วิชาสุขศึกษาและ พลศึกษา เรื่อง ระบบอวัยวะ สำ หรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 นางสาวทัตธนันท์ สังคสหสัณห์ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E - BOOK) นายณัฐชานท์ จินาวงศ์ นายภูมิพัฒน์ รัตนชินเสฏฐ์
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) เล่มนี้ จัดทำ ขึ้นเพื่อการศึกษาเกี่ยวกับ เรื่อง ระบบอวัยวะ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาสุขศึกษาและพลศึกษา สำ หรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนในรายรายวิชาสุขศึกษาและพลศึกษา และเพื่อสร้างสื่อการเรียน ไว้ทบทวนเนื้อหานอกเวลาเรียนเพื่อเพิ่มทักษะในด้านการเรียนเรื่อง ระบบ อวัยวะ คณะผู้จัดทำ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดทำ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) เล่มนี้จะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจศึกษาเรื่อง ระบบอวัยวะ เป็นอย่าง ดี คำ นำ คณะผู้จัดทำ นางสาวทัตธนันท์ สังคสหสัณห์ นาย ณัฐชานนท์ จินาวงศ์ นาย นายภูมิพัฒน์ รัตนชินเสฏฐ์
สารบัญ เรื่อง หน้า กล้ามเนื้อหัวใจ ระบบไหลเวียนเลือด หลอดเลือดแดง หลอดเลือดดำ หลอดเลือดฝอย ระบบย่อยอาหาร ระบบย่อยอาหารคืออะไร อวัยวะหลักที่ทำ งาน ในระบบย่อยอาหาร ระบบต่อมไร้ท่อ การทำ งานของระบบต่อมไร้ท่อ วิธีการดูแลรักษา ระบบผิวหนัง การทำ งานของระบบผิวหนัง หนังกำ พร้า หนังแท้ ชั้นใต้ผิวหนัง ระบบกล้ามเนื้อ การทำ งานของระบบกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อเรียน กล้ามเนื้อลาย
สารบัญ เรื่อง หน้า การกำ จัดของเสียออกทางผิวหนัง ระบบประสาท ระบบประสาทประกอบด้วย สมอง ไขสันหลัง เส้นประสาท ระบบสืบพันธุ์ ระบบสืบพันธ์ุเพศชาย อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับเพศชายและการทำ งาน ระบบสืบพันธ์ุหญิง อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับเพศหญิงและการทำ งาน ระบบหายใจ การทำ งานและหน้าที่ของระบบหายใจ อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับระบบหายใจ ระบบโครงกระดูก ระบบโครงกระดูกคือ ประเภทของกระดูก ระบบขับถ่าย ระบบขับถ่ายคือ การกำ จัดของเสียผ่่านไตและโครงสร้าง
สารบัญ เรื่อง หน้า การสร้าง E-Book ใน Canva การกำ จัดของเสียออกทางลำ ใส้ใหญ่ การกำ จัดของเสียทางปอด คู่มือการใช้ Canva Canva คือ
1.ระบบไหลเวียนเลือด ร่างกายของเราต้องการสารอาหารและพลังงานตลอดเวลาการป้อนของแต่ละเซลล์ใน ร่างกายที่ได้อาศัยระบบหมุนเวียนโลหิต หลอดเลือดของเราจะแตกแขนงออกไปจากหลอด เลือดแดงใหญ่เป็นหลอดเลือดแดงขนาดเล็กลงกระจายอยู่ทั่วร่างกายเป็นเส้นทางการขนส่ง อาหารจนไปถึงส่วนต่างๆของร่างกาย 1 หัวใจล่างขวาทำ หน้าที่รับเลือดดำ ที่ขนส่งมาจาก ส่วนต่างๆของร่างกายและส่งไปยังหัวใจห้องล่าง 2 หัวใจห้องล่างขวาทำ หน้าที่ส่งเลือดดำ ไป ยังปอดทั้งสองเพื่อฟอก 3 หัวใจห้องบนซ้ายทำ หน้าที่รับเลือดจากปอดทั้งสองข้างและส่งไป ยังหัวใจห้องล่างซ้าย 4 หัวใจห้องบนซ้ายทำ หน้าที่ส่งเลือดไปยังส่วนต่างๆของร่างกายปอด ทำ หน้าที่ฟอกเลือด ที่มาจากส่วนต่างๆของร่างกาย หลอดเลือดแดง เป็นอวัยวะสำ คัญซึ่งทำ หน้าที่ลําเลียงเลือดที่มี ปริมาณออกซิเจนสูงและสารอาหารที่สำ คัญ ออกจากหัวใจไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หลอดเลือดดำ เป็นหลอดเลือดที่นำ พาเลือดกลับเข้าสู่หัวใจ ทำ หน้าที่ลำ เลียงเลือดที่มีออกซิเจนต่ำ จากทุก ส่วนของร่างกายไหลกลับเข้าสู่หัวใจ หลอดเลือดฝอย เป็นหลอดเลือดที่เชื่อมต่อ ระหว่างหลอด เลือดแดงและหลอดเลือดดํา สานเป็นร่างแห แทรกอยู่ตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของ ร่างกาย มี ขนาดเล็กละเอียด เป็นฝอย มีผนัง บางมาก ประกอบด้วยเซลล์เพียงชั้นเดียว เป็นแหล่งที่ มีการแลกเปลี่ยนแก๊สและสารต่าง ๆ ระหว่าง เลือดกับเซลล์ของร่างกาย
