ผลของแคลเซียม แมกนีเซียม และสงั กะสี ต่อการฉีดพ่นทางใบเพ่ือเพ่ิมผลผลิต
และการประเมินการเกิดโรคใบไหม้ในข้าว (Oryza sativa L. )
Effect of Calcium, Magnesium and Zine to Foliar Spraying to Increases Yields
and Rice Blast Disease Evaluation in Rice (Oryza sativa L.)
เฉลิมชยั แพะคา1* จตพุ ล คนเสงี่ยม1 ปิ ยะนันท์ ประสิงห1์ และ วิพรพรรณ์ เน่ืองเมก็ 2
Paekum, C.1*, Khonsagiam, J.1, Prasing, P.1 and Nuangmek, W.2
1 บรษิ ทั เค.พ.ี อะโกร อนิ ดสั ทร้ี จำกดั 352 หมู่ 9 ตำบลแมก่ ำษำ อำเภอแมส่ อด จงั หวดั ตำก 63110, K.P. Agro Industry CO., LTD 352 Moo 9 Tambon Maekasa, Maesot District, Tak Province 63110 Thailand
2 คณะเกษตรศำสตรแ์ ละทรพั ยำกรธรรมชำติ มหำวทิ ยำลยั พะเยำ 19 หมู่ 2 ตำบลแมก่ ำ อำเภอเมอื ง จงั หวดั พะเยำ 56000 School of Agriculture and Natural Resources, University of Phayao 19 Moo 2 Tambon Maeka, Muang District, Phayao Province 56000 Thailand
* Corresponding author: [email protected]
บทคดั ย่อ Abstract
กำรศกึ ษำผลของกำรพน่ สำรละลำยธำตุแคลเซยี ม แมกนีเซยี ม และสงั กะสที ำงใบต่อกำรเจรญิ เตบิ โตและเพม่ิ ผลผลติ และกำรเกิดโรค The study of Ca, Mg and Zn as foliar spraying to increases yields in rice (Oryza sativa L.) and rice blast disease
ในขำ้ ว โดยวำงแผนกำรทดลองแบบบลอ็ กสุม่ สมบรู ณ์ (Randomized Complete Block Design : RCBD) ประกอบดว้ ย 4 กรรมวธิ ี โดยพน่ was evaluated. An experiment design was RCBD with 4 treatments of 4% (Mg) 5% (Zn) and 10% (Ca) and water
สำรละลำยธำตุ แมกนีเซยี ม สงั กะสี และแคลเซยี ม ควำมเขม้ ขน้ 4, 5, 10 เปอรเ์ ซน็ ต์ ตำมลำดบั และไม่ใหส้ ำรเป็นกรรมวธิ คี วบคุม ผลกำร spraying as control. The results showed that secondary macronutrients foliar spraying on vegetative and reproductive
ทดลองพบวำ่ ธำตุอำหำรรองทใ่ี ชพ้ น่ มผี ลตอ่ กำรเจรญิ เตบิ โตและเพม่ิ ผลผลติ ของขำ้ วไดด้ เี มอ่ื เทยี บกบั ชุดควบคุม โดยกรรมวธิ ที ม่ี กี ำรใชธ้ ำตุ stage could increase the plant highest (96 cm), number of tillers per hill (36.6), number of spikelets per panicle (240.3)
แมกนีเซยี ม สงั กะสี และแคลเซยี มฉีดพน่ ร่วมกนั ในแตล่ ะระยะของกำรเจรญิ เตบิ โตมคี วำมสงู ตน้ จำนวนตน้ ต่อกอ จำนวนเมล็ดดตี อ่ รวง และ and grains yield (526.6 kg/rai). In addition, treatment for the secondary macronutrients spraying can be rice blast disease
ผลผลติ ต่อไร่มำกทส่ี ุด คอื 96.0 เซนตเิ มตร 36.6 ตน้ 240.3 เมลด็ และ 526.6 กโิ ลกรมั ต่อไร่ ตำมลำดบั และจำกกำรประเมนิ กำรเกดิ โรค resistance in rice as well.
พบวำ่ ตน้ ขำ้ วทพ่ี น่ ธำตุอำหำรรองของพชื สำมำรถลดกำรเกดิ โรคใบไหมข้ องขำ้ วไดอ้ กี ดว้ ย Keywords: Rice, Foliar spraying, blast disease
คำสำคญั : ขำ้ ว ฉีดพน่ ทำงใบ โรคใบไหม้
ผลการทดลองและวิจารณ์ (Result and Discussion)
คานา (Introduction)
❖ การวิเคราะหค์ ณุ สมบตั ิของดินก่อนการทดลอง Table 1 Physical and chemical characteristics of soil (clay loam)
ขำ้ ว (Oryza sativa L. ) เป็นพชื เศรษฐกจิ ทส่ี ำคญั ชนิดหน่ึงของประเทศ ทงั้ ในดำ้ นกำรบรโิ ภคและกำรสง่ ออกสนิ คำ้ เกษตรอนั ดบั Parameter Value Rating*
หน่ึงของไทยนอกจำกน้ียงั มคี วำมสำคญั ต่อเศรษฐกจิ ในภูมภิ ำค เน่ืองจำกเป็นพชื ผลทำงกำรเกษตรหลกั ของประเทศทค่ี รอบคลุมพน้ื ทท่ี ำกนิ ปรมิ ำณธำตุอำหำรหลกั และธำตุอำหำรรองของดนิ ทใ่ี ช้ใน pH
มำกทส่ี ุด คดิ เป็นรอ้ ยละ 45.2 ของพน้ื ทเ่ี กษตรกรรมทงั้ หมดของประเทศ (ชยั วฒั น์, 2562). ผลผลติ ขำ้ วทงั้ หมดในปี 2563 อำจอยทู่ ป่ี ระมำณ กำรทดลองเป็ นดินร่วนเหนียว (Clay loam) ซ่ึงมีลักษณะ Organic matter (%) 5.31 Strong acid
29-30 ลำ้ นตนั และกำรใชป้ ๋ ุยเคมี (N, P, K) สงู สุดคอื 51 เปอรเ์ ซน็ ต์ของพชื เศรษฐกจิ ซง่ึ ปัจจุบนั ธุรกจิ เคมเี กษตรเก่ียวกบั ธำตุอำหำรรอง
ไดแ้ ก่ แคลเซยี ม (Ca) แมกนีเซยี ม (Mg) สงั กะสี (Zn) และโบรอน (B) มคี วำมสำคญั ในกำรช่วยเพมิ่ ผลผลติ ของพชื ซ่งึ จำเป็นต่อกำร องค์ประกอบทำงเคมีเป็นกรดเล็กน้อย อินทรียวตั ถุค่อนข้ำงต่ำ Total N (%) 1.06 Relatively low
เจรญิ เตบิ โตของพชื เชน่ กำรสงั เครำะหแ์ สง กำรสรำ้ งฮอรโ์ มนและกำรตำ้ นทำนโรคพชื ปัจจยั เหลำ่ น้ีจะสง่ ผลโดยตรงต่อปรมิ ำณและคุณภำพ
ของสนิ คำ้ เกษตร Dordas, 2009 รำยงำนวำ่ กำรใชธ้ ำตุอำหำรรองเป็นป๋ ุยยงั สง่ ผลตอ่ กำรเจรญิ เตบิ โตและควำมทนทำนตอ่ โรค ดงั นั้นกำรใช้ ปรมิ ำณไนโตรเจน ฟอสฟอรสั ท่ี โพแทสเซยี มท่ี และสงั กะสตี ่ำ สว่ น Available P (mg kg-1) 0.05 Low
ธำตุอำหำรรองในกำรเกษตรในยุคปัจจุบนั ยงั ใหค้ ุณค่ำลกั ษณะทำงกำยภำพและโภชนำกำรของผลผลติ และในขณะเดยี วกนั กเ็ พอ่ื เพิ่มสมดุล
ขององคป์ ระกอบบำงอย่ำงภำยในเซลลพ์ ชื ทำใหพ้ ชื มคี วำมทนทำนของพชื ต่อโรคได้ งำนวจิ ยั น้ีมวี ตั ถุประสงคเ์ พ่อื ทดสอบกำรใชธ้ ำตุอำหำร ปรมิ ำณแคลเซยี มและแมกนีเซยี มอยใู่ นระดบั ปำนกลำง (Table 1) Exchangeable K (mg kg-1) 4.98 Low
รอง (Ca, Mg, Zn และ B) สง่ เสรมิ กำรเจรญิ เตบิ โตและเพมิ่ ผลผลติ ขำ้ ว เพอ่ื ลดตน้ ทุนกำรใชป้ ๋ ุยเมด็ ซง่ึ พชื ดดู ซมึ ไดช้ ำ้ และลดผลกระทบต่อ
คุณสมบตั ขิ องดนิ สอดคลอ้ งกบั รำยงำนของเรวดแี ละคณะ (2556) ไดศ้ กึ ษำดนิ นำใน Exchangeable Ca (mg kg-1) 47.17 Low
วิธีการศึกษา (Method) 989.9 Medium
❖ การวิเคราะหค์ ณุ สมบตั ิของดินก่อนการทดลอง พ้ืนท่ีอำเภอแม่สอดพบว่ำดินนำส่วนใหญ่เป็ นกรดเล็กน้ อย มี Exchangeable Mg (mg kg-1) 136.6 Medium
นำดนิ ทเ่ี กบ็ จำกแปลงมำตำกจนแหง้ และรอ่ นผำ่ นตะแกรงแลว้ นำสง่ ทดสอบคุณสมบตั ทิ ำงกำยภำพปรมิ ำณธำตุอำหำรหลกั ธำตุ
ปรมิ ำณธำตุอำหำรหลกั และอำหำรรองทต่ี ่ำ Available Zn (mg kg-1) 0.53 Low
อำหำรรองของดนิ ไดแ้ ก่ ควำมเป็นกรด-ด่ำง คำ่ อนิ ทรยี วตั ถุ ปรมิ ำณไนโตรเจน ฟอสฟอรสั โพแทสเซยี ม แคลเซยี ม แมกนเี ซยี ม และ
สงั กะสี * ทม่ี ำ: สำนกั วทิ ยำศำสตรเ์ พอ่ื กำรพฒั นำทด่ี นิ (2547)
❖ การทดสอบธาตอุ าหารต่อการเจริญเติบโตของขา้ ว ❖ การทดสอบธาตอุ าหารต่อการเจริญเติบโตของขา้ ว
บรรจดุ นิ ลงในกระถำงขนำดเสน้ ผำ่ ศนู ยก์ ลำง 30 เซนตเิ มตร ดว้ ยปรมิ ำณ 17.5 กโิ ลกรมั กำรใชธ้ ำตุแคลเซยี ม แมกนีเซยี ม และสงั กะสี ฉีดพ่นร่วมกนั (กรรมวธิ ที ่ี 4) ส่งผลต่อ
เพำะเมลด็ ขำ้ วพนั ธุข์ ำ้ วดอกมะลิ 105 ปลกู ลงในกระถำงพลำสตกิ จำนวน 5-7 เมลด็ กำรเจรญิ เตบิ โตทำงลำตน้ และกำรเพมิ่ ผลผลติ ของตน้ ขำ้ วขำวดอกมะลิ 105 ทงั้ ควำมสงู ตน้
จำนวนตน้ ตอ่ กอ จำนวนรวงต่อกอ จำนวนเมลด็ ต่อรวง และผลผลติ ตอ่ ไร่ สำหรบั เมลด็ ดตี ่อ
ไรพ่ บวำ่ กำรฉีดพน่ แคลเซยี มร่วมกบั แมกนีเซยี มสง่ ผลใหเ้ มลด็ ขำ้ วมกี ำรสะสมแป้งไดด้ กี วำ่
กรรมวิธีอ่ืนๆ ซ่ึงมีควำมแตกต่ำงกันอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติ (P<0.05)(Figure1)
สอดคล้องกับงำนวิจัยของกนกพร (2560) ใช้แคลเซียมและแมกนีเซียมเพ่ือเพ่ิม
องคป์ ระกอบผลผลติ ของขำ้ วขำวดอกมะลิ 105 สำมำรถผลผลติ อยทู่ ่ี 438-578 กโิ ลกรมั ตอ่
ไร่ และผลผลติ เพม่ิ ข้นึ เม่อื มกี ำรเพมิ่ ปรมิ ำณแคลเซียมและแมกนีเซียม กำรฉีดพ่นธำตุ
แมกนีเซยี ม และแคลเซยี มช่วยใหเ้ มลด็ ขำ้ วมปี รมิ ำณสำรหอม 2AP เพมิ่ ขน้ึ ดว้ ย (รณชยั ,
2558) จำกกำรฉีดพ่น Znมีแนวโน้มให้องค์ประกอบด้ำนผลผลิตสูงกว่ำกำรไม่ฉีดพ่น
เน่ืองจำก Zn เป็นธำตุอำหำรทพ่ี ชื ตอ้ งกำรน้อยแต่กไ็ ม่สำมำรถขำดได้ ซ่งึ มีควำมจำเป็น
สำหรบั กระบวนกำรสงั เครำะห์แสง โปรตนี รวมทงั้ ช่วยในกำรต้ำนทำนโรค ถำ้ หำกมี Zn
ไมพ่ อกบั ควำมตอ้ งกำรของพชื แลว้ ทำใหผ้ ลผลติ ลดลง (Marschner, 1995; Wissuwa et
al., 2006)
Figure 1 Plant growth and yield component of rice (harvest at 105 DAT).
กำรทดลองมที งั้ หมด 4 กรรมวธิ ี จำนวน 3 ซ้ำๆ ละ 4 กระถำง โดยมกี รรมวธิ กี ำรทดลองดงั น้ี Figure 2 Characteristic of rice after folia sprayed as calcium, magnesium and zinc.
กรรมวธิ ที ่ี 1 ฉีดพน่ น้ำกลนั่ (ชดุ ควบคุม)
❖ การประเมินการเกิดโรคใบไหมใ้ นข้าว Figure 3 Rice blast disease each growth stage
กรรมวธิ ที ่ี 2 ฉดี พน่ แมกนีเซยี ม (Mg) ควำมเขม้ ขน้ 4% ระยะแตกกอ (อำยุ 30 วนั หลงั ปลกู )
กรรมวธิ ที ่ี 3 ฉดี พน่ แคลเซยี ม (Ca) ควำมเขม้ ขน้ 10% ระยะสรำ้ งรวง (อำยุ 45 วนั หลงั ปลกู ) จำกกำรประเมนิ กำรเกดิ โรคใบไหมใ้ นขำ้ วขำวดอกมะลิ 105 ซ่งึ เป็นพนั ธุ์ขำ้ วท่ี
กรรมวธิ ที ่ี 4 ฉีดพน่ สงั กะสี (Zn) ควำมเขม้ ขน้ 4% ระยะสะสมอำหำร (อำยุ 60 วนั หลงั ปลกู ) เกดิ โรคใบไหมไ้ ดง้ ่ำย พบว่ำตน้ ขำ้ วเรมิ่ แสดงอำกำรโรคใบไหมต้ งั้ แต่ตน้ ขำ้ วอำยุ 25
วนั และมกี ำรเกดิ โรคในทุกกรรมวธิ ี สำหรบั กรรมวธิ ที ม่ี กี ำรฉีดพน่ Zn มเี ปอรเ์ ซน็ ต์
โดยใชธ้ ำตุอำหำรรองจำกผลติ ภณั ฑข์ องบรษิ ทั เค.พ.ี อะโกร อนิ ดสั ทร้ี จำกดั กำรเกดิ โรคน้อยทส่ี ุดในแตล่ ะระยะ (Figure 3) ซง่ึ ตรงกบั รำยงำนของ Kalboush และ
คณะ (2016) ทไ่ี ดท้ ำกำรฉีดพ่นซงิ คอ์ อกไซด์ (ZnO) บนตน้ กลำ้ ขำ้ วหลงั จำกฉีดพ่น
บนั ทกึ ขอ้ มลู กำรเจรญิ เตบิ โตทำงลำตน้ เมอ่ื ตน้ ขำ้ วอำยุ 60 วนั ไดแ้ ก่ ควำมสงู จำนวนตน้ ตอ่ กอ สปอร์ของเช้อื รำสำเหตุโรคไหมข้ องขำ้ วเป็นระยะเวลำ 5 วนั พบว่ำสำมำรถควบคุม
และเมอ่ื ตน้ ขำ้ วอำยุ 105 วนั บนั ทกึ ขอ้ มลู องคป์ ระกอบผลผลติ กำรเจรญิ ของสปอรเ์ ชอ้ื รำของโรคใบไหม้ ดงั นนั้ Zn เป็นธำตุอำหำรรองทม่ี ปี ระโยชน์
ช่วยป้องกนั กำรเขำ้ ทำลำยของโรค เชน่ โรคไหม้ (rice blast) โรคใบไหม้ (leaf blight)
ไดแ้ ก่ จำนวนรวงต่อกอ จำนวนเมลด็ ต่อรวง น้ำหนกั 1,000 เมลด็ น้ำหนกั ตน้ แหง้ และผลผลติ และโรคใบจดุ สนี ้ำตำล (brown spot) เป็นตน้ (Datnoff and Rodrigues, 2005)
ทำกำรประเมนิ กำรเกดิ โรคใบไหมเ้ มอ่ื ตน้ ขำ้ วอำยุ 25, 35, 45, 55 และ 65 วนั สรปุ ผล (Conclusion)
โดยมเี กณฑก์ ำรใหค้ ะแนนกำรเกดิ โรคตำมวธิ กี ำรของ IRRI (1996) ซง่ึ มรี ะดบั คะแนน 1, 3, 5, 7 และ 9
ธำตุอำหำรรอง ไดแ้ ก่ แคลเซยี ม แมกนีเซยี ม และสงั กะสี จำกผลติ ภณั ฑข์ องบรษิ ทั เค.พ.ี อะโกร อนิ ดสั ทร้ี จำกดั มคี ุณสมบตั ิทช่ี ่วยส่งเสรมิ กำร
นำขอ้ มลู ดงั กลำ่ วไปวเิ ครำะหค์ วำมแปรปรวนและเปรยี บเทยี บค่ำเฉลย่ี โดยวธิ ี Duncan’s Multiple Range Test (DMRT) เจรญิ เตบิ โต ทงั้ ควำมสงู เพม่ิ กำรแตกกอ กำรออกรวง และเพมิ่ จำนวนเมลด็ ดตี ่อรวง สำมำรถเพม่ิ ผลผลติ ของขำ้ วขำวดอกมะลิ 105 และยงั ส่งเสรมิ ใหต้ น้
ขำ้ วแขง็ แรงตำ้ นทำนต่อโรคไหมใ้ นขำ้ วไดด้ ี ดงั นัน้ กำรใชป้ ๋ ุยน้ำท่มี ธี ำตุอำหำรรองฉีดพ่นทำงใบจงึ นับเป็นอกี หน่ึงทำงเลอื กให้กบั เกษตรกรท่จี ะลดกำรใช้
❖ สถานที่ทาการทดลอง ป๋ ยุ เคมชี นิดเมด็ ซง่ึ มผี ลตอ่ คณุ ภำพของดนิ และพชื ไมส่ ำมำรถนำไปใชไ้ ดห้ มด
ทำกำรศกึ ษำในขำ้ วพนั ธุข์ ำวดอกมะลิ 105 ในโรงเรอื นบรษิ ทั เค.พ.ี อะโกรอนิ ดสั ทร้ี จำกดั อ. แมส่ อด จ. ตำก ทำกำรทดลอง
คาขอบคณุ (Acknowlagement)
ในชว่ งเดอื นมถิ ุนำยนถงึ เดอื นกนั ยำยน ปี 2563
ขอขอบคุณบรษิ ทั เค.พ.ี อะโกรอนิ ดสั ทร้ี จำกดั อ. แมส่ อด จ. ตำกทใ่ี หค้ วำมอนุเครำะหผ์ ลติ ภณั ฑธ์ ำตุอำหำรรองของพชื อุปกรณ์และสถำนท่ใี นกำรทำวจิ ยั และ
เอกสารอ้างอิง (Reference) ขอขอบคุณผชู้ ว่ ยศำสตรำจำรย์ ดร.วพิ รพรรณ์ เน่ืองเมก็ อำจำรยส์ ำขำวชิ ำเกษตรศำสตร์ คณะเกษตรศำสตรแ์ ละทรพั ยำกรธรรมชำติ มหำวทิ ยำลยั พะเยำท่ใี ห้
คำปรกึ ษำตลอดกำรทำงำนวจิ ยั ในครงั้ น้ี
กนกพร มำนนั ตพงศ์ ศุภฌิ ำ ธนะจติ ต์ สมชยั อนุสนธพิ ์ รเพม่ิ และ เอบิ เขยี วรน่ื รมย.์ ผลของแคลเซยี มและแมกนเี ซยี มต่อขำ้ วขำวดอกมะลิ 105 ทป่ี ลกู ในดนิ
นำและดนิ ทไ่ี ดร้ บั อทิ ธพิ ลจำกเกลอื . แก่นเกษตรครงั้ ท่ี 45. หน้ำ 101-112.
รณชยั ช่ำงศร,ี 2558, รำยงำนผลกำรวจิ ยั กำรศกึ ษำปัจจยั ทม่ี ผี ลกระทบต่อคณุ ภำพขำ้ วหอมมะลไิ ทย, กองวจิ ยั และพฒั นำขำ้ ว, กรมกำรขำ้ ว, กรงุ เทพฯ, 161
หน้ำ.
สำนกั วทิ ยำศำสตรเ์ พอ่ื กำรพฒั นำทด่ี นิ . 2547. คมู่ อื กำรวเิ ครำะหต์ วั อยำ่ งดนิ น้ำ ป๋ ยุ พชื วสั ดุ ปรบั ปรงุ ดนิ และกำรวเิ ครำะห์เพอ่ื ตรวจรบั รองมำตรฐำนสนิ คำ้
เลม่ ท่ี 1, สำนกั วทิ ยำศำสตร,์ กรมพฒั นำทด่ี นิ , กรงุ เทพฯ, 198 หน้ำ.
Datnoff, L.E. and Rodrigues, F.A. 2005. The Role of Silicon in Suppressing Rice Diseases. APSnet Features. doi10.1094/APSnetFeature-2005-
0205.
IRRI. 1996. Standard Evaluation System for Rice. The International Rice Research Institute. Manila Philippines
Kalboush, Zeinab A., Hassan, A. A., Gabr, W. E. 2016. Control of Rice Blast and Brown Spot Diseases by Synthesized Zinc Oxide
Nanoparticles. Egyptian Journal of Biological Pest Control. Vol. 26 Issue 4, p713 - 720.
Marschner, H. 1995. Mineral nutrition of higher plants. 2nd Edition, Academic Press, London.
Wissuwa, M., A.M. Ismail, and S. Yanagihara. 2006. Effects of zinc deficiency on rice growth and genetic factors contributing to tolerance. Plant
Physiol. 142: 731-741.
การแยกและคัดเลือกเชือ้ ราไตรโคเดอร์ สปีชสี ์ จากดิน
สาหรบั ยับยงั้ เชอ้ื รา Phytophthora colocasiae
Isolation and Screening Trichoderma species from Soil
for Inhibition of Phytophthora colocasiae
เพชรพิกลุ ขาออ่ น และ กมลวรรณ สนใจยง่ิ
สาขาเทคโนโลยีการผลติ พืช คณะวทิ ยาศาสาตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั ราชภัฏพระนครศรอี ยุธยา
บทคัดยอ่
ทาการแยกเชอ้ื ราไตรโคเดอร์มา สปชี ีส์ ( Trichoderma species ) จากดินอาเภอบา้ นหมอ จังหวัดสระบุรี จานวน 45 ตวั อยา่ ง และดินในอาเภอลาดหลมุ แกว้ จงั หวัดปทุมธานี จานวน 5 ตัวอย่าง โดยวิธี soil dilution plate บนอาหาร Rose Bengal Agar สามารถแยกเช้ือรา
Trichoderma sp. จากดินในอาเภอบา้ นหมอ จังหวดั สระบุรี ได้ 20 ไอโซเลท และสามารถแยกเช้ือไดจ้ ากดินในอาเภอลาดหลมุ แกว้ จังหวัดปทมุ ธานี ได้ 1 ไอโซเลท เมอื่ นามาทดลงสอบประสทิ ธภิ าพของจุลินทรีย์ในการยับยั้งการเจริญของเส้นใยเช้ือรา Phytophthora colocasiae
ซ่ึงเปน็ สาเหตขุ องโร่คใบจุดตาเสอื ของเผอื กในโดยวธิ ี dual culture พบวา่ เชอ้ื รา Trichoderma sp. ไอโซเลท BM6 BM1 และ BM7 สามารถยบั ยั้งการเจรญิ ของเส้นใย P. colocasiae โดยมีค่าเปอร์เซ็นต์การยับยั้งเท่ากับ 56.25 55.80 และ 54.59 เปอร์เซ็นต์ ตามลาดับ และเม่ือ
เปรียบเทยี บประสิทธิภาพในการยบั ยั้งเชื้อราก่อโรคระหว่างเช้ือรา Trichoderma asperellum (สายพันธ์ุการค้า) กับเช้ือรา Trichoderma sp. ทีแ่ ยกได้พบวา่ ประสิทธิภาพในการยบั ย้ังเสน้ ใยเชอ้ื ราไมแ่ ตกตา่ งกนั อยา่ งมีนัยสาคัญทางสถิติ (P < 0.05)
บทนา ผลการวจิ ัยและอภิปราย
เผือกเป็นพชื เศรษฐกจิ ระดับท้องถนิ่ ที่สาคญั ชนดิ หนง่ึ ประเทศไทยมกี ารปลกู เผอื กอยู่ทวั่ ทุกภาคของประเทศ ในช่วงฤดูฝนและอากาศมี
ความช้ืนสูงบางพื้นท่ีมีการระบายน้าไม่ดีทาให้มีการแพร่ระบาดของเช้ือก่อโรคใบจุดตาเสือ โรคดังกล่าวเกิดจากเชื้อรา Phytophthora ผลการแยกเช้ือราไตรโคเดอร์มาจากดินขุยไผ่
colocasiae Rac. โดยทาความเสียหายใหก้ ับเผือกต้ังแต่ระยะเริ่มปลูกจนถึงระยะหลังการเก็บเก่ียว (Misra et al., 2008) ลักษณะอาการ สามารถแยกเชื้อราไตรโคเดอร์มาโดยวิธี soil dilution plate บนอาหาร Rose Bengal Agar จาก อ. บา้ นหมอ จ. สระบรุ ี ได้ 20
ของตน้ เผอื กที่เกดิ โรคใบจุดตาเสือ คอื บนใบเกิดจุดสีน้าตาล เห็นได้ชัดบนผิวใบขนาดใหญ่ขึ้นเป็นวงๆ บริเวณขอบแผลมีหยดสีเหลืองข้น
ซ่ึงตอนแห้งเป็นเม็ดๆ เกาะอยู่เป็นวงๆ เม่ือใบเผือกถูกทาลายการสังเคราะห์ด้วยแสงจะลดลง ส่งผลให้หัวเผือกมีขนาดเล็กและผลผลิต ไอโซเลท และจาก อ. ลาดหลมุ แก้ว จ. ปทุมธานี ได้ 1 ไอโซเลท ลกั ษณะทางสณั ฐานวิทยาของเชือ้ บรสิ ทุ ธบิ์ นจานอาหารเล้ยี งเชอ้ื PDA ที่
ลดลง รวมทั้งหัวเผือกเกิดอาการเน่าเสียหาย เผือกที่เป็นโรคนี้ถ้ายังไม่เร่ิมลงหัวหรือลงหัวไม่โตนักจะเสียหายหมด หัวท่ีลงจะไม่ขยาย เพ่ิม อณุ หภมู ิห้อง พบว่าสามารถจาแนกเช้ือราไตรโคเดอร์มาออกได้เปน็ 4 กลุ่ม โดยกลุ่มทม่ี ีเสน้ ใยสขี าว สปอร์สเี ขียวมกี ารเจรญิ เตบิ โตของเส้น
ขนาดสามารถทาใหผ้ ลผลิตลดลง 50 ถงึ 100 เปอร์เซ็นต์ (อมรรัตน์, 2552; กลุ่มวิจัยโรคพืช, 2555) การป้องกันกาจัดโรคใบจุดตาเสือใน ใยทรี่ วดเร็วจานวนวน 7 ไอโซเลท (รปู ท่ี 1) กลุ่มที่สร้างเส้นใยสขี าว มีการสรา้ งสปอร์สเี ขียวช้าจานวน 6 ไอโซเลท กลุม่ ท่สี รา้ งเส้นใยชา้ มี
เผือกสามารถทาไดห้ ลายวธิ ี ไดแ้ ก่ การเขตกรรม การป้องกันโดยชีววิธี การใช้พันธุ์เผือกท่ีต้านทานต่อโรคใบจุดตาเสือ และการใช้สารเคมี การสรา้ งสปอรส์ ีเขียวจานวน 2 ไอโซเลท และกลุ่มทส่ี ร้างเส้นใยขอบหยกั จานวน 5 ไอโซเลท ส่วนเชอื้ รา Trichoderma asperellum
ปอ้ งกันกาจดั โรคพชื ในปัจจบุ นั พบว่ามีการนาเช้ือจุลินทรีย์ที่ประโยชน์มาใช้ท้ังควบคุมโรคและส่งเสริมการเจริญของพืช โดยพบว่าเชื้อรา (สายพันธก์ุ ารค้า) ทีน่ ามาใช้เปน็ เช้ืออ้างอิงพบวา่ มีสปอรส์ เี ขยี ว เส้นใยมีการเจรญิ เติบโตอยา่ งรวดเร็ว (รูปท่ี 1)
ไตรโคเดอร์มาเป็นเช้ือราปฏิปักษ์ที่มีประสิทธิภาพควบคุมเชื้อราโรคพืชหลายชนิด งานวิจัยน้ีจึงมีวัตถุประสงค์เพื่อแยกและคัดเลือกเชื้อรา
ไตรโคเดอร์มา สปีชีส์ (Trichoderma species) จากดินบริเวณขุยไผ่หรือดินใต้โคนไผ่ ซึ่งเป็นแหล่งอาหารของเช้ือจุลินทรีย์ในกลุ่มต่างๆ
ทงั้ เช้อื รา แบคทีเรยี และยีสต์ ในพ้ืนทอี่ าเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรีและดินจากอาเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี เพ่ือหาเชื้อราไตรโค
เดอร์มาสายพนั ธุใ์ หมๆ่ ท่ีดารงชวี ิตประจาถิ่นมาประยุกต์ใช้ในการควบคุมเชื้อรา P. colocasiae เป็นการจัดการเชื้อสาเหตุโรคพืชด้วยวิธี
ชีวภาพเพื่อเป็นทางเลือกสาหรับเกษตรกรในการลดการใชส้ ารเคมีต่อไป
วธิ ีดาเนินงานวจิ ยั รูปท1่ี . ลักษณะโคโลนีของเช้อื รา Trichoderma sp. ท่ีแยกได้ เปรยี บเทียบกับเชือ้ รา Trichoderma asperellum (สายพันธกุ์ ารคา้ )
การเกบ็ ตวั อย่างดินขุยไผ่ ผลการศกึ ษาประสิทธภิ าพของเชอื้ ราไตรโคเดอร์มาในการยับย้งั การเจริญของเชอ้ื รา P. colocasiae
เก็บตัวอย่างดินขุยไผ่จากบริเวณ อ. บ้านหมอ จ. สระบุรี และ อ. ลาดหลุมแก้ว จ. ปทุมธานี ท่ีระดับความลึก 10 เซนติเมตร จาก จากการทดสอบประสิทธภิ าพการยบั ยงั้ ของเช้ือรา Trichoderma sp. ที่แยกได้กบั เช้ือ P. colocasiae โดยวิธี dual
ผิวดนิ นาตวั อย่างดินท่ีเกบ็ มาผง่ึ เพ่อื ลดความชื้นทีอ่ ณุ หภมู ิหอ้ งเปน็ เวลา 48 ช่วั โมง ก่อนนาไปใชท้ ดลองตอ่ ไป culture บนอาหารเลีย้ งเช้อื PDA พบวา่ เช้ือราไตรโคเดอร์มา 3 ไอโซเลท สามารถยับยั้งการเจริญของเชือ้ รา P. calocasiae ได้
มีประสิทธภิ าพการยบั ยง้ั ระหว่าง 54.59 - 56.25 เปอรเ์ ซ็นต์ และเมื่อเปรยี บเทียบประสทิ ธิภาพในการยบั ยัง้ เชื้อราก่อโรคระหว่าง
การแยกเชอ้ื ราไตรโคเดอร์มา เชื้อรา Trichoderma asperellum (สายพนั ธกุ์ ารคา้ ) กบั เชอ้ื รา Trichoderma sp. ท่แี ยกได้พบวา่ ประสทิ ธิภาพในการยบั ยง้ั
ช่ังตัวอย่างดินน้าหนัก 1 กรัม ต่อน้ากล่ันนึ่งฆ่าเชื้อ 9 เส้นใยเช้อื ราไมแ่ ตกตา่ งกันอยา่ งมีนัยสาคัญทางสถิติ
มิลลิลิตร เขย่า 20 –30 นาที วางท้ิงไว้ 10 นาที แยกเช้ือจาก ตารางที่1. ประสทิ ธิภาพในการยับยั้งการเจรญิ ของเช้อื รา P. colocasiae โดยเชื้อราไตรโคเดอร์มาทีค่ ดั แยกได้
สารแขวนลอยดินเจือจาง (soil dilution plating) ท่ีระดับ บนจานอาหารเลย้ี งเช้ือ PDA หลงั การบม่ เล้ยี งท่ีอณุ หภมู หิ อ้ งนาน 5 วัน
ความเจือจาง 10-2 และ 10-3 ดูดสารละลายดินในแต่ละความ
เจือจาง บ่มที่อุณหภูมิ 25±2 องศาเซลเซียส นาน 3-5 วัน ไอโซเลท ประสิทธภิ าพในการยบั ยง้ั (%)
สงั เกตและคดั เลอื กโคโลนีเดย่ี ว ทม่ี ีสขี าว ขาวอมเหลือง เทา ทั้ง
ที่ขอบเรียบและขอบหยักไปทาให้บริสุทธิ์ โดยการเลี้ยงบนจาน BM1 55.80 ± 0.08ab
อาหารเลี้ยงเช้ือพีดีเอ (potato dextrose agar; PDA) เม่ือ
สร้างสปอรเ์ ตม็ ทแ่ี ลว้ จึงนาไปศึกษาตอ่ ไป BM6 56.52 ± 0.23a
การทดสอบประสิทธิภาพเชอื้ รา Trichoderma sp. ในการยบั ยั้งเชอ้ื รา Phytophthora colocasiae ในหอ้ งปฏบิ ัติการ BM7 54.59 ± 0.10abc
เล้ียงเชื้อรา P. colocasiae และ เช้ือรา Trichoderma sp. ท่ีคัดแยกได้บนอาหาร PDA เป็นเวลา 7 วัน ใช้ cock borer เจาะ
Trichoderma asperellum (สายพนั ธก์ุ ารคา้ ) 53.14 ± 0.30bcd
บรเิ วณขอบโคโลนเี ชอ้ื ราทงั้ สองย้ายชิ้นวนุ้ ของเชอ้ื ราทัง้ สองวางบนอาหารเล้ยี งเชอ้ื PDA โดยใช้เทคนิค dual culture จานวน 3 ซ้า แล้ว
นาไปบ่มท่ีอุณหภูมิห้องเป็นเวลา 5 วัน คานวณประสิทธิภาพเชื้อรา Trichoderma sp. ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเช้ือรา P. หมายเหตุ อกั ษรภาษาองั กฤษตวั พมิ พ์เลก็ แสดงความแตกตา่ งอย่างมนี ยั สาคัญทางสถติ ิท่รี ะดบั ความเช่อื มน่ั ที่ 95
colocasiae (percent inhibition of radial growth – PIRG) โดยใชส้ ตู รการคานวณดังนี้ เปอรเ์ ซ็นต์ เมื่อเปรยี บเทยี บตามวธิ ี DMRT
PIRG = ( Rc - Rt ) * 100
Rc = คา่ เฉล่ยี ของรศั มเี ชื้อรา P. colocasiae ในกรรมวิธคี วบคมุ
Rt = ค่าเฉลีย่ ของรศั มีเชื้อรา P. colocasiae ในกรรมวธิ ีทดสอบ
การวเิ คราะหข์ ้อมูล รปู ท2่ี . การทดสอบประสิทธิภาพในการยับยงั้ ของเชื้อราไตรโคเดอรม์ า 3 ไอโซเลท ในการยงั ยงั้ การเจริญของเชอื้ รา P. colocasia บนจาร
เปรียบเทยี บความแตกตา่ งของคา่ เฉลย่ี โดยใช้ Duncan’s New Multiple Range Teste (DMRT) ทรี่ ะดบั ความเชอื่ มน่ั 95 อาหารเลยี้ งเช้ือ PDA หลังการบ่มเลย้ี งทอี่ ุณหภมู ิห้อง 5 วัน
เปอรเ์ ซ็นต์ สรปุ ผลการวจิ ยั
เอกสารอา้ งองิ 1. สามารถแยกเชื้อรา Trichoderma sp. จากดนิ ขุยไผ่ อ. บ้านหมอ จ. สระบุรี ได้จานวน 2 ไอโซเลท และ อ. ลาดหลุมแกว้ จ.
ปทมุ ธานี ไดจ้ านวน 1 ไอโซเลท
สธุ ามาศ ณ น่าน ปฏิพัทธ์ ใจปิน สนอง จรนิ ทร บุญปยิ ธิดา คล่องแคล่ว. 2560. ผลของราไตรโคเดอร์มาในการยับยง้ั การเจริญของเชือ้ รา
สาเหตุโรคจุดสีนา้ ตาลของส้มโอ. วารสารวิชาการ เกษตร ปที ี่ 35 (ฉบบั ที่ 3): หน้า 321-334. 2. เมื่อนามาทดสอบประสทิ ธภิ าพในการยบั ยงั้ เชื้อรา P. colocasiae พบวา่ เชื้อรา Trichoserma sp. ไอโซเลท BM6 BM1 และ
BM7 สามารถยบั ยั้งการเจรญิ ของเส้นใย P. colocasiae โดยมีค่าเปอรเ์ ซ็นตก์ ารยับยั้งเทา่ กบั 56.25 55.80 และ 54.59 เปอร์เซ็นต์
อมรรัตน์ ภูไ่ พบลู ย์ ยุทธศกั ดิ์ เจยี มไชยศรี และพรี ะวรรณ พัฒนาวภิ าส. 2556. การศึกษาชีววทิ ยาและนิเวศวิทยาของรา ตามลาดบั และพบวา่ ประสทิ ธภิ าพในการยบั ยง้ั เสน้ ใยเชอ้ื ราไมแ่ ตกตา่ งกันอย่างมนี ัยสาคัญทางสถติ กิ บั เชื้อราTrichoderma asperellum
Phytophthora capsici. หนา้ 2281-2292. ใน : ผลงานวจิ ยั ประจาปี 2555. สานักวิจัยพัฒนาการอารักขาพชื กรมวิชาการเกษตร. (สายพนั ธ์กุ ารคา้ )
Misra, A.K., K. Sharma, and R.S. Misra, 2008. Effect of Benzyl amino purine on the pathogen growth and disease
development of taro leaf blight caused by Phytophthora colocasiae. J. Plant Pathol., 90(2): 191-196.
