รายงาน
เรื่อง อาณาจกั รแฟรงค์
เสนอ
ผศ.ดร.วรรณพร บุญญาสถิตย์
จัดทำโดย
นางสาวกุลวดี เชอ้ื ผู้ดี รหสั นักศึกษา ๖๓๑๐๑๒๑๒๒๘๐๑๗
สาขาวชิ าสังคมศกึ ษา วิทยาลยั การฝึกหดั ครู
รายงานฉบบั น้ีเปน็ สว่ นหนึ่งของรายวิชาประวตั ศิ าสตรส์ ากล (๑๖๔๒๓๑๔)
ภาคเรยี นท่ี ๑ ปกี ารศึกษา ๒๕๖๕
มหาวิทยาลยั ราชภัฏพระนคร
ก
คำนำ
รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาประวัติศาสตร์สากล (1642314) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้
ความเข้าใจแก่ผู้ที่มีความสนใจเรื่องอาณาจักรแฟรงค์ ในรายงานฉบับนี้มีเนื้อหาประกอบด้วยลักษณะทั่วไปของ
พวกแฟรงค์ และราชวงศส์ ำคญั บทบาทและความสำคัญของจักรพรรดิชาร์ลเลอมาญ พฒั นาการของราชวงศ์คาโร
ลิงเจียน ภายหลังจักรพรรดิชารล์ เลอมาญ
ผู้จัดทำหวังว่า รายงานฉบับนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่าน ผู้จัดทำได้ค้นคว้าหาข้อมูลทาง
อินเทอร์เน็ต และสอบถามผูร้ ู้ ผู้จัดทำขอขอบพระคุณ ผศ.ดร.วรรณพร บุญญาสถิตย์ ที่ได้ใหค้ วามรูแ้ ละคำแนะนำ
ในการทำรายงานฉบับนี้ ผู้จัดทำหวังว่ารายงานฉบับนี้จะเป็นประโยชน์และเป็นแนวทางในการศึกษาเรื่อง
อาณาจักรแฟรงค์ หากมีข้อเสนอแนะหรือข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำขอน้อมรับไว้ด้วยความขอบพระคุณย่ิง
และขออภัยมา ณ ทีน่ ี้ด้วย
ผ้จู ัดทำ
14 ตุลาคม 2565
สารบญั ข
เรอื่ ง
คำนำ หนา้
สารบญั ก
สารบัญรูปภาพ ข
บทนำ ง
ลกั ษณะทั่วไปของพวกแฟรงค์ และราชวงศส์ ำคัญ 1
2
ราชวงศเ์ มโรวงิ เจียน 2
กษัตรยิ ์โคลวิส 2
การแผอ่ ำนาจขยายดินแดนของกษตั รยิ ์โคลวสิ 3
5
สภาพการณต์ า่ ง ๆ ของสมัยราชวงศ์เมโรวงิ เจียน 5
ระบบกษัตริย์ 5
การปกครอง 6
การศาล 6
การทหาร 6
การเงิน 6
การศาสนา 7
เศรษฐกจิ และสังคม 7
การศึกษา 7
8
ความเสอื่ มของราชวงศ์เมโรวิงเจยี น 8
ราชวงศค์ าโรลงิ เจียน
ศาสนจกั ร
สารบญั ค
เรอ่ื ง
หน้า
เปแปงท่ี 3 (Pepin III, the Short, ค.ศ. 751-768) 9
ความสำคัญระหว่างอาณาจกั รกับศาสนจกั ร 10
การขยายอาณาเขต 13
การปกครองภายใน 13
บทบาทและผลงานสำคัญของจกั รพรรดิชารล์ เลอมาญ 14
การทำสงครามขยายอาณาเขต 14
พัฒนาการเมอื ง การปกครอง 16
การปกครองส่วนกลาง 16
การปกครองส่วนภมู ภิ าค 17
ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งส่วนกลางและส่วนภมู ภิ าค 17
กฎหมายและระบบการศาล 18
เศรษฐกิจและการคลงั 19
การศกึ ษาและศิลปวัฒนธรรม 20
ดา้ นสงั คม 21
พฒั นาการของราชวงศ์คาโรลงิ เจยี น ภายหลังจกั รพรรดิชาร์ลเลอมาญ 21
การแบง่ แยกอาณาจักรแฟรงค์คร้ังสำคัญ ๆ 22
สนธสิ ัญญาแวร์ดัง ค.ศ. 843 (Treaty of Vedun) 22
ความเส่อื มของอาณาจักรแฟรงคแ์ ห่งราชวงศ์คาโรลงิ เจียน 24
สรุป 26
บรรณานกุ รม 27
สารบญั รปู ภาพ ง
ภาพท่ี
หน้า
ภาพท่ี 1 กษัตริยโ์ คลวิส ค.ศ. 481-511 2
ภาพท่ี 2 มเหสีพระนางโคลทิลดา 3
ภาพที่ 3 ชารล์ ส์ มาร์เตล (Charles Martel, ค.ศ. 714-741) 8
ภาพที่ 4 เปแปงท่ี 3 (Pepin III, the Short, ค.ศ. 751-768) 10
ภาพท่ี 5 เมืองเซพติมาเนีย (Septimania) 13
1
บทนำ
พวกแฟรงค์มีรูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาว ตาสีฟ้าหรือสีเทา ผมสีทอง มีภูมิลำเนาอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำไรน์ และ
แมน่ ำ้ มอแซลส์ ต่อมาได้มาต้งั ถ่นิ ฐานบรเิ วณแควน้ กอล
อาณาจักรแฟรงค์มี 2 ราชวงศ์ คือ ราชวงศ์เมโรวิงเจียนและราชวงศ์คาโรลิงเจียน ปฐมกษัตริย์ของ
อาณาจกั รแฟรงค์ คือ โคลวิส ผ้กู อ่ ตง้ั ราชวงศ์เมโรวิงเจียน มีความสามารถมาก ขยายดนิ แดนของอาณาจกั รแฟรงค์
ออกไปกว้างขวาง ส่วนอีกราชวงศ์หนึ่ง คือราชวงศ์คาโรลิงเจียน ผู้ก่อตั้งคือ เปแปงที่ 3 ซึ่งเคยเป็นสมุหราชสำนัก
ของราชวงศ์เมโรวิงเจียน ผู้นำที่มีความสามารถมากที่สุดของราชวงศ์คาโรลิงเจียน คือ จักรพรรดิชาร์ลเลอมาญ
มหาราช ผู้ไดส้ รา้ งความเจริญทางด้านตา่ ง ๆ ไว้อย่างมาก มีการแบ่งอาณาจกั รแฟรงค์หลายครง้ั คร้ังสำคญั คือ ตาม
สนธิสัญญาแวร์ดัง ค.ศ. 843 อาณาจักรแฟรงค์ถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ต่อมาดินแดนเหล่านี้ได้พัฒนามาเป็น
ประเทศฝรง่ั เศส อิตาลี และเยอรมัน
2
อาณาจักรแฟรงค์
ลักษณะทั่วไปของอาณาจักรแฟรงค์
พวกแฟรงค์มีรูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาว ตาสีฟ้าหรือสีเทา ผมสีทอง มีภูมิลำเนาอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำมอแซลส์
ได้รับอนุญาตจากจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันตะวันออกให้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในแคว้นกอล พวกแฟรงค์ที่มี
ความสำคัญคือ ซาเลียนแฟรงค์ (Salian Franks) ภายใต้การนำของเมโรวี (Merovee) ได้รวบรวมกำลงั ตอ่ ตา้ นการ
รกุ รานของกลุ่มอน่ื ๆ ไดส้ ำเร็จ และสร้างอาณาจกั รแฟรงค์แบบถาวรขึน้
ราชวงศ์สำคัญของอาณาจักรแฟรงค์
อาณาจักรแฟรงค์มีราชวงศ์ที่สำคัญ 2 ราชวศ์ ได้แก่ ราชวงศ์เมโรวิงเจียน (Merovingian Empire, ค.ศ.
481-754) และราชวงศ์คาโรลิงเจยี น (Carolingian Empire ค.ศ. 754-843)
ราชวงศ์เมโรวิงเจยี น
กษตั รยิ โ์ คลวสิ
กษัตริย์โคลวิส (CIovis ค.ศ. 481-511) เป็นกษัตริย์ที่มีความสามารถมาก เสริมสร้างอำนาจอาณาจักร
แฟรงค์จนเป็นปึกแผ่นเข้มแข็งในแคว้นกอล แบะทำให้ชนชาติแฟรงค์มีความสำคัญมากในยุโรปตะวันตก ได้
สถาปนาราชวงศ์เมโรวิงเจียนข้ึนตามช่ือบรรพบรุ ุษ คอื เมโรวี ปกครองพวกแฟรงค์ไดส้ ำเร็จ อาณาจกั รแฟรงค์เป็น
ปึกแผน่ มากกว่าดนิ แดนของะวกอารยชนเยอรมนั อน่ื ๆ
ภาพท่ี 1 กษัตริยโ์ คลวสิ ค.ศ. 481-511
3
การแผ่อำนาจขยายดินแดนของกษตั รยิ ์โคลวสิ
ในปี ค.ศ. 486 กษตั รยิ โ์ คลวสิ มชี ยั ซนะเหนือกองทัพโรมันที่ปกครองบรเิ วณแมน่ ้ำเซนถึงแม่น้ำลวั ร์ ซึ่งเป็น
ส่วนหนงึ่ ของแคว้นกอล กษัตรยิ ์โคลวสิ ได้ครอบครองดนิ แดนกว้างใหญ่บริเวณนี้ ไดต้ งั้ เมืองปารีสซึ่งอยู่บนฝ่ังแม่น้ำ
เชนใหเ้ ป็นเมืองหลวง บริเวณน้เี รยี กวา่ นอยสเตรียหรอื นิวแลนด์ (Neustria หรอื New Land)
ในปี ค.ศ. 496 กษัตริย์โคลวิสรุกรานซนชาติอเลมานิ (Alemani) หลังจากเอาชนะพวกแฟรงค์กลุ่มอื่น ๆ
ได้หมดแล้ว การทำสงครามกับพวกอเลมานิมีความสำคัญเป็นพิเศษเพราะกษัตริย์โคลวิสประสบกับความ
ยากลำบากมากในการเอาชนะพวกอเลมานิ จึงใด้สาบานกับพระผู้เป็นเจา้ ของมเหสีพระนางโคลทิลดา (Clotilda)
ที่นับถือศาสนาคริสด์ว่า ถ้าพระองค์ชนะสึกอเลมานิพระองค์จะหันมานับถือศาสนาศริสต์ด้วย ใน ปี ค.ศ. 496
กษัตริย์โคลวิสชนะพวกอเสมานิ จึงได้หันมานับถือศาสนาคริสต์ และประชาชนในอาณาจักรแฟรงค์กลายเป็น
คริสต์ศาสนิกชนด้วย เหตุการณ์ครั้งนี้มีผลทางการเมือง คือ การนับถือศาสนาคริสต์ทำให้กษัตริย์โคลวิสได้รับการ
สนับสนุนจากสันตะปาปา และพระในคริสต์ศาสนาตามดินแดนต่าง ๆ ในยุโรป เหตุการณ์ครั้งนี้มีความสำคัญต่อ
อาณาจักรแฟรงค์ซึ่งเป็นดินแดนของพวกอนารยชนมาก กษัตริย์โคลวิสได้สร้างโบสถ์ขึ้นที่เมืองปารีสชื่อว่า Holy
Apostles
ภาพที่ 2 มเหสีพระนางโคลทิลดา
นอกจากนี้กษัตริย์โคลวิสยังได้รับการยอมรับจากจักรพรรดิอนาสตาซิอุส (Emperor Anastasius) แห่ง
จักรวรรดิโรมันตะวันออก ให้อยู่ในตำแหน่งกงสุล (Consul) ดังนั้นพวกแฟรงค์จึงได้รับการยอมรับวา่ เป็นส่วนหนง่ึ
ของจักรวรรดโิ รมันตะวันออก ซง่ึ มผี ลดคี ือ ทำให้ง่ายตอ่ การเปน็ ไมตรีกบั พวกกัลโล-โรมัน ซ่ึงเป็นคนพื้นเมืองเดิม มี
ผลทำใหภ้ าษาละตนิ เข้ามาแทนทีภ่ าษาเยอรมันเดมิ ตอ่ มาไดพ้ ัฒนาเป็นภาษาฝรง่ั เศสในท่ีสุด
4
ในค.ศ. 507 กษัตริยโ์ คลวิสสามารถอาชนะพวกวิสิกอธ ซง่ึ นับถือนิกายเอเรยี น (Arianism) กษตั ริย์โคลวิส
ได้ใช้สาเหตุทางศาสนาเป็นเครื่องมือทำสงครามกับพวกวิสิกอธจนต้องถอยร่นเข้าไปในสเปน กษัตริย์โคลวิสจึงได้
ครอบครองดินแดนของพวกวิสิกอธ ซึ่งอยู่ทางภาคใต้และภาคตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้นกอล คือ แคว้นอควิ
ตาเนียและแคว้นอควแิ ดน
การปราบปรามพวกแฟงค์ด้วยกัน กษัตริย์โคลวิสใช้วิธีการหลายรูปแบบ มีเล่ห์เหลี่ยมต่าง ๆ เพื่อให้ใด้
ดินแดน เชน่ การรบทำสงคราม การส่งคนไปลอบฆ่า การยุใหท้ ายาทแยง่ ราชสมบัติ เช่น ลูกฆา่ ฟอแล้วกษัตริย์โคล
