~0~
~1~
บทที่ 1
ความเป็ นมาและความสาคญั
ความเป็นมาและความสาคญั ของการวิจยั
ในสงั คมปัจจุบนั การดารงชวี ติ ของคนในสงั คมต้องอาศยั วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยเี พ่อื มา
ช่วยอานวยความสะดวก ทงั้ ทางด้านการดาเนินชวี ติ การงานอาชพี จะต้องมเี คร่อื งมอื เคร่อื งใช้ท่ี
เป็นผลผลติ มาจากความรูท้ างวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยที งั้ สน้ิ การทค่ี นเราหาแนวคดิ ต่างๆ นาไป
พฒั นาเคร่อื งมอื เคร่อื งใช้ แนวคดิ ตา่ งๆนนั้ ย่อมมอี ทิ ธพิ ลของวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยมี าเกย่ี วขอ้ ง
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีช่วยให้คนพฒั นาวธิ ีคิด ทงั้ ความคิดท่ีเป็นเหตุผล ความคิด
สร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ เป็ นทักษะท่ีสาคัญในการค้นคว้า หาความรู้ มี
ความสามารถในการแกป้ ัญหาและความสามารถในการตดั สนิ ใจ โดยใชข้ อ้ มลู หลากหลายและประจกั ษ์
พยานท่ีตรวจสอบได้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยเี ป็นวฒั นธรรมโลกสมยั ใหม่ทุกคนจงึ จาเป็นต้อง
ไดร้ บั การพฒั นาใหร้ วู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เพ่อื ทจ่ี ะมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจโลกธรรมชาติ สามารถ
ใช้ความรู้ในการสนับสนุนและโต้แย้งประเดน็ ต่างๆท่เี กดิ ข้นึ อย่างมเี หตุผลสรา้ งสรรค์และมคี ุณธรรม
ความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยไี ม่เพยี งแต่นามาใช้ในการพฒั นาคุณภาพชวี ติ ท่ดี เี ท่านัน้ แต่
ความรทู้ างวทิ ยาศาสตรย์ งั ช่วยใหค้ นมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจเกย่ี วกบั การใชป้ ระโยชน์ และการดแู ลรกั ษา
ตลอดจนการพฒั นาสงิ่ แวดลอ้ มและทรพั ยากรธรรมชาติอย่างสมดุล และยงั่ ยนื ซ่งึ ทาใหท้ ุกคนดาเนิน
ชวี ติ อยรู่ ว่ มกนั ในสงั คมโลกสมยั ใหมไ่ ดอ้ ย่างมคี วามสุข
(กรมวชิ าการ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2545, หน้า 1)
ในการเรยี นการสอนวชิ าวทิ ยาศาสตรพ์ น้ื ฐาน กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ของนักเรยี น
ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 ในโรงเรยี นตราษตระการคุณ ปัญหาทพ่ี บในชนั้ เรยี นส่วนใหญ่คอื นักเรยี นขาด
ทกั ษะการใช้อุปกรณ์เคร่อื งมอื ทางวทิ ยาศาสตร์ ส่งผลให้เป็นอนั ตรายต่อร่างกายและทรพั ยส์ นิ และ
ผลการทดลองทางวทิ ยาศาสตรท์ ่อี อกมาเกดิ ความคลาดเคล่อื นไม่ถูกต้องตรงตามทฤษฎี เช่น การใช้
หลอดหยดไม่ถูกวธิ ีทาให้สารหกรดมอื ผู้ทาการทดลอง การใช้กระบอกตวงจะต้องวดั ให้ระดบั ของ
ของเหลวอยู่ในระดบั สายตาโดยท่ีวางกระบอกตวงไว้กับท่ี แต่ผู้ทาการทดลองส่วนใหญ่มกั จะยก
กระบอกตวงขน้ึ มาเพอ่ื วดั ระดบั ของของเหลว โดยปัญหาน้ีจะทาใหก้ ารจดจาและความเขา้ ใจในเน้อื หา
บทเรยี นของนักเรยี นไม่สมั ฤทธผิ์ ล ซ่งึ ปัญหาดงั กล่าวอาจเกดิ ขน้ึ มาจากนกั เรยี นไมม่ ปี ระสบการณ์และ
ไมไ่ ดร้ บั การฝึกฝนการใชอ้ ุปกรณ์วทิ ยาศาสตรม์ าโดยตรง
ผู้วจิ ยั จึงเล็งเห็นว่าควรมีการจดั กจิ กรรมท่ีจะช่วยพฒั นาทกั ษะการใช้อุปกรณ์วทิ ยาศาสตร์
ให้แก่นักเรียน เพ่ือนามาใช้ในการเรียนวิทยาศาสตร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากข้ึน และให้เกิด
ขอ้ ผดิ พลาดในการทดลองน้อยลง อกี ทงั้ ยงั ช่วยให้เดก็ มคี วามคดิ สร้างสรรค์ และกระตอื รอื รน้ ในการ
เรยี น รวมถงึ นาหลกั ความรทู้ ไ่ี ดไ้ ปประยุกตใ์ ชก้ บั การเรยี นรดู้ า้ นอ่นื ๆได้ดว้ ย จงึ เป็นทม่ี าของการวจิ ยั
ในชนั้ เรยี น เร่อื ง “ผลของการจดั กจิ กรรมเพ่อื การพฒั นาทกั ษะการใชอ้ ุปกรณ์วทิ ยาศาสตร์ขนั้ พน้ื ฐาน
ของนกั เรยี นระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1/4 โรงเรยี นตราษตระการคณุ ”
~2~
วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจยั
1. เพอ่ื ศกึ ษาผลการจดั กจิ กรรมพฒั นาทกั ษะการใชอ้ ปุ กรณ์วทิ ยาศาสตร์
2. เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นมผี ลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นวชิ าวทิ ยาศาสตรเ์ พม่ิ ขน้ึ
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รบั
1. นักเรยี นสามารถใช้อุปกรณ์วทิ ยาศาสตรข์ นั้ พน้ื ฐานได้ถูกต้องตามหลกั ปฏบิ ตั ทิ กั ษะทาง
วทิ ยาศาสตร์
2. เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นสามารถนาความรหู้ รอื ทกั ษะการใชอ้ ปุ กรณ์วทิ ยาศาสตรท์ ไ่ี ดไ้ ปประยุกตใ์ ช้
ในการเรยี นวชิ าวทิ ยาศาสตรแ์ ละรายวชิ าอน่ื ๆได้
3. นกั เรยี นมผี ลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นวชิ าวทิ ยาศาสตรเ์ พมิ่ ขน้ึ
สมมติฐานในการวิจยั
การจดั กจิ กรรมเพอ่ื เพมิ่ ทกั ษะการใชอ้ ปุ การณ์วทิ ยาศาสตรข์ นั้ พน้ื ฐานใหแ้ ก่นกั เรยี น จะทา
ใหผ้ ลการทดลองในชนั้ เรยี นมปี ระสทิ ธภิ าพมากขน้ึ
~3~
บทท่ี 2
เอกสารและงานวิจยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง
ในการวจิ ยั เร่อื ง “ผลของการจดั กจิ กรรมเพอ่ื การพฒั นาทกั ษะการใชอ้ ุปกรณ์วทิ ยาศาสตรข์ นั้
พน้ื ฐาน ของนกั เรยี นระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1/4 โรงเรยี นตราษตระการคณุ ” ผวู้ จิ ยั ไดศ้ กึ ษาเอกสาร
และงานวจิ ยั ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งโดยนาเสนอตามลาดบั ดงั ต่อไปน้ี
เอกสารที่เกี่ยวขอ้ ง
ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรเ์ ป็นทกั ษะกระบวนการพน้ื ฐานทม่ี คี วามสาคญั และจาเป็น
ในการเรยี นรทู งั้ วชิ าทม่ี เี น้อื หาวทิ ยาศาสตร์และวชิ าอน่ื ๆ ทม่ี ใิ ช่เป็นวทิ ยาศาสตร์ กจิ กรรมการเรยี นรู้
ตอ้ งเน้นใหน้ กั เรยี นเรยี นรูแ้ ละเขา้ ใจในกระบวนการ ซง่ึ สามารถใชใ้ นการแสวงหาความรูแ้ ละนาไปใช้
แกปัญหาในชวี ติ ประจาวนั ไดเ้ ป็นอย่างดี
ความหมายของทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
สวุ มิ ล เขย้ี วแกว (2557 : 18)ไดก้ ล่าวถงึ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ว่า “เป็น
พฤตกิ รรม
ทเ่ี กดิ ขน้ึ เน่อื งจากไดร้ บั การฝึกฝน การคดิ อย่างมเี หตุผลและมรี ะบบ พฤตกิ รรมต่างๆ น้สี ามารถสะสม
ในตวั ผเู้ รยี นไดม้ ากขน้ึ ในขณะทน่ี กั เรยี นไดท้ าการทดลองทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละทกั ษะกระบวนการ
ทางวทิ ยาศาสตรย์ งั สามารถนาไปประยกุ ต์ใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั ได้ดว้ ย ”
ประหยดั จนั ทรช์ มพู และ ประสพสนั ต์ อกั ษรนิต (2558 : 23-24) ไดใ้ หค้ วามหมายของ
ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรว์ ่า
1. ทกั ษะในการทาหรอื ใชเ้ ครอ่ื งมอื ทางวทิ ยาศาสตร์ ซง่ึ สามารถสงั เกตไดจ้ ากพฤตกิ รรม
ต่อไปน้ี
1.1 ความสามารถในการหยบิ การใชเ้ ครอ่ื งมอื อย่างถูกตอ้ ง ชานาญ รวดเรว็ และปลอดภยั
1.2 ความสามารถในการเกบ็ รกั ษาและลา้ งทาความสะอาด
1.3 ความสามารถในการประดษิ ฐ์เคร่อื งมอื อย่างง่าย ๆ
1.4 ความสามารถในการสงั เกต พจิ ารณาการบนั ทกึ การชงั่ ตวงวดั และการทดลองต่าง ๆ
ไดถ้ ูกตอ้ ง
2. ทกั ษะในแกป้ ัญหาเกย่ี วกบั วทิ ยาศาสตร์ คอื ทกั ษะความสามารถในเชงิ สตปิ ัญญาและการ
ใชค้ วามคดิ เพอ่ื แกป้ ัญหาต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ ถูกตอ้ ง มเี หตผุ ล พฤตกิ รรมทเ่ี ราสงั เกตไดว้ ่าเกดิ
ทกั ษะน้คี อื
2.1 ความสามารถในการใชว้ ธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตรใ์ นการแกป้ ัญหาต่าง ๆ
2.2 ความสามารถในการผสมผสานความรูเ้ ดมิ และความรใู้ หม่ และนามาอธบิ ายสง่ิ ต่าง ๆ
ได้
~4~
2.3 ความสามารถในการคาดคะเนสงิ่ ทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ ต่อไป เช่น ขอ้ มลู มกี ารเปลย่ี นแปลง
2.4 ความสามารถในการคน้ ควา้ หาความรูจ้ ากสงิ่ ต่าง ๆ
2.5 ความสามารถในการอธบิ ายปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ จากหลกั ความจรงิ อย่างมเี หตุผล
