The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

มาปลูกผักไร้ดินกันเถือ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by แจ๊ค พอต, 2025-02-24 07:29:33

0501ก้องภพ ฟักแก้ว

มาปลูกผักไร้ดินกันเถือ

มาปลููกผััก ผัั ไร้ดิน กัันเถอะ สำสำสำสำ สำสำ นันัก นันั พิพิมพิพิพ์พ์ พ์พ์ 999การพิพิมพิพิพ์พ์ พ์พ์ 99.


คำ นำ การปลูกพืชไร้ดินหรือที่เีรียกว่า โฮโดรโปนิกส์ ( Hydroponics ) เป็น วิธีการปลูกพืชเลียนแบบการปลูกพืชบนดินโดยไม่ใช้ดินเป็นวัสดุในการปลูก เพ่ือหลีกเลี่ยงปัญหาเรื่องโรคต่างๆได้ผลผลิตสูง มีคุณภาพ โดยมีการจัด ปัจจัยต่างๆ เช่น น้า แร่ธาตุ แสงอุณหภูมิให้แก่พืชอย่างเหมาะสม การ ปลูกพืชไร้ดินมีข้อเสียที่ส้าคัญคือ ต้นทุนในการผลิตพืชผักราคาแพงและมี คุณประโยชน์ไม่แตกต่างจากพืชที่ปลูกจากดิน แต่มีข้อดี ที่สำ คัญ คือ ปลอดสารพิษ ก้องภพ ฟักแก้ว กุมภาพันธ์ 2568


สารรบัญ ความหมายของกำ รปลกู พืชไร้ดิน.........................................................................1 ระบบในการปลูกผักไร้ดิน 3 ชนิด มีดังนี้...............................................................2 วิธีการปลูกพืชไร้ดิน...............................................................................................3 การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ในกล่องโฟม..................................................................4 ข้อดีและข้อเสียของการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน.........................................................10 ประโยชน์ของพืชไร้ดินต่อ ผู้บริโภค........................................................................11


ความหมายของการปลูก พืชไร้ดิน การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน มีชื่อเรียกในภาษาไทยหลายชื่อ เช่น การปลูกพืชไร้ดิน การปลูก พืช ในน้ำ ที่มีธาตุอาหารพืช การปลูกพืชในสารอาหารพืช การปลูกพืชในวัสดุปลูกท่ีไม่ใช้ดินที่มีธาตุอาหารพืช การปลูกพืชโดยให้รากพืช สัมผัสสารอาหารโดยตรงที่ไม่มีดินเป็นเครื่องปลูก สามารถอธิบายได้ 2 ลักษณะ ตาม ระบบหรือวิธีการปลูกและความหมายของคำ ที่แปลมาจากภาษาอังกฤษ 2 ค้า คือค้าว่า SoillessCulture และค้าวา่ Hydroponics วัสดุปลูกที่เป็น อินนทรีย์สาร คือ (1) วัสดที่ เกิดขึ้น เองตามธรรมชาติ เช่น ทราย กรวด หิน เกล็ด หินภูเขาไฟ หินซลีท์ (2) วัสดุที่ผ่านขบวนการโดยใช้ความร้อน เช่น ดินเผา เม็ดดินเผา ใยหินหรือร็อควูล เพอร์ไลท์เวอร์มิค ู ไลไลน์ (3) วัสดุเหลือใช้จากโรงงานอุตสาหกรรม เช่น เศษอิฐจากการท้าอิฐมอญ เศษดินเผา จากโรงงานเคร่ืองปั้นดิน เผา 1