วสิ จะส่งคนไปแสดงความยินดแี ละลวงฆ่าลูกผฆู้ ่าพอ่ คนน้นั เสยี กษตั รยิ โ์ คลวิสกจ็ ะได้ดนิ แดนโดยไมต่ อ้ งรบ
กล่าวได้ว่า ความสำเร็จของกษัตริย์โคลวิส นอกจากพระองค์มีความสามารถในการทำสงคราม มีเล่ห์
เหลี่ยมในการได้ดินแดนโดยไม่ต้องทำการรบแล้ว และการที่พระองค์หันมานับถือศาสนาคริสต์แทนนิกายเอเรียน
เดิม ทำให้พระองคไ์ ด้รับการสนบั สนุนจากคณะบาทหลวงในแคว้นกอล
ใน ค.ศ. 511 กษัตริย์โคลวสิ สิน้ พระชนม์ อาณาจักรแฟรงค์ที่มีความเปน็ ปึกแผ่น และมีฐานะเป็นรัฐนำใน
ยุโรปตะวันตก ถูกแบ่งตามกฎและประเพณีของชนเผ่าแฟรงค์ที่กำหนดว่ามรดกจะต้องแปงเป็นสัดส่วนเท่า ๆ กัน
ตามจำนวนบุตรชาย ดังนั้นอาณาจักรแฟรงศ์ถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วนตามจำนวนโอรสทั้ง 4 พระองค์ของกษัตริย์
โคลวิส ต่างตั้งเมืองหลวงของตนขึ้นมา 4 แห่ง คือ เมืองเมทซ์ (Metz) เมืองออร์ลีนส์ (Orleans) เมืองปารีส
(Paris) และเมืองซัวส์ซองส์ (Soissons) ในระยะนี้มีการขยายดินแดนไปทางตะวันออก บริเวณแม่น้ำเอลบี
โจมตดี นิ แดนของพวกลอมบาร์ดและพวกออสโตรโกธแถนภเู ขาแอลป์ เนอ่ื งจากการสงครามส้รู บกนั ในท่ีสดุ บรรดา
โอรสทั้ง 4พระองค์มีชีวิตอยูเ่ พียงพระองคเ์ ดียว คือ กษัตริย์โลธาร์ (Lothair) มีผลทำให้อาณาจักรแฟรงค์กลบั มา
เป็นปึกแผ่นอีกระยะหนึ่ง ระหว่าง ค.ศ. 538 - 561 หลังจากการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์โลธาร์ ในค.ศ. 561
อาณาจักรแฟรงค์ถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วนอีกครั้งตามจำนวนโอรส แต่เนื่องจากการทะเลาะวิวาทแย่งชิงอำนาจกัน
ในที่สดุ อาณาจักรแฟรงค์ไดถ้ กู รวมกันเข้าเหลอื เพยี ง 2 สว่ น ไดแ้ ก่
1. ออสตราเชีย (Austrasia) มีเมืองเมทซ์เป็นเมืองหลวง ได้แก่ ดินแดนทางต่ะวันออกของอาญาจักร
บรเิ วณลุ่มแมน่ ำ้ ไรน์ มปี ระชากรและวฒั นธรรมดิวดอนคิ
2. นอยสเตรีย (Neustria) มีเมืองซัวส์ซองเป็นเมืองหลวง ได้แก่ ดินแดนช่องแคบอังกฤษบริเวณแม่น้ำ
เซน มปี ระชากรและวฒั นธรรมกัสโล-โรมนั
ในระหวา่ ง ค.ศ. 613-629 กษตั ริย์โลธารท์ ่ี 2 (Lothair II) ซงึ่ เป็นโอรสองค์สดุ ท้าย ได้รวบรวมอาณาจักร
ทง้ั สองและแคว้นเบอร์กันดีเขา้ ดว้ ยกัน ปกครองอาณาจักรแฟรงค์ในฐานะกษัตริยเ์ พียงพระองค์เดียว เม่ือพระองค์
สิ้นพระชนม์ ราชสมบัติตกเป็นของกษัติย์เมโรวิงเจยี นผู้สามารถองค์สุดท้าย คือ กษัตริย์แดโกเบิร์ต (Dagobert)
5
ได้ปกครองอาณาจักรแฟรงค์ตามลำพัง ตั้งแต่ ค.ศ. 629-639 พระองค์เป็นกษัตริย์ที่เข้มแข็งและมีผู้ช่วยที่มี
ความสามารถ คือ บิซอปลานูฟ แห่งเมทซ์ (Bishop Arnulf of Metz) และเปแปงแห่งแลนเดน (Pepin of
Landen) ซึ่งอยใู่ นตำแหนง่ สมหุ ราชสำนกั (Mayor of the Palace)
หลังจากกษัตริย์แดโกเบิร์ตสิ้นพระชนม์แล้ว ไม่มีกษัตริย์ราชวงศ์เมโรวิงเจียนพระองค์ใดมีความสามารถ
ในตอนปลายศตวรรษที่ 7 กษัตริย์ราชวงศ์เมโรวิงเจียนเป็นประมุขแต่ในนาม (Do-Nothing Kings) อำนาจใน
การปกครองอาณาจักรที่แทจ้ ริงอยูท่ ีข่ ้าราชการชั้นสูง คือ สมุหราชสำนัก ซึ่งเป็นงานที่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด
กบั ราชสำนัก
สภาพการณ์ตา่ ง ๆ ของสมัยราชวงศ์เมโรวงิ เจยี น
ระบบกษัตริย์
กษัตริย์เป็นประมุขสูงสุด มีอำนาจมากกว่าสมัยที่เป็นชนเฝา เริ่มตั้งแต่กษัตริย์โคลวิสทรงดำเนินการ
ปกครองด้วยพระองค์เองมากกว่าจะเรียกประชุมขุนนาง มีการเรียกประชุมน้อยมาก กษัตริย์มีอำนาจในการแก้ไข
กฎหมาย ประกาศกฎหมายใหม่ ประกาศสงคราม การเก็นภาษี การศาล การส่ังฆ่าคนโดยไมต่ ้องไตส่ วน
การปกครอง
การปกครองแบ่งเขตเป็นสว่ น ๆ ตามแบบโรมนั แบง่ เป็นเมอื งเรยี กว่า ซิวิทาส (Civitas) แต่ละเมืองมีขุน
นางเรียกว่า เคาน์ (Count) ปกครองโดยไดร้ ับแต่งตั้งจากกษัตริยห์ ลาย ๆ เมืองรวมเปน็ เขต (District) ผู้ที่จะมา
ปกครองเขตจะตอ้ งเปน็ นายทหารเรียกวา่ ดิวส์ (Duce) ซึง่ มีอำนาจทางด้านการศาลด้วย
สภาของชนเผ่าเริ่มหายไป เมื่อเกิดสงคราม ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือนมาประชุม
พร้อมกัน ส่วนพวกพระมีการประชุมอยู่เสมอ ในปลายสมัยราชวงศ์เมโรวิงเจียนได้รวมการประชุมทั้งหมดเข้า
ด้วยกนั โดยกำหนดให้มาประชุมกนั ทุกปี เรยี กว่า ฟิลด์ ออฟ มาร์ซ (Field of March) มที งั้ พระ ทหาร และพล
เรอื น ที่ประชุมจะทำหนา้ ที่พพิ ากษาคดสี ำคัญ ๆ จัดรา่ งกฎหมาย เป็นท่ีปรึกษาของกษัตริย์ และจดั กำลังทหารเป็น
กองทพั
การปกครองส่วนภูมิภาคอยู่ภายใต้ขุนนางที่มีอำนาจมาก มีพระราชาคณะ ในท้องถิ่นเรียกว่า วิคาร์
(Vicar) เป็นผู้ช่วย อำนาจส่วนกลางมักจะควบคุมไม่ถึง เพราะสภาพภูมิประทศเป็นอุปสรรค เป็นสาเหตุหนึ่งของ
ความเสอ่ื มของราชวงศ์เมโรวงิ เจยี น
6
การศาล
ถา้ เป็นคดีเล็ก วคิ าร์เปน็ ผตู้ ดั สนิ
ถ้าเป็นคดีใหญ่ ขุนนางผู้ปกครองแคว้นจะเป็ผู้ตัดสิน โดยมีคนธรรมดา 7 คน ร่วมพิจารณาคดีด้วย หรือ
บางคร้ังขนุ นางก็ตัดสินแต่เพียงผู้เดียว
คดีใหญ่ที่มีความสำคัญ เช่น การกบฎ ต้องไปขึ้นศาลของพระเจ้าแผ่นดินหรือสมหุ ราชสำนกั ซึ่งเท่ากับว่า
ตอ้ งมาขึ้นศาลของสภา
การทหาร
ดิวส์ (Duce) เป็นตำแหน่งหัวหน้าทหารในแต่ละเขต ซึ่งมีขุนนางหลายคนเข้ามาอยู่ใต้อำนาจ ทหารชั้น
ผู้ใหญจ่ ะต้องเป็นผู้เลย้ี งดูทหารของตนเองทง้ั กองทัพ
การเงิน
กษัตริย์ได้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์มาจากที่ดิน ปกติจะไม่พอจ่าย ถ้ามีความจำเป็นด้านการเงินหรือ
ต้องการจะให้รางวัลความดีความชอบแก่ผู้ใด กษัตริย์มักจะมอบที่ดินส่วนพระองค์ (Royal Estate) โดยเทียบ
เป็นราคาเงินให้เป็นการตอบแทน วิธีการแบบนี้เป็นอันตรายต่อกษัตริย์ เพราะเป็นการเพิ่มที่ดินและอำนาจให้แก่
ขนุ นาง ซึง่ เปน็ การสง่ เสรมิ ใหร้ ะบบฟิลดัลเติบโตมากขน้ึ นับว่าเปน็ ความเสือ่ มอย่างหนึง่ ของกษตั ริย์ในราชวงศ์เมโร
วิงเจยี น
การศาสนา
สถบันศาสนาจัดว่าเป็นสถาบันโบราณที่มีอำนาจมาก ผู้บวชจะต้องได้รับอนุญาตจากกษัตริย์ซึ่งถือวา่ เป็น
ตวั แทนของพระเจ้าบนพนื้ พภิ พ ท่มี ีอำนาจเหนอื ศาสนา
โดยทฤษฎี พระแต่ละองค์จะต้องประจำศาสนมณฑล ตำแหน่งบิชอปเป็นตำแหน่งที่เลือกโดยนักบวช
(Clergy) และคนธรรมดา (Laymen) จากแตล่ ะศาสนมณฑล ในทางปฏิบตั ิ บชิ อปจะต้องได้รับอนญุ าตจากกษัตริย์
หรือสมุหราชสำนัก บางครั้งกษัตริยอ์ าจจะใหต้ ำแหน่งแก่คนใกล้ชิดหรอื ขายตำแหนง่ ให้แก่คนทป่ี ระมลู สงู ตำแหน่ง
บิชอปมีอำนาจ ร่ำรวยและมีอิทธิพลมาก นอกจากนี้ยังได้สิทธิพิเศษ (Immunities) จากกษัตริย์ที่จะเรียกเก็บเงิน
บางประเภทจากประชาชน หรืออาจไมต่ อ้ งเสียงินบางประเภทให้กษัตริย์
7
ในตอนแรก ทางศาสนาได้ให้การสนับสนุนราชวงศ์เมโรวิงเจยี น ต่อมาเมื่อศาสนาเห็นว่าอาฌาจกั รจะเป็น
อันดรายตอ่ สถาบันศาสนา พระจึงหาทางเพม่ิ พูนอำนาจของศาสนาเมื่อมีโอกาส เชน่ ในสมัยกษตั รยิ ์โลธาร์ท่ี 2 ถูก
บงั คบั ใหอ้ อกธรรมนญู สงฆ์ ซง่ึ มีใจความสำคญั ดังนี้
1. ใหเ้ สรภี าพในการเลอื กผบู้ ริหารคณะสงฆ์
2. ขยายอำนาจของศาสนามากข้นึ
3. กษัตริย์จะตอ้ งเคารพเจดจำนงอนั ม่นั คงต่อศาสนาของประชาชน
เศรษฐกิจและสงั คม
สังคมในระยะนี้ซบเซากว่าสมัยโรมันมาก บ้านเมืองขาดระเบียบวินัยและความมั่นคง สถานที่ปรักหักพัง
คนในเมอื งมีน้อย การค้าเกอื บจะไม่มีเลย ฟอคา้ ท่มี ีอยบู่ ้างกเ็ ปน็ พ่อคา้ ต่างชาติทม่ี าจากทางตะวนั ออก เชน่ พวกยิว
และพวกชีเรีย นำกระดาษบำาปิรุส เสื้อผ้า แพรพรรณ งาช้าง และสินค้าอื่น ๆ มาขายเป็นครั้งคราว มีพ่อค้าชาว
แฟรงคอ์ ยู่บ้าง ทำการค้าเฉพาะในท้องถ่นิ ของใชต้ ่าง ๆ มักทำขึน้ ในเขตแมนเนอร์ และทำสำหรบั พอใชเ้ ท่านนั้
ฐานะของชายและหญิงไม่เท่ากัน มีกฎหมายซาลิค (Salic Law) ซึ่งจัดว่าเป็นประมวลกฎหมายเยอรมัน
เก่าแก่ที่สุด ระบุถึง การจำกัดสิทธิผูห้ ญิง ไม่ให้ถือกรรมสิทธ์ิที่ดิน ซึ่งมีผลใหท้ ายาทที่เป็นชายเท่าน้ันมีสิทธสิ บื ราช
บัลลังก์เยอรมัน ข้อกำหนดของกฎหมายฉบับนี้มีความสำคัญอย่างมาก แม้กระทั่งในสมัยใหม่ เช่น เมื่อพระเจ้า
วิลเลี่ยมที่ 4 ทรงเป็นทั้งกษัตริย์แฟรงค์และกษัตริย์อาณาจักรแฮนโนเวอร์ของเยอรมันได้สิ้นพระชนม์ลงใน ค.ศ.