ประสทิ ธภิ าพการใชส้ ารโซเดยี มคลอไรทท์ มี่ ฤี ทธเิ์ ป็ นกรดตอ่ การเปลยี่ นแปลง
คณุ ภาพของไมโครกรนี
ปณุ ิกา แสงสขุ 1 ปรยี านุช แสงประยรู 1 มธรุ ส ขมุ ทองวฒั นา1 ไชยพร เก็บเงนิ 1 มณั ฑนา บวั หนอง1,2 และ พนิดา บุญฤทธธิ ์ งไชย1,2
1สาขาเทคโนโลยหี ลงั การเก็บเกยี่ ว คณะทรพั ยากรชวี ภาพและเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ ธนบรุ ี (บางขนุ เทยี น) แขวงท่าขา้ ม เขตบางขนุ เทยี น กรุงเทพมหานคร
2ศนู ยน์ วตั กรรมเทคโนโลยหี ลงั การเก็บเกยี่ ว สานักงานคณะกรรมการการอดุ มศกึ ษา กรงุ เทพมหานคร 10400
บทคดั ย่อ
การวจิ ยั นีศ้ กึ ษาการใชส้ ารละลายกรดโซเดยี มคลอไรท ์ (ASC) เพอื่ ลดปรมิ าณเชอื้ จลุ นิ ทรยี ์ และรกั ษาคณุ ภาพและสาระสาคญั ของไมโครกรนี โดยการ
ทดลองนีใ้ ชต้ น้ ออ่ นหวั ไชเทา้ หลงั การเกบ็ เกยี่ ว โดยทาการจมุ่ ตน้ ออ่ นไมโครกรนี ลงในน้ากลน่ั (ชดุ ควบคุม) และสารละลาย ASC ความเขม้ ขน้ 50 100
และ 150 ppm เป็ นเวลา 1 นาที เกบ็ รกั ษาทอี่ ณุ หภูมิ 10 องศาเซลเซยี ส เป็ นเวลา 8 วนั วเิ คราะหป์ รมิ าณเชอื้ จุลนิ ทรยี ์ คุณภาพทางกายภาพและเคมี
ทกุ ๆ 2 วนั พบวา่ ไควาเระในชดุ การทดลองทแี่ ชด่ ว้ ยสารละลาย ASC ทคี่ วามเขม้ ขน้ 50 ppm มอี าการฉ่าน้าเล็กน้อย เมอื่ เปรยี บเทยี บกบั ไควาเระใน
ชดุ ควบคมุ และชดุ การทดลองทแี่ ชด่ ว้ ยสารละลาย ASC ความเขม้ ขน้ 100 และ 150 ppm และไควาเระในชดุ การทดลองทแี่ ชด่ ว้ ยสารละลาย ASC ทง้ั
3 ความเขม้ ขน้ สามารถยบั ยงั้ ปรมิ าณเชอื้ แบคทเี รยี และโคลฟิ อรม์ และสามารถกระตุน้ ปรมิ าณสารประกอบฟี นอลกิ ทง้ั หมด รวมถงึ ชะลอการสูญเสยี
ปรมิ าณคลอโรฟิ ลลไ์ ดด้ กี วา่ ชดุ ควบคมุ ในระหวา่ งการเกบ็ รกั ษา 8 วนั
ทมี่ าของงานวจิ ยั ผลการทดลอง
ไมโครกรนี (Microgreens) คอื ตน้ อ่อนทเี่ พงิ่ งอกออกจาก
เมล็ดและมีอายุ 7-14 วนั ซงึ่ ไมโครกรนี กาลงั ไดร้ บั ความ
น่าสนใจในกลุ่มผูด้ ูแลสุขภาพ เนื่องจากมรี ายงานว่าไมโครก
รนี มีองคป์ ระกอบของวติ ามิน เกลือแร่ และสารแอนตอี้ อกซิ
แ ด น ต ์ ( antioxidants) ม า ก ก ว่ า ผ ล ผ ลิ ต ป ก ติ ( mature
green) (Treadwell และคณะ, 2010; Xiao และคณะ, 2012)
ตน้ อ่อนของพืชสามารถผลิตไดต้ ลอดปี ใชร้ ะยะเวลาสน้ั
ปลอดภยั จากสารเคมี โดยทว่ั ไปไมโครกรนี มอี ายุการเกบ็ รกั ษา
สน้ั มกี ารปนเปื้ อนของเชอื้ จุลนิ ทรยี ์ ทอี่ าจเกดิ จากน้ามใี่ ชใ้ น
ระหวา่ งการเพาะ วสั ดุปลูก ซงึ่ อาจส่งผลถงึ ความสะอาดของไม
โครกรนี ทปี่ ลูกได้ ทง้ั นี้การจดั การภายหลงั การเก็บเกยี่ วไดแ้ ก่
การล้างทาความสะอาดก่อนนาไปบรรจใุ นบรรจุภณั ฑท์ ี่
เหมาะสมมีส่วนสาคญั ที่ทาให้ลดป ริมาณเชือ้ จุลินทรีย ์
ปนเปื้ อนและรกั ษาคุณภาพ ความสด สารสาคญั ต่างๆในไม
โครกรนี ได้ ในการผลติ โดยทว่ั ไปผูป้ ระกอบการลา้ งทาความ
สะอาดไมโครกรนี ดว้ ยสารฆ่าเชอื้ ทีม่ ีคลอรนี กรด เบส หรอื
เกลอื เป็ นองคป์ ระกอบ แตส่ ามารถลดปรมิ าณเชอื้ ไดเ้ พยี ง 0.5–
1.5 logCFU/g ซึง่ ยงั ไม่สามารถลดป ริมาณเชือ้ ให้อยู่ใน
เกณฑม์ าตรฐานของกระทรวงสาธารณสุขได้ (ไม่เกิน 10
CFU/g) เช่นเดียวกบั การใช้สารประกอบเกลือ กรด และ
คลอรนี บางชนิ ด เช่น โซเดียมคลอไรด ์ (NaCl) คลอรนี ได
ออกไซด ์ (ClO2) และ โซเดยี มไฮโปคลอไรด ์ (NaClO) สามารถ
ลดปรมิ าณเชอื้ จลุ นิ ทรยี เ์ รมิ่ ตน้ ลงได้ (Singh และคณะ, 2003;
Sayyari และคณะ, 2009; Anbalagan และคณะ, 2014)
ดงั นั้นในโครงการนี้จงึ ใชส้ ารละลายกรดโซเดยี มคลอไรท ์ เพอื่
ศึก ษ า ก า ร ล ด ป ริม า ณ เ ชื้อ จุ ลิ น ท รีย ์เ ริ่ม ต้น แ ล ะ ก า ร
เปลี่ยนแปลงคุณภาพและสารสาคญั ของไมโครกรนี พรอ้ ม
บรโิ ภค
วธิ กี ารดาเนินงานวจิ ยั
Control 50 ppm ASC Dipped 1 min 150 ppm ASC ปรมิ าณเชอื้ แบคทเี รยี ทงั้ หมด โคลฟิ อรม์ อโี คไลของไควาเระชดุ ทแี่ ชด่ ว้ ยนา้
100 ppm ASC กลน่ั (ชดุ ควบคมุ ) และชดุ ทแี่ ชด่ ว้ ยสารละลาย ASC ทรี่ ะดบั ความเขม้ ขน้ 50
100 และ 150 ppm นาน 1 นาที บรรจใุ นถาดพลาสตกิ สดี า และเก็บรกั ษาที่
Cool water อณุ หภมู ิ 10 องศาเซลเซยี ส เป็ นเวลา 8 วนั
Dipped 1 min
สรุปผลการทดลอง
100 g per pack in polystyrene tray
covering with Polypropylene film, สารละลายโซเดียมไฮโปคลอไรทท์ ี่มีฤทธิเ์ ป็ นกรดที่ความเขม้ ขน้
100-150 ppm สามารถยบั ยงั้ การเจรญิ เตบิ โตของเชอื้ จลุ นิ ทรยี ท์ ง้ั หมด
storage at 10oC for 8 days ได ้ แต่ไม่สามารถควบคุมปรมิ าณเชอื้ อโี คไล และโคลฟิ อรม์ ได ้ ดงั น้ันจงึ
ตอ้ งศกึ ษาหาวธิ กี ารมาใชร้ ว่ มกบั การใชส้ าร ASC เพอื่ เพมิ่ ประสทิ ธภิ าพ
การควบคมุ เชอื้ จลุ นิ ทรยี ใ์ นระหวา่ งการเก็บรกั ษาและวางจาหน่ายตอ่ ไป
อทิ ธิพลของป๋ ุยพชื สดบางชนิดตอ่ การเจริญเตบิ โต ผลผลิตของผักคะน้า
และการสะสมธาตุไนโตรเจนภายใตส้ ภาพดนิ ลูกรัง
Influence of Some Green Manure on Growth and Yield of Kale
and Nitrogen Accumulation under Skeletal Soil Condition
จริ ายุทธ เทยี มสม1 และ วมิ ลนันทน์ กนั เกตุ1* Tiamsom, J. 1 and W. Kanket1*
บทคัดยอ การศึกษาอิทธิพลของปุยพืชสดจากปอเทือง ถ่ัวพรา และแหนแดง ตอปริมาณไนโตรเจนใน ผลการทดลองและวิจารณ
ดิน การเจริญเติบโตและผลผลิตของคะนาภายใตสภาพดินลูกรัง วางแผนการทดลองแบบสุมสมบูรณ 1. ความเปนกรดเปนดาง ความเปน
จํานวน 4 ซ้ํา 4 ตํารับการทดลอง ประกอบดวย T1 ไมใสปุยพืชสด (Control) T2 ไถกลบปอเทือง T3 กรดดาง (pH) ของดนิ กอนการไถกลบปุย
ไถกลบถั่วพรา และ T4ไถกลบแหนแดง อัตรา 2 ตันตอไร เก็บตัวอยางดินกอน และหลังการเก็บเกี่ยว พืชสดมีคา 5.25 อยูในชวงกรดจัด ดิน
เพ่ือวิเคราะหความเปนกรดดาง และปริมาณไนโตรเจนทั้งหมดในดิน วัดการเจริญเติบโตและผลผลิตของ หลังทําการไถกลบและหลังการเก็บเกี่ยว
คะนา จากผลการทดลองพบวาตํารับการทดลองท่ี 4 ที่ใสแหนแดง ทําใหคะนามีการเจริญเติบโต และ คา pH มีความแตกตางทางสถิติอยางมี
ผลผลิตสูงสุดท่ี 3,410 กิโลกรัมตอไร อีกทั้งสงผลใหคาความเปนกรดดางของดินดีข้ึน ดินมีการสะสม นัยสําคัญ และเพิ่มข้ึนในทุกตํารับการ
ไนโตรเจนเพิ่มข้ึน และเมื่อคิดตนทุนในเชิงเศรษฐศาสตร พบวาการใชแหนแดงสามารถทํากําไรสุทธิไดสูง ทดลองท่ีมีการใสปุยพืชสด โดยท่ีการไถ
ที่สุด จึงสามารถสรุปไดวาการใชแหนแดงเปนปุยพืชสด สงผลใหความสามารถในการผลิตพืชของดิน กลบแหนแดง มีคา pH สูงสุดท่ี 5.78 Figure 1 Soil pH at before planting, 20 days after
สูงข้นึ และเปนอีกทางเลือกหน่ึงของเกษตรกรในการปรับปรุงสมบตั ขิ องดินลกู รังตอ ไป (กรดปานกลาง) (Figure 1) incorporation and after harvest.
บทนํา ไนโตรเจน เปนธาตุอาหารหลักที่จําเปนตอการเจริญเติบโตของพืช มีการสะสม และมีความเปน 2. ปริมาณไนโตรเจนในดิน หลังการไถกลบดินมีการสะสมไนโตรเจนเพิ่มมากข้ึนจากการสลายตัวของปุย
ประโยชนต ่าํ ในดนิ ทข่ี าดความอดุ มสมบรู ณ ปริมาณเนื้อดินนอย มีเศษหินปน ความหนาแนนสูง อยางดิน พชื สด โดยท่ีการไถกลบแหนแดงมกี ารสะสมไนโตรเจนมากทีส่ ดุ (0.96 กรมั /กโิ ลกรมั ) แตไมมีความแตกตางทาง
ลูกรัง แนวทางในการเพิ่มไนโตรเจนในดินนิยมทํา เชนการไถกลบพืชปุยสดที่สามารถตรึงไนโตรเจนจาก สถิติกับการไถกลบถว่ั พรา (0.91 กรัม/กโิ ลกรมั ) สว นดนิ หลงั การเก็บเกีย่ ว มเี พียงการไถกลบแหนแดงเทาน้ันท่ีมี
อากาศได ในบริบทของดินลูกรังน้ัน การปลูกพืชตระกูลถ่ัว นับวาเปนการเพ่ิมปริมาณไนโตรเจนที่สะดวก ปริมาณไนโตรเจนสะสมเพ่ิมข้ึน (Figure 2) เนื่องจากแหนแดงมีประสิทธิภาพสูงในการตรึงไนโตรเจน มีการ
และเหมาะสมกับปจจัยสภาพแวดลอมในการผลิตพืช เน่ืองจากเปนพืชรากส้ัน ระบบรากมีปมซ่ึงมี ปลดปลอยแบบเพ่ิมขึ้นทีละนอยตลอดระยะเวลาที่มีการยอยสลายโดยจุลินทรีย เหมาะสมกับการเจริญเติบโต
แบคทีเรียไรโซเบียมที่สามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศในรูปท่ีพืชสามารถดูดใชได และแหนแดงก็เปน ของผักกินใบ (ศิริลักษณ และคณะ, 2563) และจากการรวบรวมรายงานวิจัยเกี่ยวกับการใชแหนแดงในการ
แหลงไนโตรเจนท่ีมีคุณภาพสูง เน่ืองจากโพรงใบมี Anabaena azolla ที่ตรึงไนโตรเจนจากอากาศให ปรับปรุงสมบัติของดินของ Subedi and Shrestha (2015) พบวาแหนแดงใหดินมีสมบัติท้ังทางกายภาพและ
แหนแดงใชใ นรปู ของแอมโมเนียได (สํานักงานการวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 5, 2563) เมื่อไถกลบ ทางเคมีดีขึ้น เชนความสามารถในการเก็บกักนํ้า ปริมาณการสะสมไนโตรเจน ปริมาณอินทรียวัตถุ และปริมาณ
ลงดินก็สามารถใหธาตุไนโตรเจนกับพืชท่ีปลูกไดเชนเดียวกับพืชตระกูลถั่ว จึงไดทําการศึกษาการจัดการ ธาตุอาหารท่ีเปนประโยชน ทาํ ใหดินมคี วามอุดมสมบรู ณ และทาํ ใหพ ืชปลูกเจรญิ เติบโตและใหผ ลผลิตสงู ข้ึน
ดินลูกรังโดยใชปุยพืชสดจากปอเทือง ถั่วพรา และแหนแดง ที่มีศักยภาพสูงในการเพิ่มปริมาณไนโตรเจน
ใหกบั ดนิ รวมทั้งสงเสรมิ การเจรญิ เติบโต และผลผลติ ของพชื ได
วิธีการศึกษา วางแผนการทดลองแบบสุมสมบูรณ จํานวน 4 ซ้ํา 4 ตํารับการทดลอง คือ ไมใสปุยพืช Figure 2 Total nitrogen accumulation of soils at before planting, 20 days after incorporation and after
harvest.
สด (T1) ไถกลบปอเทอื ง (T2) ไถกลบถั่วพรา (T3) และไถกลบแหนแดง (T4) เตรยี มแปลงขนาด 1.5*3
เมตร 16 แปลง หวานเมล็ดปอเทืองและถั่วพรา สวนแหนแดงจะนําไปขยายในบอน้ําท่ีเตรียมไว และ 2. การเจรญิ เติบโตและผลผลิตคะนา การไถกลบพชื ปยุ สดสง ผลใหต นคะนามคี วามสงู แตกตางกันอยางมี
นํามาไถกลบลงแปลงพรอมกันในอัตรา 2 ตันตอไร ปลอยใหซากพืชสลายตัว 20 วัน ปลูกคะนาแปลงละ
40 ตน บนั ทกึ ขอมูลการเจรญิ เติบโตและผลผลิตทกุ สัปดาห เกบ็ ตวั อยา งดนิ กอนปลูก หลังไถกลบ 20 วัน นยั สาํ คัญทางสถิติ โดยการไถกลบแหนแดงมคี วามสูง 19.47 เซนติเมตร แตไ มมคี วามแตกตางกบั การไถกลบถั่ว
และหลังเก็บเกี่ยวมาวิเคราะหความเปนกรดดาง และปริมาณไนโตรเจนท้ังหมด นําขอมูลทั้งหมด พรา (19.17 เซนติเมตร) ปยุ พืชสดทั้ง 3 ชนดิ สงผลตอ การเจรญิ เตบิ โตทางดา นเสนรอบวงของลําตนคะนา
วิเคราะหความแปรปรวนตามแผนการทดลองและเปรียบเทียบความ แตกตางทางสถิติโดยใช Least (7.75-10.54 เซนตเิ มตร) และมีความแตกตา งอยางมนี ยั สําคญั ทางสถติ ิ การไถกลบแหนแดงมีขนาดเสน รอบวง
Significant Difference (LSD) ที่ระดับความเช่ือม่ันทางสถิติ 95% มากทีส่ ดุ การเจริญเติบโตดานความกวางและความยาวใบของคะนา มีความแตกตางกนั อยางมนี ัยสาํ คัญทาง
สถติ ิ โดยทกี่ ารไถกลบแหนแดงสง ผลใหคะนามีความกวางและความยาวใบมากกวาตํารบั การทดลองอื่น (21.28
สรุปผลการทดลอง การไถกลบแหนแดงในอัตรา 2 ตัน/ไร ทําใหคะนามีการเจริญเติบโต และใหผล และ 42.16 เซนตเิ มตร ตามลาํ ดบั ) (Figure 3) คะนามผี ลผลติ อยรู ะหวาง 2,140-3,410 กิโลกรัม/ไร (Figure 4)
และมคี วามแตกตางทางสถิติอยา งมีนยั สําคญั พบวาการไถกลบแหนแดง ทาํ ใหน า้ํ หนักสดของผลผลติ คะนามาก
ผลิตสูงที่สุด ดินมีการสะสมปริมาณธาตุไนโตรเจนสูงที่สุด และยังทําใหดินมีความเปนกรดดางเหมาะสมตอ ท่สี ดุ ที่ 3,410 กโิ ลกรมั /ไร รองลงคือการไถกลบถ่วั พรา ท่ี 2,688 กิโลกรัม/ไร การไถกลบปอเทืองที่ 2,140
การเจริญเตบิ โตของพชื และเมือ่ คิดตนทนุ ในเชงิ เศรษฐศาสตร พบวา การใชแหนแดงสามารถทํากําไรสุทธิได กโิ ลกรัม/ไร สวนตํารบั ควบคุมทมี่ ผี ลผลติ ตํ่าทส่ี ุดท่ี 752.40 กโิ ลกรมั /ไร สอดคลองกับรายงานของ Barus
สูงท่ีสุด จึงสามารถสรุปไดวาการใชแหนแดงเปนปุยพืชสด สงผลใหความสามารถในการผลิตพืชของดิน (2018) และภานุมาศ และ ภาษิตา (2561) ทพี่ บวาการใสปุยแหนแดงสงผลใหพ ชื มกี ารเจริญเตบิ โต และใหผ ล
สูงข้ึน และเปน อกี ทางเลอื กหนงึ่ ของเกษตรกรในการปรับปรงุ สมบัติของดนิ ลูกรงั ตอ ไป ผลิตสูงกวา การใชปยุ ชนิดอืน่ ๆ
เอกสารอา งอิง Figure 3 Growth of Kale under skeletal soil Figure 4 Yield of Kale under skeletal soil condition.
condition.
ภานมุ าศ มลู สาร และ ภาษติ า ทุนศิร,ิ 2561, การเจริญเตบิ โตของคะนา ฮองกงในดินผสมแหนแดง, รายงานสืบเน่อื งจากการ
ประชมุ วิชาการระดบั ชาติ (Proceedings) ราชภฏั เลยวชิ าการ ประจาํ ป 2561 "การบูรณาการภูมิปญ ญาสู
นวตั กรรมและการพฒั นาอยา งยง่ั ยืน", จงั หวดั เลย.
ศิรลิ ักษณ แกวสุรลขิ ิต พชั รินทร นามวงษ ประไพ ทองระอา นิศารัตน ทวนี ตุ และกานดา ฉัตรไชยศริ ,ิ 2563. การปลดปลอย
ธาตอุ าหารและการเปลีย่ นแปลงสมบัตทิ างเคมีในดนิ ทใ่ี สแ หนแดง, วารสารวชิ าการเกษตร, 38(2): 139-149.
สํานักงานการวจิ ยั และพฒั นาการเกษตรเขตท่ี 5, 2563, การจดั การความร:ู เทคโนโลยกี ารใชป ยุ ชีวภาพเพ่ือเพ่มิ
ประสทิ ธภิ าพการผลิตพชื ในเขตภาคกลางและภาคตะวันตก, กรมวชิ าการเกษตร, กระทรวงเกษตรและ
สหกรณ, กรงุ เทพฯ, 56 หนา.
Barus, W. A., Utami, S., and Azmi, E. P., 2018, Effect of Azolla Bocachi and liquid organic fertilizer of
goat manure on the growth and production of chinese kale (Brassica oleracea L.),
Indonesian Journal of Agricultural Research, 1(1): 78-86.
Subedi, P. and Shrestha, J., 2015, Improving soil fertility through Azolla application in low land rice: A
review, Azarian Journal of Agriculture, 2(2): 35-39.
1 ภาควชิ าเกษตรและทรัพยากร คณะทรัพยากรธรรมชาตแิ ละอุตสาหกรรมเกษตร มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตเฉลมิ พระเกยี รติ จังหวัดสกลนคร
Department of Agricultural and Resources, Faculty of Natural Resources and Agro-Industry, Kasetsart University, Chalermphrakiat Sakon Nakhon Province Campus
ผลของกระบวนการออกซิเดช่นั ชน้ั สูง (H2O2/UV-C) ร่วมกับฟองก๊าซขนาดไมโครนาโน
ต่อการกระตนุ้ การสรา้ งสารพฤกษเคมี และสารต้านอนมุ ลู อสิ ระในไมโครกรนี ไควาเระ
Effect of Advanced Oxidation Process (H2O2/UV-C) in Combination with Micro-Nano bubbles
on enhancing of Bioactive Compounds and Antioxidants of
Radish (Raphanus sativus L.) Microgreens
สุวนนั ท์ ยอดสาร, พรพรรณ เลก็ ขา1, อารลี ักษณ์ แก้วเลก็ 1, Surisa Phornvillay1, จริ าพร อ่อนศรีทอง1, วาริช ศรีละออง1,2 และ ณัฐชยั พงษ์ประเสริฐ1,2
Yodsarn, S.1, Lekkham, P.1, Kaewlek, A.1, Phornvillay, S.1, Oonsrithong, J.1, Srilaong, V.1,2 and Pongprasert, N.1,2
INTRODUCTION RESULTS and DISCUSSION
ต้นอ่อนไควาเระเป็นไมโครกรีนอีกชนิดหน่ึงท่ีนิยมบริโภค เน่ืองจากมีคุณค่าทางสารอาหารสูง เช่น 1. ลักษณะไมโครกรีนไควาเระหลังการเพาะปลูก
Glucosinolate, Total flavonoid และ Antioxidants เป็นตน้ (อดุ มลกั ษณ์ มัจฉาชพี และคณะ, 2557)
เนอื่ งจากไมโครกรนี เปน็ พืชที่งอกจากเมล็ด จงึ มคี วามเส่ยี งที่เกิดจากเมล็ดทป่ี นเป้อื น (Kyriacou et al., 2016; Figure 1 Effect of washed with various techniques on .Appearance of their corresponding
Xiao et al., 2014) หากเมล็ดมีการปนเปื้อนเชือโรค หากมีการปนเปื้อนตังแตเ่ ริ่มกระบวนการปลูกจะก้าจัด microgreens. Data are means of four replicates ± SE. Means with the same letter are
ออกได้ยากมาก (Riggio et al., 2019; Wang and Kniel, 2016) และนอกจากนีการล้างหลังการเกบ็ เกี่ยว not significantly different at p 0.05 by CRD test.
อาจจะเพิม่ ความเส่ียงต่อการปนเป้ือน เน่ืองจากความเสียหายของเนือเยื่อท่ีอาจท้าให้เกิดการเติบโตของเชือโรค
ระหว่างการเพาะปลูก และในปัจจุบันที่มีการใช้กระบวนการออกซิเดช่ันขันสูงมีหลายประเภท เช่น แสงยูวี
รว่ มกบั โอโซน (H2O2/O3) แสงยวู รี ว่ มกบั ไฮโดรเจนเปอรอ์ อกไซด์ (UV/H2O2) หรือใชแ้ สงยูวีรว่ มกับ ไฮโดรเจน
เปอร์ออกไซด์ และโอโซน (H2O2/O3/UV) (อาลักษณ์, 2560) เพื่อจะช่วยในการลดปริมาณของสารเคมี การ
กา้ จัดสี และกล่ิน รวมทงั การฆ่าเชือโรค (Disinfection) หรือเชือจลุ ินทรยี ์ในน้า (Zhou and Smith, 2002;
Metcalf and Eddy, 2003; Deng and Englehardt, 2006) ซ่งึ ในปจั จุบันน้ามาใช้ฆ่าเชือในอตุ สาหกรรมผัก
และผลไม้เพ่ิมมากขึน ดังนันงานวิจัยนีจึงมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาอิทธิพลของกระบวนการออกซิเดช่ันชันสูง
(H2O2/UV-C) และประยกุ ต์ใช้รว่ มกบั ฟองก๊าซขนาดไมโครนาโนต่อการกระตุ้นการสร้างสาร พฤกษเคมี และสาร
ตา้ นอนุมลู อิสระของตน้ อ่อนไควาเระ
2. ผลการกระตนุ้ การสรา้ งสารพฤกษเคมี และสารต้านอนมุ ูลอิสระในไมโครกรีนไควาเระ
OBJECTIVE (A) (B)
1. เพื่อศึกษาผลของกระบวนการออกซิเดชนั่ ชันสูง (H2O2/UV-C) ร่วมกับฟองก๊าซขนาดไมโครนาโนต่อการ
กระตนุ้ การสร้างสารพฤกษเคมีในไมโครกรีนไควาเระ และการกระตุ้นสารต้านอนุมลู อสิ ระในไมโครกรนี ไควาเระ
MATERIALS and METHOND
เมลด็ ไควาเระ แช่นา้ กรอง RO Figure 2 Effect of washed with various techniques on (A) antioxidant and (B) total
เปน็ เวลา 5 ช่วั โมง flavonoid content of their corresponding microgreens. Data are means of four
แช่ต่อด้วย Treatment replicates ± SE. Means with the same letter are not significantly different at p ≤ 0.05
ตา่ งๆ เปน็ เวลา 15 นาที by CRD test.
ซง่ึ แบ่งเป็น 6 Treatment หลงั จากผ่านการแชน่ า้ กรอง RO เป็นเวลา 5 ช่วั โมง ดังนี คอื Figure 3 Effect of washed with various techniques on Glucosinolate content of their
Treatment 1 ล้างดว้ ยนา้ กรอง RO (ชดุ ความคมุ ) เป็นเวลา 15 นาที corresponding microgreens. Data are means of four replicates ± SE. Means with the
Treatment 2 ล้างด้วย 3%H2O2 เปน็ เวลา 15 นาที same letter are not significantly different at p ≤ 0.05 by CRD test.
Treatment 3 ลา้ งดว้ ย 3%H2O2 + UV-C เปน็ เวลา 15 นาที
Treatment 4 ลา้ งด้วย UV-C เป็นเวลา 15 นาที CONCLUSION
Treatment 5 ลา้ งด้วย 3%H2O2 + UV-C + MBs เป็นเวลา 15 นาที
Treatment 6 ล้างดว้ ย 3%H2O2 + MBs เป็นเวลา 15 นาที ผลของกระบวนการออกซิเดช่ันชันสูง (H2O2/UV-C) ร่วมกับฟองก๊าซขนาดไมโครนาโน
จากนันน้ามาเพาะในกระถางพลาสติกท่ีมีฟองน้าวางในกระถางพลาสติก และรดน้าทุกวัน โดย (3%H2O2/UV-C+Mbs) ไมส่ ่งผลต่อการท้าลายหรือการสร้างสารพฤกษเคมี และสารตา้ นอนมุ ลู อิสระ และ
จากผลการทดลองยงั แสดงผลให้เหน็ อกี วา่ การใชก้ ระบวนการออกซิเดชั่นชนั สงู (3%H2O2/UV-C) รว่ มกับ
ไม่ให้แสง 3 วนั หลังจากการเพาะ หลังจากนนั ท้าการใหแ้ สง LED สขี าว เป็นเวลา 4 วนั ท่ีอุณหภมู ิ ฟองก๊าซขนาดไมโครนาโนสามารถเพ่ิมสารพฤกษเคมีและสารต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงคุณภาพของ
22±1 องศาเซลเซียส ความชืนสมั พัทธ์รอ้ ยละ 75-80 ไมโครกรีนไควาเระได้อย่างมีประสิทธิภาพของต้นอ่อนไควาเระได้มากกว่าชุดควบคุมท่ีไม่มีการใช้
กระบวนการออกซเิ ดชั่นชนั สูง และการใช้ 3%H2O2 เพยี งอย่างเดียว
ไมโครกรนี ไควาเระ น้าไปวิเคราะห์ดา้ นคณุ ภาพ ได้แก่
1. Glucosinolate (Ippoushi และคณะ, 2007) เอกสารอ้างอิง
2. Total flavonoid (Yang และคณะ, 2016) อาลักษณ์ ทิพยรัตน์, 2560, โครงการการท้าลายฤทธ์ิของยาปฏิชีวนะในน้าเสียจากผลิตยาของอุตสาหกรรมอาหารและยา โดยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีแอดวานซ์ออกซิเดช่ันเพ่ือ
3. ความสามารถในการต้านสารอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH
(Brand-Williams และคณะ, 1995) ของใบและลา้ ต้น ลดผลกระทบต่อสงิ่ แวดล้อม, รายงานวจิ ยั ส้านกั งานจดั การศกึ ษา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั บูรพา.
วางแผนการทดลองแบบสมุ่ สมบูรณ์ (CRD) จ้านวน 4 ซา้ อุดมลักษณ์ มัจฉาชีพ สิริวรรณ สุขนิคม จันทร์เพ็ญ บุตรใส พาขวัญ ทองรักษ์อรุณี ชัยศรี อัจฉรียา มณีน้อย สุรชัย มัจฉาชีพ และสมจตน์ เจริญศรีสัมพันธ์, 2557, การศึกษาการ
1 สาขาเทคโนโลยหี ลังการเกบ็ เกี่ยว คณะทรัพยากรชีวภาพและเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบรุ ี (บางขนุ เทยี น) ผลิตไมโครกรนี พชื พนื บา้ นเพื่อการคา้ ในสภาพโรงเรือน, รายงานการวจิ ัยสถาบันวิจยั และพฒั นา มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลสวุ รรณภมู .ิ
49 ซอยเทยี นทะเล 25 ถนนบางขนุ เทยี นชายทะเล แขวงทา่ ข้าม เขตบางขุนเทียน กรงุ เทพมหานคร 10150 Kyriacou, M. C., Rouphael, Y., Gioia, F. D., Kyratzis, A., Serio, F., Renna, M., Pascale, S. D. Santamaria, P. 2016. Micro-scale vegetable production and the
1 Division of Postharvest Technology, School of Bioresources and Technology, King Mongkut’s University of Technology Thonburi (Bangkhuntien),
49 Tientalay 25, Thakam, Bangkhuntein, Bangkok 10150, Thailand rise of microgreens. Trends Food Sci. Technol. 57, 103-115.
2 ศนู ย์นวัตกรรมเทคโนโลยีหลังการเก็บเกย่ี ว กระทรวงการอดุ มศกึ ษา วิทยาศาสตร์ วิจยั และนวัตกรรม กรงุ เทพมหานคร 10400 Xiao, Z., Nou, X., Luo, Y. Wang, Q. 2014. Comparison of the growth of Escherichia coli O157: H7 and O104: H4 during sprouting and microgreen
2 Postharvest Technology Innovation Center, Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation, Bangkok 10400, Thailand.
production from contaminated radish seeds Food Microbiol. 44, 60-63.
Riggio, G. M., Wang, Q., Kniel, K. E. Gibson, K. E. 2019. Microgreens-a review of food safety consideration along the farm to fork continuum. Int. J. Food
Microbiol. 290, 76-85.
Wang, Q. Kniel, K. E. 2016. Survival and transfer of murin norovirus within a hydroponic system during kale and mustard microgreen harvesting. Appl.
Environ. Microbiol. 82, 705-713.
Zhou, H. and Smith, D.W. 2002. Advanced technologies in water and wastewater treatment. J. Environ. Eng. Sci. 1: 247-264.
ผลของป๋ยุ อดั เมด็ มูลจิ้งหรีดต่อการเจริญเติบโตของผกั กาดหอม
Effect of Cricket Frass Pellets as Fertilizer on Growth of Lettuce
Abstract ปรชั วนี พิบำรงุ และฐิติรตั น์ แซ่วือ้
สำขำวิชำเทคโนโลยีกำรผลิตพืช คณะวิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหำวิทยำลยั รำชภฏั พระนครศรีอยธุ ยำ
The effects of cricket frass pellets as fertilizer on growth and weight of Green cos lettuce was studied. The Completely Randomized Design
experiment consisted of six treatments and five replications. Results showed that Green cos lettuce applied with crickets frass and rice bran pellets (2:1
by weight) had the highest plant height, number of leaves, leaf width and fresh weight and dry weight per plant were 20.43 cm, 9.5 leaves, 6.62 cm,
61.84 g and 2.98 g, respectively. Those results were not statistically significant difference from the Green cos lettuce applied with crickets frass and
bone meal pellets (3:1 by weight) which had plant height, number of leaves, leaf width and fresh weight and dry weight per plant were 20.10 cm, 9.0
leaves, 6.29 cm, 50.66 g and 2.67 g, respectively. However, those two treatments were statistically significant difference from the Green cos lettuce
without cricket frass pellets (p≤0.01).
บทนำ วิธีกำรวิจยั 1. กำรเตรียมป๋ ยุ หมกั อดั เมด็
จิ้งหรีดเป็ นแหล่งอำหำรโปรตีนทำงเลือกท่ีได้รบั กำรยอมรบั อย่ำงแพร่หลำยทงั้ ในประเทศ และต่ำงประเทศ มลู จิ้งหรีด ตงั้ กองป๋ ยุ หมกั มลู จิ้งหรีด นำป๋ ยุ หมกั มลู จิ้งหรีด
(หยำดร้งุ และปนัดดำ, 2563) มีกำรพฒั นำมำตรฐำนกำรปฏิบตั ิกำรเกษตรท่ีดี (GAP) สำหรบั ฟำรม์ จิ้งหรีด (มกษ. รำละเอียด ตำมสตู ร 60 วนั ที่ย่อยสลำยสมบรู ณ์แล้ว
8202-2560) (มกอช., 2560) เพ่ือพฒั นำผลผลิตที่มีคณุ ภำพสำหรบั กำรบริโภค ถึงแม้กำรขยำยขนำดกำรเพำะเลี้ยง กระดกู ป่ น
จิ้งหรีดเชิงพำณิ ชยม์ ีผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมโดยรวมตำ่ แต่จำเป็ นต้องมีกำรศึกษำปัจจยั ต่ำงๆ ที่เก่ียวข้อง ผสมน้ำหมกั ชีวภำพ
ดงั กำรศึกษำฟำรม์ เพำะเลี้ยงจิ้งหรีดในจงั หวดั มหำสำรคำม พบว่ำ ฟำรม์ มีของเหลือทิ้งจำกมูล สิ่งขบั ถ่ำย เศษ ขึน้ รปู เป็นป๋ ยุ อดั เมด็
อำหำร และครำบของจิ้งหรีดทงั้ หมดรวมเป็นป๋ ยุ ชีวภำพ คิดเป็นสดั ส่วนประมำณ 38-62% ของมวลรวมอำหำรที่ใช้
โดยป๋ ยุ หมกั ประกอบด้วย 5 สตู ร ได้แก่ ป๋ ยุ หมกั
ในกำรเพำะเลี้ยง ป๋ ยุ ชีวภำพท่ีได้ยงั คงมีธำตุไนโตรเจน 2.27-2.58% ฟอสฟอรสั 1.55-2.02% และโพแทสเซียม 1.78- สตู รที่ 1 มลู จิ้งหรีด (F1) มลู จิ้งหรีด
2.26% และอตั รำส่วนระหว่ำงคำรบ์ อนต่อไนโตรเจนระหว่ำง 14:1-17:1 (Hallolan, 2017) ซ่ึงมีสมบตั ิให้ธำตุอำหำร สตู รท่ี 2 มลู จิ้งหรีดผสมรำละเอียด (อตั รำส่วน 2:1 โดยน้ำหนัก) (F2)
พืชและใช้เป็ นสำรทดแทนป๋ ุยได้ มีงำนวิจยั ในต่ำงประเทศ พบว่ำกำรใช้มูลจิ้งหรีดอตั รำ 505.93 และ 612.65 สตู รที่ 3 มลู จิ้งหรีดผสมรำละเอียด (อตั รำส่วน 3:1 โดยน้ำหนัก) (F3) อดั เมด็
กิโลกรมั ต่อไร่ ให้ผลผลิตข้ำวโพดหวำนได้สูงกว่ำกำรไม่ใส่ป๋ ยุ 210 และ 570 กิโลกรมั ต่อไร่ (Darby et al., 2018) สตู รที่ 4 มลู จิ้งหรีดผสมกระดกู ป่ น (อตั รำส่วน 2:1 โดยน้ำหนัก) (F4)
และมีงำนวิจยั ในประเทศไทย พบว่ำ กำรใช้ป๋ ยุ คอกมูลจิ้งหรีดอตั รำ 2.5 ตนั ต่อไร่ ให้ควำมสูงและผลผลิตผกั บุง้ จีน สตู รท่ี 5 มลู จิ้งหรีดผสมกระดกู ป่ น (อตั รำส่วน 3:1 โดยน้ำหนัก) (F5)
คะน้ำ และผกั ชีสูงกว่ำกำรใช้ป๋ ุยคอกมูลโค และป๋ ุยหมกั ขยะอินทรีย์อย่ำงมีนัยสำคญั ทำงสถิติ (เรณู, 2556) มูล
จิ้งหรีดมีแนวโน้มเป็นป๋ ยุ คอกที่ให้ธำตุอำหำรสูงกว่ำมูลสตั วจ์ ำกฟำรม์ ปศสุ ตั วท์ วั่ ไป กำรวิจยั ครงั้ นี้ มีวตั ถปุ ระสงค์ วิเครำะห์สมบตั ิทำงเคมี และทดสอบกำรย่อยสลำยสมบูรณ์
เพ่ือพฒั นำมูลจิ้งหรีดเป็ นป๋ ุยอินทรียใ์ นรปู ที่เหมำะสมต่อกำรใช้ประโยชน์ของพืช นอกจำกเป็ นกำรนำมูลจิ้งหรีด
ซ่ึงเป็ นของเสียเหลือทิ้งในฟำรม์ มำหมุนเวียนใช้ประโยชน์ใหม่แล้ว ยงั สำมำรถสร้ำงมูลค่ำเพ่ิมในรปู ป๋ ุยอินทรีย์ ด้วยกำรทดสอบดชั นีกำรงอก (GI)
2. ศึกษำผลกำรใช้ป๋ ยุ อดั เมด็
อดั เมด็ เชิงพำณิชยต์ ่อไป แผนกำรทดลองแบบ CRD 6 กรรมวิธีๆ ละ 5 ซำ้ ได้แก่
ผลกำรวิจยั T6 T5 T4 T3 T2 T1 T1) ป๋ ยุ อดั เมด็ มลู จิ้งหรีด
T2) ป๋ ยุ อดั เมด็ มลู จิ้งหรีดผสมรำละเอียด (อตั รำส่วน 2:1)
Table 1 Composition of compost pellets from cricket frass T3) ป๋ ยุ อดั เมด็ มลู จิ้งหรีดผสมรำละเอียด (อตั รำส่วน 3:1)
T4) ป๋ ยุ อดั เมด็ มลู จิ้งหรีดผสมกระดกู ป่ น (อตั รำส่วน 2:1)
Fertilizer pH EC OM C:N Total N P2O5 K2O Na GI T5) ป๋ ยุ อดั เมด็ มลู จิ้งหรีดผสมกระดกู ป่ น (อตั รำส่วน 3:1)
Pellets (1:1) (1:2) (%) ratio (%) (%) (%)
F1 7.17 c 1.62 b 28.78 7.75 ab 2.15 ab 3.16 c 1.28 (%) (%) T6 T5 T4 T3 T2 T1 T6) ไม่ใส่ป๋ ยุ (ชุดควบคมุ )
F2 7.25 bc 0.73 c 26.40 6.27 b 2.45 a 3.64 b 1.35 ทุกกรรมวิธี ใส่ป๋ ุยอดั เมด็ อตั รำป๋ ุย 100 กรมั ต่อดินปลูก
F3 7.14 c 0.85 c 27.36 7.00 ab 2.27 ab 3.39 bc 1.31 0.08 c 94.93 a
F4 7.68 a 2.34 a 26.53 7.84 ab 1.98 b 6.87 a 1.46 10 กิโลกรมั ต่อกระถำง ย้ำยกล้ำผกั กรีนคอสอำยุ 2 สปั ดำห์ลง
0.18 b 87.21 b ปลูก รดน้ำทุกวัน พ่นน้ำหมักจุลินทรีย์หน่ อกล้วย และสำร
F5 7.51 ab 2.09 a 27.95 8.05 a 2.02 b 5.15 ab 1.40 สะเดำทกุ สปั ดำห์ บนั ทึกผลกำรเจริญเติบโตน้ำหนักสด และแห้ง
F-test ** ** ns * ** ** ns 0.13 b รูปที่ 1 ท88่ทีค85าวใ..าห04มช้ เ46ขน้ิ ม้สขbb่วน้น นำข้อมูลมำวิเครำะห์ควำมแปรปรวน และควำมแตกต่ำงของ
0.37 a PBZ T6 T5 T4 T3 T2 T1 ค่ำเฉล่ียด้วยวิธี DMRT
พื ช มี อั ต ร า ก า ร ต า ย
0.32 a 50% (LD8505) .85 b
** **
CV% 2.44 12.30 11.23 11.90 7.74 8.21 9.68 18.60 3.40 วิจำรณ์ผล
Table 2 Height, number of leaves, leaf widtg and weight of green cos สมบัติ ของป๋ ุยหมักอัดเม็ดทุกสูตร มีปริ มำณฟอสฟอรัสและ
โพแทสเซียมสูงขึ้น สอดคล้องกบั สมบตั ิของรำละเอียด และกระดูก
Treatment Height (cm) Number of leaves (leaf) Leaf width (cm) Weight (g)
Week 1 Week 2 Week 3 Week 4 Week 1 Week 2 Week 3 Week 4 Week 1 Week 2 Week 3 Week 4 Fresh Dry ป่ นท่ีมีปริมำณฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมสูงกว่ำมูลจิ้งหรีด
T1 7.64 ab 9.70 13.20 abc 17.48 ab 5.2 5.6 7.2 c 9.4 a 2.22 3.08 b 4.70 b 5.83 ab 31.94 cd 2.22 a โดยเฉพำะสมบตั ิของกระดกู ป่ น นอกจำกช่วยเพ่ิมปริมำณฟอสฟอรสั
5.4 7.6 a 9.5 a 2.50 3.52 a 5.60 a 6.62 a 61.84 a 2.98 a แล้วยงั ช่วยเพิ่มระดบั ควำมเป็ นกรด-ด่ำงของป๋ ุยอินทรีย์ท่ีได้ให้มี
T2 7.28 ab 11.04 15.14 a 20.43 a 5.4 ควำมปลอดภยั ต่อส่ิงแวดล้อม (Oyeyiola and Omueti, 2019) ในขณะ
T3 6.18 c 9.18 11.38 bc 18.29 ab 5.4 5.4 7.4 b 9.2 ab 2.30 3.40 ab 4.84 ab 6.18 a 42.22 bc 2.29 a ท่ีปริมำณไนโตรเจนของป๋ ุยทุกสูตรมีปริมำณต่ำกว่ำวตั ถดุ ิบตงั้ ต้น
T4 7.12 ab 8.14 9.96 c 14.97 bc 4.8 4.8 5.0 d 7.2 bc 2.42 3.12 b 3.74 c 4.84 b 23.21 d 1.60 b
ทงั้ นี้ แสดงว่ำในกระบวนกำรหมกั ป๋ ุยมีกำรสูญเสียไนโตรเจนจำก
T5 6.80 bc 9.42 14.58 ab 20.10 a 5.8 5.8 7.2 c 9.0 ab 2.40 3.30 abc 4.92 ab 6.29 a 50.66 ab 2.67 a กลไกกำรระเหยของแอมโมเนีย และออกไซดข์ องไนโตรเจน รวมทงั้
T6 8.32 a 9.24 10.06 c 10.56 c 5.0 5.0 5.0 d 5.2 c 2.66 2.98 c 3.10 c 3.34 c 8.59 e 0.68 b กำรสญู เสียไนโตรเจนที่ละลำยน้ำได้โดยกำรชะละลำย (Yang et al.,
F-test * ns ** ** ns ns ns ** ns * ** ** ** ** 2019) อย่ำงไรกต็ ำม ป๋ ยุ หมกั อดั เมด็ มลู จิ้งหรีดทุกสตู ร มีสมบตั ิตำม
10.23 11.46 14.36 12.77 9.86 7.74 8.27 8.56 4.43 4.41 6.59 7.61 19.22 8.27 เกณฑ์มำตรฐำนป๋ ุยอินทรีย์ของกรมวิชำกำรเกษตร (2548) และ
CV% มำตรฐำนปัจจยั กำรผลิตทำงกำรเกษตรของกรมพฒั นำที่ดิน (2556)
สรปุ ผลกำรวิจยั สำมำรถใช้เป็ นป๋ ุยอินทรีย์สำหรบั ผลิตพืชทวั่ ไป หรือพฒั นำเป็ นป๋ ุย
อินทรียเ์ ชิงพำณิชยไ์ ด้ กำรใส่ป๋ ยุ อดั เมด็ มูลจิ้งหรีดทุกสูตร มีอิทธิพล
ป๋ ยุ อดั เมด็ สูตรมลู จิ้งหรีดผสมกระดกู ป่ น (อตั รำส่วน 2:1 โดยน้ำหนัก) มีปริมำณธำตอุ ำหำรหลกั ไนโตรเจน ฟอสฟอรสั และโพแทสเซียมรวมสงู สุดเท่ำกบั 10.31% ต่อควำมสงู ต้น จำนวนใบ ควำมกว้ำงใบ น้ำหนักสด และน้ำหนักแห้ง
มีสมบตั ิตำมเกณฑม์ ำตรฐำนป๋ ยุ อินทรียค์ ณุ ภำพสูง (มำตรฐำนกำหนดไม่น้อยกว่ำ 9%) สำหรบั กำรผลิตผกั กำดหอมกรีนคอส กำรใส่ป๋ ยุ สูตรมูลจิ้งหรีดผสม ของผกั กรีนคอสสงู กว่ำกำรไม่ใส่ป๋ ยุ อย่ำงมีนัยสำคญั ทำงสถิติ ยกเว้น
รำละเอียด (อตั รำส่วน 2:1 โดยน้ำหนัก) ส่งผลให้ควำมสูงต้น จำนวนใบ ควำมกว้ำงใบ น้ำหนักสด และน้ำหนักแห้งต่อต้นสูงสุด เท่ำกบั 20.43 เซนติเมตร 9.5 ใบ สูตรมูลจิ้งหรีดผสมกระดูกป่ น (อตั รำส่วน 2:1 โดยน้ำหนัก) อำจไม่
6.62 เซนติเมตร 61.84 กรมั และ 2.98 กรมั ตำมลำดบั
เหมำะสมต่อกำรใช้ผลิตผกั กินใบท่ีมีอตั รำกำรใช้ฟอสฟอรสั ตำ่ เมื่อ
เอกสำรอ้ำงอิง เปรียบเทียบกบั ธำตไุ นโตรเจน
Darby, H., Gupta, A., Cummings, E., Ruhl, L. and Ziegler, S., 2018, Cricket frass as a potential nitrogen fertility source, University of Vermont. Burlington.