2.6 มคี วามกระตอื รอื ร้นทจ่ี ะหาทางทดสอบหรอื หาคาตอบปัญหาต่าง ๆ ดว้ ยการ
ปฏบิ ตั กิ ารทดลอง
2.7 สามารถตดั สนิ ใจใชว้ ธิ กี ารทดลองอ่นื ทเ่ี หมาะสมไดถ้ า้ ทาการทดลองไม่สาเรจ็
2.8 สามารถรวบรวมขอ้ มลู และเขยี นรายงานได้
ประเภทของทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรเ์ ป็นวธิ กี ารทน่ี กั วทิ ยาศาสตรใ์ ชใ้ นการเสาะแสวงหา
ความรหู้ รอื แกป้ ัญหาต่าง ๆ ซง่ึ นกั การศกึ ษาและหน่วยงานทางการศกึ ษา ไดจ้ ดั ประเภทของทกั ษะ
กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรไ์ วด้ งั น้ี
1. การสงั เกต ( observation ) หมายถงึ การใชป้ ระสาทสมั ผสั อย่างใดอย่างหน่งึ หรอื หลาย
อยา่ งรวมกนั ไดแ้ ก่ ตา หู จมกู ลน้ิ และผวิ กาย เขา้ ไปสมั ผสั โดยตรงกบั วตั ถุหรอื เหตกุ ารณ์
เพอ่ื คน้ หาขอ้ มลู ซง่ึ เป็นรายละเอยี ดของสง่ิ นนั้ โดยไม่ใสค่ วามเหน็ ของผสู้ งั เกตลงไปดว้ ย ขอ้ มลู ท่ี
ไดจ้ ากการสงั เกต ประกอบดว้ ย
1. ขอ้ มลู เกย่ี วกบั รปู รา่ ง ลกั ษณะและสมบตั ิ
2. ขอ้ มลู เชงิ ปรมิ าณ
3. ขอ้ มลู ทเ่ี กย่ี วกบั การเปลย่ี นแปลงทส่ี งั เกตเหน็ จากวตั ถหุ รอื เหตุการณ์นนั้
ผทู้ ม่ี ที กั ษะการสงั เกต ตอ้ งมคี วามสามารถทแ่ี สดงใหเ้ หน็ ว่าเกดิ ทกั ษะน้ปี ระกอบดว้ ย
1. การชบ้ี ง่ และการบรรยายสมบตั ขิ องวตั ถุได้ โดยการใชป้ ระสาทสมั ผสั อย่างใดอย่าง
หน่งึ หรอื หลายอยา่ ง
2. บรรยายสมบตั เิ ชงิ ปรมิ าณของวตั ถไุ ด้ โดยการกะประมาณ
3. บรรยายการเปลย่ี นแปลงของสงิ่ ทส่ี งั เกตได้
2. การวดั ( measurement ) หมายถงึ ความสามารถในการเลอื กใชเ้ คร่อื งมอื ในการวดั อยา่ ง
เหมาะสม และใชเ้ ครอ่ื งมอื นนั้ หาปรมิ าณของสงิ่ ตา่ งๆ ออกมาเป็นตวั เลขไดถ้ กู ตอ้ งและรวดเรว็
โดยมหี น่วยกากบั ตลอดจนสามารถอ่านคาทว่ี ดั ไดถ้ กู ตอ้ งและใกลเ้ คยี งกบั ความเป็นจรงิ
ผทู้ ม่ี ที กั ษะการวดั ตอ้ งมคี วามสามารถทแ่ี สดงใหเ้ หน็ ว่าเกดิ ทกั ษะน้ีประกอบดว้ ย
1. เลอื กเครอ่ื งมอื ทเ่ี หมาะสมในการวดั ปรมิ าณตา่ ง ๆ ของสงิ่ ทศ่ี กึ ษา
2. ใชเ้ ครอ่ื งมอื วดั ปรมิ าณต่างๆ ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง แม่นยา รวดเรว็
3. คดิ วธิ กี ารทจ่ี ะหาค่าปรมิ าณต่างๆ ได้ ในกรณที ไ่ี มอ่ าจใชเ้ ครอ่ื งมอื วดั ปรมิ าณนนั้ ได้
โดยตรง
4. เลอื กหน่วยทม่ี คี ่ามาก ๆ หรอื น้อยๆ นยิ มใชค้ าอุปสรรคแทนพนุคณู ปรมิ าณนนั้ ๆ
~5~
5. บอกความหมายของปรมิ าณซง่ึ ไดจ้ ากการวดั ไดอ้ ย่างเหมาะสม กล่าวคอื ปรมิ าณท่ี
ไดจ้ ากการวดั ละเอยี ดถงึ ทศนยิ มหน่งึ ตาแหน่งของหน่วยยอ่ ยทส่ี ดุ เท่านนั้
6. บอกความหมายของเลขนยั สาคญั ได้
3. การจาแนกประเภท ( classification ) หมายถงึ การจดั แบง่ หรอื เรยี งลาดบั วตั ถหุ รอื
สงิ่ ทอ่ี ย่ใู นปรากฏการณ์ต่างๆ ออกเป็นพวกๆ โดยมเี กณฑใ์ นการจดั แบ่ง เกณฑด์ งั กลา่ วอาจใช้
ความเหมอื น ความแตกต่าง หรอื ความสมั พนั ธอ์ ย่างใดอยา่ งหน่งึ กไ็ ด้
ผทู้ ม่ี ที กั ษะการจาแนกประเภท ตอ้ งมคี วามสามารถทแ่ี สดงใหเ้ หน็ วา่ เกดิ ทกั ษะ
น้ี ประกอบดว้ ย
1. เรยี งลาดบั หรอื แบ่งพวกสง่ิ ต่าง ๆ จากเกณฑท์ ผ่ี อู้ ่นื กาหนดใหไ้ ด้
2. เรยี งลาดบั หรอื แบง่ พวกสง่ิ ต่าง ๆ โดยใชเ้ กณฑข์ องตนเองได้
3. บอกเกณฑท์ ผ่ี อู้ ่นื ใชเ้ รยี งลาดบั หรอื แบง่ พวกได้
4. การหาความสมั พนั ธร์ ะหว่างสเปชกบั สเปช และสเปชกบั เวลา
( space/space relationships and space/time relationships )
สเปชของวตั ถุ หมายถงึ ทว่ี ่างทว่ี ตั ถนุ นั้ ครองท่ี ซง่ึ จะมรี ปู ร่างลกั ษณะเช่นเดยี วกบั วตั ถุ
นนั้ โดยทวั่ ไปแลว้ สเปชของวตั ถุจะมี 3 มติ ิ คอื ความกวา้ ง ความยาว และความสงู
ความสมั พนั ธร์ ะหว่างสเปชกบั สเปชของวตั ถุ ไดแ้ ก่ ความสมั พนั ธร์ ะหว่าง 3 มติ ิ กบั 2
มติ ิ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งตาแหน่งทอ่ี ยขู่ องวตั ถหุ น่งึ กบั อกี วตั ถหุ น่งึ
ผทู้ ม่ี ที กั ษะการหาความสมั พนั ธร์ ะหว่างสเปชกบั สเปชของวตั ถุ ตอ้ งมคี วามสามารถทแ่ี สดง
ใหเ้ หน็ ว่าเกดิ ทกั ษะน้ีประกอบดว้ ย
1. การชบ้ี ่งรปู 2 มติ ิ และวตั ถุ 3 มติ ทิ ก่ี าหนดได้
2. สามารถวาดภาพ 2 มติ ิ จากวตั ถุ หรอื ภาพ 3 มติ ทิ ก่ี าหนดได้
3. บอกช่อื ของรปู และรปู ทรงเรขาคณิตได้
4. บอกความสมั พนั ธร์ ะหว่าง 2 มติ ิ กบั 3 มติ ไิ ด้
4.1 ระบุรูป 3 มติ ิ ทเ่ี หน็ เน่ืองจากการหมุนรปู 2 มติ ิ
4.2 เมอ่ื เหน็ เงา ( 2 มติ ิ ) ของวตั ถุสามารถบอกรปู ทรงของวตั ถตุ น้ กาเนดิ เงา
4.3 เมอ่ื เหน็ วตั ถุ ( 3 มติ ิ ) สามารถบอกเงา ( 2 มติ ิ ) ทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ ได้
4.4 บอกรปู ของรอยตดั ( 2 มติ ิ ) ทเ่ี กดิ จากการตดั วตั ถุ ( 3 มติ ิ )
ออกเป็น 2 สว่ น
ความสมั พนั ธร์ ะหว่างสเปชกบั เวลา ไดแ้ ก่ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งการเปลย่ี นตาแหน่งทอ่ี ยู่
ของวตั ถกุ บั เวลา หรอื ความสมั พนั ธร์ ะหว่างสเปชของวตั ถทุ เ่ี ปลย่ี นไปกบั เวลา ผทู้ ม่ี ที กั ษะการหา
ความสมั พนั ธร์ ะหว่างสเปชกบั สเปชกบั เวลา ตอ้ งมคี วามสามารถทแ่ี สดงใหเ้ หน็ วา่ เกดิ ทกั ษะน้ี
ประกอบดว้ ย
~6~
1. บอกตาแหน่งหรอื ทศิ ทางของวตั ถไุ ด้
2. บอกไดว้ า่ วตั ถอุ ยใู่ นตาแหน่งหรอื ทศิ ทางใดของอกี วตั ถุหน่งึ
3. บอกความสมั พนั ธร์ ะหว่างการเปลย่ี นแปลงตาแหน่งทอ่ี ยขู่ องวตั ถกุ บั เวลาได้
4. บอกความสมั พนั ธร์ ะหว่างสง่ิ ของทอ่ี ยหู่ น้ากระจก และภาพทป่ี รากฏในกระจกวา่
เป็นซ้ายหรอื ขวาของกนั และกนั ได้
5. บอกความสมั พนั ธร์ ะหว่างการเปลย่ี นแปลงขนาด หรอื ปรมิ าณของสงิ่ ตา่ ง ๆ กบั
เวลาได้
5. การคานวณ ( using numbers ) เป็นการนาคา่ ทไ่ี ดจ้ ากการสงั เกตเชงิ ปรมิ าณ การ
วดั การทดลอง และจากแหล่งอ่นื ๆ มาจดั กระทาใหเ้ กดิ ค่าใหม่ โดยนับและนาตวั เลขทแ่ี สดง
จานวนทน่ี บั ไดม้ าคดิ คานวณโดยการ บวก ลบ คณู หาร และหาค่าเฉลย่ี ยกกาลงั สองหรอื
ถอดราก เพอ่ื ใชใ้ นการสอ่ื ความหมายใหช้ ดั เจนและเหมาะสม
ผทู้ ม่ี ที กั ษะการคานวณ ตอ้ งมคี วามสามารถทแ่ี สดงใหเ้ หน็ ว่าเกดิ ทกั ษะน้ปี ระกอบดว้ ย
1. หาผลลพั ธข์ องการบวก และการลบปรมิ าณทไ่ี ดจ้ ากการวดั ไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง
2. หาผลลพั ธข์ องการคณู และการหาปรมิ าณทไ่ี ดจ้ าการวดั ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง
3. หาความสมั พนั ธร์ ะหว่างตวั แปรจากขอ้ มลู โดยใชค้ วามรคู้ ณติ ศาสตรใ์ นเร่อื งการ
แปรผนั การสรา้ งสมการ มาสรา้ งเป็นสตู รได้
4. คานวณเกย่ี วกบั ปรมิ าณทม่ี คี าอุปสรรคประกอบหน่วยไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง
6. การจดั กระทา และการสื่อความหมายข้อมูล ( organizing data and communica
tion ) หมายถงึ การนาขอ้ มลู ดบิ ทไ่ี ดจ้ ากการสงั เกต การวดั การทดลอง หรอื จากตาแหน่งอ่นื
ๆ มาจดั กระทาเสยี ใหม่ โดยอาศยั วธิ กี ารต่าง ๆ เช่น การหาความถ่ี การเรยี นลาดบั การ
จดั แยกประเภท การคานวณหาค่าใหม่ เป็นตน้
การสอ่ื ความหมายขอ้ มลู หมายถงึ การนาขอ้ มลู ทจ่ี ดั กระทานนั้ มาเสนอหรอื แสดงใหบ้ คุ คล
อ่นื เขา้ ใจความหมายของขอ้ มลู ชุดนนั้ ดขี น้ึ อาจนาเสนอในรปู ของ
ตาราง แผนภมู ิ แผนภาพ ไดอะแกรม วงจร กราฟ สมการ เขยี นบรรยาย หรอื ย่อความพอ
สงั เขป เป็นตน้
ผทู้ ม่ี ที กั ษะการจดั กระทา และการสอ่ื ความหมายขอ้ มลู ตอ้ งมคี วามสามารถทแ่ี สดงใหเ้ หน็
ว่าเกดิ ทกั ษะน้ีประกอบดว้ ย
1. เลอื กรปู แบบทจ่ี ะใชก้ ารเสนอขอ้ มลู ไดเ้ หมาะสม
2. บอกเหตุในการเลอื กรปู แบบทจ่ี ะใชใ้ นการเสนอขอ้ มลู
3. ออกแบบการเสนอขอ้ มลู ตามรปู แบบทเ่ี ลอื กไวไ้ ด้
4. เปลย่ี นแปลงขอ้ มลู ใหอ้ ย่ใู นรปู แบบใหม่ทเ่ี ขา้ ใจดขี น้ึ
~7~
5. บรรยายลกั ษณะสง่ิ ใดสง่ิ สงิ่ หน่งึ ดว้ ยขอ้ ความทเ่ี หมาะสม กะทดั รดั สอ่ื ความหมาย
ใหผ้ อู้ ่นื เขา้ ใจได้
7. การลงความเหน็ จากข้อมูล ( inferring ) ทแ่ี สดงใหเ้ หน็ ว่าเกดิ ทกั ษะน้คี อื สามารถ
