The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by benya382, 2021-10-07 13:30:01

การแสดงพื้นบ้านภาคกลาง

กลุ่มที่3

การแสดงเพลงพน้ื บา้ นภาคกลาง

จัดทาโดย 3034632002
3034632006
นายธนวัตร์ สมบญุ 3034632007
นายอัมรนิ ทร์ เยน็ ใจ 3034632013
นางสาวมนัสชนก อ่มิ กูล 3034632016
นางสาวธัญลักษณ์ บญุ เมือง 3034632017
นางสาวอารยี า ดวงจันทร์ 3034632021
นางสาวเบญญา ฉลองสิริกุล
นางสาวรินลนี พวงชะบา

ปรญิ ญาตรปี ที ี่ 2

เสนอ
ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.สุขสนั ติ แวงวรรณ

รายงานน้ีเป็นส่วนหน่ึงของรายวิชาการแสดงพ้ืนบ้านภาคกลาง(30020034)
ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564

วทิ ยาลัยนาฏศิลปอา่ งทอง สถาบันบณั ฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวฒั นธรรม



การแสดงเพลงพน้ื บา้ นภาคกลาง

จัดทาโดย 3034632002
3034632006
นายธนวัตร์ สมบญุ 3034632007
นายอัมรนิ ทร์ เยน็ ใจ 3034632013
นางสาวมนัสชนก อ่มิ กูล 3034632016
นางสาวธัญลักษณ์ บญุ เมือง 3034632017
นางสาวอารยี า ดวงจันทร์ 3034632021
นางสาวเบญญา ฉลองสิริกุล
นางสาวรินลนี พวงชะบา

ปรญิ ญาตรปี ที ี่ 2

เสนอ
ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.สุขสนั ติ แวงวรรณ

รายงานน้ีเป็นส่วนหน่ึงของรายวิชาการแสดงพ้ืนบ้านภาคกลาง(30020034)
ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564

วทิ ยาลัยนาฏศิลปอา่ งทอง สถาบันบณั ฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวฒั นธรรม

คานา

รายงานเล่มนี้จัดทาขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการแสดงพ้ืนบ้านภาคกลาง(30020034)
เพ่ือให้ได้ความรู้ในเร่ือง การแสดงเพลงพื้นบ้านภาคกลางทั้งน้ีในรายงานมีเน้ือหาด้วยความรู้เก่ียวกับ
ประวัติความเป็นมาของการแสดงเพลงในภาคกลางต่างๆ รวมไปถึงองค์ประกอบการแสดงที่สาคัญ
ประกอบไปด้วย จานวนผู้แสดง บทร้อง กลวิธีการเล่น เครื่องแต่งกาย ดนตรี และโอกาสการแสดงตาม
เพลงพ้ืนบ้านภาคกลางนน้ั ๆซ่งึ มีประโยชน์ตอ่ การเรียนการสอนของตนและของครูตอ่ ไป

ท้งั น้ี เน้อื หาไดร้ วบรวมมาจาก หนังสอื และแหลง่ ความรู้จากเวบ็ ไซตท์ ่ีเชือ่ ถอื ได้ ต่างๆอีกมากมาย
ขอขอบพระคุณผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุขสันติ แวงวรรณ ท่ีกรุณาตรวจให้คาแนะนาเพ่ือแก้ไข
ข้อเสนอแนะตลอดการทางาน คณะผู้จัดทาหวังว่ารายงานเล่มน้ีคงมีประโยชน์ต่อผู้อ่านท่ีสนใจศึกษา
การแสดงพ้ืนบ้านภาคกลาง

คณะผู้จัดทา

สารบัญ หน้า

คานา ก
สารบัญ ข-ง
ประวตั ิความเปน็ มาเพลงพื้นบา้ น 1
1. เพลงฉ่อย 2
2
1) ประวัตคิ วามเป็นมาของเพลงฉอ่ ย 3
2) องค์ประกอบการแสดง 3
3
2.1 ผแู้ สดง 4
2.2 บทรอ้ ง 4
2.3 กลวธิ กี ารเลน่ 5
2.4 การแต่งกาย 5
2.5 อปุ กรณท์ ี่ใชแ้ สดง 5
2.6 ดนตรีทีใ่ ช้ประกอบจังหวะการแสดง 6
2.7 โอกาสทใี่ ชแ้ สดง 6
2. เพลงอแี ซว 7
1) ประวัตคิ วามเปน็ มาของเพลงอแี ซว 7
2) องค์ประกอบการแสดง 8
2.1 ผูแ้ สดง 8
2.2 บทรอ้ ง 9
2.3 กลวิธกี ารเลน่ 9
2.4 การแต่งกาย 9
2.5 อุปกรณท์ ีใ่ ชแ้ สดง 9
2.6 ดนตรที ี่ใช้ประกอบจังหวะการแสดง 10
2.7 โอกาสท่ีใช้แสดง 10-12
3. เพลงลาตดั 12
1) ประวัติความเป็นมาของเพลงลาตัด
2) องค์ประกอบการแสดง

2.1 ผแู้ สดง 12
2.2 บทรอ้ ง 12-13
2.3 กลวธิ ีการเลน่ 13
2.4 การแต่งกาย 13
2.5 อุปกรณท์ ่ใี ชแ้ สดง 14
2.6 ดนตรีที่ใชป้ ระกอบจงั หวะการแสดง 14
3) โอกาสที่ใชแ้ สดง 14
4. เพลงเรือ 15
1) ประวตั ิความเป็นมาของเพลงเรือ 15
2) องค์ประกอบการแสดง 15
2.1 ผู้แสดง 15
2.2 บทรอ้ ง 15-16
2.3 กลวธิ กี ารเลน่ 17
2.4 การแต่งกาย 18
2.5 อปุ กรณท์ ี่ใชแ้ สดง 18
2.6 ดนตรีที่ใช้ประกอบจังหวะการแสดง 18
2.7 โอกาสทใี่ ชแ้ สดง 18
5. เพลงเก่ยี วขา้ ว 19
1) ประวตั ิความเปน็ มาของเพลงเกย่ี วขา้ ว 19
2) องค์ประกอบการแสดง 19
2.1 ผู้แสดง 19
2.2 บทรอ้ ง 20-23
2.3 กลวิธกี ารเล่น 23-28
2.4 การแตง่ กาย 28-29
2.5 อุปกรณท์ ีใ่ ชแ้ สดง 29
2.6 ดนตรีทีใ่ ชป้ ระกอบจงั หวะการแสดง 30
2.7 โอกาสทีใ่ ชแ้ สดง 30
6. เพลงราโทน 31
1) ประวตั คิ วามเปน็ มาของเพลงราโทน 31-32

2) องค์ประกอบการแสดง 32
2.1 ผูแ้ สดง 32
2.2 บทรอ้ ง 32-34
2.3 กลวิธีการเลน่ 34-36
2.4 การแตง่ กาย 36-37
2.5 อปุ กรณท์ ใ่ี ช้แสดง 37
2.6 ดนตรที ่ีใช้ประกอบจังหวะการแสดง 37
2.7 โอกาสท่ีใช้แสดง 38
39
บรรณานุกรม

1

ประวตั ิความเปน็ มาเพลงพน้ื บ้าน

เพลงพ้ืนบ้านเกิดจากชาวบ้านเป็นผู้สร้างบทเพลงและสืบทอดกันมาแบบปากต่อปาก
โดยการจดจาบทเพลงเป็นคาร้องง่ายๆ ที่เป็นเรื่องราวใกล้ตัวในท้องถ่ินนั้นๆ จึงทาให้เพลงพ้ืนบ้าน
เป็นสมบตั อิ ันมคี ่าทบี่ รรพบรุ ษุ ส่ังสมเพื่อเป็นมรดกท่ลี ูกหลานไทยตอ้ งดูแล อุปกรณ์การแสดงก็ไมย่ งุ่ ยาก
หาได้ตามชนบททวั่ ไป เช่น กลอง ฉิ่ง ฉาบ กรบั ฯลฯ

เพลงของชาวบ้านในท้องถิ่นต่างๆ ซึ่งแต่ละท้องถิ่นก็ ประดิษฐ์แบบแผนการร้องเพลงของตน
ไปตามความนิยม และ สาเนียงภาษาพูด เพี้ยน แปร่ง แตกต่างกัน เพลงแบบน้ีมักนิยมร้องกันในเวลา
เทศกาลหรืองานท่ีมีการชุมนุมผู้คนในหมู่บ้านมาร่วมรื่นเริงกันช่ัวคร้ังช่ัวคราว เช่น ตรุษสงกรานต์
ขึ้นปใี หม่ ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า และในการลงแขกเอาแรงกัน ในกจิ อันเปน็ อาชีพ เชน่ เก่ียวขา้ ว นวดข้าว
เป็นต้น เพลงที่ต่างถ่ินก็ต่างประดิษฐ์ทานองและถ้อยคาไปตามความนิยมและสาเนียงพูดนี้ แต่ละเมือง
แต่ละตาบลก็ย่อมผิดแปลกกันไปตามพื้นของเมืองและตาบลนั้นๆ เพลงเหล่านี้ได้ฝังตัวติดอยู่ใน
ความทรงจาของชาวเมอื งสบื ต่อกันมาเป็นช้ันๆ อยา่ งแน่น

เพลงพื้นบ้านภาคกลาง มีอิทธิพลมาจากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ การประกอบอาชีพ
วิถีการดาเนนิ ชวี ิต พิธีกรรม และเทศกาลตา่ งๆ เพลงพ้ืนบา้ นภาคกลางท่ีเราพบเหน็ หลักมี 6 เพลงดงั น้ี

1. เพลงฉ่อย
2. เพลงอีแซว
3. เพลงลาตดั
4. เพลงเรอื
5. เพลงเก่ยี วข้าว
6. เพลงราโทน

2

1. เพลงฉอ่ ย
1) ประวตั ิความเป็นมาของเพลงฉอ่ ย

ทม่ี าของภาพ : https://www.google.com/imgres?imgurl=http://channel.sac.or.th

เพลงฉ่อย เป็นเพลงพ้ืนเมือง ท่ีไม่ทราบต้นตอว่าเกิดจากจังหวัดอะไร เป็นการละเล่น
เพลงพ้ืนเมืองที่แพร่หลายมากท่ีสุดเพลงหนึ่ง มีคนร้องเล่นกันอย่างกว้างขวาง ไม่มีเคร่ืองดนตรี
ประกอบการร้องน้ันมีแต่การปรบมือเป็นการให้ประกอบจังหวะอย่างเดียว แต่ส่วนภายหลังเขาเอา
“กรบั ” มาตดี ้วย

เพลงฉ่อยนยิ มเล่นในทกุ จงั หวดั ของภาคกลางและยงั มีชื่อเรียกอืน่ ๆอีก เช่น เพลงไอ้เป๋ เรยี กตาม
ช่ือพ่อเพลงท่ีมีช่ือเสียงในสมัยก่อน เพลงวง เรียกตามลักษณะการยืนเป็นวงเพราะสมัยก่อนไม่มีเวที
ใช้แสดงหรอื เลน่ บนลานกว้าง เพลงฉ่า เรียกตามคารอ้ งรบั ของลกู คู่ที่ร้องว่า “เอชา เอ ชา ชา ชา ฉ่า ชา
หนอ่ ยแม่” เพลงฉ่อยดดั แปลงมาจากเพลงปรบไก่ เพลงเรอื เพลงโคราช และมีการสันนษิ ฐานว่าเพลงฉ่อย
เรม่ิ เลน่ ครง้ั แรกในสมยั ของรชั กาลที่ 5

3

2) องคป์ ระกอบการแสดง

2.1 ผแู้ สดง

แบ่งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ฝ่ายละประมาณ 2-3 คน มีพ่อเพลงและแม่เพลง ในขณะทีพ่ ่อเพลง
แมเ่ พลงรอ้ งโตต้ อบกนั ผเู้ ลน่ คนอน่ื ๆ จะทาหนา้ ที่เป็นลูกคู่

2.2 บทร้อง

เน้ือหาที่ร้องส่วนใหญ่มีทั้งเรื่อง ทางโลก ทางธรรม ชิงชู้ และมักจะมีถ้อยคา ที่มีความหมาย
สองแง่สองง่าม

ตวั อย่างเพลงฉอ่ ย
- เพลง กับขา้ วเพชฌฆาต
- ขบั รอ้ งโดย ขวัญจิต ศรปี ระจันต์ (ศลิ ปนิ แหง่ ชาติ)