Halloran, A., Hanboonsong, Y., Roos, N. and Bruun, S, 2017, Life cycle assessment of cricket farming in northeastern Thailand, J. Clean. Prod., 156:83-94.
Oyeyiola, Y.B. and Omueti, J.A.I., 2019 Nutrient quality and phytotoxicity assessment of phospho- Compost prepared under two bone meal fortification methods, Malaysian Journal of Soil Science, 23: 119-134.
Yang, X., E. Liu, X. Zhu, H. Wang, H. Liu, X. Liu and W. Dong. 2019. Impact of composting methods on nitrogen retention and losses during dairy manure composting. Int. J. Environ. Res. Public Health16, 3324; doi:10.3390/ijerph16183324.
ผลของระบบไฮโดรโปนกิ สต์ อ่ การเจรญิ เตบิ โตและปรมิ าณไนเตรทในผกั กาดหอม
Effect of Hydroponics System on Growth and Nitrate Content of Lettuce
Abstract ปรชั วนี พบิ ารงุ และกชกร ประคองสขุ
Growth, weight and nitrate content were investigated in three varieties of lettuce in Dynamic Root Floating Technique (DRFT)
hydroponic system. The experiment was 2x2 Factorial in Completely Randomized Design with ten replications and two factors: water
system (water circulating system 24 and 12 h/day) and lighting (solar and LED lighting). Results showed that the highest fresh weight of
Green oak, Red oak and Green cos (156.60, 131.23 and 155.28 g, respectively) and lowest nitrate content (187.90, 1,959.72 and 2,293.16
mg/kg, respectively) were found in the sample treated with 24 h/day-water circulating and solar. The Green oak, Red oak and Green cos
grown in the 12 h/day-water circulating and under LED lighting had lowest fresh weight (89.70, 76.56 and 78.45 g, respectively) and
nitrate content (2,187.90, 1,959.72 and 2,293.16 mg/kg, respectively). Those treatments were significantly different.
บทนา ผลการวจิ ยั
การผลติ ผกั ในระบบไฮโดรโปนกิ ส์ เป็ นระบบทตี่ ลาดมคี วามตอ้ งการสูงขน้ึ อยา่ ง
ตอ่ เนอ่ื ง เพราะสามารถควบคุมปรมิ าณ คุณภาพ และสารพษิ ตกคา้ งในระบบได้ ช่วย
แกป้ ัญหาการขาดแคลนผกั ตามฤดูกาล รวมทง้ั หมุนเวยี นการผลติ ไดใ้ นพน้ื ทจี่ ากดั
โดยเฉพาะเทคโนโลยกี ารผลติ พชื ในอาคาร ทส่ี ามารถควบคุมปัจจยั สภาพแวดลอ้ มได้
มกี ารนาเแสงเทยี มจาก light emitting diodes (LEDs) มาประยกุ ตใ์ ชร้ ว่ มกบั การผลติ
พชื สามารถควบคุมความเขม้ และพลงั งานแสงใหส้ อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของพชื
หลอดไฟแอลอดี ใี หพ้ ลงั งานแสงสงู และปลดปลอ่ ยความรอ้ นตา่ ตลอดจนมอี ายกุ ารใช้
งานทยี่ าวนานกวา่ หลอดไฟทว่ั ไปถงึ 100 เทา่ (Yeh and Chung, 2009) อยา่ งไรก็ตาม
การปลกู ผกั ในระบบไฮโดรโปนกิ สม์ กี ารใชป้ ๋ ยุ เคมเี ป็ นหลกั จงึ มขี อ้ กงั วลเกยี่ วกบั ปรมิ าณ Figure 1 Height of shoot of Red oak, Green oak and Green cos (cm)
ไนเตรททสี่ ะสมในผกั เกนิ มาตรฐาน ซงึ่ อาจสง่ ผลตอ่ สขุ ภาพของผบู้ รโิ ภค โดยเฉพาะผกั
เป็ นพชื อายสุ นั้ หากไดร้ บั ป๋ ยุ ไนโตรเจนในรปู ของไนเตรทปรมิ าณมากเกนิ ความตอ้ งการ
มแี นวโนม้ เกดิ การสะสมไนเตรททใ่ี บสงู กวา่ สว่ นอนื่ (Santamaria, 2006) การบรโิ ภค
ผกั ที่มีสารไนเตรทในปรมิ าณมาก อาจเป็ นอนั ตรายต่อสุขภาพของผู้บรโิ ภคได้
(กรรณิกา, 2555) อยา่ งไรก็ตาม ปรมิ าณไนเตรททส่ี ะสมในพชื ขน้ึ อยกู่ บั ระบบการผลติ
และระยะการเก็บเกย่ี ว (Yosoff et al., 2015) รวมทง้ั ปจั จยั ดา้ นอณุ หภมู ิ และแสงดว้ ย
(Colla et al., 2018) ดงั นนั้ การศกึ ษาวจิ ยั ครง้ั นจ้ี งึ มวี ตั ถปุ ระสงค์ เพอื่ ศกึ ษาการ
เจรญิ เตบิ โต และปรมิ าณไนเตรทในผกั กาดหอมทป่ี ลูกในระบบไฮโดรโปนกิ สโ์ ดยใช้ Figure 2 Bush width of shoot of Red oak, Green oak and Green cos (cm)
แสงอาทติ ย์ และแสงแอลอดี ี (LED) ในแบบนา้ หมุนเวยี น 12 และ 24 ชว่ั โมงต่อวนั Table 1 Effect of water circulating on fresh weight, dry weight and nitrate content of lettuce
เพอ่ื ใหไ้ ดข้ อ้ มลู ทางวชิ าการ ทเี่ ป็ นประโยชนต์ อ่ การพฒั นาการผลติ ผกั ในระบบไฮโดร-
โปนกิ สต์ อ่ ไป Water Red Oak (g/plant) Green Oak (g/plant) Green Cos (g/plant)
Circulating fresh weight dry weight fresh weight dry weight fresh weight dry weight
วธิ กี ารวจิ ยั การปลกู ผกั ในระบบไฮโดรโปนกิ ส์ 24 hours/day 142.26 6.09 121.13 5.17 128.03 5.96
12 hours/day 138.14 5.92 115.61 4.98 123.96 5.32
F-test Ns ns ns ns ns ns
CV% 9.05 3.62 5.81 7.55 8.39 6.24
Table 2 Effect of lighting on fresh weight, dry weight and nitrate content of lettuce
Lighting Red Oak (g/plant) Green Oak (g/plant) Green Cos (g/plant)
fresh weight dry weight fresh weight dry weight fresh weight dry weight
Solar 145.59a 6.58a 122.94a 6.06a 139.30a 4.83a
ระบบแสงแอลอดี ี LED 108.81b 5.73b 93.81b 4.62b 99.68b 3.91b
ทาการทดลอง ในอาคารปลกู พชื ไดร้ บั แสง
ระบบแสงอาทติ ย์ แอลอดี ี ตงั้ แตเ่ วลา 06.00-20.00 น. อตั ราแสงสี F-test ** * ** * ** *
ทาการทดลอง ในโรงเรอื นปลกู พชื ไดร้ บั แสง แดง:สนี า้ เงนิ :แสงสขี าว เทา่ กบั 3:2:1 อณุ หภมู ิ
เฉลยี่ ตง้ั แตเ่ วลา 06.05-18.16 นาที อณุ หภมู ิ ภายในอาคารเฉลย่ี เทา่ กบั 29.5 C อณุ หภมู ิ CV% 7.69 4.53 6.96 7.41 5.47 8.15
ภายในโรงเรอื นเฉลย่ี เทา่ กบั 34.5 C อณุ หภมู ิ ภายนอกอาคารเฉลย่ี เทา่ กบั 34.9 C
ภายนอกโรงเรอื นเฉลยี่ เทา่ กบั 28.5 C Table 3 Effect of water circulating and lighting on fresh weight, dry weight and nitrate content of lettuce
Water Lighting Red oak Green oak Green cos
ปลกู ผกั เรดโอค๊ กรนี โอค๊ และกรนี คอสในระบบไฮโดรโปนกิ สแ์ บบ DRFT โดยใช้ Circulating fresh dry Nitrate fresh dry Nitrate fresh dry Nitrate
สารละลายธาตอุ าหารมาตรฐานสตู ร A และ B โดยสารละลายธาตอุ าหารสตู ร A weight weight content weight weight content weight weight content
ประกอบดว้ ยแคลเซยี มไนเตรท และเหล็กคเี ลต (Fe-EDTA) และสารละลายสตู ร B
ประกอบดว้ ย โพแทสเซยี มไนเตรท โมโนโพแทสเซยี มไนเตรท โมโนแอมโมเนยี ม (g) (g) (mg/kg) (g) (g) (mg/kg) (g) (g) (mg/kg)
ฟอสเฟต แมกนเี ซยี มซลั เฟต และจลุ ธาตตุ า่ ง ปรบั สารละลายใหม้ คี า่ pH ระหวา่ ง 5-6
คา่ EC 0.5–2.5 mS/cm ตามระยะการเจรญิ เตบิ โตของผกั Solar 156.60a 8.24a 1,929.51c 131.23a 6.05a 1,781.38c 155.28a 7.76a 2,078.38c
24 hrs/day 127.92b 7.08b 2058.14b 111.19b 5.47a 1,863.92b 123.95b 6.18b 2,130.55b
LED
Solar 134.55b 6.73b 1,974.73b 114.74b 5.62a 1,825.20b 126.40b 6.63b 2,159.17b
12 hrs/day 89.70c 4.71c 2,187.90a 76.56c 3.77b 1,959.72a 78.45c 3.92c 2,293.16a
LED
แผนการทดลองแบบ CRD กรรมวธิ ๆี ละ 10 ซา้ พจิ ารณา 2 ปจั จยั ไดแ้ ก่ F-test ** ** ** ** ** ** ** ** **
ปจั จยั A ระบบนา้ 1) หมนุ เวยี นนา้ 24 ชว่ั โมงตอ่ วนั 2) หมนุ เวยี นนา้ 12 ชว่ั โมงตอ่ วนั CV% 10.52 6.35 9.79 8.71 7.40 8.14 7.26 6.04 11.85
ปจั จยั B ระบบแสง 1) แสงอาทติ ย์ (Solar) 2) แสงแอลอดี ี (LED) Remark; ns, *, ** : not significantly, significantly different at p0.05 and p0.01, respectively
บนั ทกึ ผลการเจรญิ เตบิ โต ไดแ้ ก่ ความสูงตน้ จานวนใบ และความกวา้ งทรงพุ่ม เป็ นเวลา 4 วจิ ารณ์ผล
สปั ดาห์ ทาการเก็บเกยี่ วผกั กาดหอม บนั ทกึ นา้ หนกั สด และนา้ หนกั แหง้ และวเิ คราะหห์ าปรมิ าณ
ไนเตรท ตามวธิ กี ารของ association of official analytical chemists (AOAC, 2000) วดั คา่ เมอื่ ศกึ ษาอทิ ธพิ ลของระบบนา้ และระบบแสงทมี่ ตี อ่ การปลกู ผกั เรดโอค๊ กรนี โอค๊ และ
การดูดกลนื แสงทค่ี วามยาวคลน่ื 410 nm ดว้ ยเครอ่ื ง Spectrophotometer นาขอ้ มูลมาวเิ คราะห์ กรนี คอสทป่ี ลูกในระบบไฮโดรโปนกิ สน์ น้ั อาจนาไปพจิ ารณาดา้ นการหมุนเวยี นนา้ ที่
ความแปรปรวน และความแตกตา่ งของคา่ เฉลย่ี ดว้ ยวธิ ี DMRT เหมาะสม เพอื่ การลดตน้ ทนุ การผลติ ผกั ในระบบไฮโดรโปนกิ สไ์ ด้ สอดคลอ้ งกบั ปัจจยั ดา้ น
ระบบแสงทมี่ อี ทิ ธพิ ลตอ่ การเจรญิ เตบิ โตทง้ั ดา้ นความสูงตน้ จานวนใบ ความกวา้ งทรงพุม่
สรปุ ผลการวจิ ยั นา้ หนกั สด และแหง้ ของผกั กาดหอมทุกชนดิ เนอ่ื งจากคุณภาพของแสงเป็ นปจั จยั หลกั ตอ่
พฒั นาการของพชื (Johkan et al., 2010) ดงั นนั้ ระบบทมี่ กี ารหมนุ เวยี นนา้ 24 hrs/day
การศกึ ษาผกั กาดหอมทงั้ สามพนั ธุใ์ นระบบไฮโดรโปนกิ ส์ พบวา่ ปจั จยั ดา้ นระบบ และไดร้ บั แสงอาทติ ย์ จงึ ส่งผลต่อผกั ทงั้ สามพนั ธุม์ นี า้ หนกั สดสูงสุด และมปี รมิ าณ
แสงมอี ทิ ธพิ ลต่อความสูงตน้ ความกวา้ งทรงพุ่ม นา้ หนกั สด และปรมิ าณไนเตรทท่ี ไนเตรทสะสมต่าสุด สอดคลอ้ งกบั ความสมั พนั ธข์ องแสงกบั การสงั เคราะหแ์ สงของพชื
สะสมในผกั กาดหอมอยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถติ ิ (p0.01) และพบอทิ ธพิ ลรว่ มระหว่าง ดงั นน้ั การผลติ ผกั กาดหอมโดยใชแ้ สงแอลอดี ี ควรมกี ารศกึ ษาระดบั ความเขม้ แสงทสี่ มดลุ
ระบบนา้ และระบบแสงมคี วามแตกตา่ งอยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถติ ิ (p0.05) ตอ่ นา้ หนกั ตอ่ การเจรญิ เตบิ โต และการสงั เคราะหแ์ สงของผกั กาดหอมดว้ ย เพราะความเขม้ ของแสง
สด และปรมิ าณไนเตรททสี่ ะสมในผกั กาดหอม เป็ นปจั จยั สาคญั ตอ่ ปรมิ าณการสะสมไนเตรทในผกั (Liang and Chien, 2013) และการ
จากดั ความเข้มของ แสง มีผลต่อการเจริญเติบโต และการดูดสารอาหารของพืช
เอกสารอา้ งองิ (Santamaria, 2006) เนอ่ื งจากการสะสมไนเตรทในพชื นนั้ มอี ทิ ธพิ ลจากป๋ ยุ และแสง
โดยตรง และแสงเป็ นปัจจยั หลกั ในการดูดใชไ้ นเตรท และการสะสมไนเตรทในเนอ้ื เยอื่ พชื
AOAC. 2000. Official Method of the analysis 32 nd ed. Association of official analytical chemists. (Lillo, 2004) ดงั ที่ Gruda (2005) พบวา่ ผกั กาดหอมทปี่ ลกู โดยใชแ้ สงแอลอดี ี มผี ลตอ่
Gruda N. 2005. Impact of environmental factors on product quality of greenhouse vegetables for fresh consumption. Critical Reviews in Plant Sciences, 24: 227–247. การสะสมไนเตรทสงู กวา่ ผกั กาดหอมทปี่ ลกู โดยใชแ้ สงอาทติ ย์
Lillo C. 2004. Light regulation of nitrate uptake, assimilation and metabolism. Vol 3: 149-184.
Liang, J. and Chien, Y. 2013. Effects of feeding frequency and photoperiod on water quality and crop production in a tilapia-water spinach raft aquaponics system. International
& Biodeterioration & Biodegradation, 85: 693-700.
Santamaria, P. 2006. Nitrate in vegetables: toxicity, content, intake and EC regulation. Journal of the Science of Food and Agriculture, 86(10): 10-17.
สถาบนั วจิ ัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแหง่ ประเทศไทย (วว.)
กระทรวงการอดุ มศกึ ษา วทิ ยาศาสตร์ วจิ ยั และนวตั กรรม (อว.)
การศกึ ษาระยะเวลาในการให้นา้ ทีเ่ หมาะสมส้าหรับการปลูกขา้ วไรซ์เบอร่ที ่ีมีผลต่อการเจรญิ เติบโตและผลผลติ
Study on the Optimum Irrigation Time for Riceberry Rice Cultivation Affecting
the Growth and Yield
เรวตั ร จินดาเจยี่ จักรกฤษณ์ ศรีแสง พงษศ์ ักด์ิ แก้วศรี จรรยา ม่งุ งาม บณั ฑิตา เพ็ญสรุ ยิ ะ และ นา้ ฝน ชาชัย
บทคดั ยอ่ ผลการทดลอง
การศึกษาระยะเวลาในการให้นา้ ที่เหมาะสมส้าหรับการปลกู ข้าวไรซ์เบอรี่ เพ่ือเป็นแนวทางในการจัดการน้าในการ ผลการศึกษาระยะเวลาในการให้น้าท่ีเหมาะสมสาหรับการปลูกข้าวไรซ์เบอร่ี พบว่าการเติมน้าตามคาแนะนา
ปลูกข้าวไรซเ์ บอรอี่ ยา่ งมีประสิทธิภาพ และการใช้น้าอย่างประหยัด โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ จ้านวน 4 ของเกษตรกร (เติมเม่ือน้าแห้งจากผิวดิน) การเติมน้าทุกๆ 3 วัน การเติมน้าทุกๆ 5 วัน และการเติมน้าทุกๆ 7 วัน มีผล
ต้ารับการทดลอง 10 ซ้า ดังนี ต้ารับการทดลองท่ี 1 ต้ารับการควบคุม (ตามค้าแนะน้า) ต้ารับการทดลองท่ี 2 เติมน้า ทาให้ความสูง จานวนต้นต่อกอ จานวนรวงตอ่ กอ จานวนเมลด็ ดตี อ่ รวง น้าหนกั เมลด็ ดตี อ่ รวง และน้าหนักเมล็ดดีทั้งหมด
ทกุ ๆ 3 วัน ตา้ รบั การทดลองท่ี 3 เตมิ นา้ ทุกๆ 5 วัน และตา้ รบั การทดลองท่ี 4 เตมิ น้าทุกๆ 7 วัน พบว่าความสูง จ้านวน ของขา้ วไรซเ์ บอร่ีในทุกตารบั การทดลองไม่แตกตา่ งทางสถติ ิ
ต้นต่อกอ จ้านวนรวงต่อกอ จ้านวนเมล็ดดีต่อรวง น้าหนักเมล็ดดีต่อรวง และน้าหนักเมล็ดดีทังหมดในทุกต้ารับการ
ทดลองไม่มีความแตกตา่ งทางสถติ ิ แต่มีแนวโน้มว่าการเติมนา้ ทกุ ๆ 3 วนั มีความสงู มากท่ีสุด ส่วนการเติมน้าทุกๆ 7 วัน โดยมีแนวโน้มทางดา้ นการเจริญเตบิ โตพบว่า การเติมนา้ ทกุ ๆ 3 วนั มผี ลทาใหต้ น้ ข้าวไรซเ์ บอรมี่ ีความสงู มากที่สุด
ใหจ้ า้ นวนตน้ ต่อกอ จ้านวนรวงต่อกอ จ้านวนเมล็ดดีต่อรวง น้าหนกั เมลด็ ดตี อ่ รวง และนา้ หนักเมล็ดดีทงั หมดสูงทีส่ ดุ แต่การเติมนา้ ทุกๆ 7 วนั มีผลทาใหจ้ านวนต้นตอ่ กอมากท่ีสดุ (ดงั แสดงไว้ในภาพที่ 1 และ 2 ตามลาดับ)
Abstract สว่ นแนวโนม้ ทางดา้ นผลผลิตพบวา่ การเติมนา้ ทุกๆ 7 วนั มีผลต่อจานวนรวงตอ่ กอ จานวนเมลด็ ดตี ่อรวง
นา้ หนักเมลด็ ดีต่อรวง และน้าหนกั เมลด็ ดที ้ังหมดของขา้ วไรซ์เบอร่มี ากทสี่ ดุ (ดงั แสดงไวใ้ นตารางที่ 1)
The study of the optimum irrigation time for riceberry cultivation. To guide efficient water
management for riceberry cultivation and economical use of water. By planning a complete ภาพท่ี 1 ความสูงของตน้ ข้าวไรซ์เบอรีท่ ี่ไดร้ ับนา้ ในระยะเวลา ภาพที่ 2 จ้านวนตน้ ตอ่ กอของต้นขา้ วไรซ์เบอรท่ี ่ไี ดร้ ับน้าใน
randomized design of 4 treatments, 10 repetitions as follows: 1STexperiment: control (the แตกต่างกนั ระยะเวลาแตกตา่ งกัน
recommended water application), 2nd experiment: water added every 3 days, 3rd experiment: water
added every 5 days and 4th experiment: water added every 7 days. It was found the height, number ตารางท่ี 1 ผลผลติ ของข้าวไรซ์เบอร่ีท่มี ีการใหน้ า้ ในช่วงระยะเวลาท่ีแตกต่างกนั
of plants per hill, panicle per hill, number of filled grain per panicle, weight of filled grain per panicle
and weight of total filled grain were no statistically different. But it was likely that adding water every ระยะเวลาการให้นา้ จา้ นวนรวงตอ่ กอ ผลผลิตของข้าวไรซเ์ บอร่ี นา้ หนกั เมล็ดดีทัง้ หมด
3 days was the highest. As for adding water every 7 days, the number of plants per hill, panicle per (รวง) (กรมั )
hill, number of filled grain per panicle, weight of filled grain per panicle and weight of total filled การเตมิ น้าตามคา้ แนะน้าของ จานวนเมล็ดดีตอ่ รวง น้าหนักเมลด็ ดตี อ่ รวง
grain was the highest. เกษตรกร 10.90+0.48 (เมล็ด) (กรมั )
บทนำ การเตมิ นา้ ทกุ ๆ 3 วนั 11.50+0.48 132.17+3.07 3.30+0.05 111.37+5.26
การเตมิ นา้ ทกุ ๆ 5 วัน 11.00+0.48
ข้าวไรซเ์ บอรี่ อุดมไปด้วยคณุ คา่ ทางอาหารสูง มีคุณสมบัติต่อตา้ นอนุมูลอสิ ระได้ดี อุดมไปด้วยโฟเลจในปริมาณสูง การเตมิ นา้ ทกุ ๆ 7 วัน 13.00+0.48 138.27+3.07 3.34+0.05 113.46+5.26
นอกจากนัน้ ยงั อดุ มไปด้วยสารอาหารอื่นๆ ท่ีมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายหลายชนิด ได้แก่ เบต้าแคโรทีน, แกมมาโอ 139.23+3.07 3.42+0.05 115.71+5.26
ไรซานอล, วิตามินอี, วิตามินบี 1, ลูทีน, แทนนิน, สังกะสี, โอเมก้า 3, ธาตุเหล็ก, โพลีฟีนอล และเส้นใย เป็นต้น ซ่ึง F-test ns 147.10+3.07 3.53+0.05 134.26+5.26
สารอาหารเหล่าน้มี สี ่วนช่วยในการ บารงุ รา่ งกาย บารุงสายตา บารงุ ระบบประสาท ลดความเส่ียงต่อการเกิดมะเร็ง ช่วย
ปอ้ งกันโรคตา่ งๆ ไดอ้ ย่างมากมาย ns ns ns
อย่างไรก็ตามจากสภาพปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะภัยแล้งติดต่อกันยาวนาน และ สรุปการทดลอง
คาดการณ์กันว่าจะเกิดขึ้นอีกเรื่อย ๆ ส่งผลให้ปริมาณน้าเพื่อการเกษตรเกิดการขาดแคลนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะนา
ข้าวท่ีต้องใช้ปริมาณน้าในการเพาะปลูกสูง มีค่าเฉลี่ยการใช้น้าไม่น้อยกว่า 1,200 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่ เช่นเดียวกับการ 1. การเตมิ น้าใหก้ บั ข้าวไรซ์เบอรีท่ ุกๆ 3 วนั มผี ลทาให้ต้นข้าวมีแนวโน้มความสูงทส่ี ดุ
ปลูกขา้ วไรซ์เบอรที่ ต่ี ้องการใช้ปริมาณนา้ สงู ตงั้ แตก่ ารเตรียมพ้นื ทป่ี ลกู ไปจนถึงก่อนการเกบ็ เกีย่ วขา้ ว 2. การเติมน้าใหก้ ับขา้ วไรซ์เบอรท่ี ุกๆ 7 วัน มผี ลทาใหต้ ้นขา้ วมีแนวโน้มจานวนต้นตอ่ กอมากทส่ี ดุ
3. การเติมน้าให้กับข้าวไรซ์เบอรี่ทุกๆ 7 วัน มีผลต่อจานวนรวงต่อกอ จานวนเมล็ดดีต่อรวง น้าหนักเมล็ดดีต่อ
ดงั นนั้ การศึกษาวิธีการจัดการน้าท่ีเหมาะสมสาหรับการปลูกข้าวไรซ์เบอรี่ จึงมีผลทาให้เกษตรกรสามารถใช้น้าใน รวง และนา้ หนักเมล็ดดที ัง้ หมดของขา้ วไรซเ์ บอร่มี แี นวโน้มมากทส่ี ุด
การผลติ ข้าวไรซเ์ บอรไ่ี ด้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ ทาใหเ้ กิดการใช้น้าอย่างประหยัด ช่วยลดต้นทุนทางด้านการผลิต โดยไม่มี 4. จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการเติมน้าให้กับข้าวไรซ์เบอรี่ทุกๆ 7 วันเป็นระยะเวลาการให้น้าท่ีเหมาะ สม
ผลต่อปริมาณผลผลติ ของขา้ งไรซเ์ บอร่ี ตอ่ การปลูกขา้ วไรซเ์ บอรี่ เน่ืองจากพบว่ามีการแตกกอและให้ผลผลิตที่สูงกว่าตารับการทดลองอื่นๆ ส่วนการให้น้าตาม
คาแนะนาของเกษตรกรนน้ั อาจตอ้ งมกี ารปรบั ชว่ งเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากบางช่วงท่ีต้นข้าวต้องการน้าในการพัฒนา
วิธกี าร ผลผลิต แต่มีปรมิ าณน้าไมเ่ พียงพอ จึงมีผลผลติ ท่ีตา่ กวา่
1. การศึกษานี้ใช้ถังปลูกเป็นแบบจาลองของการปลูกข้าวไรซ์เบอรี่ โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (CRD) มี
จานวน 4 ตารับการทดลอง 10 ซ้า ดังน้ี ตารับการทดลองท่ี 1 ตารับการควบคุม (ตามคาแนะนาของเกษตรกร)
ตารับการทดลองที่ 2 เติมน้าทุกๆ 3 วัน ตารับการทดลองท่ี 3 เติมน้าทุกๆ 5 วัน และตารับการทดลองที่ 4 เติมน้า
ทกุ ๆ 7 วนั ดนิ ท่ใี ชใ้ นการศกึ ษาเป็นดนิ ทม่ี ีเน้อื ดนิ เหนียวปนทราย (ชุดดนิ ชัยบาดาล)
2. นาถงั ปลูกขนาด 10 ลิตร มาใส่ดนิ ใหเ้ หลอื พนื้ ที่ระหว่างขอบบนถังกับดินห่างกันประมาณ 20 เซนติเมตร เก็บข้อมูล
ดินก่อนปลูก เติมน้าใส่ถังจนดินอ่ิมตัวด้วยน้า ทิ้งไว้ประมาณ 1 วัน นาเมล็ดข้าวไรซ์เบอรี่มาหยอดลงในถังปลูกท่ี
เตรยี มไวป้ ระมาณ 4-5 เมล็ด เมื่อกล้าขา้ วงอกได้ประมาณ 7 วนั ทาการย้ายกลา้ ใหเ้ หลอื 1 ตน้ ต่อถังปลกู
3. เรมิ่ ใส่น้าตามระยะเวลาทีแ่ ตล่ ะตารับการทดลองกาหนด โดยใหม้ ีระดับนา้ สงู จากผิวหน้าไมเ่ กิน 15 เซนติเมตร
4. เก็บขอ้ มูลการเจรญิ เตบิ โตและผลผลิตของขา้ วไรซ์เบอร่ี
สถานวี จิ ัยล้าตะคอง สถาบนั วิจยั วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีแหง่ ประเทศไทย (วว.) 333 หมทู่ ี่ 12 ต้าบลหนองสาหรา่ ย อา้ เภอปากช่อง จงั หวดั นครราชสีมา 30130
Lamtakhong Research Station, Thailand Institute of Scientific and Technological Research (TISTR) 333 Mu 12, Nongsarai, Pakchong, NaKhon Ratchasima 30130
สถาบนั วจิ ยั วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยแี ห่งประเทศไทย (วว.)
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจยั และนวตั กรรม (อว.)
ผลของการประยุกต์ใชป้ ุ๋ยหมกั จากมูลโคนมต่อการเจรญิ เติบโตและผลผลติ ของข้าวไรซเ์ บอรี่
Effect of Dairy Manure Compost Applications on the Growth and Yield of Riceberry Rice
จรรยา มุ่งงาม สุรสิทธ์ิ วงษส์ จั จานนั ท์ พงศกร นติ ยม์ ี เตชติ า ป่นิ สันเทียะ ภทั รา ประทบั กอง และ เรวัตร จนิ ดาเจี่ย
บทคดั ย่อ / Abstract ผลการทดลอง
การศึกษาผลของการประยุกต์ใช้ปุ๋ยหมักจากมูลโคนมต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของข้าวไรซ์เบอร่ี โดยวาง ผลการศึกษาการประยกุ ต์ใช้ปุย๋ หมักจากมูลโคนมตอ่ การเจริญเติบโตและผลผลิตของข้าวไรซ์เบอร่ี พบว่าผลของ
แผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ จานวน 5 ตารับการทดลอง 10 ซ้า ตารับการทดลองท่ี 1 ตารับการควบคุม (ไม่ใส่ปุ๋ย) ความสูงและจานวนตน้ ตอ่ กอของข้าวไรซเ์ บอรีท่ีได้รบั ปยุ๋ ทงั้ 5 ตารับการทดลองมคี วามแตกต่างอย่างมีนัยลาคัญทางสถิติ
ตารับการทดลองที่ 2 ใส่ปุ๋ยตามคาแนะนา (ปุ๋ยหมักจากข้ีวัวนมอัตรา 600 กิโลกรัมต่อไร่ ร่วมกับ 16-20-0 อัตรา 35 โดยตารับการทดลองท่ีมีการใส่ปุ๋ยหมักจากมูลโคนมอัตรา 2.0 ตันต่อไร่ ทาให้ความสูงและจานวนต้นต่อกอสูงที่สุด และ
กิโลกรัมต่อไร่ และ 46-0-0 อัตรา 20 กิโลกรัมต่อไร่) ตารับการทดลองท่ี 3 ใส่ปุ๋ยหมักจากข้ีวัวนมอัตรา 1.0 ตัน/ไร่ ไมแ่ ตกตา่ งทางสถติ กิ บั การใสป่ ยุ๋ ตามคาแนะนา (ดังแสดงไวใ้ นภาพที่ 1 และ 2)
ตารับการทดลองท่ี 4 ใส่ป๋ยุ หมักจากข้วี วั นมอตั รา 1.5 ตัน/ไร่ และตารับการทดลองท่ี 5 ใส่ปุ๋ยหมักจากข้ีวัวนมอัตรา 2.0
ตัน/ไร่ โดยตารับการทดลองท่ี 3 4 และ 5 แบ่งใส่ 2 คร้ังหลังปลูก 20 และ 60 วัน พบว่าการใส่ปุ๋ยหมักจากขี้วัวนม สว่ นผลผลิตของขา้ วไรซเ์ บอรที่ ไ่ี ดร้ ับปุย๋ ท้งั 5 ตารบั การทดลองพบวา่ จานวนเมล็ดดีต่อรวงและน้าหนักหนักเมล็ด
อัตรา 2.0 ตันต่อไร่มีผลตอ่ ความสูง จานวนต้นตอ่ กอ จานวนรวงตอ่ กอ จานวนเมล็ดดีต่อรวง น้าหนักเมล็ดดีต่อรวง และ ดีต่อรวงมีความแตกต่างทางสถิติอย่างมีนัยลาคัญ และ จานวนรวงต่อกอและน้าหนักเมล็ดดีทั้งหมดมีความแตกต่างทาง
น้าหนกั เมล็ดดที ้งั หมดสูงท่สี ุด และไม่แตกตา่ งทางสถติ ิกบั การใชป้ ุ๋ยตามคาแนะนา สถิติอย่างมีนัยลาคัญย่ิง โดยตารับการทดลองท่ีมีการใส่ปุ๋ยหมักจากมูลโคนมอัตรา 2.0 ตันต่อไร่ให้จานวนเมล็ดดีต่อรวง
น้าหนักหนักเมล็ดดี จานวนรวงต่อกอและน้าหนักเมล็ดดีทั้งหมดสูงที่สุด และไม่แตกต่างทางสถิติกับการใส่ปุ๋ยตาม
The effect of applications of dairy manure compost (DMC) on the growth and yield of Riceberry คาแนะนา (ดังแสดงไวใ้ นตารางที่ 1)
rice was investigated. By planning a complete randomized design of 5 treatments, 10 repetitions as
follows: First experiment: Control (without fertilizer), Second experiment: the recommended fertilizer ภาพท่ี 1ความสงู ของต้นข้าวไรซ์เบอรี่ท่ีไดร้ บั ปุ๋ยทงั 5 ตา้ รบั การ ภาพท่ี 2 จ้านวนต้นตอ่ กอของตน้ ข้าวไรซ์เบอรี่ทไี่ ด้รับป๋ยุ ทงั 5
application (DMC at the rate of 600 Kg/rai with 16-20-0 at the rate of 35 kg/rai and 46-0-0 at the rate ทดลอง ตา้ รบั การทดลอง
of 20 kg/rai), Third experiment: DMC at the rate of 1.0 tons/rai, Fourth experiment: DMC at the rate
of 1.5 tons/rai and Fifth experiment: DMC at the rate of 3.0 tons/rai. By Experiment 3, 4 and 5 were
put in 2 times at 20 and 60 days after planting, respectively. It was found that DMC at the rate of 2.0
tons/rai effected on the highest of the height, number of plant per hill, panicle per hill, number of
filled grain per panicle, weight of filled grain per panicle and weight of total filled grain and no
statistically different from the recommended fertilizer application.
บทนา้ ตารางท่ี 1 ผลผลติ ของขา้ วไรซเ์ บอรท่ี ไี่ ด้รบั ปุ๋ยทงั 5 ต้ารับการทดลอง
ขา้ วไรซ์เบอร่ีเป็นข้าวท่ีมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ อุดมไปด้วยโฟเลจในปริมาณสูง รวมไปถึงสารอาหารอ่ืนๆท่ีมี ระยะเวลาการให้นา้ จ้านวนรวงต่อกอ ผลผลิตของข้าวไรซเ์ บอรี่
ประโยชน์ต่อร่างกายมากมายหลายชนิด ได้แก่ เบต้าแคโรทีน แกมมาโอไรซานอล วิตามินอี วิตามินบี 1 ลูทีน แทนนิน (รวง) จานวนเมลด็ ดตี ่อรวง นา้ หนักเมลด็ ดตี อ่ รวง น้าหนักเมลด็ ดีทง้ั หมด
สังกะสี โอเมก้า 3 ธาตุเหล็ก โพลีฟีนอล และเส้นใย เป็นต้น ทาให้ข้าวไรซ์เบอร่ีถูกนาไปใช้ในการทาเป็นผลิตภัณฑ์
อาหารเพ่ือสุขภาพมากมายหลายชนิด จากการใช้ข้าวไรซ์เบอร่ีเป็นผลิตภัณฑ์เพ่ือสุขภาพ ทาให้ข้าวไรซ์เบอร่ีต้องผลิต (เมลด็ ) (กรัม) (กรมั )
จากแปลงปลูกที่ได้รับรองความปลอดภัยต่อผู้บริโภค โดยเฉพาะถ้าผลิตจากแปลงท่ีได้รับรองการผลิตในแบบเกษตร
อนิ ทรีย์ยิง่ เป็นทตี่ อ้ งการอย่างมาก ตา้ รับการควบคุม 5.10+2.58d 80.10+14.42c 6.20+1.08c 32.02+30.67d
ดังนั้นการศึกษาการใช้ปุ๋ยหมักจากมูลโคนมในอัตราท่ีเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของข้าวไร ซ์เบอร่ี ใส่ป๋ยุ ตามคา้ แนะน้า 14.80+2.58ab 132.10+14.42ab 9.95+1.04ab 140.72+30.67ab
จึงเป็นทางเลือกหนึง่ ใหก้ ับเกษตรกรผปู้ ลกู ข้าวไรซเ์ บอรี่ เพ่ือผลิตข้าวไรซ์เบอรี่ที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค รวมไปถึงการช่วย 7.40+2.58c 94.83+14.42c 6.95+1.04c 51.67+30.67c
ใหเ้ กษตรกรสามารถลดตน้ ทนุ จากการใชป้ ยุ๋ เคมีได้อกี ทางหนง่ึ ดว้ ย ใสป่ ุ๋ยหมักจากขีววั นม 12.90+2.58b 119.20+14.42b 8.87+1.04b 106.55+30.67b
อัตรา 1.0 ตนั /ไร่ 18.40+2.58a 152.37+14.42a 11.21+1.04a 180.08+30.67a
วธิ ีการ
ใสป่ ๋ยุ หมักจากขวี วั นม ** * * **
1. การศึกษาน้ีใช้ถังปลูกเป็นแบบจาลองของการปลูกข้าวไรซ์เบอรี่ โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (CRD) มี อตั รา 1.5 ตนั /ไร่
จานวน 5 ตารับการทดลอง 10 ซา้ ดังนี้ตารบั การทดลองท่ี 1 ตารบั การควบคุม (ไม่ใส่ปุ๋ย) ตารับการทดลองท่ี 2 ใส่
ปุ๋ยตามคาแนะนา (ปุ๋ยหมักปุ๋ยหมักจากขี้วัวนมอัตรา 600 กิโลกรัมต่อไร่ ร่วมกับ 16-20-0 อัตรา 35 กิโลกรัมต่อไร่ ใสป่ ุ๋ยหมักจากขีวัวนม
หลังปลูก 20 วัน และ 46-0-0 อัตรา 20 กิโลกรัมต่อไร่หลังปลูก 60 วัน) ตารับการทดลองท่ี 3 ใส่ปุ๋ยหมักจากขี้วัว อตั รา 2.0 ตนั /ไร่
นมอตั รา 1.0 ตัน/ไร่ ตารบั การทดลองท่ี 4 ใส่ปุ๋ยหมักจากข้ีวัวนมอัตรา 1.5 ตัน/ไร่ และตารับการทดลองท่ี 5 ใส่ปุ๋ย
หมกั จากข้ีวัวนมอตั รา 2.0 ตัน/ไร่ ดนิ ท่ีใชใ้ นการศึกษาเป็นดนิ ทมี่ เี น้ือดนิ เหนียวปนทราย (ชุดดินชัยบาดาล) F-test
2. นาถังปลกู ขนาด 10 ลิตร มาใสด่ ินให้เหลอื พนื้ ท่ีระหว่างขอบบนถังกับดินห่างกันประมาณ 20 เซนติเมตร เก็บข้อมูล สรปุ การทดลอง
ดินก่อนปลูก เติมน้าใส่ถังจนดินอ่ิมตัวด้วยน้า ทิ้งไว้ประมาณ 1 วัน นาเมล็ดข้าวไรซ์เบอร่ีมาหยอดลงในถังปลูกที่
เตรียมไว้ประมาณ 4-5 เมลด็ เมอื่ กลา้ ขา้ วงอกได้ประมาณ 7 วัน ทาการยา้ ยกล้าให้เหลือ 1 ต้นต่อถังปลูก จากผลการศึกษาพบว่าการใส่ปุ๋ยหมักจากมูลโคนมอัตรา 2.0 ตันต่อไร่ แบ่งใส่ 2 คร้ัง คือ 20 และ 60 วันหลัง
ปลูกข้าวไรซ์เบอร่ีมีผลทาให้ความสูง จานวนต้นต่อกอ จานวนรวงต่อกอ จานวนเมล็ดดีต่อรวง น้าหนักเมล็ดดีต่อรวง
3. ใสป่ ุ๋ยตามตารบั การทดลองที่กาหนดทัง้ 5 ตารบั การทดลอง โดยตารบั การทดลองที่ 3, 4 และ 5 แบ่งการใส่ออกเป็น และน้าหนกั เมลด็ ดที ัง้ หมด มคี ่ามากท่สี ดุ และไมแ่ ตกตา่ งทางสถิตกิ ับการใสป่ ุ๋ยตามคาแนะนา
2 คร้ัง ไดแ้ ก่ ใส่เมือ่ ขา้ วไรซเ์ บอรมี่ อี ายุ 20 และ 60 วันหลงั ปลูก
ดังนั้นอัตราของปุ๋ยหมักจากมูลโคนมท่ีเหมาะสมในการปลูกข้าวไรซ์เบอร่ีร่วมกับการให้น้าทุกๆ 7 วัน คือ อัตรา
4. การใหน้ า้ ใช้วธิ ีการให้นา้ ทกุ ๆ 7 วนั โดยให้มีระดบั นา้ สูงจากผิวดนิ ไม่เกนิ 15 เซนตเิ มตร 2.0 ตันตอ่ ไร่ และควรแบง่ ใส่ทร่ี ะยะ 20 วนั และ 60 วันหลังปลกู
5. ดาเนินการเกบ็ ขอ้ มูลการเจริญเติบโตและผลผลิตของขา้ วไรซเ์ บอร่ี แลว้ นามาวิเคราะห์ผลทางสถิติ
สถานีวิจัยลาตะคอง สถาบนั วิจยั วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีแหง่ ประเทศไทย (วว.) 333 หมู่ที่ 12 ตาบลหนองสาหรา่ ย อาเภอปากชอ่ ง จังหวดั นครราชสมี า 30130
Lamtakhong Research Station, Thailand Institute of Scientific and Technological Research (TISTR) 333 Mu 12, Nongsarai, Pakchong, NaKhon Ratchasima 30130
ผลของชนิดพนั ธม์ุ ะพรา้ วทะเลทรายต่อการงอกของเมลด็ และการพฒั นาในสภาพปลอดเชื้อ
Effect of Dorstenia Species on Seed Germination and Development in Sterile Conditions
ยพุ าภรณ์ วิริยะนานนท์ และกลุ จิรา พรรณปัญญา
บทคดั ย่อ สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั ราชภฏั พระนครศรีอยธุ ยา
ในสภาพธรรมชาติ เมลด็ มะพร้าวทะเลทรายบางสายพนั ธ์ุ มีอตั ราการงอกตา่ หรือตายเนื่องจากสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม ดงั นัน้ งานวิจยั นี้มีวตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือ ศึกษาการงอกและการ
พฒั นาของเมลด็ มะพรา้ วทะเลทราย จานวน 7 สายพนั ธ์ุ ในสภาพปลอดเชื้อบนอาหารสตู ร MS ดดั แปลง หลงั จากเพาะเลีย้ งเป็นเวลา 36 สปั ดาห์ (เปล่ียนอาหารใหม่ทกุ 4 สปั ดาห)์ ผลการศึกษา
พบว่า สายพนั ธ์ุ Dorstenia lavrain เมลด็ มีการพฒั นาสงู สดุ 70% สายพนั ธท์ุ ี่เมลด็ พฒั นาเป็นแคลลสั ได้แก่ D. foetida Schweinf (ใบกลม) และ D. lavrain สายพนั ธท์ุ ี่สามารถพฒั นาเป็นต้นที่
สมบูรณ์คือ D. foetida ซึ่งเมื่อตดั ลาต้นของสายพนั ธน์ุ ี้มาเพาะเลีย้ งบนอาหารสูตร MS ร่วมกบั BA เข้มข้น 3 mg/l ในที่พรางแสง พบว่า ชิ้นส่วนพืชเกิดยอดรวมได้ 66.67% ส่วนในท่ีให้แสง
ชิ้นส่วนพืชให้การเกิดยอดรวม 45% เมื่อพิจารณาลกั ษณะยอดรวมที่เกิดขึน้ พบว่า ยอดรวมท่ีเพาะเลีย้ งในที่มีแสง ใบและลาต้นมีสีเขียวเข้ม และลกั ษณะแขง็ แรงกว่าในที่พรางแสง
บทนา Table 1 Percentage of seed germination and development of explants after culture on modified MS medium for 36 weeks.
