The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

มหาเวสสันดรชาดก

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 40สิริวิมล หนูพันธ์, 2023-02-28 09:38:55

มหาเวสสันดรชาดก

มหาเวสสันดรชาดก

มหาเวสสันดรชาดก ตอน กัณฑ์มัทรี ผู้จัดทำ นางสาวสิริวิมล หนูพันธ์ ม.๕/๒ เลขที่ ๔๐


ผู้แต่ง เจ้าพระยาพระคลัง นามเดิม หน เป็นบุตรของเจ้าพระยาบดินทร์สุรินทร์ฦๅชัย กับท่านผู้หญิงเจริญ เป็นชาวกรุงเก่าที่เจริญเติบโตรับราชการในสมัยธนบุรี มี บรรดาศักดิ์เป็นหลวงสรวิชิต ตำ แหน่งนายด่านเมืองอุทัยธานีในีนสมัยปลาย ธนบุรี ได้เกิดการจลาจลวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ขณะนั้นพระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชซึ่งทรงดำ รงตำ แหน่งสมเด็จเจ้าพระยามหา กษัตริย์ศึกได้ยกทัพไปตีเขมร เมื่อได้ข่าวความวุ่นวายในพระนคร ก็รีบยกทัพ กลับมาขจัดความเดือดร้อนในแผ่นดิน หลวงสรวิชิตมีส่วนสำ คัญในการช่วย ราชการครั้งนั้นให้สำ เร็จลุล่วง ดังนั้นหลังจากที่ทรงปราบดาภิเษกขึ้นครอง ราชย์แล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงทรงพระกรุณา โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เป็นพระยาพระคลังเจ้าพระยาพระคลังเป็นกวีเอก ที่ได้รับการยกย่องในด้านกวีโวหารทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง มีผลงานกวี นิพนธ์มาตั้งแต่สมัยธนบุรี แต่เรื่องที่โดดเด่นเป็นที่รู้จักแพร่หลายนั้นแต่งขึ้นใน สมัยรัชกาลที่ 1 เช่น สามก๊ก* กากีคำ กลอน* ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก* กัณฑ์กุมารและกัณฑ์มัทรี


มีความเชื่อว่า พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติมาหลายชาติ ทั้งคนทั้งสัตว์เดรัจฉาน โดย แต่ละชาติพระองค์ได้บำ เพ็ญบารมีแตกต่างกันออกไป ซึ่งมหาเวสสันดรชาดกเป็น ชาติสุดท้ายก่อนจะประสูติมาเป็นพระพุทธเจ้าในชมพูทวีป(ชาติสุดท้ายก่อนพระองค์ จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน) และมีการบำ เพ็ญบารมีด้วยการให้ทาน โดยบริจาคลูก และบริจาคเมียเป็นทาน (บุตรทารทาน) สำ หรับที่มาที่ไปของมหาเวสสันดรชาดก เริ่ม ต้นขึ้นเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปที่เมืองกบิลพัสดุ์ พร้อมกับพระอรหันต์สองรูป เพื่อจะไป เทศนาโปรดพระบิดาและพระญาติ แต่พระญาติเกิดอัตตา ไม่ยอมไหว้พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงแสดงปาฏิหารย์ โดยการเหาะเหินเดินอากาศ ทำ ให้ฝุ่นใต้พระบาทา ปลิวมาติดหัวพระญาติ และมีฝนโบกขรพรรษตกลงมาสู่เบื้องล่าง ฝนโบกขรพรรษ เป็นฝนที่มีสีแดงใสบริสุทธิ์ราวกกับทับทิม ถ้าต้องการเปียกฝนนั้น ฝนก็จะเปียกเนื้อ ตัวตามปกติ แต่ถ้าไม่ต้องการเปียกฝน เม็ดฝนนั้นก็จะระเหยหายไปทันที (ถ้ามีฝน แบบนี้ที่บ้านเรา คงหายห่วงเรื่องภัยแล้ง น้ำ ท่วมแน่เลย แต่น่าเสียดายที่ฝนโบกขร พรรษเป็นฝนที่เกิดขึ้นกับเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าเท่านั้น) เมื่อเกิดฝนโบกขรพรรษขึ้น พระอรหันต์ที่ตามพระพุทธเจ้าไปจึงถามว่าฝนนี้เกิดขึ้นได้ อย่างไร พระองค์จึงบอกว่า ฝนนี้เคยเกิดมาแล้วในครั้งที่พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติ เป็นพระเวสสันดร พระพุทธเจ้าเลยถือโอกาสนี้เล่าว่าพระองค์สามารถระลึกชาติได้ โดย 10 ชาติสุดท้ายหรือทศชาติ ได้แก่ เตมีย์ชาดก มหาชนกชาดก สุวรรณสามชาดก เนมิราชชาดก มโหสถชาดก ภูริทัตชาดก จันทชาดก นารทชาดก วิทูรชาดก และ เวสสันดรชาดก ซึ่งแต่ละชาติพระองค์ได้บำ เพ็ญบารมีในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป สำ หรับชาติสุดท้าย คือ เวสสันดรชาดก ประกอบด้วย 13 กัณฑ์ แต่ละกัณฑ์จะมีผู้ ประพันธ์แตกต่างกันออกไป โดยจุดประสงค์หลักในการแต่งคือใช้สำ หรับเทศนาให้กับ พุทธศาสนิกชนหรือบุคคลที่สนใจ ส่วนกัณฑ์ที่เจ้าพระยาพระคลัง (หน) ประพันธ์ มี 2 กัณฑ์ ได้แก่ กัณฑ์กุมาร และกัณฑ์มัทรี ที่มาของเรื่อง


