เอกสารประกอบการสอน
วิชา คอมพิวเตอรแ์ ละสารสนเทศเพอื่ งานอาชีพ (20001 – 2001)
เร่ือง การประยกุ ต์ใช้โปรแกรมตารางงาน Microsoft Office Excel 2010
นางสาวอรญั ญา เกตุมณี
ตาแหน่ง ครูผชู้ ่วย แผนกวชิ าคอมพวิ เตอร์ธรุ กิจ
วิทยาลัยอาชีวศกึ ษาเพชรบรุ ี สานกั งานคณะกรรมการอาชีวศึกษา
แบบทดสอบก่อนเรียนหนว่ ยท่ี 6
ตอนที่ 1 จงทำเครอ่ื งหมำย เลอื กคำตอบทถี่ ูกทีส่ ดุ เพียงข้อเดยี ว
1. ข้อใดเปน็ เคร่ืองหมายในการหาร
ก. > ข. *
ค. < ง. /
จ. ÷
2. ขอ้ ใดคือเครื่องหมายไมเ่ ท่ากับ
ก. > ข. >=
ค. <= ง. <>
จ. ≠
3. ฟังกช์ ันในขอ้ ใดใช้ในการนับจานวนขอ้ มูลเฉพาะที่เป็นตัวเลข
ก. =CONNT ข. =COUNTA
ค. =COUNTIF ง. =SUM
จ. =SUMIF
4. ขอ้ ใดหมายถึงฟงั ก์ชนั MAX
ก. การหาคา่ ต่าสดุ ข. การหาค่ากลาง
ค. กาหาค่าสูงสดุ ง. การหาค่าเฉลย่ี
จ. การหาค่ามธั ยฐาน
5. ขอ้ ใดเป็นเคร่ืองหมายการอ้างอิงแบบสมั บูรณ์ท่ีต้องใสห่ นา้ คอลัมนแ์ ละแถว
ก. & ข. @
ค. $ ง. #
จ. %
6. เซลล์ท่ใี ช้คานวณต้องใส่เครื่องหมายใด
ก. = ข. +
ค. ^ ง. “
จ. ขอ้ ก. และ ข. ถูก
7. ข้อใดเป็นผลลพั ธ์จากการใชฟ้ ังกช์ นั =IF(C2>10, “ผ่าน”, “ไม่ผ่าน”)
ก. ถ้าเซลล์ C2 มีค่ามากกว่า 10 ใหแ้ สดงขอ้ ความว่า ผา่ น ถา้ ไม่ถงึ 10 ใหแ้ สดงข้อความวา่ ไมผ่ า่ น
ข. ถ้าเซลล์ C2 มีค่าน้อยกวา่ 10 ใหแ้ สดงข้อความวา่ ผา่ น ถ้าไม่ถงึ 10 ใหแ้ สดงข้อความว่า ไม่ผา่ น
ค. ถ้าเซลล์ C2 มีคา่ มากกวา่ หรอื เทา่ กับ 10 ให้แสดงขอ้ ความว่า ผ่าน ถา้ ไม่ถึง 10 ให้แสดงขอ้ ความ
ว่า ไมผ่ ่าน
ง. ถา้ เซลล์ C2 มคี า่ น้อยกวา่ หรอื เท่ากบั 10 ให้แสดงขอ้ ความว่า ผา่ น ถา้ ไม่ถึง 10 ใหแ้ สดงข้อความ
ว่า ไม่ผา่ น
จ. ไมม่ ขี ้อใดถูก
8. ขอ้ ใดหมายถึงฟงั ก์ชนั =SUM(D2:D5)
ก. คานวณหาคา่ เฉลี่ย ข. คานวณหาค่าสูงสดุ
ค. คานวณหาคา่ ต่าสุด ง. คานวณหาผลคูณ
จ. คานวณหาผลรวม
9. =VLOOKUP(C5,$F$2:$H$8,2) หมายเลข 2 หมายถึงข้อใด
ก. ให้แสดงคา่ คงที่ในแถวที่ 2 ข. ใหแ้ สดงคา่ ในแถวที่ 2
ค. ให้แสดงคา่ ในแถวท่ี 5 ง. ใหแ้ สดงค่าในคอลัมน์ที่ 5
จ. ใหแ้ สดงคา่ ในคอลมั น์ที่ 2
10. ข้อใดหมายถึงการตรวจสอบความถกู ต้องของข้อมลู
ก. Data Validation ข. Cell Styles
ค. Format as Table ง. Conditional Formatting
จ. Format Painter