1837 พระราชนัดดา คือ พระราชินีนาถ วิคตอเรีย ทรงสืบราชสมบัติในประเทศอังกฤษได้ แต่ไม่อาจจะรับราช
สมบตั ิของราชวงศ์แฮนโนเวอรใ์ นประเทศเยอรมนั ได้
การศกึ ษา
อาณาจักรแฟรงค์มีประชากรทีอ่ ่านและเขียนหนังสอื ไม่ได้ มีแต่พวกพระเท่านัน้ ท่ีมีการศึกษาดี การศึกษา
นบั วา่ ลา้ หลังมาก เมอื่ เทยี บกับสมัยโรมนั
ความเสื่อมของราชวงศ์เมโรวิงเจียน
1. กฎและประเพณีของชนเผ่าเยอรมัน กำหนดให้แบ่งทรัพย์สมบัติรวมทั้งดินแดนให้แก่บุตรชายคนละ
เท่า ๆ กัน ทำให้อาณาจักรถูกแบ่งออกไป ซึ่งเป็นชนวนก่อให้เกิดสงครามชิงราชสมบัติ ทำให้กษัตริย์หรือเจ้าชาย
แต่ละพระองค์จำต้องยอมอ่อนข้อให้กับบรรตาขุนนางเพื่อซื้อความจงรักภักดีและนำมาเป็นข้อต่อรองในการทำ
สงครามแย่งชงิ ราชสมบตั ิ
8
2. การมีอำนาจเพิ่มมากขึ้นของชุนนาง เนื่องจากความจำเป็นทางด้านเศรษฐกิจ และประเพณี นิยมที่
กษัตริย์มักจะมอบที่ดินส่วนพระองค์ให้แก่ขุนนางเป็นค่าจ้าง เท่ากับเป็นการเพิ่มอำนาจของขุนนางท้องถิ่น ใน
ขณะเดยี วกัน อำนาจส่วนกลางของกษัตริยก์ ็ลดลงเรอื่ ยๆ
3. การปกครองไม่มีประสทิ ธิภาพและไม่ทั่วถึง อำนาจขนึ้ อยู่กบั บุคคล ไมไ่ ด้ขนึ้ อยกู่ ับกลไกการบริหารของ
อาณาจักร
ราชวงศค์ าโรลิงเจียน
ราชวงศ์คาโรลิงเจียนเกิดจากบุคคลสำคัญที่ดำรงตำแหน่งสมุหราชสำนัก (Mayor of the Palace) ของ
ราชวงศเ์ มโรวงิ เจียน ได้สถาปนาตนเองเป็นกษตั ริย์ของราชวงศใ์ หม่ คือ ราชวงศค์ าโรลงิ เจียน
สมุหราชสำนักคนสุดท้ายของราชวงศ์เมโรวิงเจียน คือ ชาร์ลส์ มาร์เตล (Charles Martel, ค.ศ. 714-
741) เปน็ บตุ รของเปแปงที่ 2 ได้รับสมญาวา่ ชารล์ ส์ ขุนฆอ้ น (Charles, The Hammer) เน่ืองจากการรบชนะ
พวกมัวร์ที่เมืองตูร์ และปัวดิเอร์ (Battle of Tours and Battle of Poutier) ในค.ศ. 732 โดยได้รับความร่วมมือ
จากพวกลอมบารด์ ซง่ึ อยู่ทางเหนอื ของอิตาลี
ภาพที่ 3 ชารล์ ส์ มาร์เตล (Charles Martel, ค.ศ. 714-741)
ศาสนจักร
ในระหวา่ ง ค.ศ. 738-739 สนั ตะปาปาเกรเกอรี่ที่ 3 (Pope Gregory III) สง่ ฑตู และบรรณาการมามอบให้
ชาร์ลส์ มาร์เตล ผู้ปกครองอาณาจักรแฟรงค์เป็นการส่วนตัว แสดงถึงการยอมรับอำนาจและความสำคัญของสมุ
9
หราชสำนัก ชาร์ลส์ มาร์เตล ในฐานะประมุขของอาณาจักรแฟรงค์ หลังจากกษัตริย์เทียรี่ที่ 4 (King Thierry IV)
แห่งราชวงศเ์ มโรวิงเจยี นส้ินพระชนม์ ในค.ศ. 737 กไ็ มม่ ีกษตั รยิ ์องค์ใดปกครองจนกระทั่งชาร์ลส์ มารเ์ ตล สิ้นชวี ติ
ในค.ศ. 739 และ ค.ศ. 740 สันตะปาปาเกรเกอรี่ที่ 3 ได้ขอความช่วยเหลือจากชาร์ลส์ มาร์เตล ให้ปราบ
พวกลอมบาร์ดท่ีคุกคามศาสนจกั รท่ีโรม สนั ตะปาปา ขอร้องใหซ้ าร์ลส์ มารเ์ ตล รบั ตำแหน่งกงสุลแห่งโรม (Consul
of Rome) แต่ชาร์ลส์ มาร์เตล ปฏิเสธ เพราะไม่ต้องการเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ในคาบสมุทรอิตาลี นอกจากนี้
ชาร์ล มาร์เดล ยังมีความสัมพันธ์อันดีกับพวกลอมบาร์ดในการช่วยเหลือต่อสู้กับพวกมัวร์ ดังนั้น ชาร์ลส์ มาร์เตล
จึงไม่เห็นประโยชนอ์ นั ใดทจี่ ะต้องเสย่ี งกับการเป็นสตั รูกับพวกลอมบารต์ ซึง่ เป็นมติ รทีด่ ี เมอื่ สิ้นสมัยชาร์ลส์ มาร์เตล
ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งอาณาจกั รแฟรงค์กับศาสนจักรยงั ไม่กระชบั นัก
เม่อื ชาร์ลส์ มาร์เตล สนิ้ ชีวิตในค.ศ. 741 ตำแหน่งสมหุ ราชสำนกั จงึ เป็นของบตุ รซายทัง้ สองคือ คาร์โลมาน
(Carloman, ค.ศ. 741-747) และเปแปงที่ 3 (Pepin III, ค.ศ.751-768) ท่ีปกครองอาณาจักรแฟรงค์ร่วมกัน
แต่ไม่ใด้รับความนิยมจากประชาชน ดังนั้น จึงมีการแต่งตั้งบุคคลเชื้อสายราชวงศ์เมโรวิงเจียนให้เป็นกษัตริย์องค์
ใหม่ คอื กษตั รยิ ์ซลิ เดอวิคท่ี 3 (King Childeric III, ค.ศ. 743-751) เปน็ กษตั ริยแ์ ต่ในนาม อำนาจการปกครอง
ทแี่ ท้จรงิ ยงั คงอยทู่ ่ี คารโ์ ลมาน และเปแปงที่ 3
เหตุการณ์โดยทั่วไป บ้านเมืองต้องปราบปรามพวกอนารยชนเผ่าอื่น ๆ อยู่ตลอดเวลา มีพัฒนาการทาง
ศาสนาที่น่าสนใจในเวลาน้ี คอื การเผยแผค่ ริสต์ศาสนาของนักบุญบอนนิเฟส (St. Boniface) ในอาณาจักรแฟรงค์
ซึ่งทำงานได้ผลดีมาก ทำให้ประชาชนจำนวนมากหันมานับถือศาสนาคริสต์ มีการสร้างเขตปกครองวัดระดับมหา
วิหารขนึ้ 4 เขต คอื ซาลสบ์ ูร์ก (Salzburg) ไฟร์ซงิ ก์ (Freising) รีเกนสบรู ์ก (Regensburg) และปาสเซา (Passau)
ทั้งคาร์โลมานและเปแปงที่ 3 เช่นเดียวกับชาร์ลส์ มาร์เตล ทตี่ ระหนักดวี า่ นกั บญุ บอนนิเฟสในฐานะสงั ฆนายกแห่ง
เมืองเมทซ์ (Archbishop of Mainz) จะสร้างประโยชน์ให้แก่สกุลคาโรลิงเจียน และช่วยปฏิรูปสถาบันศาสนา
ตลอดจนปรับปรุงบาทหลวงท่ขี าดระเบยี บ หย่อนวนิ ัย ไมส่ ามารถปฏิบัติภารกจิ บ้านเมอื งได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ
คาร์โลมานมีแนวโน้มส่วนตัวเรื่อยมาในการใช้ชีวิตรับใช้พระผู้เป็นเจ้า มีการติดต่อสนทนาโ ดยตรงกับ
นักบุญบอนนิเฟส ปรากฏว่าในค.ศ. 747 คาร์โลมานประกาศสละอำนาจทางโลกออกบวชเป็นพระ อยู่ที่วัดมองเต
คาสซิโน (Monte Cassino Temple) อยู่ใกล้กรุงโรม ดังนั้น เปแปงที่ 3 ต้องรับตำแหน่งสมุหราชสำนักแต่เพียงผู้
เดยี ว รับผดิ ชอบการปกครองและการขยายอำนาจของสกุลคาโรลิงเจียน ซึง่ ประสบผลสำเร็จสงู สุดใน ค.ศ. 751
เปแปงที่ 3 (Pepin III, the Short, ค.ศ. 751-768)
เปแปงที่ 3 สถาปนาเป็นปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์คาโรลิงเจียนสำเร็จใน ค.ศ. 751 เนื่องมาจาก
ความสัมพันธอ์ นั ดีระหวา่ งสมหุ ราชสำนักราชวงศ์คาโรลิงเจียนกับสถาบยั ศาสนจักรทีโ่ รม ผลประโยชน์ผูกพันที่ต้อง
10
พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ทำให้เปแปงที่ 3 สามารถสร้างสิทธิธรรม (Legitimacy) ของราชวงศ์คาโรลิงเจียนใน
การยกฐานะจากสมุหราชสำนักมาเป็นกษัตริย์ราชวงศ์ใหม่โดยอาศัยความเห็นชอบของศาสนจักร และได้รับการ
สนับสนุนจากสันตะปาปาซาคาเรียส (Pope Zacharias, ค.ศ. 741-752) ตลอดจนการสนับสนุนของขุนนาง มี
การประชุมขุนนางแฟรงค์ที่เมืองซัวส์ซอง ใน ค.ศ. 751 ที่ประชุมตกลงแต่งตั้งให้เปแปงที่ 3 เป็นกษัตริย์โดยการ
เลือกตั้งและได้รับความเห็นชอบจากขุนนางในอาณาจักร (King by the Right of Election) ซึ่งต่างกับ
กษตั รยิ ร์ าชวงศ์เมโรวิงเจยี น ทีเ่ ปน็ กษัตรยิ ์โดยชาติกำเนดิ นอกจากน้ี เปแปงที่ 3 ยงั ไดร้ ับการเจิมน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์
จากนักบุญบอนนิเฟสซึ่งเป็นตัวแทนสันตะปาปา และอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า พิธีกรรมทางศาสนาครั้งน้ีนับวา่ เป
แปงท่ี 3 เป็นกษัตริยแ์ ฟรงค์พระองค์แรกท่ีได้รบั การแต่งต้ังจากตวั แทนสันตะปาปา พระองคจ์ งึ มีฐานะเป็นกษัตริย์
โดยพระเมตตาบารมีของพระผู้เป็นเจ้า (King by the Grace of God หรือ The Lord Anointed) ดังน้ัน
กษัตริย์ราชวงศ์คาโรลิงเจียนจึงมีภาระหน้าที่พิเศษเพิ่มจากกษัตริย์ราชวงศ์เมโรวิงเจียน คือ มีหน้าที่รับใช้พระผู้
เป็นเจ้า พิทักษ์ปกป้องศาสนาและทำนุบำรุงศาสนจักร พิธีบรมราชาภิเษกเปแปงที่ 3 โดยการเจิมน้ำมนต์
ศกั ดสิ์ ิทธ์จิ ะกลายเป็ฯพิธีกรรมหลักของกษัตริย์ในยโุ รป โดยเฉพาะกษัตรยิ ์ในเยอรมัน และจกั รพรรดิแห่งจักรวรรดิ
โรมันอันศักดสิ์ ทิ ธิ์
ภาพท่ี 4 เปแปงท่ี 3 (Pepin III, the Short, ค.ศ. 751-768)
ความสำคญั ระหว่างอาณาจกั รกบั ศาสนจักร
ด้านอาณาจกั ร
การที่เปแปงที่ 3 ซึ่งดำรงตำแหน่งสมุหราชสำนักคิดจะเป็นกษัตริย์เสียเอง ในระยะนี้เพราะความอ่อนแอ
ของกษัตริย์ซิลเดอริคที่ 3 แห่งราชวงศ์เมโรวิงเจียนที่ได้รับความนิยมจากประชาชนน้อยมาก แต่เปแปงท่ี 3 เป็น
11
สามัญชน ถ้าจะสถาปนาตนเองเปน็ กษัตริย์ก็จะไม่ศักด์ิสิทธ์ิ จึงคิดให้สันตะปาปาและศาสนจักรสนับสนุน เพราะใน
ระยะน้ี ศาสนามอี ทิ ธิพลมากขนึ้ เนอื่ งจากผลงานการปฏิรูปศาสนาของนกั บุญบอนนเิ ฟส ประกอบกับความศรัทธา
เคร่งครดั ในศาสนาของเปแปงที่ 3 ด้วย
ใน ค.ศ. 750 ศาสนจักรที่โรมถูกคุกคามจากพวกลอมบาร์ด สันตะปาปาซาคาเรียสได้ขอความช่วยเหลือ
มายังเปแปงที่ 3 ด้วยความมั่นใจว่าเปแปงที่ 3 จะต้องช่วยเหลือเพราะมีผลประโยชณ์ร่วมกัน และเปเปงที่ 3
ต้องการเป็นใหญ่เช่นกัน เปแปงที่ 3 ได้ทูลถามถึงปัญหาสันตะปาปาว่า "ในระหว่างบุคคลสองคน คือ ผู้ที่มี
ตำแหนง่ เปน็ กษัตริย์ กับผ้ทู ่มี ีอำนาจในการปกครองแท้จริงใครสมควรจะได้ปกครองแผ่นดิน" สันตะปาปาตอบ
สนับสนุนใหเ้ ปแปงท่ี 3 ยดึ อำนาจและสถาปนาเปน็ กษัตรยิ ์องค์แรกของราชวงศ์คาโรลงิ เจียน ใน ค.ศ. 752 เปแปง
ที่ 3 ได้รับการแต่งต้ังให้เป็นกษัตรยิ ์ของอาณาจักรแฟรงค์ ที่เมืองซัวส์ซองส์ อันเป็นสถานท่ีเดียวกันกับกษัตริย์ซิล
เดอริคที่ 3 แห่งราชวงศ์เมโรวิงเจียน ถูกขับออกจากราชบัลลังก์ และถูกคุมขังอยู่ในวัดเซนต์ เบอร์ดิน (St.
