The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พัฒนาการ ทางด้านการเมืองการปกครองสมัยสุโขทัย
นาย ภัทรพล ฉินสุขสกุล ชั้น ม. 4/6 เลขที่ 23

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by igq2549, 2021-09-16 02:35:52

พัฒนาการ ทางด้านการเมืองการปกครองสมัยสุโขทัย

พัฒนาการ ทางด้านการเมืองการปกครองสมัยสุโขทัย
นาย ภัทรพล ฉินสุขสกุล ชั้น ม. 4/6 เลขที่ 23

พัฒนาการ
ทางด้านการเมืองการปกครอง

เสนอ

ผศ.ดร.อำพร ขุนเนียม

จัดทำโดย

นาย ภัทรพล ฉินสุขสกุล ม.4/6 เลขที่ 23

วิชาประวัติศาสตร์1(ส30103) 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564
โรงเรียนสาธิตแห่งมหาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน
ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา

พพััฒฒนนาากกาารรททาางงดด้้าานนกกาารรเเมมืือองงกกาารรปปกกคครรอองง

เดิมทีสุโขทัย เป็นสถานีการค้าของแคว้นละโว้ ของอาณาจักรขอม อยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำยม-น่าน โดยมีกล่าวถึงในจารึกวัด
ศรีชุมว่ามีการปกครองก่อนโดยพ่อขุนศรีนาวนำถุม ต่อมาเมื่อพ่อขุนศรีนาวนำถมสวรรคต ขอมสบาดโขลญลำพง ซึ่งเป็น
ขุนจากละโว้ เข้าทำการยึดอำนาจการปกครองสุโขทัย จึงส่งผลให้ พ่อขุนผาเมือง (พระราชโอรสของพ่อขุนศรีนาวนำถุม)
เจ้าเมืองราด และ พ่อขุนบางกลางหาว เจ้าเมืองบางยาง ตัดสินพระทัยจะยึดดินแดนคืน การชิงเอาอำนาจจากผู้ครองเดิม
คือ อาณาจักรขอม เมื่อปี พ.ศ. 1781 และสถาปนาเอกราช ให้กรุงสุโขทัยขึ้นเป็นรัฐอิสระ โดยไม่ขึ้นตรงกับรัฐใด ต่อมาพ่อขุน
ผาเมือง ก็กลับยกเมืองสุโขทัย ให้พ่อขุนบางกลางหาวครอง โดยไม่ทราบเหตุผลแต่มีแนวคิดอยู่3 อย่างคือ
1.พ่อขุนทั้งสองมีความสัมพันธ์กันแบบเครือญาติ
2.พ่อขุนบางกลางหาวรวบรวมเมืองสำคัญที่รายล้อมสุโขทัยได้มากกว่าพ่อขุนผาเมือง
3. พ่อขุนผาเมืองพอใจกับการปกครองเมืองเดิมของพระองค์

การสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย

อาณาจักรสุโขทัยก่อตั้งขึ้นประมาณ พ.ศ. 1792 โดยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์
ทรงพระนามเดิมว่า พ่อขุนบางกลางหาว ทรงสถาปนาสุโขทัยขึ้นมา
สร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับชนชาติไทย โดยขยายเขตการปกครองออกไปอย่างกว้างขวาง
ลักษณะการปกครองในสมัยสุโขทัยแบ่งเป็น 2 ระยะคือ
1. สมัยสุโขทัยตอนต้น เริ่มตั้งแต่สมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ไปถึงสิ้นสมัยของพ่อขุนรามคำแหง
2. สมัยสุโขทัยตอนปลายตั้งแต่สมัยพระยาเลอไทยไปถึงสมัยสุโขทัยหมดอำนาจ

สมัยสุโขทัยตอนต้น

ในระยะแรกใช้รูปแบบการปกครองแบบพ่อปกครองลูก(ปิตุราชาธิปไตย) เนื่องจากกรุงสุโขทัยยังมี
ขนาดเล็ก ประชาชนมีน้อย การปกครองแบบนี้ทำให้ผู้ปกครองสุโขทัยสามารถดูแลราษฎรได้อย่างทั่วถึง
และมีความใกล้ชิดกับประชาชน เปรียบเหมือนพ่อกับลูก ผู้ปกครองจึงเรียกว่า“พ่อขุน”เช่น สมัยของ
พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ที่มีปรากฏในศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 1 กล่าวถึงวิธีที่พ่อขุนรามคำแหงทรงใช้
เพื่อให้เกิดความสงบสุขแก่ราษฎร เช่น ทรงให้แขวนกระดิ่งไว้ที่ประตูวังเพื่อให้ประชาชนที่เดือดร้อนมาสั่น
กระดิ่งร้องทุกข์