มะพร้าวทะเลทราย (Dorstenia) จดั อย่ใู นวงศ์ Moraceae มีจานวนพนั ธท์ุ ี่ค่อนข้างหลากหลาย เป็ นไม้ต้นขนาดเลก็ Variety Germination rate (%) Explant development
ถึงขนาดใหญ่ หลายชนิ ดลาต้นมีทงั้ ท่ีเป็ นโขดและไม่มีโขด ผิวขรขุ ระ สีเทา อวบน้า ใบมีหลายรปู ทรง เช่น ใบกลมเรียบ D. foetida Schweinf (long leaf shape) 0
ใบแคบเรียบหรือหยิกเป็ นคล่ืน ส่วนใหญ่มีสีเขียวหรือสีเขียวอมเทา ช่อดอกออกที่ซอกใบใกล้ปลายยอดรปู ร่างคล้ายโล่ D. foetida Schweinf (circular leaf shape) 60 The explant wasn't developed.
ขอบจกั สีเขียว บางชนิ ดมีก้านช่อดอกยาวชูสูงขึ้นเหนือลาต้น ส่วนใหญ่สมบูรณ์เพศ บางชนิ ดเป็ นดอกแยกเพศ เมลด็ The seeds were germinated into complete plantlets and some part of explants
เลก็ ฝังอยู่ในฐานรองช่อดอก เม่ือแก่เปลี่ยนเป็ นสีขาวและดีดตวั ไปไกล (ภวพล และคณะ,2560,) โดยการทวั่ ไปมะพร้าว D. foetida 20 were developed into white compact calluses.
ทะเลทราย นิ ยมขยายพนั ธ์ุโดยการเพาะเมลด็ แต่บางสายพนั ธ์ุ เมลด็ ค่อนข้างงอกยากในสภาพธรรมชาติ อีกทงั้ เม่ือ D. foetida (variegated) 0 The seeds were germinated into complete plantlets.
สภาพอากาศไม่เหมาะสม ส่งผลให้เกิดการตายของต้นพืชจานวนมาก ดงั นัน้ การนาเทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชเข้า D. lancifolia 0 The explant wasn't developed.
มาช่วยในการขยายพนั ธ์ุ อาจเป็ นแนวทางหนึ่งท่ีจะช่วยเพ่ิมอตั ราการงอกของเมลด็ พนั ธม์ุ ะพร้าวทะเลทรายได้ สาหรบั D. Lavrain 70 The explant wasn't developed.
พืชในตระกลู เดียวกนั นี้ ได้มีผ้ศู ึกษาการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจานวนพอสมควร เช่น ศึกษาสูตรอาหารท่ีเหมาะสมต่อการ D. horwoodii 60 The explants were developed into white compact calluses.
เพาะเลีย้ งแก้วมงั กร (ยงศกั ด์ิ และ อญั ชลี, 2558) แคคตสั หนามดาและลกู ผสม (วิมลวรรณ และคณะ, 2561) ศึกษาผลของ C.V. (%) 7.80 The seeds were germinated into compact multiple shoot.
สตู รอาหารและน้าตาลซโู ครสต่อการเพิ่มปริมาณกระบองเพชรสายพนั ธต์ุ อบลู (สภุ าวดี และ วริยา, 2562) ฮาโวเทีย (วศิน F -test 6.304*
และคณะ, 2561) เป็นต้น จากการศึกษาเบอื้ งต้นของผวู้ ิจยั พบว่า เมลด็ พนั ธม์ุ ะพร้าวทะเลทรายบางชนิดนัน้ ค่อนข้างงอก
ยากในสภาพธรรมชาติ หรืองอกแล้ว ลาต้นมกั ไม่แขง็ แรงและตาย ดงั นัน้ ผ้วู ิจยั จึงมีแนวคิดท่ีจะนาเมลด็ พนั ธ์มุ ะพร้าว Table 2 Effect of culture conditions on multiple shoots formation of D.foetida stem after cultured on modified MS medium
ทะเลทรายสายพนั ธท์ุ ่ีสนใจ มาทดลองเพาะในสภาพปลอดเชื้อ เพื่อเพ่ิมประสิทธิภาพการการงอกของต้นพืช และต้นพืชท่ี with 3 mg/l BA for 4 weeks.
ได้อาจเกิดลกั ษณะใหม่ ๆ สามารถเพ่ิมคณุ ค่าทางเศรษฐกิจ อีกทงั้ ยงั เป็นการอนุรกั ษ์สายพนั ธพ์ุ ืชไว้ในหลอดทดลองเพ่ือ
ใช้ประโยชน์ในอนาคตต่อไปได้ Culture conditions Shoots formation (%) Explant development
Camouflage 66.67 Small light green shoot buds were formed and some part
วิธีการวิจยั of white shoots were observed.
Light 45 Small green shoots were formed.
1. ศึกษาชนิดพนั ธข์ุ องมะพรา้ วทะเลทรายต่อการเปอรเ์ ซน็ ตก์ ารงอกและการพฒั นาของชิ้นส่วนพืช Figure 1 Development of Dorstenia seeds on modified MS medium for
8 weeks. (a) : D. foetida Schweinf (long leaf shape) ; (b) : D. Lavrain ;
ฟอกฆ่าเชื้อ (c) : D. foetida ; (d) : D. horwoodii and (e) : browning compact callus
- ล้างเมลด็ ด้วยน้ากลนั่ + Povidone-iodine เข้มข้น a b c d e of D. lavrain. Bar = 0.5 cm
10 % ปริมาตร 60 µl 15 นาที
- จ่มุ แช่ในแอลกอฮอลเ์ ข้มข้น 70 % 1 นาที ตามด้วย เพาะเลี้ยงบนอาหารสตู ร
Clorox เข้มข้น 20 % 20 นาที และทาการล้างด้วยน้า MS ดดั แปลง
กลนั่ น่ึงฆ่าเชื้อ 3 ครงั้
เมลด็ มะพรา้ วทะเลทราย 7 สายพนั ธ์ุ วางแผนการทดลองแบบ CRD เพาะเลี้ยงในท่ีมีแสง Figure 2 Complete plantlets Figure 3 Compact calluses
เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยโดยวิธี DMRT ท่ีอณุ หภมู ิ 25 – 27 ºC ย้ายเลี้ยงทุก derived from the seed of D. proliferation of D. lavrain
foetida culture on modified seeds on modified MS
ทา 3 ซา้ ๆ ละ 5 ชิ้นส่วน 4 สปั ดาห์ MS medium for 36 weeks. medium for 36 weeks. .
Bar = 0.5 cm
36 สปั ดาห์
บนั ทึก
1. เปอรเ์ ซน็ ตก์ ารงอก
2. การพฒั นาของชิ้นส่วนพืช Figure 4 Compact multiple shoot Figure 5 shoots induction from
2.ศึกษาผลของสภาวะการเพาะเลีย้ งต่อการเกิดยอดรวมของมะพรา้ วทะเลทรายสายพนั ธ์ุ Dorstenia foetida formation in D. horwoodii after D. foetida stem on modified MS
cultured modified MS medium for medium under light condition for
เพาะเลี้ยงบนอาหารสตู ร MS ในที่มีแสง บนั ทึก 36 weeks. Bar = 0.5 cm 4 weeks. Bar = 0.5 cm
+ BA 3 mg/l หรือ พรางแสง
1. เปอรเ์ ซน็ ตก์ ารสรา้ งยอด มีเปอรเ์ ซน็ ตก์ ารเกิดต้นมากกว่าขา้ วพนั ธเ์ุ หนียวแดง
ตดั ลาต้นขนาด 0.5 cm 8 สปั ดาห์ 2. การพฒั นาของชิ้นส่วนพืช โดยธรรมชาติของมะพร้าวทะเลทรายบางสายพนั ธ์ุนัน้ ค่อนข้างงอกยาก และเลี้ยงยาก หากสภาพอากาศไม่เหมาะสม
ลาต้น Dorstenia foetida ทงั้ นี้ เม่อื นาเมลด็ พนั ธม์ุ าเพาะเลี้ยงในสภาพปลอดเชื้อ เมลด็ ยงั คงใช้เวลาการงอกที่ค่อนขา้ งยาวนานเช่นกนั แต่ข้อดีของการ
เพาะเมลด็ ในสภาพปลอดเชื้อ คือ สามารถควบคุมสภาวะการเพาะเลี้ยงได้ ทาให้โอกาสในการรอดชีวิตของต้นพืชนัน้ มี
ผลและวิจารณ์ผลการวิจยั มากกว่าการเพาะเลี้ยงในสภาพธรรมชาติ และยงั สามารถใช้ลาต้นที่งอกในสภาพปลอดเชื้อนัน้ มาขยายพนั ธ์ุต่อ โดยการ
เพาะเลี้ยงลาต้น หรือปลายยอด บนสูตรอาหารชกั นายอดรวม กจ็ ะสามารถเพ่ิมจานวนต้นพนั ธ์ุที่ปลอดโรคได้ ซ่ึงในสภาพ
หลงั จากการเพาะเลี้ยงเมลด็ พนั ธ์ุมะพร้าวทะเลทรายสายพนั ธ์ุต่าง ๆ พบว่า บางพนั ธ์ุเมลด็ เร่ิมงอกหลงั จาก ธรรมชาติ การเพาะลาต้นหรอื ปลายยอดนัน้ ทาได้ค่อนขา้ งยาก
เพาะเลี้ยงนาน 8 สปั ดาห์ โดย สายพนั ธ์ุ Dorstenia foetida Schweinf (ใบกลม) มีอตั ราการงอก 10 % D. Lavrain
80 % และ D. horwoodii 30 % และเม่ือเพาะเลี้ยงนาน 36 สปั ดาห์ สายพนั ธ์ุ D. foetida Schweinf (ใบกลม) มี สรปุ ผลการวิจยั
อตั ราการงอก 60 % D. foetida 20 % D. Lavrain 70 % และ D. horwoodii 60 % (Table 1) ซึ่งแต่ละสายพนั ธ์ุ จากการศึกษานี้ สายพนั ธ์ุที่สามารถพฒั นาเป็ นยอดได้ดีคือสายพนั ธ์ุ D.foetida ซึ่งผ้วู ิจยั นามาเพาะเลี้ยงต่อเพ่ือ
ชิ้นส่วนพืชมีการพฒั นาที่แตกต่างกนั (Figure 1) โดยสายพนั ธ์ุ D. foetida สามารถพฒั นาเป็นต้นได้สมบรู ณ์ท่ีสุด ชกั นาให้เกิดยอดรวม และขยายพนั ธ์เุ พื่อเพิ่มจานวนต้นได้ จึงนาไปศึกษาต่อ บนสูตรอาหารเพ่ิมจานวนยอดรวม และ
(Figure 2) ถึงแม้ว่าจะมีเปอรเ์ ซน็ ตก์ ารงอกเพียง 20% ในขณะที่สายพนั ธอ์ุ ่ืน ๆ เช่น D.lavrain ท่ีชิ้นส่วนพืชพฒั นา ศึกษาการเพาะเลี้ยงในสภาวะที่แตกต่างกนั ในส่วนของสายพนั ธ์ุอื่น ๆ ที่มีการพฒั นาเป็ นแคลลสั คือ D.foetida
เป็นแคลลสั และสามารถเพ่ิมปริมาณได้บนอาหารสตู รเดิม แต่ยงั ไม่พบการพฒั นาเป็นตายอด (Figure3) ส่วนสาย Schweinf (ใบกลม) และ D. lavrain ยงั คงย้ายเลี้ยงเพื่อเพิ่มปริมาณไว้ในหลอดทดลอง ไว้เพ่ือศึกษาและเกบ็ รกั ษาเชื้อ
พนั ธ์ุ D.horwoodii สามารถพฒั นาให้จานวนยอดรวมได้ดีกว่าสายพนั ธ์ุ D.foetida แต่เมื่อตดั แยกยอดเหล่านัน้ มา พนั ธต์ุ ่อไป
เพาะเลี้ยงต่อบนอาหารสตู รเดิม กลบั พบว่า ไมส่ ามารถพฒั นาต่อได้ และชิ้นส่วนพืชตายในที่สดุ (Figure 4) ดงั นัน้
ในการศึกษาถดั ไป จึงได้นาลาต้นในสภาพปลอดเชื้อของสายพนั ธ์ุ D.foetida มาศึกษาการสร้างจานวนยอดรวม เอกสารอ้างอิง
โดยการเพาะเลี้ยงบนอาหารสูตร MS ดดั แปลงเติม BA เข้มข้น 3mg/l เพาะเลี้ยงในท่ีพรางแสงหรือ ในที่มีแสง จตพุ ร หงสท์ องคา, อภิญญา สีลาโส, รชั นีกร ทองเฟ่ื อง และ รชยา พรมวงศ.์ 2561. ผลของสารควบคมุ การเจริญเติบโตต่อการขยายพนั ธ์ุ ข้าวพนั ธเ์ุ ล้าแตกและ ข้าวพนั ธเ์ุ หนียว
หลงั จากเพาะเลี้ยงเป็ นเวลา 8 สปั ดาห์ พบว่า ชิ้นส่วนพืชท่ีเพาะเลี้ยงภายใต้การพรางแสงให้เปอรเ์ ซน็ ต์การสร้าง แดงในสภาพปลอดเชื้อ. วารสารวิชาการ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค,์ 10(12) : 25-34.
ภวพล ศภุ นันทนานนท,์ ชนินทร์ โถรตั น์ และพิชญะ วิชจิตพนั ธ.์ 2560. ชดุ ไมด้ อกไม้ประประดบั ลาดบั ที่ 53. กรงุ เทพฯ: บา้ นและสวน อมรินทรพ์ ริ้นติ้งแอนดพ์ บั ลิบซ่ิง.
ยอดรวมสงู กว่าในที่มีแสง (Table 2) แต่เมื่อสงั เกตลกั ษณะของยอดรวม พบว่า ยอดรวมท่ีได้จากการเพาะเลี้ยงใน ยงศกั ด์ิ ขจรผดงุ กิตติ, และ อญั ชลี จาละ. 2558. ศึกษาอิทธิพลของ BA, IAA, 2,4-D และ Kinetin ต่อการขยายพนั ธต์ุ ้นแก้วมงั กรจากไฮโปรคอทิลและใบจริงในสภาพปลอดเชื้อ.
ท่ีมีแสง มีลกั ษณะท่ีสมบรู ณ์ มีสีเขียวเขียว (Figure 5) และสามารถพฒั นาต่อ เม่ือย้ายเลีย้ งลงบนอาหารสตู รเดิมได้
Thai Journal of Science and Technology, 4(2) : 147-154.
วิมลวรรณ ชอบสะอาด, พชั รียา บญุ กอแก้ว และกนกวรรณ ถนอมจิตร. 2561. ศึกษาอิทธิพลของ NAA ต่อการเกิดรากของลาต้นตดั ชาแคคตสั หนามดาและลกู ผสม. วารสาร
ปัจจยั ท่ีเกี่ยวข้องกบั พนั ธกุ รรมของพืช ดงั เช่น ชนิ ดพนั ธ์ขุ องต้นพืชที่นามาเพาะเลี้ยง เป็นปัจจยั หน่ึงที่สาคญั วิทยาศาสตรเ์ กษตร, 49(พิเศษ) : 310 - 313.
ซึ่งส่งผลต่อความสาเรจ็ ของการเพาะเลี้ยงเนื้อเย่ือพืช จากรายงานการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อข้าวโดย จตพุ ร และคณะ วศิน ทองวิสิฐสมบตั ิ, พชั รียา บญุ กอแก้ว และเฌอมาลย์ วงศช์ าวจนั ท.์ 2561. ศึกษาผลของตาแหน่งใบ และสตู รอาหารต่อการขยายพนั ธฮ์ุ าโวเทียในสภาพปลอดเชื้อ.
วารสารวิทยาศาสตรเ์ กษตร, 49(2)(พิเศษ) : 373 - 376.
(2561) 2 สายพนั ธ์ุ ได้แก่ ข้าวพนั ธเ์ุ ล้าแตก และข้าวพนั ธเ์ุ หนียวแดง จากผลการศึกษา พบว่า ข้าวพนั ธเ์ุ ลา้ แตก สภุ าวดี รวมสตู ร และ วริยา นวลสชุ . 2562. ศึกษาผลของสตู รอาหารและน้าตาลซูโครสต่อการเพ่ิมปริมาณกระบองเพชรสายพนั ธต์ุ อบลู (Myrtillocactus geometrizans).
วารสารพชื ศาสตรส์ งขลานครินทร,์ 6 ( 1 ) : 30– 37.
การเปรียบเทยี บการเจริญเติบโตของกาแฟอราบิกาและ Plant Ecophysiology Lab
โรบสั ตาในจงั หวดั สงขลา
Comparison of Growth of Arabica and Robusta Coffee Grown in Songkhla Province
ชุติกาญจน์ แสนเสนาะ 1 วันดี อนิ ทรเ์ จริญ 1 เสาวภา ด้วงปาน 1 และ ระวี เจียรวิภา 1
1สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจดั การ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ จ.สงขลา 90110
บทคดั ยอ่ กาแฟเป็นพืชเคร่ืองดื่มท่ีสาคัญชนิดหน่ึง ส่วนใหญ่ปลูกในประเทศเขตร้อนท่ัวโลก โดยนิยมปลูกสองสายพันธุ์ ได้แก่ อราบิกาและโรบัสตา ในทางภาคใต้ของประเทศไทยมีการปลูก
กาแฟโรบัสตามาเป็นเวลานาน แต่ปัจจุบันเกษตรกรบางรายเร่ิมมีการนากาแฟอราบิกามาปลูกทางภาคใต้มากข้ึน จึงเปรียบเทียบการเจริญเติบโตของกาแฟอราบิกาและโรบัสตาในจังหวัดสงขลา โดย
บนั ทึกระยะฟีโนโลยี ข้อมลู การเจรญิ เติบโต และการตอบสนองทางดา้ นสรีรวิทยาของใบ พบว่า กาแฟอราบิกามีระยะพฒั นาการของออกดอกและระยะตดิ ผล การเจริญเติบโตทางลาต้น ได้แก่ ความสูงลา
ตน้ ขนาดทรงพุ่ม เส้นผ่านศูนย์กลางลาต้น ความยาวก่ิง และจานวนข้อที่ใกลเ้ คยี งกับกาแฟโรบัสตา เช่นเดียวกับการตอบสนองทางด้านสรรี วิทยาของใบ ซึ่งแสดงใหเ้ หน็ ว่ากาแฟ อราบิกาสามารถปรับตัว
ไดด้ ีใกล้เคยี งกบั โรบัสตาในพื้นที่ภาคใต้ การเจริญเติบโตของกาแฟอราบิกาและโรบัสตา
คาสาคัญ: การปรับตัวทางสรีรวทิ ยา, ฟีโนโลยี, สายพันธ์ุกาแฟ
เม่อื เปรยี บเทียบการเจริญเตบิ โตทางด้านลาต้นของกาแฟทงั้ สองสายพันธุ์ พบว่า มกี ารเจริญเติบโตของสูงต้น ขนาดทรงพุ่ม
บทนา เส้นผ่านศูนย์กลาง ความยาวกิ่ง และจานวนข้อ/ก่ิง ใกล้เคียงกัน ท้ังนี้เมื่อคิดเปอร์เซ็นต์อัตราการเจริญเติบโตท่ีเพ่ิมข้ึน พบว่า
กาแฟอราบิกามีเปอร์เซน็ ตข์ องการเจรญิ เติบโตท่มี ากกว่ากาแฟโรบสั ตา (Figure 1)
• ประเทศไทยมพี ื้นทป่ี ลูกกาแฟประมาณ 223,690 ไร่ ใหผ้ ลผลติ รวม Arabica No.of node/branch 32.61 20.57 11.21 Robusta
22,505 ตัน (สานักงานเศรษฐกจิ การเกษตร, 2564) Branch length (cm) 5.56 Arabica
• พ้นื ท่ีปลกู 80% เปน็ กาแฟโรบัสตาปลกู มากในภาคใต้ และอกี 20% Stem diameter (cm) 13.85 4.73
เปน็ กาแฟอราบิกา ซ่งึ มีพ้ืนที่ปลกู มากทางภาคเหนือ
Canopy width (cm) 12.13 5.94
• กาแฟเป็นพชื ทป่ี รับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี แต่ท้ังนี้ก็ข้นึ อยูก่ ับ
ปัจจัยสภาพแวดล้อม เชน่ ดิน แสง น้า ฯลฯ (กรมวิชาการเกษตร, 2557) Robusta
• ปัจจุบนั ราคาผลผลิตสินคา้ เกษตรตกตา่ โดยเฉพาะยางพาราและปาล์ม Tree height (cm) 8.36 4.04
น้ามนั ทาใหเ้ กษตรกรทางภาคใต้หันมาปลกู กาแฟมากขน้ึ
35 30 25 20 15 10 5 0 5 10 15 20 25 30 35
• เกษตรกรบางรายได้นากาแฟอราบิกามาปลูกในพน้ื ที่ทางภาคใต้ Growth rate (%)
• จึงศึกษาเปรยี บเทยี บการเจริญเติบโตของกาแฟอราบิกาและโรบสั ตาท่ี
Figure 1 Presented of growth rate of Arabica and Robusta coffees grown in during November 2018 to May 2019
ปลูกสภาพแวดลอ้ มทางภาคใต้ เพอื่ ประเมินระยะพัฒนาการของดอก
การตอบสนองทางสรีรวทิ ยาของใบ
และผล รวมถึงการปรับตัวดา้ นการเจรญิ เตบิ โต และการตอบสนอง
อัตราการสังเคราะห์แสงสุทธิของกาแฟทั้งสองสายพันธ์ุมีความแตกต่างอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ แต่อัตราการคายน้า
ทางสรีรวทิ ยาของต้นกาแฟ การเปดิ ปดิ ปากใบ และประสิทธิภาพของคลอโรฟิลลท์ ีส่ งั เคราะหแ์ สงไม่มแี ตกต่างกันทางสถติ ิ (Table 1)
ผลการทดลอง Table 1 Comparison of net photosynthetic rate (A), transpiration rate (E), stomatal conductance (gs)
and Fv/Fm between Arabica and Robusta leaves
ฟีโนโลยี ระยะพัฒนาการของดอกและระยะติดผลของทั้งสองสายพันธ์ุมีระยะพัฒนาการใน
ช่วงเวลาใกล้เคียงกัน โดยกาแฟอราบิกามีพัฒนาการของการสร้างดอกและติดผลท่ีนานกว่า Coffee varieties A (µmol/m2/s) E (µmol/m2/s) gs (mmol/m2/s) Fv/Fm
โรบัสตา Arabica 11.10±1.05a 2.63±0.84ns 0.14±0.03ns 0.74±0.00ns
Robusta 7.74±0.74b 2.71±0.53 0.13±0.03 0.76±0.01
Means followed by different letters are significantly different by LSD (P≤0.05), Different letters indicate significant differences between varieties by LSD0.05
Flowering วจิ ารณผ์ ล
Robusta Arabica 50 - 55 days หากต้นกาแฟอราบิกาไดร้ บั อุณหภูมสิ ูงในชว่ งระยะการสร้างตาดอก ส่งผลใหก้ ารพัฒนาของเกสรตัวผไู้ มส่ มบูรณ์ เรยี กลักษณะ
40 – 45 days ดงั กลา่ วว่า “ดอกดาว (Star flower)” สง่ ผลให้ดอกฝ่อ (ศนู ย์วจิ ยั และพฒั นากาแฟบนทส่ี งู , 2537)
ปัจจยั ของอุณหภมู ิ ไมส่ ่งผลต่อตอ่ มน้าหวานของดอกกาแฟโรบสั ตา (Prado และคณะ., 2021)
Fruits setting ความแปรผนั ของสภาพอากาศ สง่ ผลใหก้ าแฟทงั้ สองสายพันธม์ุ ีการเจริญเตบิ โตตา่ งกนั (ประวณี า และสิราน,ี 2557)
ต้นกาแฟอราบิกาทีป่ ลกู ภายใตร้ ่มเงาจากไม้ใหญ่/ไมผ้ ล สามารถเจริญเตบิ โตไดด้ กี วา่ ตน้ ท่ปี ลูกกลางแจ้ง (Meylan และคณะ, 2017)
การปลกู กาแฟในสภาพรม่ เงา ทาใหใ้ บกาแฟมีตอบสนองทางสรีรวทิ ยาได้ดแี ละสง่ เสริมให้ตน้ กาแฟมีการเจรญิ เติบโตทดี่ ดี ว้ ย
(ณัฐวิทย์ และคณะ, 2561)
สรุปผล กาแฟอราบิกามีระยะพัฒนาการของการออกดอกและติดผลช้ากว่ากาแฟโรบัสตาเพียงเล็กน้อย แต่
สามารถเจริญเติบโตทางด้านลาต้นได้ดี และมีการตอบสนองทางด้านสรีรวิทยาใกล้เคียงกัน แสดงให้เห็นว่า
กาแฟอราบิกาสามารถปรับตวั ไดด้ ใี นสภาพแวดลอ้ มทางภาคใต้
Robusta Arabica เอกสารอ้างองิ
230 – 245 days ศูนยว์ ิจัยและพฒั นากาแฟบนทส่ี งู . 2537. การปลกู แลกาแฟอาราบิก้าบนทส่ี งู . เชียงใหม่: พี อาร์ คอมพิวเตอร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่.
260 - 275 days Arcila. P.J., Buhr, L., Bleiholder, H., Hack, H., Meier, U. and Wicke, H. 2002. Application of the extended BBCH scale for
the description of the growth stages of coffee (Coffea spp.). Ann. Appl. Biol. 141:19-27.
Meylan. L., Gary. C., Allinne. C., Ortiz. J., Jackson. L. and Rapidel. B. 2017. Evaluating the effect of shade trees on
provision of ecosystem services in intensively managed coffee plantations. Agriculture, Ecosystems and
Environment. 245: 32-42.
Prado. S.G., Collazo. J.A., Marand. M.H. and Irwin. R.E. 2021. The influence of floral resources and microclimate on
pollinator visitation in an agro-ecosystem. Agriculture, Ecosystems and Environment. 307: 1-9.
ผลของอุณหภมู แิ ละอายกุ ารเก็บรักษาต่อการเปลีย่ นแปลงลักษณะทางสรีรวิทยาและคณุ ภาพของผลโกโก้
Effects of Temperature and Shelf Life on Physiological and Quality Changes of Cacao Pod
นฐั รษิ า ลมิ่ จ้าเริญ1 อดเิ รก รักคง1 สุภาณี ชนะวีรวรรณ1 และ ระวี เจยี รวิภา1
1 สาขาวิชานวัตกรรมการเกษตรและการจดั การ คณะทรพั ยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์ จ.สงขลา 90110
Plant Ecophysiology Lab
บทคดั ยอ่
การเสื่อมสภาพหลังการเก็บเกี่ยวส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อผลผลิตโกโก้ การเก็บรักษาท่ีอุณหภูมิต้่าช่วยลดความสูญเสียที่เกิดขึนภาย หลังการเก็บเก่ียวและยืดอายุการเก็บรักษาของผลิต
ผลได้ ดังนัน จงึ มกี ารศึกษาผลของการเกบ็ รักษาผลโกโกท้ ี่อุณหภูมติ า่้ (15 °C) และอณุ หภูมหิ ้อง (29 °C) เพื่อเปรยี บเทียบการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาและคณุ ภาพของโกโกใ้ นระหว่างการเก็บรักษา
พบว่า การสูญเสียน้าหนักและดัชนีการเกิดสีนา้ ตาลมีความแตกต่างกนั ในระหว่าง 8-14 วันหลังการเก็บรักษา ขณะท่ี ความสวา่ ง (L*) คา่ มุมสี (Hue°) และความแน่นเนือมีความแตกต่างในช่วงการ
เก็บรักษาท่ี 6-10 วัน 2-8 วัน และ 4-8 วัน ตามล้าดับ อย่างไรก็ตาม การเก็บรักษาท่ีอุณหภูมิต่างกันไม่มีอิทธิพลต่อปริมาณของแข็งทังหมดท่ีละลายน้าได้ ปริมาณกรดท่ีไทเทรตไ ด้ และค่า TSS/TA
ของเย่อื หุ้มเมล็ดโกโก้ ดังนนั การเก็บรกั ษาท่ีอุณหภมู ติ า้่ สามารถรกั ษาคุณภาพและชะลอการเปลยี่ นแปลงทางสรรี วทิ ยาในระหว่างการเกบ็ รักษาได้
ค้าส้าคัญ: โกโก,้ การเก็บรกั ษาฝัก, การปรบั สภาพเยือ่ ห้มุ เมลด็ , การเสื่อมสภาพหลงั การเกบ็ เกยี่ ว
AB
บทน้า
• โกโก้ (Theobroma cacao L.) เป็นพชื ทมี่ คี วามสาคญั ทางเศรษฐกจิ ท่ีนยิ มนามาเป็น C D
สว่ นประกอบของอาหารและเครอ่ื งดม่ื (80.9%) เคร่อื งสาอาง ยา อาหารสัตว์ (19.1%) F
E
• ปริมาณผลผลติ โกโก้เป็นปัจจยั จากดั ในการหมกั โกโก้ให้มคี ณุ ภาพตามทตี่ ้องการ
• การเกบ็ รกั ษาทอ่ี ณุ หภูมิต่าจึงอาจเป็นวิธหี นง่ึ ที่ชว่ ยยืดอายุการเกบ็ รักษาผลติ ผล และ
ชะลอการเปล่ียนแปลงทางสรรี วทิ ยา
• ปัจจัยอุณหภมู ิและสภาพอากาศในแต่ละพื้นทีส่ ่งผลต่อระยะเวลาการเกบ็ รกั ษาผลิตผล
ดงั นัน้ งานวจิ ยั นจ้ี ึงศกึ ษาการเปลี่ยนแปลงทางสรรี วิทยาและคุณภาพของผลโกโก้
ภายหลงั การเก็บรกั ษาทอี่ ณุ หภมู ิต่างกนั
ผลการทดลอง G H
ผลของอุณภูมกิ ารเก็บรกั ษาต่อลกั ษณะทางกายภาพของผลโกโก้ Figure 1 Physiological changes in cacao pod for weight loss (A), firmness (B), browning Index (C), L* value (D), hue value (E), total
1.1 การสูญเสียนา้ หนัก
soluble solid (F), percentage of titratable acidity (G) and TSS/TA ration of cacao pulp (H) during postharvest storage at cool and
ในระหว่างการเก็บรักษาการสูญเสียนา้ หนักสดของผลโกโก้เพ่ิมข้นึ อยา่ งตอ่ เนือ่ ง การเกบ็
รกั ษาผลโกโกท้ ่อี ุณหภูมติ ่า (15 C) สามารถยดื อายุการเกบ็ รกั ษาได้นาน 14 วนั ในขณะทีก่ าร room temperatures for different periods of time วจิ ารณ์ผล
เก็บรกั ษาอณุ หภูมหิ ้อง (29 C) เก็บรักษาไดเ้ ป็นเวลา 8 วนั โดยการเก็บรักษาที่อุณหภูมิต่าช่วย
ชะลออตั ราการสญู เสียน้าหนักของผลโกโก้ได้ดกี ว่าประมาณ 2 เท่า (Figure 1A) ผลของอุณภมู กิ ารเกบ็ รักษาต่อลกั ษณะทางกายภาพของผลโกโก้
1.2 ความแน่นเนือ
• การเก็บรักษาท่ีอุณหภูมิต่าจะช่วยชะลอการเกิดปฏิกิริยาของกระบวนการเมทาบอลิซึม และช่วยลดอัตรา
การเก็บรักษาไว้ทั้งสองอุณหภูมิมคี ่าลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้การเกบ็ รักษาที่อณุ หภูมิต่า มี การหายใจ นาไปสกู่ ารลดการสญู เสยี นา้ ของผลติ ผล (Rojas et al., 2020)
การลดลงของความแน่นเน้ือในอัตราท่ีช้ากว่าผลโกโก้ที่เก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิห้อง มีค่าลดลง
• ความแน่นเน้ือที่ลดลงเกิดจากผนังเซลล์ท่ีอยู่ในรูปของ Protopectin ซ่ึงอยู่ในรูปไม่ละลายน้าสลายตัว
จาก 49.04 นวิ ตัน เปน็ 35.51 นวิ ตนั ในระหว่างการเกบ็ รกั ษาวนั ท่ี 6 ถึง 8 (Figure 1B) กลายเปน็ แพกทนิ ท่ีละลายน้าสง่ ผลใหเ้ ปลอื กผลมีลกั ษณะอ่อนน่มุ ลง (ดนัย, 2556)
1.3 ประเมินการเปล่ียนแปลงของคา่ สเี ปลือก • การเปล่ียนแปลงของค่าสีเปลือก แสดงให้เห็นว่าลักษณะผลโกโก้มีสีผิวเป็นสีเหลืองมากข้ึนเม่ือผลมีระยะ
ระดับการเกิดสีน้าตาลบนผิวเปลอื ก การพัฒนาสีผิวเพ่ิมข้ึน โดยคา่ ความสว่างของเปลอื กเพมิ่ ขนึ้ ตามสถานะความสกุ ของผล (Rojes et al., 2020)
การเปล่ียนแปลงสีของผลโกโก้ พบว่า เมอื่ เก็บรักษาท่ีอุณหภูมิต่าเป็นเวลา 8 วัน เร่ิมเกิดสี • จุดสนี า้ ตาลบนเปลือกผลโกโกเ้ ปน็ การเปล่ียนแปลงทางดา้ นชีวเคมที ่เี กิดจากการสร้างหรือสลายตวั ของสารสี
(Pigment) และปฎิกิริยาออกซิเดชั่นของสารประกอบฟีนอลิกหรือแสดงถึงการเสื่อมสภาพทางสรีรวิทยา (โชค
น้าตาลเล็กนอ้ ย ขณะท่กี ารเกบ็ รกั ษาที่อณุ หภูมหิ ้องเร่มิ เกดิ สีน้าตาลมากกว่า 50% (Figure 1C) ชัย, 2550)
คา่ ความสว่างของสเี ปลอื ก (L*)
ค่า L* ของสีผิวผลโกโก้มีความแตกต่างกันทางสถิติเม่ือเก็บรักษาท่ีอุณหภูมิต่า (60.06 ผลของอุณหภมู กิ ารเก็บรกั ษาต่อคุณภาพของผลโกโก้
58.33 และ 60.24) เมื่อเปรียบเทยี บกบั อณุ หภูมิห้อง (64.43 67.01 และ 66.53) เป็นเวลา 6 8 • สาหรับค่า TSS TA และสัดส่วน TSS/TA ของเย่ือหุ้มเมล็ดโกโก้ การเกบ็ รักษาท่ีอุณหภมู ิต่างกันให้ผลไม่
และ 10 วัน ตามลาดบั (Figure 1D) แตกตา่ งกนั ทางสถติ ิ ทงั้ นี้อาจเป็นไปได้ว่าการเก็บรักษาโกโก้ในฝกั ชว่ ยชะลอการเปลี่ยนแปลงกระบวนการเมทา
บอลิซึม ส่งผลให้การเปลี่ยนแปลงทางเคมีเกิดข้ึนช้าลง อีกท้ังเมล็ดถูกห่อหุ้มด้วยฝักจึงมีส่วนช่วยป้องกันการ
คา่ มมุ สีของผลโกโก้ (Hue ) สูญเสียน้าของเย่ือหุ้มเมล็ด ซึ่งโดยปกตพิ ืชที่สูญเสียน้ามากส่งผลให้มีความเข้มข้นของปริมาณของแข็งท่ีละลาย
ค่า Hue ของสีผวิ ผลโกโก้มีค่าต่าอย่างมีนัยสาคัญเม่ือเก็บรักษาอณุ หภูมติ ่า (77.59 79.97 นา้ ได้สงู ขึน้ ได้ภายในเซลลพ์ ืช (สายชล, 2551)
และ 86.42) เปน็ เวลา 4 6 และ 8 วนั ตามลาดบั (Figure 1E)
2. ผลของอณุ หภมู ิการเกบ็ รกั ษาตอ่ คุณภาพของผลโกโก้ สรปุ ผล
ค่าปริมาณของแข็งที่ละลายนา้ ได้ (TSS) ปริมาณกรดทีไ่ ทเทรตได้ (TA) และสัดสว่ น
TSS/TA ของเย่อื หุม้ เมลด็ โกโก้ การเก็บรักษาที่อณุ หภูมติ า่ งกันใหผ้ ลไมแ่ ตกต่างกนั ทางสถติ ิ การเกบ็ รักษาผลโกโกท้ ีอ่ ุณหภมู ติ า่ ส่งผลดตี ่อลกั ษณะทางกายภาพของผลโกโก้มากกวา่ การเก็บรักษา
(Figure 1F-H) ปริมาณ TA มแี นวโน้มลดลง TSS/TA มแี นวโน้มเพม่ิ ขึน้ ในขณะท่คี ่า TSS คงท่ี
ตลอดระยะเวลาการเก็บรกั ษา ท่ีอุณหภมู หิ ้อง การเก็บรักษาผลโกโกท้ ่ีอณุ หภูมิต่าสามารถยืดอายกุ ารเก็บรักษาเป็นเวลา 14 วัน ชะลอการ
เกิดสีน้าตาลของเปลือกผล อายุการเก็บรักษานานกว่า และมีการสูญเสียน้าหนักน้อยกว่าการเก็บรักษาผล
โกโกท้ อ่ี ณุ หภมู ิหอ้ ง เอกสารอ้างองิ
โชคชยั ธีรกลุ เกยี รต.ิ 2550. สารสกดั จากรา้ ขา้ ว เพ่ือใชใ้ นการยบั ยังการเกดิ สนี ้าตาล เนื่องจากเอนไซมใ์ นผกั และผลไม้. กรงุ เทพฯ: ภาควชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร. คณะ
เกษตร มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์.
ดนัย บณุ ยเกียรต.ิ 2556. สรีรวทิ ยาหลงั การเกบ็ เกย่ี วผลิตผลพืชสวน. กรงุ เทพฯ: สา้ นกั พมิ พโ์ อเดยี นสโตร์.
