สารจากคณบดี ผู้ช่วยศาสตราจารย์วีระศักดิ์ อักษรถึง คณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ มิติรสเพลงไทย ก้าวเข้าสู่ครั้งที่ 12 แล้ว โดยใช้ชื่อ “กรายท่า ลีลาบรรเลง” ดูจากชื่อแล้วน่าจะ ได้ชมได้ฟังท่วงทำนองลีลาการบรรเลงที่หลากหลาย จากเครื่องดนตรีมากชิ้น มากชนิด ทั้งดีด สี ตี เป่า ดนตรีไทย เป็นสิ่งที่อยู่ควบคู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนานตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ การที่คนรุ่นใหม่ ยังคงสืบสานงานจากบรรดาครู อาจารย์ ในอดีตให้คงอยู่ได้นั้น นับเป็นคุณค่าที่อยู่คู่ชาติ คู่แผ่นดิน และ เป็นความภาคภูมิใจของคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา ที่ได้มีส่วนร่วม ขอชื่นชมนักศึกษา และคณาจารย์ ที่ร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานดนตรีไทยในครั้งนี้ ขอให้มีกำลังใจและ สร้างสรรค์สิ่งดีๆ ต่อไปตราบนานเท่านาน (ผู้ช่วยศาสตราจารย์วีระศักดิ์ อักษรถึง) คณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์
สารจากประธานหลักสูตร ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.รัชวิช มุสิการุณ ประธานหลักสูตรศิลปกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาดนตรีไทย งานนำเสนอผลงานทางด้านดนตรีไทย “มิติรสเพลงไทย” ได้ดำเนินมาถึงอีกวาระ ถึงแม้ในครั้งนี้ จะเป็นเพียงมินิคอนเสิร์ตเล็ก ๆ ในรายวิชา 21537 หลักการจัดการแสดงดนตรี แต่เป็นเสมือนยาขม หม้อใหญ่ที่จะทำให้นักศึกษาเรียนรู้ที่จะบริหารจัดการอุปสรรค เพื่อนำเสนอผลงานอันมีคุณภาพออกสู่ สาธารณชน บนเส้นทางของ “ศิลปิน” เป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ที่จะต้องแสดงผลงานจากการเคี่ยวกรำ ฝึกฝนตนเองอย่างอดทน เพื่อให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่ผู้ชม ถึงแม้จะต้องฝึกซ้อมพันหรือหมื่นรอบ เพื่อการแสดง สั้นๆเพียง 8 นาทีก็ตาม สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมชาติที่นักศึกษาจำเป็นต้องเรียนรู้ ถึงการมีชีวิตอยู่ของ “ศิลปิน” ที่ต้อง คำนึงถึงผู้อื่นก่อนตนเองเสมอ การดูแลผู้ชมด้วยความรับผิดชอบต่อตนเอง ย่อมเป็นการรับผิดชอบต่อผู้อื่น ต่อวิชาชีพและต่อหน้าที่ด้วยในความเสมอตน จะทำสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้และบรรจงมอบสิ่งดีนั้น ให้แก่หัวใจของผู้อื่น ดังคำกล่าวของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ที่กล่าวว่า “ชีวิตสั้น ศิลปะยืนยาว” ด้วยรักและจิตครู ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รัชวิช มุสิการุณ ประธานหลักสูตรศิลปกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาดนตรีไทย คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรายภัฏสงขลา
กำหนดการการนำเสนอผลงานทางด้านดนตรีไทย มิติรสเพลงไทย ครั้งที่ 12 “กรายท่า ลีลาบรรเลง” วันจันทร์ ที่ 20 มีนาคม 2566 ณ โรงละครวิจิตรจันทรากุล ชั้น 4 คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา เวลา 16.00 น. ละทะเบียน เวลา 16.30 น. ตัวแทนนักศึกษากล่าวรายงาน ประธานในพิธีรับฟังกล่าวรายงานและเปิดงาน เวลา 17.00 น. เริ่มการแสดงผลงานทางด้านดนตรีไทย “กรายท่า ลีลาบรรเลง” การแสดงลำดับที่ 1 เพลงโหมโรงจอมสุรางค์ ออกสะบัดสะบิ้ง วงเครื่องสายเครื่องคู่ ประสมปี่พาทย์ การแสดงลำดับที่ 2 เพลงตับเย็นย่ำ วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ การแสดงลำดับที่ 3 ซออู้หมู่ เพลงเดี่ยวลาวแพน สองชั้น การแสดงลำดับที่ 4 เพลงแขกมอญบางขุนพรหม เถา วงมโหรี การแสดงลำดับที่ 5 ชุดการแสดงบรรเลงเพลงปี่ ลีลารำ เวลา 18.30 น. มอบของที่ระลึกและกล่าวปิดโครงการ *** กำหนดการอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม **
1 โครงการนำเสนอผลงานทางด้านดนตรีไทย มิติรสเพลงไทยครั้งที่ 12 กรายท่า ลีลาบรรเลง หลักการและเหตุผล หลักสูตรศิลปกรรมศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาดนตรีไทย คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราภัฏ สงขลา เป็นที่ยอมรับของสังคมดนตรีไทยภาคใต้และของประเทศว่าเป็นสถาบันการศึกษาด้านดนตรีไทย ที่ทำหน้าที่สืบสานวิชาทางด้านดนตรีไทย จากครูบาอาจารย์ของชาติหลายท่าน โดยนำองค์ความรู้ ทางด้านดนตรีไทยมาจัดระบบการเรียนการสอนเพื่อถ่ายทอดอย่างมีคุณภาพและได้มาตราฐานมาตลอด ตั้งแต่ครั้งเป็นภาควิชาดนตรีศึกษาวิทยาลัยครูสงขลา กรมการฝึกหัดในปี พ.ศ. 2532 เรื่อยมาจนถึง ปัจจุบัน หลักสูตรศิลปกรรมศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาดนตรีไทย หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2561 คณะ ศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา รับนักศึกษาเพื่อเข้าศึกษาในระดับปริญญาตรี เมื่อปี การศึกษา 2561 เป็นต้นมา โดยเนื้อหาของหลักสูตรฯ มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ทันกับความเปลี่ยนแปลง ของเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อการจัดการเรียนการสอน ขณะเดียวกันยังให้ความสำคัญกับภาคปฎิบัติเพื่อให้ ผู้เรียนสามารถนำความรู้ไปใช้ในการประกอบอาชีพ รวมทั้งมีการเสริมรายวิชาดนตรีพื้นบ้านภาคใต้และ ปฏิบัติดนตรีไทย เพื่อให้นักศึกษามีความรู้เรื่องศิลปวัฒนธรรมดนตรีทั้งในรูปแบบขนบธรรมเนียมและ ท้องถิ่น เป้าหมายในการสร้างบัณฑิตของหลักสูตรศิลปกรรมศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาดนตรีไทย คือ เพื่อ ผลิตบัณฑิตที่มีความรู้และทักษะด้านดนตรีไทยควบคู่ไปกับดนตรีพื้นบ้านภาคใต้ และสามารถนำไป ประกอบอาชีพหรือศึกษาต่อในระดับสูงได้ อีกทั้งยังมุ่งผลิตบัณฑิตที่มีทักษะการคิดวิเคราะห์ทางด้าน ดนตรีไทยควบคู่ไปกับดนตรีพื้นบ้านภาคใต้ สามารถสร้างสรรค์ผลงานดนตรีใหม่ได้ และให้บัณฑิตมีความ ภาคภูมิใจในดนตรีไทยและดนตรีพื้นบ้าน มีคุณธรรม จริยธรรม สามารถดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างสงบสุข