วิธิ ี การปลูก พืชไร้ดิน 1. การเพาะกล้า - นำ วัสดุปลูก ท่ีเตรียมใส่ในถ้วยเพาะ - นำ เมล็ด พันธ์หยอดใส่ถ้วยเพาะทำ ให้เมล็ดจมลงไปในวัสดุปลูกประมาณ 1 ซม. - พ่นด้วยน้ำ สะอาดทกุกวัน - เมื่อกล้าเริ่มออกใบจริง (ใบที่1 ) เริ่มให้สารละลายอาหารแก่ต้นกลา้ ด้วยการรดเบาๆ - ควรเพาะต้นกล้า ที่มีแสงแดดพอประมาณ และประมาณ3 วัน ต้นกล้าก็ จะงอก 3. การปลูก - เตรียมสารละลายคล้ายกับที่นำ ไปรดต้นกล้า แต่เพ่ิ่มปริมาณ C.F. ประมาณ 8 – 10 C.F - ปั้มสารละลายจากถังอาหารไปเลียงโต๊ะ ปลูก - ควรให้มีอัตราการไหลกลับของสารอาหารประมาณ 1 - 2 ลิตร/นาที/ ราง - แยกต้นกล้าแต่ละถว้ยเพาะลงในหลมุ ควรปลูกที่มี แสงแดดพอ สมควร - ทดสอบดูว่าสารละลายอาหารสัมผัสกับก้นถ้วยปลูกหรือไม่ และตรวจ สอบ ค่าC.F. และคา่ pH ทุกวัน - หลังจากแยกปลูกประมาณ 1 สัปดาห์ ควรเพิ่มค่า C.F. ให้เป็น ประมาณ 12 C.F. , pH ประมาณ 6.5 – 7.0 - ยา้ ยกล้าปลูกประมาณ 30 วัน ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้ 2. การเตรียมสารอาหาร - นำ สารละลาย Aและ B มาอย่างละเท่าๆกัน (5 ซ.ี ซี) - ผสมลงไปในนา้ สะอาดประมาณ 10 ลติ ร - ทดสอบความเขม็ ขน้ ของสารอาหารด้วย C.F. Meterปรับความเข้มข้นให้ได้ ประมาณ 5-6 C.F - ทดสอบค่า PH ด้วย PH Meter ปรับด้วยสารปรับ pH ให้ได้ค่า pH ประมาณ 6.5 –7.0 - นา้ ไปรดต้นกล้าเบาๆ วันละครังตอนเช้า ส้าหรับตอนบ่ายรดด้วยน้าเปลา่ - ประมาณ 15 วัน กส็ ามารถท่จี ะยา้ ยตน้ กล้าออกไปปลกู ได้แล้ว 3


ระบบในการปลูกผักไร้ดิน 3 ชนิด มีดังนี้ 1. การปลูกโดยให้สารละลายธาตุอาหารไหลผ่านรากผักเป็นแผ่นบาง ๆ อย่างต่อเนื่อง (Nutrient Film Technique : NFT) วิธีนี้คือการให้สารละลายธาตุอาหารพืช ไหลผ่านรากพืชที่ปลูกบนรางตามความลาดชันของรางปลูกอย่างช้าๆ เป็นแผ่นฟิล์มบางๆ ประมาณ 1-3 มิลลิเมตร พืชที่ปลูกได้ดีและนิยมปลูกในระบบนี้ ได้แก่ ผักกินใบจำ พวกผักสลัด มีอายุยาวประมาณ 45-50 วัน 2. การปลูกโดยให้สารละลายธาตุอาหารไหลผ่านรากผักในระดับลึก (Deep Flow Technique : DFT) การปลูกผักโดยวิธีนี้เหมือนการปลูกแบบลอยน้ำ ซึ่งสามารถปลูกได้ดีในที่ที่มีแดดจัด โดยวิธีนี้จะมีช่องว่างระหว่างแผ่นปลูกกับสารละลายธาตุอาหารพืชประมาณ 3-5 เซนติเมตร เพื่อให้รากผักบางส่วนถูกอากาศ และบางส่วนอยู่ในสารละลายธาตุอาหารพืช ผักที่ปลูกได้ดีและนิยมปลูกในระบบนี้ ได้แก่ ผักไทย (ผักกินใบที่มีอายุสั้น ประมาณ 20-30 วัน) เช่น ผักคะน้า ผักบุ้ง ผักโขม 3. การปลูกโดยให้สารละลายธาตุอาหารและอากาศไหลวนผ่านรากผักในระดับลึกอย่างต่อเนื่อง ในถาดปลูก (Dynamic Root Floating Technique : DRFT) ระบบนี้พัฒนามาจากระบบ DFT โดยเพิ่มการไหลเวียนของอากาศและสารละลายธาตุอาหารพืช ผักที่ปลูกได้ดีและนิยมปลูก ได้แก่ ผักไทย 2


การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ในกล่องโฟม การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ในกล่องโฟม : เมล็ดพันธุ์ ให้เลือกเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพ สดใหม่ จากร้านค้าที่เชื่อถือได้ ซึ่งการปลูกในระบบนี้จะนิยมกับผักทาน ใบที่มีระบบรากสั้น เช่น ผักสลัด สะระแหน่ ขึ้นฉ่าย โหระพา ต้นหอม ผักชี เป็นต้น ส่วนการซื้อเมล็ดพันธุ์ แนะนำ ให้ซื้อครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง จะดีกว่าการซื้อครั้งละจำ นวนมาก เพราะเมล็ดผักที่เก็บไว้ นานมักจะเสื่อมสภาพ ส่งผลให้อัตราการงอกต่ำ สำ หรับเมล็ดพันธุ์ที่แกะซองแล้วใช้ไม่หมด ให้นำ เมล็ดที่เหลือไปแช่ในตู้เย็นในช่องสำ หรับเก็บผัก จะช่วยยืดอายุเมล็ดพันธุ์ได้นานมากกว่าการเก็บในอุณหภูมิห้อง โดยการเก็บจะต้องนำ เมล็ดใส่ในซองกระดาษเพื่อดูดซับความชื้นแล้วห่อด้วยถุงพลาสติกอีกชั้น แล้วมัดด้วยยางให้แน่น เพื่อกันความชื้นเข้ามาสัมผัสกับเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย A และ B เป็นสารอาหารสำ หรับพืชเพื่อใช้ในการเจริญเติบโต โดยจะแบ่งเป็นแบบแห้ง (ต้องนำ มาผสมเอง) และ แบบน้ำ ซึ่งจะแบ่งเป็น ปุ๋ยสูตร A ส่วนใหญ่จะมีส่วนแดง และ ปุ๋ย B ส่วนใหญ่จะมีสีเขียวอ่อน โดยวิธีการใช้จะให้ผสมสูตร A ลงในน้ำ ก่อน แล้วค่อยตามด้วยสูตร B ในอัตราส่วนที่ผู้ผลิตกำ หนด และหลังจากผสมเสร็จหากใช้ไม่หมด ให้เก็บไว้ในพื้นที่ทึบแสง เพื่อป้องกันปุ๋ยตกตะกอน และ เสื่อมสภาพ ถ้วยปลูก ใช้สำ หรับเป็นตัวล็อกพืชผักกับฟองน้ำ ให้เข้ากับฝาโฟมที่เจาะรู และ กันไม่ให้ผักตกลงไป ในกล่องโฟม ซึ่งถ้วยปลูกจะมีให้เลือกด้วยกัน 2 แบบ แบบสีเขียว จะบางและมีอายุการใช้งานที่สั้น และ แบบสีขาว จะหนาและมีอายุการใช้งานที่นานกว่า : ถาดเพาะ และ ฟองน้ำ ถาดเพาะ ใช้สำ หรับอนุบาลกล้าผักบนแผ่นฟองน้ำ โดยเลือกถาดเพาะที่ขอบไม่สูงมาก เกินไป เพราะจะบดบังแสงแดดจนทำ ให้ผักโตได้ช้า รวมถึงมีขนาดเหมาะสมกับฟองน้ำ และ เหลือช่องว่างระหว่างขอบถาดกับฟองน้ำ ให้น้อยที่สุด เพื่อป้องกันการเกิดตะไคร้น้ำ ฟองน้ำ ใช้สำ หรับเพาะเมล็ด เพาะกล้าผัก รวมถึงใช้สำ หรับให้ต้นผักยึดเกาะได้ในขณะ ปลูก โดยฟองน้ำ จะมีรอยบาก เพื่อให้สามารถหยอดเมล็ดลงไปได้ อุปกรณ์วัดค่า EC และ ค่า pH เพื่อใช้สำ หรับวัดค่าน้ำ ซึ่งค่าทั้ง 2 นี้มีผลต่อการเจริญเติบโตต่อพืชอย่างมาก โดยค่า EC คือ ค่าการนำ ไฟฟ้าในน้ำ และ เป็นตัวบ่งบอกถึงปริมาณของสารอาหารที่มีอยู่ หลัง จากผสมปุ๋ยแล้วควรมีความเข้มข้นประมาณ 1,400-1,700 S/cm. ค่า pH เป็นค่าความเป็นกรด-ด่างของน้ำ โดยค่าที่เหมาะสมจะทำ ให้พืชสามารถดูดซึมแร่ธาตุได้ สำ หรับ การปลูกผักไฮโดรโปนิสก์ค่า pH จะอยู่ที่ประมาณ 6.0 4