Burdine Temple)
ดา้ นศาสนจกั ร
สันตะปาปาตกอยู่ในสภาวะที่ไม่แตกต่างจากสมุทราชสำนักเท่าไรนัก ในเรื่องความเหลื่อมล้ำระหว่าง
ตำแหน่งกับอำนาจที่แท้จริง กล่าวคือ สันตะปาปาถึงแม้ว่าจะทำหน้าที่เป็นผู้นำของคริสต์ศาสนิกชนในยุโรป
ตะวันตก แต่โดยนิตินัย สันตะปาปาทรงมีตำแหน่งเป็นเพียงตัวแทนของจักรพรรดิแห่งคอนสแตนติโนเปิลเท่านั้น
จักรพรรดิแห่งคอนสแตนติโนเปิลยังคงดำรงตำแหน่งเป็น "จักรพรรดิของชาวโรมัน" (Emperor of the
Romans) จักรพรรดิกำหนดนโยบายและวิธีปฏิบัติให้แก่สันตะปาปา ต่อมาในศตวรรษที่ 8 อำนาจการปกครอง
ของสันตะปาปา เพม่ิ ข้ึนเปน็ ลำดบั เพราะขา้ หลวงแหง่ ราเวนนา ซง่ึ ทำหนา้ ท่ีต่างพระเนตรพระกรรณของจักรพรรดิ
แหง่ คอนสแตนติโนเปลิ เปน็ คู่แข่งสำคญั ของสันตะปาปาในอิตาลี ตอ้ งประสบกบั ภัยคุกคามของพวกลอมบาร์ดท่ีเข้า
มาตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณแม่น้ำโปทางตอนเหนือของอิตาลี ข้าหลวงแห่งราเวนนาไม่อาจรักษาอำนาจของจักรพรรดิ
ในคาบสมุทรอิตาลีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับกรุงคอนสแตนติโนเปิลเองก็ถูกโจมตีจากพวกมุสลิม ทำให้
การติดต่อระหว่างกรุงคอนสแตนดโิ นเปิลกับยุโรปตะวันตกเป็นไปได้ยาก ดังนั้นอำนาจการปกครองดินแดนต่าง ๆ
ในคาบสมุทรอิตาลีจึงค่อย ๆ ตกอยู่ในมือของสันตะปาปา เช่น อำนาจแต่งตั้ง ถอดถอนเจ้าหน้าที่ประจำท้องถ่ิน
การดูแลรักษาระเบียบและกฎหมายจักรวรรดิให้มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ความมั่งคั่งของสันตะปาปาแห่งโรมมี
ส่วนสำคญั ในการเพิม่ อำนาจให้แก่สนั ตะปาปาที่โรม เพราะสันตะปาปาไม่ต้องรอความเห็นชอบจากคอนสแตนติโน
เปิลหรือราเวนนาในการใชจ้ ่ายด้านต่าง ๆ เช่น จัางทหารในกองทัพ การเจรจาตกลงกับศัตรูผู้รุกรานอิตาลีอย่างป็
นเอกเทศ มีผลทำใหอ้ ำนาจการเมืองของสนั ตะปาปาแผข่ ยายควบคมุ ท้ังทหาร และพลเมอื ง
12
สันตะปาปาแห่งโรมต้องการจะผูกมิตรกับผู้ทรงอำนาจของอาณาจักรแฟรงค์ คือ ความขัดแยังระหว่าง
สันตะปาปาที่โรมกับจักรพรรดิแห่งคอนสแตนติโนเปิลในปัญหาศาสนา เช่น การตีความคำสอน และคา่ ธรรมเนียม
ทางศาสนา การแต่งตั้ง ถอดถอนพระ การยกเลิกพิธีกรรมทางศาสนา การคัดค้านการบูชารูปปั้น (Iconoclastic)
ซึ่งจักรพรรดิลิโอที่ 3 (Emperor Leo III) แห่งคอนสแตนติโนเปิล มีโองการให้ทำลายบรรดารูปชั้น รูปวาดทาง
ศาสนาให้หมดสิ้น ใน ค.ศ. 725 ทำให้สันตะปาปาเกรเกอรี่ที่ 3 แห่งโรมไม่ยอมรับหลักการใหม่แสะชักชวนให้
ครสิ ต์ศาสนกิ ชนในอิตาลีต่อต้านนโยบายศาสนาของจักรพรรดิลิโอท่ี 3 แห่งคอนสแตนติโนเปิลว่าเป็นนโยบายนอก
รดี นอกจากน้ีในสมัยของสนั ตะปาปาซาคาเรยี สเองก็มีปัญหากับคอนสแตนติโนเปิล กล่าวคือ จักรพรรตคิ อนสแตน
ตินท่ี 5 ไดส้ ่งกองทพั เรอื ยดึ ซิซลิ ีและอติ าลีตอนได้ประกาศถอดเขตท้ังสองออกจากอำนาจของสนั ตะปาปาท่ีโรมโดย
มอบที่ดินนั้นให้ขึ้นตรงกับแพทริอาร์คแห่งคอนสแตนติโนเปิล (Patriarch of Constantinople) มาตรการนี้เป็น
การลิดรอนอำนาจของโรม สันตะปาปาซาคาเรียส (Pope Zacharias) โต้ตอบด้วยการประกาศยกเลิกการห้าม
เคารพบูชารูปสนั ตะปาปาที่โรม เกรงว่าเมือ่ จักรพรรดิแห่งคอนสแตนติโนเปิลจัดการปัญหาภายในได้เรียบร้อยแล้ว
มีกำลังเข้มแข็งขึ้นอาจจะมาจัดการกับสันตะปาปาที่โรม และทำลายหลักศาสนาอันบริสุทธิ์ของโรม ดังนั้น เพื่อ
ป้องกันศาสนจักรในอิตาลีจากการรุกรานของคอนสแตนติโนเปิลและพวกลอมบาร์ด สันตะปาปาที่โรมจึงต้องหา
พนั ธมติ รท่เี ขม้ แขง็ คอื อาณาจกั รแฟรงค์ ซง่ึ กป็ ระสบผลสำเร็จ
ใน ค.ศ. 753 สันตะปาปาสตีเฟนที่ 3 (Pope Stephen III) และเปแปงที่ 3 ได้มีการพบกันทำให้ความ
ผูกพันแน่นแฟันขึ้นระหว่างกษัตริย์แห่งราชวงศ์คาโรลิงเจียนกับสันตะปาปา สันตะปาปาสตีเฟนที่ 3 ได้ทำพิธีเจิม
น้ำมนตศ์ กั ดิส์ ิทธ์ิให้แก่เปแปงท่ี 3 และโอรส 2 พระองค์ คอื ชาร์ลสแ์ ละคาร์โลมาน เพ่ือย้ำฐานะพิเศษของราชวงศ์
คาโรลิงเจียนและกำหนดโทษผู้ล่วงละเมิดฐานะพิเศษของราชวงศ์คาโรลิงเจียนอย่างหนัก คือ บัพพาชนียกรรม
(Excommunicate) เป็นการขับบุคคลออกจากศาสนา ไม่ประกอบพิธีกรรมใด ๆ ทั้งสิ้นจากทางศาสนา ห้ามขุน
นางแฟรงค์เลือกบุคคลอื่นที่ไม่ถือกำเนิดจากผู้ที่ด้รับการเจิมน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์จากสันตะปาปา เป็นกษัตริย์
นอกจากนี้ยังมอบตำแหน่งผู้พิทักษ์โรม (Patrician of the Romans) หรือผู้ป้องกันศาสนจักรที่โรม
(Protector of the Roman Church) ให้กษัตริย์เปแปงที่ 3 เพื่อเฉลิมพระเกียรติ การกระทำของสันตะปาปา
สตีเฟนที่ 3 ครั้งนี้ใด้รับผลคุ้มค่า กษัตริย์เปแปงที่ 3 ได้ทำสัญญาวิต้า ฮาเดรียนี (Vita Hadriani) ค.ศ. 754 กับ
สันตะปาปาสตีเฟนที่ 3 ในการช่วยเหลือสันตะปาปาให้พ้นจากการคุกคามของพวกลอมบาร์ด ใน ค.ศ. 755
กษัตริย์เปแปงที่ 3 ตีดินแดนของพวกลอมบาร์ดและราเวนนาได้ กษัตริย์เปแปงที่ 3 ได้มอบกุญแจเมืองในอิตาลี
ภาคเหนือ บริเวณใต้ภูเขาแอลป์และแม่น้ำโปให้แก่สันตะปาปา ใน ค.ศ. 756 ต่อมาเรียกว่า "การบริจาคของเป
แปง" (Donation of Pepin) ซ่งึ เปน็ การทำตามสญั ญาวติ า้ ฮาเดรยี นี
13
การขยายอาณาเขต
กษัติริย์เปแปงที่ 3 มีความสามารถมาก พยายามทำให้มีการรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง (Centralization)
ภายหลังเมื่อกษัตริย์เปแปงที่ 3 รบชนะพวกลอมบาร์ด ในค.ศ. 756 แล้ว พระองคก็หันมาปราบปราบแคว้นอควิ
แดน ที่เคยให้ที่พักและช่วยเหลือศัตรูทางการเมือง ตลอดจนการที่แคว้นอควิแดนบังอาจเก็บภาษีทรัพย์สินของ
สถาบันศาสนาอย่างเข้มงวด กษัตริย์เปแปงที่ 3 ได้ยกทัพเข้ายึดเมืองเซพติมาเนีย (Septimania) จากพวกมัวร์
หรือพวกมุสลิมในสเปนได้ เมืองนี้เปรียบเสมือนเมืองหน้าด่านของแคว้นอควิแดน กษัตริย์เปแปงที่ 3 ได้ใช้เมืองนี้
เปน็ ฐานทพั เขา้ โจมตแี ควน้ อควแิ ดนจนไดร้ ับชัยชนะ ใน ค.ศ. 768 แคว้นอควิแดนจึงตกเปน็ ส่วนหนึ่งของอาณาจักร
แฟรงค์
ภาพที่ 5 เมืองเซพตมิ าเนีย (Septimania)
การปกครองภายใน
นโยบายเดน่ ท่สี ดุ คือเร่ืองศาสนา กษตั รยิ เ์ ปแปงท่ี 3 สง่ เสรมิ การปฏริ ปู ศาสนาทรงเห็นความจำเป็นท่ีศาสน
จักรต้องรักษาความมีระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด และวางกฎเกณฑ์ของชีวิตสงฆ์ในวัดแบบสำนักบวช
(Monastery) ซ่งึ เรมิ่ เกิดขนึ้ ประมาณ ค.ศ. 500 ภายใตก้ ารนำของนักบุญเบเนดคิ (St. Benedict) ใน ค.ศ. 520
ได้มีสำนักอยู่ท่ีมอนเต คาสิโน (Monte Casino) พระในสำนักบวชของนักบุญเบเนดิค เรียกว่า พระถือกฏ
(Regular Clergy) หลักปฏิบัติสำคัญ คือ มีใจบุญ (Charity) มีชีวิตอยู่อย่างสมถะ (Poverty) และมีวินัยเชื่อ
ฟงั (Obedience)
14
บทบาทและผลงานสำคัญของจกั รพรรดิชาร์ลเลอมาญ (Emperor Charlemagne, ค.ศ. 768-814)
บทบาทและผลงานสำคญั ของจกั รพรรดชิ ารล์ เลอมาญ
การทำสงครามขยายอาณาเขต
จักรพรรดิชาร์ลเลอมาญทำสงครามปราบศัตรู และขยายอาณาเขตได้อย่างกว้างขวาง ในสมัยนี้มีสงคราม
สำคญั 4 คร้งั
1. สงครามทำลายอำนาจของพวกลอมบาร์ด
ในค.ศ. 774 จักรพรรดิชาร์ลเลอมาญสามารถปราบพวกลอมบาร์ดยึดเมอื งปาเวีย (Pavia) เมืองหลวงของ
อาณาจักรลอมบาร์ดได้สำเร็จ จักรพรรดิชาร์ลเลอมาญเสด็จไปโรมและยืนยันเรื่องการบริจาคของเปแปงที่ยก
ดนิ แดนให้สันตะปาปา แตล่ ดบรเิ วณทีร่ ะบุไวใ้ นสัญญาวิต้า ฮาเดรยี นี (Vita Hadriani) ให้เหลือเพยี งแต่ตอนใต้ของ
แม่น้ำโป หลงั จากสงครามครั้งน้ี จกั รพรรดิชาร์ลเลอมาญกลายเป็นกษัตริย์แห่งลอมบาร์ด (The Crown of the
Lombards ค.ศ. 774) ดินแดนต่าง ๆ ของพวกลอมบาร์ดเป็นส่วนพิเศษเพิ่มขึ้นของอาณาจักร ในตอนต้น
จักรพรรดิชาร์ลเลอมาญทรงยอมให้พวกขุนนางลอมบาร์ดมีสิทธิปกครองตนเอง แต่เมื่อมีกบฎเกิดขึ้น จึงลด
ตำแหนง่ ขุนนางจากดยคุ๊ มาเป็นเคาน์ และส่งขุนนางแฟรงค์ไปปกครองด้วย