การจัดการแสดงโครงการมิติรสเพลงไทยครั้งที่ 12 เป็นการนำเสนอผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาใน รายวิชาต่าง ๆ ที่ทางหลักสูตรได้จัดการเรียนการสอนทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน ผ่านการเข้าร่วม ประกวดทักษะดนตรีไทยในระดับชาติ โดยนำเสนอในรูปแบบของการจัดการแสดงคอนเสิร์ต ของ สาขาวิชาดนตรีไทย คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา อันเป็นโครงการที่ส่งเสริม ศักยภาพนักศึกษาเกี่ยวกับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ทั้งในด้านการสื่อสาร การทำงานร่วมกัน
2 การคิดวิเคราะห์ ทักษะการเขียน การอ่านและความคิดสร้างสรรค์ นอกจากนี้การจัดโครงการมิติรสเพลง ไทย ครั้งที่ 12 สามารถช่วยส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพนักศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็น กิจกรรมที่อาจารย์ที่ปรึกษาได้เป็นพี่เลี้ยงสอนงานให้กับนักศึกษาได้ฝึกประสบการณ์ตรงด้านการจัด โครงการ และเป็นการฝึกการทำงานเป็นทีม สร้างความสามัคคีให้กับนักศึกษาในหลักสูตรอีกด้วย วัตถุประสงค์ 1.เพื่อการแสดงศักยภาพด้านทักษะดนตรีไทย ของนักศึกษาหลักสูตรศิลปกรรมศาสตร์บัณฑิต สาขาดนตรีไทย คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา 2.เพื่อนำเสนอผลงานดนตรีที่นักศึกษาได้รับการถ่ายทอดจากอาจารย์ในรายวิชาปฏิบัติ ผลที่คาดว่าจะได้รับ 1. นักศึกษาหลักสูตรศิลปกรรมศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาดนตรีไทย คณะศิลปกรรมศาสตร์ ได้ แสดงศักยภาพและทักษะด้านดนตรีไทยแก่สาธารณชน 2. ได้นำเสนอผลงานทางด้านดนตรีไทย ผ่านรูปแบบการจัดการแสดงคอนเสิร์ตที่เป็นประโยชน์ ต่อสาธารณชน กลุ่มเป้าหมาย - นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนผู้สนใจทั่วไป - ผู้เข้าร่วมโครงการ 100 คน ผู้รับผิดชอบโครงการ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาดนตรีไทย คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราภัฏสงขลา วันเวลาและสถานที่จัดการแสดง วันจันทร์ ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2566 ณ โรงละครชั้น 4 คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราภัฏสงขลา
3 รายการแสดงโครงการนำเสนอผลงานทางด้านดนตรีไทย คอนเสิร์ตมิติรสเพลงไทยครั้งที่ 12 “กรายท่า ลีลาบรรเลง”
4 การแสดงชุดที่ 1 วงเครื่องสายเครื่องคู่ประสมปี่พาทย์ เพลงโหมโรงจอมสุรางค์ ออกสะบัดสะบิ้ง หนังสือฟังและเข้าใจเพลงไทย โดยวิเชียร กุลตัณ และมนตรี ตราโมท ได้อธิบายเพลงโหมโรง จอมสุรางค์ไว้ว่า เป็นเพลงโหมโรงที่มีสำเนียงแสดงความหมายไปในทางสนุกสนานรื่นเริง มีจังหวะซับซ้อน ซ่อนเงื่อนเป็นส่วนมาก นัยว่าขุนเจริญดนตรีการ (เจริญ โรหิตะโยธิน) ซึ่งเคยเป็นครูสอนดนตรีอยู่ ณ สามัคยาจารย์สมาคม เป็นผู้ประพันธ์ขึ้น แต่เมื่อได้พิจารณาตามสำนวนทำนองของเพลงนี้แล้ว นายมนตรี ตราโมท ผู้เชี่ยวชาญดนตรีไทยของกรมศิลปากร