1) ประเภทของสตู ร
สูตรในโปรแกรม Excel หมายถึง โจทย์หรือการคานวณต่าง ๆ เช่น 25+15+8 หรือ
=B9-C4+D5 เป็นต้น เมื่อเราป้อนสูตรคานวณในตารางเวิร์กชีตให้ใช้เคร่ืองหมาย = (เท่ากับ) นาหน้า
สูตรเสมอ มิฉะน้ันโปรแกรม Excel จะถือว่าสิ่งที่ป้อนน้ันเป็นข้อมูลธรรมดาที่ไม่ใช่สูตร โปรแกรม
Microsoft Excel แบ่งชนิดของสูตรออกเป็น 4 ชนิด คือ
1. สูตรในการคานวณทางคณิตศาสตร์ (Arithmetic Formula)
2. สูตรในการเปรยี บเทยี บ (Comparison Formula)
3. เครือ่ งหมายในการเชอื่ มข้อความสองขอ้ ความหรือมากกว่าน้นั (Text Formula)
4. สตู รในการอา้ งองิ (Text Formula)
2) วิธกี ำรปอ้ นสูตร
เราสมารถคานวณค่าตัวเลขโดยวิธีการสร้างสูตรทาได้โดยการเลือกเซลล์ท่ีต้องการให้ผลลัพธ์เซลล์
แล้วป้อนเคร่ืองหมายเท่ากับ(=)แล้วตามด้วยตัวเลขที่ใช้หรือตาแหน่งของเซลล์ท่ีเก็บค่าของข้อมูลที่เป็น
ตัวเลขทใี่ ช้ในการคานวณและเครอ่ื งหมายทางคณิตศาสตร์ เช่น
สตู ร ผลลัพธ์
=2*5 คณู 2ดว้ ย5ไดผ้ ลลัพธค์ ือ10
=25-5 ลบ5ออกจาก25ไดผ้ ลลัพธค์ อื 20
=10^2 หาค่ายกกาลัง2ของ10ไดผ้ ลลพั ธ์100
=A5/B5 หาคา่ ของเซลล์ A5 ด้วยค่าของเซลล์ B5
3) กำรคำนวณโดยใชส้ ูตร
การคานวณใน Microsoft Excel 2010 มขี ้ันตอนดังนี้
1. พิมพเ์ คร่ืองหมาย =
2. อ้างองิ เซลล์
3. พิมพ์เครื่องหมายในการคานวณ
4) ประเภทของฟังก์ชนั และฟังก์ชนั ทใี่ ชง้ ำนบ่อย
ประเภทของฟังก์ชัน
ฟังก์ชันในการคานวณที่ใชง้ านสามารถแบ่งประเภท ๆ ไดด้ ังน้ี
1. ฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์
2. ฟงั ก์ชันทางตรรกศาสตร์
3. ฟงั กช์ นั ทเ่ี กีย่ วกบั วนั ที่
4. ฟงั กช์ ันทเี่ ก่ียวกับเวลา
5. ฟังกช์ ันท่ีเกีย่ วกับการเงนิ
6. ฟงั ก์ชนั ท่เี กี่ยวกบั ตวั อักษร
7. ฟังก์ชนั ทางสถิติ
8. ฟังกช์ ันในการคน้ หาข้อมลู
9. ฟงั ก์ชันทางดา้ นวิศวกรรม
10. ฟงั กช์ ันในการจัดการฐานขอ้ มูล
ฟังก์ชนั ทีใ่ ช้งำนบอ่ ย
ในโปรแกรม Microsoft Office Excel 2013 จะมีฟังก์ชันมากมายและสามารถนาไปประยุกต์ใช้
งานในด้านต่าง ๆ รวมทั้งงานที่สลับซับซ้อนได้เป็นอย่างดี การใช้งานจะทาได้อย่างสะดวกและ
รวดเร็วในที่น้จี ะอธบิ ายเฉพาะฟงั กช์ นั ท่ใี ช้งานบอ่ ย ๆ ดงั น้ี
1. SUM (กำรหำผลรวมของขอ้ มลู )
รูปแบบ
> =SUM(Number 1,Number 2,...)
