The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by นาวิกศาสตร์, 2021-11-26 02:50:55

พระราชวังเดิม สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของกองทัพเรือ

พลเรือเอก ทวีวุฒิ พงศพิพัฒน



บทความ“เล่าเรื่องเมืองไทย” เป็นเร่องราว ได้โปรดให้สร้างพระราชวังนี้ขึ้น ภายหลังจากที่ทรงกอบกู้





ทางประวัติศาสตร์ วรรณคดี ประสบการณ์ และสิ่งละอัน เอกราชให้ชาตไทย เมอปี พ.ศ. ๒๓๑๐ เพอใช้เป็น




พันละน้อย ท่ผู้เขียนเขียนข้น โดยนาข้อมูลจากหนังสือต่าง ๆ ท่ประทับและว่าราชการ เม่อทรงสถาปนากรุงธนบุร ี

มาร้อยเรียงเป็นเรื่องราว และได้เคยส่งไปตีพิมพ์เผยแพร่ เป็นราชธานีพร้อมกับปรับปรุงป้อมวิไชยเยนทร์และ
ในนิตยสารต่าง ๆ หลายเล่ม เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นป้อมวิไชยประสิทธิ์ ต�าแหน่งที่ตั้งของ









ต่อมาได้พิจารณาเหนว่าควรจะนาเร่องราวต่าง ๆ พระราชวงหลวงนมความส�าคญทางยุทธศาสตร เน่องจาก





ท่เขียนไว้มารวบรวมและตีพิมพ์เป็นเล่มจึงได้จัดทา มีป้อมปราการท่ม่นคง สามารถสังเกตการณ์ได้ในระยะไกล



เป็นหนังสือ จ�านวน ๓ เล่ม ๗๐ เรื่อง โดยกองบัญชาการ อีกท้งยงใกล้กบเส้นทางคมนาคมและเส้นทางการเดินทัพ
กองทัพไทยได้สนับสนุนการจัดพิมพ์ จ�านวน ๒ ครั้ง และ ที่ส�าคัญด้วย

ได้แจกจ่ายให้กบสถานศกษาต่าง ๆ ทวประเทศ แต่ อาณาเขตของพระราชวังเดิมในสมัยสมเด็จ
















ไม่เพียงพอกับความต้องการ ดังน้น เม่อนิตยสาร พระเจาตากสนมหาราชนน มพนทตงแตป้อมวไชยประสิทธ ์ ิ





นาวิกศาสตร์ซ่งเป็นนิตยสารสาคัญของกองทัพเรือจะนา � ข้นมาจนถึงคลองเหนือวัดอรุณราชวราราม (คลองนครบาล)
เรื่องต่าง ๆ มาตีพิมพ์เป็นตอน ๆ ผู้เขียนจึงมีความยินดี โดยรวมวัดแจ้ง (วัดอรุณราชวราราม) และวัดท้ายตลาด


เนื่องจากเห็นว่าเรื่องต่าง ๆ จะเป็นการอ�านวยประโยชน์ (วัดโมลีโลกยาราม) โดยวัดท้งสองน้ไม่มีกุฏิพระและ


ให้ผู้อ่าน ท้งท่เป็นทหารเรือ ครอบครัว และบุคคลภายนอก ไม่มีพระภิกษุจาพรรษา ต่อมาเม่อพระบาทสมเด็จ



ไม่มากก็น้อย พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จข้นครองราชสมบัต ิ
ในท้ายท่สุด ผู้เขียนขอกราบขอบพระคุณ ครูบาอาจารย์ ได้ทรงย้ายราชธานีมาอยู่ฝั่งพระนคร โดยสร้าง



จากสถานศึกษาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น โรงเรียนอ�านวยศิลป์ พระบรมมหาราชวังข้นเป็นท่ประทับ พระราชวังกรุงธนบุร ี








โรงเรียนเตรียมทหาร และ โรงเรียนนายเรือ จงได้ชอว่า พระราชวังเดิม ตงแต่บดนน










ทประสทธประสาทวชาความรใหผเขยนเพอนาเรองราวตาง ๆ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ทรง