ยังไม่มั่นใจที่จะสรุปว่าขุนเจริญดนตรีการ ประพันธ์เพลงที่มีสำนวนทำนองอย่างเพลงจอมสุรางค์นี้ เพราะมีสำนวนแตกต่างจากเพลงอื่น ๆ ที่ท่าน เคยประพันธ์ไว้เป็นอย่างมาก ด้วยขนบนิยมการบรรเลงเพลงโหมโรงมักมีเพลงออกต่อท้ายอีกเพลงหนึ่ง เพลงจอมสุรางค์นี้ จึง มักใช้เพลงสะบัดสะบิ้ง 2 ชั้น เป็นเพลงต่อท้าย ซึ่งเป็นเพลงที่กระฉับกระเฉงน่าฟัง นอกจากนี้เพลง สะบัดสะบิ้งยังนิยมนำไปบรรเลงต่อท้ายเพลงโหมโรงอีกหลายเพลง เช่นโหมโรงนางกราย โหมโรงแปดบท เป็นต้น รายนามผู้บรรเลง 1. ระนาดเอก 2. ระนาดทุ้ม 3. ฆ้องวงเล็ก 4. ฆ้องวงใหญ่ 5. ขลุ่ยเพียงออ 6. ขลุ่ยหลิบ 7. ซออู้ 8. ซอด้วง 9. จะเข้ นายวรธน ธรรมเจริญ นายศรายุทธ ดวงมาก นางสาวเมธินี จันผลช่วง นายจตุรพร ตั้งสุย นายปรภพ คะทะวรัตน์ นายดรัณภพ เกิดแก้ว นางสาวสิริลักษณ์ ศรีรัตน์ นางสาวสุชาดา ฤทธิ์เดชา นายธีรภัทร์ นุ่มนาม นายอภิสิทธ์ เฉลิมวรบุตร นางสาวอารีรัตน์ ฤทธิ์เดชา
5 10. ฉิ่ง 11. ฉาบเล็ก 12.กรับ 13.โหม่ง 14.กลองแขก นายภูมิพัฒน์ วิทยารัฐ นางสาวปัฏฐมา สุวรรณโณ นายศุภฤกษ์ สะละ นายธีระยุทธ คงทอง นายกิตติกร จันทรโกศล นายจตุรงค์ พลเดช นายจิรัฏฐ์ กาญจนวงค์
6 การแสดงชุดที่ 2 วงปี่พาทย์ดึกบรรพ์ เพลงตับเย็นย่ำ เพลงตับเย็นย่ำ เป็นเพลงตับประเภทตับเพลง ประกอบด้วย เพลงเต่าเห่ เพลงสาวคำ และ เพลงเร็ว โดยเพลงเต่าเห่ อัตรา 2 ชั้น เป็นทำนองของเก่ามีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ประเภท หน้าทับปรบไก่ บรรจุอยู่ในเพลงช้าเรื่องเต่ากินผักบุ้ง ในลำดับที่ 2 เพลงนี้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้า ฟ้ากรมพระยานริศรานุวงศ์ กับหลวงเสนาะดุริยางค์ (ทองดี ทองพิรุฬห์) ร่วมกันปรับปรุงเข้าไว้ในบท คอนเสิร์ตเรื่องนางลอย ขับร้องและบรรเลงลำลองพร้อมกันไปทำให้เกิดรสน่าฟังขึ้นมาก ที่เรียกว่าเต่าเห่ ก็ ด้วยมีผู้นำมาร้องแล้วแทรกเห่ต่อท้าย อย่างเห่เรือเข้าไปด้วยนั่นเอง โดยทำเป็นสร้อยทำนองให้ผู้ขับร้อง เหตุสอดปี่พาทย์ ประสานกันคนละแนว จึงมีผู้นิยมนำไปใช้เพื่อผลในการขับร้องบรรเลง และประกอบการ แสดงนาฏศิลป์อย่างหลากหลาย บทร้องเพลงเต่าเห่ บท "เย็นย่ำ" ที่นิยมใช้ประกอบการบรรเลงแต่เดิมนั้น สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายว่าเป็นบทพระราชนิพนธ์เป็นคำพูดของสาวชาววังอ้างถึง ท้าวศรีสัจจา (มิ) ผู้มีสิทธิ์ขาดในงานว่าราชการต่างพระเนตรพระกรรณ ที่ทำงานของท่านอยู่ใกล้กับ ประตูดิน มีเกียรติคุณยิ่งกว่าท้าวนางอื่น ๆ จึงได้ฉายาว่า "เจ้าคุณประตูดิน" นอกจากนี้ ในบันทึกความรู้เรื่องต่าง ๆ ลายพระหัตถ์ลงวันที่ 12 มกราคม พ.ศ.2480 สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ทรงอธิบายมูลเหตุของบทพระราชนิพนธ์ "เย็นย่ำ" ที่นำมาบรรเลงและ ขับร้องด้วยเพลงเต่าเห่ ไว้ว่า “เจ้าพระยาเทเวศร์เป็นผู้รู้สึกรำคาญหูก่อน ท่านจึงคิดจะร้องเพลงช้า บทเย็นย่ำ ให้เป็นลำเต่ากินผักบุ้ง และบังคับให้ปี่พาทย์ทำเพลงช้าด้วยเพลง เต่ากินผักบุ้งเช่นกัน จึงฟังกลมกลืนเข้ากันดี หายรกหู คนชอบ จึงจำเอามาเล่น กันจนทุกวันนี้.