อธบิ ายหรอื สรุป โดยเพมิ่ ความคดิ เหน็ ใหก้ บั ขอ้ มลู โดยใชค้ วามรหู้ รอื ประสบการณ์เดมิ มาชว่ ย
หมายถงึ การเพม่ิ ความคดิ เหน็ ใหก้ บั ขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากการสงั เกตอย่างมเี หตุผล โดยอาศยั
ความรู้ หรอื ประสบการณ์เดมิ มาช่วย ขอ้ มลู น้ีอาจจะไดม้ าจากการสงั เกต การวดั หรอื การ
ทดลอง การลงความเหน็ จากขอ้ มลู ชุดเดยี วกนั อาจลงความเหน็ หรอื มคี าอธบิ ายไดห้ ลายอย่าง
ทงั้ น้เี น่อื งจากประสบการณ์ และความรเู้ ดมิ ต่างกนั แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม การลงความเหน็ นนั้ ตอ้ ง
เป็นไปอย่างสมเหตสุ มผลกบั ปรากฏการณ์ทเ่ี กดิ ขน้ึ หรอื ขอ้ มลู ทส่ี งั เกตได้
การลงความเหน็ ตา่ งจากขอ้ มลู ตา่ งจากการทานายในแงท่ ว่ี ่า การลงความเหน็ จากขอ้ มลู
ไมไ่ ดบ้ อกเหตุการณ์ในอนาคต เป็นแคเ่ พยี งการอธบิ าย หรอื หาความหมายของขอ้ มลู โดยอาศยั
ความรหู้ รอื ประสบการณ์เดมิ มาชว่ ยเท่านนั้
ผทู้ ม่ี ที กั ษะการลงความเหน็ จากขอ้ มลู ตอ้ งมคี วามสามารถทแ่ี สดงใหเ้ หน็ วา่ เกดิ ทกั ษะน้คี อื
สามารถอธบิ ายหรอื สรุป โดยเพม่ิ ความคดิ เหน็ ใหก้ บั ขอ้ มลู โดยใชค้ วามรหู้ รอื ประสบการณ์เดมิ
มาช่วย
8. การพยากรณ์ ( prediction ) เป็นการคาดคะเนคาตอบหรอื สง่ิ ทจ่ี ะเกดิ ลว่ งหน้า โดย
อาศยั ขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากการสงั เกตหรอื ขอ้ มลู จากประสบการณ์ทเ่ี กิดขน้ึ ซ้า ๆ หลกั การ กฎ หรอื
ทฤษฎใี นเร่อื งนนั้ มาชว่ ย การทานายทแ่ี ม่นยาเป็นผลจากการสงั เกตทร่ี อบคอบ การวดั ท่ี
ถูกตอ้ ง การบนั ทกึ และการกระทากบั ขอ้ มลู อย่างเหมาะสม
การทานายเก่ยี วกบั ตวั เลข ไดแ้ ก่ ขอ้ มลู ทเ่ี ป็นตารางหรอื กราฟทาได้ 2 แบบ คอื การ
ทานายภายในขอบเขตของขอ้ มลู ทม่ี อี ยู่ ( interpolating ) และการทานายภายนอกขอบเขตขอ้ มลู
ทม่ี อี ยู่ ( extrapolating )
ผทู้ ม่ี ที กั ษะการพยากรณ์ ตอ้ งมคี วามสามารถทแ่ี สดงใหเ้ หน็ ว่าเกดิ ทกั ษะน้ปี ระกอบดว้ ย
1. พยากรณ์ผลทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ จากขอ้ มลู ทเ่ี ป็นหลกั การ กฎ หรอื ทฤษฎที ม่ี อี ย่ไู ด้
2. พยากรณ์ผลทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ ภายในขอบเขตขอ้ มลู เชงิ ปรมิ าณทม่ี อี ยไู่ ด้
3. ทานายผลทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ ภายนอกขอบเขตของขอ้ มลู เชงิ ปรมิ าณทม่ี อี ยไู่ ด้
9. การตงั้ สมมติฐาน ( formulating hypotheses ) หมายถงึ การคดิ หาคาตอบ
ล่วงหน้า กอ่ นจะกระทาการทดลองโดยอาศยั การสงั เกต ความรู้ ปละประสบการณ์เดมิ เป็น
พน้ื ฐาน คาตอบทค่ี ดิ หาลว่ งหน้าน้ยี งั ไมเ่ ป็นหลกั การ กฎ หรอื ทฤษฎมี ากอ่ น สมมตฐิ านหรอื
คาตอบทค่ี ดิ ไวล้ ว่ งหน้ามกั กลา่ วไวเ้ ป็นขอ้ ความทบ่ี อกความสมั พนั ธร์ ะหว่างตวั แปรตน้ ( ตวั แปร
อสิ ระ ) กบั ตวั แปรตาม สมมตฐิ านทต่ี งั้ ไว้ อาจถูกหรอื ผดิ กไ็ ดซ้ ่งึ จะทราบภายหลงั การทดลองเพอ่ื
~8~
หาคาตอบสนบั สนุน หรอื คดั คา้ นสมมตฐิ านทต่ี งั้ ไว้ นอกจากน้กี ารตงั้ สมมตฐิ านควรตงั้ ใหม้ ี
ขอบเขตกวา้ งขวาง ครอบคลมุ ประเดน็ ตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ปัญหาใหม้ ากทส่ี ุด เทา่ ทจ่ี ะเป็นไปได้
ผทู้ ม่ี ที กั ษะการตงั้ สมมตฐิ าน ตอ้ งมคี วามสามารถทแ่ี สดงใหเ้ หน็ ว่าเกดิ ทกั ษะ
น้ี ประกอบดว้ ย
1. หาคาตอบลว่ งหน้ากอ่ นการทดลอง โดยอาศยั การสงั เกต ความรแู้ ละประสบการณ์
เดมิ ได้
2. สรา้ งหรอื แสดงใหเ้ หน็ วธิ ที จ่ี ะทดสอบสมตฐิ านได้
3. แยกแยะการสงั เกตทส่ี นับสนุนสมตฐิ านและไม่สนบั สนุนสมตฐิ านออกจากกนั ได้
10. การกาหนดนิยามเชิงปฏิบตั ิการ ( defining operationally ) หมายถงึ การกาหนด
ความหมายและขอบเขตของตวั แปรทอ่ี ย่ใู นสมตฐิ านทต่ี ้องการทดสอบใหเ้ ขา้ ใจตรงกนั และ
สามารถสงั เกตหรอื วดั ได้
นยิ ามเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารมสี าระสาคญั 2 ประการคอื
1. ระบสุ ง่ิ ทส่ี งั เกต
2. ระบุการกระทาซง่ึ อาจไดจ้ ากการวดั ทดสอบ หรอื จากการทดลอง
สง่ิ ทค่ี วรคานงึ ถงึ ในการใหน้ ิยามเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร มดี งั น้ี
1. ควรใชภ้ าษาทช่ี ดั เจน ไม่กากวม
2. อธบิ ายถงึ สง่ิ ทส่ี งั เกตได้ และระบกุ ารกระทาไวด้ ว้ ย
3. อาจมนี ยิ ามเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารมากกว่า 1 นิยามกไ็ ดข้ น้ึ อย่กู บั สถานการณ์
สง่ิ แวดลอ้ ม และเน้อื หาในบทเรยี น
ผทู้ ม่ี ที กั ษะการกาหนดนิยามเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร ตอ้ งมคี วามสามารถทแ่ี สดงใหเ้ หน็ ว่าเกดิ ทกั ษะน้ี
ประกอบดว้ ย
1. กาหนดความหมายและขอบเขตของคาหรอื ตวั แปรตา่ ง ๆ ใหส้ ามารถทดสอบหรอื วดั
ได้
2. แยกนยิ ามเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารออดจากนิยามทไ่ี ม่ใชน่ ิยามเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารได้
3. สามารถบ่งชต้ี วั แปรหรอื คาทต่ี อ้ งการใชใ้ นการใหน้ ิยามเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารได้
11. การกาหนดและควบคมุ ตวั
แปร ( identifying and controlling variables ) หมายถงึ การบง่ ชต้ี วั แปรตน้ ตวั แปร
ตาม และตวั แปรทต่ี อ้ งควบคมุ ในสมมตฐิ านหน่งึ ๆ ในการศกึ ษาคน้ ควา้ งทางวทิ ยาศาสตร์ ได้
แบ่งตวั แปรออกเป็น 3 ประเภท ดงั น้ี
1. ตวั แปรตน้ หรอื ตวั แปรอสิ ระ ( independent variable ) คอื สงิ่ ทเ่ี ป็นสาเหตุทท่ี าให้
เกดิ ผลต่างๆ หรอื สง่ิ ทเ่ี ราตอ้ งการทดลองดวู า่ เป็นสาเหตุทก่ี ่อใหเ้ กดิ ผลเช่นนนั้ จรงิ หรอื ไม่
~9~
2. ตวั แปรตาม ( dependent variable ) คอื สงิ่ ทเ่ี ป็นผลเน่อื งจากตวั แปรต้น เม่อื ตวั
แปรตน้ หรอื สงิ่ ทเ่ี ป็นสาเหตเุ ปลย่ี นไป ตวั แปรตามหรอื สง่ิ ทเ่ี ป็นผลจะเปลย่ี นตามไปดว้ ย
3. ตวั แปรควบคมุ ( controlled variable ) คอื สง่ิ อน่ื ๆ นอกเหนือจากตวั แปรตน้ ทม่ี ผี ล
ต่อการทดลองดว้ ย ซง่ึ ควบคมุ ใหเ้ หมอื น ๆ กนั มเิ ช่นนนั้ อาจทาใหก้ ารผลการทดลอง
คลาดเคล่อื น
การควบคมุ ตวั แปร หมายถงึ การควบคมุ ตวั แปรอ่นื ๆ นอกเหนอื จากตวั แปรตน้ ซ่งึ จะทา
ใหผ้ ลการทดลองคลาดเคลอ่ื น ถา้ หากไมค่ วบคุมใหเ้ หมอื น ๆ กนั
ผทู้ ม่ี ที กั ษะการกาหนดและควบคมุ ตวั แปร ตอ้ งมคี วามสามารถทแ่ี สดงใหเ้ หน็ วา่ เกดิ ทกั ษะน้ี
ประกอบดว้ ย
1. บง่ ชต้ี วั แปรต่าง ๆ ซง่ึ อาจจะมอี ทิ ธพิ ลต่อพฤตกิ รรม หรอื สมบตั ทิ างกายภาพ หรอื
ชวี ภาพของระบบได้
2. บง่ ชต้ี วั แปรตน้ ตวั แปรตาม และตวั แปรควบคุม
3. สรา้ งวธิ กี ารทดสอบ หาผลทเ่ี กดิ จากตวั แปรตนั หน่งึ ตวั หรอื หลายตวั ได้
4. บ่งชไ้ี ดว้ า่ ตวั แปรใดทไ่ี ม่ไดร้ บั การควบคมุ ใหค้ งทใ่ี นการทดลอง ถงึ แมว้ า่ ตวั แปร
เหล่านนั้ จะเปลย่ี นแปลงไปในแบบเดยี วกนั ในทุกกรณี
5. บอกไดว้ า่ สภาพการณ์อย่างไรทท่ี าใหต้ วั แปรมคี า่ คงท่ี และสภาพการณ์อย่างไรไม่
ทาใหค้ า่ ตวั แปรคงท่ี
12. การทดลอง ( experimenting ) หมายถงึ การลงลงมอื ปฏบิ ตั กิ ารทดลองจรงิ และใช้
อปุ กรณ์ไดเ้ หมาะสมและถกู ตอ้ ง เพอ่ื หาคาตอบเพอ่ื ทดสอบสมมตฐิ านทต่ี งั้ ไวป้ ระกอบดว้ ย
กจิ กรรม 3 ขนั้ ตอน คอื
1. การออกแบบการทดลอง หมายถงึ การวางแผนการทดสอบก่อนลงมอื ทดลองจรงิ เพอ่ื
กาหนด
1.1 วธิ กี ารทดลอง ซง่ึ เกย่ี วขอ้ งกบั การควบคุมตวั แปร
1.2 อปุ กรณ์ และ / หรอื สารเคมี ทต่ี อ้ งใชใ้ นการทดลอง
2. การปฏบิ ตั กิ ารทดลอง หมายถงึ การลงมอื ปฏบิ ตั กิ ารทดลองจรงิ ๆ และใชอ้ ุปกรณ์ได้
เหมาะสมและถกู ตอ้ ง
3. การบนั ทกึ ผลการทดลอง หมายถงึ การจดบนั ทกึ ขอ้ มลู ซง่ึ อาจจะเป็นผลจากการ
สงั เกต การวดั และอ่นื ๆ ไดอ้ ย่างคล่องแคล่วชานาญและถูกตอ้ ง
ผทู้ ม่ี ที กั ษะการทดลอง ตอ้ งมคี วามสามารถทแ่ี สดงใหเ้ หน็ ว่าเกดิ ทกั ษะน้ปี ระกอบดว้ ย
1. กาหนดวธิ กี ารทดลองไดอ้ ย่างเหมาะสม และสอดคลอ้ งกบั สมมตฐิ าน โดยคานึงตวั
แปรตน้ ตวั แปรตาม และตวั แปรทต่ี อ้ งควบคมุ
2. ระบุวสั ดุอุปกรณ์ และ / หรอื สารเคมี ทจ่ี ะตอ้ งใชใ้ นการทดลอง