- คารอ้ ง – ทานอง จิ๋ว พจิ ิตร

- ดดั แปลงมาจากเพลงฉอ่ ยประยกุ ต์ ตาบลวงั นา้ ซับ อาเภอศรีประจันต์ จงั หวัด สุพรรณบรุ ี

วันนี้เป็นวันเกิด กินเลยี้ งกันเถดิ สนกุ กนั ดี น้องทาอาหารตอ้ งการเลี้ยงพ่ี กบั ข้าววนั น้อี รอ่ ยถงึ ใจ .
(ดนตร)ี

เอ๋ย...เรอื่ งฝีมือทากับขา้ ว คนเขาเลือ่ งลอื กนั ทงั้ เหนอื ใตใ้ ครไมเ่ ทา่ ฉนั

วันนีร้ วมกลมุ่ กันทง้ั หนุ่มสาว ทั้งอาหารหวานคาว ทาไว้

ไม่ตอ้ งลงขันกินกนั เถดิ วันนเ้ี ป็นงานวันเกิดหนอไมเ่ ปน็ ไร

ขอเชิญลมิ้ รสเขา้ มาทดลอง วา่ ฝมี ือของนอ้ งเดด็ แค่ไหน

4

ผดั เผด็ แมวดาต้มยาช้าง เฮ้ยแกงจดื เน้อื ค่างกับกอไผ่

ฉ่ฉู ี่คางคกจ้ิงจกปงิ้ ท้ังตุก๊ แกผัดขงิ ลงิ ยดั ไส้

ชอ้ นผัดพะแนงชะแลงเปรย้ี วหวาน กระบองทอดมนั หัวหวานชบุ ไข่

ซุปไข่ ใส่ลูกระเบิดใสใ่ บบัวบก สะระหมัน่ มีดพก หอ่ หมกปนื ใหญ่

2.3 กลวธิ ีการเล่น

ผู้แสดงยืนเป็นวงมีพ่อเพลงและแม่เพลงส่วนคนที่เหลือทาหน้าท่ีลูกคู่ เร่ิมต้นการร้องเพลงด้วย
การร้องเพลงไหวค้ รู เพลงดาเนนิ เพลงแตง่ ตัว เพลงชม เพลงเพลงรกั เพลงถาม เพลงกระทู้ และเพลงลา
หรอื เพลงอวยพร

2.4 การแตง่ กาย
ผหู้ ญิง นุ่งโจงกระเบนตามแต่ถนดั ใสเ่ ส้ือรดั รปู มสี ีสนั สะดุดตา ทัดดอกไม้

ผชู้ าย นงุ่ โจงกระเบน เสอ้ื คอกลมสีตา่ ง มผี า้ ขาวม้าคาดเอว อาจมีเครอ่ื งประดบั บา้ ง เชน่ สวม
พระเครอ่ื ง

5

2.5 อุปกรณ์ท่ีใช้แสดง
ไมม่ อี ุปกรณท์ ีใ่ ชใ้ นการแสดง
2.6 ดนตรที ่ีใช้ประกอบจงั หวะการแสดง
การแสดงเพลงฉอ่ ยจะไม่มเี ครื่องดนตรปี ระกอบจังหวะ แตจ่ ะใช้การตบมือเปน็ จงั หวะแทน
แตส่ ว่ นภายหลงั เขาเอา “กรับ” มาตีด้วย

ท่ีมาของภาพ : https://xn--42cg3bekk9dce9g7dra8iwc9b.blogspot.com

2.7 โอกาสที่ใชแ้ สดง
นิยมเลน่ หรอื รอ้ งทั่วไปไมจ่ ากัดเทศกาล งานรน่ื เรงิ ตา่ งๆ เชน่ งานปีใหม่ งานทอดกฐิน
แสดงบนลานกวา้ งหรืออาจมเี วทีก็ได้

6

2. เพลงอแี ซว
1) ประวตั ิความเปน็ มาเพลงอแี ซว

เพลงอีแซวเป็นเพลงร้องพื้นบา้ นประจาถ่ินของจงั หวัดสุพรรณบุรี เป็นเพลงท่ีชาวบ้านร้อง
เล่นเวลาท่ีหญงิ ชายมโี อกาสมาช่วยกันทางานในดา้ นการเกษตร ทานา ทาไร่ ฝา่ ยชายและหญงิ มีการ
ร้องโต้ตอบกันจึงเรียกว่า"เพลงอีแซว" พัฒนาการของเพลงอีแซวสะท้อนถึงการสร้างสรรค์เพลงท่ี
สมั พนั ธก์ บั อาชพี ซ่ึงใช้เวลาแสดงนานจงึ ตอ้ งผูกเร่อื งเลน่ ทาใหเ้ นือ้ หาของเพลงขยายออกไป พ่อเพลง
และแม่เพลงจึงแต่งเพลงตับและเพลงเรอ่ื งข้ึนใหม่โดยนาเนื้อหามาจากวรรณคดีและนิทานพน้ื บา้ น
เชน่ เพลงเรอื่ งพระเวสสันดร เพลงเร่ืองไกรทองหรอื เพลงเรอื่ งพกิ ุลทอง นามาดดั แปลงทานองเพลงให้
แตกต่างไปจากเดิมโดยนาเน้ือร้องมาจากเพลงพื้นเมืองอื่นๆ เช่น เพลงฉ่อย เพลงพวงมาลัยยาว
ดดั แปลงและใส่ทานองใหม่เนอื่ งจากเพลงอีแซวเป็นเพลงสร้างสรรคบ์ นพื้นฐานเพลงท่ไี ด้รบั ความนยิ ม
มาแต่เดิม มีเนื้อหาสาระและมีความสนุกสนานทาให้เพลงอีแซวกลายเป็นเพลงพื้นบ้านแบบใหม่ซึง่
ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเพลงอีแซวเป็นที่รู้จักของประชาชนท่ัวไปและเม่ือแม่ขวัญจิตศรี
ประจันต์ แม่เพลงอีแซวหันมาร้องเพลงลูกทุ่งทานองเพลงอีแซว ก็ทาให้มีช่ือเสียงโด่งดังข้ึนไปอีก
อย่างเช่น เพลงกับข้าวเพชฌฆาตซ่ึงทาให้แม่ขวัญจติ ศรีประจันต์ เป็นแบบอย่างให้คนรุ่นหลงั ไดน้ า
เพลงมีแซวมารอ้ งในงานต่างๆ

7

2) องคป์ ระกอบการแสดง

2.1 ผู้แสดง

แสดงของเพลงอีแซวจะไม่มขี อ้ กาหนดเร่ืองจานวนผู้แสดง แต่ในวงหน่ึงๆ จะมีการจดั สรร
ตาแหน่งหนา้ ท่ีของผแู้ สดง ประกอบด้วย พ่อเพลง (ผู้รอ้ งนาฝา่ ยชาย) แมเ่ พลง (ผู้รอ้ งนาฝ่ายหญงิ )
คอตน้ (ผูร้ อ้ งเพลงโตต้ อบคนแรก) คอสอง คอสาม (ผู้รอ้ งคนทส่ี องและสาม) และลกู คู่ (จานวนไม่
จากดั มีหนา้ ทร่ี อ้ งรบั รอ้ งซ้าความ ร้องสอดแทรกขัดจงั หวะ เพ่อื ความสนกุ สนาน)

2.2 บทรอ้ ง

เออ..............เหอ เออ้ เอ่อ..............เองิ เออ เอิง (หือ) เออ......เอย

บรรจงจบี สบิ น้ิว ข้ึนหว่างควิ้ ท้งั คู่...วา่ เออ เชิญรบั ฟังกระทู้ กนั หนอว่าเพลงไทย…เออ(ซา้ )

เชิญสดบั รบั รส กลอนสดเพลงอแี ซว ฝากลาเนาตามแนว เพลงอแี ซวยคุ ใหม่

เพลงอีแซวยคุ ใหม่ ผิดกบั สมัยโบราณ ถงึ ร่นุ ลกู รุ่นหลาน นบั วันจะสญู หาย

ถา้ ขาดผู้ส่งเสริม เพลงไทยเดิมคงจะสญู ...ว่าเออ ถา้ พอ่ แมเ่ ก้ือกูล ลกู ก็อุ่นหัวใจ...เออ(ซา้ )

อนั วา่ เพลงพนื้ เมอื ง เคยรุง่ เรอื งมานาน สมยั ครบู วั ผนั และอาจารย์ไสว

ประมาณรอ้ ยกวา่ ปี ตามที่มีหลักฐาน ที่ครบู าอาจารย์ หลายๆทา่ นกล่าวไว้

ทัง้ ปู่ยา่ ตายาย ท่านทีไ่ ด้บอกเล่า... การละเล่นสมยั เก่า ทเี่ กรยี วกราวเกรยี งไกร...

ในฤดเู ทศกาล เมอ่ื มีงานวดั วา ทอดกฐนิ ผา้ ปา่ ก็เฮฮาพาไป

ถงึ ยามตรษุ สงกรานต์ ก็มงี านเอกิ เกรกิ งานนกั ขตั ฤกษ์ กเ็ อกิ เกริกย่ิงใหญ่

ประชาชนชมุ นมุ ทัง้ คนหมู่คนสาว ทัง้ ผ้แู กผ่ เู้ ฒา่ ต่างกเ็ อาใจใส่

ชวนลกู ชวนหลาน มาร่วมงานพิธ.ี .. ถือเป็นประเพณี และศักดิ์ศรีคนไทย…

ท่จี งั หวดั สุพรรณ ก็มงี านวัดปา่ คนทกุ ทศิ มุ่งมา ที่วดั ป่าเลย์ไลยก์

8

ปิดทองหลวงพอ่ โต แล้วก็โมทนา ใหบ้ ุญกศุ ลรกั ษา พาชวี าสดใส

ไดท้ าบญุ สนุ ทาน ก็เบกิ บานอรุ า สขุ สนั ต์หรรษา จนถ้วนหนา้ กันไป

ได้ดูลิเกละคร เวลาคอ่ นคืนแล้ว... เพลงฉ่อยเพลงอีแซว ก็เจอื้ ยแจ้วปลุกใจ...

หนมุ่ สาวชาวเพลง ตา่ งบรรเลงล้อมวง เอย่ ทานองรอ้ งสง่ ตง้ั วงรารา่ ย

รอ้ งเกยี้ วพาราสี บทกวีพนื้ บา้ น เป็นทสี่ นุกสนาน สาราญหวั ใจ

เพลงพวงมาลัย บา้ งกใ็ สเ่ พลงฉอ่ ย... ท้ังลกู คู่ลูกค่อย ตา่ งกพ็ ลอยกนั ไป

2.3 กลวิธีการเล่น

เพลงอแี ซวมีการดาเนนิ การแสดงโดยมเี นือ้ หาเรยี งลาดบั ดังนี้
1. บทไหว้ครู เป็นบทกราบไหวบ้ ูชาส่ิงศักด์ิสทิ ธิ์ และผู้มพี ระคุณ ได้แก่ พระรัตนตรัย เทวดา

ภูตผี พ่อแม่ ครูอาจารย์
2. บทเกร่ิน เป็นบทร้องของฝา่ ยชายและหญิงก่อนท่ีจะ มาพบกันตามเหตกุ ารณ์ท่ีสมมุติไว้

บทเกริน่ เริ่มตน้ ภายหลังจาก บทไหวค้ รจู บลง
3. เพลงประ หมายถึงการร้องปะทะคารมกนั ของทัง้ สอง ฝา่ ย เพลงประของวงอีแซวมหี ลาย

แบบ ไดแ้ ก่ แนวรัก แนวประลอง แนวเพลงเร่ือง
4. บทจาก หรือ บทลา เป็นเพลงท่ีใช้ร้องเพื่อ แสดงถึงความอาลัยคู่เล่นเพลง ผู้ชม หรือ

กล่าวอาลาผ้ชู ม
5. การอวยพร เปน็ การร้องขอบคุณเจ้าภาพ และ ผ้ชู ม รวมท้ังขอบคณุ ผ้ใู ห้รางวัล