เนื้อเรื่องย่อ มัทรีเป็นชื่อกัณฑ์ที่ ๙ แห่งมหาเวสสันดรชาดก เริ่มตั้งแต่เทวบุตร ๓ องค์ นิรมิตกาย เป็นสัตว์ร้ายขวางทางพระนางมัทรี เกิดลางแก่พระนางมัทรี พระนางจึงวิงวอนขอ หนทางต่อสัตว์ร้ายทั้งสามเมื่อเดินทางถึงอาศรม พระนางทูลถามพระเวสสันดรถึง กุมารทั้งสอง พระเวสสันดรจึงตัดพ้อต่อว่าถึงการที่กลับมาผิดเวลา พระนางมัทรีเฝ้า รำ พึงรำ พันถึงสองกุมารพลางเที่ยวเดินตามหาจนสลบไป ครั้นพอพระนางมัทรีฟื้น คืนสติแล้ว พระเวสสันดรจึงตรัสบอกความจริงว่าได้ยกสองกุมารเป็นทานแก่ชูชก พระนางมัทรีจึงอนุโมทนาบุตรทานบารมี


ลักษณะคำ ประพันธ์ มหาเวสสันดรชาดกเป็นมหาชาติกลอนเทศน์ มีลักษณะคำ ประพันธ์เป็นร่าย ยาวที่มีคาถาบาลีนำ ร่ายยาว บทหนึ่งไม่จำ กัดจำ นวนวรรค แต่ที่นิยมคือตั้งแต่ ๕ วรรคขึ้นไป และแต่ละวรรคก็ไม่จำ กัดจำ นวนคำ เช่นกัน แต่ไม่ควรน้อยกว่า ๕ คำ ซึ่งคำ สุดท้ายของวรรคหน้าจะส่งสัมผัสไปวรรคหลังคำ ใดก้ได้ แต่เว้นคำ สุดท้ายของ วรรคอาจจบลงด้วย “คำ สร้อย”


