The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

John Dewey(จอห์น ดิวอี้) ประวัติและแนวคิดการเรียนแบบการสอนแบบ Learning by doing

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

๋John dewey

John Dewey(จอห์น ดิวอี้) ประวัติและแนวคิดการเรียนแบบการสอนแบบ Learning by doing

รายงาน นักจิตวิทยาสำหรับครู John Dewey โดย นางสาวพิกุลทอง ปิยวัชรเมธา ห้อง 1 รหัส 6622610105 เสนอ อาจารย์ ดร.รอง ปัญสังกา รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาจิตวิทยาสำหรับครู (EA105) หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 วิทยาลัยสันตพล


ค ำน ำ รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของจิตวิทยาสำหรับครู(EA105) จัดทำขึ้นเพื่อให้นักศึกษาได้ศึกษา หาความรู้เกี่ยวกับ จิตวิทยาของ จอห์น ดิวอี้โดยรายงานเล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับแนวคิดและทฤษฎีของ จอห์น ดิวอี้ พร้อมทั้งกล่าวถึงแนวคิดการเรียนแบบการสอนแบบ Learning by doing ผู้จัดทำคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดทำเอกสารฉบับนี้จะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจ ศึกษาข้อมูลจิตวิทยาที่ส่งผลต่อการศึกษาของจอห์น ดิวอี้ พิกุลทอง ปิยวัชรเมธา


สารบัญ เรื่อง หน้า 1. ประวัติจอห์น ดิวอี้............................................................................................1 2. ประวัติการทำงาน............................................................................................ 1 3. ผลงานที่โดดเด่น.............................................................................................. 2 4. แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการคิดของจอห์น ดิวอี้................................................. 3 5. หลักปฏิสัมพันธ์หลักปรัชญา........................................................................... 3 6. สำหรับแนวคิดการเรียนแบบการสอนแบบ Learning by doing................... 4 7. ทฤษฎีเรียนผ่านการลงมือทำ........................................................................... 4 8. บรรณาณุกรม.................................................................................................. 5


John Dewey 1. ประวัติจอห์น ดิวอี้ จอห์น ดูวอี้(John Dewey) เกิดวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 1859 และเสียชีวิตในวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 1952 ในมหานครนิวยอร์กนิวยอร์ก ดิวอี้เป็นนักปรัชญา นักจิตวิทยา และนักปฏิรูปการศึกษาชาวอเมริกัน สำเร็จ การศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเวอร์มอนต์ ในปี ค.ศ. 1879 หลังจากนั้นใช้เวลาว่างช่วงสั้น ๆ เป็น อาจารย์สอนพิเศษที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ก่อนจะกลับมาศึกษาต่อจนจบปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอปกินส์ในปี ค.ศ. 1884 2. ประวัติการทำงาน จอห์นดิวอี้จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเวอร์มอนต์และใช้เวลาสามปีในฐานะครูโรงเรียนมัธยมศึกษาที่ เมืองน้ำมันเมืองเพนซิลเวเนีย จากนั้นเขาก็ใช้เวลาเรียนปีหนึ่งภายใต้การแนะนำของ G. Stanley Hall ที่ John 1