นอกจากนี้จักรพรรดิชาร์ลเลอมาญยังทรงได้รับตำแหน่งผู้พิทักษ์ชาวโรมัน (Partician of the
Romans) มีอำนาจเหนือดินแดนของสันตะปาปา และดินแดนอื่น ๆ ในอิตาลี จักรพรรดิชาร์ลเลอมาญได้ถือ
อำนาจนี้ออกคำสั่งให้สันตะปาปาปกครองอิตาลีในฐานะเป็นตัวแทนอำนาจทางโลกในดินแดนอิตาลี จักรพรรดิ
ชารล์ เลอมาญต้องการจะครอบครองคาบสมุทรอิตาลีทง้ั หมด แตไ่ มส่ ำเรจ็ เพราะบุตรเขยของดยุ๊คแห่งทัสคานีที่ถูก
ขับไส่จากลอมบาร์ด ตั้งตัวเป็นเจ้าชายแห่งเบนนิเวนโต (Prince of Benevento) ปกครองเนเปิล ขณะเดียวกัน
จกั รพรรดบิ ิเซนทีน ยังคงยดึ ครองซซิ ิลี เพอ่ื ใช้เปน็ ฐานทัพเข้าโจมตีดนิ แดนอติ าลี แตอ่ ย่างไรกต็ ามแจากสงครามกับ
ลอมบาร์ด จกั รพรรดิชารล์ เลอมาญปน็ กษตั รยิ ท์ ่ีมีอำนาจสมบูรณ์ในอิตาลีไม่เฉพาะแต่กับขุนนางฆราวาสเท่าน้ัน แต่
รวมถึงขุนนางบรรพชติ และสนั ตะปาปาดว้ ย ดงั น้ันจกั รพรรดชิ าร์ลเลอมาญจึงเปน็ กษตั ริย์ของชาวแฟรงค์และชาว
ลอมบารด์ และผพู้ ิทักษ์ชาวโรมนั (King of the Franks and Lombards and Patrician of the Romans)
2. สงครามยบั ยงั้ การขยายอำนาจของพวกมัวรใ์ นสเปน
การต่อสู้ระหว่างอาณาจักรแฟรงค์กับพวกมัวร์ในสเปนมีมาช้านาน จักรพรรดิชาร์ลเลอมาญต้องการปลด
เปลื้องความทุกข์ยากของพวกคริสเตียนที่อยู่ภายใต้การปกครองของพวกนับถือศาสนาอิสลามในสเปน ต้องการ
ทำลายภัยคุกคามอาณาจักรทางตอนใต้บริเวณเทือกเขาพีเรนีสจากพวกมัวร์ในสเปน ในค.ศ. 778 กองทัพของ
15
จักรพรรดิชาร์ลเลอมาญเข้าโจมตีพวกมัวร์ในสเปนประสบกับความพ่ายแพ้ จึงถอยทัพกลับพร้อมกับการลงโทษ
พวกมัวร์ด้วยการเผาทำลายเมืองต่าง ๆ ตามเส้นทางถอยทัพ การกระทำเช่นนี้ ทำให้พวกบาสก์ (Basque) ใน
แคว้นนาวาร์โกรธแค้น และโต้ตอบด้วยการโจมตีกองทัพหลังของจักรพรรดิชาร์ลเลอมาญที่เมืองรองเซสวาเลส
(Roncesvalles) ในบรเิ วณชอ่ งเขาพเี รนสี มีผลทำใหแ้ ม่ทัพที่คุมกองหลัง คือ โรลงั ค์ (Roland) ถูกฆ่าตายพร้อม
ด้วยไพร่พลจำนวนมาก ความเสียหายจากสงครามในสเปนครั้งนี้รุนแรงมาก ต่อมาความทรงจำเกี่ยวกับสงคราม
แหง่ รองเซสวาเลสน้ีใด้กลายเป็นความสะเทือนใจ บันดาลใหเ้ กิดวรรณกรรมฝร่ังชน้ิ เอก ในปลายศตวรรษที่ 11 คือ
มหากาพย์โรลังค์ (Chanson de Roland)
สงครามในสเปนกินระยะเวลาตั้งแต่ ค.ศ. 778 ถึง ค.ศ. 806 เป็นการรบที่จักรพรรดิชาร์ลเลอมาญไม่
ประสบผลสำเร็จมากนัก เพียงแต่สร้างรัฐกันชนทางตอนใต้ของอาณาจักรแฟรงค์ คือ อาณาจักรนาวาร์ และทำให้
ภัยคุกคามจากพวกมัวรห์ มดความหมายโดยสิ้นเชงิ
3. สงครามตะวันออกเพอ่ื ปราบพวกอาวารแ์ ละพวกบาวาเรีย
ใน ค.ศ. 791 จกั รพรรดิชารล์ เลอมาญ ชปราบพวกอาวารแ์ ละพวกบาวาเรยี ได้เป็นผลสำเรจ็ นับวา่ เปน็ คร้ัง
แรกที่ชนเผ่าเยอรมันทั้งหมดได้เข้ามารวมกันภายใต้การบังคับบัญชาเดียวกัน มีการจัดตั้งชุมชนตามพรมแดนใหม่
บรเิ วณลมุ่ แมน่ ้ำดานบู ได้แก่ ออสเตรยี และฮังการีในปัจจบุ ัน และเปน็ การเปดิ พรมแดนให้แกศ่ าสนาครสิ ต์ดว้ ย
4. สงครามทางเหนือเพื่อปราบปรามพวกแซกซนั สลาฟ และเดนส์
จักรพรรดิชาร์ลเลอมาญเริม่ ทำสงครามกบั พวกแซกซนั ซง่ึ อย่ทู างตะวนั ออกของแมน่ ้ำไรน์และแมน่ ้ำแอลบี
ระหว่าง ค.ศ. 772-785 พระองค์ได้รับชัยชนะ และผนวกดินแดนของพวกแซกซันเข้ามาอยูใ่ นอาณาจักรแฟรงค์ มี
การแผ่ขยายศาสนาคริสต์ไปยังพวกแซกซัน ซึ่งยังเป็นพวกนอกรีดให้หันมานับถือศาสนาคริสต์ แต่พวกแซกซัน
ยงั คงรกั ษาธรรมเนยี มประเพณีดั้งเดมิ ของตนไว้ได้
ส่วนพวกสลาฟและพวกเดนส์ท่ีอยู่ทางตอนเหนอื ได้ทำตัวป็นพวกต่อต้านการขยายตัวของศาสนาครสิ ต์ท่ี
จักรพรรดิชารล์ เลอมาญสง่ ไปเผยแผศ่ าสนา จักรพรรดิชาร์ลเลอมาญปราบพวกสลาฟและพวกเดนส์ไดส้ ำเรจ็ และ
เผยแผ่ศาสนาไปยังดินแดนภาคเหนือดว้ ย
ในตอต้นศตวรรษที่ 9 อาณาจักรแฟรงค์ของจักรพรรดิชาร์ลเลอมาญมีอาณาเขตกว้างขวาง ได้ดินแดน
ยโุ รปตะวนั ตกทัง้ หมด รวมถึงดินแดนเยอรมัน ยกเว้นเกาะอังกฤษและโปรตเุ กสเทา่ นั้น อำนาจของจักรพรรดิชาร์ล
เลอมาญสูงสุดทั้งด้านศาสนจักและอาณาจักร จักรพรรดิชาร์ลเลอมาญยึดถือประเพณีของพวกแฟรงค์ที่มีมาตัง้ แต่
สมัยเปแปงว่า กษัตริย์ของอาณาจักรแฟรงค์จะต้องเป็นผู้ปกครอง ผู้นำและผู้ปกป้องศาสนาให้พ้นจากหลักการ
16
ผิด ๆ และจากพวกนอกรีต ดังนั้น ในค.ศ. 796 จักรพรรดิชาร์ลเลอมาญได้รับการยกย่องว่าเป็นขุนนางและบิดา
กษตั รยิ แ์ ละพระ ผนู้ ำและผู้ช้ีแนะชาวครสิ เตียนทง้ั หมด (Lord and Father, King and Priest, the Leader
and Guide of all Christians)
พฒั นาการเมือง การปกครอง
อำนาจของกษัตริย์มีการพัฒนาจากรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ แบบเยอรมัน มีการปกครองแบบบิดาปกครอง
บุตร ผสมกับแบบแนวความคดิ ของโรมนั ไดแ้ ก่ หลักเทวสทิ ธขิ องกษตั ริย์ ทมี่ อี ำนาจเดด็ ขาด และแนวความคิดของ
ศาสนาคริสตท์ เ่ี ชอื่ วา่ อำนาจของกษตั ริย์มาจากพระเจา้
ภายใตก้ ารปกครองของจักรพรรดชิ าร์ลเลอมาญแหง่ ราชวงศ์คาโรลิงเจยี น อำนาจของกษตั ริยข์ ยายมากข้ึน
เพราะความสามารถส่วนพระองค์ ทำให้จักรพรรดิชาร์ลเลอมาญได้กลายเป็นผู้นำอย่างแท้จริงของจักรวรรดิยุโรป
ตะวันตก ทั้งทางด้านอาณาจักรและศาสนจักร อันเป็นการพัฒนาความชื่อดั้งเดิมของอนารยชนเผ่าแฟรงค์ที่ว่า
อำนาจของกษัตรยิ ์ไดร้ บั มอบหมายมาจากพระเจ้าให้มาปกครองท้ังอาณาจักรและศาสนจักร นอกจากนี้ จักรพรรดิ
ชาร์ลเลอมาญได้ศรัทธาแนวความคิดของนักบุญออกัสติน ที่เขียนหนังสือเรื่อง เทวนคร ( City of God) กล่วว่า
อาณาจักรที่ศรัทธาในพระเจ้า จะเป็นสะพานเชื่อมใหม้ นุษย์ได้สัมผสั กับเทวนครของพระเจา้ เมื่อสิ้นชีวิตแล้วจะได้
ไปอยู่ในเทวนครชั่วนิรันตร์ ดังนั้นจึงเป็นภาระหน้าที่ความรับผิดชอบของจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิคริสเ ตียน
ตะวนั ตก ทจี่ ะตอ้ งดแู ลความสงบสขุ ของประชาชน เพ่ือชวี ติ นริ นั ดรใ์ นอาณาจักรของพระเจา้ หรือเทวนคร
การปกครองส่วนกลาง
จักรพรรดชิ ารล์ เลอมาญเปน็ ผู้นำท่ีมีความสามารถมาก รัฐบาลมีลักษณะเปน็ รฐั บาลทหาร ไม่มกี ารแยกกัน
ระหว่างข้าราชการทหารกับพลเรือน ราชสำนักเป็นศูนย์กลางการปกครอง การเมือง เศรษฐกิจ ศาสนา และ
วัฒนธรรม ในสมัยราชวงศค์ าโรลิงเจยี น ตำแหน่งสมหุ ราชสำนกั ได้ยกเลิกไปเพราะกษัตรยิ ์ของราชวงศค์ าโรลงิ เจียน
ปกครองอาณาจักรแฟรงค์ด้วยพระองคเ์ อง ไมม่ อบอำนาจให้ขุนนางผู้ใดผู้หน่ึงโดยเฉพาะ แตใ่ ช้ระบบเลือกสรรเป็น
ครงั้ คราว ตำแหนง่ สำคัญในสว่ นกลางเป็นตำแหนง่ ขุนนางในราชสำนักท่ีสำคัญมี 4 ตำแหน่ง
1. ตำแหน่งดแู ลเสบยี งอาหารและผลติ ผลทางเกษตรกรรม (Seneschal)
2. ตำแหน่งดูแลรับผิดชอบเก่ยี วกับเหล้าและเครื่องดม่ื (Butler หรอื Steward)
3. ตำแหนง่ ดแู ลรับผิดชอบเก่ยี วกับมา้ ใช้และมา้ ศึก (Mashal)
4. ตำแหนง่ ดูแลรบั ผิดชอบทางด้านการคลงั (Chamberlain)
17
ตำแหน่งทั้ง 4 มีความสำคัญมาก เพราะราชสำนักของจักรพรรดิชาร์ลเลอมาญไม่ได้อยู่ที่พระราชวังหรือ
เมืองใดโดยเฉพาะ แต่เคลื่อนที่อยู่เสมอ เพื่อความสะดวกในการสอดส่องดูแลอาณาจักรได้ทั่วถึง และการทำ
สงครามจะหยุดพักระหว่างทางในฤดูหนาวที่กองทัพเคลื่อนพลไมไ่ ด้ จนมีคำกล่าวว่า จักรพรรดิชาร์ลเลอมาญรับ
มรดกของชนเผ่าแฟรงค์ทีช่ อบใชช้ วี ิตบนหลังมา้
การปกครองสว่ นภูมภิ าค
จกั รพรรดชิ าร์ลเลอมาญแบ่งจักรวรรดิออกเป็นมณฑล (Large District) โดยมีตำแหน่งดยุ๊ค (Duke) ทำ
หนา้ ทีป่ กครองมณฑล ซ่งึ เปน็ ดนิ แดนของอาณาจักรแฟรงค์ท่ีขยายออกไปและเปน็ ตำแหน่งท่ีมีอำนาจทางทหาร มี
ผลทำให้อำนาจของดยุ๊คกว้างขวางและยากแก่การควบคุมดูแล ต่อมา ใน ค.ศ. 788 จักรพรรดิชาร์ลเลอมาญ
กำหนดความรับผิดชอบของดยุ๊คใหม่ โดยให้มฐี านะเปน็ ข้าในราชสำนัก ซึง่ อาจจะแต่งต้ังให้มีอำนาจทางทหารเป็น
พเิ ศษเหมอื นกบั มณฑลท่อี ยู่พรมแดนหรือไม่กไ็ ด้ และสามารถเปลีย่ นตวั ดยุ๊คได้