ถอดความจากเรื่อง คืนก่อนที่พระนางมัทรีจะออกจากอาศรมไปเก็บผลไม้ในป่า พระกุมารทั้งสองฝันร้าย ทำ ให้พระนางหวั่นวิตกนึกถึงลูกตลอดเวลาจนน้ำ ตาอาบแก้มทั้งสองข้าง พลาง สังเกตเห็นว่าต้นที่มีผลไม้กลับกลายเป็นดอกไม้ ส่วนต้นที่มีดอกไม้กลับกลายเป็นผล ไม้ขึ้นแทน ส่วนดอกไม้ที่เคยเก็บไปร้อยให้ลูกก็ถูกลมพัดปลิวร่วงลงมา เมื่อมองไป รอบทิศก็มืดมัวทุกหนแห่ง ท้องฟ้ากลับกลายเป็นสีแดงคล้ายกับลางบอกเหตุร้าย สายตาของพระนางก็เริ่มพร่ามัว ตัวสั่นใจสั่น ของที่ถือก็หลุดจากมือ คานที่หาบไว้ก็ ร่วงลงจากบ่าซึ่งเหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ยิ่งพระนางคิดเท่าไร ก็ยิ่งทุกข์ใจ มากขึ้นเท่านั้น ด้วยความหวั่นใจเรื่องลูก พระนางจึงรีบเก็บผลไม้เพื่อจะได้รีบกลับไป หาลูกที่อาศรม แต่ระหว่างทางกลับเจอ สิงโต เสือเหลือง และเสือโคร่ง ขวางทางไว้ นางกลัวจนใจสั่นร่ำ ไห้ คิดไปว่าเป็นกรรมของตนเอง นางจะหนีไปทางไหนก็ไม่ได้ เพราะถูกสัตว์ทั้งสามกั้นไว้ทุกทิศทางจนฟ้ามืด พระนางมัทรีไม่รู้จะทำ อย่างไร จึง ยกมือไหว้อ้อนวอนขอให้สัตว์หิมพานต์ทั้งสามเปิดทางให้ตน โดยกล่าวว่า พระนาง คือพระนางมัทรีเป็นภรรยาของพระเวสสันดร ตามมาอยู่ที่อาศรมในป่าด้วยความ บริสุทธิ์ใจและกตัญญูต่อสามี นี่ก็เวลาย่ำ ค่ำ แล้วลูกคงหิวนม โปรดเปิดทางให้ พระนางกลับไปที่อาศรมแล้วตนจะแบ่งผลไม้ให้ จากนั้นไม่นานสัตว์หิมพานต์ทั้งสาม จึงยอมเปิดทางให้ พระนางมัทรีก็รีบวิ่งกลับไปที่อาศรมด้วยแก้มที่อาบน้ำ ตา เมื่อถึงที่พักพระนางมัทรีก็ตกใจไม่เห็นลูกอยู่ในอาศรม ร้องเรียกหาเท่าไรก็ไม่มีใคร ตอบ พระนางมัทรีเสียใจมาก พร่ำ บอกว่าที่ผ่านมาก็ดูแลลูกอย่างดีแบบยุงไม่ให้ไต่ไร ไม่ให้ตอม หวังจะกลับมาพบลูกให้ชื่นใจ ก่อนหน้านี้ยังได้ยินเสียงลูกเล่นกันอยู่แถวนี้ แต่เมื่อลูกหายไปอาศรมกลับดูเงียบเหงาเศร้าหม่น นางจึงไปถามพระเวสสันดรว่า ลูกหายไปไหน แต่พระเวสสันดรกลับไม่ตอบอะไร ทำ ให้นางกลุ้มใจยิ่งไปว่าเก่า ด้วย ความกลุ้มใจ ตัวก็ร้อน น้ำ ตาก็ไหล กระวนกระวายพลางบอกว่า ไม่เคยมีครั้งใดที่นาง รู้สึกแค้นเคืองใจขนาดนี้ เพราะนางออกจากเมืองมาก็หวังว่าอย่างน้อยจะได้สุขใจ เพราะอยู่พร้อมหน้ากับลูกและสามี แต่เมื่อลูกหายตัวไป ความหวังนั้นก็คล้ายจะดับ สิ้น


พระนางมัทรีอ้อนวอนขอให้พระเวสสันดรตรัสกับนางบ้าง เพราะการนั่งนิ่ง เหมือนโกรธเคืองพระนางมัทรีนั้นยิ่งทำ ให้ปวดใจราวกับมีคนเอาเหล็กรนไฟมา แทงที่หัวใจ หรือเป็นคนไข้ที่หมอนำ ยาพิษมาให้ดื่ม อีกไม่กี่วันคงสิ้นชีวิตอย่าง แน่นอน เมื่อพระเวสสันดรได้ยินพระนางมัทรีดังนั้น ก็คิดว่าหากใช้ความหึงหวง คงเป็นวิธีคลายความโศกให้พระนางได้ จึงตรัสว่า ในป่าหิมพานต์แห่งนี้มีทั้งพระ ดาบสและนายพรานจำ นวนมาก เจ้าออกไปเก็บผลไม้ตั้งแต่เช้าจนย่ำ ค่ำ หากไป ทำ อะไรในป่าแห่งนี้ก็คงจะไม่มีใครรู้เห็น เหตุใดจึงทิ้งลูกหนีเข้าไปในป่านานถึง เพียงนี้ พอกลับมายังห่วงแต่ลูก ไม่ห่วงสามีแต่อย่างใด หรือหากไม่นึกถึงสามีก็ไม่ ควรหายเข้าไปในป่านานถึงเพียงนี้ จะให้เราเข้าใจได้อย่างไร เมื่อพระนางมัทรี ได้ยินดังนั้น จึงกราบทูลว่า เหตุใดพระองค์จึงไม่ได้ยินเสียงของราชสีห์ เสือโคร่ง และเสือเหลือง เพราะสัตว์ทั้งสามนี้ทำ ให้ทำ ให้พระนางไม่สามารถกลับอาศรมได้ ทั้งยังเกิดเหตุร้ายหลายประการขณะที่นางเข้าไปในป่า ทั้งของที่ถือก็หลุดจากมือ คานที่หาบไว้ก็ร่วงลงจากบ่า ต้นไม้ที่เคยผลิดอกก็ออกผล ต้นไม้ที่เคยออกผลก็ ผลิดอกออกมา ชวนให้หวาดกลัวจนตัวสั่น อธิษฐานภาวนาให้ลูกและสามี ปลอดภัย แล้วรีบกลับมายังอาศรมแต่ถูกสัตว์ร้ายทั้งสามตัวนอนขวางทางเอาไว้ จึงต้องกราบอ้อนวอนสัตว์ทั้งสามให้เปิดทางให้จนพระอาทิตย์ตกดินสัตว์ทั้งสาม จึงหลีกทาง แล้วพระนางมัทรีก็รีบวิ่งกลับมายังอาศรมนี้ มิได้ไปทำ สิ่งใดที่ไม่ เหมาะไม่ควรแต่อย่างใด ฝ่ายพระเวสสันดรเมื่อฟังคำ ตอบของพระนามัทรีก็ เอาแต่นิ่งเงียบทั้งคืน จนกระทั่งรุ่งเช้า ถอดความจากเรื่อง