9

2.4 เครือ่ งแตง่ กาย

การแต่งกายฝ่ายชายนุ่งโจงกระเบนใส่เสอ้ื คอกลม สีฉูดฉาดหรือลายดอก มีผ้าขาวม้าหรือ
ผา้ สฉี ูดฉาดคาดเอว ฝ่ายหญงิ น่งุ โจงกระเบนใสเ่ สอ้ื แขนส้นั หรอื แขนพองสฉี ดู ฉาด บางครั้งประดบั ดว้ ย
ลูกไม้ มีผา้ คาดเอวหรอื คาดเขม็ ขัดทองทบั นอกเส้ือใสเ่ คร่ืองประดบั สวยงาม เช่น สร้อย และ ต่างหู

2.5 อุปกรณ์ทีใ่ ช้แสดง

ไม่มีอุปกรณ์ทใี่ ชใ้ นการแสดง

2.6 ดนตรีประกอบจงั หวะการแสดง

ฉ่ิงและกรับ ซง่ึ ภายหลงั มีกลองสองหนา้ หรอื ตะโพนมาเพ่ิมใหจ้ ังหวะกระชบั ขนึ้

2.7 โอกาสทีใ่ ชแ้ สดง

เพลงอีแซวแสดงได้ในทุกโอกาส ยกเว้นงานมงคลสมรส ไม่มีการพิถีพิถันเรื่องสถานท่ี
มักใชเ้ ป็นลานกว้างๆหรือจะแสดงเวทีบนบกหรอื เวทบี นนา้ กไ็ ด้

10

3. เพลงลาตดั
1) ประวตั คิ วามเปน็ มาของเพลงลาตดั

ท่มี าของภาพ : https://www.google.co.th/ลาตัด.//tbm=isch&hl=.co.th

ประวัติลาตัดเร่มิ จากการตีกลองรามะนาพรอ้ มกับสวดสรรเสรญิ พระเจ้าทางศาสนาอิสลาม
ดั้งเดิมเล่นกันในปตั ตานี และในเขตวัฒนธรรมมลายู เรียกว่าลิเกฮูลู ผู้เล่นหรือสวดทั้งหมดเปน็ ชาย
ยังไม่มีหญิงเข้าไปปะปน ลิเกฮูลูเป็นต้นแบบที่จะแยกออกเป็นลิเกและลาตัดผู้ที่ทาให้ลิเกกับลาตดั
เกิดขึ้นนน้ั เป็นชาวอสิ ลามทมี่ าอยูใ่ นกรงุ เทพ ฯ เหตุท่มี าอยใู่ นกรุงเทพฯ กเ็ นอ่ื งมาจากการศกึ สงคราม
ท่ีสาคญั เช่น คร้ังกรมพระราชวงั บวรสมัยรัชกาลที่ 2 ลงไปปราบปรามพม่าทางตอนใต้ และปราบเจา้
เมอื ง เมอื่ เสรจ็ ศกึ ชนะแลว้ ก็ไดท้ รงกวาดต้อนผ้คู นทางนน้ั ขนึ้ มาดว้ ยไดโ้ ปรดให้ชาวอิสลามแยกย้ายไป
ตั้งบ้านเรือนอยู่ตามท่ีต่างๆ เช่น ส่ีแยกบ้านแขกเจริญพาสน์คลองต้นสน บางกะปิ คลองตัน หนอง
จอก มินบุรี เป็นต้น สมเด็จฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพทรงกล่าวไว้ในหนังสือระเบียบ
ตานานละครว่า

เมื่อ พ.ศ. 2423 นักสวดเพลงแขกเข้าจังหวะรามะนาได้เข้าไปสวดถวายตัวครั้งแรกในการ
บาเพ็ญพระราชกุศล เหตกุ ารณ์น้อี ยู่ในรชั สมัยรัชกาลที่ 5 เรียกว่าสวดลเิ ก ซงึ่ ภายหลังกเ็ ลือนเป็นลเิ ก
และท่ีมาอย่างที่เราเรียกกันอีกคาหน่ึงตามลาดับต่อจากนั้น พวกเชื้อแขกในกรุงเทพได้คิดสวดลิเก
แผลงเป็นลานาต่างๆ จนกลายเป็นจับเข้าเร่ืองเข้าราวอย่างละคร เรียกว่า ลิเก ยังมีการแผลงลิเกอกี
ทางหนึ่ง ซึ่งกลายมาเป็น “ ลาตัด ” คือ แทนท่ีจะเล่นเป็นเร่ืองก็มาเล่นเป็นเร่ืองก็มาเล่นเป็นบท
เบด็ เตล็ดมกี ารร้อง “บันตน” คอื ร้องกลอนด้นแกก้ นั มีทว่ งทานองซึ่งเดมิ เรียกว่า “ละกู” ประกอบไป
พร้อมกันวิธีเล่นเร่ิมแรกทุกคนออกมาต้ังวงตีรามะนาเป็นการโหมโรงต่อจากนั้นผู้เป็นต้นบทจะรอ้ ง

11

บันตนเพลงใดเพลงหน่งึ นาขนึ้ ไปเปน็ ภาษาแขกอันเป็นบทรอ้ งสรอ้ ยสาหรับลกู คูใ่ ช้รับ รับแล้ว ด้นบท
ก็แยกเน้ือร้องเน้ือไป มีลูกคู่คอยรับสร้อยไปเร่ือยอย่างท่ีเราเห็นเขาเลน่ ในปจั จบุ ัน (อเนก นาวิกมลู ,
2527, น. 584-585)

จากการศึกษาประวัติของการแสดงลาตัด ลาตัดมีต้นกาเนิดมาจากการตีรามะนา
ประกอบการสวดสรรเสริญพระเจ้าทางศาสนาอิสลาม หรือเรียกว่า “ลิเกฮูลู” โดยผู้เล่นเป็นชาย
ท้ังหมด ลิเกฮลู ูแยกออกมาเปน็ ลเิ ก และลาตดั ได้เพราะชาวอิสลามที่เข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ เนอ่ื งจาก
ถูกกวาดล้อมจากเหตุการณ์สงครามคร้ังสาคัญ ชาวอิสลามจึงแยกย้ายกันไปสร้างบ้านเรือนตาม
สถานทตี่ ่างๆ ต่อมาในสมยั รัชกาลที่ 5 เรยี กสวดนว้ี ่าการสวด “ดิเก” ภายหลงั ได้คลาดเคล่อื นมาเป็น
คาวา่ “ลิเก” ต่อมากลุ่มชาวอสิ ลามได้ทาการสวดลิเกออกเปน็ ลานาตา่ งๆ เม่ือเกิดการประชันแขง่ ขัน
จงึ คดิ ลกู หมดเขา้ แกมสวด ร้องเปน็ เพลงภาษาตา่ งๆ จนกลายเป็นการเลน่ และมีการนาเข้าสเู่ ร่ืองราว
ในรปู แบบของละคร จนเปน็ การแสดงลเิ กทีเ่ รารู้จกั กนั ในปัจจบุ นั ต่อมาจาอวดไทยนามาดัดแปลงขับ
ร้องเข้าจงั หวะรามะนา พอถงึ ลกู หมดก็เล่นเพลงตา่ งภาษา เมอ่ื ร้องเพลงภาษาใด ก็แต่งตัวจาอวดเป็น
คนชาติภาษานั้นๆ ออกมาเล่นเป็นชุด การสวดแขกแยกออกเป็น 2 ประเภท ประเภทหน่ึงเรียกว่า
“ฮันดาเลาะ” แสดงเป็นชุดต่างๆ เช่น ชุดต่างภาษา ซ่ึงมีพัฒนาการเป็นลเิ กต่อมา อีกประเภทหนงึ่
เรียกวา่ “ลากเู ยา” เปน็ การว่ากลอนด้นแกก้ นั มพี ัฒนาการเปน็ “ลาตดั ”

วิวัฒนาการการแสดงลาตดั อันเกดิ จากสวดแขก ทาให้ลาตดั เป็นการแสดงของผู้ชาย การเล่น
ลาตดั เร่ิมจากมีผ้ตู รี ามะนาหลายๆคน ต้งั วงเลน่ ดว้ ยกัน ขบั รอ้ งไปดว้ ย เร่ิมการแสดงดว้ ยการโหมโรง
เพลงรามะนา จากน้ันผู้เป็นต้นบทนาร้องสรอ้ ยเปน็ ภาษาแขกสาหรับลกู คู่รบั ผู้ตีรามะนาก็รอ้ งตาม
2 เท่ียว เมื่อต้นบทแยกรอ้ งเป็นใจความสั้นๆ ลกู คกู่ ็ร้องรบั ยนื อยู่ทานองเดิมสกั พกั หน่งึ จึงเปลย่ี นเพลง
ทง้ั นก้ี ารร้องจะผลดั เปลยี่ นต้นบทเรียงลาดับกนั ไปทัง้ วงกไ็ ด้ ต่อมามีการปรบั ปรุงแทรกคาไทยเพ่ิมขึ้น
จนคาที่ตน้ บทร้องและลกู ครู่ ับซ่ึงแต่เดิมเป็นภาษาแขก กลายเป็นคาไทยทง้ั หมด ท้ังน้ี ทานองเพลงที่
นามาให้ลูกคู่รับ นามาจากเพลงดนตรีไทย (มนตรี ตราโมท,2528:209-210)
ตอ่ มาลาตัดมีวิวฒั นาการจากการแสดงวงเดียว กลายเปน็ คณะลาตดั 2 วง ประชนั ฝีมอื การตีรามะนา
เพลงรอ้ ง และการด้นของบท รวมทั้งอวดทา่ ราของผู้เป็นตน้ บทด้วย เมือ่ ลาตัดได้รบั ความนิยมมากข้ึน
จึงเกิดการประชันวงระหว่างวงหญิงกับวงชายมีการด้นกลอนลาตัด ท้ังในเชิงเกี้ยวพาราสี ไต่ถาม
แก้กันไปมาความสนุกสนานทาใหล้ าตัดกลายเปน็ การแสดงท่ีแพรห่ ลายท่วั ภาคกลางและยงั คงไดร้ บั
ความนยิ มสืบมาจนปัจจุบนั

12

2) องคป์ ระกอบการแสดง

2.1 ผแู้ สดง

การแสดงชุดนจ้ี ะแสดงคคู่ ือ ผหู้ ญงิ กบั ผชู้ าย ผู้ชายกจ็ ะใช้ชื่อเรียกแทนวา่ พอ่ เพลงส่วนผู้หญิง
ก็เรียกแทนว่าแม่เพลง แต่ส่วนใหญ่ท่ีพบจะใช้ผู้แสดงอยู่ประมาณ 6 คน แม่เพลง 3 คน พ่อเพลง
3 คน

2.2 บทร้อง

กลอนเพลงลาตดั
ลักษณะกลอนลาตัด ยกเว้นสร้อยนาแล้ว ฉันทลักษณ์ ทั้งหมดเป็นแนวเดียวกับ เพลงฉอ่ ย
เพลงอีแซว คือลงสมั ผัสทา้ ยไปเรื่อยๆ ไม่มีการเย้อื งกลอนใดๆ แตล่ าตัดมักใช้คาในแต่ละวรรคยาวกวา่
ปัจจุบันลาตัดได้เอาเพลงลูกทุ่ง เพลงลูกกรุง มาร้องล้อเล่น หรือคิดประดิษฐ์การเล่นเบ็ดเตล็ดเข้า
ประกอบทาให้ลาตัดทันสมยั นิยมอยู่เสมอ (อเนก นาวกิ มูล, 2550, น. 587)
จากบทความข้างต้น กลอนลาตัด มีฉันทลักษณ์ท่ีเป็นแนวเดียวกันกับเพลงฉ่อยและ
เพลงอแี ซว มีสมั ผัสท้ายวรรคหลงั ต่อกันไปเรือ่ ยๆ มจี านวนคาในแตล่ ะวรรคคอ่ นขา้ งเยอะทาใหก้ ลอน
ในแต่ละวรรคมีความยาว ลาตัดในปัจจุบันมีการนาเพลงลูกทุ่งกับเพลงลูกกรุง มาร้องสอดแทรก
เพื่อความสนุกสนาน และนามาประกอบกับการเล่นแบบเบ็ดเตล็ดประดิษฐ์คิดค้นให้ลาตัดมีความ
ทนั สมัยอยู่เสมอ