กล่องโฟมพร้อมฝา กล่องโฟมจะใช้เป็นภาชนะในการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ โดยให้เลือกกล่องโฟมที่มีความกว้างประมาณ 35-40 ซม. (สามารถปลูกได้ 2 แถว) ส่วนความยาวขึ้นอยู่กับขนาดของพื้นที่ และ ความสูงประมาณ 15- 20 ซม. สำ หรับฝาโฟมให้ใช้คัตเตอร์เจาะรู ให้มีขนาดพอที่ถ้วยปลูกจะสามารถใส่แล้วไม่ตกลงไป และ มีระยะห่าง ระหว่างรูประมาณ 20 ซม. เป็นระยะที่เหมาะสมในการปลูก ถ้าใกล้กันกว่านี้เมื่อเจริญเติบโตมากขึ้น ก็อาจ บดบังแสงแดด รวมถึงเป็นจุดซ่อนตัวของศัตรูพืชต่างๆ ได้ 5


ขั้นตอนวิธีปลูก ชุดผักไฮโดรโปนิกส์ แบบน้ำ นิ่ง 1 I นำ ฟองน้ำ มาวางลงในถาดเพาะแล้วเทน้ำ จากนั้นใช้มือกดฟองน้ำ เพื่อให้ฟองน้ำ ดูดซับน้ำ เข้าไปให้มาก ที่สุด สังเกตได้เมื่อน้ำ ถูกดูด ฟองน้ำ จะมีลักษณะที่ฉ่ำ น้ำ มากขึ้น และ ให้น้ำ มีความสูงประมาณครึ่งหนึ่งของ ความหนาฟองน้ำ 2 I นำ เมล็ดมาหยอดตามรอยบากของฟองน้ำ โดยจะไม่กดให้เมล็ดลงไปจนลึกด้านล่าง แต่ให้เมล็ดอยู่ระดับเดียวกันกับผิวฟองน้ำ ซึ่งช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเพาะเมล็ด จะเป็นช่วงเย็นถึงหัวค่ำ เมื่อหยอดเมล็ดเสร็จแล้วให้สเปรย์พ่นน้ำ ที่ผิวหน้าอีกรอบหนึ่ง เพื่อให้ฟองน้ำ ฉ่ำ น้ำ เต็มที่ จากนั้นนำ ภาชนะมาครอบถาดเพาะไว้ให้มืดสนิท ใช้เวลา ประมาณ 2 วัน เมล็ดก็จะเริ่มงอกออกมา 6