2. ระบบย่อยอาหาร ระบบย่อยอาหาร (DIGESTIVE SYSTEM) มีความสำ คัญต่อร่างกายมาก เพราะ นอกจากจะช่วยย่อยอาหาร ดูดซึมสารอาหารที่มีประโยชน์เข้าไปซ่อมแซมส่วนต่างๆ ใน ร่างกายแล้ว ยังช่วยให้ระบบการทำ งานต่างๆ เป็นไปได้ปกติ หากอยากมีสุขภาพร่างกายที่ แข็งแรง ผิวพรรณสดใส รูปร่างกระชับสมส่วน ควรให้ความสำ คัญการดูแลระบบย่อย อาหารให้ทำ งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบย่อยอาหาร คืออะไร การย่อยอาหาร (DIGESTION) คือการเปลี่ยนสภาพอาหารที่รับประทานเข้าไปจาก ขนาดใหญ่ ให้กลายเป็นสารอาหารขนาดเล็กที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ อวัยวะที่ทำ หน้าที่ย่อยอาหารจะมีหลายส่วน ได้แก่ ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำ ไส้เล็ก และ ลำ ไส้ใหญ่ นอกจากนี้ ยังมีอวัยวะอื่นๆ ที่ไม่ได้มีหน้าที่ย่อยอาหารโดยตรง แต่ทำ หน้าที่ช่วยย่อยในทางอ้อม ได้แก่ ตับ ตับอ่อน และต่อมน้ำ ลาย ซึ่งอวัยวะเหล่านี้จะ ทำ งานร่วมกันอย่างเป็นระบบ เรียกว่า "ระบบย่อยอาหาร" อวัยวะหลักที่ทำ งาน ในระบบย่อยอาหาร หลังจากรับประทานอาหารเข้าไป ร่างกายจะมีขั้นตอนการย่อยอาหารเกิดขึ้นที่อวัยวะ ต่างๆ ตามลำ ดับ ดังนี้ 1. ปาก ขั้นตอนแรกหลังจากที่รับประทานอาหารเข้าไป เราจะใช้ฟันบดเคี้ยวอาหารในปากให้มี ขนาดเล็กลงร่วมกับเอนไซม์เอนไซม์อะไมเลส (AMYLASE) ที่อยู่ในน้ำ ลาย เพื่อย่อยอาหาร ประเภทแป้งให้กลายเป็นคาร์โบไฮเดรตสายสั้นๆ และน้ำ ตาลโมเลกุลคู่ การที่เราใช้ฟันและลิ้น บดเคี้ยว คลุกเคล้าอาหารให้เข้ากันกับเอนไซม์มากขึ้น จะยิ่งทำ ให้ อาหารถูกย่อยได้ดีขึ้น ซึ่งอาหารที่ถูกกลืนเข้าไปจะเตรียมพร้อมกับการถูกย่อยในขั้นตอน ต่อไป
น้ำ ตาลโมเลกุลคู่ ที่ได้จากการย่อยแป้ง จะถูกย่อยต่อด้วยเอนไซม์มอลเทส (MALTASE) ซู เครส (SUCRASE) แลกเทส (LACTASE) กลายเป็นน้ำ ตาลโมเลกุลเดี่ยว ได้แก่ กลูโคส (GLUCOSE) ฟรักโทส (FRUCTOSE) กาแลกโทส (GALACTOSE) และถูกดูดซึมเข้าสู่ กระแสเลือด โปรตีนและเปปไทด์ จะถูกย่อยต่อด้วย เอนไซม์ทริปซิน (TRYPSIN) เอนไซม์คาร์บอกซิเพ ปทิเดส (CARBOXYPEPTIDASE) ซึ่งสร้างจากตับอ่อน ได้เป็นกรดอะมิโนที่มีขนาดเล็ก สามารถดูดซึมได้ ไขมัน จะถูกน้ำ ดีซึ่งสร้างจากตับ ย่อยให้แตกตัวเป็นเม็ดไขมันเล็กๆ จากนั้นจะถูกย่อยต่อ ด้วยเอนไซม์ลิเพส (LIPASE) ซึ่งสร้างจากตับอ่อน ได้เป็นกรดไขมันและกลีเซอรอล (GLYCEROL) 2. หลอดอาหาร หลอดอาหารไม่มีการย่อยมากนัก แต่เมื่อมีอาหารเคลื่อนผ่านหลอดอาหารจะบีบรัดตัว เป็นช่วงๆ ทำ ให้อาหารมีขนาดเล็กลง และคลุกเคล้าเข้ากับเอนไซม์อะไมเลสในน้ำ ลายได้ดี ขึ้น จึงนับเป็นอวัยวะที่มีการย่อยอาหารต่อเนื่องมาจากปากเพื่อส่งอาหารลงกระเพาะ 3. กระเพาะอาหาร เมื่ออาหารเคลื่อนมาถึงกระเพาะ สารอาหารประเภทโปรตีนจะถูกย่อยโดยเอนไซม์เพป ซิน (PEPSIN) เป็นเอนไซม์ที่ทำ งานได้เฉพาะในสภาวะเป็นกรด ทำ ให้เยื่อบุกระเพาะอาหาร ต้องมีการหลั่งกรดออกมาด้วยระหว่างย่อยกระเพาะอาหารจะเกิดการหดและคลายตัว ทำ ให้อาหารถูกคลุกเคล้ากับเอนไซม์ได้ดี โปรตีนที่ถูกย่อยในกระเพาะจะมีขนาดเล็กลง กลายเป็นสายสั้นๆ เรียกว่า เปปไทด์ (PEPTIDE) ซึ่งยังไม่สามารถดูดซึมได้ ต้องผ่านการ ย่อยขั้นต่อไปในลำ ไส้เล็กก่อน ในกระเพาะอาหารเอง ก็สามารถดูดซึมสารบางชนิดใน อาหาร เช่น น้ำ แร่ธาตุ และแอลกอฮอล์ 4. ลำ ไส้เล็ก ทำ หน้าที่ย่อยอาหาร สารอาหารแทบทุกชนิดจะถูกย่อยและดูดซึมที่นี่ ได้แก่
จากนั้นสารอาหารที่ได้จะถูกดูดซึมผ่านลำ ไส้เล็ก เพื่อให้ร่างกายนำ ไปใช้ประโยชน์ ส่วนกาก ใยอาหารก็จะเคลื่อนไปยังลำ ไส้ใหญ่เพื่อรอกำ จัดต่อไป 5. ลำ ไส้ใหญ่ ที่ลำ ไส้ใหญ่จะไม่มีการย่อย อาหารส่วนที่เหลือจากลำ ไส้เล็ก จะถูกส่งไปยังลำ ไส้ใหญ่ โดยน้ำ และของเหลวจากอาหารที่เหลือ จะถูกดูดซึมให้เหลือแต่กาก กลายเป็นอุจจาระ ผนังกล้าม เนื้อของลำ ไส้ใหญ่ทำ หน้าที่ลำ เลียงอุจจาระไปยังลำ ไส้ตรงเพื่อขับถ่าย
3. ระบบต่อมไร้ท่อ ระบบต่อมไร้ท่อ (ENDOCRINE SYSTEM) คือ ระบบภายในที่มีหน้าที่ควบคุมการ เปลี่ยนแปลงของร่างกาย และควบคุมกระบวนการต่าง ๆ ที่สำ คัญภายในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต ซึ่งเป็นระบบที่ทำ งานสอดประสานร่วมกับระบบ ประสาท (NERVOUS SYSTEM) ในด้าน ต่าง ๆ เช่น การควบคุมปฏิกิริยาเคมี หรือการขนส่งสารเข้า – ออกภายใน เซลล์ ซึ่งส่งผล ต่อการสร้างและการใช้พลังงานของร่างกายที่นำ ไปสู่การเจริญเติบโตในด้านต่าง ๆ ทั้งการ พัฒนาของ โครงสร้างอวัยวะ และระบบภายในอื่น ๆ รวมไปถึงการรักษาสมดุล และการ ตอบสนองทางด้านอารมณ์ของ สิ่งมีชีวิต รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อต่อมไร้ท่อ ได้แก่ อาหารที่มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และไอโอดีน ออกกำ ลังกายด้วยกิจกรรมที่เหมาะสมกับเพศและวัย พักผ่อนให้เพียงพอ ควรนอนหลับให้ครบ ๘ ชั่วโมง หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดผลกระทบกับต่อมไร้ท่อ เช่น การหลีกเลี่ยง อาหารรสจัด การรับประทานยาที่อาจมีผลกับต่อมไร้ท่อ 1. 2. 3. 4.