มาถ่ายทอดให้ผู้อ่าน อย่างไรก็ด หากมีข้อคิดเห็นหรือ กาหนดเขตวังให้แคบกว่าเดิมโดยให้วัดทั้งสองท่กล่าวแล้ว


ข้อเสนอแนะ กรุณาแจ้งให้ผู้เขียนทราบด้วย เพ่อน�า อยู่ภายนอกพระราชวัง และเน่องจากพระราชวังกรุงธนบุรี






มาปรับปรุงและแก้ไขต่อไป ทั้งนี้ หากมีข้อผิดพลาดใด ๆ มีความสาคัญในทาเลท่ต้ง จึงทรงแต่งต้งพระราชวงศ์ช้นสูง

ผู้เขียนขอน้อมรับแต่เพียงผู้เดียว ท่ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยมาประทับหลายพระองค์




พระราชวังเดิม สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของกองทัพเรือ ภายหลงจากทสมเดจพระเจ้าน้องยาเธอ


พระราชวังเดิมเป็นพระราชวังหลวงของสมเด็จ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศม กรมพระจักรพรรดิพงษ์ ส้นพระชนม์


พระเจ้าตากสินมหาราช ต้งอยู่ริมฝั่งแม่นาเจ้าพระยา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้



บริเวณปากคลองบางกอกใหญ่ ในพ้นท ๆ เคยเป็น พระราชทานพระราชวังเดิมให้เป็นท่ต้งโรงเรียนนายเรือ










ท่ต้งของป้อมวิไชยเยนทร์ท่สร้างข้นในสมัยสมเด็จ ต้งแต่วันท ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๓ ตามคาขอ

พระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ของพระยาชลยุทธโยธินทร์ ผู้บัญชาการกรมทหารเรือ
24 นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๔ ประจำ�เดือน เมษ�ยน ๒๕๖๒






ในขณะน้น แต่ทรงมีพระราชดาริว่า “แต่ของท่ปลูกสร้าง รัชกาลท ๕ เม่อคร้ง สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ



มาแต่เดิม ซ่งควรจะรักษาให้คงไว้มีบางอย่าง คือท้องพระโรง เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศม กรมพระจักรพรรดิพงษ์ ได้รับ


และตาหนักเก๋งของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ และ พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จมาประทับ ณ พระราชวังเดิม
ศาลเจ้าตาก ศาลศีรษะปลาวาฬ ของเหล่านี้ให้ซ่อมแซม ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๒๔ - ๒๔๔๓ โดยมีพระดาริให้สร้างศาล


รักษาให้คงอยู่ตามเดิม” หลังปัจจุบันข้นแทนศาลหลังเดิมท่มีสภาพชารุด



กองทัพเรือในสมัยเม่อยังมีฐานะเป็นกรมทหารเรือ ทรุดโทรม
ได้ซ่อมแซมดัดแปลงและต่อเติมตาหนักและเรือนพัก

เป็นกองบังคับการโรงเรียนนายเรือ อาคารเรียน และ
อาคารนอนของนักเรียน


สาหรับอาณาเขตโรงเรียนนายเรือขณะท่ได้รับ








พระราชทานจากพระบาทสมเดจพระจลจอมเกลาเจาอยหวนน













จะเป็นพนทรปสเหลี่ยมผนผ้าเลกๆ ตอมาเมอ พลเรือเอก
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์

กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักด หรือเสด็จในกรมฯ ดารง



ตาแหน่งเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ จึงได้โปรดเกล้าฯ






ให้ซอทดนเพมเตมเพอเป็นสถานทเล่นกฬาของนกเรยน









นายเรือด้วย รูปแบบของศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช


โรงเรียนนายเรือต้งอยู่ท่พระราชวังเดิมตลอดมา เป็นอาคารทรงไทยท่มีการผสมผสานรูปแบบ

จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๔๘๗ ได้ย้ายไปอยู่ที่สัตหีบชั่วคราว สถาปัตยกรรมตะวันตก ในบางส่วนหลังคาอาคารเป็นทรงไทย