โชคดีมงี านโชคดีมีงาน วันน้ีสาราญได้มาผา่ นทา่ นผฟู้ ังเอย สดุ หล้าฟ้าเขยี ว อกเอยผเู้ ดยี ว พลัดมา
เทย่ี วแตล่ าพงั (รับ ทวนซ้า มรี ามะนา)
ขอกล่าวคารา่ สนองตอ่ พ่ีน้องชาวนา เม่อื พลาดพลง้ั วาจาขอสมาทา่ นผฟู้ งั ผมรอ้ งไปตามความคดิ ถกู
หรือผดิ ท่านจงอภัย ประพันธผ์ กู ไม่ถูกใจโปรดจงได้กรุณงั
โอ้ชาวนาเจ้าข้าเอย๋ ผมก็ได้เคยพบเหน็ ผมจงึ ได้นามาร้องเลน่ ในเร่อื งจาเปน็ ตา่ ง ๆ
ผมกล็ ูกชาวนามาต้งั แต่ปูย่ า่ ตายาย เคยไดน้ ง่ั ขีค่ วายตะเกียกตะกายอย่บู นหลงั
เคยนอนกับดนิ กนิ กบั ทรายนบั แตเ่ ป็นกายเกดิ มาพระบิดามารดากท็ านากนั เปน็ กาลงั ทนอาชีพบีบค้ัน
กน็ บั วันจะทรุดโทรม สู้เอาแรงเขา้ โถมจนเหง่ือโทรมเตม็ รา่ ง

13

ผวิ จะคลา้ ดาไหมน้ ผี่ มกไ็ ม่ยอ่ หยอ่ น จะกราแดดกราฝนกม็ ิไดห้ ย่อนถอยหลังถงึ เวลาหน้าทากห็ น้าดา
ตาแดง เวลานอนกร็ ะแวงกลัวจะแจง้ สวา่ ง เวลากนิ กอ็ าวรณเ์ วลานอนก็ไม่คอ่ ยสุข แมอ่ หี นกู ม็ าปลกุ ให้
รีบลกุ เมื่อใกลส้ าง กลางวนั ผมอยูแ่ ตก่ ลางท่งุ เอย…กลางคนื มวั ไปยงุ่ กบั เรอื่ งคน จะมัวหลบั นอนกรน
ขโมยขโจรตอ้ งระวงั (รับสรอ้ ย)

2.3 กลวิธกี ารเล่น
จะมตี น้ เสยี งร้องก่อน โดยส่งสร้อยให้ลูกคู่ร้องรบั แลว้ จงึ ด้นกลอนเดินความ เมื่อลงลูกคกู่ จ็ ะ
รับดว้ ยสร้อยเดมิ พรอ้ มกบั ตรี ามะนา และฉ่งิ เขา้ จงั หวะการรอ้ งรับน้นั ด้วย ผเู้ ล่นลาตดั สว่ นใหญจ่ ะเปน็
มุสลิมต่างจากลเิ กที่ผแู้ สดงจะเปน็ คนไทยล้วนๆเพราะลิเกต้องไหว้ครูฤาษีซ่ึงขัดกับหลกั ของศาสนา
อิสลาม ปัจจุบันคณะลาตดั ท่ีมชี ่ือเสียงในอยธุ ยา จะมีอยู่ 2 คณะ คอื คณะซง่ึ เป็นคนไทยเชอื้ สายมอญ
และคณะคนไทยซ่ึงเป็นชาวมุสลิมการแสดงลาตัดเป็นการเฉือนคารมกันด้วยเพลง(ลา)โดยมีการรา
ประกอบแต่ไม่ได้ เล่นเป็นเรื่องอย่างลเิ กและการแสดงต้องมที ้ังฝ่ายชายและฝ่ายหญิงและยังเป็นที่
นิยมกันมากเน่ืองจากเป็นการแสดงโดยการใช้ไหวพริบปฏิภาณใน การด้นกลอนสดส่วนการประชัน
ลาตัดระหว่าง 2 คณะ จะใช้เสียงฮาของคนดูเป็นเกณฑ์ คณะใดได้เสียงฮาเสียงปรบมือมากกว่า
กจ็ ะถอื เปน็ ฝ่ายชนะ

2.4 เครอื่ งแต่งกาย
แต่งกายแบบไทยพ้ืนเมือง ผู้หญิงนุ่งจีบหรือโจงกระเบนตามแต่ถนัด ใส่เส้ือรัดรูปแขนสั้น
หลากสสี นั ทดั ดอกไม้ ผ้ชู ายนุ่งโจงกระเบน เสอ้ื คอกลมสตี ่าง ๆ

14

2.5 อุปกรณ์ทใ่ี ช้ในการแสดง
ไม่มอี ปุ กรณท์ ่ใี ช้ในการแสดง
2.6 ดนตรใี ชป้ ระกอบจงั หวะการแสดง
1. กลองรามะนา
2. ฉง่ิ
3. กรบั
2.7 โอกาสทีใ่ ชแ้ สดง
มักนิยมเล่นในงานมหรสพต่างๆ แต่เมื่อมีคนนิยมหรอื แพร่หลายออกไปจึงเกดิ มกี ารประชัน
แข่งขันกันข้ึนแทนท่ีจะว่าแก้กันในหมู่วงเดียว เดิมทีเดียวใช้ผู้แสดงเป็นชายล้วนๆ ไม่มีหญิงปนเลย
ต่อมาในระยะหลัง ได้มวี ิวัฒนาการมีชายหญงิ แสดงรว่ มกัน

15

4. เพลงเรอื
1) ประวตั ิความเป็นมาของเพลงเรอื

ที่มา: https://goo.gl/dHDD7w

เป็นเพลงพื้นบา้ นของชาวไทยภาคกลางที่อยู่ตามริมลาน้า เช่น สุพรรณบุรี อ่างทอง อยุธยา
ฯลฯ นิยมเล่นกันในหน้าน้าประมาณเดือน 11 – 12 เพลงเรือเป็นเพลงพื้นบ้านเก่าแก่ในแถบ
ภาคกลางมาแต่เดิม ปรากฏหลักฐานแต่คร้ังกรุงศรีอยุธยาว่าการเล่นเพลงเรือแพร่หลายจนรัฐ
ออกกฎหมายห้ามปราม มิใหร้ อ้ งใกล้เขตพระราชฐานทีก่ าหนดไว้

2) องคป์ ระกอบการแสดง

2.1 ผ้แู สดง
ฝ่ายชาย เปน็ พอ่ เพลง ฝ่ายหญงิ เป็น แมเ่ พลง จานวนผเู้ ล่นขึ้นอยกู่ บั ขนาดของเรือประมาณ
9 - 10 คน
2.2 บทรอ้ ง

ลกั ษณะบทร้องแบง่ เปน็ 4 ตอน คอื
1. ปลอบ (ฝา่ ยชายชวน)
2. ประ (ฝา่ ยหญิงตอบ)
3. ดาเนนิ เรอ่ื ง
4. จาก

16

ตัวอย่างเพลงเรือ

ชายเกร่นิ : เอย เลยี บเรือเรียง เขา้ เคยี งใกล้ หวงั จะฝากน้าใจ (ฮา้ ไฮ)้ ของขา้ (ชะ ชะ)

น้องจะรบี ไปไหน ขอให้พายเบาเบา พ่ีจะได้มาพบเจา้ (ฮ้า ไฮ้) งามตา

พี่พายมานาน ให้แสนเหนอื่ ยหนัก พอได้พบนงลกั ษณ์ (ฮ้า ไฮ้) โสภา

ที่เหนื่อยกห็ าย ทหี่ น่ายกแ็ ข็ง กลับมีเรย่ี วมแี รง (ฮา้ ไฮ)้ หนักหนา

ขอเชญิ นวลนอ้ ง มาร้องเล่นดังว่า ขอจงเผยวาจาสักคา...เอย

ลูกค่รู บั : ขอจงเผยวาจาสักคา เอย

ขอเชญิ นวลนอ้ งมาเล่นรอ้ งดังว่า (ซ้า) ขอจงเผยวาจาสกั คาเอย ฯลฯ

หญงิ ตอบ : เอย ไดย้ นิ นา้ คา เสียงมารา่ สนอง เสียงใครมาเรียกหานอ้ ง (ฮ้าไฮ)้ ทไ่ี หนละ่

แตพ่ อเรียกหาฉนั แม่หนูไม่นานไมเ่ นน่ิ เสยี งผชู้ ายรอ้ งเชญิ (ฮา้ ไฮ)้ ฉันจะว่า

การจะเลน่ จะหวั หนูนอ้ งไมด่ ดี ไมด่ นิ้ หรอกแม้ว่าไม่ใช่ยามกฐิน (ฮา้ ไฮ)้ ผา้ ปา่

พอเรียกก็ขาน แต่พอวานก็เอย่ หนนู อ้ งไม่นงิ่ กันทาเฉย (ฮา้ ไฮ)้ ใหม้ ันช้า

แต่พอเรียกหาน้อง ฉนั กร็ ้องข้ึนรา่ ฉันนบนอบตอบคา (ฮา้ ไฮ)้ จริงเจ้าขา

แม่หนนู บนอบตอบคา ตอบกันไปเสยี ดว้ ยนา้ (ฮ้าไฮ)้ วาจา

แตพ่ อเรียกหาน้อง ฉนั กร็ ้องว่าจา๋ กนั แต่เมอ่ื เวลา เอย๋ จวนเอย

ลกู คูร่ บั : กนั แต่เมอ่ื เวลา จวนเอย แต่พอเรียกหาน้อง ฉนั ก็รอ้ งวา่ จ๋า (ซ้า)

กันแต่เมือ่ เวลาจวนเอย

17

2.3 กลวธิ กี ารเลน่ เพลงเรอื

เพลงเรือเปน็ เพลงท่รี อ้ งเลน่ ในฤดูน้าหลาก ชาวนาว่างเว้นจากการทานา รอน้าลด และรวง
ข้าวสุก ก็จะพากันพายเรือมาทาบุญไหว้พระและเลน่ เพลง เรือที่ใช้มีเรอื มาดส่ีแจว เรือพายม้าทกุ ลา
จดุ ตะเกยี งเจา้ พายุ หรอื ตะเกียงลานไว้กลางลาเรือ ธรรมเนยี มในการเล่นมเี รือฝ่ายชายและฝา่ ยหญิง
จานวนผู้เล่นขึ้นอยู่กับขนาดของเรือประมาณ 9 - 10 คน มีพ่อเพลง แม่เพลง ส่วนท่ีเหลือเป็นลกู คู่
ใช้กลอนลงสระเสียงเดียวกันไปเรื่อยๆ ที่เรียกว่า "กลอนหัวเดียว" นิยมร้องกลอนลา และกลอนไล
เพราะคดิ หาคาไดง้ า่ ยกวา่ สระเสียงอ่ืน มีเคร่ืองประกอบจังหวะ ไดแ้ ก่ ฉิง่ และกรับ พ่อเพลงทนี่ ่ังกลาง
ลาเรือ จะเป็นคนตีฉ่ิงดังฉับๆ ไปเร่ือยๆ ท่ีเหลือก็เป็นลูกคู่คอยรอ้ งรบั หรือร้องย่ัวด้วยคาว่า "ฮ้า ไฮ้"
และคอยกระทุ้งว่า "ชะ ชะ" ตามความคะนองปากเป็นจังหวะๆ เมื่อชาวเพลงพายเรอื มาถึงทหี่ มาย
โดยทวั่ ไปกจ็ ะมองหาเรอื จับควู่ ่าเพลงกันแล้ว ฝา่ ยชายจะพายเรือไปเทยี บจนชิดเรอื ฝา่ ยหญิงและเก็บ
พายขึน้ ในเรอื แต่ละลาจะน่งั เป็นคู่ๆ นอกจากช่วงหวั เรือทา้ ยเรอื จะนงั่ คนเดียวเพราะทแ่ี คบ เรือฝา่ ย
ชายจะเร่มิ ว่าเพลงก่อน เรียกว่า "เพลงปลอบ" เพอ่ื ขอเล่นเพลงกบั ฝ่ายหญิงตามมารยาท เม่อื วา่ ไปสัก
2 - 3 บท หากฝ่ายหญิงน่ิงไม่ตอบ ก็แสดงว่า ไม่สมัครใจเล่นเพลงด้วย หรือมีคู่นัดหมายอยู่แล้ว
เรือฝา่ ยชายตอ้ งไปหาคูใ่ หม่ แตถ่ า้ ฝ่ายหญงิ เอ้อื นเสียงตอบ แสดงว่า ตกลงปลงใจเลน่ เพลงดว้ ย กเ็ ริม่
ว่า "เพลงประ" โต้ตอบกันในเชิงเกี้ยวพาราสีอย่างสนุกสนาน เม่ือว่าเพลงกันสมควรแก่เวลาแล้ว
เรือฝ่ายชายจะพายไปส่งเรอื ฝา่ ยหญิง ในระหว่างนั้นก็ว่า "เพลงจาก"เพ่ือเป็นการแสดงความอาลัย
อาวรณ์ การขบั เพลงจะมตี ้นเสียงข้นึ และมีลกู ค่รู ับ โดยใชฉ้ งิ่ และกรบั พวงเป็นเครอื่ งประกอบจังหวะ
เวลารอ้ ง ต้องร้องใหล้ งกับจังหวะพาย ผขู้ บั เพลงเรอื หรือแม่เพลงต้องเป็นผู้มีปฏภิ าณไหวพริบทีจ่ ะหา
คาหรือหยบิ ยกเอาเหตุการณ์ส่งิ แวดล้อมเข้ามาสอดแทรกเข้าไปใหเ้ หมาะสมอาจเป็นแข่งขัน ยกย่อง
เสยี ดสี ซึ่งทาใหผ้ ฟู้ งั สนกุ ไปดว้ ย กอ่ นการเลน่ เพลงต้องมกี ารกล่าวกลอนไหว้ครูเสยี กอ่ นจากนัน้ จึงจะ
เออ้ื นกลอนพรรณนาหรือชกั ชวนใหค้ นอ่ืนมาเล่นดว้ ยโดยใชว้ ธิ วี ่ากลอนกระทบกระท่ังกระเชา้ เยา้ แหย่
จึงเกดิ การเล่นเพลงเรอื โต้ตอบกันขึน้ การโตต้ อบกันด้วยเพลงเรือ บางทีกเ็ ผ็ดร้อนใช้คารมทีค่ มคาย
หรอื อาจจะเป็นอารมณร์ ัก ทง้ั น้ีแล้วแต่โอกาสและสถานการณ์