สายชล เกตษุ า. 2551. โครงการสง่ เสริมกลุม่ วจิ ยั และพฒั นาสรีรวิทยาหลงั การเกบ็ เกีย่ วของผลิตผลพชื สวน. กรุงเทพฯ: คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
Rojas, K. E., Garcia, M. C., Ceron, I. X., Ortiz, R. E. and Tarazona, M. P. 2020. Identification of potential maturity indicators for harvesting cacao. Heliyon 6: 1-8.
ระยะปลูกทเ่ี หมาะสมสาหรบั การผลติ งาอินทรีย์ในชดุ ดินสันทราย
Suitable Spacing for the Production of Organic Sesame in Sansai Soil Series
เนตรนภา อินสลดุ พีรพนั ธ์ ทองเปลว และ ปริญญา มรดกพนา
Nednapa Insalud, Pheeraphan Thongplew and Pareeya Moradokphana
สาขาวชิ าพืชไร่ คณะผลติ กรรมการเกษตร มหาวทิ ยาลยั แม่โจ้ อาเภอสนั ทราย จังหวัดเชียงใหม่ 50290
งา (Sesame indicum L.) เปน็ พืชที่สามารถปลกู ได้ทุกภาคของประเทศไทยทง้ั ในสภาพไร่และสภาพนา มีศักยภาพในการผลิตสูงและเป็นที่ต้องการของ
ตลาด ปลูกง่าย ต้องการปัจจัยในการผลิตน้อย ทนต่อสภาพความแห้งแล้งและสามารถให้ผลผลิตได้ดี ทาให้ทาการเพาะปลูกพืชระบบอินทรีย์จึงเหมาะสม
สาหรับการปลูกงา อย่างไรก็ตามการนางามาปลูกในชุดดินสันทราย ที่เป็นพื้นที่ที่มีการปลูกข้าวโดยส่วนมาก ประกอบกับเป็นชุดดินที่มีควา มอุดมสมบูรณ์ต่า
ใต้ชั้นไถพรวนมักแน่นทึบรากพืชชอนไชได้ยาก และระบายน้าเลว โดยการเจริญเติบโตและการให้ผลผลิตของงานั้นมีความแตกต่างกันตามแต่ละสายพันธุ์ โดย
สายพันธุ์งาที่ใช้ปลูกในประเทศไทยส่วนใหญ่มี 3 สายพันธุ์ที่จาแนกตามสีของเปลือกหุ้มเมล็ด ได้แก่ งาแดง งาขาว และงาดา ซึ่งแต่ละสายพันธุ์นั้นอาจมีความ
เหมาะสมในการให้ผลิตในแต่ละพื้นที่แตกต่างกันไป นอกจากนี้ การจัดการระยะปลูกจึงเป็นแนวทางในการการจัดการเพื่อให้งาได้รับปัจจัยสภาพแวดล้อมท่ี
เหมาะสมในการเจริญเติบโตและการให้ผลผลิตตามข้อจากัดดังกล่าว ดังนั้นในการศึกษานี้จึงทาการศึกษาการเจริญเติบโตของงา 3 สายพันธุ์ ซึ่งมีระยะการ
ปลกู ที่แตกต่างกัน 2 ระยะ เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการเพาะปลกู งาระยะปลูกทเ่ี หมาะสมสาหรับการผลิตงาอนิ ทรียใ์ นชดุ ดินสนั ทราย
อุปกรณ์และวิธกี าร
วางแผนการทดลอง แบบ 3x2 Factorial in RCBD ศึกษา 2 UB 1 UB 2 UB 3
ปัจจัย ปัจจัยที่ 1 ได้แก่งาแดงพันธุ์อุบลราชธานี 1 งาขาวพันธ์ุ
อุบลราชธานี 2 และ งาดาพันธุ์อุบลราชธานี 3 ปัจจัยที่ 2 คือ ระยะ
ปลกู 20x20 เซนตเิ มตร และ 40x40 เซนติเมตร ทาการทดลอง 3 ซา้
(Block) ปลูกศึกษาในแปลงขนาด 1.5 x 5.0 เมตร รวมทั้งสิ้น 18
แปลง ในพ้นื ทีด่ ินชุดสันทราย บรเิ วณฟาร์มพชื ไร่ คณะผลิตกรรมการ
เกษตร มหาวิทยาลัยแมโ่ จ้ ทีม่ เี น้ือดินร่วนปนทราย ความอุดมสมบูรณ์
ค่อนข้างต่า (Table 1) จากนั้นปลูกงาตามระยะปลูกที่กาหนด ใส่ปุ๋ย
อินทรีย์อดั เมด็ รองพื้น อัตรา 300 กโิ ลกรมั ตอ่ ไร่
การเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล โดยสุ่มตัวอย่างต้นในพื้นที่ 1 ตารางเมตร และประเมินเจริญเติบโตด้านความสูงและจานวนใบทุก ๆ 7 วัน ตั้งแต่อายุ 21-42 วันหลังปลูก และที่อายุ 35 วันหลังปลูก ประเมินน้าหนักแห้ง
ของใบ ลาตน้ และราก และประเมินองคป์ ระกอบผลผลติ ทอ่ี ายุ 90 วนั หลงั ปลกู ได้แก่ จานวนฝักตอ่ ตน้ น้าหนกั ฝกั น้าหนกั เมล็ดต่อตน้ น้าหนักเมล็ดและน้าหนักแห้งต้นต่อพื้นที่ วิเคราะห์ความแปรปรวน (ANOVA)
เปรยี บเทยี บค่าเฉล่ียดว้ ยวธิ ี LSD ที่ระดับ P < 0.05 ดว้ ยโปรแกรม R
ผลการทดลอง Table 1 Physical and chemical properties of experimental soil before planted.
งาแดงพันธุ์อุบลราชธานี 1 ที่ปลูกด้วยระยะปลูก 20x40 เซนติเมตร ปรากฏผลผลิตต่อพื้นที่สูงที่สุด เนื่องจากมี Soil properties Fertility Levels
ผลผลิตต่อต้นสูงกว่างาสายพันธุ์อื่น ๆ ที่ปลูกในระยะปลูกเดียวกัน 3-4 กรัมต่อต้น และเมื่อพิจารณาจาก
องค์ประกอบผลผลิตอื่น เช่น จานวนฝักต่อต้นของระยะปลูก 20x40 เซนติเมตร มีจานวนมากกว่าระยะปลูก Texture Sandy loam Neutral
20x20 เซนติเมตร ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตามน้าหนัก 1,000 ของงาขาวพันธุ์อุบลราชธานี 2 เมล็ดมีสูงกว่า Low
งาดาพันธุ์อุบลราชธานี 3 และงาแดงพันธุ์อุบลราชธานี 1 ตามลาดับ แม้ว่างาทั้ง 3 พันธุ์ที่ปลูกด้วย 2 ระยะปลูก pH 7.2 ± 0.2
ปรากฎองคป์ ระกอบของผลผลิตท่มี ีความแตกตา่ งกันแต่ไมพ่ บความแตกตา่ งของลักษณะจานวนใบตอ่ ตน้ ทีอ่ ายุ 21- Very low
42 วันและการสร้างน้าหนักแห้งต้น ใบ และรากที่อายุ 35 วันหลังปลูก แต่พบว่างาแดงพันธุ์อุบลราชธานี 1 ที่ปลูก Soil organic matter (%) 1.0 ± 0.2 Very high
ด้วยระยะปลูก 20x20 เซนติเมตร ปรากฏความสูงต้นสูงทส่ี ดุ ที่อายุ 21-35 วนั หลงั การปลกู
Total nitrogen (%) 0.05 ± 0.01 Low
Available-phosphorus (ppm) 192.71 ± 28.35
Extractable forms–potassium (ppm) 54.38 ± 13.06
Values are mean of three replicates ± standard errors
วิจารณ์ผล
ทาให้เห็นได้ว่าการปลูกงาที่ระยะปลูก 20x40 เซนติเมตร มีผลผลิตมากกว่างาที่ปลูกในระยะปลูก 20x20 Figure 1 Growth responses of three sesame cultivars on difference plant spacing
เซนติเมตร เนื่องจากงาที่ปลูกระยะ 20x40 เซนติเมตร มีความสูง จานวนใบต่อต้น จานวนฝักต่อต้น และ at 35 days after sowing.
นา้ หนกั ตอ่ ตน้ มากกว่างาท่ปี ลูกในระยะ 20x20 เซนติเมตร ซ่งึ ลกั ษณะเหลา่ นล้ี ้วนส่งผลต่อผลผลิต แต่การ
ปลูกงาในระยะที่ 20x40 เซนติเมตร ส่งผลให้จานวนต้นต่อตารางเมตรน้อยกว่าการปลูกงาในระยะ 20x20
เซนติเมตร จึงส่งผลให้งาบางสายพันธุ์มีผลผลิตต่อพื้นที่ไม่แตกต่างกันในทั้ง 2 ระยะปลูก เนื่องถูกทดแทน
ด้วยจานวนต้นต่อพื้นที่ ซึ่งมีความขัดแย้งการศึกษาของ Caliskan et al. (2004) ที่รายงานว่าจานวนต้น
ต่อพื้นที่ที่เหมาะสมในการให้ผลผลิตของงาอยู่ที่ประมาณ 50 ต้นต่อตารางเมตร แต่ในพื้นที่ที่ทาการศึกษา
เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ดินค่อนข้างต่า (Table 1) จึงทาให้ระยะปลูกที่ทาการศึกษาไม่ทาให้ต้นงามี
การแข่งขันกันในการดูดใช้ธาตุอาหาร นอกจากนี้เมื่อพิจารณาถึงอิทธิพลของสายพันธุ์ที่ส่งผลให้ งามี
ผลผลิตต่างกัน สอดคล้องกับ อานนท์ (2541) ซึ่งรายงานปริมาณการให้ผลผลิตของงาดา งาขาว และ
เปรียบเทียบกับงาสายพันธุ์จากต่างประเทศอีก 2 สายพันธุ์ โดยทาการปลูกศึกษาในชุดดินสันทราย ฟาร์ม
พืชไร่ คณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ โดยพบว่าผลผลิตของงาดาและงา
ขาวไม่แตกต่างกัน
สรุป
เอกสารอ้างอิง ระยะปลูกงาที่ 20x40 เซนติเมตร เป็นระยะที่เหมาะสมแนะนาในการปลูกแบบระบบอินทรีย์ บนชุดดิน
สันทรายที่มีความอุดมสมบูรณ์ของดินค่อนข้างต่า และเป็นการจัดการระยะปลูกที่ทาให้เกษตรกร
สามารถลดปริมาณการใช้เมล็ดพันธุ์งาต่อพื้นที่ได้เป็นอย่างดี สาหรับงาแดงพันธุ์อุบลราชธานี 1 เป็น
สายพันธุแ์ นะนาเนือ่ งจากเป็นสายพนั ธ์ุที่มศี กั ยภาพในการให้ผลผลิตสูงในพ้นื ทศ่ี ึกษา
อานนท์ เที่ยงตรง. 2541. สรรี วทิ ยาของพืชน้ามนั – งา, สันตภิ าพพร้นิ ท์, เชียงใหม่, 203 หนา้
Caliskan, S., Arslan, M., Arioglu, H. and Isler, N. 2004. Effect of Planting Method and Plant Population on Growth and Yield of Sesame (Sesamum indicum L.) in a Mediterranean Type of Environment. Asian Journal of Plant Sciences, 3(5): 610-613.
Mohammed B. and Hamidu G. A. 2018. Growth and yield performance of sesame (Sesamum indicum L.) varieties at varying levels of inter-row spacing in Northern Part of Sokoto, Nigeria. Asian Journal of Research in Crop Science, 1(2): 1-14.
ประสทิ ธภิ าพสารเคมอี นภุ าคนาโน CuO และ ZnO ในการยับยง้ั การเจริญเสน้ ใย
เชื้อรา Pyricularia oryzae สาเหตโุ รคไหม้ของข้าว
ณฐั ฏพุฒ โพธวิ์ รสนุ ทร และ ปัฐวภิ า สงกมุ าร
ภาควชิ าโรคพืช คณะเกษตร มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานครฯ 10900
บทคัดย่อ
การประเมินประสิทธภิ าพสารเคมี CuO และ ZnO รูปแบบอนภุ าคนาโนและเกรดพาณิชยไ์ มร่ ะบุขนาดอนุภาค (bulk) ในการยับยัง้ การเจรญิ เส้นใยเช้อื รากอ่
โรคไหม้จานวน 2 ไอโซเลท (M.001 และ M.002) โดยวิธี poisoned food ท่รี ะดับความเขม้ ข้น 500 1,000 และ 1,500 ppm พบว่า สารเคมี CuO และ ZnO ขนาด
อนุภาคนอ้ ยกวา่ 50 นาโนเมตร สามารถยบั ย้ังการเจรญิ ของเส้นใยเช้ือราทั้ง 2 ไอโซเลทไดส้ งู กว่ารูปแบบสารเคมีเกรดพาณิชย์ไม่ระบขุ นาดเมอื่ ทดสอบทรี่ ะดับความ
เข้มขน้ เดียวกัน และอนุภาคนาโน CuO สามารถยับยง้ั การเจริญของเส้นใยเชื้อราทัง้ 2 ไอโซเลทไดด้ กี ว่าอนุภาคนาโน ZnO โดยทีร่ ะดับความเขม้ ข้นต่าสุดนน้ั อนุภาคนา
โน CuO แสดงคา่ เปอรเ์ ซน็ ต์การยบั ยั้งการเจรญิ เสน้ ใยเชือ้ ราของทง้ั 2 ไอโซเลทเทา่ กับ 84.89 และ 97.38 เปอรเ์ ซ็นต์ ตามลาดับ และไม่มคี วามแตกต่างอย่างมีนัยสาคัญ
ทางสถิติเม่อื เปรียบเทียบกับชุดทดสอบท่ีมีการเติมสารปอ้ งกนั กาจดั เชอื้ รา งานวจิ ัยนี้แสดงถงึ ศกั ยภาพของสารเคมีอนภุ าคนาโน CuO และ ZnO ในการควบคุมโรคไหม้
ของขา้ ว
บทนำ วตั ถุประสงค์
เพอื่ ประเมนิ ประสิทธภิ าพของสารเคมี CuO และ ZnO ในรปู แบบสารเคมี
• โรคไหม้ของข้าวมีสาเหตุจากเชื้อรา Pyricularia oryzae ส่งผลกระทบต่อ เกรดพาณชิ ย์ไมร่ ะบุขนาดอนภุ าค (bulk) และรูปแบบอนุภาคนาโนในการยบั ย้งั
ปริมาณผลผลิตขา้ วโดยอาจสงู ถึง 18% จากผลผลติ การเกบ็ เกย่ี วขา้ วท้งั หมด การเจริญของเสน้ ใยเชอื้ รากอ่ โรคไหม้ของขา้ ว
• เกษตรกรมักพ่ึงพิงสารเคมีเป็นหลักในการจัดการโรคพืช นาไปสู่ปัญหา
ทางดา้ นสขุ ภาพ สงิ่ แวดลอ้ ม การตา้ นทานสารเคมขี องเชื้อรา วธิ ีกำรทดลอง
• สารเคมีในรูปแบบอนุภาคนาโนถูกนามาประยุกต์ใช้เพื่อการควบคุมเช้ือ - ทดสอบประสิทธิภาพในการยบั ยง้ั การเจรญิ เสน้ ใยเช้อื ราจานวน 2 ไอโซเลท
สาเหตุโรคพืช เช่น เงิน ทองแดง และสังกะสี ซึ่งคณุ สมบตั ิท่ีมีขนาดเล็กทาให้ M.001 และ M.002 โดยวธิ ี poisoned food (ชิน้ วุ้นของเชื้อราวางบน
อาหาร ½ PDA ที่มีการเตมิ สารเคมีและท่ีไมม่ ีการเตมิ สารเคมี)
สามารถเพมิ่ พ้นื ท่ีผวิ สมั ผสั ของสารเคมกี บั จลุ นิ ทรีย์ - วางแผนการทดลองแบบ CRD จานวน 2 ซา้ โดยมปี ัจจยั ในการทดลอง คือ
1. ชนดิ ของสารเคมี (CuO และ ZnO) 2. รปู แบบของสารเคมี (bulk และ
• การใช้อนุภาคนาโนของสารเคมีในการจัดการโรคพืชอาจนาไปสู่แนวทางการ
ลดปรมิ าณการใช้สารเคมีในพน้ื ทเี่ พาะปลกู
ผลกำรทดลองและวจิ ำรณ์ผล nano) และ 3. ความเข้มข้นของสารเคมี (500, 1,000, 1,500 ppm)
- คานวณเปอร์เซน็ ตย์ บั ยงั้ การเจรญิ เติบโตของเชื้อราโดยใช้สูตร
เปอร์เซ็นตย์ ับยั้งการเจรญิ เติบโต = (A-B)/A x 100
A = คา่ เฉลยี่ เส้นผา่ ศนู ย์กลางโคโลนบี นอาหารผสมน้ากลน่ั น่งึ ฆา่ เชอ้ื
B = คา่ เฉลี่ยเสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางโคโลนบี นอาหารผสมสารเคมี
- วิเคราะห์ข้อมูลความแปรปรวนและเปรียบเทียบค่าเฉล่ยี ดว้ ย Duncan’s
new multiple range test
• CuO และ ZnO ทงั้ สองรปู แบบสามารถยบั ย้งั การเจริญเส้นใยเชือ้ ราในทุก
ระดบั ความเข้มขน้ ของสารเคมีทท่ี าการทดสอบ
• อนภุ าคนาโน CuO และ ZnO สามารถยับยง้ั การเจริญของเสน้ ใยเชอื้ ราทงั้
2 ไอโซเลทได้ดกี วา่ สารเคมีในรปู แบบ bulk
• สารเคมีอนภุ าคนาโน CuO มีประสทิ ธภิ าพในการยับยั้งการเจรญิ ของเสน้ ใย
เชอ้ื รา P. oryzae ได้ดกี ว่าสารเคมีอนุภาคนาโน ZnO
• การเพิม่ พื้นที่ผวิ สมั ผสั ระหว่างสารเคมีอนภุ าคนาโนกบั จุลินทรีย์อาจเพม่ิ
ประสทิ ธภิ าพในการยบั ยัง้ การเจริญของเช้ือรา
• การใช้สารเคมีในรปู แบบอนภุ าคนาโนทดแทนสารเคมีในรูปแบบที่ใชท้ ่วั ไป
อาจลดปริมาณการใชส้ ารเคมใี นพ้ืนทเี่ พาะปลูก ลดปริมาณสารตกค้างใน
แหล่งปลกู ได้
• ZnO จดั ให้อยใู่ นรายชื่อสารเคมที ี่ไดร้ บั การยอมรบั โดยทัว่ ไปว่าปลอดภัย
(GRAS) ต่อมนษุ ย์และสัตว์ จึงมศี กั ยภาพในการนาไปใชเ้ ปน็ สารเคมี
ทางเลอื กเพ่อื การป้องกนั กาจัดศัตรูพืชต่อไป
Figure 1 Inhibitory effect of CuO and ZnO bulks and nanoparticles (<50 nm) on Pyricularia oryzae mycelial References
growth. Mean ± standard derivative values of percentage fungal growth of the isolate M.001 (A) and Elmer et al. 2018. Nanoparticles for plant disease management. Current Opinion in Environmental Science &
the isolate M.002 (B) and (C) Pyricularia oryzae isolate M.001 at 7 days after inoculation on unamended Health 6: 66-70.
(no chemical) and amended half potato dextrose agar (CuO and ZnO bulks and nanoparticles at the
concentration of 500, 1,000 and 1,500 ppm and Richguard at the concentration of 100 ppm). Yusof et al. 2019. Microbial synthesis of zinc oxide nanoparticles and their potential application as an
antimicrobial agent and a feed supplement in animal industry: a review. Journal of Animal Science and
Biotechnology 10(1): 57. doi:10.1186/s40104-019-0368-z
ขอขอบคุณหลักสูตรวิทยาศาสตรบณั ฑติ สาขาวชิ าการจดั การศัตรูพืชและสตั ว์ คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทสี่ นับสนุนงบประมาณสว่ นหนึ่งเพอื่ การวิจยั
ผลการกระตุนการงอกเมลด็ แคสตัส (Gymnocalycium sp.) ดวยแสงสชี นิดตางๆ และฮอรโ มน Gibberellin
Effect of Seed Priming Gymnocalycium sp. with Various Types of Light Colors and Hormones Gibberellin
พงศกร นิตยม ี *, ณรงคศ กั ด์ิ กลุ กรนิ ีธรรม2, จักรกฤษณ ศรแี สง1, เตชติ า ปนสนั เทยี ะ1, ภทั รา ประทับกอง1, เรวตั ร จนิ ดาเจยี่ 1, พงษศกั ด์ิ แกวศร1ี และ สุรสิทธิ์ วงษส ัจจานนั ท1
Nitmee, P.1*, Kulkarineetham, N.2, Sreesaeng, J.1, Pinsuntiae, T.1, Pratabkong, P.1, Jindajia, R.1, Kaewsri, P.1 and Wongsasjanan, S.1
1ทอ่ี ยภู าษาไทย สถาบนั วิจยั วทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยแี หง ประเทศไทย 35 ม. 3 ต. คลองหา อ. คลองหลวง จ. ปทุมธานี 12120
1Address in English Thailand Institute of Scientific and Technological Research
2ที่อยภู าษาไทย คณะวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั ราชภัฏนครปฐม 85 ถนนมาลัยแมน ตาํ บลนครปฐม อาํ เภอเมืองนครปฐม จงั หวัดนครปฐม 73000
2Address in English Faculty of Science and Technology, Nakhon Pathom Rajabhat University
* Corresponding author [email protected] ภาพท่ี 1 Gymnocalycium mihanovichii LB2178 'Agua Dulce'
คาํ นาํ
ภาพที่ 2 Opuntia cochenillifera แคคตสั (cactus) เปนไมอวบน้ําเขตรอน โดยสวนใหญมีถ่ินกําเนิดในทวีปอเมริกาใต และแพรกระจายทั่วโลก มีสายพันธุท่ี เมล็ดพันธุแคดตัสบางชนิดมีอัตราการงอกตํ่า งอกชาหรืองอกไมสม่ําเสมอ เน่ืองจากลักษณะทางพันธุกรรม
หลากหลาย โดยท่ัวไปจะมีถิ่นกําเนิดในพ้ืนท่ีทะเลทราย โดยมีลักษณะทางพฤษศาสตรท่ีโดดเดน เชน ลําตนสีเขียวหรือเขียวเขม ของเมล็ด และสภาพแวดลอมขณะเพาะเมล็ดทไี่ มเหมาะสม เชน นาํ้ อุณหภมู ิ ออกชเิ จน แสง เปน ตน นอกจากน้ีการ
ลําตนเปนรูปเหล่ียมทรงกระบอก มีขนหรือหนามรอบตน ซึ่งทําหนาท่ีแทนใบหรือเพ่ือลดพ้ืนท่ีการคายนํ้า แคคตัสสามารถเก็บ ใชส ารควบคมุ การเจรญิ เติบโตจิบเบอเรอลินท่ีสามารถเขาไปกระตุนการงอกของเมล็ดได (ชิติและคณะ, 2559) และ
สะสมนํา้ ไวใ นลาํ ตน จาํ นวนมาก และใชน าํ้ ที่สะสมเพ่ือการเจรญิ เตบิ โต ในปจจุบันมีการใชแสงจาก ไดโอดเปลงแสง (Light Emitting Diode, LEDs) ในการกระตุนการงอกของเมล็ด โดย
แสงไฟเหลานี้ มีความเหมาะสมมากกวาแสงชนิดอื่น กลาวคือ สามารถกําหนดความยาวคล่ืนที่จําเพาะได โดยมีชวง
ในสมัยอดีตประเทศไทยสามารถพบแคคตัส เชน เสมา และโบต๋ัน เปนตน และนิยมเรียกตนไมกลุมน้ีวา ตะบองเพชรหรือ ความถ่ีแคบและใชพลังงานท่ีต่ํากวาหลอดไฟฟลูออเรสเชนต ซ่ึงสอดคลองกับการศึกษาของ รําไพและคณะ (2559)
กระบองเพชร โดยมีการสราง Geodesic Dome จัดเปนสวนแคคตัสข้ึนภายในสวนหลวง ร.9 ในปจจุบันนี้การเพาะเล้ียงไม รายงานวา หลอดไดโอดเปลงแสง (LEDs) ท่ีมีสัดสวนเปอรเซ็นตของแสงแตกตางกันตอการงอกและการเจริญเติบโต
แคคตัสมคี วามตองการของตลาดท่ีเพ่ิมมากขึ้นทุกวนั และมผี ูประกอบการหลายกลุมเร่ิมพัฒนาสายพันธุท่ีมีความสวยงามและโดด ของตนกลา มะละกอ พนั ธุ 'แขกดาํ ' จากการศึกษาพบวาทุกกรรมวธิ ีมกี ารงอกของเมลด็ สงู 95-100% และการใหแสง
เดน เชน มีสีสันท่ีหลากหลาย มีรูปรางท่ีแปลกใหม เปนตน แคคตัสสามารถขยายพันธุไดหลายวิธี เชน การเพาะเมล็ด การแยก ดวยไดโอดเปลง แสงสแี ดง 100% สง ผลทําใหระยะเวลาในการงอกของเมล็ดสัน้ กวา วธิ ีการอน่ื ๆ
หนอ เปนตน การเพาะเมล็ดจดั เปนวิธีหน่งึ ทีไ่ ดรบั ความนิยม เนื่องจากตนกลาแคคตัสมีรากแกว และเปนพ้ืนฐานของงานดานการ
ปรบั ปรุงพันธุ ดังนั้น ในการทดลองครั้งน้ีเพื่อศึกษาหาแสงสีชนิดตางๆ ท่ีเหมาะสมตอการเจริญเติบโตและการงอกของเมล็ด
และปริมาณจบิ เบอเรอลนิ ตอการงอกของเมลด็ Gymnocalycium mihanovichii LB2178 'Agua Dulce'
อปุ กรณและวธิ ีการ จากการศึกษาผลของการกระตุนการงอกของเมล็ดแคสตัส สกุล Gymnocalycium sp. ดวยแสงสีชนิดตาง ๆ และฮอรโมน GA
ภาพท่ี 3 Parodia leninghausii อปุ กรณ พบวา เปอรเซ็นตการงอกและดัชนีการงอกของเมล็ดแคสตัส มีความแตกตางกันอยางมีนัยสําคัญย่ิงทางสถิติ (Table 2 ) กลาวคือ การให
แสงสีแดงรวมกับการแชฮอรโมน GA ที่ 1,000 ppm. สงผลใหเปอรเซ็นตการงอกของเมล็ดแคคตัส สูงที่สุด คือ 95.00 เปอรเซ็นต และการ
1. เมล็ด Cactus พันธุ Gymnocalycium sp. 2.4 ชดุ ไฟ LED สขี าว, สีแดง, สนี ํา้ เงิน ใชแสงสีแดง สีน้ําเงิน และไมใหแสง รวมกับการไมแชฮอรโมน GA พบวาใหคาเปอรเซ็นตการงอกต่ํา สวนความแข็งแรงของเมล็ดพันธุที่วัด
2. เคร่ืองมอื ทวั่ ไปทใี่ ชในหอ งปฏิบัตกิ าร 2.5 เคร่อื งต้งั เวลาแบบดิจติ อล จากดชั นกี ารงอก พบวามคี วามแตกตา งกันอยางมนี ยั สําคญั ย่งิ ทางสถิติ ซึง่ ผลสอดคลอ งกับเปอรเซน็ ตการงอก คือ การใหแสงแดงรวมกับการ
2.1 กลองทบึ แสง, กลอ งใส 2.6 Vernier Caliper Digital Type แชฮอรโมน GA ท่ี 1,000 ppm. สงผลให ดัชนีการงอกของเมล็ดแคสตัสสูงท่ีสุด คือ 1.87 และการใชแสงสีแดง แสงสีน้ําเงิน และไมใหแสง
2.2 กระดาษเพาะเมลด็ 3. สารเคมี รว มกบั การไมแชฮอรโ มน GA พบวา เมล็ดมคี าดชั นกี ารงอกตํ่า
2.3 กลอง Stereo Microscope จิบเบอเรลลิน (Gibberellin หรือ GA) 4 % W/V EC Table 2 Germination percentage and germination index of cactus seeds infused with Gibberellin (GA) and various types of light exposure for 30
days after sowing.
วธิ กี าร Light treatment Germination percentage Avg. Germination index Avg.
การทดลองประกอบดวย 2 งานทดลองยอย ไดแก 1. วางแผนการทดลองแบบสุมสมบูรณ (CRD) 5 ชุดการทดลอง โดย (B) [GA] (A) (B) [GA] (A) (B)
ทดสอบปริมาณฮอรโมน GA ที่ระดับความเขมขน 0, 250, 500, 1,000 และ 2,000 ppm. จากน้ันนําผลที่ไดในงานทดลองยอยที่ 1 0 ppm. 1,000 ppm
ไปใชในงานทดลองยอยที่ 2 คือ การกระตุนการงอกของเมล็ดแคคตัส ดวยแสงสีชนิดตางๆ รวมกับฮอรโมน GA ท่ีระดับความเขมขน 0.00 f 10.25 de 5.13 D 0 ppm 1,000 ppm.
เหมาะสม โดยมีการวางแผนการทดลองแบบ CRD การทดลองแบบ 2 x 6 factorials จํานวน 4 ซํ้า ประกอบดวย ปจจัย A คือ การ Opaque 0.00 c 0.12 c 0.06 C
แชฮ อรโมน GA ความเขมขน คือ 0 ppm. และ 1,000 ppm. ปจ จยั B คือ ชนิดแสง คอื ไมไ หแสง (ทบึ แสง), แสงสแี ดง, แสงสีนํ้าเงิน, Red light 0.00 f 95.00 a 47.50 AB 0.00 c 1.87 a 0.93 A
แสงสีขาว, แสงสีขาว+แสงสีแดง+น้ําเงิน (1:1:1) และแสงธรรมชาติ และการเก็บขอมูลเปอรเซ็นตการงอกและดัชนีการงอกของระยะ Blue light 0.00 f 12.50 d 6.25 D 0.00 c 0.13 c 0.06 C
ท่ีเมล็ดงอกหลังการเพาะเมล็ด 30 วัน จากน้ันนําเมล็ดแคคตัส ที่แชดวยฮอรโมน GA ทดสอบความงอกโดยการใชวิธี Top of Paper White light 14.25 d 87.50 b 50.88 A 0.10 c 1.38 b 0.74 B
เพอ่ื ประเมนิ ความงอกและความแข็งแรงของเมล็ดพนั ธุ โดยวดั การเจรญิ เตบิ โตของตน White+red+blue light (1:1:1) 8.75 de 82.50 b 45.63 B 0.09 c 1.52 b 0.81 AB
Natural light 5.00 e 75.00 c 40.00 C 0.07 c 1.30 b 0.68 B
Avg. (A) 4.67 Y 60.46 X 0.04 Y 1.05 X
F-test ; A ** **
B ** **
AxB ** **
CV. (%) 12.52 32.96
ผลการทดลอง
Mean within the same column followed by the same letter indicated no statistical difference using by DMRT.
จากการศึกษาผลของการกระตุนการงอกของเมล็ดแคสตัส สกุล Gymnocalycium sp. ดวยฮอรโมน GA ที่ระดับความเขมขนตางๆ พบวา ** indicated significant difference at P< 0.01
เปอรเซ็นตการงอกและดัชนีการงอกของเมล็ดแคสตัส มีความแตกตางกันอยางมีนัยสําคัญย่ิงทางสถิติ (Table 1 ) กลาวคือ ฮอรโมน GA ท่ีระดับ
ความเขมขน 1,000 ppm. สงผลใหเ ปอรเซน็ ตการงอกและดัชนกี ารงอกของเมลด็ แคคตัส สงู ท่ีสุด คอื 91.50 เปอรเ ซน็ ต และ 1.65 ตามลําดบั วิจารณผ ล
Table 1 Gibberelin concentrations at different levels of germination percentages and seed germination indices at 30 days after sowing. การใชแสงสีแดงรวมกับการแชฮอรโมน GA ที่ 1,000 ppm. สงผลใหเปอรเซ็นตความงอกและดัชนีการงอกของเมล็ดสูงที่สุด ซึ่ง
สอดคลองกับการศึกษาของ รําไพและคณะ (2559) รายงานวา มีเพียงการใหแสงดวยไดโอดเปลงแสงสีแดง 100% เทานั้นที่ให
[GA] Germination Germination ระยะเวลาในการงอกสั้นกวาการใหแสงอ่ืน ๆ
(ppm.) percentage index
0 0.00 c 0.00 c สรปุ ผล
250 76.75 b 1.07 b จากการศึกษาผลการกระตุนการงอกเมล็ดแคสตัส (Gymnocalycium sp.) ดวยแสงสีชนิดตาง ๆ และฮอรโมน GA พบวา การ
500 78.00 b 1.21 b ใชปริมาณฮอรโมน GA ที่ระดับความเขมขน 1,000 ppm. สงผลใหเมล็ดมีคุณภาพเมล็ดพันธุสูงที่สุด และการใชแสงสีแดงรวมกับ
1000 91.50 a 1.65 a การแชฮอรโมน GA ท่ี 1,000 ppm. สงผลใหเปอรเซ็นตความงอกและดัชนีการงอกของเมล็ดสูงท่ีสุด
2000 76.75 b 0.95 b
F-test ** เอกสารอา งองิ
**
ชิติ ศรีตนทพิ ย, สนั ติ ชา งเจรจา, สญั ชัย พนั ธโชต,ิ ปรญิ ญาวดี ศรตี นทิพย และ ปรียาพร วิกาหะ. 2559. ผลของวธิ ีกลและสารเคมี
%CV 12.56 27.00 ตอการงอกของเมล็ดมะแขวน (Zanthoxylum limon-elle Alston). วารสารพืชศาสตรส งขลานครนิ ทร 3: 9-12.
Mean within the same column followed by the same letter indicated no statistical difference using by DMRT. ** indicated significant difference at P< 0.01 ราํ ไพ นามพิลา, สภุ ัทร อศิ รางกรู ณ อยธุ ยา และ สงั คม เตชะวงคเ สถยี ร. 2559. อิทธิพลของไดโอดเปลงแ สง (LEDs) ตอ การงอกและ
การเจริญของเมล็ดมะละกอ (Carica papaya L.). วารสารพชื ศาสตรส งขลานครนิ ทร 3: 13-17.
ศึกษาเปรยี บเทียบการเติบโตและผลผลิตของพริกข้หี นูหัวเรอื
Comparative Study on Growth and Yield of ‘Hua-ruea’ Chili (Capsicum annuum L.)
สดุ ใจ ลอ้ เจริญ1 จรี ภา ออสติน2 จนั ทนา โชคพาชืน่ 1 และ รชั นี ศิรยิ าน1 Locharoen S.1, Austin J.2, Chokpachuen C.1, and Siriyan R.1
บทคดั ยอ่ Abstract
พริกหัวเรือนิยมปลูกในพืน้ ทีภ่ าคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างของประเทศไทย แต่มีข้อด้อยคือต้นเตี้ย ‘Hua-ruea’ chili is favored growing in the lower part of the Northeast in Thailand. However, it is
ยากต่อการเก็บเกี่ยวและผลอ่อนมีสีเขียวอ่อนซึ่งไม่ตรงกับความต้องการของตลาดในปัจจุบัน ศูนย์วิจัยพืช difficult to harvest a short-height plant of ‘Hua-ruea’ chili. Moreover, the light green immature fruit does
สวนศรีสะเกษจึงทาการปรบั ปรงุ พนั ธุ์พริกหวั เรือให้มีต้นสงู และผลออ่ นมีสีเขียวเข้มต้ังแต่ปี 2556 จนกระทั่งได้ not meet the market requirement. Therefore, Si Sa Ket Horticultural Research Center had improved ‘Hua-
สายพันธ์ุพริกหวั เรือ 5 สายพันธ์ุ ได้แก่ ศก.13xชก ศก.25xจล(1) ศก.13xจล(1) ศก.25xจล(2) และศก.13xจล ruea’ chili to have tall plant and dark green immature fruit since 2013. The five verities were selected,
(2) นามาปลูกเปรียบเทียบกับพันธ์ุหัวเรือ ศก.13 เพื่อศึกษาการเติบโตและผลผลิตในศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะ including ‘SK13xCK’, ‘SK25xCL(1)’, ‘SK13xCL(1)’, ‘SK25xCL(2)’, and ‘SK13xCL(1)’. The selected verities
เกษ จังหวัดศรีสะเกษ ในปี 2561 ถึงปี 2562 วางแผนการทดลองแบบ RCBD จานวน 6 กรรมวิธี 4 ซ้า พบว่า were grown compare with the ‘Hua-ruea SK13’ to study growth and yield at Si Sa Ket Horticulture
ทุกสายพันธุ์ที่ผ่านการคัดเลือกมีความสูงต้นมากกว่าพันธุ์หัวเรือ ศก.13 และมีสีผลอ่อนเป็นสีเขียวเข้ม Research Center, Si Sa Ket during 2018-2019. The experiment was designed in RCBD with 6 treatments,
นอกจากนีพ้ บว่าพริกสายพันธ์ุ ศก.13xชก มีผลผลิตต่อไร่ใกล้เคียงกับพริกหัวเรือ ศก.13 4 replications. The results revealed that the plant height of selected varieties was higher than ‘Hua-ruea
คาสาคญั : พริก ศก.13 ปรับปรุงพนั ธุ์ การปรบั ปรุง SK13’ and immature fruit was dark green. Also, a yield per rai of ‘SK13 x CK’ was similar to ‘Hua-ruea
SK13’.
