The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักฐาน การตีความ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by dia.waebraheng, 2022-03-22 14:45:50

หลักฐาน การตีความ

หลักฐาน การตีความ

หลักฐาน การตีความ

และการประเมนิ ความน่าเชอื่ ถือของหลกั ฐาน
ทางประวตั ศิ าสตร์

สอนโดย นางสาวแวนาเดีย แวบราเฮง

1

การประเมนิ ความนา่ เชอ่ื ถือของหลักฐานทางประวัตศิ าสตร์

การศึกษาเหตกุ ารณ์ในประวัติศาสตร์ต้องอาศัยการศึกษาจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มี
ความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ท่ีศึกษา หรือมีความต่อเน่ืองระหว่างอดีตกับปัจจุบัน ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์จึง
จาเป็นต้องประเมินความน่าเชื่อถือของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ด้วยวิธีการทางป ระวัติศาสตร์เพ่ือให้
การศกึ ษาประวัตศิ าสตรน์ ัน้ มคี วามถูกตอ้ งและมคี วามน่าเชอื่ ถือมากทีส่ ดุ

หลักฐานทางประวตั ิศาสตร์กับการศึกษาประวตั ศิ าสตร์

หลักฐานทางประวัติศาสตร์ซ่ึงมีอยู่มากมายและหลากหลายล้วนบ่งช้ีถึงร่องรอยของ
มนุษย์หรือเหตุการณ์ในอดีตที่มีความต่อเน่ืองถึงปัจจุบัน โดยท่ัวไปนักประวัติศาสตร์แบ่งหลักฐานทาง
ประวัติศาสตร์เปน็ 2 กลุม่ ใหญ่ คอื หลักฐานขั้นปฐมภูมิหรือหลักฐานช้ันต้น (Primary Sources) และหลักฐาน
ข้นั ทุตยิ ภูมิหรือหลกั ฐานชัน้ รอง (Secondary Sources)

1) หลกั ฐานข้นั ปฐมภมู ิ
หลักฐานขั้นปฐมภูมิหมายถึงหลักฐานที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ต้องการศึกษา
และบันทึก หรือจัดทาข้ึนโดยบุคคลท่ีรู้เห็นหรือร่วมอยู่ในเหตุการณ์น้ัน ๆ หลักฐานขั้นปฐมภูมิเป็นได้ท้ัง
หลักฐานประเภทลายลกั ษณ์อกั ษรและท่ีไมเ่ ป็นลายลกั ษณ์อกั ษร
หลกั ฐานประเภทลายลกั ษณ์อักษร ได้แก่ จารึกและเอกสารต่าง ๆ เช่นศิลา
จารกึ สมยั สุโขทัย จารกึ บนใบลาน บนั ทกึ ประเภทพงศาวดาร เชน่ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหลวง
ประเสริฐอักษรนิติ์พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) รวมทั้งหลักฐานทางประวัติศาสตร์
อ่ืน ๆ เช่น กฎหมายตราสามดวง กฎหมายท้องถ่ิน ใบบอก บันทึกส่วนบุคคล บันทึกของชาวต่างประเทศ
เอกสารจดหมายเหตุ เอกสารราชการ สนธสิ ญั ญาทางพระราชไมตรี เอกสารโต้ตอบตา่ ง ๆ บันทึกความทรงจา
หลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่ หลักฐานประเภทโบราณสถาน
โบราณวัตถุและศิลปวัตถุต่าง ๆ เช่น โบสถ์วิหาร เจดีย์หลุมฝังศพ พระพุทธรูป รูปป้ันบุคคลสาคัญ
ประติมากรรมจิตรกรรมฝาผนงั อาวธุ เคร่ืองมอื เครือ่ งใช้ เครอ่ื งปั้นดินเผา เครอื่ งประดับ รวมถึงคาบอกเล่าของ
บคุ คลผ้รู ว่ มอยใู่ นเหตกุ ารณ์ ซงึ่ อาจได้มาดว้ ยวิธกี ารบันทึกเสยี ง หรือการบันทกึ ภาพเหตุการณ์ตา่ ง ๆ
2) หลักฐานข้ันทุติยภูมิ หลักฐานขั้นทุติยภูมิหมายถึง หลักฐานที่นัก
ประวัตศิ าสตร์หรือนักวจิ ัยรวบรวมและ เรยี บเรียงขึ้นภายหลังเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์โดยผ่านการตีความ
หลักฐานช้ันต้นมาแล้ว หลักฐาน ประเภทนี้มีอยู่จานวนมากและหลากหลาย เช่น หนังสือ ตารา งานวิจัย
รายงาน และบทความทางประวัติศาสตร์ตลอดจนข้อมูลทางประวัติศาสตร์จากเอกสารอื่น ๆ เช่น หนังสือ
ประเภทต่าง ๆ วารสาร วรรณคดีรวมท้ังข้อมูลประเภทบอกเล่าที่เล่าต่อ ๆ กันมา และภาพยนตร์อิง
ประวตั ศิ าสตร์
หลักฐานข้ันทุติยภูมิเป็นหลักฐานที่เรียบเรียงขึ้นหลังจากเหตุการณ์ใน
ประวัติศาสตร์ยุติ ไปแล้ว ประกอบกับผู้เขียนหลักฐานน้ัน ๆ มีวิธีการตีความและนาเสนอต่างกันตาม
วตั ถุประสงค์ มมุ มอง และหลักฐานทีผ่ เู้ ขียนเลอื กใชผ้ ู้ศึกษาผลงานเหล่าน้ีจึงต้องใช้วิจารณญาณในการประเมิน
หลักฐาน โดยพจิ ารณาจากวธิ ีการศกึ ษาและการเลือกใช้หลักฐานของผู้เขียน ประกอบกับคุณสมบัติ และความ
น่าเช่อื ถอื ของผูเ้ ขยี น
ทัง้ นีก้ ารระบุว่าหลักฐานใดเปน็ หลักฐานขั้นปฐมภูมิหรือหลักฐานข้ันทุติยภูมิ
น้ันไมค่ วร ยดึ ตดิ กับชื่อหรอื ชนดิ ของหลักฐาน แต่ควรคานึงวา่ หลกั ฐานน้ันเขยี นหรือทาขึ้นในช่วงเวลาที่ร่วมสมัย