18

2.4 การแต่งกาย

ฝ่ายชายนุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อคอกลม ผ้าขาวม้าคาดเอว ส่วนฝ่ายหญิงนุ่งโจงกระเบน
สวมเสื้อแขนกระบอก

2.5 อปุ กรณ์ท่ีใชใ่ นการแสดง

เรอื ของพ่อเพลง แม่เพลง เรือทใ่ี ชม้ ี เรอื มาดสีแ่ จว เรือพายม้า

เรือมาด เรือพายมา้

ทมี่ า: http://bangkrod.blogspot.com ทมี่ า: https://www.truck2hand.com

2.6 ดนตรีท่ใี ช้ประกอบจังหวะการแสดง
กรบั หรอื กรบั พวงและฉิ่ง

ทีม่ า: http://siripong58.blogspot.com ทีม่ า:https://thaimusicblog.wordpress.com/
2.7 โอกาสท่แี สดง
แสดงในงานฤดูน้าหลาก งานบญุ งานกฐิน หรือในงานนกั ขัตฤกษ์

19

5. เพลงเกีย่ วขา้ ว
1) ประวตั คิ วามเปน็ มาของเพลงเก่ียวข้าว

เพลงเกีย่ วข้าว นบั เป็นวัฒนธรรมของชาวนาไทยมาตง้ั แต่อดตี แมว้ า่ ในปัจจุบันการเก่ยี วข้าว
จะมวี ิวัฒนาการมาใช้เครื่องจกั รกันบ้างแลว้ แตเ่ พลงเก่ยี วขา้ วกย็ งั คงมใี ห้เหน็ กนั อยูบ่ ้างในสังคม

เพลงเก่ียวข้าว เป็นเพลงร้องแก้กันเวลาเก่ียวข้าว เป็นเพลงพ้ืนบ้านทางภาคกลาง
ของประเทศไทย นิยมร้องในเวลาลงแขกเกี่ยวข้าวหรือเสร็จจากการทางาน เพ่ือความสนุกสนาน
ผ่อนคลายหลังเหนื่อยล้าระหว่างการทางาน มักร้องเนื้อหาเก่ียวกับการทานาและการเก้ียวพาราสี
ไมม่ ีดนตรีประกอบใช้เพียงการตบมอื แทนจงั หวะ

ผูศ้ ึกษาไดค้ ้นหาข้อมลู จากการแสดงสร้างสรรค์ ชดุ ราร้องจากท้องทุง่ สู่ยุ้งฉาง ของวทิ ยาลัย
นาฏศลิ ปอา่ งทอง โดยเนื้อหาองคป์ ระกอบการแสดงและรูปแบบการแสดงต่อไปนี้ จะยึดรูปแบบการ
แสดงจากสร้างสรรค์ ชดุ รารอ้ งจากทอ้ งท่งุ สู่ยุ้งฉาง

2) องคป์ ระกอบของการแสดง

2.1 ผูแ้ สดง

ผู้แสดงทั้งส้ินใช้นักแสดงจานวน 8 คน ชาย 4 คน หญิง 4 คน อาจจะมากหรือน้อยก็ได้
ไม่จากัดจานวนข้ึนอยกู่ บั ความเหมาะสมของสถานทีใ่ นการแสดง ผู้แสดงคัดเลอื กผทู้ ่ีมคี วามสามารถ
ในการร้องเพลงทีไ่ พเราะกล้าแสดงออก มีปฏิภาณไหวพริบในการโตต้ อบระหวา่ งพ่อเพลง แมเ่ พลง

20

2.2 บทร้อง

จะมีเพลงร้องทั้งหมด 9 เพลง คือ เพลงเกร่ิน เพลงเกี่ยวข้าว เพลงเต้นกา เพลงหงส์
เพลงจาก เพลงสงฟาง เพลงพานฟาง เพลงสงคอลาพวน และเพลงชักกระดาน ดังเพลงรอ้ งต่อไปน้ี

เพลงเกรน่ิ

หญงิ พอรงุ่ สางสว่างจ้าเอย...พากนั ไปเกี่ยวขา้ วในนา

เสียเมอ่ื เวลาเอย๋ น.่ี ..นเ้ี อย (ซ้า)

เพลงเก่ยี ว

ชาย เกยี่ วเถิดนะแมเ่ ก่ียว โย้นๆ (ซา้ ) อย่ามัวชะแงแ้ ลเหลียว

เดีย๋ วเคยี วจะเกี่ยวกอ้ ยเอย

ชาย คว้าเถดิ หนาแมค่ วา้ โย้นๆ (ซ้า) จะตะบงึ ใหถ้ ึงคันนาจะได้พดู จากนั เอย

หญิง คว้าเถิดหนาพ่อควา้ โยน้ ๆ (ซา้ ) ผกั บงุ้ สันตะวาควา้ ใหเ้ ตม็ กาเอย

เพลงเต้น

ชาย มือซ้ายกถ็ อื รวงขา้ ว มอื ขวาก็สาวเคียวมา (เฮ้ว)

มาเล่นเพลงใหค้ ลายเหนื่อย แกเ้ มอ่ื ยแกล้ ้า (เฮ้ว)

พเ่ี ปน็ คนรอ้ งน้องเป็นคนรับ เชิญน้องขยับเขา้ มาเอย (เฮว้ )

หญิง พเ่ี ปน็ คนรอ้ งนอ้ งเป็นคนรบั ตวั น้องกท็ ราบในอรุ า (เฮว้ )

ถา้ ร้องไม่ดรี ะวังโดนด่า เสียเมอื่ เวลารอ้ งเอย (เฮว้ )

ชาย มาเถดิ หลอ่ นจา๋ หลอ่ น เลน่ ละครกลางนา (เฮว้ )

พจ่ี ะเปน็ พอ่ ไชยเชษฐ์ ใหน้ ้องเป็นเกศสุวิญชา (เฮว้ )

21

พี่จะย่องเขา้ ไปหา แมส่ ุวญิ ชางามเอย (เฮว้ )
หญิง มาเถิดหลอ่ นจ๋าหลอ่ น มาเล่นละครกันกลางนา (เฮว้ )

พจี่ ะเปน็ พอ่ ไชยเชษฐ์ ใหน้ อ้ งเปน็ เกศสุวญิ ชา (เฮ้ว)
พ่อทาเป็นเจา้ ชู้ยกั ษ์ ปะเดี๋ยวจะหักคอเสยี ให้คา (เฮ้ว)

จะหกั ยอดเหมือนชฎา ให้สมนา้ หน้ามันเอย (เฮ้ว)
เพลงหงส์
ชาย หงสเ์ อ๊ยเจา้ ยอดคา
(ลง) จะเอาหอขนึ้ ตง้ั ต่างชฎา หงสเ์ อย๊ เจ้ายอดคา
หักคอขึ้นปาหอเอย (เฮว้ )
หญิง หงสเ์ อย๊ เจา้ ยอดคา หงสเ์ อย๊ เจ้ายอดคา
จะหกั คอขน้ึ คาควา้ ตะบดิ ขว้างไปให้ตดิ ชายปา่ (เฮว้ )
ชายป่ามนั ก็รก มีแตก่ กหญา้ คา (เฮว้ )
เด๋ยี วจะมาร้องโอดครวญ วา่ ไมค่ วรหกั ปา (เฮว้ )
(ลง) เวลาอยากอา้ ปากเขา้ มา ให้สมนา้ หน้าคอเอย (เฮ้ว)
เพลงจาก

ชายจากกันเอย๋ เมื่อตอนเยน็ (เฮ้ว) แลไปท่งุ ก็ไมป่ ะแลไปสระกไ็ มเ่ หน็ (เฮ้ว)
นา้ ตากระดอนเปน็ กอ้ นกระเด็น นบั วนั ไม่เห็นกนั เอย (เฮว้ )
หญงิ จากหรอื ไมจ่ าก จากหรอื ไมจ่ าก
หวนคะนึงถึงรกั พอี่ ยา่ จากไปเลย (เฮว้ )
อยู่ช่วยหอบหาบขา้ ว พรุง่ นตี้ อนเช้านะพีเ่ อ๋ย (เฮ้ว)
พอหอบสาเรจ็ เสรจ็ สรรพ แลว้ กลับมานวดไดเ้ อย (รบั ) (เฮ้ว)

22

เพลงสง

ชาย สงเถิดหนาแมส่ ง สงเถิดหนาแมส่ ง

แม่ควิ้ ตอ่ คอระหง ขอเชิญมาสงฟางเอย (เฮว้ )

หญงิ สงเถดิ หนาพ่อสง สงเถิดหนาพอ่ สง

พ่อนกกระแวงหางวง มาช่วยนอ้ งสงฟางเอย (เฮว้ )

เพลงพาน

ชาย พานเถดิ หนาแม่พาน พานเถดิ หนาแมพ่ าน

พ่ีมานั่งรอบอยู่ขอบลาน มาช่วยนอ้ งพานฟางเอย (เฮ้ว)

หญงิ พานเถดิ หนาพ่อพาน พานเถิดหนาพ่อพาน

อย่ามัวน่งั อยนู่ าน มาช่วยนอ้ งพานฟางเอย (เฮ้ว)

เพลงสงลาพวน

หญงิ ค้วิ โก่งมาสงลาพวน ลาพวนทใ่ี บข้าว ทาบุญเสียให้ตายกไ็ มไ่ ด้ตัวเรา

โอร้ ะหัดชดั ช้า หนา้ เจ้าเปน็ นวลเอย

ชาย คิว้ โกง่ มาสงลาพวน ลาพวนทใี่ บข้าว ผูกสมคั รรกั ใคร่ พ่อี ยากจะได้ตัวเจ้า

โอ้ระหัดชัดชา้ หน้าเจ้าเป็นใยเอย

พรอ้ ม ค้วิ โกง่ มาสงลาพวน ลาพวนขา้ วเบา หยิบหยบิ แล้วกส็ ง (ซ้า)