ส่วนเพลงเร็วต่อท้ายซึ่งร้องบทรักเจ้าสาวคำนั้น จะตอนแต่มา เมื่อไร และมีชื่อเสียงอย่างไรหาได้ทราบไม่ เรียกกันแต่ว่าเพลงสาวคำตามบท ร้องนั้นเอง” บทขับร้องเพลงเต่าเห่นี้ เมื่อเกิดความนิยมจึงได้มีผู้คิดนำเพลงมาบรรเลงและขับร้องต่อท้าย เพิ่มเติมจากเพลงประธาน อาทิ เพลงสาวคำ บทร้องของเก่าไม่ทราบนามผู้แต่ง เพลงเร็วจากบท พระราชนิพนธ์ "เงาะป่า" ตอนที่นางกอยเงาะเข้าขบวนการฟ้อนรำในพิธีแต่งงานของนางลำหับกับฮเนา ได้ใช้เป็นแบบฉบับการบรรเลงในหมู่นักดนตรีสืบมา เรียกกันโดยทั่วไปว่า "ตับเย็นย่ำ"
7 สำหรับการบรรเลงครั้งนี้ ประกอบด้วยเพลงจำนวน 4 เพลง คือ เต่าเห่ สาวคำ เพลงเร็ว และ เพลงลา บทร้องเพลงเต่าเห่ ชุด “ชุดตับเย็นย่ำ” (ตับเย็นย่ำ) เต่าเห่ เย็นย่ำ จะค่ำลงแล้วอยู่รอนรอน สาวน้อยเจ้าค่อยเดินจร ไปเก็บดอกแก้วเล่นเย็นเย็น ที่เกยเราเคยเห็น เป็นพวงเป็นพู่ดูน่าชม บ้างเด็ดได้ใส่ผ้าห่ม บ้างเดินบ้างดมบ้างชูไหว โขลนคนหนึ่งจึงร้องห้าม ว่าพวงงามงามอย่าเด็ดเอาไป ห้ามแล้วหาฟังไม่ จะไปเรียนเจ้าคุณประตูดิน (บทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านนภาลัย) สาวคำ รักเจ้าสาวคำ นุ่งแดงห่มแดง ดอกคำมันแพง สาวน้อยจะห่มสีชมพู เจ้ามีผัวแล้ว จะแต่งไปให้ใครดู แต่งไปล่อชู้ เขาก็รู้อยู่เต็มใจ รักเจ้าสาวคำ นุ่งเขียวห่มเขียว เดินไปคนเดียว ที่สะพานนายไกร จะไปทางนี้ หรือจะไปทางไหน นึกรักอยากได้ เจ้าสาวคำเอย (บทของเก่า ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง)
8 เพลงเร็ว ช้าหน่อยแม่นางก็อยเอย อย่าทำใจน้อยหน้าตาบูดบึ้ง ยิ้มเสียให้แฉ่งอย่าแสร้งมึนตึง ช้าหน่อยแม่นางก็อยเอย ช้านิดแม่ชื่นจิตรเอย อย่าใส่จริตกระดุ้งกระดิ้ง ดอกไม้หอมกรุ่นฉุนหรือจะทิ้ง ช้านิดแม่ชื่นจิตรเอย ช้าอืดแม่นางอืดเอย ตามกันเปนยืดยักไหล่ฟ้อนรำ อย่าให้ช้านักจักเสียลำนำ ช้าอืดแม่นางอืดเอย ช้าไว้แม่ชื่นใจเอย ระวังอกไหล่อย่าให้ปะทะ จะเกิดรำคาญขี้คร้านเอะอะ ช้าไว้แม่ชื่นใจเอย อย่าแค้นแม่แสนงอนเอย เวียนแต่ควักค้อนผูกคิ้วนิ่วหน้า ผัดอีกหน่อยหนึ่งให้ถึงเวลา อย่าแค้นแม่แสนงอนเอย ชะต้าแม่ตาคมเอย อย่าทำเก้อก้มเมียงเมินเขินขวย เหลือบมาสักนิดขอพิศตาสวย ชะต้าแม่ตาคมเอย หน่อยแน่แม่กินนรเอย รำร่ายฟายฟ้อนให้ต้องจังหวะ อย่าทำตัวเตี้ยจะเสียระยะ หนอยแน่แม่กินนรเอย ถึงแล้วแม่แก้วตาเอย เหนื่อยนักหรือจ๋าเหื่อตกซิกซิก หยุดพักเสียทียังมีบทอิก ถึงแล้วแม่แก้วตาเอย (บทละครเรื่องเงาะป่า พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 5)
9 รายนามผู้บรรเลง 1. ระนาดเอก 2. ระนาดทุ้ม 3. ระนาดทุ้มเหล็ก 4. ฆ้องวงใหญ่ 7. ฆ้องหุ่ย 5. ขลุ่ยเพียงออ 6. ขลุ่ยอู้ 7. ซออู้ 8. ตะโพน 9. กลองตะโพน 10. ฉิ่ง 11. ขับร้อง นายวรธน ธรรมเจริญ นายจตุรงค์ พลเดช นางสาววิลาสิณี รวยรื่น นายศรายุทธ ดวงมาก นายจิรัฏฐ์ กาญจนวงศ์ นายปรภพ คะทะวรัตน์ นายดรัณภพ เกิดแก้ว นางสาวสิริลักษณ์ ศรีรัตน์ นายภณ นิธิวัฒนพงศ์ นายศุภฤกษ์ สะละ นายอภิสิทธิ์ เฉลิมวรบุตร นางสาวกนกวรรณ บุญราศรี นางสาวทิพย์คนาถ เดชเก ศริทร์ นายจักริน ขาวสุวรรณ์ นายชัยพัฒน์ ศรีสุข นายธนกร ศรีสมโภชน์ นายภูมิพัฒน์ วิทยารัฐ