2

กับ เหตุการณ์ท่ีต้องการศึกษาหรือไม่ และผ่านการเรียบเรียงขึ้นใหม่หรือไม่ หลักฐานบางอย่างอาจเป็นได้ทั้ง
หลกั ฐานขัน้ ปฐมภมู ิและหลักฐานข้นั ทตุ ยิ ภมู ิ เชน่ ข่าวจากหนงั สอื พิมพ์ กล่าวคือถ้าเป็นการรายงานข่าวว่า เกิด
อะไรขนึ้ ในวันน้ัน ๆ นับเป็นหลกั ฐานข้นั ปฐมภมู แิ ต่ถา้ เปน็ บทวิจารณ์เหตกุ ารณจ์ ะถูกจัดเปน็ หลักฐานขน้ั ทุติยภมู ิ

หลักฐานทางประวัติศาสตร์ทั้งขั้นปฐมภูมิและทุติยภูมิต่างมีความสาคัญต่อ
การศึกษา ประวัติศาสตร์ เพราะให้ข้อมูลเก่ียวกับอดีตที่ช่วยให้ผู้ศึกษาเข้าใจเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ใน
ช่วงเวลาน้ัน และสามารถเชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบันได้ แต่ผู้ศึกษาหลักฐานเหล่านั้นจาเป็นจะต้องเลือกใช้
หลักฐานดว้ ย ความระมดั ระวังและใชว้ ธิ ีการทางประวัติศาสตร์ในการประเมินความน่าเชื่อถือของหลักฐานด้วย

วิธีการประเมนิ ความน่าเชอื่ ถอื ของหลักฐานทางประวัตศิ าสตร์

1) การประเมินหลักฐานภายนอก การประเมินหลักฐานภายนอกเป็นการประเมินตัว
หลกั ฐานจากภายนอกว่าใครเปน็ ผู้บันทกึ หลักฐานนน้ั ผบู้ นั ทึกหลักฐานมีสถานภาพใดในขณะนั้น บันทึกขึ้นโดย
จดุ มุง่ หมายใด มีความเปน็ กลางเพยี งใด ทั้งนี้เพราะบางครง้ั ผู้บันทึกอาจบันทึกขึ้นโดยคาส่ังของผู้มีอานาจ หรือ
บันทกึ จากอคติสว่ นตัว โดยยึดผลประโยชนแ์ ละมุมมองของตนเป็นสาคญั

2) การประเมินหลักฐานภายใน การประเมนิ หลักฐานภายในเป็นการประเมินเน้ือหา
ของข้อมูลที่ปรากฏในหลักฐานนั้น ๆ ว่าน่าเชื่อถือ หรือมีอคติหรือไม่ ผู้ศึกษาต้องตรวจสอบวิธีการนาเสนอ
ผลงานของผู้เขียนว่า ตรงกับ ข้อเท็จจริงหรือมีการบิดเบือนข้อมูลหรือไม่ การวิเคราะห์การตีความ หรือข้อ
สันนษิ ฐานของผู้เขียนใน ผลงานช้ินน้ันมีการใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์หรือไม่ อย่างไร ท้ังน้ีผู้ศึกษาหลักฐาน
สามารถตรวจสอบ ความถูกต้องของผลงานนนั้ กบั หลักฐานอน่ื ๆ ทงั้ ประเภทปฐมภมู ิและทตุ ิยภมู ิ