พี่จะขอวางลงตรงตกั เจ้า โอร้ ะเฮ โอร้ ะชา รักแมห่ น้านวลเอย

ลูกคู่ สาระเก สาระเกฟางลอย แกะเปน็ สรอ้ ยต้นเอย

23

เพลงชักกระดาน

ชาย ชกั เถดิ หนาแม่ชกั ชักเถิดหนาพอ่ ชัก

อยา่ มวั ขนื ฝืนเปน็ หลัก มาช่วยกันชักกระดานเอย

ช้างเอยช้างชัก ชา้ งนอ้ ยหอ้ ยหกั ชักใหเ้ สมอกัน

หญิง ช้างเอยช้างชกั ชา้ งนอ้ ยหอ้ ยหกั

อยูท่ ตี่ ้นหวา้ โอ้พอ่ รปู ทองของน้องกม็ า

อย่ามวั อยู่ชา้ มาสาดข้าวกนั เอย

สาดแล้วก็ขน สาดแลว้ กข็ น

เชญิ พอ่ หนา้ มนอย่ามัวอย่ชู ้า ฝนตกลงมาขา้ วปลาเสยี หาย

(ลง) ช่วยขนชว่ ยขวายเอาใส่ยงุ้ เอย

ลกู คู่ สาระเก สาระเกฟางลอย แกะเป็นสร้อยตน้ เอย

2.3 กลวิธีการแสดง

รปู แบบการใช้เวทแี ละสามารถแบ่งออกได้เป็น 9 รปู แบบมสี ญั ลกั ษณแ์ ละรปู แบบการใชเ้ วที
ดังต่อไปน้ี

สัญลกั ษณ์ หมายถึงผู้แสดง
สญั ลกั ษณ์ หมายถงึ ทศิ ทางการเคลอื่ นไหว

24

ฉากเปดิ ตัวผู้แสดง

แผนผังที่ 1 ลกั ษณะการใช้เวทีของผแู้ สดง ท่าออก
เปน็ การเปดิ ตวั ผู้แสดงออกมาจากหลบื ทงั้ สองฝงั่ ของเวที เพอ่ื เพม่ิ ความสนใจแกผ่ ชู้ ม อีกทงั้
ยงั เปน็ การใช้พืน้ ทข่ี องเวทีอยา่ งท่วั ถึง
การเคล่ือนไหวบนเวทีในเพลงเก่ียว
ภาพท่ี 1

แผนผังท่ี 2 ลกั ษณะการใชเ้ วทีของผู้แสดงในเพลงเกีย่ ว

จากภาพขา้ งตน้ นักแสดงเดนิ ออกมาตามกระบวนทา่ รา มีการแปรแถวสบั หว่างโดยผู้แสดงท่ี
เป็นแมเ่ พลงจะอยู่แถวหนา้ และผู้แสดงทเ่ี ป็นพอ่ เพลงจะอยแู่ ถวหลัง เพอื่ เปน็ การเปิดตวั ผแู้ สดง

25

การเคลื่อนไหวบนเวทใี นเพลงเตน้
ภาพท่ี 2

แผนผงั ที่ 3 ลักษณะการใช้เวทีของผแู้ สดงในเพลงเต้น
จากภาพข้างตน้ ผ้แู สดงอยรู่ ะหว่างสองฝงั่ ของเวทีโดยใช้รปู แบบแถวตัววีหงาย เปน็ การ
เคลอื่ นไหวบนเวทอี ย่างท่ัวถงึ เพอื่ เปน็ การเคลื่อนทีข่ องพอ่ เพลงและแมเ่ พลงทีจ่ ะร้องโตต้ อบกนั
การเคลื่อนไหวบนเวทใี นเพลงหงส์
ภาพที่ 3

แผนผงั ท่ี 4 ลักษณะการใชเ้ วทขี องผูแ้ สดงในเพลงหงส์

จากภาพขา้ งตน้ ผแู้ สดงอยรู่ ะหวา่ งสองฝงั่ ของเวทโี ดยใช้รูปแบบแถวตวั วหี งาย เปน็ การ
เคล่ือนไหวบนเวทอี ย่างทั่วถงึ เพอ่ื เปน็ การเคลอื่ นทขี่ องพอ่ เพลงและแมเ่ พลงท่ีจะรอ้ งโต้ตอบกันใน
ลกั ษณะเดยี วกนั เพลงเต้น

26

การเคลอ่ื นไหวบนเวทีในเพลงจาก
ภาพท่ี 4

แผนผงั ท่ี 5 ลักษณะการใชเ้ วทขี องผ้แู สดงในเพลงจาก

จากภาพข้างต้นผู้แสดงอยู่ระหว่างสองฝั่งของเวทีโดยใช้รูปแบบแถวตัววีหงาย เป็นการ
เคล่ือนไหวบนเวทีอย่างท่ัวถึงเพื่อเป็นการเคล่ือนที่ของพ่อเพลงและแม่เพลงที่จะร้องโต้ตอบกันใน
ลักษณะเดียวกันกบั เพลงหงส์

การเคลื่อนไหวบนเวทีในเพลงสง

ภาพที่ 5

แผนผังท่ี 6 ลกั ษณะการใช้เวทขี องผ้แู สดงในเพลงสง

จากภาพข้างต้นผู้แสดงที่ใช้อุปกรณ์ในเพลงสงจะอยู่ตรงกลางของเวทีซึ่งรูปแบบแถวจะ
เคล่ือนที่เป็นรูปวงกลมและผู้แสดงบางส่วนอยู่ระหว่างสองฝ่ังของเวทีโดยจะเป็นลูกคู่ให้กับผู้ท่ีใช้
อุปกรณ์ เพ่ือเป็นการใหผ้ ู้ชมเหน็ ถึงรูปแบบการสงขา้ วในอดตี

27

การเคล่ือนไหวบนเวทใี นเพลงพาน
ภาพท่ี 6

แผนผงั ที่ 7 ลักษณะการใชเ้ วทีของผู้แสดงในเพลงพาน

จากภาพข้างต้นผู้แสดงที่ใช้อุปกรณ์ในเพลงพานจะอยู่ตรงกลางของเวทีซึ่งรูปแบบแถวจะ
เคล่ือนที่เป็นรูปวงกลมและผู้แสดงบางส่วนอยู่ระหว่างสองฝั่งของเวทีโดยจะเป็นลูกคู่ให้กับผู้ที่ใช้
อปุ กรณ์ เพื่อเปน็ การให้ผชู้ มเห็นถงึ รปู แบบการพานฟางในอดตี โดยใชร้ ปู แบบเดียวกันกบั เพลงสง

การเคลื่อนไหวบนเวทใี นเพลงสงคอลาพวน

ภาพที่ 7

แผนผงั ท่ี 8 ลกั ษณะการใชเ้ วทขี องผแู้ สดงในเพลงสงคอลาพวน

จากภาพขา้ งตน้ ผู้แสดงที่ใช้อปุ กรณใ์ นเพลงสงคอลาพวนจะอยู่ระหวา่ งสองฝง่ั ของเวทฝี ง่ั ละคู่
ผูแ้ สดงที่เปน็ ลกู คู่จะยืนรบั อยู่ดา้ นหลงั ของเวที เปน็ การเคลอื่ นไหวบนเวทอี ยา่ งท่วั ถึงและสรา้ งจดุ เด่น
ใหก้ บั ผู้แสดง

28

การเคลอ่ื นไหวบนเวทใี นเพลงชักกระดาน
ภาพที่ 8

แผนผงั ท่ี 9 ลกั ษณะการใช้เวทีของผ้แู สดงในเพลงชักกระดาน

จากภาพข้างต้นผ้แู สดงท่ีใชอ้ ปุ กรณ์ในเพลงชักกระดานจะอยู่ระหวา่ งสองฝ่ังของเวทีผู้แสดงที่
เปน็ ลูกคู่จะอย่ดู า้ นขา้ งของเวที เปน็ การเคลอื่ นไหวบนเวทอี ยา่ งทว่ั ถงึ และสร้างจุดเดน่ ใหก้ ับผแู้ สดง

จากการที่ผู้วิจัยได้ทาการวิเคราะห์รปู แบบการเคลือ่ นไหวบนเวที พบว่าผู้แสดงใช้พื้นที่บน
เวทีอย่างทัว่ ถึง จากภาพขา้ งตน้ ผ้แู สดงเดินออกมาจากหลบื ทง้ั สองฝง่ั ของเวทีเพอื่ เคลอ่ื นท่มี ากลางเวที
และราตามกระบวนท่า นอกจากนั้นระหว่างการแสดงผแู้ สดงมีการเคลื่อนท่ีไปรอบๆ เวที เช่นว่ิงไป
ทางซ้ายมือ วิง่ ไปทางขวามือ มกี ารแปรแถวเปน็ วงกลมตรงกลางเวทีเป็นตน้

2.4 การแตง่ กาย

1) เครือ่ งแตง่ กายฝ่ายชายประกอบไปด้วย
1.1 กางเกงชาวนาขายาวสดี า
1.2 เสื้อแขนสัน้ คอกลมปิดคอเปน็ ลายดอกไมห้ ลากสี
1.3 ผ้าขาวม้าคาดทับเอว
1.4 สวมหมวกชาวนา

2) เคร่ืองแตง่ กายฝา่ ยหญงิ ประกอบไปด้วย
2.1 โจงกระเบนสีดา
2.2 ปลอ่ ยผมประบ่า และสวมงอบ

29

ที่มา.ผู้วจิ ยั

2.5 อปุ กรณ์ท่ีใช้ในการแสดง
มอี ุปกรณ์ประกอบไปดว้ ย คือ
1. เคียว
2. ตน้ ขา้ ว
3. ตะแกรง
4. คนั ฉาย
5. ไม้ชักกระดานและ
6. กระบงุ

30

2.6 เครอ่ื งดนตรีทใ่ี ชป้ ระกอบการแสดง

ใชว้ งปี่พาทย์เครอ่ื ง 5 คือ
1.ป่ี
2.ตะโพน
3.ระนาดเอก
4.ฆ้องวงใหญ่
5.กลองทัด
6.ฉิง่

2.7 โอกาสทีใ่ ชแ้ สดง

งานรื่นเรงิ งานมงคล งานอวมงคล งานเฉพาะกจิ และ งานทวั่ ไป

31

6. เพลงราโทน
1) ประวัตคิ วามเปน็ มาของเพลงราโทน

ทีม่ าของภาพ : https://sites.google.com/site/library2u

ราโทนเปน็ การละเล่นพ้นื บา้ นอย่างหน่งึ ของภาคกลางท่ีนิยมเล่นกันแถวท้องถ่นิ มรี ปู แบบการ
แสดงที่ เรียบง่าย สนุกสนานบางจังหวัดคาว่า “ราโทน" สันนิษฐานว่าเรียกช่ือจากการเลียนเสียง
เครื่องดนตรีประกอบจังหวะท่ีเป็นหลักคือ" โทน" ซ่ึงเป็นลาน้าเสียง “ปะโทนปะโทนปะโทนโทน”
มีเสียงดังก้องกังวานเร้าใจประกอบกับเสียงร้อง และเสียงปรบมือประกอบจังหวะ พร้อมทั้ง
ท่วงทานองมีความคกึ คกั จงึ ทาให้ราโทนเป็นสื่อสัมพนั ธ์เรียกความสนใจแกผ่ ูช้ มและหมบู่ า้ นใกลเ้ คียง
ได้เป็นอย่างดี

จากที่ได้ศึกษาและรวบรวมข้อมูลเพลงราโทนบ้านหน้าวัดโบสถ์ อาเภอสามโก้ น้ี ซ่ึงเป็น
ประโยชนต์ อ่ ผูส้ นใจด้านดนตรีพ้ืนบา้ นท้งั ระดับประเทศและสากล พ่อเพลงแมเ่ พลง คณะราโทนบา้ น
หน้าวัดโบสถ์ ได้นากลองรามะนาแบบราตัด มาตีแทนกลองโทน ท้ังนี้เพราะมีเสียงที่กังวานกวา่ โทน
แต่ก็ยังเรียกติดปากว่า เพลงราโทนเหมือนเดิม พ่อเพลงแม่เพลงส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตร
มีพ้ืนฐานในการร้องเพลง จากการได้ฟังเพลงมาต้ังแต่ยังเด็ก ราโทนมีส่วนเก่ียวข้องอย่างชัดเจน
กับการเมืองในยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม หลายบทเพลงแต่งขึ้น เพื่อปลุกใจให้คนไทยมีความ
รกั ชาติ ใหเ้ ช่ือในตัวผ้นู า แต่งกายใหเ้ ปน็ แบบสากลนิยม และเนอื้ รอ้ งบางเพลงยงั บรรยายถา่ ยทอดให้
เห็นภาพเหตกุ ารณ์ในสงครามโลกคร้งั ทสี่ อง การแพร่กระจายเข้ามาของเพลงราโทนในเขตบ้านหนา้
วัดโบสถ์ อาเภอสามโก้ สันนิษฐานว่ามาจากจังหวัดลพบุรี พร้อมๆ กับการกลับมาของทหารทีป่ ลด
ประจาการ ส่วนหนึ่งของเน้ือร้องเพลงเชียร์ราวงเพลงลูกทุ่ง ล้วนได้รับอิทธิพลมาจากเพลงราโทน
ทั้งสิ้น เพลงราวงมาตรฐานของกรมศิลปากร เกือบนับสิบเพลงก็นาเพลงราโทนของชาวบ้านมา