Number เป็นกลุ่มของข้อมูลที่ต้องการหาผลรวมซึ่งสามารถจะใส่ได้มากกว่า 1 กลุ่มโดยใช้
เครื่องหมาย, คนั่ กลางระหว่างแตล่ ะกลุ่มข้อมลู เช่น ให้หาผลรวมตงั้ แต่เซลล์ A1 ถงึ เซลล์ A10
> =SUM(A1,.....,A10)
แต่ถา้ ข้อมลู อยู่ติดกนั จะนิยมใช้
> =SUM(A1:A10)
2. SUMIF (กำรหำผลรวมแบบมีเงอ่ื นไข)
รปู แบบ
> =SUMIF(Range,Criteria,Sum_range)
Range ขอบเขตของขอ้ มูลทีต่ อ้ งการตรวจสอบตามเงื่อนไข
Criteria เงือ่ นไขทกี่ าหนดให้คานวณหาผลรวม
Sum range ช่วงของเซลล์ท่ตี รวจสอบตามเงอื่ นไขเพือ่ นามาคานวณ เช่น ใหห้ าผลรวมเฉพาะ
พนักงานบัญชีโดยเซลล์ที่อ้างคือเซลล์ B1 ถึงเซลล์ B12 และให้อ้างเซลล์ราคาของเส้ือสีฟ้าท่ี
เซลล์ C1 ถงึ เซลล์ C12
> =SUMIF(B1:B12,"พนกั งานบญั ช"ี ,C1:C12)
3. MIN (กำรหำค่ำตำ่ สดุ ของจำนวน)
รูปแบบ
> =MIN(Number1,Number2,...)
Number เป็นกลุ่มของข้อมูลที่ต้องกาหาค่าต่าสุด เช่น ให้หาค่าต่าสุดของเซลล์ B3 ถึงเซลล์
B12
> =MIN(B3:B12)
4. MAX (กำรหำคำ่ สงู สดุ ของจำนวน)
รูปแบบ
> =MAX(Number1,Number2,...)
Number เป็นกลุ่มของข้อมูลท่ีต้องการหาค่าสูงสุด เช่น ให้หาค่าต่าสุดของเซลล์ B2 ถึงเซลล์
F2
> =MIN(B2:F2)
5. AVERAGE (กำรหำคำ่ เฉลยี่ ของขอ้ มลู )
รปู แบบ
> =AVERAGE(Number1,Number2,...)
Number เป็นกลุม่ ของข้อมลู ที่ตอ้ งการหาคา่ เฉลี่ย เช่น ใหห้ าคา่ เฉลีย่ ของเซลล์ F1 ถงึ เซลล์ F8
> =AVERAGE(F1,F8)
6. COUNT (กำรนับจำนวนขอ้ มูลทีเ่ ป็นเฉพำะตวั เลข)
รปู แบบ
> =COUNT(Value1,Value2,...)
Value ช่วงของกลุ่มเซลล์ที่นามาใช้ในการนับจานวนเฉพาะตัวเลข เชน่ ให้นบั จานวนผู้เรียนที่มี
คะแนนว่ามกี ี่คนจะไม่นบั นักเรียน ท่ี ขส. หรือ มส. โดยอ้างที่เซลล์ C2 ถึงเซลล์ C10
> =COUNT(C2:C10)
7. COUNTA (กำรนบั จำนวนข้อมูลทีเ่ ป็นทัง้ ข้อควำมและตวั เลขปนกัน)
รปู แบบ
> =COUNT(Value1,Value2,...)