ดินแดนขนาดเล็กรองลงมาเป็นเคาน์ตี้ (County) มีตำแเหน่งเคาน์ (Count) เป็นผู้ปกครอง ซึ่ง
จกั รพรรดเิ ปน็ ผ้แู ต่งตั้ง อาจจะเป็นขนุ นางท้องถนิ่ ยกเว้นเคาน์นัน้ ทำการกบฏ หรือมีความประพฤตเิ สยี หายร้ายแรง
ถึงแม้ว่าตำแหน่งเคาน์จะมอี ำนาจมากทีส่ ุด แต่จักรพรรดิชาร์ลเลอมาญก็ให้เปน็ ตำแหน่งเปิดแก่ชนทุกช้ัน เพื่อเปดิ
โอกาสให้บคุ คลท่มี ีความสามารถได้ยกฐานะตนเอง
ขุนนางตำแหน่งเคาน์อีกประเภทหนึ่งเรียกว่า มาร์เกรฟ (Margrave) ได้รับแต่งตั้งให้ไปปกครองมณฑล
พรมแดน เรียกว่า มาร์ช (March) โดยปกติจะเป็นดินแดนทีเ่ พ่ิงตีได้มา และมีพรมแดนติดต่อกับอนารยชนเผ่าอ่ืน
มารซ์ เปน็ เสมือน เมอื งหน้าด่าน ไดร้ บั สทิ ธิสร้างป้อมปราการและกำแพงล้อมรอบมาร์ชเหล่านี้
ดินแดนขนาดเลก็ รองลงมาจากเคาน์ตี้เรยี กว่า ฮันเร็ด (Hundred) มีไวคาร์ (Vicar) เป็นผู้ปกครองและ
มีไวเคาน์ (Vicount) เป็นผู้ช่วย การปกครองในระดับนี้ ผู้ปกครองไวคาร์จะต้องรับฟังความคิดเห็นของบิชอบใน
ฮันเร็ตนั้น ๆ จักรพรรดิชาร์ลเลอมาญให้อภิสิทธิหลายอย่างแก่ศาสนา เช่น ให้บิชอปเป็นผู้แต่งตั้งคนของศาสนา
เป็นผู้ดูแลการปกครองทางโลกในดินแดนของวัด (Papal Land) เพราะพระเป็นบุคคลกลุ่มเดียวที่มีความรู้
จักรพรรดชิ าร์ลเลอมาญตอ้ งพ่งึ พวกพระ ทางดา้ นการปกครองในหลายระดับ
ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
ตำแหน่ง มิสสี โดมินิซี (Missi Dominici) คือ ตำแหน่งขุนนาง ที่เป็นตัวแทนต่างพระเนตรพระกรรณ
จักรพรรดิ ออกไปสอดส่องดูแลพฤติกรรมของเคาน์ ผู้พิพากษาและบิชอปในท้องถิ่นมีอำนาจตรวจสอบ สอบถาม
และเปลย่ี นแปลงแก้ไขปฏริ ูปการปกครองท้องถ่ินได้ โดยการเรียกประชุมเสรีชนในท้องถิน่ เป็นทีป่ รกึ ษาในระหว่าง
18
3-4 เดือน ที่ไปประจำอยู่ในท้องถิ่น ทำหน้าที่ตรวจราชการทอ้ งถิ่นแทนจกั รพรรดิ เป็นสื่อกลางระหว่างประชาชน
กับจักรพรรดิทเพราะเป็นผู้นำข้อราชการใหม่ ๆ ไปประกาศให้ประชาชนในท้องถิ่นทราบ การปฏิบัติงานของมิสสี
โตมนิ ชิ ี จะมีประสทิ ธิภาพมากน้อยเพยี งไร ขน้ึ อยู่กบั ความสามารถของจกั รพรรดิ
กฎหมายและระบบการศาล
กฎหมายดั้งเดิมของอาณาจักรแฟรงค์ เป็นเรื่องของขนบธรรมเนียมประเพณีที่กษัตริย์โคลวิสได้รวบรวม
เป็นประมวลกฎหมายเผา่ แฟรงค์ เรียกว่า สทิ ธสิ ามญั ชน (Folkrights)
เมื่ออาณาจักรแฟรงศ์ตั้งมั่นถาวรในดินแดนท่ีเคยเป็นของจักรวรรดิโรมนั ตะวนั ตก มีการติดต่อทำสงคราม
และปกครองเผ่าอื่น ๆ ด้วยกฎหมายของอาณาจักรแฟรงค์ จึงได้พัฒนารับเอากฎหมายโรมันและเผ่าอื่น ๆ มาใช้
ด้วย เริ่มตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 เป็นตันไป กษัตริย์แฟรงค์ได้กำหนดกฎหมายเพิ่มเติมจากกฎเกณฑ์เดิม เรียกว่า
กฎหมายพิเศษของกษัตริย์ (Special Royal Laws) ในสมัยจักรพรรดิชาร์ลเลอมาญเรียกว่าพระราชกฤษฎีกา
(Capitularies) ในค.ศ. 802 จกั รพรรดิชารล์ เลอมาญไดเ้ รียกประชุมขุนนางเพ่อื จัดระเบียบของสทิ ธสิ ามัญชนและ
พระราชกฤษฎีกาใหม่ โดยให้มีการจดบันทึกเป็นหลักฐาน เพื่อเป็นแม่บทสำหรับการตัดสินพิพากษาคดีต่อไป
รับรองสิทธิของพลเมืองในขอบเขตของกฎหมายอาณาจักร สถาบันกษัตริย์มีอำนาจสูงสุดในการตรากฎหมายโดย
ปราศจากงื่อนไขใด ๆ ฉะนั้น กล่าวได้ว่ากฎหมายของอาณาจักรแฟรงค์สมัยราชวงศ์คาโรลิงเจียนมีที่มาจาก
ประชาชนและจักรพรรดิ กฎหมายออกโดยจักรพรรดิมีอำนาจเหนือกว่ากฎหมายประชาชน กฎหมายในสมัย
จักรพรรดชิ ารล์ เลอมาญเรยี กรวม ๆ กนั วา่ พระราชกฤษฎกี า แบง่ ได้ 3 ประเภท
1. ประมวลกฎหมายสทิ ธิสามญั ชนใหม่ (Capitula legibus addenda)
2. ประมวลพระราชกฤษฎกี าความสัมพันธร์ ะหวา่ งพลเมือง (Capitula Per Se Scribenda)
3. ประมวลระเบียบข้อบังคบั ของราชสำนักและขุนนางที่ทำหน้าที่ต่างพระเนตรพระกรรณในระดับต่าง ๆ
(Capitula Missorum)
ระบบการศาล
ระบบการศาลของอาณาจักรแฟรงค์ เนน้ ถึงภาระของสามัญชนท่ีมบี ทบาทรว่ มพิจารณาตัดสินคดีความใน
ศาลท้องถ่ิน เพราะเป็นเรอื่ งเก่ียวขอ้ งกับซุมชนโตยตรง การทพ่ี ลเมอื งต้องเขา้ รว่ มประชุมในศาลท้องถนิ่ โดยมีเคาน์
เป็นประธานการพิพากษา ทำให้พลเมืองเสียเวลาประกอบอาชีพ เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ เพราะการร่วม
พิจารณาคดีไม่มีผลตอบแทน จักรพรรดิชาร์ลเลอมาญจึงพยายามหาวิธีบรรเทาความเดือดร้อนนี้ ด้วยการ
19
กำหนดให้อิสระชนเข้าร่วมประชุมศาลท้องถิ่นปีละ 2-3 ครั้ง ส่วนกรณีอื่น ๆ อิสระชนจะมีส่วนผูกพันหรือเข้ารว่ ม
ประชมุ ตามท่ตี นสนใจ
ระบบการศาลแบ่งออกเปน็ 2 ลกั ษณะ
1. สภาการศาลเดิม (Bidden Thing) การเรียกประชุมศาลท้องถิ่น ที่พลเมืองจะต้องเข้าประชุมปีละ 3
ครั้ง มีเรื่องราวร้องทุกข์เกี่ยวกับความทุกข์ยากของประชาชน ความไม่เป็นธรรม ตลอดถึงปัญหาต่าง ๆ ทั้งปี ที่
ตอ้ งการใหม้ ีการพิจารณาแก้ไขและปรบั ปรงุ พัฒนาให้ดีขนึ้
2. สภาการศาลใหม่ (Unbidden Thing) การเรียกประชุมศาลท้องถิ่นเพื่อพิจารณาคดีที่ไม่ได้บังคับให้
พลเมืองเข้าร่วมประชุม เพราะตามข้อกำหนดใหม่ จักรพรรดิชาร์ลเลอมาญโปรดฯ ให้แต่งตั้งคณะผู้พิพากษา
ประจำศาล เรียกว่า สคาบนิ ี (Scabini) เปน็ ตวั แทนจกั รพรรดิ ทำหนา้ ท่ีตัตสินคดีความแทนกลุ่มอิสระชนที่ไม่ต้อง
มาประชุมในการน้ี การแตง่ ตงั้ คณะผู้พิพากษาเปน็ การขยายอำนาจของจักรพรรดิ เพราะสามารถแต่งต้งั ผู้พิพากษา
ไดต้ ามอัธยาศัย ขณะเดียวกันก็เปน็ การลดอำนาจและบทบาทของพลเมืองในกิจการศาล
ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งของแนวโน้มการลดอำนาจพลเมืองหรือสิทธิสามัญชน คือ การลดความสำคัญ
ของการประชุมขุนนางประจำปี (Mayfield) เพราะในปลายสมัยจักรวรรดิชาร์ลเลอมาญบ้านเมืองมีความสันติสุข
ไม่ค่อยมีศึกสงคราม ดังนั้นการประชุมขุนนางประจำปีก็ไม่มีความจำเป็นมากนัก สามัญชนหมดความสำคัญลงไป
มาก จักรพรรดไิ ม่ไดม้ คี วามสัมพนั ธโ์ ดยตรงกบั พลเมอื ง ติดต่อเฉพาะขนุ นางเทา่ นน้ั
ดา้ นเศรษฐกิจและการคลัง
เศรษฐกิจส่วนใหญ่ขน้ึ อยู่กบั การเกษตร มกี ารคา้ เพิ่มขึ้น การค้ากับต่างประเทศทีส่ ำคัญ คือ ทางทะเลเมติ
เตอร์เรเนียน ซึ่งไมค่ อ่ ยก้าวหน้ามากนัก เพราะถกู รบกวนจากโจรสลัดซาราเซน็ มรี ะบบเงนิ ตรา กำหนดมาตราการ
ชั่ง ตวง วัด จัดระบบการเก็บภาษีสินค้าผ่านด่าน ภาษีทางหลวง สะพาน การขนส่งทางน้ำ และภาษีขายสินค้าใน
ตลาด กอ่ สร้างสาธารณประโยชน์ เชน่ ขดุ คลอง ทำฝายก้นั นำ้ ทอ่ ส่งน้ำ สรา้ งสะพาน ถนน และปอ้ มปราการ
การคลงั
เงินส่วนพระองค์ของกษัตริย์ยังไม่มีการแยกออกจากเงินของแผ่นดิน กษัตริย์ยังใช้เงินส่วนใหญ่มาจาก
ทรัพย์สินส่วนพระองค์ (Royal Estates) ซึ่งได้มาจากที่ดิน สมัยจักรพรรดิชาร์ลเลอมาญมีพระราชทรัพย์เพิ่มพูน
มาก จากการยึดทรัพย์ขุนนาง หรือการเปลี่ยนสภาพท่ีดินส่วนบุคคลให้เป็นที่ดินของกษัตริย์ รายได้ที่สำคัญอื่นคือ
สิทธิเหนือแม่น้ำ ป่า ภูเขา สัตว์ การปรับไหม การเก็บค่าบริการสาธารณะ บรรณาการจากต่างชาติ ของขวัญจาก
ขนุ นางและผมู้ าประชมุ ประจำปี
20
การศกึ ษาและศลิ ปวัฒนธรรม
จักรพรรดิชาร์ลเลอมาญมีสตปิ ัญญาฉลาดหลักแหลม รบั สัง่ ภาษาละตนิ และเข้าใจภาษากรีกได้พอสมควร
ปกติโปรดที่จะตรัสและทรงพระอักษรเป็นภาษาแฟรงค์ พระองค์สนพระทัยในการเสาะแสวงหาความรู้ เลือกสรร
ผู้ทรงคุณวฒุ ทิ างศิลปวิทยาด้านต่าง ๆ เข้ามาประจำในราชสำนกั รื้อฟื้นความรู้โบราณของกรีกและโรมัน รวบรวม
ความรูท้ ่ีกระจดั กระจายอยู่ตามทตี่ ่าง ๆ เชน่ ในองั กฤษ แควนั ลอมบาร์ด ซึ่งสว่ นใหญอ่ ย่ตู ามสำนักบวชต่าง ๆ จาก
ผลงานนี้ทำให้จักรพรรดิชาร์ลเลอมาญต้องการสร้างระบบการศึกษา ทั้งๆ ท่ีในตอนแรกเพียงแต่ต้องการให้พระ
บาทหลวงช่วยสังคายนาเกย่ี วกบั การศึกษาเท่านั้น มีผู้สนใจอยากเรยี นรู้ศิลปวัฒนธรรม วรรณคดี และปรัชญาด้าน
ต่าง ๆ เพม่ิ มากขึ้น ทำใหก้ ารศึกษาขยายวงกว้างออกไป ดังนนั้ จักรพรรดซิ าร์ลเลอมาญจงึ ไดโ้ ปรดฯ ให้ตั้งโรงเรียน
