารุง ทรงจัดข้าวสาร กระสุนดินดา ตลอดจนยุทโธปกรณ์มอบให้เมืองฮาเตียน




องค์รามราชา และแม่ทัพที่รักษาเมืองอื่น ๆ อย่างเพียงพอ
เอกสารประกอบการเขียน
๑. กรมศิลปากร. ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๖. (จดหมายรายวันทัพสมัยกรุงธนบุรี คราวปราบเมืองพุทธไธมาศและ








เขมร พ.ศ. ๒๓๑๔) ในอนุสรณงานพระราชทานเพลงศพ นาวาตร หลวงจกรวธานสนทด (กมล อากาศวภาต). พ.ศ.๒๕๐๓.
๒. แชน ปัจจุสานนท์, พลเรือตรี. ประวัติการทหารเรือไทย. พ.ศ. ๒๕๐๘.
๓. ด�ารงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. ต�านานเรือรบไทย. อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ
นาวาเอก พระประพิณพนยุทธ์ (พิณ พลชาติ). พระนคร: โรงพิมพ์พระจันทร์. ๒๔๙๖.
๔. พนจนทนมาศ (เจม). พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ: จดหมายรายวันทัพ, อภินิหารบรรพบุรุษ




และเอกสารอื่น. กรุงเทพฯ: ศรีปัญญา, ๒๕๕๑.


๕. สุเจน กรรพฤทธ์. ศึกชิง “กัมพูชา” และ “ฮาเตียน” ระหว่างราชสานักสยามและตระกูลเหงวียนช่วงปลาย


คริสต์ศตวรรษท่ ๑๘ ถึงต้นคริสต์ศตวรรษท่ ๑๙. ใน วารสารประวัติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ฉบับท ๑ (ม.ค .- มิ.ย. ๒๕๖๑).


หน้า ๑๑๗ - ๑๗๕

๖. สานักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร. ประชมพงศาวดารฉบบกาญจนาภเษก เล่ม ๒, ๓ และ



๑๒. กรมศิลปากร, ๒๕๔๙
๗. Sellers, Nicholas. The Prince of Ha-Tien, (1983).
๘. Sakurai, Yumio. Ha-Tien or Banteay Meas in The Time of The Fall of Ayutthaya, (1999).

















นาวิกศาสตร์ 39
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔



ราชนาวิกสภา























นาวิกศาสตร์ 40
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔


Click to View FlipBook Version