ในช่วงสงครามโลกคร้งท ๒ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ มีมุขลดสามด้าน มุงด้วยกระเบ้องดินเผาสีส้มอมเหลือง





ได้ย้ายไปอยู่ท ตาบลเกล็ดแก้ว อาเภอสัตหีบ เช่นกัน หน้าจ่วประดับด้วยช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์และนาคสะดุ้ง







ก่อนจะย้ายมาต้งท่จังหวัดสมุทรปราการ เม่อปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ทาดวยไมสักทาสแดง ผนงหนาบันเปนฝากออิฐฉาบปูนเรยบ





กองทัพเรือได้ดัดแปลงแก้ไขอาคารเดิมของ ไม่ปรากฏลวดลายตกแต่ง ตัวอาคารยกพ้นสูง มีใต้ถุนด้านล่าง


โรงเรียนนายเรอท่พระราชวงเดม เปนแบบทรงไทยใช้เปน จากหลักฐานการสารวจทางสถาปัตยกรรมและโบราณคด ี






ท่ต้งกองบัญชาการกองทัพเรือมาต้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๒ เม่อปี พ.ศ. ๒๕๔๐ พบว่าศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช














ปจจบนอาคารหลงนใชเปนททาการของผบญชาการทหารเรอ หลังปัจจบันสร้างซ้อนทับลงบนฐานของอาคารอีกหลังหนง









โบราณสถานท่ยังปรากฏอยู่ในพระราชวังเดิม ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นศาลหลังเดิม


ในปัจจุบันน คือ ส่งปลูกสร้างท่พระบาทสมเด็จ ภายในศาลประดิษฐานพระบรมรูปของสมเด็จ


พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวให้อนุรักษ์ไว้ ได้แก่ ท้องพระโรง พระเจ้าตากสินมหาราชประทับยืน และทรงพระแสงดาบ


พระตาหนักเก๋งคู่ พระตาหนักเก๋งสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ขนาดประมาณเท่าคร่งของพระองค์จริง ในศาลของ

ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และป้อมวิไชยประสิทธ ิ ์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จะเป็นท่ประดิษฐานของ

ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เจ้าแม่ทับทิมด้วย ทั้งนี้ บนผนังระหว่างเจ้าแม่ทับทิมจะ


ต้งอย่ทางทศเหนือของอาคารเก๋งค่ และต้งประชิด มอกษร ๔ แถว เป็นภาษาจน โดย ๒ แถวด้านนอก








กาแพงพระราชวังทางด้านทิศตะวันออก ศาลสมเดจ เป็นอักษร สแดง แปลความได้ว่า “ชายฝั่งยาวเหยียดช่วยเรือ


พระเจ้าตากสินมหาราชหลังปัจจุบัน สร้างข้นในสมัย เข้าฝั่งอย่างปลอดภัยคอยส่งสัญญาณเตือนภัยถึงผู้คน
นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๔ ประจำ�เดือน เมษ�ยน ๒๕๖๒ 25




(คาสรรเสริญเจ้าแม่ทับทิม)” ๒ แถวใน เป็นอักษร - พระท่นั่งองค์ทิศใต้ ต้งอยู่ทางทิศใต้ของพระท่น่ง





สีทอง แปลได้ว่า “ถึงวาระจากไปเหลือไว้ซ่งนามพร้อม องค์แรก เรียกกันว่า พระท่น่งขวาง เป็นส่วนพระราชมณเฑียร


ผลงานระบือ ได้ก่อร่างสร้างบัลลังกจอมกษัตริย หรือพระราชฐานช้นกลางอันเป็นท่ประทับส่วนพระองค์

ด้วยความกล้าหาญ นามกระเดองไปแดนไกล ของพระมหากษัตริย์

(ค�าสรรเสริญสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช)”