Value ช่วงของกลุ่มเซลล์ทีน่ ามาใชใ้ นการนบั จานวน เชน่ ใหน้ ับจานวนผู้เรียนที่มคี ะแนนว่ามีกี่
คนจะไม่นบั นักเรยี น ที่ ขส. หรอื มส. โดยอา้ งที่เซลล์ C2 ถงึ เซลล์ C10
> =COUNT(C2:C10)
8. COUNTIF (กำรนับจำนวนข้อมลู แบบเี ง่ือนไข)
รูปแบบ
> =COUNTIF(Range,Criteria)
Range ช่วงของเซลลท์ ต่ี ้องการนบั ตามเง่ือนไข
Criteria เงื่อนไขท่ีใช้ตรวจสอบและนับจานวนของเซลล์ตามเงื่อนไข เช่น ให้นับเฉพาะผู้เรียนท่ี
สอบผ่านโดยอ้างอิงที่เซลล์ D2 ถงึ เซลล์ D10
> =COUNTIF(D2,D10,"ผ่าน")
9. IF (กำรหำคำ่ จริงหรือเทจ็ จำกเงอื่ นไขที่ระบุ)
รปู แบบ
> =IF(Logical,value_if_true,Value_if_false)
Logical เงอื่ นไขท่ใี ชใ้ นการเปรียบเทยี บหรือตรวจสอบข้อมลู
Value_if_true คาของเงื่อนไขทถ่ี กู ตอ้ ง (จริง)
Value_if_false ค่าของเง่ือนไขท่ีไม่ถูกต้อง (เท็จ) เช่น ถ้าท่ีเซลล์ B2 มากกว่าหรือเท่ากับ 60
ให้แสดงผ่านถ้าที่เซลล์ B2 นอ้ ยกว่า 60 ใหแ้ สดงไม่ผา่ น
> =IF(B2>=60,"ผา่ น","ไม่ผ่าน")
10. NOW (กำรหำวันที่และเวลำปัจจุบนั )
รูปแบบ
> =NOW()
เชน่ =NOW() ผลลพั ธ์คอื 15/4/2013 14:24
11. TODAY (กำรหำวนั ท่ีปจั จุบัน)
รปู แบบ
> =TODAY()
เช่น =Today() ผลลพั ธ์คือ 14/4/2013
12. VLOOKUP (กำรค้นหำและแสดงขอ้ มูล)
รูปแบบ
> =VLOOKUP(Lookup_value,Table_array,Col_index_num,Range_lookup)
Lookup_value ค่าที่ใช้ในการค้นหา
Tanle_array ตารางขอ้ มูลทใี่ ช้สาหรบั แสดงผลและคน้ หาข้อมูล
Col_index_num คอลัมน์ที่ให้แสดงข้อมูลออกมาโดยคอลัมน์แรกมีค่าเป็น 1 และคอลัมน์
ต่อไปจะเป็น 2,3,..ตามลาดับ
Range_lookup ค่าทางตรรกะท่กี าหนดในการค้นหามี 2 รปู แบบ
False ใช้คน้ หาค่าทีต่ รงกบั ค่าที่ใช้ในการค้นหา
True ใช้ค้นหาค่าที่มีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับค่าท่ีใช้ในการค้นหา เช่น ท่ีเซลล์ E4 ถึง E10 คือ
ตอ้ งการใหแ้ สดงรายช่ือหนงั สือโดยอตั โนมัติเมือ่ ไดม้ ีการป้อนรหสั หนงั สอื ลงไปในเซลล์ D4 ถงึ D10
5) กำรอำ้ งองิ เซลล์
กำรอำ้ งอิงแบบสัมพนั ธ์
ในการคานวณในโปรแกรม Microsoft office Excel 2010 จะต้องมีการคัดลอกสูตรหรือฟังก์ชัน