3. ปฏบิ ตั กิ ารทดลอง และใชอ้ ุปกรณ์ไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง คล่องแคลว่ และปลอดภยั
~ 10 ~
4. บนั ทกึ ผลการทดลองไดอ้ ย่างคลอ่ งแคล่ว และถูกตอ้ ง
13. การตีความหมายขอ้ มูลและการลงข้อสรปุ ( interpreting data
conclusion ) หมายถงึ การแปลความหมายหรอื บรรยายลกั ษณะขอ้ มลู ทม่ี อี ยู่ การตคี วามขอ้ มลู
ในบางครงั้ อาจตอ้ งใชท้ กั ษะกระบวนการอ่นื ๆ ดว้ ย เชน่ ทกั ษะการสงั เกต ทกั ษะการ
คานวณ เป็นตน้ การลงขอ้ สรุป หมายถงึ การสรุปความสมั พนั ธข์ องขอ้ มลู ทงั้ หมด
ขอ้ มลู ทางวทิ ยาศาสตรส์ ว่ นใหญ่มกั อย่ใู นรูปของสญั ลกั ษณ์ ตาราง รปู ภาพ หรอื
กราฟ ฯลฯ ทร่ี วบรวมรายละเอยี ดต่าง ๆ ของขอ้ มลู ไวอ้ ย่างครบถว้ นและกะทดั รดั สะดวกต่อการ
นาไปใช้ และการนาขอ้ มลู ไปใชจ้ าเป็นตอ้ งตคี วามหมายขอ้ มลู ดงั กล่าวใหอ้ ย่ใู นรปู ของภาษา
พดู หรอื ภาษาเขยี น ทส่ี ่อื ความหมายกบั คนทวั่ ๆ ไปไดโ้ ดยเป็นทเ่ี ขา้ ใจตรงกนั
การตคี วามหมายขอ้ มลู แบ่งเป็น
1. การตคี วามขอ้ มลู จากกราฟ มรี ายละเอยี ดดงั น้ี
1.1 ควรใหร้ ายละเอยี ดทช่ี ดั เจนและเพยี งพอต่อการนาไปใชป้ ระโยชน์
1.2 รายละเอยี ดของขอ้ มลู จากกราฟบางสว่ นอาจแปลใหม้ าอย่ใู นรปู ของ
ตาราง เพอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจงา่ ยขน้ึ
1.3 ผลทไ่ี ดจ้ ากการตคี วามหมายขอ้ มลู ไปสกู่ ารลงความเหน็ ได้
2. การตคี วามหมายขอ้ มลู จากกลมุ่ ตวั อย่าง
3. การตคี วามหมายจากแผนภาพหรอื รปู ภาพ
ผทู้ ม่ี ที กั ษะการตคี วามหมายขอ้ มลู และการสรปุ ตอ้ งมคี วามสามารถทแ่ี สดงใหเ้ หน็ วา่ เกดิ
ทกั ษะน้ปี ระกอบดว้ ย
1. แปลความหมายหรอื บรรยายลกั ษณะขอ้ มลู ทม่ี อี ย่ไู ด้
2. อธบิ ายความหมายของขอ้ มลู ทจ่ี ดั ไวใ้ นรปู แบบต่างๆ ได้
3. บอกความสมั พนั ธข์ องขอ้ มลู หรอื ตวั แปรทม่ี อี ย่ไู ด้
ความสาคญั ของทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
นกั การศกึ ษาหลายท่านไดก้ ล่าวถงึ ความสาคญั ของทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ซง่ึ ผวู้ จิ ยั
ไดร้ วบรวมไวพ้ อสงั เขปดงั น้ี
ผดงุ ยศ ดวงมาลา (2531 : 31) ไดก้ ล่าวถงึ ความสาคญั ของทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
สรุป
ไดว้ ่าในการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตรจ์ าเป็นตอ้ งปลูกฝังใหน้ กั เรยี นเป็นคนคดิ เป็น ทาเป็น แกป้ ัญหา
และใหร้ จู้ กั คน้ ควา้ หาความรูด้ ว้ ยตนเอง วธิ กี ารหน่งึ ทจ่ี ะไดม้ าซง่ึ ความรทู้ างวทิ ยาศาสตรค์ อื การ
คน้ ควา้
การทดลอง ในขณะทาการคน้ ควา้ ทดลองนนั้ ผทู้ ดลองจะมโี อกาสไดฝ้ ึกฝนทงั้ ในดา้ นการปฏบิ ตั แิ ละ
การพฒั นาความคดิ ไปในขณะเดยี วกนั เช่น การฝึกการสงั เกต การบนั ทกึ ขอ้ มลู การตงั้ สมมตฐิ าน การ
~ 11 ~
ทาการวดั หาความสมั พนั ธ์ของตวั แปรและอน่ื ๆ พฤตกิ รรมทเ่ี กดิ จากการปฏบิ ตั แิ ละการฝึกฝนความคดิ
อยา่ งมรี ะบบน้เี รยี กว่าทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
นิคม ทาแดง และ สจุ นิ ต์ วศิ วธรี านนท์ (2531 : 48) ไดก้ ล่าวถงึ ความสาคญั ของทกั ษะ
กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรส์ รปุ ไดว้ ่า ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรเ์ ป็นองคป์ ระกอบทส่ี าคญั
ประการหน่งึ ของการแสวงหาความรูท้ างวทิ ยาศาสตร์ เพราะการทางานตามขนั้ ตอนของวธิ กี ารทาง
วทิ ยาศาสตรแ์ ต่ละขนั้ ตอนนัน้ จะประสบความสาเรจ็ หรอื ล้มเหลวขน้ึ อย่กู บั ความสามารถและทกั ษะ
กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรข์ องนกั วทิ ยาศาสตรแ์ ต่ละคน
จานง พรายแยม้ แข (2531 : 36) กล่าวไวว้ า่ “ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์จะนาไปสู่
การแสวงหาคาตอบหรอื การคน้ พบความจรงิ ต่าง ๆ ทงั้ ในโลกและนอกโลกเพอ่ื ขจดั ความไม่รขู้ อง
มนุษยใ์ หเ้ หลอื น้อยทส่ี ดุ เท่าทจ่ี ะทาได้ ”
วรรณทพิ า รอดแรงคา (2540 : 1) ไดก้ ล่าวถงึ ความสาคญั ของทกั ษะกระบวนการทาง
วทิ ยาศาสตร์
ขนั้ พน้ื ฐานไวว้ า่ “ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรขนั้ พน้ื ฐานเป็นทกั ษะทท่ี กุ คนใชใ้ นการเรยี นวชิ า
วทิ ยาศาสตร์ หลกั สตู รวทิ ยาศาสตรป์ ัจจุบนั เน้นการพฒั นาทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และ
ตอ้ งการใหผ้ เู้ รยี นใชท้ กั ษะเหล่าน้ใี นการเรยี นวทิ ยาศาสตรแ์ ละใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั ”
จากความคดิ เหน็ ของนกั การศกึ ษาหลายท่าน สรุปไดว้ า่ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
เป็นสง่ิ จาเป็นสาหรบั นกั วทิ ยาศาสตร์ทกุ คน เพราะจะพฒั นาความสามารถและความรู้ไปสกู่ ารแสวงหา
คาตอบหรอื คน้ พบความจรงิ ต่าง ๆ ซง่ึ จะประสบความสาเรจ็ หรอื ลม้ เหลวขน้ึ อย่กู บั ความสามารถและ
ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรท์ ม่ี อี ย่ขู องนกั วทิ ยาศาสตรแ์ ต่ละคน
รปู แบบการฝึ กทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
การฝึกทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรไ์ ม่มผี ใู้ ดจาแนกไวว้ า่ มกี ารฝึกกร่ี ูปแบบ ผวู้ จิ ยั
อาศยั แนวทางของประสาท อศิ รปรดี า (2521 : 52-53) โดยจาแนกรปู แบบการฝึกทกั ษะกระบวนการ
ทางวทิ ยาศาสตรไ์ ด้ 2 รปู แบบคอื
1. การฝึกทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ บบรวม คอื การฝึกทกั ษะกระบวนการทาง
วทิ ยาศาสตรใ์ นแต่ละกจิ กรรม ผเู้ รยี นจะสามารถฝึกทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรม์ ากกว่า
1 ทกั ษะ สว่ นมากเป็นการฝึกทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ทอ่ี งิ เน้อื หาวชิ าวทิ ยาศาสตร์ของ
สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
2. การฝึกทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ บบแยก คอื การฝึกทกั ษะกระบวนการ
ทางวทิ ยาศาสตรใ์ นแต่ละกจิ กรรม เน้นการฝึกทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรเ์ พยี งทกั ษะเดยี ว
มกี ารฝึกทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรท์ อ่ี งิ เน้อื หาวชิ าวทิ ยาศาสตร์ของสถาบนั สง่ เสรมิ การสอน
วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยแี ละการฝึกทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ทไ่ี ม่องิ เน้อื หาวชิ า
วทิ ยาศาสตรข์ องสถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรเป็นวธิ กี ารทใ่ี ชค้ น้ หาความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ การพฒั นา
ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรใ์ หเ้ กดิ ขน้ึ กบั ตวั นกั เรยี น จงึ เป็นจดุ มุ่งหมายทส่ี าคญั ทางการศกึ ษา
~ 12 ~
ดา้ นวทิ ยาศาสตร์ ดงั นนั้ มผี ู้สนใจศกึ ษาการพฒั นาทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์แตกต่าง
หลายๆ รปู แบบ ซง่ึ ผวู้ จิ ยั ไดร้ วบรวมไวพ้ อสงั เขป ดงั น้ี
1. การใชเ้ ทคนิคการสอน ดงั งานวจิ ยั ของดวงจติ สขุ สุเมฆ (2522) ทาการวจิ ยั เก่ยี วกบั เรอ่ื ง
การสอนโดยวธิ กี ารสอนแบบโครงงานกบั วธิ สี อนตามแผนการสอนของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร อทุ ยั บญุ
มาด(ี 2529) วจิ ยั เกย่ี วกบั เร่อื งการสอนและเทคโนโลยี และ วภิ าภรณ์ เตโชชยั วุฒิ (2533) ทว่ี จิ ยั
เกย่ี วกบั การสอนดว้ ยชุดการเรยี นดว้ ยตนเองแบบสบื เสาะหาความรูก้ บั การเรยี นปกติ
2. การใชช้ ดุ กจิ กรรม ดงั งานวจิ ยั ของ แมน เชอ้ื บางแกว (2532) ซง่ึ ทาการวจิ ยั เกย่ี วกบั การ
ใช้
ชดุ กจิ กรรมการประดษิ ฐ์อปุ กรณ์จากวสั ดเุ หลอื ใชป้ ระเภทแกว้ สาหรบั กจิ กรรมชุมนุมวทิ ยาศาสตร์
จรี ะพรรณ แสงหลา (2532) วจิ ยั เกย่ี วกบั เร่อื งการใช้ชดุ กจิ กรรมฝึกการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์
กฤษฎา ปัตเตย์ (2538) วจิ ยั เกย่ี วกบั เร่อื งชุดกจิ กรรมฝึกทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรใ์ นวชิ า