อาคารต�าหนักเก๋งคู่ริมประตู
อาคารท้องพระโรง เก๋งจีน ๒ หลังคู่น้เป็นสถาปัตยกรรมผสมผสาน


อาคารท้องพระโรงเป็นอาคารทรงไทย ผงอาคาร ระหว่างสถาปัตยกรรมแบบจีนและแบบไทย ตัวอาคาร
รูปตรีมุข วัสดุมุงหลังคาเป็นกระเบ้องดินเผาสีส้ม ในปัจจุบันเป็นตึกก่ออิฐถือปูนช้นเดียวยกพ้น หลังคา



ชนิดหางเหล่ยมไม่เคลือบส ด้านจ่วประดับด้วยช่อฟ้า ทรงจ่วแบบจีน เก๋งคู่หลังเล็ก (หลังใน) ต้งขนาน






ใบระกา หางหงส์ และนาคสะดุ้ง สร้างข้นในราวปี กับ เก๋งคู่หลังใหญ่ (หลังนอก) ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือ

พ.ศ. ๒๓๑๐ พร้อมกับการสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธาน ี หลังจากท่กองทัพเรือได้เข้ามาใช้พ้นท่แล้ว


อาคารท้องพระโรง ประกอบด้วยพระที่นั่งสององค์เชื่อม ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๔๗ – ๒๔๖๕ ได้ใช้อาคารหลังนี้
ต่อกัน ได้แก่ เป็นท่ต้งหน่วยงานต่าง ๆ ของโรงเรียนนายเรือ และ


- พระท่น่งองค์ทิศเหนือ เรียกว่า ท้องพระโรง ท้ายสุดในปี พ.ศ. ๒๕๓๘ ก่อนการซ่อมบูรณะไม่ม ี





อยทางทศเหนอใชเปนทออกขนนางตรงกลางมเสาไมกลม การใช้งานแต่อย่างใด ปัจจุบันมีการปรับปรุงเรียบร้อยแล้ว









๒ แถว ๆ ละ ๘ ต้น เรียกว่า ในประธาน เป็นท่รอ อาคารต�าหนักเก๋งสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
รับเสด็จของขุนนางขณะเข้าเฝ้า ทางทิศใต้ยกพ้นสูง อาคารตาหนักเก๋งสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว



เรียกว่า มุขเด็จ ใช้เป็นท่ประทับของพระมหากษัตริย์ สร้างข้นเม่อคร้งพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว



ขณะเสด็จออกว่าราชการ ขณะดารงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ


กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ประทับอยู่ท่พระราชวังเดิม
ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๖๗ - ๒๓๙๔
อาคารตาหนักเก๋งสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว

เป็นสถาปัตยกรรมท่มีรูปแบบตะวันตกหรือเรียกว่า

“ตึกแบบอเมริกัน” และหากพิจารณาทางด้านประวัติศาสตร์


สถาปัตยกรรมอาจถือได้ว่าอาคารน้เป็นตาหนักแบบ
ตะวันตกหลังแรกที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
26 นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๔ ประจำ�เดือน เมษ�ยน ๒๕๖๒

รูปแบบโดยท่วไปของอาคารตาหนักเก๋งสมเด็จ ป้อมวิไชยประสิทธิ์



พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นตึกก่ออิฐถือปูน ๒ ช้น หลังคาทรง ป้อมนี้เดิมชื่อ ป้อมวิไชยเยนทร หรือป้อมบางกอก


ปั้นหยา มีหน้าจ่วปีกนก ๒ ด้าน บริเวณช้นบนของตาหนัก สร้างข้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดย



เป็นส่วนที่ประทับ กั้นเป็นห้องต่าง ๆ ด้วยผนังไม้ พื้นที่ เจ้าพระยาวิไชยเยนทร์กราบบังคมทูลแนะนาให้สร้างข้น




ช้นล่างสันนิษฐานว่าคงจะใช้เป็นท่อยู่ของคนรับใช้ พร้อมกับป้อมทางฝั่งตะวันออกของแม่นาเจ้าพระยา