โดยการอ้างอิงเซลล์ ซึ่งจะมีวิธีการอ้างอิงเซลล์ 2 แบบ คือการอ้างอิงแบบสัมพันธ์ (Relative
reference) และการอ้างอิงแบบสัมพันธ์ (Absolute reference) โดยมวี ิธีปฏิบตั ิดงั นี้
เป็นการคัดลอกสูตรท่ีเกิดข้ึนใหม่ตามตาแหน่งของเซลล์โดยอัตโนมัติผลลัพธ์ท่ีได้จะเปล่ียนไปตาม
ตาแหนง่ ของแถวและคอลัมน์ เช่น เมอ่ื ผ้ใู ช้สตู รในการคานวณแบบสัมพันธ์โดยที่ d3 ให้ทาการใสส่ ูตรคือ
=B2*C2 เม่ือทาการคัดลอกสูตรน้ีไปที่ D2 สูตรก็จะเปล่ียนเป็น =B3*C3 ให้โดนอัตโนมัติการคัดลอก
สตู รน้ันสามารถทาไดท้ ั้งตามแนวตัง้ และตามแนวนอน
กำรอ้ำงอิงแบบสมั บูรณ์(Absolute reference)
เป็นการอ้างอิงถึงเซลล์ใดเซลล์หนึ่งเป็นหลักหรือกลุ่มหนึ่งโดนเฉพาะซึ่งจะใช้เคร่ืองหมาย ($) ใน
การกาหนดโดยจะใส่นาหน้าตัวอักษรกากับคอลัมน์ หรือ เลขกากับแถวการอ้างอิงแบบน้ีจะเป็นการ
อ้างอิงเซลล์เดิมไม่ว่าจะย้ายกรทางานไปที่เซลล์ใดก็ตามเช่น =$D$2 (หากต้องการใสเคร่ืองหมาย $
อตั โนมัติใหก้ ดปมุ่ F4)
6) กำรคำนวณโดยใชฟ้ งั ก์ชนั
กำรใช้งำนฟังก์ชัน
มดี ว้ ยกนั 2 วธิ ี คือการใส่ฟังก์ชันดว้ ยตนเอง หรือการใสฟ่ งั ก์ชนั วซิ าร์ด
วธิ ีที่ 1 การใส่ฟังก์ชันด้วยตนเอง
1. คลิกเลอื กเซลลท์ ตี่ ้องหาผลลัพธโ์ ดยการใชฟ้ งั กช์ ัน
2. ใส่เครื่องหมายเท่ากับ ( = ) ตามด้วยชื่อของฟังก์ชันและใส่วงเล็บภายในขอบเขตของช่วงที่
ต้องการหา
3. กด Enter
วิธีที่ 2 การใส่ฟังก์ชนั วซิ าร์ด
1. คลกิ ที่คาสั่งแทรก (Insert) บนเมนบู าร์ เลอื กคาสัง่ ฟังกช์ นั (Function)
2. จะเกดิ กรอบโต้ตอบ แทรกฟังกช์ นั (Insert Functions)คลิกเลือกรปู แบบฟังกช์ ันที่ต้องการ
3. สมมติถ้าเราต้องการเลือกฟังก์ชัน SUM ซง่ึ ใช้ในการหาผลรวมของขอ้ มูล
4. ฟังก์ชัน SUM จะมีรูปแบบคือ SUM(number1,number 2,…number 30) หรือคลิกเมาส์ที่
คลกิ ปุ่มตกลง
Insert Function (แทรกฟงั ก์ชนั )
การใชป้ มุ่ คาสั่ง Insert Function (แทรกฟังกช์ ัน) ส่วนใหญ่ผใู้ ชจ้ ะใชเ้ มื่อจาฟงั ก์ชนั ไม่ได้หรือไม่ค่อย
ใชฟ้ งั กช์ นั นนั้ บอ่ ย ๆ โดยมวี ิธกี ารปฏิบตั ดิ ังนี้