สรา้ งเสรมิ ประสบการณชวี ติ เรอ่ื งพลงั งานและสารเคมี สานติ โลหะ (2539) วจิ ยั เกย่ี วกบั การใชช้ ุด
กจิ กรรมเสรมิ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรส์ าหรบั นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปท่ี 6 และ บรุ นิ ทร์
ทองแมน และคณะ (2538) ไดศ้ กึ ษาการพฒั นารปู แบบของการฝึกทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
โดยการใชช้ ดุ กจิ กรรม
3. การจดั ค่ายวทิ ยาศาสตร์ ดงั งานวจิ ยั ของ สุชนิ เลาอรณุ (2532) สายพณิ ดาวเรอื ง (2533)
และนเิ วศ ยม้ิ ขาว (2535) ซง่ึ ทาการวจิ ยั เก่ยี วกบั เรอ่ื งการใช้ชดุ กจิ กรรมเพอ่ื พฒั นาทกั ษะกระบวนการ
ทางวทิ ยาศาสตรใ์ นการเขา้ ค่าย
4. การใชข้ องเล่นและเกมวทิ ยาศาสตร์ ดงั งานวจิ ยั ของ วมิ ลรตั น์ คงภริ มยช่นื (2530)
ละดา ดอนหงษา (2531) และมานติ ย์ เน่อื งรกั ษาและคณะ (2538) ซง่ึ ทาการวจิ ยั เกย่ี วกบั การใช้เกม
ฝึกทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ สาหรบั พรเพญ็ หลกั คา (2535) และเพญ็ ศรี เบาทอง
(2537)
นนั้ ไดท้ าการวจิ ยั เกย่ี วกบั เร่อื งการใชข้ องเล่นและเกมทางวทิ ยาศาสตรฝ์ ึกทกั ษะกระบวนการทาง
วทิ ยาศาสตร์
5. การปฎบิ ตั กิ จิ กรรมของนักเรยี น ได้มนี กั การศกึ ษาหลายท่านไดก้ ล่าวถงึ ความสาคญั
ของการเรยี นรดู้ ว้ ยการปฎบิ ตั ไิ วพ้ อสรปุ ไดด้ งั น้ี
ชยั ยงค์ พรหมวงค์ (2530 : 262) กล่าวว่า“ การเรยี นรูย้ งิ่ ไดผ้ ลขน้ึ ไปอกี ถา้ ผเู้ รยี นไดม้ สี ว่ น
ร่วมและเผชญิ กบั สถานการณ์จรงิ มากทส่ี ดุ ”
ยพุ า ตนั เจรญิ (2531 :คานา) ไดใ้ หค้ วามเหน็ ว่า “การสอนทจ่ี ะช่วยใหน้ กั เรยี นไดฝ้ ึกทกั ษะ
กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรน์ นั้ คอื การจดั ใหน้ กั เรยี นไดม้ สี ว่ นร่วมในการทากจิ กรรมมากทส่ี ุด
โดยเฉพาะการลงมอื ปฏบิ ตั ”ิ
วชิ ยั วงษ์ใหญ่ (2537 : 24) ไดก้ ล่าวถงึ การจดั ประสบการณ์เรยี นรสู้ รุปไดว้ า่ การจดั
ประสบการณ์
~ 13 ~
การเรยี นรนู นั้ ควรใหโ้ อกาสนกั เรยี นไดฝ้ ึกปฏบิ ตั จิ รงิ เพอ่ื ก่อใหเ้ กดิ พฤตกิ รรมตามทร่ี ะบไุ วใ้ น
จุดประสงค์
จากทก่ี ล่าวมา สรปุ ไดว้ า่ สงิ่ สาคญั ทม่ี บี ทบาทต่อการฝึกทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
คอื การจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนทใ่ี ห้นกั เรยี นไดท้ าการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมจรงิ ด้วยตนเองเพราะ
นกั เรยี นจะไดม้ สี ว่ นร่วมและเกดิ การเรยี นรูด้ ว้ ยตนเอง
อปุ กรณ์เบอื้ งต้นของวิทยาศาสตร์ มีดงั นี้
ภาพท่ี 1 บกี เกอร์
บกี เกอร์ เป็นแกว้ ใส ใชส้ าหรบั บรรจุสารทม่ี ปี รมิ าณมาก เพอ่ื ละลายสารหรอื ทาปฏกิ ริ ยิ าเคมี
และสามารถเทสารออกไดง้ า่ ยทางปากบกี เกอรโ์ ดยจะมขี ดี บอกปรมิ าตรซง่ึ เป็นค่าโดยประมาณเท่านนั้
บกี เกอรม์ หี ลายขนาดและมคี วามจตุ ่างกนั โดยทข่ี า้ งบเี กอรจ์ ะมตี วั เลขระบุความจขุ องบกี เกอร์
มที งั้ เป็นแบบสูง แบบตย้ี และแบบรูปทรงกรวย(conical berker) บกี เกอรจ์ ะมปี ากงอเหมอื นปากนกซง่ึ
เรยี กวา่ spout ทาใหก้ ารเทของเหลวออกไดโ้ ดยสะดวก Spout ทาใหส้ ะดวกในการวางไมแ้ กว้ ซง่ึ ยน่ื
ออกมาจากฝาทป่ี ิดบกี เกอรแ์ ละ spout ยงั เป็นทางออกของไอน้าหรอื แก๊สเม่อื ทาการระเหยของเหลว
ในบกี เกอรท์ ป่ี ิดดว้ ยกระจกนาฬกิ า(watch grass)
วธิ กี ารเลอื กใช้ ขน้ึ อย่กู บั ปรมิ าณของเหลวทจ่ี ะใส่ โดยปกตใิ หร้ ะดบั ของเหลวอย่ตู ่ากว่า
ปากบกี เกอรป์ ระมาณ 1 - 1 1/2 น้วิ
ประโยชน์
1.ใชส้ าหรบั ตม้ สารละลายทม่ี ปี รมิ าณมาก ๆ
2. ใชส้ าหรบั เตรยี มสารละลายตา่ ง ๆ
3. ใชส้ าหรบั ตกตะกอนและใชร้ ะเหยของเหลวทม่ี ฤี ทธกิ์ รดน้อย
~ 14 ~
ภาพท่ี 2 กระบอกตวง
กระบอกตวง ใชส้ าหรบั วดั ปรมิ าตรของของเหลวทม่ี อี ุณหภูมไิ ม่สงู กว่าอณุ หภูมขิ อง
หอ้ งปฏบิ ตั กิ ารกระบอกตวงไม่สามารถใชว้ ดั ของเหลวทม่ี อี ุณหภูมสิ งู ดเ้ น่อื งจากอาจจะทาใหก้ ระบอก
ตวงแตกได้ กระบอกตวงจะบอกปรมิ าตรของของเหลวอยา่ งคร่าวๆ ถา้ ตอ้ งการวดั ปรมิ าตรทแ่ี น่นอน
ตอ้ งใชอ้ ปุ กรณ์วดั ปรมิ าตรอ่นื ๆ เชน่ ไพเพทหรอื บวิ เรท
ภาพที่ 3 เทอรม์ อมิเตอร์
เครอ่ื งมอื ใชว้ ดั ระดบั อณุ หภูมขิ องสารเป็นชนิดทาดว้ ยแกว้ ภายในบรรจแุ อลกอฮอลผ์ สมสหี รอื
ปรอท เพอ่ื ช่วยใหอ้ ่านไดช้ ดั เจน มที งั้ ชนดิ ท่เี ป็นองศาเซลเซยี สและฟาเรนไฮต์
~ 15 ~
วิธีการใช้
เทอรม์ อมเิ ตอร์ ทใ่ี ชใ้ นการทดลองมขี ดี การวดั อุณหภูมสิ งู สดุ และต่าสุด แตกต่างกนั ตาม
จดุ ประสงค์ ของการใชง้ าน มขี นั้ ตอนการใชง้ านดงั น้ี
1.กอ่ นใชต้ อ้ งตรวจดวู ่าเทอรม์ อมเิ ตอรช์ ารุดหรอื ไม่
2.เลอื กทม่ี ชี ว่ งอุณหภูมสิ งู สุด - ต่าสดุ ใหเ้ หมาะสมกบั สงิ่ ทจ่ี ะวดั เพราะถา้ นาไปวดั อุณหภมู สิ งู
เกนิ ไปจะทาใหห้ ลอดแกว้ แตก
3. ตอ้ งใหก้ ระเปาะเทอรม์ อมเิ ตอรจ์ ุ่มอยใู่ นวสั ดทุ ต่ี อ้ งการวดั ในบรเิ วณกง่ึ กลาง ไม่ค่อนไปดา้ น
ใดดา้ นหน่งึ และสว่ นก้านเทอรม์ อมเิ ตอรต์ งั้ ตรง
4.การอา่ นอณุ หภูมติ อ้ งใหส้ ายตาอยใู่ นระดบั เดยี วกบั ของเหลวในเทอรม์ อมิเตอร์
การเกบ็ รกั ษา
1.ทาความสะอาดหลงั จากการใชง้ าน
2.เชด็ ใหแ้ หง้ และเกบ็ เขา้ กลอ่ ง และไวใ้ นทท่ี ป่ี ลอดภยั
ภาพท่ี 4 หลอดทดลอง
หลอดทดลองมหี ลายชนิดและหลายขนาด ชนดิ ทม่ี ปี ากและไม่มปี าก ชนดิ ธรรมดาและชนดิ ทน
ไฟขนาดทดลองระบไุ ด2้ แบบ คอื ความยาวกบั เสน้ ผ่านศูนยก์ ลางรมิ นอกหรอื ขนากความจุเป็น
ปรมิ าตร หลอดทดลองสว่ นมากใชส้ าหรบั ทดลองปฏกิ ริ ยิ าเคมรี ะหว่างสารต่าง ๆ ทเ่ี ป็นสารละลาย ใช้
ตม้ ของเหลวทม่ี ปี รมิ าณน้อย ๆ โดยมี test tube holder จบั กนั รอ้ นมอื หลอดทดลองแบบทนไฟจะมี
ขนาดใหญ่ และหนากว่าหลอดธรรมดา ใชส้ าหรบั เผาสารต่าง ๆ ดว้ ยเปลวไฟโดยตรงในอุณหภูมทิ ส่ี งู
หลอดชนดิ น้ไี มค่ วรนาไปใชส้ าหรบั ทดลองปฏกิ ริ ยิ าเคมรี ะหวา่ งสารเหมอื นหลอดธรรมดา
วธิ กี ารเกบ็ รกั ษา
1.ลา้ งทาความสะอาดดว้ ยแปรงลา้ งหลอดทดดลอง
2.เกบ็ ใสต่ ะกรา้ ตงั้ ไวใ้ นทป่ี ลอดภยั
~ 16 ~
ภาพท่ี 5 ช้อนตกั สาร
ทใ่ี ชใ้ นการทดลอง เป็นอุปกรณ์ทใ่ี ชต้ วงสารทเ่ี ป็นของแขง็ โดยประมาณ เมอ่ื ตกั สารแตล่ ะครงั้
ตอ้ งปาดปากชอ้ นเพยี งครงั้ เดยี ว โดยไม่กดสารในชอ้ นก่อนปาด
วธิ กี ารใช้
คอ่ ยๆ เปิดขวดสารแลว้ หงายจกุ วางไว้ ใชช้ อ้ นตกั สาร แลว้ ใชน้ ้วิ หรอื กา้ นดนิ สอเคาะกา้ น
ชอ้ นเบาๆ เพอ่ื เทสารในชอ้ นออกตามปรมิ าณทต่ี อ้ งการ ถา้ เป็นชอ้ นทม่ี เี บอรส์ าหรบั ตวงสารปรมิ าณ
ต่างกนั ใหต้ กั สารกอ่ นแลว้ จงึ ใชด้ า้ มชอ้ นอกี ดา้ มหน่งึ ปาดผวิ ใหเ้ รยี บ โดยไม่ตอ้ งกดใหแ้ น่นจะไดส้ าร 1
ชอ้ นในปรมิ าณตามเบอรน์ นั้ ๆ
การเกบ็ รกั ษา
1. เมอ่ื ใชช้ อ้ นตกั สารแลว้ ตอ้ งทาความสะอาดชอ้ นใหแ้ หง้ ก่อนท่ีจะใชช้ อ้ นตกั สารชนิดอ่นื
2. หา้ มใชช้ อ้ นตกั สารในขณะทส่ี ารยงั รอ้ น
~ 17 ~
ภาพที่ 6 ตะเกียงแอลกอฮอล์
บรรจดุ ว้ ยแอลกอฮอลบ์ รสิ ทุ ธิ์ จะมคี วนั หรอื เขม่าในขณะทจ่ี ดุ ไฟน้อยมาก หากแอลกอฮอล์ ไม่
บรสิ ุทธจิ์ ะใหเ้ ขม่ามาก ทาใหต้ ะแกรงลวด และวสั ดุ ทใ่ี ห้ความรอ้ นสกปรก
วธิ ใี ช้
1. กอ่ นใชต้ อ้ งตรวจดสู ภาพไสต้ ะเกยี งและทย่ี ดึ ว่ามสี ภาพพรอ้ มใชง้ าน ไม่แตกรา้ ว ความยาว
ไสต้ ะเกยี งเพยี งพอไดเ้ ช่น ส่วนยดึ ไสต้ ะเกยี ง ไม่รา้ ว หรอื แตก และปรมิ าณแอลกอฮอลใ์ นตะเกยี งมี
มากน้อยเพยี งใด
2. เตมิ แอลกอฮอลป์ ระมาณครง่ึ หน่งึ ของตะเกียงและอย่าใหห้ กเลอะขอบตะเกยี ง เชด็ ใหแ้ หง้
โดยใชก้ รวยและเตมิ ดว้ ยความระมดั ระวงั อยา่ ใหห้ ก เพราะเมอ่ื จุด ตะเกยี งแลว้ อาจทาใหไ้ ฟไหม้
ลุกลามได้
3. ปรบั ไสต้ ะเกยี งเพอ่ื ใหไ้ ดข้ นาดเปลวไฟตามทต่ี อ้ งการ
4. จุดตะเกยี งโดยใชไ้ มข้ ดี ไฟ อยา่ ใชต้ ะเกยี งไปตอ่ กบั ตะเกยี งดวงอ่ืน เพราะอาจทาให้
แอลกอฮอลใ์ นตะเกยี งตดิ ไฟ
5. เมอ่ื ใชต้ ะเกยี งแอลกอฮอลเ์ สรจ็ แลว้ ตอ้ งดบั ตะเกยี งทนั ที โดยใชฝ้ าครอบปิด หา้ มใชป้ ากเป่า
ใหด้ บั การครอบตอ้ งครอบใหส้ นิททุกครงั้ เพอ่ื ป้องกนั มใิ หแ้ อลกอฮอลร์ ะเหย