รวมท้งเป็นส่วนเตรียมงานถวายรับใช้ในบางกรณ ในตอนแรก ซ่งต้งอยู่บริเวณระหว่างวัดพระเชตุพนกับปากคลองตลาด




สร้างอาคารผนังภายในและภายนอกก่ออิฐฉาบด้วยปูนด�า แล้วให้ขึงสายโซ่อันใหญ่ขวางลานาตลอดถึงกันท้งสอง




ขัดขาวแบบโบราณ ส่วนผนัง เพดาน พระแกล (หน้าต่าง) ฟากลานา เพ่อป้องกันข้าศึกทมาทางทะเล สมเด็จ




และพระทวาร (ประตู) รวมท้งส่วนประกอบตกแต่ง พระนารายณ์มหาราชทรงเห็นชอบด้วยและได้โปรดเกล้าฯ


อาคารอ่น ๆ ท่เป็นไม้ทาด้วยสีเขียวแก่ท้งหมด ให้เจ้าพระยาวิไชยเยนทร์เป็นแม่กองก่อสร้างป้อม



สีเขียวน้เป็นสีท่นิยมใช้สาหรับตาหนักหรืออาคารในสมัยน้น จนแล้วเสร็จในระหว่างปี พ.ศ. ๒๑๙๙ - ๒๒๓๑











หลงจากทสมเดจพระปิ่นเกล้าเจ้าอย่หวได้รบ ตอมาในสมยสมเดจพระเพทราชา มการรบระหวาง




บวรราชาภิเษก ได้ทรงย้ายไปประทับ ณ พระบวรราชวัง ทหารกรุงศรีอยุธยากับทหารฝร่งเศส เน่องจากทาง





พระตาหนักหลังน้ได้เป็นท่ประทับของพระราชวงศ์ ฝ่ายไทยต้องการขับไล่ฝรั่งเศสออกจากกรุงศรีอยุธยา ใน
หลายพระองค์ และพระราชวงศ์พระองค์สุดท้ายท่ประทับ การรบคร้งน้นป้อมทางฝั่งตะวันออกได้รับความเสียหายมาก



คือ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศม ี จึงโปรดเกล้าฯ ให้ร้อลง เม่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช




กรมพระจกรพรรดิพงษ์ ต่อมาหลังจากท่พระบาทสมเดจ ทรงกอบกู้เอกราชให้ชาติไทยและสถาปนากรุงธนบุร ี

พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระราชวัง เป็นราชธานีได้ทรงสร้างพระราชวังหลวงในบริเวณ


ให้จัดต้งเป็นโรงเรียนนายเรือตามท่กล่าวแล้ว ได้ม ี ป้อมวิไชยเยนทรพร้อมกับทรงปรับปรุงป้อมน้ และ

การปรับปรุงอาคารตาหนักเก๋งสมเด็จพระปิ่นเกล้ามหาราช พระราชทานนามใหม่ในปี พ.ศ. ๒๕๓๔ ว่าป้อมวิไชยประสิทธ ์ ิ

เพ่อใช้เป็นสถานททาการของกองทัพเรอหลายหน่วย ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของป้อมวิไชยประสิทธ ิ ์





จนถึงปัจจุบันจึงได้มีการอนุรักษ์ไว้ ในปัจจุบันเป็นป้อมก่ออิฐฉาบปูน มีกาแพง ๒ ช้น ขนานกัน


นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๔ ประจำ�เดือน เมษ�ยน ๒๕๖๒ 27






ก่อเป็นรูปแปดเหล่ยม เฉพาะกาแพงช้นในมีหอคอยกลม สมเดจพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจาตรนต์รัศม ี

ทรงสอบสองหลังน่งบนกาแพงตรงมุมด้านทิศเหนือและ กรมพระจักรพรรดิพงษ์ ส้นพระชนม์ เม่อวันท ่ ี





ทิศใต้หลังจากท่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๑๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๔๕ และไม่มีการสร้างข้นมาใหม่อีก