32

ปรับปรุง แม้แต่คุณครู เอ้ือ สุนทรสนาน ก็ยังนาเพลงราโทนมาเป็นแนวทางในการสร้างเพลงราวง
สุนทราภรณ์ลกั ษณะการราโทนนั้นเปน็ การราระหว่างชายหญงิ ให้เข้ากบั จังหวะโทนและเน้อื หาของ
บทเพลงซึ่งเป็นการร่ายราท่ีเป็นแบบพ้ืนบ้านบทร้องมีหลายลักษณะเร่ิมต้ังแต่ไหว้ครู ชมโฉม
เกยี้ วพาราสี บทหยอกเยา้ และบทพรอดพร่าลาจากกนั

ในระหวา่ งสงครามโลกครัง้ ที่สอง (พ.ศ. 2484-2489) ประชาชนจังหวัดพระนครและจังหวัด
ธนบุรีปัจจุบันคือกรุงเทพมหานครพากันนิยมเล่นโทน รัฐบาลสมัยจอมพลแปลกพิบูลสงคราม
มีวัตถุประสงค์จะเชิดชูศิลปะการเล่นราโทนให้มีระเบียบเรียบร้อยเป็นแบบแผนอันดีงามตามแบบ
นาฏศิลป์ไทยจึงมอบหมายให้กรมศิลปากรสร้างบทร้องข้ึนใหม่ 4 บทเมื่อ พ.ศ. 2478 คือเพลง
งามแสงเดือน ชาวไทย มาซิมาราและคืนเดือนหงาย โดยปรับปรุงทานองเพลงและเครื่องดนตรี
ที่ใช้ประกอบการเล่นพร้อมทั้งจัดท่าใหม่ด้วยการนาแม่ท่าในท่าราแม่บทเช่นท่าสอดสร้อย -มาลา
ท่าชักแป้งผัดหน้าฯ มากาหนดไว้เป็นแบบฉบับท่ารามาตรฐานและเปล่ียนช่ือเรียกว่า “ราโทน”
มาเป็น “ราวง”

2) องคป์ ระกอบของการแสดง

2.1 ผ้แู สดง

จานวนนักแสดงในแต่ละพ้ืนท่ีไม่เท่ากัน แล้วแต่ความพร้อมของผู้แสดง ไม่มีการกาหนด
ท่แี นน่ อน

2.2 บทรอ้ ง

เนือ้ หาเพลงส่วนใหญ่ เกย่ี วข้องกบั ความรกั จดุ เด่นของเนอื้ เพลงราโทนบา้ นวดั โบสถ์ โดยรวม
ก็คอื มถี ้อยคาท่สี ภุ าพไม่มีคาหยาบ ทว่ งทานองเพลงราโทนสว่ นใหญจ่ ะกระชบั ระดบั ความเรว็ จงั หวะ
หลัก ทใ่ี ช้ส่วนใหญอ่ ย่รู ะหวา่ ง 65-70 ต่อนาที เน้อื รอ้ งบางเพลง มกี ารลอ้ เลียนเสยี งเครอื่ งดนตรหี ลาย
ชนิด อาทิ ซอ พิณ ระนาด ฆ้องวง กลองรามะนา เพลงราโทนหลายเพลงได้หยิบยืมเพลงไทยเดิมมา
ใสเ่ นือ้ เตม็ บนั ไดเสยี งในการขับรอ้ งสว่ นใหญ่ จะใชบ้ นั ไดเสียง ซเี มเจอร์ และมบี นั ไดเสียงเอฟไมเนอร์
บา้ งไมม่ ากนกั ทานองเพลงสว่ นใหญ่ จะใช้เสยี งหลักจานวน 5 เสยี ง คือ โด เร มี ซอล ลา ซ่ึงทานอง
เพลงพืน้ บ้านท่ัวโลกตา่ งก็มีเสียง ทานองหลัก 5 เสยี งเหมือนกัน

33

บทเพลงทใ่ี ชป้ ระกอบการแสดงราโทนมมี ากกว่า 100 เพลง เป็นบทเพลงทม่ี ีมาแต่ด้ังเดมิ บา้ ง

เป็นเพลงท่ีแต่งเน้ือร้อง-ท่าราขึ้นมาใหม่บ้าง เพลงต่างๆ ที่ใช้ร้อง ใช้วิธีจดจาและถ่ายทอดกัน

ต่อๆมา ไม่มีการจดบันทึก เน้ือเพลงจึงแตกต่างไปตามแต่ความต้องการของผู้รอ้ ง คือ พ่อเพลง แม่

เพลงหรือผู้ร่วมแสดงคือ ผู้รา ส่วนใหญ่ผู้ราก็จะร้องเพลงได้เกือบทุกเพลงเน้ือเพลง บทเพลงก็นา

มาจากวรรณดีบางเรื่อง เช่น ลักษณวงศ์ ไกรทอง รามเกียรต์ิ เป็นต้น นอกจากน้ีเพลงบทเพลง

ก็มีเนื้อร้องใหร้ ักชาติ เกี่ยวข้องท้องถ่ิน แต่ท่ีพบมากท่ีสุดก็เปน็ เน้ือเพลงเก่ียวกับความรัก การเกี้ยว

พาราสีของพวกหนมุ่ สาว

ตัวอยา่ งบทร้อง

ไตรรงคธ์ งไทย

ไตรรงค์ธงไทย ปลิวไสวสวยงามสง่า แปดนาฬกิ า

สัญญากันว่ายืนตรง สัญญากันว่าเคารพธง

สีแดงคอื ชาติ สขี าวคือศาสนา

สีนา้ เงินนนั้ หนา คือมหาพระจกั รพงษ์

ไตรรงคค์ ือธง ท่ไี ด้มาโค้งให้กบั ท่าน

เพอ่ื เปน็ ธงสาคญั ของประชาชาติไทย เอ๊ย เพ่อื เป็นธงสาคญั ของประชาชาติไทย

สรุปใจความ กล่าวถึง ภาพของธงชาติไทยท่ีพัดปลิวไสวอย่างสวยงาม ช่วงเวลา 8.00 น.

เราทุกคนต้องยืนตรงเคารพชาติ "ธงไตรรงค์ หมายถึงธงท่ีมี 3 สี ได้แก่ สีแดง คือ ชาติ สีขาว

คือ ศาสนา สีน้าเงิน คอื พระมหากษตั รยิ ์ "

จดุ ธปู จดุ เทยี น

จุดธปู จุดเทียน วนเวียนยกกรขน้ึ ไหว้ ไหว้เทพท้าวไทจงได้ลงมาคุ้มครอง

แนะนาทาบท เอย๋ โปรดช่วยแนะทานอง ในเมอื่ ลกู จะร้อง ทานองเสนาะและนา่ ฟงั ๆ

คนดตู ดิ ใจเมอ่ื จะไปใหล้ ะลา้ ละลัง รว้ งเร่ิมตงั้ ขอให้ท่านมาทศั นา ๆ

สรุปใจความ กล่าวถึง การเคารพด้วยการจุดธูปเทียน ไหว้เทพดาและส่ิงศักด์ิสิทธ์ิ

ใหม้ าคุ้มครองและดลใจแนะนาทานอง พร้อมทงั้ ให้เกดิ ความหลงใหล เพ่อื ใหม้ ีผูม้ าชมการแสดงมากๆ

34

พอไดย้ ินรามะนา

พอไดย้ ินรามะนา ฉันกม็ าจากบา้ น พรึม พรึม กงั วานๆ กอ้ งอยู่

ฉันอยากจะเหน็ ถงึ ไมไ่ ด้เล่น จะมาดูเขาเลน่ อยากเหน็ อยากดู

ทกุ คืนเคยรา หักใจห้ามไม่อยู่ กลองมนั ดงั ก้องหๆู มาคดิ ถึงครู่ ้วงๆ

สรุปใจความ กล่าวถึง เสียงรามะนาเรยี กรอ้ งให้มาดู ให้มาเล่นราโทน อยากจะมารอ้ งรากบั คนทีเ่ คย

ร้องด้วยกัน

ดาวคกู่ ับเดือน

ดาวคกู่ ับเดอื น แสงเดือนระยบั จับตา ฉันยงั อุตส่าห์มาหาเธอ

อยากเห็น อยากเจอ พบเธอ อยากสนทนา

มาประสบพบกนั นบั วนั นับคนื หัวใจฉันตืน่ ผวา

วนั ไหนตัวฉนั ไมไ่ ดม้ า ๆ ในอรุ าของฉันเล่อื นลอย

ลอยเลื่อนลอย ไปอยใู่ กล้เธอ

สรุปใจความ กลา่ วถงึ ชายที่ตอ้ งมนต์เสนห่ ข์ องหญงิ สาว เปน็ การเปรยี บเทยี บ ดาวคู่กบั เดือน

ซึ่งเป็นธรรมชาติของผู้หญิงคู่กับผู้ชาย ชายหนุ่มอยากจะมาพบกับหญิงสาวเพื่อพูดคุยขนาดนับ

วันนับคนื ไมเ่ ปน็ อันกนิ อนั นอน

2.3 กลวธิ กี ารเลน่

ราโทนในอดตี นนั้ สามารถแบ่งเป็น 3 ขน้ั ตอน คอื
ขั้นตอนท่ี 1 ข้นั เตรียม
ข้ันตอนนจี้ ะแบ่งออกเป็น เหตุการณ์ คอื
เหตุการณ์ที่1คือ ข้ันตอนเชิญชวนและนัดหมายผู้เล่น น่าจะเป็นการจัดเตรียมสถานที่โดย
ผู้นาหมู่บ้านจะประกาศขอแรงจากลูกบ้านหรือสมาชิกในหมู่บ้านให้นาฟืนและตะเกียงเจ้าพายุมา
เพราะวา่ ราโทนนยิ มเล่นกันตอนกลางคืนจะเอาไวใ้ นลานกลางหมู่บ้านหรอื สถานท่ที ่ีกาหนดทสี่ ามารถ
รองรบั ผรู้ ว่ มกนั เล่นราโทนนี้ได้

35

เหตุการณ์ที่ 2 คือ ข้ันตอนการไหว้ครูจะกระทาก่อนการเริ่มเล่นราโทนข้ันตอนไหว้ครูน้ัน
จะกระทากอ่ นการเลน่ ราโทนจะมีการประกอบพิธไี หวค้ รู โดยในกรณีน้ี ยกตวั อยา่ งกรณขี องนางหยา
เร่ิมลึก ผู้อาวุโสในกลุ่มราโทน และเป็นผู้ได้รับมอบพิธีไหว้ครูมาจากหลวงพ่อทองใบ วัดอบทม
ผู้เชี่ยวชาญในการประกอบพิธีไหว้ครูต่างๆ เป็นผู้นาการไหว้ครู ส่วนเคร่ืองประกอบในพิธีไหว้ครู
ไดแ้ ก่ ธูป 9 ดอก เทยี น 1 เลม่ ดอกไมม้ งคล 3 สี สุรา 1 ขวด เงนิ ค่ากานนั 1 บาท 50 สตางค์ พร้อม
ด้วยอุปกรณ์ประกอบจังหวะทุกชนิดได้แก่ กลองโทน ฉิ่งกรับ และผู้เล่นราโทน จะต้องเข้าร่วมพิธี
ไหวค้ รดู ้วย สาหรับเงินค่ากานนั ท่ีใช้ในการไหว้ครูยังคงใช้ในราคาเดมิ จนถึงปจั จุบนั