Hopkins University ใน ห้องปฏิบัติการจิตวิทยาแห่งแรก ของอเมริกา หลังจากได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิต จาก John Hopkins, Dewey ไปสอนที่มหาวิทยาลัยมิชิแกนมาเกือบทศวรรษ ปีค.ศ.1894 ดิวอี้ยอมรับตำแหน่งในฐานะประธานภาควิชาปรัชญาจิตวิทยาและการสอนที่มหาวิทยาลัย แห่งชิคาโก ที่มหาวิทยาลัยชิคาโกดิวอี้เริ่มทำตามความเห็นของเขาที่จะมีส่วนอย่างมากต่อโรงเรียนแห่งความคิดที่ เรียกว่าลัทธิปฏิบัตินิยม ผู้เช่าส่วนกลางของลัทธิปฏิบัตินิยมคือคุณค่าความจริงหรือความหมายของแนวคิดอยู่ในผล ที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติดิวอี้ยังช่วยสร้างโรงเรียนทดลองของมหาวิทยาลัยชิคาโกซึ่งเขาสามารถใช้ทฤษฎีการสอน ได้โดยตรง ในที่สุดดิวอี้ออกจากมหาวิทยาลัยชิคาโกและกลายเป็นศาสตราจารย์ด้านปรัชญาที่มหาวิทยาลัย โคลัมเบียตั้งแต่ปีค. ศ. 1904 และในปรถัดมาดิวอี้ได้รับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีของ สมาคมจิตวิทยาอเมริกัน ผลงานทางจิตวิทยา งานของดิวอี้มีอิทธิพลสำคัญต่อจิตวิทยาการศึกษาและปรัชญาและเขามักถูกมองว่าเป็นหนึ่งในนักคิดที่ ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20 การให้ความสำคัญกับการศึกษาที่ก้าวหน้าของเขามีส่วนอย่างมากต่อการใช้การ ทดลองแทนที่จะใช้วิธีการแบบเผด็จการเพื่อความรู้ ดิวอี้ยังเป็นนักเขียนที่อุดมสมบูรณ์และได้เผยแพร่หนังสือ เรียงความและบทความเกี่ยวกับหัวข้อต่างๆมากมายรวมทั้งการศึกษาศิลปะธรรมชาติปรัชญาศาสนาวัฒนธรรม จริยธรรมและประชาธิปไตยในอาชีพการเขียนหนังสือ 65 ปีของเขา ปรัชญาการศึกษา ดิวอี้เชื่อมั่นว่าการศึกษาไม่ควรเป็นเพียงแค่ครูเท่านั้นที่ทำให้นักเรียนได้เรียนรู้ข้อเท็จจริงที่ไม่สนใจซึ่งพวก เขาจะลืมไปในไม่ช้า เขาคิดว่ามันควรจะเป็นการเดินทางที่มีประสบการณ์สร้างความเข้าใจซึ่งกันและกันเพื่อสร้าง และทำความเข้าใจกับประสบการณ์ใหม่ ๆ ดิวอี้รู้สึกว่าโรงเรียนพยายามที่จะสร้างโลกแยกออกจากชีวิตของ นักเรียน กิจกรรมของโรงเรียนและประสบการณ์ชีวิตของนักเรียนควรจะเชื่อมต่อ Dewey เชื่อหรือการเรียนรู้ที่ แท้จริงจะเป็นไปไม่ได้ ตัดนักเรียนออกจากความสัมพันธ์ทางจิตวิทยาของพวกเขาเช่นสังคมและครอบครัวจะทำให้ การเดินทางการเรียนรู้ของพวกเขามีความหมายน้อยลงและทำให้การเรียนรู้ไม่ค่อยจดจำในทำนองเดียวกันโรงเรียน ยังต้องเตรียมนักเรียนเพื่อชีวิตในสังคมโดยการสังสรรค์พวกเขา 3. ผลงานที่โดดเด่น ดิวอี้เขียนหัวข้อต่างๆ อย่างกว้างขวาง รวมถึงการศึกษา ประชาธิปไตย และจริยธรรม ผลงานที่โดดเด่น ของเขา ได้แก่ "The School and Society" (1899), "Democracy and Education" (1916) และ "Experience and Education" (1938) 2


4. แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการคิดของจอห์น ดิวอี้ ดิวอี้ให้ความสำคัญของการคิดว่า “เป็นวิธีการเรียนรู้ทางสติปัญญา” (Thinking is the method of intelligent learning) ที่เกิดจากความต่อเนื่อง ของประสบการณ์และการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม เมื่อผู้เรียน ได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากการลงมือปฏิบัติกิจกรรมโดยใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าผ่าน กระบวนการคิด มีผลทำให้เกิด ประสบการณ์ในการเรียนรู้ เกิดความรู้ ความจำ ความเข้าใจ สมองจดจำประสบการณ์ต่างๆ และถูกบันทึกไว้ สามารถนำกลับมาใช้เมื่อต้องการ และเมื่อสมองได้รับปัญหาหรือเหตุการณ์ใหม่ๆ อีกก็สามารถนำประสบการณ์เดิม มาใช้ซึ่งสามารถปฏิบัติการได้ดีกวาเดิม ทั้งนี้เพราะสมองมีประสบการณ์ในการแก้ปัญหามาแล้วนั้นเอง จึงเรียก กระบวนการนี้ ว่าการนำไปประยุกต์ใช้ แต่การเรียนรู้ดังกล่าวยอมค่อยเป็นค่อยไป ต้องอาศัยทักษะการคิด ที่ถูก ส่งเสริมและพัฒนาอยางเป็นระบบ มีขั้นตอนจากการจัดสถานการณ์ และจัดสิ่งแวดล้อม ที่แตกต่างกันไป นับเป็น การวางแผนพัฒนาสติปัญญาเด็กปฐมวัยอย่าง เป็นระบบ และวิธีการนั้นคือ การใช้ทักษะการคิดในการสร้างองค์ ความรู้ด้วยตนเอง โดยการเข้าไปมีส่วนร่วม ในการปฏิบัติตามขั้นตอนการเรียนรู้ของกิจกรรมวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็น แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการคิดของจอห์น ดิวอี้(John Dewey) มีขั้นตอนตามลำดับ ดังนี้ 1.ขั้นตระหนักในปัญหา (การงุนงงสงสัย) 2.การคาดการณ์ว่าอะไรที่เป็นเหตุแห่งความสงสัย (ไม่เข้าใจ) 3.การสำรวจตรวจสอบอยางรอบคอบ (การค้นคว้า การวิเคราะห์การสังเกตุการสำรวจ) 4.การตั้งและขยายสมมติฐาน (รวบรวมข้อมูลเพื่อหาแนวทางการแกปัญหา) 5.ตรวจสอบหรือทดลองว่าสมมติฐานเป็นจริง 5. หลักปฏิสัมพันธ์หลักปรัชญา หลักปฏิสัมพันธ์หลักปรัชญาและหลักการจัดกิจกรรม ซึ่งแต่ละหลักการจะมีหลักการย่อย ๆ เป็นส่วน ขยายทฤษฎีให้สมบูรณ์และน่าเชื่อถือมากยิงขึ้นดังได้สรุปและนำเสนอไว้เป็นแนวทาง 5.1 หลักปฏิสัมพันธ์ตามแนวคิดทฤษฎีของจอห์น ดิวอี้ หลักปฏิสัมพันธ์ เป็นวิธีการสถานการณ์ให้เด็กเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม เมื่อเด็กมี ปฏิสัมพันธ์ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า จะก่อให้เกิดประสบการณ์การเรียนรู้ เพราะสิ่งแวดล้อมคือตัวกำหนด องค์ความรู้ และเมื่อเด็กเข้าไปมีส่วนร่วมในการสร้างองค์ความรู้ ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่องความต่อเนื่อง ของประสบการณ์จะช่วยเพิ่มพูนองค์ความรู้และช่วยพัฒนาระดับสติปัญญาของเด็กให้สูงขึ้นและ องค์ประกอบนั้นคือ 3