Keywords: Chili, SK13, Breeding, Improvement
คานา ‘SK13xCK’ ‘SK25xCL(1)’ ผลและวิจารณผ์ ลการทดลอง (ตอ่ )
พรกิ ข้ีหนูผลใหญ่พันธุ์หัวเรือนิยมปลูกกันอย่างแพร่หลายเนื่องจาก ‘SK13xCL(1)’ ‘SK25xCL(2)’ การศึกษาในครั้งนไี้ มพ่ บความแตกต่างของนา้ หนกั สดต่อผลในทกุ พันธุ์
สามารถเกบ็ ผลผลิตจาหน่ายได้ทั้งแบบสดและตากแห้ง ซึง่ มีพ้ืนทีป่ ลูกมากใน แต่พันธุ์หัวเรอื ศก.13xจินดาเลย(2) ให้น้าหนักแห้งต่อผลมากทีส่ ดุ และผลผลติ
จงั หวัดอุบลราชธานแี ละศรีสะเกษ (บญุ ส่ง และคณะ, 2549) แต่พบว่าในพ้ืนที่ ‘SK13xCL(2)’ ‘Hua-ruea SK13’ รวมต่อไรม่ ากทีส่ ดุ ได้แก่พนั ธ์ุหัวเรอื ศก.13 ซึง่ มีสายพันธุ์ หัวเรือ ศก.13xไชย
ดงั กล่าวพนั ธ์ุพริกหวั เรือมีความแปรปรวนของสายพันธ์ุมาก ศูนย์วิจยั พชื สวนศรี ปราการ ที่ให้ผลผลิตรวมต่อไร่ใกล้เคียงกัน (Table 3) และในปี 2562 การ
สะเกษจึงได้ปรบั ปรงุ พันธพุ์ ริกขห้ี นรู ับประทานสดพันธุ์หวั เรอื จนได้พนั ธ์ุพรกิ หัว Figure 1 Fruit characteristics of ‘Hua-ruea’ chili. Bar indicated 3 cm. เติบโตของพรกิ หวั เรอื สายพนั ธ์ุคดั เลอื กทุกสายพนั ธ์ุมคี วามสูงตน้ มากกว่าพันธุ์
เรอื ศก.13 และ ศก.25 ซึ่งให้ผลผลิตสงู กว่าพันธุ์เดมิ ของเกษตรกรประมาณ 14 หัวเรอื ศก.13 แต่ไม่พบความแตกตา่ งของความกว้างทรงพุ่มในทกุ ๆ สายพนั ธ์ุ
% (อุดม และคณะ, 2549) ซึ่งพริกหัวเรือทั้ง 2 พันธุ์ได้รับการยอมรับจาก Table 1 Growth of ‘Hua-ruea’ chili at Si Sa Ket Horticultural Research Center (Table 1) คณุ ภาพผลผลิตด้านความกว้างผลไม่พบความแตกต่างระหว่างสาย
เกษตรกรในดา้ นการตดิ ผลจานวนมาก และความสมา่ เสมอของพนั ธ์ุ แต่ยังคงมี พันธุ์ พบความยาวผลมากที่สุดได้แก่ พริกพันธ์ุหัวเรือ ศก.13xไชยปราการ
ขอ้ ด้อยบางประการที่ต้องปรับปรงุ ได้แก่ ผลดิบเขยี วที่มีสีอ่อน และต้นที่เตี้ย Treatments Plant height (cm) Plant width (cm) และความยาวก้านผลมากพบในพันธ์ุหัวเรือ ศก.13xไชยปราการ หัวเรือ
ซึง่ ความสงู ของตน้ จะผนั แปรตามสภาพของการปฏิบัติดแู ลรกั ษาที่แตกต่างกนั 2018 2019 2018 2019 ศก.25xจินดาเลย(1) และหวั เรอื ศก.13xจินดาเลย(1) (Table 2) น้าหนักสดและ
โดยเฉพาะการดแู ลรกั ษาตามวิธปี ฏิบตั ิของเกษตรกรทาให้ความสูงของต้นพริก แห้งต่อผลไมม่ ีความแตกต่างระหว่างพันธ์ุ และผลผลิตรวมต่อไร่มากที่สุดคือ
ลดลง เกษตรกรจึงมีขอ้ เสนอแนะถึงลกั ษณะพนั ธ์ุพริกหวั เรอื ตามความตอ้ งการ SK13xCK 76.30 bc 89.15 b 63.52 80.30 พนั ธ์ุหัวเรอื ศก.13 ซึง่ สายพนั ธ์ุหวั เรอื ศก.13xไชยปราการ และหวั เรอื ศก.13x
ของตลาดรับซื้อควรมีผลดิบสีเขียวเข้ม และต้นพริกควรสูงกว่าพันธ์ุหัวเรือ จินดาเลย(2) มีผลผลิตรวมต่อไร่ใกล้เคียงกับพันธ์ุหัวเรือ ศก.13 ด้วยเช่นกัน
ศก.13 เพ่ือสะดวกในการเก็บเกี่ยวผลผลิต (จิรภา และคณะ, 2558) ในปี SK25xCL(1) 90.65 a 109.60 a 59.35 75.20 (Table 3) เม่อื พจิ ารณาคุณภาพผลผลิต และผลผลิตรวมต่อไร่ของพรกิ หัวเรือ
2556-2560 ศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษได้ปรับปรุงพันธุ์พริกหัวเรือเพ่ือลด ในปี 2562 ที่ลดลงเม่อื เปรียบเทียบกบั ปี 2561 เนือ่ งมาจากพบอาการของโรค
ขอ้ ด้อยดงั กล่าวด้วยการสร้างลูกผสมโดยใช้พริกหัวเรือ ศก.13 และ ศก.25 SK13xCL(1) 80.00 b 92.85 b 61.10 74.90 ใบด่างในต้นพริก ซึง่ ส่งผลต่อคุณภาพผลผลิต และผลผลิตรวมต่อไร่ (เครือ
เป็นพันธุ์แม่ และให้พริกไชยปราการ และพันธุ์จินดาเลยเป็นพันธ์ุพ่อ และทา พันธ์ุและวันเพญ็ , 2545) ที่สามารถเกบ็ เกี่ยวผลผลิตได้เพียงแค่คร้ังเดียว
การคัดเลือกพนั ธ์ุแบบบนั ทกึ ประวตั ิ (สชุ ีลา, 2557) สามารถคดั เลือกสายพันธ์ุ SK25xCL(2) 76.20 bc 105.85 a 59.38 78.50
ที่มีลักษณะตามต้องการได้ 5 สายพันธุ์ ได้แก่ ศก.13xชก ศก.25xจล(1) สรุปผล
ศก.13xจล(1) ศก.25xจล(2) และศก.13xจล(2) (จิรภา และคณะ 2558) ดงั น้ัน SK13xCL(2) 81.90 ab 107.65 a 57.58 80.30
พรกิ หวั เรอื สายพันธุ์คัดทกุ สายพันธุ์มคี วามสูงต้นมากกว่าพันธุ์หัวเรือ
การทดลองในครั้งนจี้ ึงทาการเปรียบเทียบพริกท้ัง 5 สายพันธ์ุกับพริกหัวเรือ Hua ruea SK13 69.25 c 74.95 c 64.75 85.90 ศก.13 โดยพริกสายพันธ์ุหัวเรือ ศก.13xไชยปราการมีความโดดเด่นในด้าน
ศก.13 (Figure 1) เพอ่ื ประเมินศกั ยภาพของสายพนั ธุ์คัดเลือกสาหรับการสร้าง คุณภาพผลผลิต และให้ผลผลิตรวมต่อไร่ใกล้เคียงกับพันธ์ุหัวเรือ ศก.13 ที่ให้
พนั ธ์ุใหม่ให้เป็นทางเลือกกบั เกษตรกรตามขั้นตอนการปรบั ปรงุ พันธุ์ต่อไป F-test **1/ ** ns2/ ns ผลิตรวมต่อไรม่ ากที่สดุ
อุปกรณแ์ ละวิธกี าร C.V. 7.87 6.79 9.09 8.16 คาขอบคณุ
12//mnoena-nsisgenpifaicraatniot n within column by LSD, α 0.01
ปลูกพรกิ สายพันธ์ุที่ผ่านการคัดเลือก ได้แก่ ศก.13xชก ศก.25xจล(1) ค ณ ะ ผู้ ด า เ นิ น ง า น วิ จั ยข อ ข อ บ คุ ณ ก ร ม วิ ช า กา ร เ ก ษ ต ร ที่ ใ ห้ ก า ร
ศก.13xจล(1) ศก.25xจล(2) และ ศก.13xจล(2) เปรียบเทียบกับพันธ์ุหัวเรือ Table 2 Fruit size of ‘Hua-ruea’ chili at Si Sa Ket Horticultural Research Center สนบั สนนุ งบประมาณในการวิจัยอย่างต่อเนือ่ ง และขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุก
ศก.13 โดยใช้ระยะปลูก 50 x 100 เซนติเมตร ในสภาพแปลงเปิดของศนู ย์วิจัย ฝ่ายในศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษที่ให้การสนับสนุน และร่วมมือในการ
Treatments Fruit width (cm.) Fruit length (cm.) pedicel length (cm)
2018 2019 2018 2019 2018 2019
SK13xCK 0.88 b 0.75 7.31 a 5.36 a 4.09 bc 4.32 a
พชื สวนศรีสะเกษ จงั หวดั ศรีสะเกษ ในปี 2561 และ 2562 วางแผนการทดลอง SK25xCL(1) 0.92 b 0.78 6.51 c 4.92 abc 4.78 a 4.28 a ดาเนินงานจนสามารถทาให้งานสาเร็จลลุ ่วงไปด้วยดี
แบบ Randomized Complete Block Design (RCBD) 6 กรรมวิธี จานวน 4 ซ้า SK13xCL(1) 0.88 b 0.80 6.18 c 4.75 c 4.34 b 4.47 a เอกสารอา้ งอิง
โดยให้สายพนั ธ์ุเป็นกรรมวิธี และในหนึ่งซ้าปลกู พรกิ จานวน 48 ต้น ให้ปุ๋ยเคมี 6.37 bc 4.86 bc 3.84 b
สตู ร 15-15-15 อตั รา 15 กิโลกรมั ต่อไร่ ทุก ๆ 2 สัปดาห์ พ่นสารเคมีกาจัด SK25xCL(2) 0.94 ab 0.83 6.96 ab 5.21 ab 4.21 bc 3.85 b เครือพันธ์ุ กิตติปกรณ์ และวันเพ็ญ ศรีทองชัย. 2545. โรคไวรัสที่สาคัญของ
ศตั รูพชื ในพรกิ ตามความเหมาะสม เม่อื ต้นพรกิ มีอายุประมาณ 90 วนั หลังย้าย 7.31 a 5.16 abc 3.22 c พชื ผกั และพชื น้ามนั . กองโรคพชื และจุลชีววิทยา, กรมวิชาการเกษตร.
ปลกู ทาการบันทึกการเติบโตของต้นพริกด้วยการวัดความสูงต้น และความ SK13xCL(2) 0.95 ab 0.76 3.98 c ** โรงพมิ พช์ ุมนมุ สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย, กรงุ เทพฯ. 88 หน้า
กว้างทรงพมุ่ บันทึกขอ้ มูลคุณภาพผลผลิตจากตัวอย่างผลสุกแดงจานวน 50 ** 3.36 d 4.62
ผลต่อซ้า ได้แก่ ความยาวผล ความกว้างผล ความยาวก้านผล น้าหนักสดต่อ Hua ruea SK13 1.00 a 0.80 6.84 5.55 **1/ จิรภา ออสติน เสาวนี เขตสกุล รชั นี ศริ ิยาน สุภาวดี สมภาค จันทนา โชคพาชื่น
ผล และน้าหนักแห้งต่อผล บันทึกจานวนผลดีต่อต้น โดยการเก็บเกี่ยวผลสุก 5.01 ธารทิพย์ ภาสบุตร และยทุ ธศกั ดิ์ เจียมไชยศรี.2558. การผสมและ
แดง เพ่อื นามาคานวณผลผลิตรวมต่อไร่จากสูตร น้าหนกั สดต่อผล x จานวน F-test *2/ ns3/ คัดเลือกพันธ์ุพริกขหี้ นูผลสดหวั เรือ ใน รายงานผลการทดลองสนิ้ สดุ
ผลต่อต้น x 3200 ต้น (จานวนต้นพริกที่ปลูกในพ้ืนที่ 1 ไรด่ ้วยระยะปลกู 50 x C.V. 4.86 6.00 ประจาปีงบประมาณ 2558 [สืบค้น] http://www.doa.go.th/hort/wp-
100 เซนติเมตร) 1/mean separation within column by LSD, α 0.01 content/uploads/2020/10/การผสมและคดั เลือกพนั ธุ์พริกขีห้ นูผลสดหัว
2/mean separation within column by LSD, α 0.05 เรือ.pdf [February 8, 2020]
3/non-significant
บุญส่ง เอกพงษ์ อภญิ ญา เอกพงษ์ นพมาศ นามพมิ พ์ และอุทยั อันพมิ พ.์ 2549.
Table 3 Fruit weight and yield of ‘Hua-ruea’ chili at Si Sa Ket Horticultural Center
Treatments Fruit fresh weight (g) Fruit dry weight (g) Yield per rai (kg)1/
2018 2019 2018 2019 2018 2019
SK13xCK 3.31 2.03 0.86 bc 0.58 3299.85 ab 1091.25 b
ผลและวิจารณผ์ ลการทดลอง SK25xCL(1) 3.09 1.98 0.84 bc 0.66 1749.50 bc 881.34 b รายงานฉบับสมบรู ณ์ โครงการศึกษาสถานภาพการตลาด การแปรรปู
1650.02 c 1053.95 b และตลาดของผลิตภณั ฑ์พริก ในเขตพ้ืนที่จังหวดั อบุ ลราชธานี และศรีสะ
ในปี 2561 การเติบโตของพรกิ หัวเรอื ด้านความสูง พบว่าพริกหัวเรือ SK13xCL(1) 3.02 2.19 0.83 c 0.67 1047.25 b เกษ. สนับสนนุ โดยสานกั งานกองทุนสนบั สนุนการวจิ ยั (สกว.). 158 หน้า.
สายพันธ์ุคัดเลือกทุกสายพันธุ์มีความสูงของต้นมากกว่าพริกหัวเรือ ศก.13 3218.50 abc 1196.73 b สชุ ีลา เตชะวงค์เสถียร.2557. พริก:นวัตกรรมจากทฤษฏกี ารปรับปรงุ พันธ์ุพืชสู่
แต่ไม่พบความแตกต่างระหว่างสายพันธุ์ด้านความกว้างทรงพุ่ม (Table 1) SK25xCL(2) 3.23 2.06 0.90 abc 0.67 2746.22 bc 2006.94 a การใช้ประโยชน์. หจก.โรงพิมพค์ ลังนานาชาติ, ขอนแก่น, 285 น.
คุณภาพผลผลิตด้านความยาวผลปรากฎว่าพันธุ์หัวเรือ ศก.13xไชยปราการ อุดม คาชา ฤดีภรณ์ ศรีสวัสดิ์ ชศู รี คาลี สวสั ดิ์ สมสะอาด รชั นี ศริ ิยานและ
หวั เรอื ศก.25xจินดาเลย(1) และ หวั เรอื ศก. 13 มีความยาวผลมากที่สุด และ SK13xCL(2) 3.29 1.92 1.00 a 0.66 4546.51 a **2/ มานิต สารุณา. 2549. การปรับปรงุ พันธุ์พริกขหี้ นูรับประทานสดพนั ธห์ุ วั
มีเพียงพริกหวั เรอื ศก.13 เท่านั้นที่ให้ความกว้างผลมากที่สุด และความยาว * 27.59 เรือ ใน ผลงานวิจัยเพอ่ื พจิ ารณาเปน็ ผลงานวิจัยดีเด่น ประจาปี 2549
ก้านผลมากทีส่ ุดพบในพันธ์ุหวั เรอื ศก.25xจินดาเลย(1) (Table 2) Hua ruea SK13 3.74 2.18 0.99 ab 0.65 กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ.์ หน้า 105-117
F-test ns4/ ns *3/ ns 37.94
C.V. 9.10 10.21 8.35 11.69
1/three times harvesting in 2018 and one times harvesting in 2019
2/mean separation within column by LSD, α 0.01
3/mean separation within column by LSD, α 0.05
4/non-significant
1ศนู ย์วิจยั พืชสวนศรีสะเกษ ต.หนองไผ่ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ 33000 1Si Sa Ket Horticultural Research Center, Nong Phai, Mueang Si Sa Ket, Si Sa Ket 33000.
2ศูนยว์ ิจัยและพฒั นาการเกษตรพังงา ต.บางมว่ ง อ.ตะกั่วปา่ จ.พงั งา 82190 2Phangnga Agricultural Research and Development Center, Bang Muang, Ta Kua Pa, Phangnga 82190.
เปรียบเทยี บการเตบิ โตและผลผลิตของพริกช่อในศูนยว์ จิ ยั พืชสวนศรีสะเกษและไรเ่ กษตรกร
Growth and Yield Trials of ‘Chor’ Chili at Si Sa Ket Horticultural Research Center and Farmer Field
สุดใจ ล้อเจริญ1 จรี ภา ออสติน2 จันทนา โชคพาชื่น1 และ รัชนี ศิรยิ าน1 Locharoen S.1, Austin J.2, Chokpachuen C.1, and Siriyan R.1
บทคัดยอ่ Abstract
พริกช่ออยู่ในกลุ่มพรกิ ชีห้ นูผลใหญ่ มีพ้ืนทีป่ ลูกอยู่ในจังหวดั อบุ ลราชธานี ชัยภมู ิ และเลย แต่พบว่าพันธุ์ที่ ‘Chor’ chili is a member of the large-fruit bird chili pepper group which its planting area is in Ubon-
เกษตรกรปลูกมีความแปรปรวนในด้านความสงู ต้นและลกั ษณะผล อีกทั้งให้ผลผลิตต่า ศูนย์วิจยั พชื สวนศรีสะเกษ Ratchathani, Chaiyaphum, and Loei. However, plant height, fruit shape and low yield are varied in farmer fields.
จึงรวบรวมและคดั เลือกสายพันธ์ุแบบบันทึกประวัติตั้งแต่ปี 2556 เพ่อื ให้มคี วามสงู ต้นเพม่ิ ขึน้ ผลผลิตสูง มีความ Si-Sa-Ket Horticultural Research Center had collected ‘Chor’ chili seed and selected varieties by pedigree
สมา่ เสมอของพันธุ์ และลักษณะผลตรงตามความต้องการของตลาด และในปี 2562 สามารถคดั เลือกสายพันธ์ุได้ selection method since 2013. The selection criteria are high plant height and yield, varieties uniformity, and fruit
ท้ังสิน้ 5 สายพันธ์ุ ได้แก่ 8-04-1, 27-01-2(1), 44-01-3(1), 46-01-1, และ 57-03-1 น่ามาปลูกเปรียบเทียบกับ characteristic meeting the market requirement. In 2019, the five varieties were selected, including 8-04-1, 27-
พันธุ์เกษตรกร เพอ่ื ศึกษาการเติบโตและผลผลติ ในศนู ย์วิจยั พชื สวนศรีสะเกษและไรเ่ กษตรกร จงั หวัดศรีสะเกษ วาง 01-2(1), 44-01-3(1), 46-01-1, and 57-03-1. They were grown compare with the famer varieties to study
แผนการทดลองแบบ RCBD 6 กรรมวิธี 4 ซ้่า ผลการทดลองทั้งสองสถานที่พบว่าสายพันธ์ุ 46-01-4 ซึ่งมีรูปร่าง growth and yield at Si-Sa-Ket Horticulture Research Center and farmer field, Si-Sa-Ket. The experiment
ผลคล้ายพริกยอดสน มีความสูงต้นมากทีส่ ดุ สายพนั ธุ์ 57-03-1 มีรปู ร่างผลคล้ายพริกจินดา และ 27-01-2(3) มี design was RCBD with 6 treatments, 4 replications. Results of both sites showed that the highest plant height
รูปร่างผลคล้ายพรกิ ยอดสน ให้ผลผลิตต่อไร่สงู กว่าพนั ธุ์เกษตรกรอย่างมีนยั สา่ คัญทางสถิติ was found in 46-01-4. The yield per rai of 57-03-1 and 27-01-2(3) were significantly higher than the farmer
คาสาคญั : พริกช่อ พริกข้ีหนู การปรับปรงุ ผสมพันธุ์ varieties.
Keywords: Cluster chili, Bird chili, Improvement, Breeding
คานา Table 1 Growthand number of fruit per cluster of ‘Chor’ chili at Si Sa Ket Horticultural Research ผลและวิจารณ์ผลการทดลอง
Center (SSK HRC) andfarmer field (FF)
พรกิ ช่อจัดเป็นพรกิ ในกลุ่มพรกิ ข้ีหนูผลใหญ่ มีลักษณะเด่นในการติด การเป รียบเ ทียบพั นธ์ุพริกช่อใน ศูนย์วิ จัยพืชส วนศรี สะ เกษพบว่ า
ผลเป็นช่อ และเหมาะส่าหรับบริโภคผลสด พริกช่อปลูกมากในเขตจังหวัด Treatments Plant height (cm) Plant width (cm) No. of fruit per cluster สายพนั ธ์ุ 46-01-1 มีความสูงต้นสงู ทีส่ ุด แต่ไม่พบความแตกต่างของความ
อบุ ลราชธานี ชยั ภูมิ และเลย แต่พบความแปรปรวนในสายพันธ์ุสูง ลักษณะ SSK HRC FF SSK HRC FF SSK HRC FF กว้างทรงพุ่ม และจ่านวนผลต่อช่อในทกุ สายพันธุ์ (Table 1) ในด้านคุณภาพ
ของผลมีความแตกตา่ งกนั ทง้ั สผี ล และขนาดผล รูปร่างผลอ้วนป้อม อีกท้ังต้น ผลผลิตพันธุ์เกษตรกร และสายพนั ธ์ุ 44-01-3(1) มีความกว้างผลมากที่สุด
เตีย้ ทา่ ให้เก็บเกี่ยวผลผลติ ไดล้ ่าบาก (บุญส่ง และคณะ, 2549, จิรภา, 2558) 8-04-1 76.80 c 92.30 62.43 71.13 4.93 4.87 โดยความยาวผล และความยาวก้านผลมากที่สุดพบในสายพันธ์ุ 57-03-1
ศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษจึงรวบรวมพันธ์ุพริกช่อจากแหล่งต่าง ๆ ได้แก่ และสายพันธุ์ 44-01-3(1) ตามลา่ ดบั (Table 2) พันธุ์เกษตรกรมีน้่าหนักสด
จังหวัดเชียงราย น่าน อบุ ลราชธานี และเพชรบรู ณ์ เพ่ือด่าเนินการคัดเลือก 27-01-2(3) 80.00 bc 104.20 68.03 76.15 5.19 4.95 ต่อผลมากที่สดุ แต่ผลผลิตรวมต่อไร่สายพันธ์ุ 57-03-1 8-04-1 46-01-1
พนั ธุ์แบบบันทึกประวตั ิ (สุชีลา, 2557) ตั้งแต่ปี 2556 โดยคัดเลือกพันธ์ุให้มี และ 27-01-2(3) สงู กว่าพันธุ์เกษตรกร (Table 3) และการเปรียบเทียบพันธุ์
ความสูงต้นเพ่มิ ขนึ้ ผลผลิตสูง มีความสม่าเสมอของพันธ์ุ และมีรูปร่างผล 44-01-3(1) 81.20 bc 106.30 61.53 68.18 4.73 4.08 พริกช่อในไรเ่ กษตรกร ผลปรากฏว่าทุกสายพันธ์ุไม่มีความแตกต่างในด้าน
คล้ายกบั พรกิ ที่นิยมในตลาดปจั จบุ นั จนกระท่ังสามารถคัดพนั ธุ์พริกช่อได้ 5 ความสูง ความกว้างทรงพุ่ม และจา่ นวนผลตอ่ ช่อ (Table 1) คณุ ภาพผลผลิต
สายพันธ์ุ โดยมีรูปร่างผลคล้ายพริกจินดา 2 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์ 8-04- 46-01-1 91.65 a 110.95 66.35 73.88 4.78 4.58 พนั ธุ์เกษตรกรมีความกว้างผลมากทีส่ ดุ ความยาวผล และความยาวก้านผล
1 และ 57-03-1 มีรูปร่างคล้ายพริกยอดสน 3 สายพนั ธ์ุ ได้แก่ 27-01-2(3) มากที่สุดพบในสายพนั ธ์ุ 57-03-1 และ 46-01-1 ตามลา่ ดบั (Table 2) พันธ์ุ
44-01-3(1) และ46-01-1 (จิรภา, 2558) ดังนั้นการทดลองในคร้ังนีจ้ ึงท่าการ 57-03-1 86.25 ab 101.35 69.50 67.10 5.13 4.75 เกษตรกรมีน้่าหนักสดต่อผลมากที่สุด แต่ผลผลิตรวมต่อไร่สายพันธุ์ 57-
ประเมินศักยภาพของสายพันธ์ุที่ผ่านการคัดเลือกเปรียบเทียบกับพันธุ์ 03-1 และ 27-01-2(3) สูงกว่าพันธ์ุเกษตรกร (Table 3) การเติบโต และ
เกษตรกร (Figure 1) ตามขน้ั ตอนการปรบั ปรงุ พนั ธ์ุเพอ่ื สรา้ งพนั ธ์ุทางเลือกของ farmer varieties 86.30 ab 106.10 66.60 71.83 4.97 4.45 คุณภาพผลผลิตของทั้งสองสถานที่ในการทดลองมีความใกล้เคียงกัน แต่
พริกช่อให้กบั เกษตรกรผู้สนใจ F-test **1/ ns2/ ns ns ns ns ผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้มีความแตกต่างกันมาก(Table 3) เนื่องจากในไร่
C.V. 6.13 7.46 11.84 12.32 11.16 11.55 เกษตรกรหลังจากเกบ็ เกีย่ วผลผลิตในครั้งแรก ต้นพริกได้รับความเสียหาย
จากการระบาดของหนอนใยผัก และพบอาการของโรคใบด่างในพริก ซึ่ง
12//mnoena-nsisgenpifaicraatniotn within column by LSD, α 0.01 ส่งผลต่อผลผลิตรวมต่อไร่ (เครือพันธ์ุและวนั เพ็ญ, 2545) ท่าให้ไม่สามารถ
เกบ็ เกีย่ วผลผลิตในครั้งต่อมาได้
Table 2 Fruit size of ‘Chor’ chili at Si Sa Ket Horticultural Research Center (SSK HRC) and
farmer field (FF) สรุปผล
Treatments Fruit width (cm.) Fruit length (cm.) pedicel length (cm) พริกช่อที่มีลักษณะดีเด่นมากกว่าพันธ์ุเกษตรกรและให้ผลการ
SSK HRC FF SSK HRC FF SSK HRC FF ทดลองในทศิ ทางเดยี วกันทง้ั สองสถานที่ปลูกได้แก่ สายพนั ธุ์ 46-01-1 57-
8-04-1 27-01-2(3) 03-1 และ 27-01-2(3)
44-01-3(1) 46-01-1 8-04-1 0.71 bc 0.70 c 4.81 b 4.67 b 3.74 c 3.94 b
คาขอบคุณ
27-01-2(3) 0.65 c 0.69 c 5.07 b 4.72 b 3.42 d 3.35 c
คณะผู้ด่าเนินงานวิจัยขอขอบคุณกรมวิชาการเกษตรที่ให้การ
44-01-3(1) 0.87 a 0.82 ab 4.50 c 4.14 c 4.39 a 4.22 ab สนบั สนนุ งบประมาณในการวิจัยอย่างต่อเนือ่ ง และขอขอบคุณเจ้าหน้าทีท่ กุ
ฝ่ายในศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษที่ให้การสนับสนุน และร่วมมือในการ
46-01-1 0.64 c 0.64 d 4.36 c 4.43 bc 4.21 ab 4.34 a ดา่ เนินงานจนสามารถทา่ ให้งานสา่ เร็จลลุ ่วงไปด้วยดี
57-03-1 0.74 b 0.73 bc 5.63 a 5.42 a 4.01 bc 4.06 ab เอกสารอ้างอิง
farmer varieties 0.89 a 0.86 a 4.98 b 4.70 b 3.92 bc 3.85 b เครือพนั ธุ์ กิตติปกรณ์ และวนั เพ็ญ ศรีทองชยั . 2545. โรคไวรัสที่ส่าคัญของ
F-test **1/ ** ** ** ** ** พชื ผกั และพชื น้า่ มนั . กองโรคพชื และจุลชีววิทยา, กรมวิชาการเกษตร.
C.V. 7.61 5.18 3.84 7.25 4.61 6.76 โรงพมิ พ์ชุมนมุ สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย, กรุงเทพฯ. 88 หน้า
57-03-1 Farmer varieties 1/mean separation within column by LSD, α 0.01 จิรภา ออสติน เสาวนี เขตสกลุ รัชนี ศิริยาน สภุ าวดี สมภาค จันทนา โชคพาชืน่
ธารทิพย์ ภาสบุตร และยุทธศกั ดิ์ เจียมไชยศรี. 2558. การผสมและ
Figure 1 Fruit characteristics of ‘Chor’ chili. Bar indicated 3 cm. คัดเลือกพันธ์ุพริกขหี้ นูผลสดหัวเรือ ใน รายงานผลการทดลองสิน้ สุด
ประจ่าปีงบประมาณ 2558 [สืบค้น], http://www.doa.go.th/hort/wp-
อุปกรณแ์ ละวิธกี าร Table 3 Fruit weight and yield of ‘Chor’ chili at Si Sa Ket Horticultural Research Center (SSK content/uploads/2020/10/การปรบั ปรงุ พันธุ์พริกช่อเพ่ือเพ่มิ ผลผลิตและ
HRC) and farmer field (FF) คุณภาพ.pdf [February 8, 2020]
ปลูกพริกสายพันธุ์ที่ผ่านการคัดเลือก ได้แก่ 8-04-1 27-01-2(1) Yield per rai (kg)1/
44-01-3(1) 46-01-1 และ 57-03-1 เปรียบเทียบกบั พันธุ์เกษตรกร (farmer Treatments Fresh fruit weight (g) SSK HRC FF บญุ ส่ง เอกพงษ์ อภิญญา เอกพงษ์ นพมาศ นามพมิ พ์ และอุทัย อันพมิ พ์. 2549.
varieties) โดยใช้ระยะปลูก 50 x 100 เซนติเมตร ในสภาพแปลงเปิดของ SSK HRC FF รายงานฉบบั สมบูรณ์ โครงการศึกษาสถานภาพ การตลาด การแปรรูป
ศูนย์วิจัยพชื สวนศรีสะเกษ และไร่เกษตรกร อ.ยางชุมน้อย จังหวัดศรีสะเกษ และตลาดของผลิตภัณฑ์พริก ในเขตพ้ืนที่จงั หวดั อุบลราชธานี
ในปี 2562 วางแผนการทดลองแบบ Randomized Complete Block Design 8-04-1 1.53 c 1.41 cd 975.25 a 359.04 ab และศรีสะเกษ. สนบั สนนุ โดยสา่ นกั งานกองทนุ สนบั สนุนการวิจยั (สกว.).
(RCBD) 6 กรรมวิธี จา่ นวน 4 ซ้่า โดยให้สายพันธ์ุเป็นกรรมวิธี และในหนึ่งซ้่า 158 หน้า.
ปลูกพริกจ่านวน 48 ต้น ให้ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 15 กิโลกรัมต่อไร่ 27-01-2(3) 1.58 c 1.53 bc 971.45 a 436.78 a
ทุก ๆ 2 สัปดาห์ พ่นสารเคมีกา่ จดั ศตั รพู ชื ในพริกตามความเหมาะสม เม่อื ต้น สชุ ีลา เตชะวงค์เสถียร.2557. พริก:นวัตกรรมจากทฤษฏกี ารปรบั ปรงุ พันธุ์พืชสู่
พริกมีอายุประมาณ 90 วนั หลังย้ายปลูก ทา่ การบันทึกการเติบโตของต้นพริก 44-01-3(1) 1.94 b 1.64 bc 669.87 b 199.57 c การใช้ประโยชน์. หจก.โรงพิมพค์ ลังนานาชาติ, ขอนแก่น, 285 น.
ด้วยการวดั ความสงู ต้น และความกว้างทรงพุ่ม บันทึกขอ้ มูลคุณภาพผลผลิต
จากตัวอย่างผลสุกแดงจ่านวน 50 ตัวอย่างต่อซ้่า ได้แก่ จ่านวนผลต่อช่อ 46-01-1 1.20 d 1.26 d 972.53 a 383.99 ab
ความยาวผล ความกว้างผล ความยาวก้านผล และน้่าหนักสดต่อผล บันทึก
จา่ นวนผลดีต่อต้น โดยการเก็บเกี่ยวผลสุกแดง 2 คร้ังในแปลงศูนย์วิจัยพืช 57-03-1 1.83 b 1.72 b 1038.73 a 435.42 a
สวนศรีสะเกษ และเก็บเกี่ยว 1 ครั้งในแปลงเกษตรกร เพ่ือน่ามาค่านวณ
ผลผลิตรวมต่อไรจ่ ากสูตร น้่าหนกั สดต่อผล x จา่ นวนผลต่อต้น x 3200 ต้น farmer varieties 2.19 a 1.99 a 845.35 ab 235.32 bc
(จ่านวนต้นพริกทีป่ ลกู ในพ้ืนที่ 1 ไรด่ ้วยระยะปลูก 50 x 100 เซนติเมตร) F-test **2/ *3/
** 20.20 **
30.94
C.V. 6.68 9.85
1/two times harvesting at SSKHRC and one times harvesting at FF
2/mean separation within column by LSD, α 0.01
3/mean separation within column by LSD, α 0.05
1ศนู ยว์ ิจยั พืชสวนศรีสะเกษ ต.หนองไผ่ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ 33000 1Si Sa Ket Horticultural Research Center, Nong Phai, Mueang Si Sa Ket, Si Sa Ket 33000.
2ศูนยว์ ิจยั และพฒั นาการเกษตรพงั งา ต.บางม่วง อ.ตะกว่ั ปา่ จ.พังงา 82190 2Phangnga Agricultural Research and Development Center, Bang Muang, Ta Kua Pa, Phangnga 82190.
ผลของสารควบคุมการเจรญิ เติบโตพชื ที่มีผลตอ่ คุณภาพผลน้อยหน่าลกู ผสมพันธ‘์ุ ฝ้ายเขยี วเกษตร2’
Effect of Plant Growth Regulators on Fruit Quality of ‘Fai Khiew Kaset2’
Atemoya (Annona x atemoya Mabb.)
โยทะกา รมยาสัย1 เจนจริ า ชุมภูคา2 และ อารยา อาจเจริญ เทยี นหอม2
1 บัณฑติ วทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ เขตจตจุ กั ร กรุงเทพฯ 10900
บทคดั ยอ่ 2 ภาควิชาพชื สวน คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เขตจตุจักร กรุเทพฯ 10900
ปริมาณเนอ้ื ผลที่เพ่ิมขนึ้ และจานวนเมลด็ ทีน่ ้อยลง เป็นคณุ ภาพผลที่ผบู้ รโิ ภคตดั สินใจเลือกซ้อื น้อยหนา่ เพ่มิ ข้นึ ดงั นั้นจงึ ทาการศกึ ษาผลของสาร
ควบคุมการเจริญเติบโตพืช (PGRs) ทมี่ ีผลต่อคุณภาพผลน้อยหน่าลูกผสมพันธ์ุ‘ฝ้ายเขียวเกษตร2’ โดยการพน่ NAA (100, 200 ppm) 2,4-D (5, 10
ppm) 4-CPA (7.5, 15 ppm) GA3 (150, 300 ppm) และ CPPU (25, 50 ppm) ที่ดอกน้อยหนา่ จานวน 1 คร้ัง ปริมาณ 0.80 มิลลิลิตร ในระยะ
ดอกบานเต็มท่ี วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ ทาการทดลองท่ีสถานีวิจัยปากช่อง จ.นครราชสีมา พบว่า น้อยหน่าท่ีไม่พ่น PGRs (ชุดควบคุม) และ
น้อยหน่าทพ่ี ่นด้วย GA3 ความเข้มข้น 300 ppm มี ความกว้างผล ความยาวผล นา้ หนกั ผล ปริมาตรผล ความหนาของเนื้อผล นา้ หนักของเน้ือผล และมี
ปริมาณของแข็งท่ีละลายน้าได้ (TSS) สูงกว่าสิ่งทดลองอ่ืน และแตกต่างอย่างมีนัยสาคัญ นอกจากนั้นการพ่น PGRs ทุกส่ิงทดลอง ส่งผลให้จานวนและ
น้าหนกั ของเมล็ดลดลง อยา่ งมนี ัยสาคญั ทางสถติ เิ ม่ือเทียบกับชดุ ควบคมุ
คานา ผลและวิจารณผ์ ลการทดลอง
น้อยหน่าพันธ์ุ‘ฝ้ายเขียวเกษตร2’ เป็นน้อยหน่าลูกผสมท่ีทางสถานีวิจัย Table 1 Effect of plant growth regulators on fruit quality and seed number in ‘Fai Khiew Kaset 2’ atemoya.
ปากช่องได้ปรับปรุงพันธ์ุข้ึนมา และได้มีการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูก เนื่องจากเป็น
พันธุ์ที่อายุการเก็บเก่ียวสั้น สุกช้ากว่าพันธุ์พ้ืนเมืองท่ัวไป และให้ผลผลิตขนาดใหญ่ Treatment Fruit width Fruit length Fruit weight Fruit volume Pulp thickness Pulp weight TSS Number of Seed weight
จึงทาให้จานวนเมล็ดมากขึ้นไปด้วย ซึ่งคุณภาพผลน้ันเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทาให้ผู้บริโภค (g)
ตดั สินใจเลือกซื้อน้อยหนา่ เพ่ิมขน้ึ โดยนอ้ ยหน่าทีม่ ีผลขนาดใหญ่ มีเนอ้ื ผลมาก และมี (mm) (mm) (g) (ml) (mm) (g) (°Brix) seeds 9.25 a
เมล็ดน้อยนั้นเป็นลักษณะที่ผู้บริโภคต้องการ ซึ่งในปัจจุบันได้มีการศึกษาและนา
สารควบคุมการเจรญิ เติบโตพชื (PGRs) มาใช้ในการผลิตพืชใหม้ ีคณุ ภาพเพมิ่ มากขึ้น T1 : Control 97.10 a 84.58 a 287.93 a 266.60 a 29.61 a 139.95 a 21.20 a 45.00 a 1.83 bc
ดังนั้นจึงทาให้เกิดงานวิจัยนี้ขึ้นเพ่ือศึกษาผลของสารควบคุมการเจริญเติบโตพืช 1.67 c
(PGRs) ทมี่ ีผลต่อคุณภาพผลน้อยหนา่ ลกู ผสมพนั ธ์ุ‘ฝา้ ยเขียวเกษตร2’ T2 : NAA 100 ppm 58.65 d 49.11 c 65.95 e 47.67 d 22.13 ab 22.37 d 18.67 ab 7.00 c 3.19 bc
3.40 bc
T3 : NAA 200 ppm 62.57 d 66.73 abc 108.45 de 91.67 cd 18.45 b 24.75 d 13.33 c 6.33 c 4.78 bc
2.78 bc
T4 : 2,4-D 5 ppm 68.62 cd 60.82 bc 119.98 cde 87.20 cd 21.18 ab 42.42 cd 16.60 bc 11.80 bc 4.32 bc
4.29 bc
T5 : 2,4-D 10 ppm 83.03 abc 66.60 abc 171.96 bcd 149.00 bc 25.63 ab 82.21 bc 17.40 abc 14.80 bc 5.36 b
T6 : 4-CPA 7.5 ppm 81.08 abc 70.34 ab 157.55 bcde 134.00 bcd 27.33 ab 56.64 bcd 18.80 ab 17.40 bc 5.18 bc
T7 : 4-CPA 15 ppm 75.06 bcd 60.08 bc 111.36 de 94.20 cd 21.13 ab 37.89 cd 16.00 bc 9.60 bc *
67.25
T8 : GA3 150 ppm 74.84 bcd 76.66 ab 161.69 bcde 142.67 bcd 21.47 ab 64.56 bcd 18.67 ab 16.33 bc
T9 : GA3 300 ppm 90.31 ab 80.66 a 236.94 ab 214.80 ab 28.08 a 106.20 ab 19.60 ab 17.80 bc
T10 : CPPU 25 ppm 87.28 ab 75.14 ab 190.35 abcd 172.40 bc 26.64 ab 81.55 bc 20.20 ab 21.20 b
T11 : CPPU 50 ppm 89.54 ab 76.83 ab 216.82 abc 194.80 ab 29.44 a 77.71 bc 17.40 abc 22.00 b
F-test * * * * * * * *
CV (%) 19.26 21.81 51.96 58.07 25.72 66.60 17.47 74.06
* Means in the same column followed by different letters are significantly different (P ≤ 0.05) by DMRT.
เม่ือทาการเปรียบเทียบระหว่างน้อยหน่าท่ีไม่ได้รับการพ่นด้วย PGRs
อุปกรณ์และวธิ กี าร (Control) กบั น้อยหน่าท่ีพ่นด้วย GA3 ความเขม้ ข้น 300 ppm 1 คร้ังในระยะดอก
บานเต็มท่ี พบว่า ไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ โดยผลน้อยหน่าท่ีพ่นด้วย GA3
งานวิจัยนี้มีวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (CRD) ประกอบด้วย ความเข้มข้น 300 ppm มีขนาดความกว้างผล 90.31 มิลลิเมตร ความยาวผล
ส่ิงทดลอง 11 ส่ิงทดลอง ดงั น้ี 1) ชดุ ควบคมุ (Control) 80.66 มลิ ลเิ มตร น้าหนักผล 236.94 กรัม ปริมาตรผล 214.80 มลิ ลิลิตร ความกวา้ ง
2) NAA 100 ppm 3) NAA 200 ppm ของเนื้อผล 28.08 มิลลิเมตร น้าหนักของเน้ือผล 106.20 กรัม และมีปริมาณ
4) 2,4-D 5 ppm 5) 2,4-D 10 ppm ของแขง็ ทล่ี ะลายนา้ ได้ท้ังหมด 19.60 องศาบริกซ์ (Table 1) ซึ่งสูงกวา่ ส่ิงทดลองอ่นื
6) 4-CPA 7.5 ppm 7) 4-CPA 15 ppm และแตกต่างอย่างมีนัยสาคัญ สอดคล้องกับการทดลองของเพชรา (2539) พบว่า
8) GA3 150 ppm 9) GA3 300 ppm การพ่นด้วย GA3 ทาให้ผลนอ้ ยหน่ามีคุณภาพท่ีดี คอื ผลมีขนาดใหญ่ น้าหนักผลมาก
10) CPPU 25 ppm 11) CPPU 50 ppm เนื้อหนา ผลมีความหวานสูง เมล็ดมีจานวนน้อย มีขนาดเล็กและลีบ เน่ืองจากจาก
90 – 110 วัน ได้รับสารจิบเบอเรลลินสังเคราะห์จากภายนอกเพียงพอต่อการพัฒนาของผล และทา
หลงั ฉดี พ่น
ให้เมล็ดเกดิ การผิดปกติขึ้น (Soost and Burnett, 1960)
PGRs
สรุปผล
ฉีดพ่นสงิ่ ทดลอง (PGRs) การฉีดพ่นด้วย GA3 ความเข้มข้น 300 ppm จานวน 1 ครั้ง ในระยะดอก
บานเตม็ ที่ ทาให้ผลนอ้ ยหนา่ มขี นาดใหญ่ และมีจานวนเมลด็ น้อยกว่าส่ิงทดลองอื่น ๆ
คดั เลือกดอกน้อยหน่า ทมี่ คี วามสมบรู ณ์ เก็บเกย่ี วผลผลิต นอกจากน้ันการพ่นด้วยสารควบคุมการเจริญเติบโต (PGRs) ทุกส่ิงทดลอง สามารถ
และอยใู่ นระยะดอกบานเตม็ ที่ ช่วยใหจ้ านวนเมลด็ ของน้อยหนา่ ลดลงได้อีกด้วย
เอกสารอ้างองิ
ทาการบันทึกข้อมูลคุณภาพผลผลิต ได้แก่ ความกว้างผล ความยาวผล เพชรา คาสระแกว้ . 2539. ผลของสารควบคมุ การเจรญิ เตบิ โตของพชื ต่อการตดิ ผล การพฒั นาการ และ
น้าหนักผล ปริมาตรผล ความหนาของเน้ือผล น้าหนักของเน้ือผล ปริมาณของแข็งท่ี คุณภาพของน้อยหน่า. วทิ ยานิพนธป์ รญิ ญาโท, มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ .
ละลายนา้ ได้ (TSS) จานวนเมล็ด และนา้ หนกั ของเมล็ด
Soost, R.K. and R.H. Burnett. 1960. Effect of gibberellin on yield and fruit
characteristics of clementine mandarin. Ame. Soc. Hort. Sci. 77 : 194-201.
ชนดิ และอตั ราสว่ นของถ่านชีวภาพจากวัสดเุ หลือท้ิงทางการเกษตร ตอ่ การเจริญเตบิ โต
และผลผลติ ของผกั กาดขาวปลี ทป่ี ลกู ในพน้ื ที่ตาบลหนองแม่นา อาเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบรู ณ์
Types and Proportion of Biochar from Agricultural Waste Affecting Growth and Yield of
Chinese Cabbage in Nong-Mae-Na Sub-district, Khao-Kho District, Phetchabun Province.
เกศศิรินทร์ แสงมณี1* และ อิสระ ตง้ั สุวรรณ2 1ม.ราชภฏั พระนคร และ 2ม.ราชภฏั เพชรบรู ณ์
Sangmanee, K 1* and Tangsuwan, I2 1Phranakorn Rajabhat University and 2Phetchabun Rajabhat University
ABSTRACT: This research aimed to use farmland waste to produce biochar for nurturing the crop in the organic agriculture system, along with soil fertilization.
Split Plot Design in Randomized Complete Block was designed which main plots were two types of biochar including 1) passionfruit peel and 2) tamarind peel, and sub-
plots were fertilized by various amounts of biochar at 1) 0 kg/rai, 2) 500 kg/rai, 3) 1,000 kg/rai, and 4) 2,000 kg/rai. Passionfruit peel biochar had greater physical
and chemical properties, than tamarind peel. The usage of biochar at 500 kg/rai resulted in the highest yields; number of leaves, wet weight before removing outer
leaves, wet weight after removing outer leaves, diameter, length, and productivity at 1,451.30 g, 1,107.50 g, 11.87 cm, 33.75 cm, and 9,240.00 kg/rai, respectively.
According to the study, the use of passionfruit peel biochar is an alternative for cultivating organic agriculture vegetables.