ระบบผิวหนัง ทำ หน้าที่ปกคลุมห่อหุ้มร่างกายทั้งหมด ซึ่งภายใต้ผิวหนังมีต่อมรับ ความรู้สึกอยู่มากมายเพื่อรับรู้การสัมผัส แรงกด ความเจ็บปวด และอุณหภูมิภายนอก ผิวหนังยังมีหน้าที่สำ คัญในการควบคุมอุณหภูมิของร่างกายและยังมีบทบาทในการขับ เหงื่อและไขมันอีกด้วย ระบบผิวหนัง ประกอบไปด้วยอวัยวะอย่าง ผิวหนัง เส้นผม ขน เล็บ และต่อมมีท่อ ถึง แม้ว่าผิวหนังมีความหนาเพียงแค่ไม่กี่มิลลิเมตร แต่จัดว่าเป็นอวัยวะที่มีพื้นที่มากที่สุด ของร่างกาย น้ำ หนักรวมของผิวหนังในคนทั่วไปมีน้ำ หนักมากถึง 5 กิโลกรัม และมีพื้นที่ รวมกันกว่า 2 ตารางเมตร หน้าที่หลักของผิวหนังคือการเป็นด่านป้องกันไม่ให้อวัยวะ ภายใต้ได้รับอันตรายจากสารเคมี เชื้อโรค และแสงแดด ขณะที่เส้นผมและเล็บงอกช่วย เสริมการปกป้องอวัยวะใต้ผิวหนัง โดยส่วนใหญ่แล้ว ผิวหนังจะสามารถเลื่อนไปเลื่อนมา ได้ ยกเว้นบางบริเวณ เช่น หนังศีรษะด้านนอกของใบหู ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และตามรอยพับ ของข้อต่อต่างๆ 4. ระบบผิวหนัง ผิวหนังประกอบไปด้วย 3 ส่วน •หนังกำ พร้า (EPIDERMIS) •หนังแท้ (DERMIS) •ชั้นใต้ผิวหนัง (SUBCUTANEOUS FAT LAYER)
หนังกำ พร้า (Epidermis) หรือเป็นที่รู้จักอีกชื่อว่า “ผิวหนังชั้นตื้น” หนังกำ พร้าเป็นเนื้อเยื่อชั้นนอกสุดของผิวหนัง ที่ปกคลุมไปเกือบทั้งหมดของร่างกาย หนังกำ พร้านั้นไม่มีเส้นเลือดมาหล่อเลี้ยง จึงต้องรับ สารอาหารจากหนังแท้เท่านั้น ในชั้นหนังกำ พร้ามีเซลล์ที่ชื่อ เมลาโนไซด์ (Melanocyte) มีหน้าที่ในการสร้างเม็ดสีเมลานิน (Melanin) ที่ทำ ให้สีผิวของแต่ละคนมีสีที่แตกต่างกัน หน้าที่หลักของหนังกำ พร้าคือ การป้องกันอวัยวะภายในจากแสงแดด น้ำ และสารพิษ ต่างๆ รวมถึงเชื้อโรค ไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย อีกทั้งยังมีหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายด้วย การขับเหงื่ออีกด้วย นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในการขับของเสียออกจากร่างกายด้วย
หนังแท้ (Derm is) เป็นชั้นผิวหนังที่อยู่ถัดจากชั้นหนังกำ พร้า มีความหนามากกว่าหนังกำ พร้า ในชั้นหนัง แท้จะประกอบไปด้วยโปรตีน 2 ชนิด ได้แก่ เนื้อเยื่อคอลลาเจน (Collagen) และ เนื้อเยื่ออีลาสติน (Elastin)เนื้อเยื้อคอลลาเจนจะมีส่วนช่วยทำ ให้ผิวหนังแข็งแรง และ ช่วยในการซ่อมแซมผิวหนังที่สึกหรอ ซึ่งถ้าสร้างในปริมาณที่มากเกินไปก็จะเกิดเป็นแผล ในส่วนของเนื้อเยื่ออีลาสตินจะช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น และในเนื้อเยื่อส่วนนี้ยังเป็น ที่อยู่ของ หลอดเลือด เส้นประสาท ต่อมไขมัน และต่อมเหงื่อ โดยต่อมเหงื่อมีส่วนสำ คัญ ในการปรับอุณหภูมิในร่างกาย การขับเหงื่อมีส่วนช่วยในการระบายความร้อนออกจาก ร่างกาย ในขณะที่อาการขนลุกนั้นเป็นการป้องกันการสูญเสียความร้อนออกจากร่างกาย จึงเป็นเหตุผลว่าทำ ไมเมื่ออากาศร้อน เราจึงถึงเหงื่อออก และในขณะที่อากาศหนาว จึง เกิดอาการขนลุกเกิดขึ้น ชั้นใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat Layer or Hypodermis) มีอีกชื่อเรียกว่า “ชั้นไขมัน” ประกอบไปด้วยเซลล์ไขมันเป็นหลัก ชั้นใต้ผิวหนัง แต่ละคนมีขนาดไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับจำ นวนปริมาณไขมันสะสมของคนแต่ละคน ชั้นใต้ ผิวหนังทําหน้าที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย อีกทั้งยังทำ หน้าที่ช่วยลดแรงกระแทกจาก ภายนอกอีกด้วย ชั้นไขมันจะพบเจอได้มากในบริเวณสะโพก เอว ต้นขา หรือที่เราเรียก กันติดปากว่า “เซลลูไลต์” (Cellulite) โดยเซลลูไลต์ก็สามารถพบเจอได้ในบุคคลที่มีรูป ร่างผอมด้วยเช่นกัน
5.ระบบกล้ามเนื้อ ระบบกล้ามเนื้อแบ่งออกเป็น 3 ชนิดได้แก่กล้ามเนื้อลาย กล้ามเนื้อเรียบ กล้ามเนื้อหัวใจ 1 กล้ามเนื้อลายเป็นกล้ามเนื้อติดกระดูกทำ หน้าที่เรียงกับการเคลื่อนที่ของร่าง กายโดยตรงเป็นกล้ามเนื้อที่มี ระบบประสาทบังคับได้ 2 กล้ามเนื้อหัวใจเป็นกล้ามเนื้อทรงกระบอกแต่สั้นกว่ากล้ามเนื้อลายเป็นกล้ามเนื้อ ที่ถูกควบคุมโดยระบบ ประสาทอัตโนมัติจึงบังคับไม่ได้ 3 กล้ามเนื้อเรียบเป็นกล้ามเนื้อที่พบภายในอวัยวะภายในควบคุมโดยระบบประสาท อัตโนมัดสารพิษและของ เสียออกมาจากร่างกายในรูปเหงื่อ เครื่องกระตุ้นไฟฟ้า ช่วยคลายกล้ามเนื้อชั้นตื้นชั้นลึก เครื่องอัลตร้าซาวด์ ช่วยคลายก้อนกล้ามเนื้อแข็งและเกร็งตัวให้นิ่มลง เครื่องไฮเพาเวอร์เลเซอร์ ช่วยลดการอักเสบของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น เครื่องอบความร้อนลึก ช่วยคลายกล้ามเนื้อและลดการอัักเสบ การประคบเย็นลดการอักเสบของกล้ามเนื้อชั้นตื้น รักษาด้วยการกายภาพบำ บัด 1. 2. 3. 4. 5.