6. ควรมกี ระป๋ องทรายไวท้ ง้ิ กา้ นไมข้ ดี ทจ่ี ดุ ไฟแลว้
การเกบ็ รกั ษา ทาความสะอาดหลงั ใชง้ าน ครอบฝาตะเกยี งแลว้ เกบ็ เขา้ ตู้
~ 18 ~
ภาพที่ 7 แท่งแก้วคนสาร
แท่งแกว้ คนสารใชส้ าหรบั คนสารละลายใหผ้ สมเป็นเน้อื เดยี วกนั อย่างสม่าเสมอ หรอื ใชเ้ มอ่ื จะ
เทสารละลายจากภาชนะหน่ึงลงในภาชนะอกี ชนิดหน่งึ โดยจะเทสารละลายใหไ้ หลไปตามแท่งแกว้ คน
สารแท่งแกว้ คนสารทม่ี ยี างสวมอย่อู กี ปลายดา้ นหน่งึ เรยี กวา่ Policeman จะใชส้ าหรบั ปัดตะกอนท่ี
เกาะอยขู่ า้ ง ๆ และถูภาชนะใหป้ ราศจากสารตา่ ง ๆ ทเ่ี กาะอย่ขู า้ ง ๆ ยางสวมนนั้ ตอ้ งแน่น
วธิ ใี ช้
วิธีที่ 1 การกวนสารละลายด้วยแท่งแก้ว เป็นการกวนของแขง็ ใหล้ ะลายในเน้อื เดยี วกนั กบั
สารละลายหรอื เป็นการกวนใหส้ ารละลายผสมกนั โดยใชแ้ ทง่ แกว้ การกวนสารละลาย ตอ้ งกวนไปใน
ทศิ ทางเดยี ว และระวงั อยา่ ใหแ้ ท่งแกว้ กระทบกบั ขา้ งหลอดทดลองหรอื กน้ หลอดทดลอง เพราะจะทา
ใหห้ ลอดทดลองทะลุได้ หากเป็นการผสมสารละลายทม่ี จี านวนมากกค็ วรใชบ้ กี เกอรแ์ ทนหลอดทดลอง
และใชเ้ ทคนคิ การกวนสารละลายเช่นเดยี วกนั
วิธีที่ 2 การหมุนสารละลายด้วยข้อมอื เป็นเทคนิคการผสมสารละลายในหลอดทดลอง
กระบอกตวงหรอื ฟลาสใหม้ ลี กั ษณะเป็นเน้อื เดยี วกนั ทกุ สว่ นวธิ หี น่งึ โดยใชม้ อื จบั ทางสว่ นปลายของ
อปุ กรณ์ดงั กลา่ วแลว้ หมุนดว้ ยขอ้ มอื ใหส้ ารละลายขา้ งในไหลวน
~ 19 ~
ภาพท่ี 8 หลอดฉีดยา
หลอดฉีดยาเป็นอุปกรณ์วดั ปรมิ าตรของเหลวอยา่ งงา่ ย ทไ่ี ม่ตอ้ งการความละเอยี ดมากนกั
นยิ มใชใ้ นโรงเรยี นเน่อื งจากราคาถูก และหาซอ้ื ไดง้ า่ ย ทาดว้ ยแกว้ หรอื พลาสตกิ มขี นาดต่างๆกนั ทใ่ี ช้
ในโรงเรยี นสว่ นมากมตี งั้ แต่ขนาด 5 cm3 จนถงึ 35 cm3
วธิ กี ารใช้
1. เลอื กขนาดของหลอดฉดี ยาใหเ้ หมาะสมกบั ปรมิ าตรทต่ี อ้ งการวดั ดงกา้ นหลอดฉดี ยาขน้ึ และ
กดลง เพอ่ื ใหย้ างทป่ี ลายกา้ นหลอดฉดี ยาเลอื นไดค้ ล่อง
2. กดกา้ นหลอดฉดี ยาจนสุดเพอ่ื ไล่อากาศออกใหห้ มด
3. จุ่มปลายหลอดฉดี ยาลงในของเหลว คอ่ ยๆ ดงึ กา้ นหลอดฉีดยาขน้ึ ขณะทด่ี ดู สารละลายเขา้
ไปในหลอดฉดี ยา ระวงั อย่าใหม้ ฟี องอากาศถา้ มตี อ้ งกดกา้ นหลอดฉดี ยาลงไปจนสดุ เพอ่ื ไลอ่ ากาศ แลว้
ค่อยๆดงึ กา้ นหลอดฉดี ยาใหส้ ว่ นทโ่ี คง้ ต่าสดุ ของลูกยางตรงกบั ขดี ปรมิ าตรทต่ี อ้ งการ
การเกบ็ รกั ษา หา้ มใชห้ ลอดฉดี ยาทท่ี าดว้ ยพลาสตกิ ตวงสารอนินทรยี ์ เพราะจะทาให้
พลาสตกิ ละลาย เม่อื เสรจ็ งานแลว้ ตอ้ งลา้ งทาความสะอาด เชด็ ใหแ้ หง้ สนทิ
~ 20 ~
ภาพท่ี 9 หลอดหยด
เป็นอุปกรณ์ทใ่ี ชส้ าหรบั ตวงของเหลวปรมิ าณน้อย ๆ ทาไดโ้ ดยการนับจานวน หยดของ
ของเหลวทห่ี ยดลงไป และสามารถเทยี บมาตรฐาน(calibrate) ดว้ ยกระบอกตวง แลว้ ใชเ้ ป็นค่า
โดยประมาณ สาหรบั ทาการทดลอง ตอ่ ไปได้ มลี กั ษณะเป็นหลอดแกว้ ทป่ี ลายขา้ งหน่งึ ยาวเรยี วเลก็
และปลายอกี ขา้ งหน่ึงมกี ระเปาะยางสวมอยู่
วิธีการใช้
หลอดหยดใชส้ าหรบั ดดู ของเหลวตา่ งๆ ท่ใ่ี ชใ้ นการปฏบิ ตั กิ ารทดลองทางวทิ ยาศาสตร์ เช่น
ดดู สารละลายด่างทบั ทมิ เกลอื แกง กรดตา่ งๆเป็นตน้ หลอดหยดเม่อื ใชด้ ดู สารชนดิ หน่งึ แลว้ หา้ มนาไป
ดดู สารต่างชนิดกนั ถา้ ยงั ไม่ได้ ทาความสะอาด
การเกบ็ รกั ษา ใชเ้ สรจ็ เรยี บรอ้ ยแลว้ ทาความสะอาดเชด็ ใหแ้ หง้ เกบ็ ไวใ้ นตอู้ ุปกรณ์
ขอ้ ควรระวงั
1. อยา่ ใหป้ ลายของหลอดหยด กระทบหรอื แตะกบั ปลายหลอดทดลอง
2. อย่าใหส้ ารละลายสมั ผสั กบั กระเปาะยางเพราะจะทาใหส้ ารละลายถกู ปนเป้ือนได้ และถา้
สารละลายมฤี ทธเิ์ ป็นกรดกจ็ ะกดั กรอ่ นกระเปาะยางดว้ ย ดงั นนั้ เม่อื ทาการทดลองเสรจ็ แลว้ ควรรบี ดงึ
กระเปาะยางออกจากหลอดแกว้ ทนั ที
งานวิจยั ที่เกี่ยวข้อง
เบญจมาศ จติ ยานนั ต (2533) ไดศ้ กึ ษาผลของชดุ กจิ กรรมทกั ษะกระบวนการทาง
วทิ ยาศาสตร์
ทม่ี ตี ่อผลสมั ฤทธดิ์ า้ นทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรขนั้ พน้ื ฐานของนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี
6ผลปรากฏว่า ชดุ กจิ กรรมทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์มปี ระสทิ ธภิ าพสงู กว่าเกณฑท์ ก่ี าหนด
ไวค้ อื 80 / 80 และผลสมั ฤทธดิ์ า้ นทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรข์ นั้ พน้ื ฐานของนกั เรยี นกลุ่ม
ทดลองกบั กลุ่มควบคมุ แตกต่างกนั อย่างมนี ยั สาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .01
นิรมติ ภทั รสุวรรณกจิ (2535) ได้ศกึ ษาผลสมั ฤทธดิ์ ้านทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
ขนั้ ผสมของนักเรียนชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 2 โดยใช้ชุดการสอนเพ่ือพัฒนาทกั ษะกระบวนการทาง
~ 21 ~
วทิ ยาศาสตร์ขนั้ ผสม โรงเรยี นตลง่ิ ชนั วทิ ยา ผลปรากฏว่า ชุดการสอนเพ่อื พฒั นาทกั ษะกระบวนการ
ทางวทิ ยาศาสตรข์ นั้ ผสมของนกั เรยี นหลงั การใชช้ ดุ การสอนสูงกว่าก่อนใชช้ ดุ การสอนอย่างมนี ยั สาคญั
ทางสถติ ทิ ่รี ะดบั .05 และ กลุ่มทดลองมผี ลสมั ฤทธดิ์ ้านทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์สูง
กว่ากลุ่มควบคมุ
ภาภรณ์ ตงั้ ตระการพงษ์ (2536) ได้ศึกษาการทดลองใช้การ์ตูนเพ่อื สร้างเสรมิ และพฒั นา
ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ขนั้ พน้ื ฐานของนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 โรงเรยี นในโครงการ
ขยายโอกาสทางการศกึ ษา สงั กดั สานักงานการประถมศกึ ษา จงั หวดั พษิ ณุโลก ผลการวจิ ยั พบว่า 1)
นกั เรยี น ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่1ี โรงเรยี นในโครงการขยายโอกาสทางการศกึ ษาก่อนและหลงั
การใช้การ์ตูนด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขัน้ พ้ืนฐาน มีทักษะกระบวนการทาง
วทิ ยาศาสตรข์ นั้ พน้ื ฐานอย่ใู นระดบั ปานกลาง 2) นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท1่ี โรงเรยี นในโครงการ
ขยายโอกาสทางการศึกษา ก่อนและหลงั การใช้การ์ตูนด้านทกั ษกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ขนั้
พน้ื ฐาน มที กั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
ขนั้ พน้ื ฐานแตกต่างกนั อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .05 โดยหลงั การใชก้ ารต์ ูนดา้ นทกั ษะกระบวน
การทางวทิ ยาศาสตร์ขนั้ พ้นื ฐาน มที กั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ขนั้ พ้นื ฐานสูงกว่าก่อนการใช้
การต์ ูนดา้ นทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ขนั้ พน้ื ฐาน 3) นักเรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 โรงเรยี น
ในโครงการ ขยายโอกาสทางการศกึ ษาท่อี ยู่ในเขตอาเภอเมอื งกบั เขตอาเภอรอบนอก ก่อนและหลงั
การใช้การ์ตูนด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขัน้ พ้ืนฐานมีทักษะกระบวนการทาง
วทิ ยาศาสตร์ขนั้ พ้นื ฐานไม่แตกต่างกนั 4) นักเรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 โรงเรยี นในโครงการขยาย
โอกาสทางการศึกษาท่ีอยู่ในเขตอาเภอเมืองด้วยกัน ก่อนและหลังการใช้การ์ตูนด้านทักษะ
กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ขนั้ พน้ื ฐานมที กั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ขนั้ พ้นื ฐานแตกต่างกนั
อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .05 วดั บงึ พระฯ และนักเรยี น โรงเรยี นวดั ปากพงิ ตะวนั ตก มคี ะแนน
เฉลย่ี ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ขนั้ พน้ื ฐานสงู กว่านักเรยี นโรงเรยี นวดั บ้านใหม่และนกั เรยี น
โรงเรยี นวดั แหลมโพธหิ์ ลงั การใช้การต์ ูนด้านทกั ษะกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์ขนั้ พ้นื ฐาน
นกั เรยี นโรงเรยี นวดั ปากพงิ ตะวนั ตกและนักเรยี นโรงเรยี นวดั ยางฯ มคี ะแนนเฉลย่ี ทกั ษะกระบวนการ
ทางวทิ ยาศาสตรข์ นั้ พน้ื ฐานสงู กว่านักเรยี นโรงเรยี นวดั บา้ นใหม่และนกั เรยี นโรงเรยี นวดั แหลมโพธิ์ 5)
นักเรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 โรงเรยี นในโครงการ ขยายโอกาสทางการศกึ ษาทอ่ี ยู่ในเขตอาเภอรอบ
นอกด้วยกนั ก่อนและหลงั การใช้การต์ ูนด้านทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ขนั้ พ้นื ฐาน
แตกต่างกนั อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถติ ทิ ่รี ะดบั .05 โดยก่อนการใช้การต์ ูนด้านทกั ษะกระบวนการทาง
วทิ ยาศาสตร์ขนั้ พน้ื ฐาน นักเรยี นโรงเรยี นในเขตอาเภอชาตติ ระการอาเภอบางระกา และอาเภอนคร
ไทย มคี ะแนนเฉล่ยี ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ขนั้ พ้นื ฐานสูงกว่านักเรยี นโรงเรยี นในเขต
อาเภอบางกระทุ่ม หลงั การใช้การ์ตูนด้านทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ขนั้ พ้นื ฐาน นักเรยี น
โรงเรยี นในเขตอาเภอชาติตระการ อาเภอพรหมพิรามและอาเภอวดั โบสถ์ มีคะแนนเฉล่ียทักษะ
กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรส์ งู กว่านกั เรยี นโรงเรยี นในเขตอาเภอบางกระทุ่ม
~ 22 ~
บุรนิ ทร์ ทองแมนและคณะ (2538) ไดศ้ กึ ษาการพฒั นารปู แบบการฝึกทกั ษะกระบวนการทาง
วทิ ยาศาสตรข์ นั้ พน้ื ฐาน สาหรบั นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ผลการวจิ ยั พบว่า การใชแ้ ผนการสอน
ชดุ กจิ กรรมฝึกทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์กบั แผนการสอนปกตมิ คี วามแตกต่างกนั โดย
นกั เรยี นทไ่ี ดรบั การสอนตามแนวการสอนชุดกจิ กรรมฝึกทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ มี
คะแนนสงู กว่านกั เรยี นทไ่ี ดร้ บั การสอนตามแผนการสอนปกติ
~ 23 ~
บทท่ี 3
วิธีดาเนิ นการวิจยั
การวจิ ยั ครงั้ น้เี ป็นการวจิ ยั เร่อื ง “ผลของการจดั กจิ กรรมเพอ่ื การพฒั นาทกั ษะการใชอ้ ุปกรณ์
วทิ ยาศาสตรข์ นั้ พน้ื ฐาน ของนกั เรยี นระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1/4 โรงเรยี นตราษตระการคณุ ” โดย
ผวู้ จิ ยั ไดด้ าเนินงานตามลาดบั ขนั้ ตอนดงั น้ี
1. ประชากร
ประชากรของการวจิ ยั เป็นนกั เรยี นระดบั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1/4 ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2564
ของโรงเรยี นตราษตระการคุณ ตาบลวงั กระแจะ อาเภอเมอื ง จงั หวดั ตราด จานวน 25 คน
2. ตวั แปรในการวิจยั
ตวั แปรตน้ กจิ กรรมเพอ่ื การพฒั นาทกั ษะการใชอ้ ุปกรณ์วทิ ยาศาสตรข์ นั้ พน้ื ฐาน
ตวั แปรตาม ทกั ษะในการใชอ้ ปุ กรณ์วทิ ยาศาสตรข์ นั้ พน้ื ฐาน
ตวั แปรควบคุม ประสทิ ธภิ าพของผลการทดลองในชนั้ เรยี น
3. เครอ่ื งมอื ที่ใช้ในการวิจยั
แผนการจดั กจิ กรรมเพอ่ื เพมิ่ ทกั ษะการใชอ้ ุปกรณ์วทิ ยาศาสตรข์ นั้ พน้ื ฐานอย่างถกู วธิ ี
มรี ปู แบบของกจิ กรรมดงั น้ี คอื
- วดี ทิ ศั น์ เร่อื ง ทกั ษะการใชอ้ ุปกรณ์พน้ื ฐานทางวทิ ยาศาสตร์
- การสาธติ วธิ กี ารใชอ้ ปุ กรณ์วทิ ยาศาสตรอ์ ย่างละเอยี ด
- โจทยก์ ารทดลองเพอ่ื ใหน้ กั เรยี นฝึกใชอ้ ุปกรณ์วทิ ยาศาสตร์
4. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู จากโจทยก์ ารทดลองทส่ี รา้ งขน้ึ มาเพอ่ื ทดสอบนกั เรยี นโดยใหค้ ะแนนทงั้
จากการสงั เกตการณ์และผลการทดลองทอ่ี อกมา ซง่ึ จะทาการทดสอบกอ่ นและหลงั การจดั กจิ กรรม
5. การวิเคราะห์ขอ้ มลู
สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคะแนนของนักเรียนใช้ร้อยละ ค่าเฉล่ีย ( X ) และส่วน
เบย่ี งเบนมาตรฐาน (SD) เสนอในรปู แบบตารางและความเรยี ง
~ 24 ~
สูตรที่ใช้ในการคานวณ
การหาค่าเฉลย่ี ( X )
X = เมอ่ื X แทน คา่ เฉลย่ี
X แทน ผลรวมของคะแนนทงั้ หมดของกลุ่ม
N แทน จานวนของคะแนนในกลุ่ม
การหาค่าสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน (SD)
เมอ่ื S.D. คอื สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน
คอื ขอ้ มลู ( ตวั ท่ี 1,2,3...,n)
คอื ค่าเฉลย่ี เลขคณิต
N คอื จานวนขอ้ มลู ทงั้ หมด
แผนการดาเนิ นการวิจยั
สปั ดาหท์ ่ี กจิ กรรม เครอ่ื งมอื ทใ่ี ช้
1 ประชมุ ชแ้ี จงเก่ยี วกบั การจดั กจิ กรรมเพอ่ื เพม่ิ
2 ทกั ษะการใชอ้ ปุ กรณ์วทิ ยาศาสตรข์ นั้ พน้ื ฐาน -
อย่างถูกวธิ ี และใหน้ กั เรยี นทาการแบง่ กลุ่ม
3 ออกเป็นกลมุ่ ละ 5 คน - โจทยก์ ารทดลองทส่ี รา้ งขน้ึ เพอ่ื
ใหน้ กั เรยี นทาการทดลองตามโจทยท์ ผ่ี วู้ จิ ยั ทดสอบทกั ษะการใชอ้ ปุ กรณ์
สรา้ งมา เพอ่ื สงั เกตพฤตกิ รรม วธิ กี าร และ วทิ ยาศาสตรข์ องนกั เรยี น
ผลการทดลองของนกั เรยี น และนามาให้ - อุปกรณ์วทิ ยาศาสตร์
คะแนน - แบบประเมนิ การปฏบิ ตั กิ าร
ทดลอง
ใหน้ กั เรยี นชมวดี ทิ ศั น์ เรอ่ื ง ทกั ษะการใช้
อุปกรณ์พน้ื ฐานทางวทิ ยาศาสตร์ - วดี ทิ ศั น์ เรอ่ื ง ทกั ษะการใช้
อุปกรณ์พน้ื ฐานทางวทิ ยาศาสตร์
~ 25 ~
สปั ดาหท์ ่ี กจิ กรรม เครอ่ื งมอื ทใ่ี ช้
4
ผวู้ จิ ยั ทาการสาธติ การใชอ้ ปุ กรณ์ - อปุ กรณ์วทิ ยาศาสตร์
5
วทิ ยาศาสตรใ์ หน้ กั เรยี นดู พรอ้ มทงั้ เปิด
โอกาสใหน้ กั เรยี นซกั ถามเทคนิคการใชแ้ ละ
ขอ้ ขอ้ งใจต่างๆ
ใหน้ กั เรยี นทาการทดลองตามโจทยท์ ่ผี วู้ จิ ยั - โจทยก์ ารทดลองทส่ี รา้ งขน้ึ เพอ่ื
สรา้ งมา เพอ่ื สงั เกตพฤตกิ รรม วธิ กี าร และ ทดสอบทกั ษะการใชอ้ ุปกรณ์
ผลการทดลองของนกั เรยี น และนามาให้ วทิ ยาศาสตรข์ องนกั เรยี น
คะแนน โดยจะนาคะแนนทไ่ี ดจ้ ากการทดลอง - อปุ กรณ์วทิ ยาศาสตร์
ในครงั้ น้ี และจากการทดลองก่อนทน่ี กั เรยี น - แบบประเมนิ การปฏบิ ตั กิ าร
จะไดช้ มวดี ทิ ศั น์และการสาธติ มาทาการ ทดลอง
เปรยี บเทยี บกนั
~ 26 ~
บทท่ี4
ผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล
การวจิ ยั เร่อื ง “ผลของการจดั กิจกรรมเพ่อื การพฒั นาทกั ษะการใช้อุปกรณ์วทิ ยาศาสตร์ขนั้
พน้ื ฐาน ของนักเรยี นระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1/4 โรงเรยี นตราษตระการคุณ” ผู้วจิ ยั รวบรวมข้อมูล
ดว้ ยตนเอง และไดว้ เิ คราะหข์ อ้ มลู ดงั น้ี
การจดั กจิ กรรมแต่ละครงั้ ได้ทาการประเมนิ การทดลอง ซ่งึ เกบ็ คะแนนก่อน-หลงั ครงั้ ละ 20
คะแนน และสามารถหาค่าเฉลย่ี (Mean) ของคะแนนทไ่ี ด้จากการประเมนิ การทดลองก่อนท่นี ักเรยี น
จะได้ชม วดี ทิ ศั น์ และการสาธติ และคะแนนท่ไี ด้จากการประเมนิ การทดลองหลงั ท่นี ักเรยี นจะไดช้ ม
วดี ทิ ศั น์ ไดจ้ ากขอ้ มลู ในตารางท่ี 1
ตารางท่ี 1 คะแนนทไ่ี ดจ้ ากการประเมนิ การทดลอง กอ่ น-หลงั ชมวดี ทิ ศั น์และการสาธติ (คะแนน)
กลุ่มตวั อย่างท่ี คะแนนก่อน คะแนนหลงั
1 9 17
2 11 18
3 12 18
4 8 18
5 10 19
รวม 50 90
ค่าเฉล่ีย ( X ) 10 18
จากขอ้ มูลในตารางสามารถ นาไปคานวณหาค่าเฉล่ยี ( X ) ได้คอื ค่าเฉล่ยี ของคะแนนท่ไี ด้
จากการประเมนิ การทดลองกอ่ นชมวดี ทิ ศั น์และการสาธติ เทา่ กบั 10 คะแนน สว่ นคา่ เฉลย่ี ของคะแนน
ทไ่ี ดจ้ ากการประเมนิ การทดลองหลงั ชมวดี ทิ ศั น์และการสาธติ เท่ากบั 18 คะแนน
หลงั จากท่คี านวณหาค่าเฉล่ยี ไดแ้ ลว้ สามารถคานวณหาส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน (SD) ได้
คอื ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานของคะแนนทไ่ี ดจ้ ากการประเมนิ การทดลองก่อนชมวดี ทิ ศั น์ และการสาธติ
เท่ากบั 1.581 และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานของคะแนนทไ่ี ดจ้ ากการประเมนิ การทดลองหลงั ชมวดี ทิ ศั น์
และการสาธติ เท่ากบั 0.707
~ 27 ~
เมอ่ื คานวณหาค่าเฉลย่ี และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานไดแ้ ลว้ จงึ สรปุ คา่ ทค่ี านวณไดด้ งั ตารางท่ี
2
ตารางท่ี 2 คา่ เฉลย่ี และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน (SD) ของคะแนนทไ่ี ดจ้ ากการประเมนิ การทดลอง
ก่อน-หลงั ชมวดี ทิ ศั น์และการสาธติ
คา่ ทางสถติ ิ กอ่ น หลงั
คา่ เฉลย่ี ( X ) 10 18
1.581 0.707
สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน (SD)
จะเหน็ ไดว้ า่ เมอ่ื นกั เรยี นไดร้ บั การจดั กจิ กรรมพฒั นาทกั ษะการใชอ้ ุปกรณ์วทิ ยาศาสตร์ แลว้
นกั เรยี นมคี ะแนนเพม่ิ ขน้ึ 8 คะแนน
~ 28 ~
บทที่ 5
สรปุ อภิปรายผลและขอ้ เสนอแนะ
สรปุ ผลการวิจยั