ถอดความจากเรื่อง ระหว่างนั้นพระนางมัทรีโศกเศร้าร่ำ ไห้ คร่ำ ครวญว่าตนปฏิบัติต่อสามีดั่งศิษย์ ปฏิบัติต่อครู ดูแลลูกทั้งสองแบบยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ทั้งบดขมิ้นไว้ให้อาบน้ำ จัดหาอาหารมาให้มิได้ขาด แล้วอ้อนวอนให้สามีเรียกลูกมากินอาหารที่ตนหามา ถามว่าลูกอยู่แห่งหนใดเหตุใดจึงยังไม่ยอมออกมา แต่ไม่ว่าจะร้องขออ้อนวอน อย่างไรสามีก็นิ่งเฉยไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา พระนางจึงถวายบังคมลาออกไปตาม หาลูกทั้งสองในป่าหิมพานต์ เมื่อออกตามหาจนทั่วแล้วไม่พบจึงกลับมาที่อาศรม พบว่าพระเวสสันดรยังคงนั่งนิ่งอยู่เหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีผิด พระนางจึงตัดพ้อ ว่า เหตุใดพระเวสสันดรจึงยังนั่งนิ่งอยู่ไม่ลุกมาผ่าฝืน ตัดน้ำ ใส่บ่อ หรือก่อไฟไว้ อย่างที่เคยทำ เป็นประจำ ทุกวัน พร้อมกับบอกว่าพระเวสสันดรนั้นเป็นที่รักของ พระนางมัทรีอย่างยิ่ง เมื่อกลับมาจากป่าเห็นพระพักตร์ของพระองค์และได้เห็น ลูกทั้งสองวิ่งเล่น ก็คลายความเหนื่อยล้าเป็นปลิดทิ้ง แต่วันนี้กลับกลายเป็น ความทุกข์ร้อน เศร้าโศก เพราะพระองค์ไม่ยอมตรัสสิ่งใดกับพระนาง แม้พระนา งมัทรีจะได้ออกตามหาพระกัณหาและพระชาลีไปทั่วป่า ทั้งราตรี แล้วกลับมาหา พระเวสสันดรอย่างไรพระองค์ก็ไม่ยอมตรัสสิ่งใดอยู่เช่นเดิม นางมัทรีสะอื้นไห้ จนหมดสติล้มลงกับพื้น พระเวสสันดรบรรพชาเป็นดาบสมากว่า 7เดือน ไม่เคย ได้แตะต้องตัวพระนางมัทรี แต่วันนี้ด้วยความเศร้าโศกและตระหนกตกใจเกรง ว่าพระนางจะเป็นอะไรไป พระเวสสันดรจึงเข้าไปตรวจชีพจรดูแลนางจนได้สติ ตื่นฟื้นขึ้นมา ฝ่ายพระนางมัทรีเมื่อฟื้นขึ้นมาก็ทูลถามอีกครั้งว่าลูกทั้งสองอยู่ แห่งหนใด กลับมาแล้วหรือไม่ พระเวสสันดรจึงตอบว่าตนได้ยกพระกัณหากับ พระชาลีให้กับชูชกไปแล้ว แต่พระองค์มิได้บอกกับพระนางมัทรีตั้งแต่ต้นเกรงว่า พระนางจะเศร้าโศกเสียใจ เมื่อได้รู้ความจริงแล้ว พระนางมัทรีจึงคลายความ ทุกข์เศร้าลงแล้วอนุโมทนาบุญกับบุตรทานที่พระเวสสันดรได้ปฏิบัติในครั้งนี้


ข้อคิด ๑.ความรักของแม่ที่มีต่อลูกนั้นยิ่งใหญ่นัก ๒.ผู้ที่ปรารถนาสิ่งต่างๆอันยิ่งใหญ่จะต้องทำ ด้วยความอดทนและเสียสละ อันยิ่งใหญ่ด้วย ๓.ความซื่อสัตย์ระหว่างสามีภรรยาทำ ให้ชีวิตครอบครัวมีความสุข ๔.ผู้มีปัญหาย่อมแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้ดี


Click to View FlipBook Version