คานา จังหวัดเพชรบูรณ์จัดเป็นแหล่งปลูกมะขาม เสาวรส ซ่ึงพบว่าปี พ.ศ. 2559 อาเภอเขาค้อ มีผลผลิตเสาวรสทเี่ ก็บเกี่ยวได้ 3,413,905 กิโลกรัม โดยใช้เนื้อทเี่ พาะปลูกจานวน 3,694 ไร่ มากทสี่ ุดใน
จังหวัดเพชรบูรณ์ (สานักงานเกษตรจังหวัดเพชรบูรณ์, 2560) ทาให้มีวัสดุเหลือท้ิงทางการเกษตรส่วนใหญ่จะเป็นเปลือกเสาวรสและเปลือกมะขามจานวนมาก ซ่ึงวัสดุเหล่านี้สามารถนามาผลิตเป็นถ่าน
ชีวภาพเพ่ือใช้ในการปรับปรุงบารุงดิน เพ่ือเพ่ิมปรมิ าณธาตุอาหาร และจุลินทรีย์ในดิน อีกทั้งพบว่ายังช่วยกักเก็บคาร์บอนในดินได้ด้ว ย ดังน้ัน งานวิจัยน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาผลของถ่านชีวภาพในการ
ปรบั ปรงุ ดินทรายท่ปี ลูกผกั กาดขาวปลใี นพน้ื ทตี่ าบลหนองแม่นา อาเภอเขาค้อ จงั หวดั เพชรบรู ณ์ เพอ่ื ลดใช้ปยุ๋ เคมี และเปน็ แนวทางในการผลิตพชื ในระบบเกษตรอนิ ทรยี ์ต่อไป
ผลและวิจารณ์ผลการทดลอง จากการนาวสั ดเุ หลอื ใช้ทางการเกษตรที่ได้จากอุสาหกรรมแปร
ภาพท่ี 1 ถ่านชีวภาพจากเปลือกเสาวรส รูปเสาวรสและมะขาม นาเปลือกเสาวรสและเปลือกมะขามมาเผาทาเปน็ ถ่านชวี ภาพ โดยใช้กระบวนการไพ
โรไลซีสแบบใช้ออกซิเจนน้อยมากหรือไม่ใช้ออกซิเจน เป็นการใช้ความร้อนไล่ความชื้นในวัสดุออกท่ี
ภาพท่ี 2 ถ่านชีวภาพจากเปลือกมะขาม อุณหภูมิ 400 – 600 องศาเซลเซียส พบวา่ ถ่านชีวภาพจากเปลือกเสาวรสมีสมบัติทางเคมี (OM 44.20
%, N 1.04 %, P 2.12 % และ K 7.19 %) ทสี่ ูงกวา่ ถ่านชีวภาพจากเปลือกมะขาม (OM 16.63 %, N
อุปกรณ์และวิธีการ ทาการคัดเลือกพื้นท่ีดินทรายตื้นและเป็นพ้ืนที่ทาการปลูก 0.55 %, P 1.46 % และ K 2.21 %) และเม่ือนาไปส่ง SEM พบว่าถ่านชีวภาพจากเปลือกเสาวรส มี
โครงสร้างภายในคล้ายฟองน้า มีจานวนช่องว่างต่อพื้นท่ีมากและมีขนาดเล็ก (ภาพท่ี 1) เม่ือนาใช้ในการ
ผักกาดขาวปลีท่ีตาบลหนองแม่นา อาเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ เตรียมวัสดุเหลือใช้ทาง ปรับปรุงบารุงดิน ทาให้ดินมีปริมาณธาตุอาหารและมีความสามารถในการอุ้มน้าท่ีมากขึ้น อีกท้ังการปลูก
การเกษตรทจ่ี ะนามาทาถา่ นชีวภาพ ได้แก่ เปลอื กเสาวรส และเปลือกมะขาม นาถ่านชีวภาพทั้ง พืชในระบบเกษตรอินทรีย์จะทาให้จุลินทรีย์ในดินเพ่ิม และจุลินทรีย์จะเข้าไปอาศัยในช่องว่างเหล่าน้ีเพื่อ
2 ชนิด มาบดใหเ้ ป็นผง และนามาใส่ในแปลงทดลอง โดยวางแผนการทดลองแบบ Split plot เป็นท่ีอาศัย และยังช่วยปลดปล่อยธาตุอาหารใหพ้ ืช จากการทดลองในแปลงผลิตผักกาดขาวปลี พบว่า ไม่
design in Randomized Complete Block จานวน 3 ซ้า ปัจจัยหลัก (main plot) คือ มคี วามแตกตา่ งทางสถติ ิ แต่การใช้ถา่ นชีวภาพจากเปลือกเสาวรส สง่ ผลใหผ้ กั กาดขาวปลีมีการเจริญเติบโต
ชนิดของถ่านชีวภาพ คือ 1) ถ่านชีวภาพจากเปลือกเสาวรส 2) ถ่านชีวภาพจากเปลือกมะขาม และผลผลติ ท่มี ากกว่าการใช้ถ่านชวี ภาพจากเปลอื กมะขาม (Table 1)
ปัจจัยรอง (sub plot) คือ 1) 0 กิโลกรมั ต่อไร่ 2) 500 กิโลกรมั ต่อไร่ 3) 1000 กิโลกรมั ต่อไร่
4) 2000 กโิ ลกรมั ตอ่ ไร่ มขี น้ั ตอนดงั นี้ สว่ นอิทธพลร่วมระหวา่ งชนิดและอัตราของถา่ นชีวภาพ พบว่า ใช้ถ่านชีวภาพจากเปลอื กเสาวรส
อัตรา 500 กโิ ลกรัมตอ่ ไร่ สง่ ผลตอ่ จานวนใบตอ่ หวั นา้ หนกั สดก่อนตดั แต่ง น้าหนักสดหลงั ตัดแต่ง ความ
ยาวหัว เสน้ ผ่าศูนยก์ ลางของหวั และผลผลิตตอ่ พ้ืนท่มี ากท่ีสดุ (Table 2) เน่อื งจากสมบตั ทิ างเคมแี ละ
กายภาพของถ่านชีวภาพจากเปลือกเสาวรส มีปรมิ าณธาตุอาหารทสี่ งู
Table 1 Effects of Types and Proportion of Biochar on growth and yield
Factor wet weight before wet weight after Yield
namber of leaves removing outer leaves removing outer diameter length
leaves
(g) (g) (cm) (cm) (kg/rai)
Type Passionfruit peel biochar 52.64 1356.10 992.19 12.05 32.53 8220.00
(A) Tamarind peel biochar 52.03 1351.30 960.31 12.29 33.33 8063.30
F - Test ns ns ns ns ns ns
Ratio No Biochar 50.78 b1/ 1305.60 916.90 12.37 32.28 8133.30
นาถ่านชีวภาพใส่ลงแปลง คลมุ ฟาง หมกั ท้ิงไว้ 14 วัน (B) 500 kg/rai 52.75 ab 1387.50 1035.00 12.00 33.78 8488.90
คลกุ เคล้าให้เข้ากับดิน รดน้าทกุ ๆ 2 วัน 52.25 ab 1285.30 12.08 32.91 7740.00
1000 kg/rai 53.56 a 1436.30 938.70 12.24 32.28 8204.40
1014.40
2000 kg/rai * ns ns ns ns
ns ns ns ns ns ns
F - Test 3.71 14.04 ns 8.23 4.82 14.01
AxB 19.90
C.V. (%)
1/ Mean in the same column followed by the same letter are not significant different at p ≤ 0.05 by Duncan’s multiple range test
Table 2 Interaction of Types and Proportion of Biochar on growth and yield
Factor wet weight before wet weight after diameter length Yield
removing outer leaves removing outer leaves
(g) (g) (cm) (cm) (kg/rai)
31.18 8106.70
No Biochar 1243.70 861.30 12.26
33.75 9240.00
Passionfruit peel 500 kg/rai 1451.30 1107.50 11.87
biochar 32.37 7408.90
1000 kg/rai 1296.90 982.50 11.74 32.81 8124.40
1432.50 1017.50 12.34 33.37 8160.00
นาต้นกล้าอายุ 21 วัน ย้ายลง ใส่ป๋ ุยอินทรยี ์อัตรา 300 กิโลกรัมต่อไร่ 2000 kg/rai 1367.50 972.50 12.47 33.81 7737.30
แปลง ระยะปลกู 50 x 50 cm ทกุ ๆ 15 วัน 1323.80 962.50 12.13 33.44 8071.10
No Biochar 1273.80 895.00 12.42 32.68 8284.40
1440.00 1011.30 12.14 ns
Tamarind peel 500 kg/rai ns 4.82 ns
ns ns 8.23 14.01
สรปุ ผลการทดลอง การใสถ่ า่ นชวี ภาพจากเปลือกเสาวรส ทาใหผ้ กั กาดขาวปลมี ีการ biochar 1000 kg/rai 14.04 19.90
เจริญเตบิ โตและผลผลิตท่มี ากทส่ี ดุ และยงั ทาใหด้ นิ มคี วามอุดมสมบรู ณเ์ พมิ่ ข้นึ 2000 kg/rai
AxB
C.V. (%)
การใช้ GA3 และ CPPU เพ่ือเพม่ิ ขนาดของผลองุ่นรับประทานสดพนั ธ์ุ White Malaga
Use of GA3 and CPPU on Berry Enlargement of White Malaga Table Grape
บทคดั ยอ่ สวุ รรณา วนั คา1* เกรยี งศกั ดิ ์ไทยพงษ์1 ธยี ์ หะวานนท1์ และภาสนั ต์ ศารทลู ทตั 1
1ไรม่ อนซนู วลั เลย่ ์ วนิ ยารด์ หนองพลบั ประจวบครี ขี นั ธ์ 77110
2ภาควชิ าพชื สวน คณะเกษตร กาแพงแสน มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ กาแพงแสน นครปฐม 73140
[email protected]
‘White Malaga’ grape, a popular table grape, often encounters with small fruit size while the markets demand for the large fruit. This research determined
how GA3 and CPPU increase the fruit size. The experiment in CRD was conducted by spraying the inflorescences at 2 weeks after blooming with GA3 at 25, 50, 100
mg/L or CPPU at 2.5, 5.0, 7.5 mg/L, or 5.0 mg/L CPPU combined with GA3 at 25, 50, 100 mg/L. At harvest, the fruit sprayed with 5.0 mg/L CPPU + GA3 50 mg/L
was significantly larger size with 2.06 cm in fruit width, 3.78 cm in fruit length, 8.53 g in fruit weight and 427 g in bunch weight. This treated fruit was 22.03% soluble
solids (TSS) and 0.91% acidic content (TA). The results suggested that spraying of CPPU 5.0 mg/L + GA3 50 mg/L at two weeks after flowering can increase the
fruit size in ‘White Malaga’ grape
บทนำ
องุน่ รบั ประทานผลสดพนั ธุไ์ วท์มาละกาเป็นพนั ธุท์ ใ่ี ชร้ บั ประทานผลสดและเป็นสายพนั ธุ์ทน่ี ิยมปลูกมากทส่ี ุดใน ประเทศไทย และเป็นสา ยพนั ธุท์ ่สี ามารถปลกู งา่ ยและมกี าร
เจรญิ เตบิ โตไดด้ ี ซง่ึ เกษตรกรสว่ นใหญ่นยิ มปลกู สายพนั ธผุ์ ลยาวมากกวา่ ผลกลม (กหุ ลาบ, 2559) แต่มกั พบปัญหาผลมขี นาดเลก็ และเบยี ดแน่น โดยปัจจบุ นั มกี ารใชส้ ารควบคุมการ
เจรญิ เตบิ โตพชื Gibberellins (GA3) และ Forchlorfenuron (CPPU; 1-(2-chloro-4-pyridyl)-3-phenylurea) ซง่ึ มคี ุณสมบตั กิ ระตุน้ การแบ่งเซลล์ เพมิ่ จานวนเซลล์ ขยายขนาดของ
เซลล์ และเพม่ิ ขนาดในผลไมห้ ลายชนิด อาทเิ ชน่ องนุ่ กวี ฟ่ี รตุ๊ แกว้ มงั กร ชมพู่ แอปเป้ิล แตต่ อ้ งขน้ึ กบั ชนดิ สาร ความเขม้ ขน้ ชนิดพชื และชว่ งอายุทไ่ี ดร้ บั (Abu-Zahra, 2010)
สาหรบั องนุ่ มงี านวจิ ยั เบอ้ื งตน้ พบวา่ การใช้ GA3 เขม้ ขน้ 25 mg/L รว่ มกบั CPPU เขม้ ขน้ 5-10 mg/L กบั องนุ่ พนั ธุ์ Zeiny สามารถเพม่ิ ขนาดของผลได้ (Ben-Arie et al., 1997)
อยา่ งไรกต็ ามประสทิ ธภิ าพของการใชส้ ารขน้ึ กบั พนั ธอุ์ งนุ่ ระดบั ความเขม้ ขน้ และระยะอายผุ ลทเ่ี หมาะสมซง่ึ ยงั ไมม่ ขี อ้ มลู ในพนั ธุ์ไวทม์ ะละกา ดงั นัน้ จงึ ไดท้ าการวจิ ยั น้ีเพ่อื ใหท้ ราบ
ระดบั ความเขม้ ขน้ ของ CPPU และความเขม้ ขน้ ของ GA3 ทเ่ี หมาะสมกบั องนุ่ รบั ประทานสดพนั ธไุ์ วทม์ าละกาทป่ี ลกู ในประเทศไทย
อปุ กรณ์และวิธีกำร Table 1 Berry physical properties and qualities at harvest of ‘White Malaga’ grape treated with GA3 (G) or/and CPPU (C) at two weeks after berry
thinning, Treatments presented in concentration units of mg/L.
Physical properties Chemical qualities
ทาการคัดเลือกช่อผล โดยผลมีขนาด 3-5 Treatments Berry width Berry length Width/ Berry weight Bunch Weight TA TSS/TA
มลิ ลเิ มตร ใหส้ าร GA3 เขม้ ขน้ 25, 50 และ 100 mg/L TSS (%)
สาร CPPU เขม้ ขน้ 2.5, 5.0, 7.5 mg/L และ CPPU (cm) (cm) Length (g) (g) (%)
เขม้ ขน้ 5.0 mg/L ร่วมกบั GA3 เขม้ ขน้ 25, 50, 100
mg/L และไมใ่ ชส้ าร (Control) หลงั จากนนั้ หน่ึงสปั ดาห์ Control (Untreated) 1.46 B 2.35 B 0.62 A 3.65 B 183.22 C 18.13 B 0.71 B 25.18
ตัดซอยผลองุ่นให้เหลือ 50 ผลต่อช่อ เก็บขอ้ มูลการ
เจรญิ เตบิ โตของผลองุ่นทุกสปั ดาห์ (ตงั้ แต่สปั ดาห์ 11- G 25 1.65 AB 2.82 AB 0.58 B 5.05 AB 253.55 AB 19.11 A 0.77 A 24.81
15 หลงั ตดั แต่งกงิ่ ; Week After Pruning, WAP)
จนกระทงั่ เกบ็ เก่ยี วผลผลติ เม่อื อายุครบ 125 วนั ทา G 50 1.73 AB 3.12 AB 0.55 B 5.92 AB 296.44 AB 19.00 A 0.81 A 23.45
การบันทกึ ขอ้ มูลคุณภาพผลทางกายภาพ และบนั ทึก
คุณภาพผลทางเคมี G 100 1.66 AB 2.91 AB 0.57 B 5.02 AB 251.55 AB 19.00 A 0.81 A 23.45
C 2.5 1.61 AB 2.75 AB 0.58 B 4.99 AB 249.77 AB 18.77 A 0.79 A 23.75
C 5.0 1.66 AB 3.11 AB 0.53 B 5.58 AB 279.66 AB 19.11 A 0.78 A 24.50
C 7.5 1.62 AB 2.85 AB 0.56 B 4.75 AB 237.88 AB 18.88 A 0.78 A 24.20
C 5.0 + G 25 1.67 AB 3.04 AB 0.54 B 4.88 AB 244.22 AB 19.00 A 0.82 A 23.17
Figure Berry size 3-5 mm C 5.0 + G 50 1.83 A 3.36 A 0.54 B 7.58 A 379.55 A 20.11 A 0.90 A 22.34
C 5.0 +G 100 1.60 AB 3.10 AB 0.51 B 5.67 AB 281.88 AB 19.11 A 0.92 A 20.77
ผลการทดลอง
F-test * * * * * * * ns
C.V. (%) 0.21 0.55 0.06 2.24 2.23 0.17 0.55 2.94
Berry weightFigure 2 Changes in fruit weight during berry development of “White Malaga” grape treated with GA3 or/and CPPU. *,** Means in the same column with different letters are significantly different (p ≤0.05, 0.01)
ns Means in the same column are not significantly different (p > 0.05)
Berry Size
คณุ ภาพผลทางเคมี พบวา่ การไดร้ บั การพน่ สาร GA3, CPPU และ CPPU รว่ มกบั GA3 ท่ี
9 ระดบั ความเขม้ ขน้ ตา่ งๆ ใหเ้ ปอรเ์ ซน็ ตน์ ้าตาล (TSS) และเปอรเ์ ซน็ ตก์ รด (TA) ทส่ี งู กวา่ การ
ไมใ่ ชส้ าร(ควบคุม)
8
7
6
5 Control สรุป จากการศกึ ษาฉีดพ่นผลองนุ่ พนั ธุไ์ วทม์ าละกาดว้ ย GA3 และ CPPU เพ่อื เพมิ่ ขนาด
4 GA3 50 mg/L
3 CPPU 5.0 mg/L ผลพบว่ารใช้ CPPU เขม้ ขน้ 5.0 mg/L รว่ มกบั GA3 เขม้ ขน้ 50 mg/L ชว่ ยทาใหผ้ ลองนุ่ มี
2 CPPU 5.0 mg/L+GA3 50 mg/L พฒั นาการดา้ นขนาดผลได้ดที ส่ี ุดทงั้ ความกว้างผล ความยาวผล สดั ส่วนผล น้าหนักผล
1 และน้าหนกั ผลต่อชอ่
0 12 WAP 13 WAP 14 WAP Harvest
11 WAP
กลุ่มของทรที เมนต์ทไ่ี ดร้ บั สาร CPPU 5.0 mg/L รว่ มกบั GA3 50 กิตติกรรมประกำศ ขอขอบคณุ คุณกง่ิ มณี รงุ่ เรอื ง เกษตรกรสวนองนุ่ บา้ นดอนกลาง
mg/L ลกั ษณะทางกายภาพ ความกว้าง ความยาว สดั ส่วนผล
น้าหนักผล น้าหนักช่อเฉล่ยี สูงมากกว่ากลุ่มท่ไี ด้รบั GA3 และ ต.ดอนใหญ่ อ.บางแพ จ.ราชบุรี 70160
CPPU เพยี งอยา่ งเดยี ว และกลุม่ ทไ่ี มไ่ ดร้ บั สาร (ควบคุม)
เอกสำรอ้ำงอิง กุหลาบ หมายสขุ กลาง. 2559. ระบบสารสนเทศการผลติ ทางดา้ นเกษตร Online กรมสง่ เสรมิ การเกษตร. กรมสง่ เสรมิ การเกษตร. แหล่งทม่ี า: http://production.doae.go.th/
Abu-Zahra, T.R. 2010. Berry size of Thompson Seedless as influenced by the application of gibberellic acid and cane girdling. Pak. J. Bot. 42(3): 1755-1760.
Ben-Arie, R., P. Sarig, Y. Cohen-Ahdut, Y. Zutkhi, L. Sonego, T. Kapulonov and N. Lisker. 1997. CPPU and GA3 effects on pre- and post-harvest quality of seedless and seeded grapes.
In J. L. Guardiola., ed. Proc. VIIIth Symposium Plant Bioregulators. ISHS Acta Hort. 463: 349-356.
ผลของสารควบคมุ การเจริญเตบิ โตในการเพาะเลย้ี งเน้ือเย่ือแกJวสารพัดนกึ (Alocasia sanderiana W. Bull.)
Effects of Plant Growth Regulator on Tissue Culture of Alocasia sanderiana W. Bull.
วัลยา มงคลสวสั ด์ิ1 ทัศนัย ปญจนั ทรสงิ ห1 มานติ นรบัติ2 พลอยทพิ ย เวียงสมุทร2 และสุกญั ญา ทองเพ็ญ2
Mongkolsawat, W.1, Punjansing, T1, Norabat, M.2, Vaingsamoot, P.2 and Thongphen, S.2
1สาขาวิชาชวี วิทยา คณะวิทยาศาสตรA มหาวทิ ยาลัยราชภฎั อุดรธานี ศนู ยกA ารศกึ ษาสามพราว 234/3 หมู 12 ต.สามพราว อ.เมอื ง จ.อดุ รธานี 41000
2คณะครุศาสตรA มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏอุดรธานี 64 ถนนทหาร ตําบลหมากแขง อาํ เภอเมอื ง จังหวัดอุดรธานี 41000
บทคดั ยอ BAP ร่วมกับ NAA มีผลตอการเกิดยอดไดดีกวาการใช BAP เพียงอยางเดียว (Ali et al, 2007) สูตร
อาหาร MS ท่ีไมเติมสารควบคุมการเจรญิ เตบิ โต สามารถชักนําใหความสูงเฉล่ียสูงสุด 4.80 ซม. และ
ศึกษาผลของสารควบคุมการเจริญเติบโตตอการเจริญของแกวสารพัดนึก (Alocasia สามารถชักนําความยาวรากเฉลี่ยสูงสุด 5.78 ซม. สอดคลองการรายงานการวิจัยของ Bhatt et al,
sanderiana W. Bull) โดยเพาะเล้ียงตนออนบนอาหารสูตร Murashige and Skoog (MS) (1962) ที่ 2013 ศึกษาการขยายพนั ธAุ Alocasia 5 ชนดิ พบวา MS ทไี่ มเติมสารควบคุมการเจรญิ เตบิ โต สามารถ
เตมิ ฮอรAโมน BAP และ Kinetin ความเขมขน 0, 1, 2, 4 และ 8 มก./ล. และ BA หรอื Kinetin ความ ชกั นําใหเกดิ รากและความสงู ของตนสงู ทสี่ ุด
เขมขน 1 และ 2 มก./ล. รวมกับ NAA ความเขมขน 0.5 และ 1 มก./ล. เปOนเวลา 6 สัปดาหA พบวา
สตู รอาหาร MS ท่ีเตมิ BAP 2 มก./ล. รวมกับ NAA 1 มก./ล. สามารถชักนําใหเพ่ิมจํานวนยอดเฉลี่ย กข คงจ
สงู สุด 8.20 ยอดตอตน สูตรอาหารสงั เคราะหA MS ท่ีไมเติมสารควบคุมการเจริญเติบโต สามารถชักนํา
ใหความสงู เฉล่ียสงู สดุ 4.80 ซม. และสามารถชกั นาํ ความยาวรากเฉลี่ยสูงสุด 5.78 ซม. ในขณะที่สูตร
อาหาร MS ที่เติม Kinetin 1 และ 2 มก./ล. สามารถชักนําใหเพิ่มจํานวนรากเฉลี่ยสูงสุด 8.20 และ
8.40 รากตอตน ตามลําดับ และสูตรอาหารสังเคราะหA MS ท่ีเติม BAP 1 มก./ล. รวมกับ NAA 0.5
มก./ล สามารถชกั นาํ ใหจาํ นวนใบเฉลี่ยสงู สดุ 3.80 ใบตอตน
คาํ นาํ
แกวสารพัดนกึ จดั เปนO ไมใบและตนไม จัดอยวู งศA Araceae เปOนไมเขตรอน ใบเปOนแผนรูปหัวใจ ฉช ซฌ
แฉกลึก ดานบนมีสีเขียวเขม มันวาว ใตใบสีมวงแดง เสนกลางใบเปOนรองต้ืน สีขาว แกวสารพัดนึก ญฎฐ ฒ
จัดเปOนพันธุAไมหายากและข้ึนบัญชีแดงของ IUCN มีความเส่ียงข้ันวิกฤตตอการสูญพันธุA (Medecilo,
2008) ปjจจบุ นั ไดรับความนยิ มมาก แตการขยายพันธไุA มเพยี งพอกบั ความตองการ และเกษตรกรผูปลูก ภาพ 1 การเจริญเตบิ โตของตนแกวสารพัดนึกบนสูตรอาหาร MS ท่ีเติม BAP Kinetin และ BAP
ขาดขอมูลและความรูเก่ียวกับการขยายพันธAุดวยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อใหไดจํานวนมาก มีความ รวมกบั NAA ที่ระดบั ความเขมขนแตกตางกนั เปOนเวลา 6 สปั ดาหA
สมํา่ เสมอ ปลอดโรค และแมลง การขยายพันธโAุ ดยใชเทคนิคการเพาะเลี้ยงเน้ือเยื่อ จึงเปOนอีกทางเลือก ก. MS (control) ข. BAP 1 มก./ล. ค. BAP 2 มก./ล. ง. BAP 4 มก./ล. จ. BAP 8 มก./ล.
หนึง่ ที่จะแกไขปjญหาดงั กลาวได ดังน้นั ผวู ิจยั จงึ สนใจทจ่ี ะศกึ ษาผลของไซโตไคนินและออกซนิ ตอการเกิด ฉ. KIN 1 มก./ล. ช. KIN 2 มก./ล. ซ. KIN 4 มก./ล. ฌ. KIN 8 มก./ล. ญ. BAP1+NAA0.5 มก./ล
ยอดและรากของแกวสารพดั นึกในสภาพปลอดเชอ้ื เพอ่ื เปนO การเพิ่มจาํ นวนและการอนุรักษAพืชตอไปใน ฎ. BAP1+NAA1 มก./ล ฐ. BAP2+NAA0.5 มก./ล ฒ. BAP2+NAA1 มก./ล
อนาคต
สรุปผลการทดลอง
ผลและวิจารณผลการทดลอง
สูตรอาหารท่ีเหมาะสมในการเพาะเล้ยี งตนออนแกวสารพัดนกึ พบวา สูตรอาหาร MS ท่ีเติม BAP 2
ตาราง 1 การเจรญิ เตบิ โตของตนแกวสารพัดนึกบนสตู รอาหาร MS ทเี่ ตมิ BAP, Kinetin และ BAP มก./ล. รวมกับ NAA 1 มก./ล. สามารถชักนําใหเพ่ิมจํานวนยอดเฉลี่ยสูงสุด 8.20 ยอดตอตน สูตร
รวมกบั NAA ที่ระดบั ความเขมขนแตกตางกันเปนO เวลา อาหารสงั เคราะหA MS ท่ีไมเติมสารควบคุมการเจริญเติบโต สามารถชักนําใหความสูงเฉลี่ยสูงสุด 4.80
ซม. และสามารถชักนําความยาวรากเฉลี่ยสูงสุด 5.78 ซม. ในขณะท่ีสูตรอาหาร MS ท่ีเติม Kinetin 1
สตู รอาหารMS ท่ีเติมสารควบคุม จํานวนหนอ ความสงู ตJนเฉล่ยี จาํ นวนรากเฉลีย่ ความยาวราก จาํ นวนใบเฉล่ีย และ 2 มก./ล. สามารถชกั นาํ ใหเพิม่ จาํ นวนรากเฉลี่ยสงู สดุ 8.20 และ 8.40 รากตอตน ตามลาํ ดบั และ
ตอตJน สูตรอาหารสงั เคราะหA MS ท่ีเตมิ BAP 1 มก./ล. รวมกับ NAA 0.5 มก./ล สามารถชักนําใหจํานวนใบ
การเจรญิ เติบโต เฉลยี่ ตอตนJ (ซม.) ตอตJน เฉลยี่ (ซม.) เฉลยี่ สงู สดุ 3.80 ใบตอตน
1.8±0.20bcd
1. MS 1.00±0.00f 4.8±0.37a 7.00±0.55ab 5.78±0.65a 2.6±0.75abc เอกสารอาJ งองิ
3.60±0.60ab
2. MS+BAP 1 มก./ล 2.80±0.37de 3.30±0.51bcd 6.80±1.62abc 2.02±0.30cd 1.40±0.40cd รังสฤษฏA กาวีตlะ, 2545, การเพาะเล้ยี งเนื้อเยอ่ื พชื : หลักการและเทคนิค. สํานักพมิ พAมหาวิทยาลยั เกษตรศาสตรA, กรุงเทพฯ,
0.00±0.00d 219 หนา.
3. MS+BAP 2 มก./ล 4.20±0.37cd 2.20±0.12de 3.60±1.21cde 1.42±0.14cd 1.60±0.40cd
1.20±0.37cd Ali, A., Munawar, A. and Naz, S., 2007, An In Vitro Study on Micropropagation of Carladium bicolor,
4. MS+BAP 4 มก./ล 3.80±0.37d 2.20±0.12de 2.40±0.24de 0.72±0.06d 1.40±0.51cd International Agriculture and Biology, 9(5): 731-735.
0.20±0.20d
5. MS+BAP 8 มก./ล 4.00±0.00cd 2.00±0.00e 2.00±0.00e 0.50±0.00d 3.80±0.86a Bhatt, A., Stanly, C. and Keng, C.L., 2013, In vitro propagation of five Alocasia species, Horticultura Brasileira,
3.00±1.05abc 31: 210-215.
6. MS+ Kinetin 1 มก./ล 0.60±0.40f 2.70±0.34bcde 8.20±1.20a 5.50±0.27a 2.20±0.58abc
3.60±0.68ab Medecilo, M.P., Amoroso, V.B. and Ong R., 2008, Alocasia sanderiana. In: IUCN (International Union for
7. MS+ Kinetin 2 มก./ล 1.00±0.45f 3.30±0.73bcd 8.40±1.21a 4.13±0.31b Conservation of Nature). 2009 IUCN Red List& of Threatened Species. Version 2009.1. [Online], Available:
http://www.iucnredlist.org [October 15, 2020].
8. MS+ Kinetin 4 มก./ล 0.80±0.37f 2.70±0.37bcde 5.60±1.08abcd 2.60±0.37c
Murashige, T. and Skoog, F., 1962, A revised medium for rapid growth and bioassays with tobacco tissue
9. MS+ Kinetin 8 มก./ล 1.20±0.80ef 2.30±0.20de 3.60±1.21cde 2.88±1.33bc Cultures, Physiol. Plant, 15: 473–497.
10. MS+BAP1+NAA0.5 มก./ล 5.60±0.51bc 3.90±0.43ab 7.00±0.71ab 0.88±0.17d Skoog, F. and Miller, C., 1957, Chemical regulation of growth and organ formation in plant tissue
cultured in vitro, Symp Soc Exp Biol, 11: 118–131.
11. MS+BAP1+NAA1 มก./ล 4.40±0.51bcd 3.60±0.51bc 3.60±0.98cde 0.50±0.14d
12. MS+BAP2+NAA0.5 มก./ล 6.00±0.32b 2.40±0.19cde 3.80±0.92bcde 0.46±0.06d
13. MS+BAP2+NAA1 มก./ล 8.20±1.28a 2.90±0.19bcde 7.20±0.66a 0.69±0.15d
หมายเหตุ อักษรท่แี ตกตางกันทางแนวตงั้ มีความแตกตางกันทางสถติ ทิ ีร่ ะดับความเชือ่ มั่น 95% จากการเปรียบเทยี บคาเฉลี่ยแบบ DMRT
ผลของ BAP, Kinetin, และ BAP รวมกบั NAA ตอการเจรญิ เตบิ โตของตJนแกJวสารพัดนึก
สูตรอาหาร MS ที่เติม BAP 2 มก./ล. รวมกับ NAA 1 มก./ล. สามารถชักนําใหเพ่มิ จํานวนยอด
เฉลี่ยสูงสุด 8.20 ยอดตอตน และสตู รอาหารสังเคราะหA MS ท่เี ตมิ BAP 1 มก./ล. รวมกบั NAA 0.5
มก./ล สามารถชกั นําใหจํานวนใบเฉลยี่ สงู สดุ 3.80 ใบตอตน เน่อื งจากพชื สวนใหญมกี ารพัฒนาของ
อวยั วะไดเมอ่ื ไดรับสารควบคมุ การเจริญเติบโต 2 กลมุ คอื ออกซินและไซโตไคนิน ซ่งึ สดั สวนทง้ั สอง
กลุมเปนO ตัวกาํ หนดพัฒนาของเนือ้ เยือ่ ไปเปOนยอดและราก (รังสกฤษด์ิ, 2545) ดังน้นั การใช BAP หรือ
Kinetin เพียงอยางเดียวอาจไมใชสตู รอาหารท่ีเหมาะสมท่สี ดุ ในการพฒั นาใหเกิดยอด ซ่ึงมีรายงาน
การศกึ ษาของ Skoog and Miller (1957) พบวาการใชไซโตไคนินรวมกับออกซนิ ในอตั ราสวนต่ํากวาจะ
สงผลเกิดการพฒั นาของยอด และสอดคลองกบั การชกั นําใหเกิดยอดของ Caladium bicolor พบวา่
RESEARCH POSTER PRESENTATION DESIGN © 2015
www.PosterPresentations.com
Abstract คำนำ
Bacterial wilt is a serious cause disease in tomato. This study aimed to assess bacterial โรคเห่ยี วเขียว (Bacterial wilt) เป็นโรคทส่ี ำคัญมำกที่สุดของมะเขือเทศทป่ี ลกู ในเขตร้อน เกิดจำกเช้ือแบคทเี รยี
Ralstonia solanacearum โรคนี้พบไดท้ ่ัวไปในแหล่งปลูกมะเขอื เทศของประเทศไทย อำกำรโรคในมะเขอื เทศ เริ่มจำกใบลำ่ ง
wilt resistance in good characteristic tomato with highly beta-carotene and lycopene. The เหย่ี วแตใ่ บยังเขียวอยู่ เชื้อโรคจะเข้ำไปในต้นพืชผ่ำนทำงรำกและเพิ่มปริมำณในท่อน้ำ ทำให้รบกวนกำรลำเลียงน้ำและอำหำร
ของพืช กำรควบคุมโรคทำได้ยำก เนื่องจำกเช้ืออำศยั อยู่ในดิน วธิ กี ำรควบคมุ ท่ีได้ผลดีท่สี ุด คอื กำรใชพ้ นั ธุต์ ้ำนทำน (Agrios,
inoculation method was used for resistant screening in 59 tomato lines. The response of tomato 1996) แต่มะเขือเทศพนั ธตุ์ ้ำนทำนมคี วำมจำเพำะในบำงพ้ืนท่แี ละสูญเสียควำมตำ้ นทำนงำ่ ย กำรเสยี บยอดโดยใช้พันธตุ์ ้ำนทำน
เป็นต้นตอ เปน็ อีกแนวทำงหน่ึงในกำรควบคมุ โรคท่ีมปี ระสทิ ธภิ ำพ สำมำรถลดกำรเขำ้ ทำลำยของเช้ือโรคเหีย่ วเขียวได้
was checked at 4 weeks after inoculation. The result showed that all tomato lines were (Laeshita and Arwiyanto, 2017)
susceptible, ranged from 68-100 disease index percentage. The resistant tomato were grown and ศูนยว์ ิจัยพชื สวนศรีสะเกษดำเนินโครงกำรสำรวจและรวบรวมมะเขือเทศเพื่อกำรปรับปรงุ พนั ธ์ุ ระหวำ่ งปี พ.ศ. 2555 –
2557 ได้รวบรวมมะเขือเทศจำกแหล่งต่ำงๆ นำมำปลูกศึกษำลักษณะทำงกำรเกษตร และได้วเิ ครำะห์สำรสำคัญ ไดแ้ ก่ เบต้ำแค
self-pollinated. The seeds were sowed and repeated for bacterial wilt inoculation until the fifth โรทนี และไลโคปนี หลำยพันธม์ุ ลี กั ษณะต้ำนทำนต่อโรคเหีย่ วเขียวในสภำพแปลง เหมำะสำหรับนำมำใช้เป็นพนั ธต์ุ ำ้ นทำนโรค
หรือใช้เปน็ พันธุ์ต้นตอ ดังน้ัน จึงไดน้ ำพนั ธุท์ ี่มีศักยภำพเหล่ำนี้มำทดสอบควำมต้ำนทำนตอ่ โรคเห่ียวเขียวในโรงเรอื น เพ่ือ
generation (S5). The result found that tomato had increased resistance to bacterial wilt in each คดั เลือกพันธุท์ ี่มีควำมตำ้ นทำนโรคหรือใช้เป็นพันธุต์ น้ ตอ สำหรบั ใหเ้ กษตรกรปลูกตอ่ ไป
generation. The first to the second generations (S1-S2) showed 25-100 disease index percentage.
The third to the fourth generations (S3-S4) had 0-100 disease index percentage and the fifth
generation (S5) had 0-31 disease index percentage. The five disease resistant lines were selected.
These lines will be used for bacterial wilt resistance breeding program.