6. ระบบประสาท ระบบประสาทประกอบด้วยสมองไขสันหลังและเส้นประสาททำ หน้าที่โดยการรับ ความรู้สึกต่างๆจากอวัยวะระบบประสาทส่วนกลางมีสมองและไขสันหลังเป็นศูนย์กลาง และควบคุมประสาทในการทำ งานทั้งหมด สมอง (BRAIN)มีรูปร่างเป็นก้อนรูปไข่ ประกอบด้วยเซลล์มากมายกว่า 8 หมื่นล้าน เซลล์อยู่ในกะโหลกศีรษะ เซลล์ประสาทในสมองแผ่กระจายกระแสไฟฟ้าอยู่ตลอดเวลา จากเซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่งสมองมีน้ำ หนักเพียง2%ของร่างกายต้องการออกซิเจนไป เลี้ยง20%ของออกซิเจนที่สูดเข้าไปใช้ในร่างกาย สมองของเด็กแรกเกิดมีน้ำ หนักประมาณ 300-400 กรัม แล้วเจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนถึงอายุ 15 ปี มนุษย์ถือได้ว่าเป็นสัตว์โลกที่มี สมอง ใหญ่ และมีคุณภาพมากที่สุด มีน้ำ หนักเฉลี่ยประมาณ 1,300-1,400 กรัม มี กะโหลกศีรษะ ซึ่งมีความหนาและ แข็งแกร่ง ทำ หน้าที่ป้องกันไม่ให้สมองได้รับความ กระทบกระเทือน
ไขสันหลัง (SPINAL CORD)เป็นเนื้อเยื่อประสาท ที่ทอดยาวจากสมองไปภายในโพรง กระดูกสันหลัง กระแสประสาทจากส่วนต่างๆ ของร่างกายจะผ่านไขสันหลัง มีทั้งกระแส ประสาทเข้า และกระแสประสาทออกจากสมอง และกระแสประสาทที่ติดต่อกับไขสันหลัง โดยตรง เส้นประสาท (NERVE FIBEN) เป็นกลุ่มของเส้นใยบางๆ จำ นวนมาก ซึ่งเกิดจากเซลล์ ประสาทหลายตัว รวมกันเข้าเป็นมัด เส้นประสาทอาจเป็น มัดของแอกซอน หรือมัดของ เดนไดรต์ หรือทั้งสองชนิดรวมกันก็ได้ เส้นประสาทในร่างกายสามารถจำ แนก ได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้ เส้นประสาทที่ออกจากสมอง เส้นประสาทประเภทนี้ มีทั้งสิ้น 12 คู่ มีศูนย์กลาง อยู่ที่สมอง บางคู่จะเป็น เส้นประสาทที่เกี่ยวกับการสัมผัส บางคู่จะเป็นเส้นประสาทที่ใช้ ควบคุมการเคลื่อนไหวแยกเป็นทางซีกซ้ายและซีก ขวา เพื่อรับส่งความรู้สึกและคำ สั่งตั้งแต่ ลำ คอขึ้นไป
เส้นประสาทที่ออกจากไขสันหลัง เป็นเส้นประสาทที่แยกออกมาจากบริเวณ ไขสันหลัง จากกึ่งกลางลำ ตัว แยก กระจายออกไปทางซีกซ้ายและขวาของร่างกาย เรียก ว่าเส้นประสาทที่ออกจากไขสันหลัง (SPINAL NERVE) ทำ หน้าที่รับส่งความรู้สึกและคำ สั่ง ตั้งแต่บริเวณลำ คอลงไปตลอดทั้งร่างกายจนถึงปลายเท้า และควบคุมการ เคลื่อนไหว มีทั้งสิ้น 31 คู่ โดยจะแยกเป็น 2 ชุด ชุดแรกเป็นเส้นประสาทในส่วนของการรับความรู้สึก เข้าสู่ไขสัน หลังทางด้านหลัง ส่วนอีกชุดหนึ่งทำ หน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหว เข้าสู่ ไขสันหลังบริเวณช่วงท้อง เซลล์ประสาทในร่างกายแบ่งหน้าที่การทำ งานได้ 3 ประเภท ดังนี้ 1. เซลล์ประสาทรับความรู้สึก ทำ หน้าที่รับกระแสประสาทจากอวัยวะรับสัมผัส เข้าสู่สม องและไขสันหลัง 2. เซลล์ประสาทสั่งการ ทำ หน้าที่นำ กระแสประสาทเข้าสู่กล้ามเนื้อทำ ให้เกิดการ เคลื่อนไหว 3. เซลล์ประสาทประสานงาน เป็นเซลล์ประสาทที่เชื่อมอยู่ระหว่างเซลล์ประสาทรับความ รู้สึกและเซลล์ประสาท สั่งการ
7. ระบบสืบพันธุ์ ระบบสืบพันธุ์ (Reproductive system)ของมนุษย์ เป็นแบบปฏิสนธิภายในร่างกาย โดยเพศชายจะหลั่งอสุจิจำ นวนมากในช่องคลอดของเพศหญิง อสุจิจะเดินทางเข้าไปใน มดลูก และท่อนำ ไข่เพื่อปฏิสนธิกับไข่ ภายหลังการปฏิสนธิ ตัวอ่อนจะมีการฝังตัวและ เจริญเติบโตที่ผนังมดลูก โดยอยู่ในครรภ์ประมาณ 9 เดือน ในระหว่างนั้นต่อมน้ำ นมจะ ทำ การผลิตน้ำ นม เพื่อเตรียมพร้อมสำ หรับการให้นมของเพศหญิง ระบบสืบพันธ์ุเพศชาย ระบบสืบพันธุ์ (Reproductive system)ของมนุษย์ เป็นแบบปฏิสนธิภายในร่างกาย โดยเพศชายจะหลั่งอสุจิจำ นวนมากในช่องคลอดของเพศหญิง อสุจิจะเดินทางเข้าไปใน มดลูก และท่อนำ ไข่เพื่อปฏิสนธิกับไข่ ภายหลังการปฏิสนธิ ตัวอ่อนจะมีการฝังตัวและ เจริญเติบโตที่ผนังมดลูก โดยอยู่ในครรภ์ประมาณ 9 เดือน ในระหว่างนั้นต่อมน้ำ นมจะ ทำ การผลิตน้ำ นม เพื่อเตรียมพร้อมสำ หรับการให้นมของเพศหญิง ระบบสืบพันธ์ุเพศชาย แบ่งเป็น 3 กลุ่มดังนี้ 1. อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการสร้างและเก็บอสุจิ ประกอบด้วย อัณฑะ (Testis) เป็นต่อมรูปไข่ มี 2 ข้าง ภายในมีหลอดสร้างตัวอสุจิ (Seminiferous Tubule) ทำ หน้าที่สร้างตัวอสุจิ (Sperm) ซึ่งเป็นเซลล์สืบพันธุ์เพศชาย ภายหลังการสร้างและพัฒนา อสุจิจะถูกส่งเข้าสู่ หลอดเก็บตัวอสุจิ (Epididymis) ภายนอกอัณฑะ โดยอัณฑะจะถูกห่อหุ้มอยู่ในถุงหุ้มอัณฑะ (Scrotum) เพื่อช่วยควบคุมอุณหภูมิให้พอเหมาะในการสร้างตัวอสุจิ โดยจะต่ำ กว่าอุณหภูมิ ปกติของร่างกายประมาณ 3-5 องศาเซลเซียสนอกจากนี้อัณฑะยังสร้างฮอร์โมนเทสโทสเตอ โรน (Testosterone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหลัก ที่ช่วยกระตุ้นให้แสดงลักษณะต่าง ๆ ของเพศ ชาย เช่น มีกล้ามเนื้อใหญ่ กล้ามเนื้อกระดูกโครงร่างใหญ่ มีหนวดเครา มีขนดก เป็นต้น
2. อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการสร้างของเหลวในการหลั่งอสุจิ และท่อนำ อสุจิ ได้แก่ ต่อมสร้าง น้ำ เลี้ยงอสุจิ (Seminal vesicles) ทำ หน้าที่สร้างอาหารเพื่อใช้เลี้ยงตัวอสุจิ รวมถึงการ สร้างของเหลวมาผสมกับตัวอสุจิเพื่อให้เกิดสภาพที่เหมาะสมกับตัวอสุจิ ต่อมลูกหมาก (Prostate Gland) ทำ หน้าที่หลั่งสารที่มีฤทธิ์เป็นเบสอ่อนๆ เพื่อปรับสมดุลกรด-เบสในท่อ ปัสสาวะ ทำ ให้เกิดสภาพที่เหมาะสมกับตัวอสุจิ ต่อมคาวเปอร์ (Cowper Gland) อยู่ใต้ ต่อมลูกหมาก ทำ หน้าที่หลั่งสารไปหล่อลื่นท่อปัสสาวะในขณะที่เกิดการกระตุ้นทางเพศ นอกจากนี้ยังมีหลอดนำ อสุจิ (Vas deferens) อยู่ต่อจากหลอดเก็บตัวอสุจิ ทำ หน้าที่ ลำ เลียงตัวอสุจิไปเก็บไว้ที่ต่อมสร้างน้ำ เลี้ยงอสุจิ 3. อวัยวะที่ใช้ในการร่วมเพศ จะเป็นอวัยวะเพศชายที่อยู่ภายนอก คือ องคชาต (Penis) ทำ หน้าที่เป็นทางผ่านของปัสสาวะและน้ำ อสุจิ มีลักษณะเป็นท่อนยาว ประกอบไปด้วย ส่วนของกล้ามเนื้อคล้ายฟองน้ำ (Corpus cavernosum) และส่วนของท่อปัสสาวะ โดย กล้ามเนื้อคล้ายฟองน้ำ ทำ หน้าที่ในการกักเก็บเลือด ทำ ให้เกิดการแข็งตัวขององคชาต จน สามารถสอดใส่เข้าไปภายในช่องคลอดของเพศหญิงได้ ส่วนปลายขององคชาตจะบานออก เป็นรูปดอกเห็ด โดยมีเส้นประสาท และเส้นเลือดเป็นจำ นวนมาก การทำ งาน ระบบสืบพันธุ์ (Reproductive system) ของมนุษย์ เพศชายจะเริ่มสร้างตัวอสุจิ ตั้งแต่อายุประมาณ 12 – 13 ปี โดยในการหลั่งน้ำ อสุจิแต่ละครั้ง จะมีตัวอสุจิเฉลี่ย ประมาณ 350 – 500 ล้านตัว โดยปริมาณน้ำ อสุจิและตัวอสุจิแตกต่างกันตามแต่ละบุคคล โดยมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องเช่น อายุ ความแข็งแรง เชื้อชาติ อื่น ๆ น้ำ อสุจิจะถูกขับออกจาก ร่างกายตรงปลายสุดขององคชาต โดยตัวอสุจิเมื่อออกสู่ภายนอกจะมีชีวิตอยู่ได้ 2 – 3 ชั่วโมง ในขณะที่อยู่ในมดลูกของเพศหญิงได้นาน 24 – 48 ชั่วโมง
ระบบสืบพันธ์ุเพศหญิง อวัยวะในระบบสืบพันธุ์เพศหญิง ส่วน ใหญ่อยู่ภายในร่างกายบริเวณอุ้ง เชิงกราน โดย ส่วนที่อยู่ภายในประกอบ ด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่ รังไข่ (Ovary) ทำ หน้าที่สร้างเซลล์ไข่ (Ovum) ซึ่งเป็นเซลล์ สืบพันธ์เพศหญิงและผลิตฮอร์โมนเพศ หญิง คือ เอสโตรเจน (Estrogen) และ โปรเจสเตอโรน (Progesterone) มดลูก (Uterus) เชื่อมกับรังไข่ต่อจาก ท่อนำ ไข่ มีหน้าที่รองรับการฝังตัวของไข่ที่ได้รับ การปฏิสนธิ และการเจริญเติบโตของ ทารกในครรภ์ มดลูกส่วนที่ต่อกับช่อง คลอดจะมีส่วนที่เรียกว่า ปากมดลูก ช่อง คลอด (Vagina) เป็นอวัยวะที่เชื่อมต่อกับ มดลูก มีหน้าที่เป็นช่องทางให้อวัยวะเพศ ชายสอดใส่ และรองรับอสุจิที่หลังขณะมี เพศสัมพันธ์รวมถึงการเป็นช่องทางคลอด ออกสู่โลกของ ทารก สําหรับอวัยวะเพศหญิงที่อยู่ภายนอก ประกอบด้วยแคมใหญ่ แคมเล็กและปุ่มค ริสตอริส (Clitoris) ซึ่งปุ่มนี้จะมีเส้น ประสาทอยู่เป็นจำ นวนมาก ทั้งนี้ระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ในเพศหญิง จะมีการหลั่งเมือกจากต่อมบาร์โธลีน (Bartholin's glands) ทำ หน้าที่ช่วยใน การหล่อลื่นและปรับลดความเป็นกรดใน ช่อง คลอด การทำ งาน เพศหญิงเมื่อเข้าอายุ 12 – 13 ปี ไข่จะเริ่มสุก แล้วตกจากรังไข่ เรียก การตกไข่ (Ovulation) โดยจะตกเดือนละ 1 ใบ สลับข้างกัน ไข่ที่ตกจะเคลื่อนเข้าสู่ท่อนำ ไข่ ระหว่างนั้นมดลูกจะเริ่มขยายขนาดจากการกระตุ้นของฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจส เตอโรน ทำ ให้ผนังมดลูกด้านในหนาตัวขึ้น และมีหลอดเลือดฝอยมาหล่อเลี้ยงมากขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมสำ หรับการฝังตัวของไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิ ในกรณีที่ไข่ไม่ได้รับการผสม จะค่อยๆฝ่อตัวไป ทำ ให้หลอดเลือดฝอยบริเวณผนังมดลูกเกิดการสลายตัว เกิดเลือดหรือ ก้อนเลือดไหลผ่านช่องคลอดออกมา เรียก การมีประจำ เดือน (Menstruation) ในขณะที่ ผนังมดลูกค่อยๆกลับสู่ภาวะปกติ