10 การแสดงชุดที่ 3 ซออู้หมู่ เพลงเดี่ยวลาวแพน สองชั้น เพลงลาวแพนเป็นเพลงไทยสำเนียงลาว อัตราจังหวะ สองชั้น ประกอบด้วยเพลงลาวแพนใหญ่ เพลงลาวแพนน้อย เพลงลาวลอดค่าย เพลงขับนก เพลงขับไม้บัณเฑาะว์ และเพลงซุ้ม ประวัติเพลงลาว แพนมีผู้สันนิฐานว่าอาจเพี้ยนมาจาก “ลาวแคน” ซึ่งมีต้นเค้ามาจากเพลงที่นิยมร้องเล่นกันในหมู่เชลย ชาวลาวที่ไทยกวาดต้อนมาจากเมืองเวียงจันทร์ในสมัยของกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ท่วงทำนองเพลงลาว แคนมีทั้งความอ่อนหวานรำพึงรำพันและโศกเศร้าระคนกัน มีเนื้อร้องที่บรรยายถึงความยากลำบากทุกข์ ระทมใจที่ต้องจากบ้านเมืองมาอยู่ในต่างแดน หรือบางทีเพลงลาวแพนอาจมาจากเพลงใช้ประกอบการ ฟ้อนของไทยภาคเหนือหรือภาคพายัพที่เรียกว่า “แฟ้นแพน” หรือ “รำลาวแพน” ก็ได้ อย่างไรก็ดี ประวัติ อีกทางหนึ่งกล่าวว่าฟ้อนแคนสันนิษฐานว่าเกิดขึ้นจากการแสดงละครพันทาง เรื่องพระลอ บทประพันธ์ ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ตอนพระลอลงสรงในแม่น้ำกาหลง ซึ่งท่ารำที่ ประดิษฐ์ขึ้นเป็นการนำลีลาท่าฟ้อนทางภาคเหนือมาผสมผสานกับท่ารำไทย และดัดแปลงให้เหมาะสมกับ ท่วงทำนองเพลง เมื่อลาวแพนเป็นเพลงเดี๋ยวซึ่งเป็นการบรรเลงอวดฝีมือของนักดนตรีจึงมีผู้ประดิษฐ์ทางเดี่ยวลาว แพนกันมากมายหลายทาง มีทำนองสั้นๆ ที่ฟังง่ายไพเราะ เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย
11 บทร้องเพลงลาวแพน ฝ่ายพวกฮาว (ลาว) เป่าแคนแสนเสนาะ มาสอเพาะ (เพราะ) เข้ากับแคนแสนขยัน เป็นใจความ ยามยากจากเวียงจัน ตกมาอยู่เขตขัณฑ์อยุธยา อีแม่คุณเอ๊ยเฮา (เรา) บ่อเคยจะตกยาก ตกระกำลำบาก แสนยากนี่หนักหนา พลัดทั้งที่กิน ถิ่นฐานพลัดทั้งบ้านเมืองมา พลัดทั้งปู่พลัดทั้งย่าพลัดทั้งตาพลัดทั้งยาย พลัดทั้งแม่ลูกเมียพลัดทั้งเสียลูกเต้า พลัดทั้งพงษ์ทั้งเผ่าทั้ง ลูกเต้าก็หนีหาย บัก (อ้าย) ไทยมันเฆี่ยนบัก ไทยมันขัง จนไหล่จนหลังของข้อยนี่ลาย จะตายเสียแล้วหนาที่ในป่าดงแดน ผ้าทอ ก็บ่อมีนุ่งผ้าถุงก็บ่อมี ห่ม คาดแต่เตี่ยวเกียวกม (เกลียวกลม) หนาวลมนี่หรือแสน ระเหินระหกตกยากต้องเป็นคนกากคนแกน มี แต่แคนคันเดียวก็พอได้เที่ยวขอทานเขากิน ตกมาอยู่ในเมืองต้องถีบกระเดื่องกระด้องสีซ้อมตำต้อย ตะบิดตะบอยบ่อฮู้(รู้) สิ้น ถือแต่เตียวเกี่ยวหญ้าเอาไปให้ม้าของเพื่อนมันกิน เที่ยวซม เที่ยวซานไปทุกบ้าน ทุกถิ่นจะได้กินก็แต่เดน แสนอึดแสนจนเหมือนอย่าง คนตกนาฮก (นรก) มืดมนธ์ฝนตกเที่ยวหยก ๆ ถก เขมร ถือข้องส่องคบเที่ยวจับกบทุ่งพระเมรุ เปื้อนเลนเปื้อนตมเหม็นขบเหม็น คาว จับทั้งอ่างท้องขึงจับทั้ง อึ่งท้องเขียว จับทั้งเบี้ยวจับทั้งปู จับทั้งหนูท้องขาว จับเอามาให้สิ้นมาต้มกินกับเหล้า เป็นกรรม ของเรา เพราะอ้ายเจ้าเวียงจัน อ้ายเพื่อนเอย รายนามผู้บรรเลง 1. ซออู้ 2. ฉิ่ง 3 .กลองแขก 4. กรับ 5. ฉาบเล็ก นายภูมิพัฒน์ วิทยารัฐ นายพงศพัฒน์ เกศจนะกุล นายนนทภัทร สุวรรณรัศมี นายธีรภัทร์ นุ่มนาม นางสาวสุชาดา ฤทธิ์เดชา นางสาวสิริลักษณ์ ศรีรัตน์ นายจตุรพร ตั้งสุย นายจตุรงค์ พลเดช นายจิรัฏฐ์ กาญจนวงค์ นางสาวอารีรัตน์ ฤทธิ์เดชา นายอภิสิทธิ์ เฉลิมวรบุตร