จากการทาวจิ ยั ครงั้ น้ี ผวู้ จิ ยั ไดจ้ ดั กจิ กรรมเพ่อื พฒั นาทกั ษะการใช้อุปกรณ์วทิ ยาศาสตรใ์ หก้ บั
นักเรยี น โดยการฝึกปฏิบัติ การชมวีดิทศั น์และการสาธิตการใช้อุปกรณ์วทิ ยาศาสตร์ ผู้วจิ ยั ได้
ประเมนิ การทดลองของนกั เรยี น โดยเกบ็ คะแนนของนกั เรยี นแต่ละกลุ่มเป็นคะแนน 20 คะแนน ก่อน
การการชมวดี ทิ ศั น์ และการสาธติ การใช้อุปกรณ์วทิ ยาศาสตร์ นักเรยี นแต่ละกลุ่มไดค้ ะแนนเฉลย่ี 10
คะแนน และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน เทา่ กบั 1.581 สว่ นคะแนนของนกั เรยี นแต่ละกลมุ่ หลงั การการชม
วดี ิทศั น์ และการสาธิตการใช้อุปกรณ์วทิ ยาศาสตร์ เฉล่ยี ได้คะแนน 18 คะแนน และส่วนเบ่ียงเบน
มาตรฐาน เท่ากบั 0.707
อภิปรายผล
จากการวเิ คราะห์ขอ้ มูลคะแนนเฉลย่ี ของการประเมนิ การทดลองเพมิ่ ขน้ึ จาก 10 คะแนนเป็น
18 คะแนนจะเห็นได้ว่า นักเรียนมีการพัฒนาท่ีดีในทักษะการใช้อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ มีความ
คล่องแคล่วในการใชอ้ ุปกรณ์วทิ ยาศาสตร์ และมคี วามชานาญ กลา้ ทจ่ี ะใชอ้ ุปกรณ์วทิ ยาศาสตรต์ ่างๆ
ซ่ึงทาให้ผลของการทดลองมคี วามคลาดเคล่ือนน้อยลง ส่งผลให้ในการเรยี นวิทยาศาสตร์ท่ีมกี าร
ทดลองเป็นไปอย่างราบร่นื และทาให้นักเรยี นเกดิ ความสนใจในวชิ าวิทยาศาสตร์มากข้นึ ค่าส่วน
เบย่ี งเบนมาตรฐานก่อนและหลงั การการชมวดี ทิ ศั น์ และการสาธติ การใชอ้ ุปกรณ์วทิ ยาศาสตรเ์ ท่ากบั
1.581 กบั 0.707 มคี า่ ค่อนขา้ งใกลเ้ คยี งกนั การกระจายตวั ของคะแนนค่อนขา้ งน้อย ซง่ึ ทาใหท้ ราบว่า
คะแนนของนักเรยี นแต่ละกลุ่ม เกาะกลุ่มกนั อยู่ และนักเรียนท่เี ลอื กมาวจิ ยั ในครงั้ น้ีเป็นนักเรยี นท่มี ี
ความรู้เร่อื งการใช้อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ท่ีใกล้เคยี งกัน ซ่ึงสอดคล้องกับ สาเรงิ โชครุ่ง (253 6 :
บทคดั ย่อ) ท่กี ล่าวว่า พฤตกิ รรมดา้ นทกั ษะการใชเ้ คร่อื งมอื วทิ ยาศาสตรภ์ ายหลงั จากใชช้ ุดกจิ กรรม
ฝึกทกั ษะการใชเ้ คร่อื งมอื วทิ ยาศาสตรส์ งู กว่าอย่างน้อยรอ้ ยละ 50 ของคะแนนเฉลย่ี กอ่ นใชช้ ดุ กจิ กรรม
น้ี อย่างมนี ยั สาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .01
ขอ้ เสนอแนะ
ข้อเสนอแนะในการนาผลการวิจยั ไปใช้
เพอ่ื ใหไ้ ดม้ าซง่ึ ความสามารถในการทดลองทแ่ี ทจ้ รงิ ผสู้ งั เกตจาเป็นตอ้ งศกึ ษาและทาความ
เขา้ ใจเกณฑก์ ารใหค้ ะแนนอย่างละเอยี ดก่อนการสงั เกต และควรสงั เกตอย่างใกลช้ ดิ ตอ่ เน่อื งจนเสรจ็
การปฏบิ ตั ิ รวมถงึ บนั ทกึ ผลการสงั เกตทนั ทภี ายหลงั เสรจ็ สน้ิ การปฏบิ ตั ิ
~ 29 ~
ขอ้ เสนอแนะในการทาวิจยั ครงั้ ต่อไป
1. การวจิ ยั ครงั้ น้เี ป็นการจดั กจิ กรรมเพอ่ื พฒั นาทกั ษะการใชอ้ ุปกรณ์วทิ ยาศาสตร์ เฉพาะ
นกั เรยี นในชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1/4 โรงเรยี นตราษตระการคุณเท่านนั้ ดงั นนั้ เพอ่ื ใหส้ ามารถนา
ผลการวจิ ยั ไปใชอ้ ย่างกวา้ งขวางมากขน้ึ จงึ ควรจดั กจิ กรรมเพ่อื พฒั นาทกั ษะการใชอ้ ปุ กรณ์
วทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นกั เรยี นในระดบั ชนั้ อ่นื ๆ ตอ่ ไป
2. ควรมกี ารจดั กจิ กรรมใหก้ บั นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษา เพอ่ื จะไดเ้ ป็นพน้ื ฐานในการทดลอง
วทิ ยาศาสตรใ์ นชนั้ ทส่ี งู ขน้ึ ตอ่ ไป และทาใหน้ กั เรยี นเกดิ ความกระตอื รอื รน้ ทจ่ี ะเรยี นวชิ าวทิ ยาศาสตร์
มากขน้ึ ดว้ ย
~ 30 ~
บรรณานุกรม
กรมวชิ าการ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2545). สาระและมาตรฐานการเรยี นรกู้ ลุม่ สาระการเรยี นรู้
วทิ ยาศาสตร์. กรงุ เทพฯ: สานกั พมิ พก์ รมวชิ าการ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร.
กฤษฎา ปัตเตย.์ (2538) เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธกิ์ ารเรยี นกลุ่มสรา้ งเสรมิ ประสบการณ์ชวี ติ เรอ่ื ง
พลงั งาน
และสารเคมรี ะหว่างนกั เรยี นทไ่ี ดร้ บั และนกั เรยี นทไ่ี ม่ไดร้ บั การฝึกกจิ กรรมทกั ษะ
กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร.์ วทิ ยานิพนธ์ ศกึ ษาศาสตรม์ หาบณั ฑติ
มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่.
จรี ะพรรณ แสงหลา. (2532). การศกึ ษาผลสมั ฤทธใิ์ นการใชท้ กั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละ
เจต
คตทิ างวทิ ยาศาสตรภ์ ายหลงั การใชช้ ดุ กจิ กรรมฝึกทาโครงงานวทิ ยาศาสตรข์ อง
นกั เรยี น
ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 โรงเรยี นบา้ นดาด จงั หวดั เชยี งใหม่.วทิ ยานิพนธ์ ศกึ ษาศาสตร์
มหาบณั ฑติ บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์.
จานง พรายแยม้ แข. (2531) เทคนคิ การสอนกลุ่มสรา้ งเสรมิ ประสบการณ์ชวี ติ : เพอ่ื ใหเ้ กดิ ทกั ษะ
กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์.กรงุ เทพฯ: ไทยวฒั นาพานชิ .
ชยั ยงค์ พรหมวงค.์ (2523) กระบวนการสนั นิเวทนาการและระบบสอ่ื การสอน.กรุงเทพฯ: ชุมนุม
สหกรณ์การเกษตร.โรงพมิ พจ์ ฬุ าลงกรณ์.
ชยั วฒั น์ คปุ ระตกุล. (2545). 5 เทคโนโลยกี บั 76 อาชพี (พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2). กรุงเทพฯ: ประพนั ธส์ าสน์ .
นิคม ทาแดง และสจุ นิ ต์ วศิ วธรี านนท.์ (2531) “ หน่วยท่ี 1ธรรมชาตวิ ทิ ยาศาสตร”์ ในเอกสาร
การสอนชุดวชิ าวทิ ยาศาสตร์ 3.กรงุ เทพฯ: น้าคา้ งการพมิ พ์ .
นริ มติ ร ภทั รสุวรรณกจิ . (2535). ผลสมั ฤทธดิ์ า้ นทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรข์ นั้ ผสม
ของนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 โดยใชช้ ดุ การสอนเพอ่ื พฒั นาทกั ษะกระบวนการ
ทางวทิ ยาศาสตร.์ วทิ ยานิพนธศ์ ลิ ปศาสตรม์ หาบณั ฑติ บณั ฑติ วทิ ยาลยั
มหาวทิ ยาลยั
เกษตรศาสตร.์
ประดษิ ฐ์ เหลา่ เนตร์ (2542). เทคนิคการสอนและการทาโครงงานวทิ ยาศาสตรร์ ะดบั ประถมศกึ ษา
และมธั ยมศกึ ษา. กรุงเทพ: เซน็ เตอร์ ดสิ คฟั เวอร.ี
มยุรยี ์ ขนั รนิ ทรค์ า. (2532). การศกึ ษาความรคู้ วามเขา้ ใจเกยี่ วกบั การใชอ้ ุปกรณ์การทดลองวชิ า
วทิ ยาศาสตรข์ องนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่1 ทมี่ ที กั ษะกระบวนการวทิ ยาศาสตรใ์ น
ระดบั ต่างกนั . วทิ ยานพิ นธ์ (ศษ.ม.) : มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่.
ราเมศ เลยี บสอ่ื ตระกลู . (2530). การเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นวทิ ยาศาสตร์ ของนกั เรยี น
มธั ยมศกึ ษาปีที่2 จงั หวดั ชยั นาท ทมี่ พี ฤตกิ รรมดา้ นทกั ษะภาคปฏบิ ตั กิ ารวทิ ยาศาสตร์
~ 31 ~
ต่างกนั โดยพจิ ารณาเชาวป์ ัญญาเป็นองคป์ ระกอบร่วม. วทิ ยานพิ นธ์ (ศศ.ม.) :
มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร.์
วรรณทพิ า รอดแรงคา้ .(2542). การพฒั นาการคดิ ของนักเรยี นดว้ ยกจิ กรรมทกั ษะกระบวนการทาง
วทิ ยาศาสตร์ (พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2). กรงุ เทพฯ: เดอะมาสเตอรก์ ร๊ปุ แมเนจเมน้ ท์.
สมพร ภเู่ จรญิ . (2535). การศกึ ษาทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรข์ นั้ พ้นื ฐานของนกั เรยี นระดบั
ประถมศกึ ษาในจงั หวดั พษิ ณุโลก. ปรญิ ญานิพนธ์ (กศ.ม.): มหาวทิ ยาลยั นเรศวร.
สาเรงิ โชครุ่ง. (2536). ชดุ กจิ กรรมฝึกทกั ษะการใชเ้ ครอื่ งมอื วทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นกั เรยี นมธั ยมศกึ ษา
ปีที่1. ปรญิ ญานพิ นธ์ (กศ.ม.): มหาวทิ ยาลยั บูรพา.
สวุ มิ ล เขย้ี วแกว.(2527) การสอนวทิ ยาศาสตรร์ ะดบั มธั ยมศกึ ษา : ภาควชิ าวทิ ยาศาสตรท์ วั่ ไป
คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ วทิ ยาเขตปัตตานี.
อรณุ ศรี เตชะเรอื งรอง. (2532). การสรา้ งเครอื่ งมอื วดั ทกั ษะภาคปฎบิ ตั วิ ชิ าวทิ ยาศาสตร์ (ว.101) ชนั้
มธั ยมศกึ ษาปีที่1 : บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม.่
www.youtube.com/watch?v=VhLKFRPIn0E ทกั ษะการใชอ้ ุปกรณ์พน้ื ฐานทางวทิ ยศาสตร์ -
YouTube
https://www.google.co.th/search?q=อปุ กรณ์ทางวทิ ยาศาสตร+์ และวธิ กี ารใช้