8. ระบบหายใจ ระบบหายใจ หรือระบบทางเดินหายใจเป็นระบบการทำ งานในร่างกายที่เกี่ยวข้อง กับการหายใจเข้าออกเพื่อแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ในกระแส เลือดโดยประกอบไปด้วยอวัยวะต่าง ๆ ทำ งานร่วมกันเช่น จมูก ปาก หลอดลม ปอด หากเกิดความผิดปกติกับระบบทางเดินหายใจ เช่น ติดเชื้อไวรัส ติดเชื้อแบคทีเรียติดเชื้อ รา ก็อาจส่งผลกระทบต่อการทำ งานของร่างกายได้ ดังนั้น จึงควรสังเกตอาการผิดปกติ และควรดูแลตัวเองให้ดี เพราะบางโรคอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างรุนแรงเสี่ยงต่อ การเสียชีวิตได้กระบวนการหายใจดังกระบวนการที่แก๊สออกซิเจนเข้าไปทำ ปฏิกิริยากับ อาหารและฟอกเลือดที่ปอดโดยอาหารและแก๊ส co2 จะออกมาขบวนการหายใจจะเกิด ขึ้นตลอดเวลากับcehnnceh อวัยวะที่เกียวข้อง 1.จมูก (Nose) จมูกส่วนนอกเป็นส่วนที่ยื่นออกมาจากตรงกึ่งกลางของใบหน้า รูปร่างของจมูกมี ลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมพีระมิด ฐานของรูปสามเหลี่ยมวางปะ ติดกับหน้าผากระหว่าง ตาสองข้าง สันจมูกหรือดั้งจมูก มีรูปร่างและขนาดต่างๆกัน ยื่นตั้งแต่ฐานออกมาข้าง นอกและลงข้างล่างมาสุดที่ปลายจมูก อีกด้านหนึ่งของรูปสามเหลี่ยมห้อยติดกับริมฝีปาก บนรู จมูกเปิดออกสู่ภายนกทางด้านนี้ รูจมูกทำ หน้าที่เป็นทางผ่านของอากาศที่หายใจ เข้าไปยังช่องจมูกและกรองฝุ่นละอองด้วย
2. หลอดคอ (Pharynx) เมื่ออากาศผ่านรูจมูกแล้วก็ผ่านเข้าสู่หลอดคอ ซึ่งเป็นหลอดตั้งตรงยาวประมาณ ยาวประมาณ 5 " หลอดคอติดต่อทั้งช่องปากและช่องจมูก จึงแบ่งเป็นหลอดคอส่วน จมูก กับ หลอดคอส่วนปาก โดยมีเพดานอ่อนเป็นตัวแยกสองส่วนนี้ออกจากกัน โครง ของหลอดคอประกอบด้วยกระดูกอ่อน 9 ชิ้นด้วยกัน ชิ้นที่ใหญ่ทีสุด คือกระดูกธัย รอยด์ ที่เราเรียกว่า "ลูกกระเดือก" ในผู้ชายเห็นได้ชัดกว่าผู้หญิง 3. หลอดเสียง (Larynx) เป็นหลอดยาวประมาณ 4.5 cm ในผู้ชาย และ 3.5 cm ในผู้หญิง หลอดเสียงเจ ริญเติยโตขึ้นมาเรื่อยๆ ตามอายุ ในวัยเริ่มเป็นหนุ่มสาว หลอดเสียงเจริญขึ้นอย่าง รวดเร็ว โดยเฉพาะในผู้ชาย เนื่องจากสายเสียง (Vocal cord) ซึ่งอยู่ภายในหลอด เสียงนี้ยาวและหนาขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป จึงทำ ให้เสียงแตกพร่า การเปลี่ยนแปลงนี้ เกิดจากฮอร์โมนของเพศชาย 4. หลอดลม (Trachea) เป็นส่วนที่ต่ออกมาจากหลอดเสียง ยาวลงไปในทรวงอก ลักษณะรูปร่างของ หลอดลมเป็นหลอดกลมๆ ประกอบด้วยกระดูกอ่อนรูปวงแหวน หรือรูปตัว U ซึ่งมีอยู่ 20 ชิ้น วางอยู่ทางด้านหลังของหลอดลม ช่องว่าง ระหว่างกระดูกอ่อนรูปตัว U ที่วาง เรียงต่อกันมีเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อเรียบมายึดติดกัน การที่หลอดลมมีกระดูกอ่อนจึง ทำ ให้เปิดอยู่ตลอดเวลา ไม่มีโอกาสที่จะแฟบเข้าหากันได้โดยแรงดันจากภายนอก จึง รับประกันได้ว่าอากาศเข้าได้ตลอดเวลา หลอดลม ส่วนที่ตรงกับกระดูกสันหลังช่วง อกแตกแขนงออกเป็นหลอดลมแขนงใหญ่ (Bronchi) ข้างซ้ายและขวา เมื่อเข้าสู่ปอด ก็แตกแขนงเป็นหลอดลมเล็กในปอดหรือที่เรียกว่า หลอดลมฝอย (Bronchiole) และ ไปสุดที่ถุงลม (Aveolus) ซึ่งเป็นการที่อากาศอยู่ ใกล้กับเลือดในปอดมากที่สุด จึง เป็นบริเวณแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจน กับคาร์บอนไดออกไซด์
5. ปอด (Lung) ปอดมีอยู่สองข้าง วางอยู่ในทรวงอก มีรูปร่างคล้ายกรวย มีปลายหรือยอดชี้ ขึ้นไปข้างบนและไปสวมพอดีกับช่องเปิดแคบๆของทรวงอก ซึ่งช่องเปิดแคบๆนี้ ประกอบขึ้นด้วยซี่โครงบนของกระดูกสันอกและกระดูกสันหลัง ฐานของปอด แต่ละข้างจะใหญ่และวางแนบสนิทกับกระบังลม ระหว่างปอด 2 ข้าง จะพบว่ามีหัวใจอยู่ ปอดข้างขวาจะโตกว่าปอดข้างซ้าย เล็กน้อย และมีอยู่ 3 ก้อน ส่วนข้างซ้ายมี 2 ก้อน หน้าที่ของปอดคือ การนำ ก๊าซ CO2 ออกจากเลือด และนำ ออกซิเจนเข้าสู่ เลือด ปอดจึงมีรูปร่างใหญ่ มีลักษณะยืดหยุ่นคล้ายฟองน้ำ 6. เยื่อหุ้มปอด (Pleura) เป็นเยื่อที่บางและละเอียดอ่อน เปียกชื้น และเป็นมันลื่น หุ้มผิวภายนอกของ ปอด เยื่อหุ้มนี้ ไม่เพียงคลุมปอดเท่านั้น ยังไปบุผิวหนังด้านในของทรวงอกอีก หรือกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า เยื่อหุ้มปอดซึ่งมี 2 ชั้น ระหว่าง 2 ชั้นนี้มี ของเหลว อยู่นิดหน่อย เพื่อลดแรงเสียดสี ระหว่างเยื่อหุ้มมีโพรงว่าง เรียกว่าช่องระหว่าง เยื่อหุ้มปอด