3 I ให้ย้ายถาดเพาะไปรับแสงแดดใต้ซาแรนพรางแสง 50% และฉีดพ่นสเปรย์ให้ผิว หน้าฟองน้ำ ชุ่มชื้น อย่าปล่อยให้แห้งเด็ดขาด 4 I เมื่อต้นกล้าอายุ 7 วัน จึงเริ่มให้ปุ๋ยได้ การผสมปุ๋ย ให้ใช้ตามอัตราส่วนที่ผู้ผลิตกำ หนด โดยเริ่มจากใช้ไซริงค์ดูดปุ๋ยสูตร A มาผสมเข้ากับน้ำ แล้วคนให้ปุ๋ยกระจายตัวทั่วดีแล้ว จากนั้นค่อยใส่ปุ๋ยสูตร B ผสมน้ำ ตามลงไป หลังจากผสมเสร็จแล้ว ให้วัดค่า EC และ ค่า pH โดยค่า EC ที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 1,400-1,700 S/cm. และ ค่า pH ที่เหมาะสมสำ หรับการปลูกผักไฮโดรโปนิสก์จะ อยู่ที่ประมาณ 6.0 7


5 I การให้ปุ๋ยให้กับพืช ให้เทน้ำ เดิมที่อยู่ในถาดเพาะออกให้จนหมดก่อน จากนั้นนำ น้ำ ปุ๋ยที่ผสมแล้ว เทลงใน ถาดเพาะ ใช้เวลาดูแลอีก 5 วัน ถ้าระหว่างนี้น้ำ ปุ๋ยแห้งเร็วก็ให้ผสมเพิ่มและเทลงไป 6 I เตรียมกล้าผักให้พร้อมสำ หรับปลูก เมื่อผักสลัดอายุได้ 12 วัน จะมีใบจริงประมาณ 2-3 คู่ จึงเริ่มเตรียม กล่องโฟม และ เตรียมย้ายกล้าผักสลัด ขั้นตอนการเตรียมกล่องโฟม เริ่มจากนำ กล่องโฟมที่เตรียมไว้ มาเติมน้ำ สะอาด แล้วตามด้วยการผสมปุ๋ย โดย ผสมตามสูตรที่ผู้ผลิตกำ หนด จากนั้นปิดฝากล่องโฟมที่มีรูพร้อมสำ หรับปลูก นอกจากนี้สามารถใช้พลาสติกมาปู ด้านในกล่อง เพื่อป้องกันอีกชั้นไม่ให้น้ำ ซึมออกมาจากกล่อง เตรียมกล้าผักสลัด ใช้มือฉีกฟองน้ำ ให้กล้าผักหลุดออกมาพร้อมฟองน้ำ ของแต่ละต้น จากนั้นนำ ไปใส่ในถ้วยปลูก แล้วหย่อนใส่ลงในฝากล่องโฟมที่เจาะรูไว้แล้ว และควรสังเกตให้ดีว่า ฟองน้ำ สัมผัสกับผิวน้ำ แล้วหรือยัง เพื่อให้ พืชสามารถดูดธาตุอาหารได้ 8


7 I ลดระดับน้ำ ในกล่องลง เมื่อผักสลัดมีอายุ 27-28 วัน ให้ตักปุ๋ยออกเพื่อลดระดับน้ำ ภายในกล่อง ให้มีช่องว่าง ระหว่างก้นถ้วยปลูกกับผิวน้ำ ประมาณ 1 นิ้ว ในระหว่างนั้นถ้าน้ำ มีปริมาณน้อยลง ก็ให้เติมน้ำ สะอาดเข้าไปแทน 8 I ลดค่าไนเตรทก่อนเก็บเกี่ยว เมื่อผักสลัดอายุ 35 วัน ให้เปลี่ยนน้ำ ปุ๋ยเป็นน้ำ สะอาดทั้งหมด เพื่อลดค่าไน เตรทที่จะสะสมในผักลง จนกระทั่งผักสลัดอายุ 40-45 วัน ก็พร้อมเก็บเกี่ยวได้แล้ว โดยเวลาที่เหมาะสมที่สุดจะ เป็นช่วงก่อนพระอาทิตย์ขึ้น จะทำ ให้ผักสลัดที่ได้ไม่ขม หวานกรอบอร่อย 1 9