Keywords: Bacterial wilt, Inoculation, Disease percentage, Resistant cultivars
บทคดั ย่อ ผลการทดลอง
โรคเห่ียวเขียวจากเชื้อแบคทีเรยี เปน็ โรคทส่ี าคญั ตอ่ การปลูกมะเขือเทศ การทดลองน้ีมีวัตถุประสงค์ ผลการปลูกเชอ้ื โรคเหี่ยวเขยี วใหแ้ กต่ น้ กลา้ มะเขอื เทศ จานวน 59 สายพนั ธ์ุ เปรยี บเทยี บกับพันธุ์
เพือ่ คัดเลอื กมะเขือเทศที่มลี กั ษณะดีทางการเกษตร มีสารเบตา้ แคโรทนี และไลโคปีนสูง ใหม้ ีลักษณะต้านทาน ต้านทานและพนั ธ์อุ ่อนแอ พบวา่ มะเขือเทศทกุ สายพนั ธอุ์ ่อนแอตอ่ โรคเหยี่ วเขียว โดยมีค่า DI ต้ังแต่ 68-
โรคเห่ียวเขียว โดยการปลูกเชอื้ โรคเหย่ี วเขียวให้แก่มะเขอื เทศสายพันธค์ุ ดั เลือกจานวน 59 สายพันธุ์ ตรวจสอบ 100 เปอรเ์ ซน็ ต์ มเี พยี ง 10 สายพันธุ์มีต้นทไี่ ม่แสดงอาการโรคเหี่ยวเขียว ไดแ้ ก่ สายพันธ์ุ 007 010
การตอบสนองต่อเชอ้ื โรคหลังปลกู เช้อื เป็นเวลา 4 สปั ดาห์ ผลการทดลองพบว่า มะเขือเทศมีการตอบสนองต่อ 034 045-2 047 296 333-2 357-2 397 และ 399 หลังจากนน้ั นาตน้ ทไี่ มแ่ สดงอาการเห่ียว ยา้ ย
เชอื้ โรคเห่ียวเขียว โดยทุกสายพันธอ์ุ ่อนแอตอ่ เชอ้ื โรคเห่ยี วเขียวแสดงอาการเหี่ยว 68-100 เปอร์เซน็ ต์ ปลูกในถงุ ดาขนาด 7x14 นิว้ ในโรงเรือน คลมุ ดอกเกบ็ เมลด็ นาเมลด็ มาเพาะกลา้ ในถาดเพาะ ยา้ ยปลูกตน้
คดั เลอื กตน้ ทไ่ี มแ่ สดงอาการคลุมดอกและเก็บเมลด็ ผสมตัวเอง นามาทดสอบความตา้ นทานต่อโรคเห่ียวเขียว กล้าใสก่ ระถางและปลกู เชื้อแบคทเี รยี ตามกรรมวิธีข้างตน้ พบวา่ การปลูกเช้อื ใหต้ น้ กลา้ มะเขือเทศที่ไดจ้ าก
ทาซ้าจนกระทั่งถึงรุ่นท่ี 5 (S5) พบว่ามะเขือเทศมีความต้านทานโรคเหี่ยวเขียวเพิ่มขน้ึ ในแต่ละรุ่น โดยรุ่น S1- ตน้ ต้านทานและผสมตวั เองรุ่นที่ 1 (S1) และร่นุ ท่ี 2 (S2) มคี วามตา้ นทานโรคเหีย่ วเขยี วเพม่ิ ข้นึ โดยมีค่า
S2 มคี า่ ดัชนกี ารเกิดโรค 25-100 รุ่น S3-S4 มคี า่ ดัชนีการเกิดโรค 0-100 และรุ่น S5 มคี ่าดัชนกี ารเกดิ โรค 0- DI ระหวา่ ง 25-100 เปอรเ์ ซน็ ต์ โดยสายพันธุ์ 034 มคี ่า DI 25 เปอร์เซ็นต์เท่ากับพนั ธ์ุ H-7996 ซงึ่ เปน็
31 สามารถคัดเลือกไดม้ ะเขอื เทศตา้ นทานโรคเหี่ยวเขียว 5 สายพันธุ์ มะเขอื เทศต้านทานเหล่าน้ีจะใช้ในการ พันธุ์ต้านทานเปรยี บเทียบ และ 045 มีค่า DI 27 เปอร์เซน็ ต์
พฒั นาพันธ์ุมะเขอื เทศตา้ นทานโรคเหีย่ วเขียวต่อไป
คาสาคญั : โรคเหย่ี วเขยี ว, การปลูกเชื้อโรคเหย่ี วเขยี ว, เปอรเ์ ซ็นต์การเกดิ โรค, พนั ธ์ตุ า้ นทานโรค
อุปกรณแ์ ละวิธีการ การทดสอบความตา้ นทานต่อโรคเหีย่ วเขยี วในรนุ่ ท่ี 3 (S3) และรนุ่ ท่ี 4 (S4) ซ่ึงเกบ็ เมล็ดจากต้น
ต้านทานรนุ่ S2 และ S3 พบวา่ มีคา่ DI ระหวา่ ง 0-100 เปอรเ์ ซน็ ต์ (Table 1) เก็บเมลด็ รุ่นท่ี 5 (S5)
1. การเตรยี มตน้ มะเขอื เทศ นามาทดสอบปฏิกิรยิ าตอ่ โรคเหยี่ วเขียวตามวธิ ีการท่กี ลา่ วมาแล้ว พบว่า สายพนั ธ์มุ ะเขอื เทศแสดงความ
เพาะเมล็ดพนั ธุม์ ะเขือเทศในกระบะเพาะ เมอ่ื มีใบจริง 1 คู่ ย้ายปลกู ตน้ มะเขือเทศลงกระถาง ขนาด
ต้านทานตอ่ โรคเหย่ี วเขียว โดยมคี ่า DI ระหวา่ ง 0-31 เปอร์เซน็ ต์ และมีมะเขอื เทศ 5 สายพนั ธทุ์ ม่ี คี า่ DI
เสน้ ผ่าศนู ยก์ ลาง 4 น้วิ โดยใชม้ ะเขือเทศพนั ธ์สุ ีดาทพิ ย์เปน็ พนั ธอ์ุ ่อนแอเปรยี บเทยี บ สว่ นพนั ธ์ุต้านทานใช้
พันธุ์ H7996 และ BWR#1405 เปน็ พันธเุ์ ปรยี บเทยี บ ปลูกมะเขือเทศในเรอื นปลกู พืชทดลองให้มอี ายุ เท่ากบั 0 เปอรเ์ ซน็ ต์หรือไมแ่ สดงอาการของโรคเลย ไดแ้ ก่ สายพนั ธุ์ 034-5-1r, 034-5-1-2n, 045-3-
30 วัน โดยใชต้ ้นมะเขือเทศในการทดสอบจานวน 20 ตน้ ต่อสายพนั ธุ์
2. การเตรยี มเชอื้ แบคทเี รยี R. solanacearum 1r, 045-3-1-5n และ 045-10-1-3n และได้เก็บเมล็ดร่นุ ที่ 6 (S6) เพอื่ ใชต้ ่อไป
นาเชอื้ แบคทีเรยี R. solanacearum ทเ่ี ก็บรกั ษาไวใ้ นหนว่ ยเกบ็ รักษาเชอื้ พันธจ์ุ ุลินทรียโ์ รคพชื ของ Table 1 Response of tomato to bacterial wilt infection after inoculation for 4 weeks
กรมวชิ าการเกษตร นามากระตนุ้ ใหม้ ีชวี ติ โดยนามาเล้ียงบนอาหาร Wakimoto’s semisynthetic potato
medium (PSA) ท่ีอุณหภูมิ 30ºC เป็นเวลา 96 ชวั่ โมง นาโคโลนที ่เี จรญิ บนอาหาร PSA มาเล้ียงใน Generation Tomato lines Total plants Resistant Disease index Phenotype
อาหาร Kelmen’s TZC agar ทีอ่ ุณหภูมิ 30ºC เปน็ เวลา 48 ชวั่ โมง คดั เลอื กเฉพาะโคโลนีเดย่ี วสีขาว percentage (%)
ตรงกลางโคโลนเี ปน็ สชี มพู รูปรา่ งไม่แนน่ อนซึง่ เปน็ สายพันธ์ุทรี่ นุ แรง มาเลี้ยงในอาหารเหลว 523 บน S4 034-2-2 29 3 R
เครื่องเขยา่ ท่มี คี วามเรว็ รอบ 250 รอบ/นาที ทีอ่ ณุ หภูมิ 30ºC เป็นเวลา 24 ชัว่ โมง นาสารละลายเชอื้ 034-5-1 30 97 7 R
100 µl มาเกลย่ี ลงบนอาหารแข็ง 523 บม่ ทีอ่ ณุ หภมู ิ 30ºC เปน็ เวลา 24 ชวั่ โมง ละลายเชือ้ ด้วยน้า 045-14-4 30 93 53 S
กลนั่ น่ึงฆา่ เช้ือ ปรบั ความเขม้ ข้นของเชื้อโดยการวัดค่าความขนุ่ โดยใชเ้ ครอื่ งspectrophotometerท่ีความ 045-3-1 30 47 37 S
ยาวคล่ืนแสง 600 นาโนเมตร ให้ไดค้ ่า OD เท่ากบั 0.3 มคี วามเขม้ ขน้ ของเชือ้ ประมาณ 108 cfu/ml 045-10-1 29 63 0.0 HR
3. การทดสอบปฏกิ ิริยาพนั ธมุ์ ะเขือเทศตอ่ โรคเห่ยี วเขยี ว 337-1-1 30 100 100 HS
357-10-2 30 0 77 HS
โดยนาเชอื้ แบคทีเรยี R. solanacearum ที่เตรียมไวข้ า้ งตน้ มาปลกู เชอ้ื ลงบนตน้ มะเขือเทศทเี่ ตรียมไว้ 357-2-12 30 23 40 S
โดยกอ่ นปลกู เชือ้ งดการใหน้ ้ามะเขอื เทศเปน็ เวลา 1 วนั ปลูกเชือ้ ลงบนมะเขอื เทศโดยใชม้ ดี หรือคตั เตอร์ที่ 31 60 7 R
สะอาดตัดส่วนรากหา่ งจากตน้ 1-2 เซนติเมตร ราดด้วยสารละลายเชอ้ื ท่ีเตรยี มทนั ที โดยใชอ้ ตั ราส่วน S5 034-2-2r 30 93 3 R
สารละลายต่อดินในกระถาง 1: 10(v/v)(~ 20 มิลลลิ ิตร/ต้น) 034-2-2-2n 20 97 5 R
การบนั ทกึ ผล ตรวจผลการทดลองหลังการปลูกเชอ้ื ทกุ 7 วัน โดยนับจานวนตน้ ทเ่ี กดิ โรคหลงั ปลูกเช้ือ 034-2-2-1n 30 95 0 HR
เปน็ เวลา 4 สัปดาห์ นับจานวนตน้ ทีแ่ สดงอาการโรคแต่ละระดบั คะแนน ตามระดบั อาการตอ่ โรค 5 ระดบั 034-5-1r 25 100 0 HR
(Winstead and Kelman, 1952) คานวณคา่ ดชั นกี ารเกดิ โรค (Disease index, DI) 034-5-1-2n 30 100 0 HR
นาคา่ ดัชนีการเกดิ โรคมาใชจ้ ดั ระดับความตา้ นทาน ดงั น้ี 045-3-1r 30 100 0 HR
045-3-1-5n 30 100 7 R
0 % = ต้านทานมาก (Highly resistant, HR) 045-10-1-3n 29 63 3 R
1-10 % = ตา้ นทาน (Resistant, R) 045-10-1r 27 97 0 HR
11-20 % = ต้านทานปานกลาง (Moderate resistant, MR) 045-10-1-3n 27 100 30 MS
21-30 % = อ่อนแอปานกลาง (Moderately susceptible, MS) 357-12-2r 29 70 31 S
31-70 % = ออ่ นแอ (Susceptible, S) 357-12-2-1n 69
71-100 % = อ่อนแอมาก (Highly susceptible, HS)
วิจารณ์
ผลการศกึ ษาการคัดเลือกมะเขือเทศต้านทานโรคเหี่ยวเขียว สามารถคดั เลอื กสายพันธม์ุ ะเขอื เทศทมี่ ี
ความต้านทานได้ โดยในรุน่ แรกๆ มะเขือเทศมคี วามอ่อนแอตอ่ โรคมาก แตย่ งั คงมีบางต้นไมแ่ สดงอาการ
ของโรค เมือ่ เก็บเมล็ดจากต้นตา้ นทานเหลา่ นม้ี าปลูกและทดสอบความตา้ นทานโรค โดยทาซ้าๆหลายๆรนุ่
พบว่า ความต้านทานของโรคเพิม่ ข้นึ ในรุ่นท่เี พม่ิ ขนึ้ เน่ืองจากการเพ่ิมขน้ึ ของยีนต้านทาน
สรปุ
การคดั เลอื กมะเขอื เทศตา้ นทานโรคเหย่ี วเขยี ว สามารถคัดเลือกได้สายพนั ธุ์มะเขือเทศในช่วั ท่ี 5 (S5) ทมี่ ีความ
ต้านทานสงู จานวน 5 สายพนั ธ์ุ คอื สายพนั ธ์ุ 034-5-1r, 045-3-1r, 045-3-1-5n และ 045-10-1-3n โดยมี
ดัชนกี ารเกดิ โรค 0 เปอรเ์ ซน็ ต์ ทงั้ 5 สายพันธ์ุ สามารถนามาพฒั นาตอ่ เพอ่ื ใหไ้ ด้มะเขอื เทศพนั ธใุ์ หม่ต้านทานโรค
เหี่ยวเขยี ว และใชเ้ ป็นตน้ ตอสาหรับพันธุ์การค้าท่ีมคี วามออ่ นแอตอ่ โรคเหย่ี วเขยี วได้
เอกสารอา้ งองิ Agrios, G.N. 2005. Plant Pathology. Academic Press, New York. 922 p.
Laeshita, P. and T. Arwiyanto. 2017. Resistance test of several tomato varieties to bacterial wilt diseases caused by Ralstonia solanacearum. J.P.T. Indonesia 21: 51-53.
Winstead, N.N. and A. Kelman. 1952. Inoculation technique for evaluating resistance to Pseudomonas solanacearum. Phytopathol. 42: 628-634.
การคัดแยกจลุ ินทรียย์ ่อยสลายฟอสเฟตจากดินแปลงนาขา้ วอนิ ทรียใ์ นจงั หวดั สรุ ินทร์
Isolation of Phosphate Solubilizing Microorganisms from Organic Paddy
Fields Soil in Surin Province
อรลัดา เจือจันทร์1 นิอร งามฮยุ 1 และ อไุ รลกั ษณ์ พงษ์เกษ1
1 คณะเกษตรศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลอสี าน วิทยาเขตสุรินทร์
บทคัดย่อ
การคดั แยกแบคทเี รยี ละลายฟอสเฟตของดนิ ตัวอยา่ งจากแปลงนาขา้ วอินทรีย์ในจังหวัดสุรินทรจ์ านวน 16 แปลงนา ตวั อย่างดนิ มีค่าพีเอช 4.19 – 6.62
ปรมิ าณฟอสเฟตทั้งหมด 379.62±22.87 ถึง 44.21±6.80 มก./กก. และปริมาณฟอสฟอรัสที่เปน็ ประโยชนต์ อ่ พชื 31.52±0.18 ถึง 1.64±0.41 มก./กก. สามารถคดั
แยกแบคทีเรยี ท่ีมปี ระสิทธภิ าพในการละลายฟอสเฟตโดยใชอ้ าหารแข็ง Pikovskaya’s ซ่งึ ละลายสารประกอบอนนิ ทรยี แ์ คลเซยี มฟอสเฟตใหอ้ ยใู่ นรปู ของเหลวได้
จานวน 45 ไอโซเลท แบคทีเรยี ทคี่ ัดแยกได้ 2 ไอโซเลท มีประสทิ ธิภาพในการละลายฟอสเฟตได้มากทีส่ ุด จาแนกไดส้ ายพันธุ์ Burkholderia vietnamiensis
(PB1601) และ Burkholderia anthina/territorii (PB1603) ใหป้ ระสิทธภิ าพในการละลายฟอสเฟตบนอาหารแขง็ (PSE) มีค่าเฉลย่ี 5.58±0.84 และ 5.48±0.23
ตามลาดบั โดยแบคทเี รยี ท้ังสองสายพันธส์ุ ามารถละลายฟอสเฟตในอาหารเหลว Pikovskaya’s ที่มี tricalcium phosphate 5 มก./มล. นอกจากน้ียังพบว่า
แบคทีเรีย B. vietnamiensis และ B. anthina/territorii ให้ฟอสเฟตละลายน้าเพิม่ เป็น 11.02±2.21 และ 7.10±0.17 มก./มล. ตามลาดบั
บทนา ผลการทดลอง
ฟอสฟอรัสจัดเป็นธาตุอาหารหลักสาหรับพืชท่ีสาคัญรองจากธาตุไนโตรเจน ช่วยในการเจริญเติบโต c d e
การให้ผลผลิต ใช้ในขบวนการขนส่งและเก็บรักษาพลังงานในกระบวนการชีวเคมีของเซลล์พืช a
(Khan และคณะ, 2009) ซ่ึงพืชตอ้ งการในปริมาณมาก แต่พบเพียง 0.1 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณ
ฟอสเฟตที่พบในดินในสภาพสารละลายที่พืชสามารถนาไปใช้ได้ ซึ่งแสดงว่าฟอสเฟตในดินถูกตรึงไว้ b
และละลายออกมาในดินค่อนขา้ งต่า (Pereira และ Castro, 2014) การจัดการธาตุอาหารพืช โดย
การใช้จุลินทรีย์เพื่อการเพ่ิมปริมาณธาตุฟอสฟอรัสในดิน เป็นวิธีท่ีเป็นมิตรกับส่ิงแวดล้อมและ Figure 1 Halo zone or clear zone of the effective phosphate solubilizing bacteria
ค่าใช้จ่ายค่อนข้างต่าและเป็นปัจจัยสาคัญสาหรับวัฎจักรชีวเคมีธรณี จุลินทรีย์ย่อยสลายฟอสเฟต
(phosphate solubilizing microorganisms (PSM) เป็นกล่มุ จุลินทรียท์ ี่มีความสามารถละลาย a.) PB1601 b.) PB1602 c.) PB1603 d.) PB0305 e.) PB0601
และเพ่ิมแร่ธาตุฟอสเฟตในดินในรูปอนินทรีย์และอินทรีย์สาหรับพืชนาไปใช้ได้ (Rodriguez และ
Fraga,1999) โดยตอ้ งอยใู่ นรปู H2PO4- และ HPO42- จุลนิ ทรีย์บรเิ วณรอบรากพชื จะชว่ ยให้พืชเจริญ Table 1 Properties of five effective phosphate solubilizing bacteria
เติบโตได้ดี จุลินทรีย์ย่อยสลายฟอสเฟตมีหลากหลายชนิดทั้งแบคทีเรีย รา และแอคติโนมัยซิส
วัตถุประสงค์ของงานวิจัยน้ีเพ่ือคัดเลือกจุลินทรีย์ย่อยสลายฟอสเฟตจากแปลงนาข้าว และศึกษา Isolate Colony Halo zone PSE* Phosphorus**
คุณสมบัติของจลุ ินทรียท์ ีค่ ดั แยกไดเ้ พอื่ นาไปประยกุ ต์ใช้ตอ่ ไป diameter* diameter* (mg/ml)
PB1601
วิธีการทดลอง PB1602 (cm) (cm) 5.58±0.84b 11.02±2.21a
PB1603
การเกบ็ ตัวอย่างดนิ PB0305 0.51±0.07 2.30±0.15 7.05±0.92a 4.45±1.44b,c
ตัวอย่างดินจากแปลงนาข้าวอินทรีย์ในจังหวัดสุรินทร์ 16 ตัวอย่าง เก็บห่างจากขอบ 1 เมตร ทั้ง 4 ด้าน PB0601 5.48±0.23b 7.10±0.17b,c
0.38±0.06 2.26±0.07 4.54±0.08b,c 5.81±0.40b,c
ขดุ ดินรอบรากต้นข้าว ลกึ จากผิวดนิ 6 - 15 ซม. ใส่ในถงุ ปราศจากเชอื้ ผสมดนิ ให้เขา้ กนั ภายในถุง ผ่ึงให้แห้ง 0.57±0.03 2.57±0.15 4.12±0.41c 3.18±1.69c
การวดั ค่าความเป็นกรด-ดา่ งของตัวอยา่ งดนิ (กรมพฒั นาทีด่ ิน, 2553) 0.79±0.03 2.78±0.05
0.85±0.13 2.62±0.10
ชั่งตัวอย่างดินทแ่ี หง้ และร่อนแลว้ 20 กรมั ใสใ่ นบกี เกอร์ เติมน้ากลั่น 20 มล. อัตราสว่ นดนิ : นา้ เทา่ กับ
1 : 1 (w/w) ใชแ้ ทง่ แกว้ คนให้เขา้ กัน ต้งั ทง้ิ ไว้จนดนิ ตกตะกอน วดั pH ตรงบริเวณใส และบันทึกคา่ pH Note: PSE: Phosphate Solubilization Efficiency, * Results in Pikovskaya’s agar, ** Results in Pikovskaya’s broth
การเตรียมดินสาหรบั วเิ คราะหป์ ริมาณฟอสเฟตท้ังหมดและปริมาณฟอสฟอรัสท่เี ป็นประโยชนต์ อ่ พชื Values are means of triplicate determination. Values within the same column followed by different superscript are significantly difference (p ≤ 0.05).
นาดินใส่ถาดอะลูมิเนียม กระจายในถาด และอบในตู้อบลมร้อนท่ีอุณหภูมิ 50oC จนดินแห้ง ร่อนดินด้วย ตัวอย่างดนิ จากแปลงนาขา้ วอนิ ทรยี ใ์ นจังหวัดสรุ นิ ทรเ์ ปน็ ดนิ ร่วนและดนิ เหนียว มฤี ทธ์ิเปน็
ตะกร้าพลาสติกท่ีมชี ่องว่าง เพื่อกรองส่งิ สกปรกออกจากดนิ บดดนิ ใหล้ ะเอยี ด เก็บในถุงพลาสตกิ กรดจัดมากมฟี อสเฟตทัง้ หมด 44.21-379.62 มก./กก. ปริมาณฟอสฟอรัสท่ีเป็นประโยชน์
การวเิ คราะห์ปรมิ าณฟอสเฟตทงั้ หมด (ดดั แปลงจากกลมุ่ วจิ ยั เกษตรเคมี, 2551) ต่อพชื 1.64-31.52 มก./กก. การคดั แยกจลุ นิ ทรยี ล์ ะลายฟอสเฟตจากตัวอยา่ งดนิ บน
อาหารแขง็ Pikovskaya’s agar บ่มที่ 37 oC 24-48 ช่วั โมง พบจลุ นิ ทรยี ์ทส่ี ามารถย่อย
นาดินอบแห้ง ชั่ง 1.0xxx กรัม เติมกรด HNO3 70% ปริมาตร 20 มล. ย่อยจนควันสีน้าตาลหมด ทิ้งให้ สลายฟอสเฟตได้ 45 ไอโซเลท ลักษณะการเกิดวงใสรอบโคโลนี หรอื Halo zone
เย็นที่อุณหภูมิห้อง เติมกรด HClO4 70% ปริมาตร 20 มล. ย่อยจนใส ทิ้งให้เย็นท่ีอุณหภูมิห้อง เติมน้ากลั่น diameter เกดิ จากแบคทเี รยี มเี อนไซมย์ ่อยสลายฟอสเฟต สามารถแยกแบคทเี รยี ที่มี
50 มล. ใหค้ วามรอ้ น 2 - 3 นาที ปเิ ปตสารละลาย 5 มล. ลงในขวดวัดปริมาตร 100 มล. เติมน้ากล่ัน 45 มล. ประสทิ ธภิ าพมากทีส่ ดุ ได้ 5 ไอโซเลท คอื PB1601 PB1602 PB1603 PB0305 และ
ท้ิงไว้ 5 นาที เติมสารลละลาย molybdovanadate reagent ปริมาตร 10 มล. ปรับปริมาตรด้วยน้ากล่ัน PB0601 แตพ่ บวา่ แบคทเี รยี ท่ีมีประสทิ ธิภาพมากทสี่ ดุ ในการละลายสารฟอสเฟตในอาหาร
จนครบ ตัง้ ทงิ้ ไว้ 10 นาที วดั ค่าการดดู กลนื แสงที่ 420 nm เทียบกับ blank เหลว Pikovskaya’s มี 2 ไอโซเลท คือ ไอโซเลท PB1601 และ PB1603 ซ่งึ สามารถ
การวเิ คราะห์ปรมิ าณฟอสฟอรสั ท่ีเปน็ ประโยชนต์ ่อพชื (Available Phosphorus) โดยวิธี Bray II จาแนกไดเ้ ป็นสายพันธ์ุ Burkholderia แต่มีความแตกต่างของสปชี สี ์
(ดัดแปลงจาก กรมพัฒนาท่ีดนิ , 2553)
สรปุ ผล
ช่งั ตัวอยา่ งดนิ 5.0xxx กรัม เตมิ นา้ ยาสกัด Bray II ปรมิ าตร 40 มล. เขยา่ 3 นาที กรองดว้ ยกระดาษ
กรอง No.5 ปเิ ปต 1 มล. ใส่ในหลอดทดสอบ เตมิ นา้ ยา develop สี (สาร ascorbic acid ท่มี ี sulfuric- แบคทเี รยี ทีม่ ปี ระสทิ ธิภาพดีทสี่ ุดโดยให้ปรมิ าณฟอสฟอรัสในอาหารเหลวมากท่ีสุดคอื ไอโซเลท
molybdate-tartrate solution) 16 มล. ท้งิ ไว้ครึ่งชวั่ โมง นาไปอา่ นคา่ การดูดกลนื แสงที่ 882 nm PB1601 และPB1603 พบวา่ ไอโซเลท PB1601 ใกลเ้ คียงกบั แบคทีเรียสายพันธุ์ Burkholderia
vietnamiensis และไอโซเลท PB1603 ใกลเ้ คียงกบั แบคทีเรยี 2 สายพันธ์ุ โดยมีคา่ ความ
เหมอื นกบั แบคทีเรียสายพนั ธ์ุ Burkholderia anthina และ Burkholderia territorii จงึ นา
แบคทีเรียท้ังสองสายพันธท์ุ ดสอบการปลูกข้าวในการทดลองตอ่ ไป
เอกสารอา้ งอิง
กรมพฒั นาทีด่ ิน, 2553, ค่มู ือการปฏิบัตงิ าน: กระบวนการวิเคราะห์ตรวจสอบดนิ ทางเคมี. แกไ้ ขคร้งั ที่ 1. 1-51.
กลุม่ วิจัยเกษตรเคมี, 2551, คูม่ อื วิธีวเิ คราะหป์ ุ๋ยเคมี. สานกั วิจัยพัฒนาปจั จยั การผลติ ทางการเกษตร กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. 66 หนา้ .
Khan, A.A., Jilani G., Akhtar, S.M., Naqvi, S.M.S. and Rasheed, M., 2009, Phosphorus Solubilizing Bacteria: Occurrence, Mechanisms and Their Role in
Crop Production. Research journal of Agriculture and Biological Sciences, 1(1): 48-58.
Pereira, S.I.A. and Castro, P.L., 2014, Phosphate-solubilizing Rhizobacteria Enhance Zea mays Growth in Agricultural P-deficient Soils. Journal of
Ecological Engineering, 73: 526-535.
Rodriguez, H. and Fraga, R., 1999, Phosphate Solubilizing Bacteria and Their Role in Plant Growth Promotion. Biotechnology Advances, 17: 319-339.
ความหลากหลายทางชีวภาพและการใชประโยชนของพชื วงศบ านไมร ูโรยและวงศทานตะวนั ในกลมุ ชาตพิ นั ธุม ง
บนพ้นื ทีส่ ูงภูทบั เบิก ตำบลวังบาล อำเภอหลมเกา จงั หวดั เพชรบรู ณ
ธีรภทั ร เหลืองศภุ บลู ย วภิ าวี ช้นั โรจน อภญิ ญา วงศเปย และ ขนษิ ฐา วงศว ฒั นารัตน
สำนักวจิ ยั พัฒนาเทคโนโลยชี ีวภาพ กรมวิชาการเกษตร 85 หมู 1 ถ.รงั สติ -นครนายก ต.รังสิต อ.ธัญบรุ ี จ.ปทุมธานี 12110
บทคดั ยอ
การศึกษาพฤกษศาสตรพื้นบานของพืชวงศบานไมรูโรยและวงศทานตะวันในกลุมชาติพันธุมงภูทับเบิก ต.วังบาล อ.หลมเกา จ.เพชรบูรณ เพื่อประเมินความหลากหลายทางชีวภาพและแกปญหาความสับสนระหวางชื่อทองถิ่นและชื่อวิทยาศาสตรเพื่อจัด
จำแนกชนิดสำหรับการนำไปใชประโยชนไดอยางถูกตองดวยการสรางแผนภูมิวิวัฒนาการเชิงโมเลกุล ของดีเอ็นบารโคดที่ตำแหนง ITS, rbcL, matK และ trnH-psbA รวมกับลักษณะทางสัณฐานวิทยา พบวา ดีเอ็นบารโคดที่ตำแหนง ITS และ trnH-psbA
ใหผลสอดคลองกับลักษณะทางสัณฐานวิทยาจึงเหมาะสมสำหรับใชจัดจำแนกพืชในวงศเหลานี้ ยกเวนพืชสกุล Gynura โดยพบวาสามารถระบุชนิดพืชที่มีการนำมาใชประโยชนได 9 ชนิด ใน 6 สกุล ประกอบดวยพืชวงศบานไมรูโรย 3 ชนิด และวงศทานตะวัน
6 ชนิด ไดแก เกาออหยาฌั่ว (Althenanthera cf. bettzickiana) บานไมรูโรยฝรั่ง (A. brasiliana) กาเลี๊ยะ (Iresine herbstii) และ เกอวเตอะออ (Artimisia lactiflora) ฌวนจี้ (Chrysanthemum indicum) จอยูเลี๊ยะ (G. bicolor) ฌั่วรอก
(G. divaricata subsp. formosana) ฌวดจอ (Gynura cf. divaricata) ตี๋เม (Eupatorium fortunei) ตามลำดับ ซึ่งพืชวงศทานตะวันเปนวงศที่ถูกนำมาใชมากในกลุมชาวมงภูทับเบิกทั้งในรูปแบบของพืชอาหารและพืชสมุนไพร
บทนำ วจิ ารณผ ล
การใชป ระโยชนจ ากความหลากหลายทางชวี ภาพของพชื ในประเทศไทยมีความแตกตางกันไปในแตล ะทองถิน่ และกลุมชาติพันธุ ความหลากหลายทางชีวภาพของพืชวงศบานไมรูโรยและวงศทานตะวันถูกนำมาใชประโยชนในกลุมชาติพันธุมงภูทับเบิกเมื่อ
ผานการถา ยทอดองคค วามรจู ากรุน สรู นุ ตัง้ แตอดตี จนถึงปจ จบุ ัน โดยมคี วามเกยี่ วของกบั วถิ ชี ีวติ ความเชอ่ื ศาสนา และวัฒนธรรม เปรยี บเทียบความหลากหลายและรูปแบบการใชป ระโยชนกบั กลมุ ชาตพิ นั ธมุ งบริเวณภาคเหนอื พบวา มจี ำนวนหลากหลาย
มากำหนดการใชประโยชนทั้งเปนพืชอาหารพืชสมุนไพรและพืชใชในพิธีกรรมความเจริญของสังคมสมัยใหมไดเขามามีอิทธิพล ท่แี ตกตา งกันมที ั้งชนิดพนั ธทุ เ่ี หมือนและแตกตางจากชาวมง ภทู บั เบิกโดยกลุมชาตพิ ันธุมง อ.นานอ ย จ.นา น มีจำนวนความ
ตอ วิธีการดำเนนิ ชวี ิต สงผลใหอ งคค วามรทู อ งถ่ินทไี่ มไ ดร วบรวมไวเปน ลายลกั ษณอ ักษรสญู หายไป โดยเฉพาะอยา งยิ่งองคความรู หลากหลายของพชื ท้ัง 2 วงศ เพยี ง 3 ชนิด [6] ซึ่งมกี ารใชป ระโยชนเ หมอื นกันเพียง 2 ชนดิ คอื Althenanthera sp. และ
ของกลมุ ชาตพิ ันธตุ างๆ ยงั ขาดการรวบรวมและศกึ ษาอยางจริงจงั โดยกลมุ ชาตพิ ันธุม งเปน กลมุ ชาตพิ ันธทุ จี่ ำนวนประชากรมาก A. lactiflora ทั้งเปนพืชอาหารและพืชสมุนไพร ในขณะทก่ี ลมุ ชาตพิ ันธุมง อ.สนั ติสุข จ.นาน มกี ารนำพชื วงศบานไมรโู รย
ในประเทศไทย สว นใหญกระจายกนั ตั้งถน่ิ ฐานอยูบรเิ วณภเู ขาและทร่ี าบเชิงเขาในเขตพ้ืนทภ่ี าคเหนอื [1] มีการใชประโยชนจ ากพชื และวงศท านตะวนั ประโยชนม ากกวา ชุมชนชาวมงในบริเวณอ่ืน โดยพบถึง 21 ชนดิ (วงศบ านไมร โู รย จำนวน 6 ชนดิ
ที่หลากหลายทั้งเปนอาหารและยาสมุนไพรซึ่งพืชวงศบานไมรูโรยและวงศทานตะวันเปนวงศพืชที่มีความหลากหลายทาง และวงศท านตะวัน จำนวน 15 ชนิด) [7] และยงั พบวา มพี ืชทั้งหมดจำนวน 6 ชนดิ ทีม่ กี ารนำมา ใชประโยชนเหมอื นกนั ไดแ ก I.
ชีวภาพสูงในประเทศไทยและมรี ายงานการนำมาใชประโยชนในกลมุ ชาตพิ นั ธุอ่นื ๆ ทีแ่ ตกตางกันไป [2, 3] สำหรบั ในกลุมชาติ herbstii A. lactiflora C. indicum G. bicolor G. cf. divaricate และ E. fortunei ซ่งึ สว นใหญถูกนำมาใชเปนพชื สมุนไพร
พันธมุ ง นน้ั ยงั มกี ารศึกษาคอนขางนอยประกอบกบั การท่ชี าวมง มีเฉพาะภาษาพดู แตไ มม ีภาษาเขยี นเปน ของตนเอง [4] ดังน้นั ซึ่งจากการศึกษาพฤกษศาสตรพื้นบานของกลุมชาติพันธุมงครั้งนี้ชี้ใหเห็นวากลุมชาติพันธุมงมาการปรับวิถีชีวิต
ภมู ิปญ ญาพืน้ บานจงึ สบื ทอดกนั ปากตอ ปากทำใหเ ส่ยี งตอการสญู หายขององคความรูเหลา นี้ อีกทั้งการเรียกชื่อพืชใน ภาษามง กอ และภูมิปญญาใหสอดคลองกับความหลากหลายทางชีวภาพของพืชในแตละทองถิ่นที่แตกตางกันไปโดยยังคงองคความรู
ใหเ กิดความสับสนตอ การนำพืชมาใชประโยชนในอนาคต ดงั นนั้ การศกึ ษาพฤกษศาสตรพื้นบานของกลมุ ชาติพันธมุ งบริเวณภูทับ ของชนิดพันธุพืชที่เหมือนกันจะมีการนำมาใชประโยชนไปในทิศทางเดียวกันอีกดวยนอกจากนี้ยังพบวาสำเนียงการเรียก
เบกิ ต.วงั บาล อ.หลมเกา จ.เพชรบรู ณ จงึ เปน ขอมลู ทส่ี ำคัญทจี่ ะชว ยใหร กั ษาภูมปิ ญญาทองถ่นิ ไมใหส ูญหายไปกับความเจริญและ ช่อื พชื ในแตล ะทอ งถ่ินยงั แตกตา งกนั ดว ย [7] จากปญหาการเรียกช่ือไมตรงกันในแตละทองถนิ่ ทำใหการนำพชื มาตอยอดและนำ
วิถีสังคมเมืองที่กำลังเขามาสูภูทับเบิกและยังชวยใหสามารถระบุชนิดพืชดวยลักษณะทางสัณฐานวิทยารวมกับวิธีอณูชีววิทยาเพื่อ ไปใชป ระโยชนไดอยา งไมถูกตอง การใชว ธิ กี ารทางอณชู วี วทิ ยาดว ยการใชด ีเอน็ เอบารโคดจงึ ถูก นำมาใชช ว ยการจัดจำแนกชนิด
การใชป ระโยชนจ ากความหลากหลายทางชีวภาพของพืชไดอยา งถูกตอ ง พืชโดยพบวา ตำแหนง ITS และ trnH-psbA เปน ตำแหนง ท่ีเหมาะสมในการจัดจำแนกพชื ทงั้ 2 วงศ ซ่ึงสอดคลองกับราย
งานการศกึ ษากอ นหนา นพ้ี บวา ตำแหนง ITS และ trnH-psbA เปนตำแหนง ทมี่ ีประสิทธภิ าพสงู ในการนำมาใชใ นการจัดจำแนก
ผลการทดลอง ในระดบั สกุลและระดับชนดิ ของพืชในวงศบานไมร โู รยและวงศทานตะวัน [8] จากการศกึ ษายัง พบวา ตำแหนง matK เปน
ตำแหนงที่เหมาะสมสำหรับจัดจำแนกชนดิ พืชในสกุล Iresine ในขณะท่ีดีเอ็นเอบารโ คดทั้ง 4 ตำแหนง ไมส ามารถจดั จำแนก
จากการสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพและเก็บตัวอยางพืชในวงศบานไมรูโรยและวงศทานตะวันที่ใชประโยชนในกลุมชาติ พืชในสกลุ Gynura ซงึ่ ชีใ้ หเหน็ วา ดเี อ็นเอบารโ คด มคี วามเหมาะสมในการนำมาใชจัดจำแนกพืชไดแ ตกตา ง กนั ขนึ้ อยกู บั สกุล
พนั ธมุ ง ในเขตพน้ื ทีส่ งู ภทู บั เบกิ ซ่ึงสวนใหญจ ะถกู เรียกช่ือเปนภาษามงจงึ ยากทจี่ ะระบุชนดิ ได (ตารางที่ 1) และเพอ่ื การจัด และชนิดโดยไมควรเลือกใชดีเอ็นบารโคดชนิดใดชนิดหนึ่งเพียงชนิดเดียวในการจัดจำแนกการเลือกใชตำแหนงดีเอ็นบารโคดที่
จำแนกชนิดไดอยางถูกตองตัวอยางดังกลาวจึงไดนำมาศึกษาลักษณะทางสัณฐานวิทยารวมกับวิธีอณูชีววิทยาและวิเคราะหความ หลากหลายและเหมาะสมจะชวยใหส ามารถยนื ยนั ความถูกตองในการจดั จำแนกไดม ากยิง่ ขน้ึ
สัมพนั ธท างวิวฒั นาการดวยการสรา งแผนภูมวิ วิ ฒั นาการเชิงโมเลกุล โดยใชดเี อน็ บารโคด 4 ตำแหนง พบวาดีเอน็ บารโ คด
ที่ตำแหนง ITS และ trnH-psbA เปน ตำแหนงท่เี หมาะสมสำหรบั ใชใ นการจัดจำแนกพชื วงศบานไมรูโรยและวงศท านตะวัน กขค
โดยสามารถจัดจำแนกพืช ไดจำนวน 5 ชนดิ ใน 4 สกลุ ไดแก A. cf. bettzickiana A. brasiliana A. lactiflora C. indicum
และ E. fortunei ซ่ึงผลทีไ่ ดส อดคลอ งไปกับลักษณะสัณฐานวทิ ยา ของและลำดบั นวิ คลโี อไทดท ่ี ไดจ ากฐานขอมูล GenBank งจฉ
ของพชื แตละชนิด และยังพบวา เอ็นบารโ คด ท่ีตำแหนง ITS และ trnH-psbA ไมสามารถจัดจำแนกพืชในสกุล Iresine และ
Gynura (ภาพที่ 1) ในขณะทีต่ ำแหนง matK เปนตำแหนง เดียวท่สี ามารถจัดจำแนกพชื ในสกุล Iresine (I. herbstii) ช ซฌ
ออกจากพืชชนิดอืน่ ในสกุลได โดยไมสามารถ จัดจำแนกพืชในสกลุ Gynura ได นอกจากน้ียังพบวา สามารถจดั จำแนกพชื ในสกุล
Althenanthera และ Eupatorium ไดอีกดวยสวนตำแหนง rbcL น้นั พบวา สามารถจัดจำแนกไดเ พยี งสกุล Eupatorium ภาพที่ 2 พืชวงศบ านไมร ูโรยและวงศทานตะวันทีน่ ำมาใชประโยชนในกลุมชาติพันธมุ ง ภูทับเบิก ก) ผกั เปดแดง ข) บานไมร ูโรยฝรั่ง ค) ผกั แผว แดง
เทา นน้ั ซง่ึ ดเี อน็ เอบารโ คดทกุ ตำแหนง ไมส ามารถใชจำแนกชนดิ ของพืชในสกุล Gynura ง) จิงจฉู าย จ) เบญจมาศสวน ฉ) วา นทองใบมว ง ช) ผักสองหนา ซ) จักรนารายณ และ ฌ) สันพราหอม
จากการศึกษาพฤกศาสตรพนื้ บา นทชี่ าวมงนำ มาใชป ระโยชน พบวา สามารถยืนยนั การจัดจำแนก ไดทั้งหมด 9 ชนดิ ใน 6 สกลุ สรปุ ผล
โดยเปนพชื ในวงศบ านไมรูโรย 3 ชนดิ ไดแก เกา ออ หยา ฌว่ั (A. cf. bettzickiana) บานไมรโู รยฝร่ัง (A. brasiliana) กา เลยี๊ ะ
(I. herbstii) และพืชในวงศท านตะวัน 6 ชนิด ไดแก เกา ออหยาฌว่ั (A. cf. bettzickiana) บานไมร โู รยฝรัง่ (A. brasiliana) พฤกศาสตรพนื้ บานของกลมุ ชาตพิ นั ธุมง บรเิ วณพ้ืนทสี่ ูงภูทับเบกิ จ.เพชรบูรณ พชื วงศบ านไมรูโรยและวงศทานตะวนั ถูก
กา เลย๊ี ะ (I. herbstii) และ เกอ วเตอ ะออ (A. lactiflora) ฌวนจ้ี (C. indicum) จอยูเ ลี๊ยะ (G. bicolor) ฌ่ัวรอก (G. divaricata นำใชประโยชน จำนวน 9 ชนิด โดยพืชวงศท านตะวันถูกนำมาใชประโยชนมากกวาพืชวงศบ านไมรโู รย ดีเอ็นบารโ คดท่ีตำแหนง
subsp. formosana) ฌวดจอ (G. cf. divaricata) ตเี๋ ม (E. fortunei) (ภาพท่ี 2) ซงึ่ พืชทัง้ หมดสว นใหญถ ูก ITS และ trnH-psbA เปน ตำแหนง ที่เหมาะสมสำหรับใชในการจัดจำแนกพืชในสกลุ Althenanthera Artimisia
นำมาใชเ ปน พืชสมุนไพรและเปน ทงั้ พืชสมุนไพรและพชื อาหาร (ตารางที่ 1) โดยยงั พบวา มกี ารนำมาใชร ว มกนั ในสตู รตม ไกส มนุ Chrysanthemum และ Eupatorium ในขณะทต่ี ำแหนง matK เปน เพียงตำแหนง เดยี วทสี่ ามารถจัดจำแนกพชื ในสกลุ Iresine
ไพรมง เพ่ือใชเ ปนยาบำรุงกำลังซ่ึงเปนสูตรเฉพาะของกลุม ชาติพันธมุ งภทู ับเบกิ อีกดวย และตำแหนง ดเี อน็ บารโคด ทกุ ตำแหนง ในการศึกษาครั้งนี้ไมส ามารถใชใ นการจดั จำแนกชนิดพืชในสกลุ Gynura
ตารางท่ี 1 พชื วงศบ านไมรูโรยและวงศทานตะวันทีก่ ลมุ ชาติมงภทู ับเบกิ นำมาใชป ระโยชน กิตติกรรมประกาศ
วงศ ชอื่ วทิ ยาศาสตร ช่อื ภาษาไทย ช่อื ภาษามง การใชประโยชน ขอขอบคุณ นางสาวชลลดา สามพนั พวง นักวิชาการเกษตรชำนาญการ กรมวชิ าการเกษตร ท่ชี วยใหคำแนะนำในการจัดจำ
Amaranthaceae แนกพืชตามหลักอนุกรมวิธานและขอขอบคุณเงินทุนสนับสนุนการวิจัยของโครงการพัฒนาระบบการผลิตพืชอยางยั่งยืนบนพื้นที่
Althenanthera cf. bettzickiana ผกั เปดแดง เกา ออหยาฌวั่ อาหาร/สมนุ ไพร สูงเขาหัวโลนภทู ับเบกิ (ทบั เบิกโมเดล) จากเงนิ รายไดจากการดำเนินงานวิจัยดา นการเกษตร กรมวิชาการเกษตร
Asteraceae Althenanthera brasiliana สมนุ ไพร
Iresine herbstii บานไมรโู รยฝรั่ง ˗ สมุนไพร
Artimisia lactiflora ผกั แผวแดง กา เล๊ยี ะ อาหาร/สมุนไพร
Chrysanthemum indicum สมนุ ไพร
Gynura bicolor จิงจฉู าย เกอ วเตอะออ สมุนไพร
Gynura divaricata subsp. formosana สมุนไพร
Gynura cf. divaricata เบญจมาศสวน ฌว นจี้ สมุนไพร
Eupatorium fortunei สมนุ ไพร
วา นทอ งใบมวง จอยูเ ลี๊ยะ
วานทอ งใบมว ง ฌว่ั รอ ก
จกั รนารายณ ฌวดจอ
สนั พรา หอม ตี๋เม
กข
ภาพที่ 1 แผนภมู ิวิวฒั นาการเชิงโมเลกลุ ของพชื วงศบานไมร ูโรยและวงศทานตะวันท่ใี ชป ระโยชนใ นกลุมชาติพันธมุ งภทู บั เบิก ก) แผนภูมวิ วิ ัฒนาการ เอกสารอางองิ
เชิงโมเลกุลที่สรางจากดเี อน็ เอบารโ คด ตำแหนง ITS และ ข) แผนภูมวิ วิ ฒั นาการเชงิ โมเลกลุ ที่สรา งจากดีเอน็ เอบารโคด ตำแหนง trnH-psbA
[1] Perve, E. 2006. The Hill Tribes Living in Thailand. Alligator Service, Chiang Mai., [2] สุธรี ะ เหมิ ฮึก, วชิ ญภ าส สงั พาลี, จฑุ ามาศ อาจนาเสียว, นยั นา
โปธาวงค, เกรียงศกั ด์ิ ศรเี งินยวง. 2561. การใชประโยชนพ รรณพืชของชาวไทลื้อในปาชมุ ชนบานทาปาเปา อำเภอแมทา จงั หวดั ลำพูน. วารสารวนศาสตร 37(1):
111-120., [3] มะลิวลั ย บรคิ ุต และ องั คณา อินตา. 2562. พฤกษศาสตรพ ื้นบานของลัวะ ในบานนำ้ แพะ อําเภอบอเกลือ จงั หวัดนา น. วารสารวิทยาศาสตร มข. 47(2):
273-295., [4] Lee, G.Y. and Tapp, N. 2010. Culture and Customs of the Hmong. Greenwood, Santa Barbara., [5] Kumar S, Stecher G. and
Tamura K. (2016) Molecular Biology and Evolution 33:1870-1874., [6] ปาริฉตั ร นอยธนะ, สวาท สายปาระ และ กมลวรรณ คุม พุฒ. 2013.
พฤกษศาสตรพ้นื บานของชาวเขาเผา มง อำเภอนานอ ย จงั หวัดนา น. Naresaun Phayao Journal 6(3):213-219., [7] อญั ชลี นวมมี กนกวรรณ เสรภี าพ สรอยนภา
ญาณวัฒน และ ตอศกั ด์ิ สลี านนั ท. 2555. พฤกษศาสตรพื้นบา นของชาวมง บานปางชา ง ตำบลพงษ อำเภอสันติสขุ จงั หวดั นา น. วารสารพฤกษศาสตรไทย 4 (2):
177-211., [8] Gao, T., Yao, H., Song, J., Zhu, Y., Liu, C. and Chen, S. 2010. Evaluating the feasibility of using candidate DNA barcodes in
discriminating species of the large Asteraceae family. BMC Evolutionary Biology 10: 324.