9.ระบบโครงกระดูก ระบบโครงกระดูก (skeletal system) คือระบบทางชีววิทยาที่ใช้เป็นส่วนหนึ่ง ของโครงสร้างสิ่งมีชีวิต แบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ ระบบโครงกระดูกภายนอก (exoskeleton) พบในสัตว์ประเภทแมลง หรือหอย เป็น โครงสร้างแข็งภายนอกปกป้อง ร่างกาย ระบบโครงกระดูกภายใน (endoskeleton) พบในสัตว์มีกระดูกสันหลัง เช่น กระดูกมนุษย์ หรือกระดูกในสัตว์ประเภทปลาที่เรียกว่า ก้าง และ ระบบโครงกระดูก ของเหลว (hydrostatic skeleton) เป็นระบบโครงสร้างที่ใช้ของเหลว เช่น เลือด เป็น ส่วนประกอบ พบตามสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เช่น แมงกะพรุน 1.กระดูกแกนกลาง(AXIAL SKELETON) ประกอบด้วย กะโหลกศีรษะคอ สันหลัง กระดูก ซี่โครง ก้นกบ เอวรวมทั้งสิ้น 80 ชิ้น 2. กระดูกรยางค์ appendicular skeleton เป็นกระดูกที่ยื่นจากกระดูกแกนออกไป มี ทั้งหมด 126 ชิ้น ทำ หน้าที่ค้ำ จุนพยุงร่างกาย และป้องกันอวัยวะภายใน ได้แก่ - กระดูก แขนข้างละ 30 ชิ้น รวม 60 ชิ้น - กระดูกขาข้างละ 30 ชิ้น รวม 60 ชิ้น - กระดูกสะบักข้าง ละ 1 ชิ้น รวม 2 ชิ้น
10. ระบบขับถ่าย ระบบขับถ่ายคือการกำ จัดของเสียที่เกิดจากกระบวนการย่อยอาหารระบบขับถ่าย ประกอบด้วยไตทั่วไปกระเพาะปัสสาวะท่อปัสสาวะหน่วยไตที่สร้างที่ปัสสาวะโดย กระบวนการ 3 ขั้นตอนหนึ่งการกรองสารอาหารที่โดชเมอรลิส 2การดูดกับสารอาหารที่ตัว หน่วยไต 3กำ ลังสารโดยท่อหน่วยไต ไต เป็นอวัยวะที่ลักษณะคล้ายถั่ว มีขนาดประมาณ 10 กว้าง 6 เซนติเมตร และหนาประมาณ 3 เซนติเมตร มีสีแดงแกมน้ำ ตาลมีเยื่อหุ้มบางๆ ไตมี 2 ข้างซ้ายและ ขวา บริเวณด้านหลังของช่องท้อง ใกล้กระดูกสันหลังบริเวณเอว บริเวณส่วนที่เว้า เป็นก รวยไต มีหลอดไตต่อไปยังมีกระเพาะปัสสาวะ โครงสร้างไต ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 2 ชั้น หน่วยไต ชั้นนอก เรียกว่า คอร์ด เทกซ์ ชั้นในเรียกว่าเมดัลลา ภายในไตประกอบด้วย หน่วยไต มีลักษณะเป็นท่อขดอยู่ หลอดเลือดฝอยเป็นกระจุกอยู่เต็มไปหมด ไตเป็นอวัยวะที่ทำ งานหนัก วันหนึ่งๆ เลือดที่หมุนเวียนในร่างกายต้องผ่านมายังไต ประมาณในแต่ละนาทีจะมีเลือดมายังไตที่ 1200 มิลลิลิตร หรือวันละ 180 ลิตร ไตจะ ขับของเสียมาในรูปของน้ำ ปัสสาวะ แล้วส่งต่อไปยังกระเพาะปัสสาวะ มีความจุประมาณ 500 ลูกบาศก์เซนติเมตร ร่างกายจะรู้สึกปวดปัสสาวะเมื่อน้ำ ปัสสาวะไหลสู่กระเพาะ ปัสสาวะประมาณ 250 ลูกบาศก์เซนติเมตร ใน 1 วัน คนเราจะขับปัสสาวะออกมา ประมาณ 1 – 1.5 ลิตร
การกำ จัดของเสียออกทางผิวหนัง ในรูปของเหงื่อ เหงื่อประกอบไปด้วยน้ำ เป็นส่วน ใหญ่ เหงื่อจะถูกขับออกจากร่างกายทางผิวหนัง โดยผ่านต่อมเหงื่อซึ่งอยู่ใต้ผิวหนัง ต่อม เหงื่อมี 2 ชนิด คือ 1. ต่อมเหงื่อขนาดเล็ก มีอยู่ทั่วผิวหนังในร่างกาย ยกเว้นท่าริมฝีปากและอวัยวะ สืบพันธุ์ ต่อมเหงื่อขนาดเล็กมีการขับเหงื่อออกมาตลอดเวลา เหงื่อที่ออกจากต่อมขนาดเล็ก นี้ประกอบด้วยน้ำ ร้อยละ 99 สารอื่นๆ ร้อยละ 1 ได้แก่ เกลือโซเดียม และยูเรีย 2. ต่อมเหงื่อขนาดใหญ่ จะอยู่ที่บริเวณ รักแร้ รอบหัวนม รอบสะดือ ช่องหูส่วน นอก อวัยวะเพศบางส่วน ต่อมนี้มีท่อขับถ่ายใหญ่กว่าชนิดแรกต่อมนี้จะตอบสนองทาง จิตใจ สารที่ขับถ่ายมักมีกลิ่น ซึ่งก็คือกลิ่นตัวเหงื่อ จะถูกลำ เลียงไปตามท่อที่เปิดอยู่ ที่ เรียกว่า รูเหงื่อ
การกำ จัดของเสียออกทางลำ ไส้ใหญ่ กากอาหารที่เหลือกจากการย่อย จะถูกลำ เลียงผ่านมาที่ลำ ไส้ใหญ่ โดยลำ ไส้ใหญ่จะ ทำ หน้าที่สะสมกากอาหารและจะดูดซึม สารอาหารที่มีประโยชน์ ต่อร่างกายได้แก่ น้ำ แร่ธาตุ วิตามิน และกลูโคส ออกจากกากอาหาร ทำ ให้กากอาหารเหนียวและข้นจนเป็น ก้อนแข็ง จากนั้นลำ ไส้จะบีบตัวเพื่อให้กากอาหารเคลื่อนที่ไปรวมกันที่ลำ ไส้ตรง และขับ ถ่ายสู่ภายนอกร่างกายทางทวารหนัก ที่เรียกว่า อุจจาระ การกำ จัดของเสียทางปอด ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซและน้ำ ซึ่งเกิดจากการเผาผลาญอาหารภายในเซลล์จะ ถูกส่งเข้าสู่เลือด จากนั้นหัวใจจะสูบเลือดที่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปไว้ที่ปอด จากนั้น ปอดจะทำ การกรองก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เก็บไว้ แล้วขับออกจากร่างกายโดยการหายใจ ออก