12 6. โหม่ง นายศรายุทธ ดวงมาก 7. ขับร้อง นายนันธกานต์ ศรีกัชรินทร์
13 การแสดงชุดที่ 4 วงมโหรี เพลงแขกมอญบางขุนพรหม เถา เพลงมอญตัดแตง อัตรา 2 ชั้น ของเก่า ประเภทหน้าทับปรบไก่ มี 3 ท่อน ท่อนที่ 1 และท่อนที่ 2 มีท่อนละ 4 จังหวะ ท่อนที่ 3 มี 6 จังหวะ ใช้บรรเลงในเพลงกราวในและเพลงพม่าห้าท่อน เมื่อ พ.ศ 2453 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ได้ทรงพระนิพนธ์ ขยายขึ้นเป็นอัตรา 3 ชั้น และตัดลงเป็นชั้นเดียว พร้อมด้วยทางร้องทั้งหมด ครบเป็นเพลงเถา บันทึกโน๊ต สากลประสาทแตรวงทหารเรือบรรเลง ต่อมาได้ทรงปรับปรุงให้เป็นทางปี่พาทย์สำหรับวงวังบางขุนพรหม บรรเลง จึงประทานชื่อว่า "เพลงแขกมอญบางขุนพรหม เถา" ตามชื่อตำบลบางขุนพรหมซึ่งเป็นที่ตั้งวัง ของพระองค์ บทร้อง เพลงแขกมอญบางขุนพรหม เถา 3 ชั้น ครานั้น พลายชุมพลได้ฟังก็ยั้งหยุด จึงตอบว่าเขาผู้เรืองฤทธิรุทธ์ นามสมมุติว่าสมิงมัตรา ถิ่นฐานบ้านเมืองเรานี้ อยู่ยังธานีหงสา แมงตะยะและเม้ยมังตะยา เป็นบิดามารดาของเรา 2 ชั้น อาจารย์เราหรือชื่อสุเมธ เรื่องพระเวทไม่มีใครดีเท่า ตัวท่านที่ยกมาสู้เรา คือเป็นเรื่องลูกเต้าเหล่าใคร อนึ่งพระเจ้าอยุธยา ตั้งตำแหน่งยศถาให้เพียงไหน ชื่อเดิมของท่านนั้นชื่ออะไร ท่านผู้ใดเป็นครูอาจารย์ (เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน)
14 ชั้นเดียว ขับลำบรรเลงเป็นเพลงเถา เพลงมอญเก่าแสนเสนาะเพราะหนักหนา แขกมอญบางขุนพรหมมีสมญา ฉันได้มาแต่วังบางขุนพรหม (พระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิจ) รายนามผู้บรรเลง 1. ระนาดเอก 2. ระนาดทุ้ม 3. ฆ้องกลาง 4. ขลุ่ยเพียงออ 5. ขลุ่ยหลิบ 6. ซออู้ 7. ซอด้วง 8. ซอสามสาย 9. จะเข้ 10. ฉิ่ง 11. ฉาบเล็ก 12. กรับพวง 13. โทน รำมะนา 14. ขับร้อง นายจตุรงค์ พลเดช นายจิรัฏฐ์ กาญจนวงศ์ นางสาววิลาสินี รวยรื่น นายปรภพ คะทะวรัตน์ นายดรัณภพ เกิดแก้ว นางสาวสุชาดา ฤทธิ์เดชา นายธีรภัทร์ นุ่มนาม นายอภิสิทธิ์ เฉลิมวรบุตร นายภูมิพัฒน์ วิทยารัฐ นางสาวปัฏฐมา สุวรรณโน นายศุภฤกษ์ สะละ นางสาวอารีรัตน์ ฤทธิ์เดชา นายจตุรพร ตั้งสุย นายชัยพัฒน์ ศรีสุข
15 การแสดงชุดที่ 5 บรรเลงเพลงปี่ ลีลารำ การแสดงชุด บรรเลงเพลงปี่ ลีลารำ เป็นการแสดงที่ประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ในรูปแบบการแสดง พื้นเมืองเชิงสร้างสรรค์แสดงถึงเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของการรำโนราบรรเลงเพลงปี่ ได้รับแรงบันดาลใจมา จากหลักธรรมในพระไตรปิฎกเรื่องขันธ์ 5 คือ กองรูปธรรมและนามธรรมที่กล่าวถึงกิเลสทั้ง 5 