ประถมศกึ ษา และการศึกษาระดับสูงเพื่อข้าราชสำนักและพวกเจ้าขนุ นาง จดั ไดว้ ่าเปน็ พื้นฐานระบบการศึกษาของ
ยโุ รป การปรับปรงุ การศึกษาคร้งั น้ี ทำใหค้ นมคี วามรเู้ พิ่มมากขนึ้ พระประจำตำบลทำหนา้ ท่สี อนหนงั สอื ด้วย วชิ าท่ี
เรียนประกอบด้วย เทววิทยา ประวัตศิ าสตร์ ภาษาละตนิ ภาษากรีก ปรชั ญา มกี ารคัดลอกหนังสือ ส่งเสริมกิจการ
ห้องสมุดของสำนักบวช มีการประดิษฐ์อักษรคาโรลิงเจียน (Carolingian Minuscule) มีพงศาวดารบันทึกการร้ือ
ฟน้ื สถาปตั ยกรรม การกอ่ สรา้ ง การแกะสลักหินออ่ น โดยเลยี นแบบบเิ ซนทนี โรมันและเยอรมัน
ผลงานดา้ นการศึกษาและศิลปวัฒนธรรมครั้งนี้ เป็นผลงานท่ียิ่งใหญ่ เรยี กวา่ การฟื้นฟูศิลปวทิ ยาคาโรลิง
เจียน (The Carolingian Renaissance) ของศตวรรษที่ 8-9 ความเจริญยังอยู่ในวงแคบของคนกลุ่มเล็ก ที่ไม่
อาจเทียบได้กับการพื้นฟูศิลปวิทยาของศตวรรษที่ 16 การศึกษาครั้งนี้นับว่าเจริญมากที่สุด นับตั้งแต่อาณาจักร
โรมันตะวันตกเสื่อมสลาย และนับว่าเป็นครั้งแรกที่ชาวยุโรปได้อ่านหนังสือเยอรมัน โรมัน และคริสเตียน มีผู้
วิจารณ์วา่ ผลงานการฟ้นื ฟศู ลิ ปวิทยาของจักรพรรดชิ าร์ลเลอมาญครัง้ น้ีไมใ่ ชเ่ ป็นไปเพื่อผลประโยชน์ทางการศึกษา
หรือวิชาการ แต่เป็นเพราะจักรพรรดิซาร์ลเลอมาญเป็นนักปกครองที่ฉลาด ต้องการที่จะสนับสนุนการศึกษาเพื่อ
ยกฐานะของพระองค์เอง เพื่อสร้างคณะบุคคลที่มีประสิทธิภาพ และเพื่อจะชักจูงชาวโรมันที่เก่ง ๆ ให้มาช่วย
พัฒนาอาณาจักรแฟรงค์ ราชสำนกั ของจักรพรรดชิ าร์ลเลอมาญจึงประกอบดว้ ยนักปราชญ์ราชบัญฑติ จากท่ีต่าง ๆ
ทั่วยุโรป ได้แก่ ไอน์ฮาร์ต (Einhard) จากอาณาจักรแฟรงค์ตะวันออก, ปอล เดอ เดียคอน (Paul the Deacon)
จากแคว้น มองเต คาสสิโน, ทีโอดุลฟ์ (Theodulf) จากสเปน และอัลคูอิน (Alcuin) จากแคว้นยอร์คในอังกฤษ
เปน็ ต้น
21
ด้านสังคม
ฐานะทางสังคมของพวกแฟรงค์ จะถูกกำหนดไว้แนน่ อนด้วยระเบียบกฎเกณฑข์ องชนเผ่า ฐานะของบุคคล
ขึน้ อยูก่ ับค่าตัวเวอรเ์ กลด์ (Wergeld) ที่บคุ คลน้นั จะได้รบั หากถูกละเมิดสิทธสิ ว่ นบุคคล หรือถูกข่มเหงโดยไม่เป็น
ธรรม
ทาส (Slave) สว่ นใหญ่ไดแ้ ก่ พวกเซลยศึกทแี่ พ้สงคราม เสรีชนเดิมท่ีเป็นหน้สี ินจนไม่อาจจะไถ่ถอนหนี้ได้
อิสระชนที่แต่งงานกับทาส ก็ต้องลดฐานะเป็นทาส พวกทาสไม่มีสิทธิใด ๆ เป็นของตนเลย เพราะถือว่าทาสเป็น
ทรพั ยส์ นิ ของเจ้านาย ค่าตัวทาสมีคา่ เทา่ กับม้าตวั หน่ึง ทาสมีโอกาสเปน็ ไทยได้เมื่อนายทาสปลดปล่อย และกษัตริย์
อนญุ าตใหเ้ ป็นไท หรือสถาบันศาสนาปลอ่ ยทาสในที่ดินของวัดใหเ้ ป็นอสิ ระได้เชน่ กัน
พวกอาณานิคม (Coloni) คือกลุ่มชนที่ทำมาหากินในที่บุกเบิกเดิมของจักรพรรดิโรมันตะวันตก พวก
อาณานิคมต้องอยู่ติดที่ดินเดิมที่คนบุกเบิก ทำมาหากินอยู่อาศัยในที่ดินใด้ แต่กรรมสิทธิในที่ดินเป็นของผู้ที่ได้ รับ
พระราชทานที่ดินจากกษัตรยิ ์แฟรงค์ พวกอาณานิคมจึงต้องอยู่ภายใตอ้ ำนาจของเจ้าของที่ดินทีต่ นทำมาหากินอยู่
จะโยกย้ายทอี่ ยู่ได้ก็ตอ่ เมื่อได้รบั อนุญาตจากเจา้ ของท่ีดิน และพวกอาณานิคมตอ้ งเสียค่าเชา่ ท่ดี นิ ตามที่กำหนดไว้
พวกอสิ ระชน (Free Man) ไดแ้ ก่ สมาชิกของเผ่าแฟรงค์ หรือพวกกัสโล-โรมัน พวกอสิ ระชนชาวแฟรงค์
จะมฐี านะทางสังคมสงู กว่าพวกเผา่ อื่น ๆ เพราะอัตราค่าตัว ค่าปรับสูงกวา่ พวกอ่นื ๆ นอกจากน้ีพวกอิสระชนที่สืบ
เช้ือสายในสกลุ เจ้าหรือขุนนาง หรือพระ จะมีค่ตัวสงู กว่าอสิ ระชนสามญั
พฒั นาการของราชวงศ์คาโรลงิ เจียนภายหลังจักรพรรดชิ าร์ลเลอมาญ
ใน ค.ศ. 814 พระเจ้าหลุยส์ผู้ใจบุญ (King Louis, The Pius)' พระโอรสของจักรพรรดิชาร์ลเลอมาญ
ได้รับมรดกที่ยิ่งใหญ่ของราชวงศ์คาโรลิงเจียน ทั้งด้านอาณาจักรและพระราชอำนาจในยุโรปตะวันตก พระเจ้า
หลุยส์หรือกษัตริย์องค์อื่น ๆ ในภายหลังไม่มีความสามารถด้านการปกครองหรือการทหาร ดังเช่นบรรพบุรุษผู้
ยิ่งใหญ่ของราชวงศ์คาโรลิงเจียน นอกจากนี้ขนบธรรมเนียมประเพณีด้ังเดิมของชนเผ่าเยอรมันในการแบ่งมรดก
ให้แก่บุตรชายทุกคน ทำให้อาณาจักรแฟรงค์อ่อนแอเพราะเกิดการแตกแยกและทำสงครามกันเอง ในช่วง
ระยะเวลาตั้งแต่ ค.ศ. 814-987 มีการแบ่งอาณาจักรแฟรงค์กันหลายครั้งด้วยหลายสนธิสัญญาจนทำให้
อาณาจกั รแฟรงคส์ ลายตวั ไปในทส่ี ดุ เกิดการแบง่ แยกดินแดนเปน็ ชื่อใหม่ 2 แหง่ คือ ฝรงั่ เศสหรอื ฟรังเชียตะวันตก
และเยอรมนั หรือฟรงั เชียตะวนั ออก
22
การแบง่ แยกอาณาจักรแฟรงคค์ รั้งสำคัญ ๆ
1. เอกสารแบ่งปนั อาณาจักรแฟรงค์ ค.ศ. 817 (Devision Imperi)
การประชุมสภาขุนนางที่เมืองเอกซ์ ลา ชาเปล ทำให้พระเจ้าหลุยส์ผู้ใจบุญต้องมอบตำแหน่งจักรพรรดิ
ให้แก่ โลธาร์ (Lothair) โอรสองค์โตในฐานะเป็นประมุขร่วม (Co-Emperor) ส่วนโอรสองค์อืน่ ๆ อีก 2 พระองค์
ได้รับตำแหน่งกษตั รยิ ์ คือ เปแปง (Pepin) ไดป้ กครองดินแดนตะวันตก ปจั จบุ นั คือ ประเทศฝรั่งเศส หลุยส์แห่ง
เยอรมัน (Louis, The German) ได้ครองดินแดนตะวันออก ปัจจุบัน คือ ประทศเยอมัน ดินแดนอื่น ๆ เป็นของ
จักรพรรดิโลธาร์ คอื ดินแดนตอนกลางส่วนใหญ่ ได้แก่ ประเทศอิตาลี โอรสทัง้ 3 พระองค์ จะเปน็ ประมุขมีอำนาจ
เด็ดขาดในเฉพาะส่วนที่เป็นอาณาจักรของพระงค์เท่านั้น แต่กษัตริย์เปแปงแห่งฝรั่งเศสและกษัตริย์หลุยส์แห่ง
เยอรมันจะต้องขึ้นตรงต่อจักรพรรดิโลธาร์ ในฐานะประเทศราช และต้องปรึกษาข้อราชการในบางเรื่อง เช่น การ
ประกาศสงคราม ยุติสงคราม การเสกสมรส การเช้าเฝ้าถวายบรรณาการ การขอคำปรึกษาในการปกครอง ถ้ามี
ความขดั แย้งกนั ต้องเรียกประชมุ สภาขนุ นาง
ต่อมาใน ค.ศ. 838 กษัตริย์เปแปงสิ้นพระชนม์ พระราชบิดาคือพระเจ้าหลุยส์ ผู้ใจบุญได้ให้อาณาจักร
แฟรงค์ตะวันตก แกโ่ อรสองค์สดุ ทา้ ยท่ีมีกับมเหสีอกี องค์หนง่ึ คือ ชาร์ล พระเศียรล้าน (Charles, The Bald) ต่อมา
ใน ค.ศ. 840 พระเจ้าหลุยส์ ผู้ใจบุญสิ้นพระชนม์ จักรพรรดิโลธาร์ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิโลธาร์ที่ 1
(ค.ศ. 840-855) ได้ทำสงครามกบั พระอนชุ า มผี ลทำให้กษตั รยิ ห์ ลุยสแ์ ห่งเยอรมัน และกษตั ริย์ชาร์ลหัวล้านแห่ง
ฝรั่งเศสได้ทำสัญญาเป็นไมตรีกันใน ค.ศ. 843 เรียกว่า "คำสาบานแห่งเมืองสแตรสเบิร์ก" (Oaths of
Strassburg) กษัตริย์หลุยส์แห่งเยอรมันทรงสาบานเป็นภาษาโรมานซ์ (Romance) ซึ่งเป็นภาษาของพลเมืองที่
กษตั รยิ ช์ ารล์ พระเศียรล้านปกครอง ปัจจุบนั คือภาษาฝร่ังเศส ส่วนกษตั ริย์ชาร์ลพระเศียรล้านทรงกลา่ วสาบานเป็น
ภาษาติวตอนิค (Teutonic) คือ ภาษาเยอรมัน ซึ่งเป็นภาษาของพลเมืองที่กษัตริย์หลุยสแ์ ห่งเยอรมันปกครอง คำ
สาบานมีใจความสำคัญว่า กษัตริย์ทัง้ สองพระองค์ จะช่วยเหลือซึ่งกันและกนั ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงมีสงครามหรือ
ถูกรกุ ราน ในทสี่ ุดจักรพรรดิโลธาร์ท่ี 1 ตอ้ งยอมให้มีการแบ่งอาณาจักรแฟรงคใ์ หม่ ใน ค.ศ. 843
สนธิสัญญาแวร์ดงั ค.ศ. 843 (Theaty of Verdun)
ตามสนธิสัญญาแวร์ดัง ค.ศ. 843 มีการตกลงแบ่งอาณาจักรแฟรงค์ของราชวงศ์คาโรลิงเจียนออกเป็น
3 อาณาจกั ร
จักรพรรดิโลธาร์ไดร้ าชอาณาจกั รกลาง คือ ส่วนใหญข่ องอติ าลพี ร้อมกับตำแหน่งจักรพรรดิ
กษัตริยห์ ลยุ สแ์ หง่ เยอรมนั ได้ดินแดนตะวันออกของแม่น้ำไรน์ สว่ นใหญข่ องเยอรมนี
23
กษัตริย์ชาร์ลพระเศยี รล้านได้ดนิ แดนตะวันตกของแม่นำ้ ไรน์จนถงึ สเปน ส่วนใหญข่ องฝรง่ั เศสและสเปน
โอรสทั้งสามของจักรพรรดิหลุยส์ผู้ใจบุญได้ให้สัตย์สาบานว่า จะเคารพสิทธิและรักษาความสามัคคีซึ่งกัน
และกนั
ความสำคัญของสนธิสญั ญาแวร์ดัง
1. คววมเป็นเอกภาพของอาณาจักรแฟรงค์แห่งราชวงศ์คาโรลิงเจียนสูญสลายไป เพราะ จักรพรรดิโลธาร์
ไม่มีอำนาจเข้มแข็งพอที่จะควบคุมกษัตริย์อีก 2 พระองค์ได้ ทำให้เกิดมีอาณาจักรขึ้น 3 แห่ง มีศูนย์กลางอำนาจ
3 แห่งเช่นกัน ได้แก่