1. คลกิ เลือกเซลลท์ ตี่ ้องการใส่ฟังก์ชัน
2. คลิกทปี่ ุ่มคาส่ัง Insert Function (แทรกฟังก์ชนั ) หรอื กด Shift + F3 จะปรากฏ Dialog Box
โดยมีรายละเอียดดงั น้ี
- Search for a function เลอื กฟังก์ชันโดยการคน้ หาจากคาท่ตี อ้ งการ
- Or select a category หรือเลือกประเภทของฟงั กช์ ัน
- Select a function เลอื กรูปแบบฟังกช์ นั ท่ีตอ้ งการคานวณ
3. คลกิ ทปี่ มุ่ OK
4. ท่ีช่อง Number1 ในโปรแกรม Microsoft office Excel 2013 จะใส่ชื่อของเซลล์มาให้โดย
อัตโนมัติถ้าไม่ตรงหรือไม่ถูกต้องตามที่ต้องการให้ใช้เมาสค์ ลิกเลอื กเซลล์ที่จะนามาคานวณหรอื
พิมพ์ด้วยตนเอง
5. หากยังมีการคานวรอีกก็ให้ใส่ในช่องถัดไปอาจจะใช้วิธีการพิมพ์ชื่อเซลล์หรือการใช้เมาส์คลิก
เลือกเซลล์เองกไ็ ด้
6. คลกิ ทป่ี ุม่ OK
7) ข้อผดิ พลำดทอี่ ำจเกิดขน้ึ ในกำรกำหนดฟังกช์ นั และสตู ร
ความผิดพลาดของสตู รคานวณ (Error Message) เม่ือมีการทางานเก่ียวกับสูตรหรอื ฟังก์ชนั ถา้ ป้อน
ค่าไมถ่ ูกต้องโปรแกรมจะแสดงความผดิ พลาด เพ่ือให้แกไ้ ขใหถ้ กู ต้อง
ข้อควำมผิดพลำด สำเหตุ
######## ตัวเลขท่ีพิมพ์ในเซลล์หรอื ผลจากสูตรในการคานวณยาวเกินกวา่ ที่
จะแสดงในเซลล์
#DIV/0 เกิดจากตัวหารมีค่าเป็น 0 คือตัวหารเป็นเซลล์ว่าง ๆ หรือคือ
อารก์ วิ เมนตบ์ างฟังก์ชนั มีคา่ ไม่ถูกต้อง
#VALUE! เกิดจาการใช้ Operand หรืออารก์ ิวเมนต์ผิดประเภท เชน่ ฟงั ก์ชนั
ตอ้ งการค่าอาร์กวิ เมนต์เป็นตัวเลขแต่กลับใส่เปน็ ขอ้ ความ
#NAME? เกดิ จากการอ้างอิงช่อื ของเซลล์ (Cell) ผิดพิมพ์ชอ่ื ของฟังกช์ ันท่ีใช้
ในสูตรโดยสะกดไม่ถูกต้องอ้างอิงถึงเซลล์เป็นช่วง แต่ไม่ใส่
เครื่องหมาย : เช่น (A1 : A5) เมื่อมีการใช้ข้อความในสูตรแล้วไม่
ใส่เครื่องหมาย “ ” คร่อมข้อความนั้น
#N/A เกดิ จากการใส่อารก์ วิ เมนต์ให้ฟังกช์ นั ไม่ครบหรือใช้ค่าอาร์กิวเมนต์
(Not Available) ท่ีไม่ถกู กับฟงั ก์ชันกลา่ วถงึ Cell ท่มี คี า่ ในสตู ร
#REF! เกิดจากเซลล์ที่อ้างอิงถึงในสูตรถูกลบออกไปหรือถูกข้อมูลจาก
เซลล์อื่นย้ายมาทับแทนท่ี หรืออ้างอิงถึงข้อมูลของโปรแกรมอ่ืนท่ี
ไมไ่ ดท้ างานอยู่ในขณะนน้ั