สร้างพระแท่นมนังคศิลาอาสน์ได้กลางดงตาล ในวันพระจะนิมนต์พระสงฆ์มาเทศน์ และยังทรงอบรม
สั่งสอนขุนนางและราษฎรให้รู้บาป บุญ คุณ โทษ

ลักษณะที่สำคัญ

1. รูปแบบการปกครองเป็นแบบราชาธิปไตย พระมหากษัตริย์ทรงมีฐานะเป็นผู้ปกครองสูงสุด
2. พระมหากษัตริย์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประชาชนเปรียบเสมือนบิดากับบุตรมีพระนามนำหน้า
ว่า พ่อขุน
3. ลักษณะการปกครองระบบครอบครัวลดหลั่นกันเป็นชั้นดังนี้
-ให้ครัวเรือนหลายครัวเรือนรวมตัวกันเป็นบ้านอยู่ในความดูแลของพ่อบ้านผู้อยู่ภายใต้การ

ปกครอง เรียกว่า ลูกบ้าน
-หลายบ้านรวมกันเป็นเมืองผู้ปกครองเรียกว่าขุน
-เมืองหลายเมืองรวมกันเป็น อาณาจักร อยู่ในการปกครองของ

พ่อขุน 
4. พระมหากษัตริย์ทรงยึดหลักธรรมทางศาสนาในการบริหารบ้านเมือง

นอกจากนี้ในสมัยสุโขทัยตอนต้นยังมีการปกครองแบบทหารแอบแฝงอยู่ด้วย
เนื่องจากในระยะแรกตั้งสุโขทัยเป็นอาณาจักรขนาดเล็ก ทุกคนจึงต้องมีหน้าที่ใน
การป้องกันประเทศเท่าๆกันจึงกำหนดว่า เวลาบ้านเมืองปกติประชาชนต่างทำมา
หากินแต่เวลาเกิดศึกสงครามชายฉกรรจ์ทุกคนต้องเป็นทหาร โดยมีพระมหา
กษัตริย์ทรงเป็นจอมทัพ

สมัยสุโขทัยตอนปลาย

การปกครองแบบพ่อปกครองลูกเสื่อมลงเพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่มั่นคง พระมหาธรรมราชาที่ 1 ทรง
ตระหนักถึงความไม่มั่นคงภายในจึงทรงดำเนินพระราชกุศโลบาย โดยทรงทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนา
พอดีกับที่ต่อมาสุโขทัยได้รับพระพุทธศาสนา นิกายเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์จากนครพันและนครศรีธรรมราช
ทำให้รับแนวคิด “ธรรมราชา” มาใช้ในการปกครอง เรียกกษัตริย์ว่า “พระมหาธรรมราชา” โดยกษัตริย์ทรง
ปกครองตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนา คือหลักทศพิธราชธรรม(หลักธรรม 10 ประการสำหรับผู้ปกครอง)
[ได้แก่ ทาน ศีล บริจาค ความซื่อตรง ความอ่อนโยน ความเพียร ความไม่โกรธ ความไม่เบียดเบียน ความอดทน
ความเที่ยงธรรม]และเริ่มมีการนําราชาศัพท์มาใช้ในราชสำนัก แสดงให้เห็น คติในการปกครองที่กษัตริย์ทรง
เป็นสมมติเทพตามความเชื่อ ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูอีกด้วย การปกครองแบบธรรมราชานี้ถูกนำมาใช้จน
ประทั่งสิ้นสุดสมัยสุโขทัย

การปกครองแบบกระจายอำนาจ/แบ่งเขตการปกครอง

1. เมืองหลวงหรือเมืองราชธานี เป็นศูนย์กลางการปกครอง เศรษฐกิจ สังคมละศาสนาวัฒนธรรม
มีกษัตริย์เป็นผู้ปกครอง อาณาจักรสุโขทัยมีสุโขทัยเป็นราชธานี แต่มีบางสมัยเมืองหลวงย้ายไปที่เมืองพิษณุโลก

2. เมืองลูกหลวง/เมืองหน้าด่าน/หัวเมืองชั้นใน เป็นเมืองที่บรรดาลูกหลวง/เชื้อพระวงศ์ออกไปปกครอง
ทำหน้าที่เป็นเมืองหน้าด่าน เป็นที่สะสมเสบียงอาหารและกำลังคน ตั้งอยู่รายรอบราชธานีทั้ง 4 ทิศ
ห่างจากเมืองหลวงมีระยะทางเดินเท้า 2 วัน เมืองลูกหลวงประกอบด้วย เมืองศรีสัชนาลัย(สวรรคโลก) ทางเหนือ
เมืองสระหลวง(พิจิตร) ทางใต้ เมืองสองแคว (พิษณุโลก) ทางตะวันออก เมืองชากังราว (กำแพงเพชร) ทางตะวันตก