จกั รพรรดโิ ลธาร์ไดค้ รองอติ าลี มศี นู ย์กลางอำนาจอย่ทู แ่ี คว้นลอมบาร์ด
กษัตริยห์ ลุยส์แห่งเยอรมนั ไดเ้ ยอรมนี มีศูนย์กลางอำนาจอยทู่ ่ีแคว้นบาวาเรยี
กษตั รยิ ์ชาร์ลพระเศยี รล้านไดฝ้ รง่ั เศส มศี นู ย์กลางอำนาจอยทู่ ่ีแควน้ อควแิ ดน
อาณาจักรทั้ง 3 แห่งปกครองชนเผ่าต่าง ๆ ตามสนธิสัญญาแวร์ดัง ไม่มีมาตรการใด ๆ กำหนด
ความสัมพันธ์ระหว่างจักรพรรดิกับกษัตริย์ ในฐานะประเทศราช ประมุขของแต่ละอาณาจักรมีอำนาจ และบารมี
เท่าเทียมกนั
2. ความเสื่อมเกี่ยวกับทัศนคติเกี่ยวกับ "จักรวรรดิสากล" และ "สถาบันจักรพรรดิ" ตามความหมายเดิม
จักรวรรดิเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายใต้จักรพรรดิ กษัตริย์ทำหน้าที่เสมือนผูช้ ่วยองค์จักรพรรดิตามภมู ิภาคต่าง ๆ
แต่ในสนธิสัญญาแวร์ดังเป็นการเสนอหลักการใหม่ว่าด้วยอำนาจในจั กรวรรดิทำให้ตำแหน่งจักรพรรดิด้อย
ความหมายลงกษัตริย์ก็มีความสำคัญเท่าเทียมกับจักรพรรดิ ทั้งในด้านศักดิ์ศรีและอำนาจ โดยที่จักรพรรดิโลธาร์
เอง ต้องยอมรับสภาพดังกล่าว เพราะไม่มีกำลังอำนาจที่จะบังคับกษัตริย์แห่งอาณาจักรแฟรงค์ตะวันตกและ
ตะวันออกได้ เพราะ จกั รพรรดโิ ลธาร์ยงั ต้องเผชญิ ศกึ หลายด้านจากพวกซาราเซ็นทางใต้ และพวกไวก้ิงทางเหนือ
3. การสนับสนุนความเป็นเอกเทศของกษัตริย์และจักรพรรดิ ถือเป็นการเริ่มวิวัฒนาการของประเทศ
ต่าง ๆ ที่มีพลเมืองหลายชาติ แตกต่างกันด้านภาษา วัฒนธรรม และความเป็นไปทางการเมือง ทำให้เกิดความ
แตกแยกกันมากขึ้นในดินแดนที่เคยรวมเป็นจักรววรดิคาโรลิงเจียน ในที่สุดมีการเรียกชื่ออาณาจักรเหล่านี้ใหม่
เพ่ือให้สอดคล้องกบั พัฒนาการท่ีเปน็ จริง
4. การแบ่งอาณาจักรแฟรงค์โดยสนธิสัญญาแวร์ดัง เท่ากับเป็นการแบ่งแผนที่ทวีปยุโรปอย่างกว้าง ๆ ใน
ปัจจุบันเป็นประเทศฝรั่งเศส เยอรมันและประเทศเล็ก ๆ ที่อยู่กลางระหว่างดินแดนทั้งสองนี้ ตั้งแต่ เดนมาร์ค
เนเธอร์แลนด์ จนถึงอิตาลี รวมเรียกว่าอาณาจักรกลาง (The Middle Kingdom) ซึ่งรวมเอานครหลวงสำคัญ
24
2 แห่งไว้ด้วยกัน คือ โรม (เมืองหลวงเดิมของจักรวรรดิโรมันตะวันตก และศูนย์กลางของคริสตศาสนาในยุโรป
ตะวันตก) และเมืองเอกซ์ ลา ซาเปล หรือเมืองอาเคน เมืองหลวงของพระเจ้าชาร์ลเลอมาญ ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่า
เป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิคาโรลิงเจียนตลอดมา ดินแดนทั้งสองนี้มีความสมบูรณ์แต่อ่อนแอ เพราะลักษณะ
ทางด้านภูมิศาสตร์ของอาณาจักรที่มีรูปร่างเรียวยาว ถูกกระหนาบด้วยศัตรูทั้ง 2 ด้าน และเป็นที่ต้องการของ
ประเทศฝรั่งเศสและเยอรมนั เสมอ จนเกิดสงครามชงิ ดินแดนแหง่ น้ีอยเู่ นือง ๆ จนถงึ สมยั ของสงครามโลกคร้ังที่ 2
ความเสอ่ื มของอาณาจักรแฟรงค์แห่งราชวงศค์ าโรลิงเจียน
1. อาณาจักรกว้างขวางเกินไป การคมนาคมไม่สะดวก ป่าเขาเป็นอุปสรรคต่อการติดต่อ แต่ละท้องถิ่นมี
ความแตกต่างกัน แต่การที่อาณาจักรแฟรงค์รวมตัวกันอย่างเข้มแข็งได้เพราะความสามารถส่วนพระองค์ของพระ
เจ้าซารล์ เลอมาญ
2. ประเพณีการสืบสันตติวงศ์ และการแบ่งที่ดินให้เป็นมรดกแก่ทายาทชาย ทำให้เกิดการแย่งอำนาจกัน
ในระหว่างทายาท ซึ่งแต่ละครั้งที่มีสงคราม บรรดาพวกเจ้าและขุนนางได้รับที่ดินและทรัพย์สมบัติเพิ่ มขึ้น ทำให้
อำนาจของขุนนางเพ่มิ มากขน้ึ ในทอ้ งถิน่ ขณะเดยี วกนั อำนาจของกษตั ริย์ในส่วนกลางลดนอ้ ยลง
3. ที่ดินมีความสำคัญในการปกครอง เพราะเป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มฐานะทางเศรษฐกิจ สถานภาพทาง
สงั คมและการเมือง ตลอดจนการเลีย้ งดทู หารและบรวิ าร ขนุ นางจงึ พยายามหาทางเพม่ิ พูนที่ดินใหม้ ากข้นึ เม่ือนาน
วันเข้ากษัตริย์ไม่สามารถควบคุมอิทธิพลของขุนนางท้องถิ่นได้ ดูเหมือนว่า อำนาจของกษัตริย์ลดลงและยิ่งลดลง
มากขน้ึ เมอื่ กษตั ริย์ต้องบรจิ าคที่ดนิ และทรพั ย์สนิ ส่วนพระองค์ ให้แกท่ หารและขุนนางท่ชี ่วยเหลือกษัตริย์
4. การแยง่ ชิงอำนาจระหว่างกษัตรยิ ์กับสันตะปาปา ทำใหอ้ ำนาจของกษตั ริย์และอาณาจักรอ่อนแอลง
5. การรุกรานของศัตรูภายนอก ได้แก่ พวกชาวเหนือหรือพวกไวกิ้ง พวกแมกยาร์และพวกมุสลิม ทำให้
ประชาชนไดร้ บั ความลำบากและเดือดร้อนมาก จึงหันมาพึง่ ขนุ นางในท้องถนิ่ มากขึ้น และมองเห็นความสำคัญของ
กษัตริยท์ ีอ่ ยหู่ ่างไกลน้อยลง
พวกไวกิ้ง เริ่มรุกรานอาณาจักรแฟรงค์ ตั้งแต่สมัยพระเจ้าชาร์ลเลอมาญ โดยทางทะเลเมติเตอร์เรเนียน
ยึดเกาะซิซีลีจากพวกอาหรับ และยึดครองเบนีเวนโต โดยตั้งเปน็ อาณาจักรซิซิลีทั้ง 2 (Kingdom of The Two
Sicilies)
พวกแมกยาร์ (Magya) มีนิสยั ดุร้าย ชอบใช้ชวี ิตเรร่อนไม่ชอบต้ังถนิ่ ฐานเป็นหลกั แหล่งแน่นอน เป็นพวก
ผิวเหลอื ง มีถ่ินฐานอยูใ่ นทวปี เอเชียและรัสเชยี ทำสงครามรกุ รานยุโรประหวา่ งค.ศ. 926-937 และยึดครองดินแดน
25
ทางแหลมบอลข่าน ดินแดนของพวกสลาฟ พวกนี้ชอบทำลายวัฒนธรรมเดิม และไม่มีส่วนสร้างสรรค์วัฒนธรรม
ยโุ รปมากนัก จึงทำให้ดินแดนแหลมบอลข่านมวี ัฒนธรรมแตกตา่ งไปจากยโุ รปตะวนั ตก
พวกซาราเซ็น (Saracen) เป็นพวกมุสลิมที่แต่งงานกับชาวพื้นเมืองแอฟริกา ขยายอำนาจจากแอฟริกา
ภาคเหนือเข้ามาทางยุโรปตอนใต้ ทำการคกุ คามเสน้ ทางการค้า และความมั่นคงของอาณาจักรแฟรงค์ทางใต้
ในคริสตศตวรรษที่ 9 อาณาจักรแฟรงค์ถูกโจมตีจากพวกรุกรานกลุ่มใหม่ ในลักษณะทำลายแบบ
ปล้นสะดมมากกว่าจะเป็นการรุกรานทางการเมือง สร้างความเสียหายให้แก่อาณาจักรแฟรงค์ เศรษฐกิจตกต่ำ
ประชาชนได้รบั ความยากลำบาก ยากจน ท่ีดนิ บริเวณชายแดนกลายเป็นที่รกร้างว่างเปลา่ ประชาชนต้องพ่ึงตัวเอง
หรอื หาทพี่ ่งึ ทป่ี ลอดภัยกว่า ความวุน่ วายเสยี หายท่เี กดิ ขนึ้ กอ่ ใหเ้ กดิ ความแตกแยกในอาณาจักรแฟรงค์อยา่ งชัดเจน
ดินแดนฝร่ังเศส ถกู แบง่ ออกเป็นแคว้นต่าง ๆ เพ่ิมขน้ึ จาก 30 แคว้น เป็น 55 แคว้น
ดนิ แดนเยอรมัน รวมเขา้ ดว้ ยกันเปน็ 5 แคว้นใหญ่ คือ ฟรงั โคเนีย แซกโซนี เทอรงิ เกีย สวาเบยี และบาวา
เรยี แตไ่ มไ่ ดร้ วมกนั เป็นรัฐบาลกลางร่วมกัน
ดินแดนอิตาลี มีการแตกแยกทางการเมือง ไม่มีผู้ใดได้อำนาจในอิตาลีอย่างแท้จริง อิตาลีเป็นศูนย์กลาง
ของจักรวรรดิและศาสนาคริสต์ ความอดุ มสมบูรณข์ องดินแดนทำให้อิตาลีเป็นที่ต้องการของประเทศเพ่ืออนบ้านที่
เขม้ แข็งตลอดมา ซง่ึ มผี ลทำใหก้ ารรวมชาตอิ ิตาลีในเวลาตอ่ มายุ่งยากและลา่ ช้า
26
สรุป
อาณาจกั รแฟรงค์นบั ได้ว่าเป็นดินแดนสำคัญท่ีพวกอนารยชนเผ่าแฟรงคไ์ ดร้ วบรวมจัดตั้งข้ึนให้เปน็ ปีกแผ่น
อกี ครั้งหนง่ึ ในยโุ รป หลงั จากอาณาจักรโรมนั อนั ย่ิงใหญ่เสื่อมสลายไปในศตวรรษที่ 5 กษัตรยิ ท์ สี่ ำคญั ไดแ้ ก่ กษัตริย์
โคลวิสแห่งราชวงศ์เมโรวิงเจียน กษัตริย์เปแปงที่ 3 และกษัตริย์ชาร์ลเลอมาญแห่งราชวงศ์คาโรลิงเจียนได้จัด
การเมือง การปกครอง การสงคราม เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ ของพวกแฟ
รงค์ให้เจริญก้าวหน้ากว้างขวางมากขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรกับศาสนจักรมีส่วนส่งเสริม และทำลาย
อาณาจกั รแฟรงค์ สภาพโดยทว่ั ไปของยโุ รปในศตวรรษที่ 8-9 ตลอดจนการแบง่ แยกอาณาจักรแฟรงศ์ครั้งสำคัญ ๆ
โดยเฉพาะสนธิสญั ญาแวร์ดงั ค.ศ. 843 ในท่ีสดุ อาณาจักรแฟรงค์กเ็ สื่อมสลายไป
27
บรรณานุกรม
อนนั ตชยั จนิ ดาวฒั น์. (2557). กษัตริยแ์ ละราชวงศใ์ นยุโรปยคุ กลาง. กรงุ เทพฯ: ยปิ ซี.
ธิติพงศ์ มีทอง. (2558). ราชวงศค์ าโรลิงเกยี ในประวัตศิ าสตรย์ ุโรป. วชิ าการสงั คมศึกษา, 5(5), 31-54.
มยรุ ี เจรญิ . ประวัตศิ าสตร์ยุโรป 1. [เวบ็ บล็อก]. สบื ค้นจาก shorturl.at/HQVX9
แผนท่ีโลก. อาณาจกั รแฟรงค์ จุดเร่มิ ต้น. [Facebook Post] สบื ค้นจาก
https://www.facebook.com/watch/?v=706830113423151
CHERRYMAN. ประวตั ิ : ชาร์เลอมาญ มหาราชแห่งแฟรงก์. [Online Video].
สืบคน้ จาก https://www.youtube.com/watch?v=wMaWeJojKLY