พระราชทานวังเดิมให้กองทัพเรือในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ แต่ได้นากระดูกปลาวาฬมาเก็บรวมไว้ท่ศาลสมเด็จ
ป้อมวิไชยประสิทธ์จึงอยู่ในความดูแลของกองทัพเรือ พระเจ้าตากสินมหาราชเท่านั้น





เร่อยมาจนถึงปัจจุบัน กองทัพเรือได้ติดต้งปืนใหญ่โบราณ พ้นท่พระราชวังเดิม นับเป็นพ้นท่เก่าแก่และเป็น


สมัยรัชกาลที่ ๑ จ�านวน ๑๒ กระบอก ตรงบริเวณเชิงเทิน พระราชวังของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ซ่งทรง



ของกาแพงช้นนอก บริเวณเดียวกันทางด้านตะวันออก กอบกู้เอกราชจากพม่า รวมท้งเป็นท่ประทับของ






มีปืนใหญ่ ๔ กระบอก ติดต้งเพ่อยิงสลุต (ท�าความเคารพ) พระมหากษัตริย์อีก ๒ พระองค์ เม่อคร้งยังไม่ได้ข้นครองราชย์

ในพิธีสาคัญต่าง ๆ บริเวณทางเข้าป้อมทางทิศตะวันตก คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และ




ตรงกาแพงช้นใน ติดต้งเสาธงเพ่อชักธงราชนาว และ พระบาทสมเดจพระปิ่นเกล้าเจ้าอยหว ต่อมาเมอลนเกล้า


ู่





ธงต�าแหน่งผู้บัญชาการทหารเรือ รัชกาลท ๕ ได้พระราชทานท่ดินและอาคารให้เป็นสถานท่ตง










ในการขุดสารวจพ้นท่ระหว่างศาลสมเด็จ ของโรงเรียนนายเรือ เม่อปี พ.ศ. ๒๔๔๐ ซ่งถือว่าเป็น


พระเจ้าตากสินมหาราช และพระตาหนักเก๋งคู่หลังเล็ก รากฐานและกาเนิดของกองทัพเรืออย่างสมบูรณ์


ระหว่างการบูรณะคร้งปัจจุบัน ได้พบฐานอาคารทรง และเป็นกองบัญชาการกองทัพเรือในเวลาต่อมา

สี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง ๔.๕ เมตร ยาวประมาณ ๙ เมตร ยังความปลาบปลื้มและสานึกในพระมหากรุณาธิคุณ

ทาให้สันนิษฐานได้ว่าน่าจะเป็นอาคารศาลศีรษะปลาวาฬ ต่อกองทัพเรือและทหารเรืออย่างหาท่สุดมิได้









ซ่งบันทึกไว้ว่า เป็นเก๋งจีนช้นเดียวคล้ายศาลเจ้าจีน ท้งน จึงนับเป็สถานท่ศักด์สิทธ์ของกองทัพเรือ ซ่งจะต้อง


ภายในเก๋งมีกระดกปลาวาฬ ศาลนได้พังลงมาในวันท ่ ี ดูแลรักษาไว้เพ่อเป็นไปตามพระราชปณิธานและ



พระมหากรุณาธิคุณต่อกองทัพเรือสืบต่อไป
อ้างอิง
๑. แผนกประวัติการทหารเรือ กองประวัติศาสตร 
กรมยุทธศึกษาทหารเรือ, พระราชวังเดิม
๒. มูลนิธิอนุรักษโบราณสถานในพระราชวังเดิม

๓. ข้อมูลจาก คุณวุฒิ สุมิตร รองราชเลขาธิการ
๔. พระราชวังเดิมและวังในกรุงเทพฯ
(พ.ศ. ๒๓๒๕ - ๒๕๒๕), ม.ร.ว.แน่งน้อย ศักดิ์ศรี,
ณพศร กฤตติกากุล, ดรุณี แก้วม่วง : มิถุนายน ๒๕๒๕
28 นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๑๐๒ เล่มที่ ๔ ประจำ�เดือน เมษ�ยน ๒๕๖๒


Click to View FlipBook Version