11. คู่มือการใช้ Canva Canva คือ แพลตฟอร์มออกแบบกราฟิก ไม่ว่าจะเป็นชิ้นงานเพื่อใช้ลง Social Media,Presentation,งานสิ่งพิมพ์ รวมไปถึงภาพเคลื่อนไหว Template คุณสามารถประหยัดเวลาในการออกแบบรูปภาพ ชิ้นงานกราฟิกจากเทมเพลต ฟรี ที่มีให้เลือกกว่า 60,000 แบบ จากนักออกแบบมืออาชีพ Text Tool ช่วยให้คุณบอกเล่าเรื่องราวชิ้นงานกราฟิก ด้วยการจับคู่รูปภาพกับข้อความ พร้อมด้วยเครื่องมือช่วย ปรับแต่งข้อความ ไม่ว่าจะย้ายหรือปรับขนาดข้อความ รองรับ Google Fonts Photo Tool มีเครื่องมือในการเพิ่มรูปภาพของคุณ หรือค้นหารูปภาพฟรีได้บน Canva รองรับการปรับแต่ง รูปภาพให้สวยงาม ช่วยให้รูปภาพเข้ากับข้อความได้อย่างลงตัว 12. การสร้าง E-book ใน Canva ค้นหาและพิมพ์ E-book โดยทั่วไปเมื่อพิมพ์แถบค้นหาหนึ่งในตัวเลือกที่แนะนำ ที่ ปรากฏด้านล่างคือสิ่งที่ต้องการ และคลิกโครงงานคอมพิวเตอร์
14. ประเภทของโครงงานคอมพิวเตอร์ 2.14.1 โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการ ผลิตสื่อเพื่อการศึกษา โดย การสร้างโปรแกรมบทเรียน หรือหน่วยการเรียน ซึ่งอาจจะ ต้องมีภาคแบบฝึกหัด บททบทวน และคำ ถามคำ ตอบไว้ พร้อม ผู้เรียนสามารถเรียนแบบ รายบุคคลหรือรายกลุ่ม การสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยนี้ ถือว่าเครื่อง คอมพิวเตอร์เป็น อุปกรณ์การสอน ไม่ใช่เป็นครูผู้สอน ซึ่งอาจเป็นการพัฒนาบทเรียนแบบ Online ให้ นักเรียนเข้า มาศึกษาด้วยตนเองก็ได 2.14.2 โครงงานพัฒนาเครื่องมือ เป็นโครงงานเพื่อพัฒนาเครื่องมือมาใช้ช่วย สร้างงานประยุกต์ต่าง ๆ ซึ่ง โดยส่วนใหญ่จะเป็นในรูปซอฟต์แวร์ ตัวอย่างของเครื่องมือ ช่วยงาน เช่น ซอฟต์แวร์วาดรูป ซอฟต์แวร์พิมพ์งาน ซอฟต์แวร์ช่วยการมองวัตถุในมุมต่าง ๆ เป็นต้น สำ หรับซอฟต์แวร์เพื่อการพิมพ์งานนั้นสร้างขึ้นเป็นโปรแกรม ประมวลผลภาษา ซึ่งจะเป็นเครื่องมือให้เราใช้งานในงานพิมพ์ต่าง ๆ บนเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นไปได้โดยง่าย ซึ่งรูป ที่ได้สามารถนำ ไปใช้งานต่าง ๆ ได้มากมาย สำ หรับซอฟต์แวร์ช่วยในการมองวัตถุ ในมุมต่าง ๆ ใช้สำ หรับช่วยในการ ออกแบบสิ่งของต่าง ๆ เช่น โปรแกรมประเภท 3D 2.14.3 โครงงานประเภทจำ ลองทฤษฎี เป็นโครงงานใช้คอมพิวเตอร์ในการจำ ลอง การทดลองของสาขาต่าง ๆ เป็นโครงงานที่ผู้ทำ ต้องศึกษารวบรวมความรู้ หลักการ ข้อเท็จ จริงและแนวความคิดต่าง ๆ อย่างลึกซึ้งในเรื่องที่ต้องการศึกษา แล้วเสนอเป็นแนวคิด แบบ จำ ลอง หลักการ ซึ่งอาจอยู่ในรูปของสมการ สูตร หรือคำ อธิบายก็ได้ พร้อมทั้งนำ เสนอวิธี การจำ ลองทฤษฎีด้วยคอมพิวเตอร์ การทำ โครงงานประเภทนี้มีจุดสำ คัญอยู่ที่ผู้ทำ ต้องมี ความรู้เรื่องนั้น ๆ เป็นอย่างดี ตัวอย่าง เช่น การทดลองเรื่องการไหลของเหลว การทดลอง เรื่องพฤติกรรมของปลาอโรวาน่า ทฤษฎีการแบ่งแยกดีเอ็นเอ เป็นต้น
2.14.4 โครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งานเป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการ สร้างผลงานเพื่อ ประยุกต์ใช้งานจริงในชีวิตประจำ วัน เช่น ซอฟต์แวร์สำ หรับการออกแบบ และตกแต่งอาคาร ซอฟต์แวร์สำ หรับการ ผสมสี ซอฟต์แวร์สำ หรับการระบุคนร้าย เป็นต้น โครงงานงานประเภทนี้จะมีการประดิษฐ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่าง ประสิทธิภาพสูงขึ้นก็ได้ โครงงานลักษณะนี้จะต้องศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการของ ผู้ ใช้ก่อน แล้วนำ ข้อมูลที่ได้มาใช้ในการออกแบบ และพัฒนาสิ่งของนั้น ๆ ต่อจากนั้นต้องมี การทดสอบการทำ งาน หรือทดสอบคุณภาพของสิ่งประดิษฐ์แล้วปรับปรุงแก้ไขให้มีความ สมบูรณ์ โครงงานประเภทนี้นักเรียนต้องใช้ความรู้ เกี่ยวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ภาษา โปรแกรม และเครื่องมือต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งอาจใช้วิธีทางวิศวกรรม ฮาร์ดแวร์และ ซอฟต์แวร์ในการพัฒนาด้วย ๆ ซึ่งอาจจะสร้างใหม่หรือปรับปรุงดัดแปลงของเดิมที่มีอยู่แล้ว 2.12.5 โครงงานพัฒนาเกม เป็นโครงงานพัฒนาซอฟต์แวร์เกมเพื่อความรู้ และ/ หรือ ความเพลิดเพลิน เช่น เกมหมากรุก เกมการคำ นวณเลข ซึ่งเกมที่พัฒนาขึ้นนี้น่าจะเน้น ให้เป็นเกมที่ไม่รุนแรง เน้นการใช้สมองเพื่อฝึก คิดอย่างมีหลักการ โครงงานประเภทนี้จะมี การออกแบบลักษณะและกฎเกณฑ์การเล่น เพื่อให้น่าสนใจแก่ผู้เล่น พร้อมทั้งให้ความรู้ สอดแทรกไปด้วย ผู้พัฒนาควรจะได้ทำ การสำ รวจและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเกมต่าง ๆ ที่มี อยู่ ทั่วไปและนำ มาปรับปรุงหรือพัฒนาขึ้นใหม่เพื่อให้เป็นเกมที่แปลกใหม่ และน่าสนใจแก่ ผู้เล่นกลุ่มต่าง ๆ
Thank you