3. เมืองพระยามหานคร/หัวเมืองชั้นนอก เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ห่างจากเมืองลูกหลวงออกไป พระมหากษัตริย์จะทรงแต่ง
ตั้งขุนนางชั้นผู้ใหญ่หรือผู้ที่เหมาะสมไปปกครองดูแลหรือเป็นเชื้อสายของเจ้าเมืองเดิมเมืองพระยามหานครมีอำนาจ
การปกครองตนเองแต่ขึ้นตรงต่อสุโขทัย เช่น เมืองเชียงทอง(ตาก) เมืองสุพรรณบุรี(อู่ทอง)

4. เมืองประเทศราช ได้แก่เมืองที่อยู่นอกอาณาจักร ชาวเมืองเป็นชาวต่างชาติ ให้เจ้า
นายพื้นเมืองเดิมเป็นเจ้าเมืองปกครองกันเอง โดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการปกครอง
ภายใน ยกเว้นกรณีที่จำเป็นเท่านั้น ยามปกติเมืองประเทศราชต้องส่งเครื่องราช
บรรณาการมาถวายพระมหากษัตริย์สุโขทัยทุก 3 ปี ยามสงครามต้องส่งกองทัพ
และเสบียงอาหารมาช่วย เมืองประเทศราชในสมัยสุโขทัยเป็นไป
ดังนี้ ทิศเหนือ เมืองแพร่ เมืองน่าน
ทิศตะวันตก เมืองทะวาย เมืองเมาะตะมะ เมืองหงสาวดี
ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เมืองเซ่า (หลวงพระบาง ) เมืองเวียงจันทน์
ทิศใต้ เมืองนครศรีธรรมราช เมืองมะละกา เมืองยะโฮร์

กฎหมาย

กฎหมายในสมัยสุโขทัยมีลักษณะเป็นแบบกฎหมายชาวบ้าน ซึ่งก็คือเป็นกฎเกณฑ์ที่เกิดขึ้น
จากเหตุผลธรรมดาของสามัญสำนึกของคน โดยกฎเกณฑ์เช่นว่านี้จะมีพื้นฐานมาจากแนว
ความคิดทางด้านศีลธรรม เช่น กฎหมายภาษี กฎหมายทรัพย์มรดก กฎหมายสิทธิประโยชน์
ในที่ดิน กฎหมายลักษณะลักพา กฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความ

ราษฎรในสมัยสุโขทัย

ราษฎรมีอิสระในการดำเนินชีวิตและการประกอบอาชีพ ดังที่ศิลาจารึกหลักที่ 1 ระบุว่า “
ใครจักใคร่ค้าช้าง ค้า ใครจักใคร่ค้าม้า ค้า ใครจักค้าเงินค้าทอง ค้า” ประชาชนต้องอยู่ภาย
ใต้การปกครองที่มีกฎหมาย เช่น กฎหมายลักษณะโจรในสยามสงบประชาชนทำไร่ ไถนา
ค้าขาย ในยามสงครามต้องทำหน้าที่เป็นทหาร

การเสื่อมของอาณาจักร

การที่กรุงสุโขทัยต้องอ่อนแอและตกเป็นของกรุงศรีอยุธยาเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ เช่น
ความอ่อนแอทางด้านการทหาร การแย่งชิงอำนาจภายในของสุโขทัย การค้ากับต่าง
ประเทศเริ่มตกต่ำ ทำให้อำนาจทางเศรษฐกิจหมดไป ประกอบกับกรุงศรีอยุธยาที่อยู่ทาง
ตอนใต้มีความเข้มแข็งทางด้านการเมือง การทหารเพิ่มขึ้นและอยู่ในทำเลที่ตั้งดีกว่าสุโขทัย
คือมีแม่น้ำหลายสายไหลผ่านและอยู่ใกล้กับทะเล จึงทำให้กรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลาง
เศรษฐกิจแทนสุโขทัย

เอกสารอ้างอิง

https://bit.ly/3A4cFbz
https://sites.google.com/site/phawattisatthai/bth-reiyn
http://km.nssc.ac.th/files/1706121515282994_17120615150249.pdf
https://maymeanjulie.wixsite.com/sukhothaihistory/blank-mtyj0
http://119.46.166.126/self_all/selfaccess7/m1/402/lesson/lesson2.php
https://bit.ly/3jp4ArT
http://veepeeradon.blogspot.com/2013/05/blog-post.html
https://sites.google.com/site/social00083/bth-thi-8


Click to View FlipBook Version