ข้นั ตอนที่ 2 ข้ันการละเล่นราโทน
เมื่อถึงเวลาที่กาหนดแล้ว สมาชิกจะมารวมกัน ยืนหรือนั่งล้อมกันเป็นวงเต็มลานกว้าง
โดยมีผู้ตีรามะนาและนักร้องนาอยู่ฝั่งใดฝ่ังหน่ึงของกองไฟ ตรงกลางมีกองไฟหรือบางครั้งจะใช้
ตะเกยี งเจ้าพายตุ งั้ ไวแ้ ทน เมื่อจะเริ่มการละเล่นราโทน ผนู้ าหรือหวั หนา้ หมบู่ า้ น จะกลา่ วนาเพ่อื แจ้ง
วัตถุประสงคแ์ ละกาหนดการของการละเล่นในครั้งน้ีให้แก่ทุกคนได้รับทราบ จากนั้นทกุ คนลุกข้นึ ยนื
ตรงและเริ่มร้องเพลงเก่ียวกับสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ตามลาดับ (หรือเลือกร้องเพลง
ประเภทใดประเภทหน่ึงก็ได้) จากนั้นจึงน่ังลงล้อมวงเพื่อร้องเพลงไหว้ครู เมื่อร้องเพลงไหว้ครูจบ
จึงเข้าสู่เพลงอื่นๆ ตามลาดับ วิธีการเชิญคู่ราฝ่ายชาย จะเดินเข้าไปโค้งฝ่ายหญิงเพื่อเชิญชวนให้
ออกมาเปน็ ครู่ าของตนเอง เม่ือฝ่ายหญิงตกลง ก็จะเดินเขา้ มาในวง สมทบกับคู่อ่ืนๆ แล้วเริ่มราคกู่ นั
ไป เป็นลกั ษณะการเดินเปน็ วงกลมทวนเข็มนาฬิกา ทั้งผู้ชายและหญิงจะราคู่กนั ไปเรอ่ื ยๆ มีการราตี
บทประกอบเพลงหรอื การราโดยใชท้ า่ อสิ ระ หยอกลอ้ กันไป บางครั้งอาจถึงเน้อื ถงึ ตวั กนั บ้างแต่ก็พอ
งาม การละเลน่ ราโทนแตล่ ะครั้งจะแบง่ เปน็ รอบๆ ในแต่ละรอบอาจจะร้องเพลงเดยี วแต่ซา้ กัน 2 – 3
รอบ หรือร้องเพลงหลายๆ เพลงต่อเน่ืองกันไป โดยใช้เวลา 5 – 10 นาที เมื่อหมดรอบ ฝ่ายชายจะ
เดินไปส่งฝา่ ยหญิงท่เี ดิม แต่หากประสงค์จะราคู่กนั ต่อไปอีกก็สามารถทาได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความพงึ
พอใจของทง้ั สองฝา่ ย
การละเล่นราโทนจะดาเนินไปเร่อื ยๆ อาจใชเ้ วลาประมาณ 2 – 3 ช่ัวโมง จงึ จะยตุ ิการละเล่น
ก่อนจะยุติการละเลน่ จะมีการร้องเพลงส่งทา้ ยท่ีเรียกว่า "เพลงลา” ท่ีมีเนื้อหาเก่ียวกับการจากลา
หรือการขอขมาลาโทษต่อครูบาอาจารย์ ต่อคู่ราของตน ต่อผู้ใหญ่ที่อาจพลั้งเผลอไปล่วงเกิน
ในระหว่างการละเล่น และวรรคสุดท้ายของบทเพลงจะเป็นการกล่าวลาและนัดหมายเพ่ือเจอใน
การละเลน่ ครง้ั ต่อไป

36

ข้นั ตอนที่ 3 คอื หลงั จากการละเลน่
ในข้ันตอนนี้จะเร่ิมขึ้นเม่ือเสียงเพลงและเสียงโทนยุติลงผู้นาหรือหัวหน้าหมู่บ้านกล่าว
ขอบคุณนักดนตรี ต้นเสยี ง และสมาชกิ ในหมู่บา้ นท่ีมาร่วมการละเลน่ พร้อมทัง้ อวยพรใหเ้ ดินทางกลบั
โดยสวัสดิภาพ รวมถงึ นัดหมายวัน เวลา และสถานทีใ่ นการเลน่ ราโทนครง้ั ต่อไป จากน้ันทกุ คนก็จะ
ชว่ ยกนั เกบ็ ของและจัดการสถานท่ีใหอ้ ย่ใู นความเรยี บรอ้ ย ใครทน่ี าตะเกียงเจ้าพายุมา ก็จะนาตะเกียง
ของตนเดินทางแยกยา้ ยกลบั บา้ นไป
2.4 เครื่องแตง่ กาย

ทม่ี าของภาพ : https://sites.google.com/site/library2u

การแตง่ กายของผู้แสดงราโทนพ้นื บ้าน
จะมีการแต่งกายแบง่ เปน็ 2 แบบ พ้นื บ้านและแบบไทยภาคกลาง
การแต่งกายแบบที่ 1 แบบไทยพื้นบ้าน ไม่ได้จาเพาะเจาะจงแต่อย่างใด สุดแต่ว่าความ
สะดวก แต่เนน้ ชุดทสี่ ภุ าพเรยี บรอ้ ย ส่วนใหญ่แต่งกายแบบไทยๆ
- ฝ่ายหญิงนุ่งผ้าถุง หรือ นุ่งโจงกระเบน ใส่เสื้อแบบไทยเสื้อลายดอก เสื้อคอกลมแขน
กระบอก
- ผู้ชายนุ่งกางเกงขายาวหรือโจงกระเบน ใส่เสื้อคอกลมลายดอกแขนส้ัน มีผ้าคาดเอว
ไม่มีเอกลกั ษณ์ทแ่ี น่นอน
การแต่งกายแบบท่ี 2 แบบไทยภาคกลางมาตรฐาน จะนิยมแต่งในโอกาสในการแสดง
ทค่ี อ่ นขา้ งสาคญั เช่น ไปแสดงต่างถ่นิ หรอื แสดงเพ่อื เปน็ การต้อนรับอาคันตกุ ะหรือเจา้ หน้าท่ที ่ีสาคัญ
กจ็ ะกาหนดแบบเพอื่ ความสวยงามและความเรยี บร้อย คือ
- ฝ่ายหญิงจะนุ่งโจงกระเบน ห่มสไบ พร้อมเครื่องประดับครบชุด ประกอบด้วย
สรอ้ ยคอทองคา ตา่ งหู หอ้ ยพระ ขอ้ มอื แหวนทองหรือเพชรเป็นต้น

37

- ฝ่ายชายจะนุ่งกางเกงขายาว เสื้อคอกลม แขนสั้น จะเป็นเส้ือผ้าพ้ืนหรือผ้าลายดอก
มผี า้ คาดเอวจะเป็นผา้ ขาวม้า หรอื ผ้าสกี ไ็ ด้

การแต่งกายในแบบการแสดงผลงานสร้างสรรค์
การออกแบบเครอื่ งแตง่ กายประกอบไปด้วย 2 ส่วนคือ
การกาหนดสี และ การกาหนดลักษณะเคร่ืองแต่งกาย การกาหนดสีเครื่องแต่งกาย เช่น
ได้กาหนดใหเ้ ปน็ โทนสีเทา โดยมีเหตุผลในการกาหนดว่าตอ้ งการให้เปน็ ทีร่ าลึกว่าผลงานสร้างสรรค์
ชุดน้ีได้สร้างสรรค์ขึ้นในปี 2560 ท่ี ประชาชนคนไทยทั้งประเทศสูญเสียในหลวงอันเป็นท่ีรักย่ิง
สว่ นลกั ษณะเคร่อื งแต่งกายของชายและหญิงไดก้ าหนดให้
- ฝา่ ยชายสวมเส้อื คอต้ังแขนยาว นงุ่ โจงกระเบน สวมถุงเทา้ ยาวและรองเทา้ หนัง
- ฝ่ายหญิงได้กาหนดให้สวมเสื้อที่ตัดเย็บด้วยผ้าลูกไม้สอดด้ิน ตามสมัยนิยมในปัจจุบัน
(2560) ที่นิยมสวมเส้อื ลูกไมแ้ ลว้ นงุ่ ผา้ ถุงจบี หนา้ นางสวมรองเท้ารัดเกล้าผมตดิ เคร่อื งประดบั พองาม
2.5 อปุ กรณ์ทใี่ ชแ้ สดง
ไม่มอี ุปกรณ์ทใี่ ช้ในการแสดง
2.6 เครือ่ งดนตรที ใ่ี ชป้ ระกอบการแสดง

ที่มาของภาพ : https://sites.google.com/site/library2u

รามะนา บางถ่ินอาจจะใชอ้ ปุ กรณอ์ ื่น เชน่ ถงั น้ามัน ตีแทนได้ขึ้นอยกู่ บั ความสะดวก ฉิ่งและ
กรับ ในต่อๆมาการแสดงโทนบนเวทอี าจจะใช้ดนตรสี ากลประกอบด้วย

38

2.7 โอกาสทใ่ี ช้แสดง
ในอดีตการแสดงราโทนนี้ จะใช้แสดงในงานรื่นเริงได้ทุกโอกาส เช่น งานตรุษสงกรานต์
งานบวชนาค งานแต่งงาน งานลอยกระทง งานสงกรานต์ และงานประเพณีอื่นๆ แต่ปัจจุบันมีการ
แสดงราโทนลดน้อยลง จะเหลือแต่งานตรุษสงกรานต์ เท่าน้ันท่ีเป็นการแสดงในท้องถ่ินของตน
แต่ยังมีการแสดงราโทนของบางคณะ เช่น ที่ตาบลบางพึ่ง ท่ีจะได้รับเชิญไปแสดงในเทศกาลต่างๆ
โดยหน่วยหน่วยงานราชการและสถานศกึ ษา เพ่อื การอนรุ ักษ์ สบื สาน และเพอื่ ให้ความรแู้ ก่นักเรียน
นกั ศึกษา เพื่อชว่ ยกนั สบื สานต่อไป

39

บรรณานกุ รม

คมสันตว์ รรณวัตน์ สุทนต.์ (2541). การศึกษาเพลงราโทน บา้ นหนา้ วัดโบสถ์ อาเภอสามโก้ จงั หวัด
อ่างทอง. สืบคน้ เม่อื 9 กรกฎาคม 2564,
จาก http://research.culture.go.th/index.php/research/ct/item/455-2012-09-
16-08-58-05.html

นาฏศิลป์ภาคกลาง. (2562). การแสดงราตดั . สืบค้นเม่อื 9 กรกฎาคม 2564,
จาก https://sites.google.com/site/websitnatsilpphakhklang/nad-silp-phakh-
klang/kar-saedng-ra-tad

บญุ เสรมิ แก่นประกอบ. (2561). เพลงพืน้ บา้ น. สบื คน้ เมอื่ 9 กรกฎาคม 2564,
จาก https://www.baanjomyut.com/library_6/folk_song/05_3_11.html

ภทั รวดี ภูชฎาภริ มย์. สานักพมิ พแ์ ห่งจุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย. ปี 2552พมิ พค์ ร้งั ท่ี 1
ทมี งานทรปู ลูกปัญญา.(2564). การแสดงพืน้ เมอื งภาคกลางตอนเพลงเรอื .สบื ค้นเมอื่ 9กรกฎาคม2564,
จาก https://www.trueplookpanya.com/learning/detail/374

ภเู กต็ เจอรน์ อล.(2562). เพลงฉอ่ ยเป็นเพลงพื้นบ้านภมู ปิ ญั ญาของไทย.สบื ค้นเมื่อวันที่ 9กรกฎาคม2564.
จาก https://phuketjournal.com

วชิ า เชาว์ศิลป.์ (2541). ลาตัด. สืบค้นเมื่อ 9 กรกฎาคม 2564,
จาก http://research.culture.go.th/index.php/research/ct/item/453-2012-09-16-
08-56-23.html

ศลิ ปะสร้างสรรค.์ (2560). ตวั อย่างเพลงพืน้ บา้ นภาคกลาง. สืบคน้ เมอื่ 9 กรกฎาคม 2564,
จาก https://sites.google.com/site/naeybenfulc/home

สานกั งานวัฒนธรรมจังหวดั อ่างทอง.(2561). การแสดงพ้ืนเมืองภาคกลางตอนเพลงเรอื .สบื คน้ เมือ่ 9กรกฎาคม2564,
จาก https://www.m-culture.go.th

ห้องสมดุ ออนไลน.์ (2559). ราโทน. สบื ค้นเมอ่ื 9 กรกฎาคม 2564,
จาก https://sites.google.com/site/library2u/silpa-wathnthrrm/kvs-thradl-cha-ti-
nanth/ra-thon

อมรา กล่าเจริญ. (2548). เพลงพื้นบ้านกบั วิถชี ีวิตในการทานา. คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏพระนครศรอี ยธุ ยา. สืบค้นเมื่อวันท่ี 9 กรกฎาคม 2564,


Click to View FlipBook Version