ข้อดีข้อเสียของการปลูก พืชโดยไม่ใช้ดิน ข้อดี 1. สามารถทำ การเพาะปลูกพืชได้ในบริเวณพืนที่ท่ีดินไม่ดีหรือสภาพแวดล้อมไม่ เหมาะสมต่อการเพาะปลกู 2. ให้ผลผลิตต่อพืนที่ปลูกสูง กว่า และสามารถทำ การ ผลิต ได้สม่ำ เสมอ และต่อ เนื่อง 3. อตัราการใช้แรงงานเวลาในการปลูก และค่าใช้จ่ายต่ำ กว่า 4. ใช้น้า และธาตุอาหารได้อย่างประหยัด และมีประสิทธิภาพ เช่น ใช้น้ำ ลดลงถึง 10 เท่าตัวของการปลูกแบบธรรมดา 5. ประหยัดเวลา และแรงงานในการเตรียมดิน และกำ จัดวัชพืช 6. ลดคา่ ใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการใช้สารป้องกันและกำ จัดแมลงได้ 100% 7. สามารถปลูกได้ใ้นเมืองเพราะใช้พืนที่น้อยทำ ให้ประหยัดค่า ขนส่ง 8. ผลผลิตมีคุณภาพ และไมมี สารพิษตกค้าง และไม่มีปัญหาเก่ียวกับศัตรูพืชที่เกิดจาก ดิน 9. ผลผลิต คุณภาพ และราคา ดีกว่าการปลูกบนดินมาก เพราะสามารถควบคุม สภาพแวดล้อมต่างๆท่ีเกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของพืชได้อย่างถูกต้องแน่นอนและ รวดเร็ว 10. ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมดา้นตา่งๆ เช่น สารเคมีตกค้างในดิน การบุก รุกทำ ลาย ป่า เป็นต้น ข้อเสีย 1. การลงทุนต้นสูงกว่าการปลูก บนดิน 2. ผู้ปลูก ต้องมีความรู้ความเข้าใจในเทคนิคการปลกู พืชแบบไร้ดินเป็นอย่างดีและมี ประสบการณ์มากพอในการควบคุมดูแล 3. ต้องการการควบคุมดูแลอย่างสม่ำ เสมอ 10


ประโยชน์ของพืชไร้ดินต่อ ผู้บริโภค การบริโภคพืชไร้ดินจะมีแร่ธาตุอาหารต่างๆ ไม่แตกต่างจากพืชที่ปลูกจากดิน และยังมีคุณค่าที่ดีกว่า คือ ปลอดสารพิษ การปลูกพืชไร้ดินเป็นการน้า สารละลายธาตุ อาหารมาละลายให้เหมาะสมต่อความต้องการของพืช เช่นเดียวกับพืชปลูก ในดินแตกต่างกันตรงที่พืชปลูกบนดินจะต้องอาศัยจุลินทรีย์มาเปลี่ยนซาก พืชซากสัตว์ ปุ๋ย หรือแร่ธาตุต่างๆ ให้เป็นสารอาหาร ซึ่งบางครังหากในดินมีธาตุโลหะหนัก เช่น ดีบุกแคทเมียม ซ่ึงเป็นพิษต่อผู้บริโภค จุลินทรีย์เปลี่ยนให้พืชสามารถ ดูดธาตุโดยวิธีการ อิออนเข้าไปได้ แต่ใ่ นการปลูกพืชไร้ดิน จะสามารถควบคมุ ธาตุอาหารที่มี ความจำ เป็นในการเจริญ เติบโตของพืช และไม่เป็น อันตรายต่อ ผู้บริโิภค จะมีข้อเสียบ้างเล็กน้อยเรื่องไนเตรดซึ่งสามารถแก้ไขได้ 11


บรรณานุกรม กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์: http://www.servicelink.doae.go.th/corner%20book/book%2005/Hydropronic.pdf 2. สภาเกษตรกรแห่งชาติ :https://www.nfc.or.th/content/7487. kasetgo.com :https://kasetgo.com/t/topic/689929. การ์เด้นท์ ฟาร์ม : https://gardenandfarm.baanlaesuan.com/342152/farming-101/hydroponics_set


Click to View FlipBook Version