- เด็กปฐมวัย เมื่อเด็กมีความพร้อมด้านอารมณ์และด้านสติปัญญา เด็กมีความสนใจ ใคร่รู้ มีศักยภาพ ในการรับรู้ เรียนรู้ สามารถกาหนดเป้าหมายแห่งการเรียนรู้ และสนองต่อความต้องการของตนเอง บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ การเรียนรู้ก็ประสบผลสำเร็จ - สิ่งแวดล้อม คือปัจจัยทางสังคม ประกอบด้วยสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการมีปฏิสัมพันธ์และประกอบกันเป็น สถานการณ์ให้เด็กเข้าไปมีส่วนร่วม เช่น สื่อ แหล่งเรียนรู้ 5.2 หลักปรัชญาตามแนวคิดทฤษฎีของจอห์น ดิวอี้ การศึกษา คือ ประสบการณ์แห่งชีวิต ประสบการณ์ก่อให้เกิดการเรียนรู้ 5.3 หลักการจัดกิจกรรมตามแนวคิดทฤษฎีของจอห์น ดิวอี้ การจัดกิจกรรม เน้นกระบวนการเสาะแสวงหาความรู้มากกวาการสอนเนื้อหา 6. สำหรับแนวคิดการเรียนแบบการสอนแบบ Learning by doing เรียนรู้ผ่านการลงมือทำ เป็นแนวคิดที่มาจาก จอห์น ดิวอี้ (John Dewey) นักปรัชญาชาวอเมริกัน ที่ เชื่อว่า “มนุษย์จะต้องปรับตัวเพื่อให้ชีวิตอยู่รอด” สิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องสำคัญและจะ ต้องนำไปใช้เป็นแนวคิดของ การจัดการศึกษา ที่ต้องเน้นฝึกให้มนุษย์แก้ปัญหา เพื่อให้เกิดการเรียนรู้จากการกระทำ นอกจากนี้ต้องได้ฝึก ปฏิบัติ ฝึกคิด ฝึกลงมือทำ ฝึกทักษะกระบวนการต่างๆประสบการณ์ที่มนุษย์พบหรือเผชิญ มีอยู่ 2 ประเภทดังนี้ • ขั้นปฐมภูมิ เป็นประสบการณ์ที่ไม่เป็นความรู้ หรือยังไม่ได้คิดแบบไตร่ตรอง • ขั้นทุติยภูมิคือที่เป็นความรู้ ได้ผ่านการคิดไตร่ตรอง ประสบการณ์ขั้นแรกจะเป็นรากฐานของขั้น ทุติยภูมิ 7. ทฤษฎีเรียนผ่านการลงมือทำ ลักษณะสำคัญของหลักทฤษฎี Learning by doing นั้นก็แปลได้ตรงตัวตามชื่อเลย คือการเรียนรู้ด้วย ตนเอง โดยการเรียนรู้ด้วยตนเองนี้คือการที่ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติ เกิดความสัมพันธ์โดยตรงกับสิ่งที่ต้องการเรียนรู้ โดยผู้เรียนจะเกิดความรู้ขึ้นได้เมื่อได้ลงมือทำ และทั้งหมดนี้เป็นหลักการปรัชญาแบบ John Dewey ซึ่ง สรุปได้ ว่าคนเราจะสามารถเรียนรู้ได้ดีที่สุดจากการที่ได้ลงมือทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง วิธีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองได้ แบ่งเป็น 4 ขั้นตอน • Explore การสำรวจ: เริ่มจากสำรวจตัวเองก่อนว่าสนใจสิ่งใด ชอบสิ่งไหน สำรวจสิ่งต่างๆ รอบตัวว่ามีอะไรเกิดขึ้นเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละวันบ้าง สิ่งต่างๆ รอบตัวทำงานอย่างไร มี ส่วนประกอบอะไรบ้าง • Experiment การทดลอง: เมื่อได้สำรวจสิ่งต่างๆ แล้วขั้นตอนต่อมาก็คือการทดลองว่าสิ่ง เหล่านั้นทำงานอย่างไร เราสามารถต่อยอดทำอะไรได้บ้าง เพื่อให้เกิดการลองลองผิดลองถูก 4


และเรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เป็นการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการเรียนรู้ การทดลอง จะทำให้ผู้เรียนได้ซึมซับ และทำความเข้าใจกับขั้นตอนในการเรียนรู้ • Learning by doing เรียนรู้จากการกระทำ: เมื่อสำรวจ ทดลอง ก็ถึงเวลาที่ได้ลงมือปฏิบัติ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ โดยเป็นการปฏิบัติเพื่อสร้างองค์ความรู้ขึ้นมาจากการรวบรวมข้อมูลที่ได้ จากการสำรวจ และการทดลอง • Doing by learning การกระทำเพื่อให้เกิดการเรียนรู้: เป็นการต่อยอดจากเรียนรู้ทั้งหมด โดย การกระทำสิ่งต่างๆ ที่สัมพันธ์กับการเรียนรู้ การกระทำที่ได้มาจากการได้สำรวจ ทดลอง และ เรียนรู้ด้วยตนเอง 8. บรรณาณุกรม 1. Hickman, P. (2000) John Dewey Muskingum College ภาควิชาจิตวิทยา พบออนไลน์ได้ที่ http://www.muskingum.edu/~psych/psycweb/history/dewey.htm 2. โอนีลเจ (2005) จอห์นดิวอี้พ่อโมเดิร์นแห่งการเรียนรู้ที่มีประสบการณ์Wilderdom.com 3. Learning by doing รูปแบบการเรียนรู้ที่ให้เด็ก ๆ มีความสุขจากการลงมือทำ https://www.lingoace.com/th/blog/learning-by-doing/ 5


Click to View FlipBook Version