#NUM กาหนดอาร์กิวเมนต์ผิดพลาดผิดประเภทท่ีเกี่ยวกับตัวเลขอาจ
กาหนดเป็นชนิดข้อมูลอ่ืน หรือผลรวมของสูตรคานวณท่ีได้จาก
ตวั เลขมคี า่ มากหรือน้อยเกินไป
#NULL เกดิ จากการกาหนด Cell reference ผดิ พลาด
แบบทดสอบหลังเรยี นหนว่ ยท่ี 6
ตอนที่ 1 จงทำเครอื่ งหมำย เลือกคำตอบทีถ่ ูกทส่ี ดุ เพียงข้อเดียว
1. =3*2+(6/3)-2*2
ก. 12 ข. 10
ค. 8 ง. 6
จ. 4
2. D3 <> 5
ก. D3 ไม่เหมอื นกบั 5 ข. D3 ไม่เท่ากบั 5
ค. D3 ยกกาลงั 5 ง. D3 ไม่ต่างจาก 5
จ. D3 มากกว่าหรือนอ้ ยกวา่ 5
3. ฟงั ก์ชนั ในขอ้ ใดใชใ้ นการนับจานวนเซลลท์ ่บี รรจุข้อมูลไว้
ก. =COUNT ข. =COUNTA
ค. =COUNTIF ง. =SUM
จ. =SUMIF
4. ขอ้ ใดหมายถงึ ฟังกช์ นั AVERAGE
ก. การหาค่าต่าสดุ ข. การหาค่ากลาง
ค. การหาค่าสงู สุด ง. การหาคา่ เฉล่ยี
จ. การหาค่ามัธยฐาน
5. ขอ้ ใดเปน็ ปุม่ คียล์ ดั ในการอา้ งอิงแบบสัมบรู ณท์ ต่ี ้องใส่หน้าคอลมั น์และแถว
ก. F1 ข. F2
ค. F3 ง. F4
จ. F5
6. ข้อใดเปน็ การเขยี นเงื่อนไข ถา้ เซลล์ C3 มากกว่าหรอื เทา่ กับ 3 ให้แสดงขอ้ ความวา่ “ด”ี ถ้าไม่ใช่ให้
แสดงขอ้ ความวา่ “ปรับปรุง”
ก. =if(C3<3, “ด”ี , “ปรับปรงุ ”)
ข. =if(C3<=3, “ดี”, “ปรับปรงุ ”)
ค. =if(C3<>3, “ดี”, “ปรบั ปรุง”)
ง. =if(C3>3, “ดี”, “ปรบั ปรงุ ”)
จ. =if(C3>=3, “ดี”, “ปรับปรงุ ”)
7. ข้อใดเป็นสตู รในการคานวณผลรวมตามเงอ่ื นไข
ก. =SUMIF ข. =IF
ค. =COUNTIF ง. =SUMPRODUCT
จ. =AUTOSUM
8. ขอ้ ใดหมายถงึ ฟงั กช์ นั =MIN(D2:D5) ข. คานวณหาค่าสงู สดุ
ก. คานวณหาคา่ เฉล่ยี ง. คานวณหาผลคณู
ค. คานวณหาค่าต่าสดุ
จ. คานวณหาผลรวม ข. =VLOOKUP($F$2:$H$8,2)
ง. =VLOOKUP(C5,$F$2:$H$8)
9. ข้อใดเขยี นคาส่ัง VLOOKUP ไดถ้ ูกตอ้ ง
ก. =VLOOKUP(F$2:$H$8,2) ข. Cell Styles
ค. =VLOOKUP($C5,F2:$H$8,2) ง. Conditional Formatting
จ. =VLOOKUP($C5,$F$2:$H$8,2)
10. ข้อใดหมายถงึ การจดั รูปแบบตามเง่ือนไข
ก. Data Validation
ค. Format as Table
จ. Format Painter
เอกสำรอ้ำงอิง
มนัสชัย กีรติผจญ. หนังสือเรียนหมวดวิชำทักษะวิชำชีพคอมพิวเตอร์และสำรสนเทศเพ่ืองำน
อำชพี (2001-2001). กรงุ เทพฯ : 2556.