อันได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่คอยเย้ายวนให้หลงไปสู่หนทางแห่งบาป พระพุทธองค์ทรงแสดงหนทางเพื่อ การละกิเลสไว้ คือ การอบรมเจริญปัญญาด้วยอริยมรรคมีองค์ 8 จนบรรลุเป็นพระอรหันต์จึงละกิเลสได้ ทั้งหมด โดยปี่ 5 เลาแทนด้วยกิเลสทั้ง 5 และ โนราแทนตัวมนุษย์ที่จะต้องผจญกองกิเลสทั้ง 5 โดยมี ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นเครื่องประหารกิเลส ในการแสดงบรรเลงเพลงปี่ ลีลารำ โนราจะรำยั่วปี่5 เลาตามลำดับโดยในตอนท้ายสุด จะไม่เลือก ปี่เลาใดเลย เพื่อแสดงให้เห็นว่า “เมื่อตัวเราไม่หลงไปกับกิเลส ก็จะสามารถหลุดพ้นจากวัฏสงสารได้” รายนามผู้บรรเลง 1. ปี่ใต้ 2. ทับ 3. กลองตุ๊ก 4. โหม่ง 5. แตระ 6. โนรา นายกิตติกร จันทโกศล นายธีระยุทธ คงทอง นายธนกร ศรีสมโภชน์ นายศักรรัตน์ วงศ์สีแก้ว นายนรินทร พาหุรัตน์ นายนพดล สุวรรณมณี นายชาคริต สัจบุตร นายณัฐชนน สุวรรณ์ นายประทีป อ่อซ้าย นายฐิติพงศ์ สายกี่เส้ง
16 นักศึกษาดำเนินโคงการแสดงผลงานทางดนตรีไทย คอนเสิร์ต มิติรสเพลงไทย ครั้งที่ 12 “กรายท่า ลีลาบรรเลง” ชื่อ-สกุล เครื่องมือเอก เบอร์โทรศัพท์ Facebook วรธน ธรรมเจริญ ฆ้องวงใหญ่ 0620715391 วรธน ธรรมเจริญ ชื่อ-สกุล เครื่องมือเอก เบอร์ Facebook ศุภฤกษ์ สะละ ฆ้องวงใหญ่ 0937455683 Frame Suppareuk Sala ชื่อ-สกุล เครื่องมือเอก เบอร์โทรศัพท์ Facebook นายกิตติกร จันทโกศล ฆ้องวงใหญ่ 0616281407 น้องเชีย'ยย กินข้าวตอนกลางคืนนน
17 ชื่อ-สกุล เครื่องมือเอก เบอร์โทรศัพท์ Facebook นายธีระยุทธ คงทอง ฆ้องวงใหญ่ 0826465557 สุที’สุที’ ธีระยุทธ’ ชื่อ-สกุล เครื่องมือเอก เบอร์ Facebook นายจตุรพร ตั้งสุย ปี่ใน 0917543238 Mafear Jaturaporn ชื่อ-สกุล เครื่องมือเอก เบอร์ Facebook สุชาดา ฤทธิ์เดชา ซออู้ 0937637791 สุชาดา ฤทธิ์เดชา
18 ขอขอบพระคุณ ผู้สนับสนุนโครงการนำเสนอผลงานทางดนตรีไทย คอนเสิร์ตมิติรสเพลงไทย ครั้งที่ 12 “กรายท่า ลีลาบรรเลง” อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา คณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ สำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา สำนักงานคณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา สาขาวิชาดนตรีไทย คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา สาขาวิชาดุริยางค์ศิลป์ตะวันตก คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา วิทยาลัยการดนตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดสงขลา โรงเรียนนวมินทราชูทิศ ทักษิณ โรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา โรงเรียนวรนารีเฉลิม จังหวัดสงขลา โรงเรียนเทศบาล 1 บ้านเขาแก้ว อาจารย์โอภาส อิสโม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ไชยวุธ โกศล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รัชวิช มุสิการุณ
19 อาจารย์ ดร.สกลพัฒน์ โคตรตันติ อาจารย์ ดร.สุณิสา ศิริรักษ์ อาจารย์อานันท์ นาคคง