ความจริงกับข้อเทจ็ จริงของเหตกุ ารณท์ างประวตั ศิ าสตร์

หลักฐานทางประวตั ศิ าสตร์มคี วามสัมพนั ธ์กบั ความจริง (Truth) และข้อเท็จจริง (Facts) ของ
เหตุการณท์ างประวัติศาสตร์โดยตรง เนือ่ งจากการศึกษาเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์จาเป็นต้องอาศัยข้อมูลที่
ปรากฏในหลักฐานทางประวัติศาสตร์เป็นสาคัญ ข้อมูลเหล่าน้ันสามารถสะท้อนความจริง และข้อเท็จจริงของ
เหตุการณ์ในอดีต ผู้ศึกษาหลักฐานจึงจาเป็นต้องตรวจสอบหลักฐานอย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถวิเคราะห์
ความแตกตา่ งระหวา่ งความจริงกับข้อเท็จจรงิ ของเหตุการณท์ างประวตั ิศาสตร์ได้

1) ข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์
ไดแ้ ก่ ข้อมูลเกย่ี วกบั เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ทัง้ ข้อมลู จากเอกสารและข้อมูลจากหลักฐานทางโบราณคดีและ
ศิลปกรรมทผี่ ่านการวเิ คราะห์ และตรวจสอบ โดยมีหลักฐานประเภทลายลักษณ์อักษรและท่ีไม่เป็นลายลักษณ์
อักษรยืนยันหรืออ้างอิง ข้อมูลน้ัน ๆ เช่น ข้อเท็จจริงท่ีว่ากรุงศรีอยุธยาตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าถึง ๒ ครั้ง ใน
สมยั สมเด็จพระมหนิ ทราธริ าช (พ.ศ. ๒๑๑๑-๒๑๑๒) และสมัยสมเด็จพระเจา้ เอกทัศ (พ.ศ. ๒๓๐๑-๒๓๑๐)
หลักฐานทยี่ นื ยนั ข้อเทจ็ จรงิ ดงั กลา่ วมีทง้ั หลกั ฐานขัน้ ปฐมภูมิประเภทลายลักษณอ์ ักษร เช่น พระราชพงศาวดาร
กรุงศรีอยุธยา คาให้การชาวกรุงเก่า และบันทึกของชาวต่างประเทศ นอกจากน้ี ยังมีหลักฐานท่ีไม่เป็นลาย
ลักษณ์อักษร คือหลักฐานทางโบราณคดี เช่น ซากปรักหักพังของพระราชวัง และวัดวาอารามทั้งในเขต
พระราชวงั โบราณและโบราณสถานในเกาะเมืองอยุธยา

2) ความจริงของเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ความจริงของเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์คือ
ข้อเท็จจรงิ ทางประวัติศาสตร์เกยี่ วกบั เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตซ่ึงได้รับการยอมรับว่าเป็น “ความจริง” โดยมี
หลักฐานขนั้ ปฐมภมู ิทก่ี ลา่ วถึง หรือยืนยันเหตุการณ์นั้น ๆ และมีหลักฐานประเภทลายลักษณ์อักษรอื่น ๆ ร่วม

3

ตรวจสอบความถกู ตอ้ ง และความนา่ เชอ่ื ถือ เชน่ การจะยอมรบั พระนามของพระมหากษัตริยไ์ ทยสมยั สุโขทัยว่า
มอี ยูจ่ รงิ และเปน็ จรงิ หรอื ไม่นั้น ตอ้ งได้รบั การยืนยันจากหลักฐานสาคัญ คือ ศิลาจารึกสุโขทัยที่มีอยู่หลายหลัก
เช่นเดียวกับการศึกษาเกี่ยวกับช่วงเวลาในการปกครองกรุงศรีอยุธยาของพระมหากษัตริย์สมัยอยุธยา ดังท่ี
ปรากฏในเอกสารและตาราเรียนว่าแต่ละพระองค์ครองราชย์ยาวนานเพียงใดก็ต้องได้รับการตรวจสอบยืนยัน
และยอมรับจากนกั ประวัติศาสตรว์ ่าถกู ตอ้ ง โดยผา่ นการวิเคราะห์การตคี วาม ตลอดจนได้ตรวจสอบกับเอกสาร
สาคัญ เช่น พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยาฉบบั ตา่ ง ๆ

โดยท่ัวไป การสืบค้นความจริงของเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์มักเกิดจากการรวบรวม
ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ แล้วจึงนามาวิเคราะห์หรือตีความเพ่ือหาความจริงของเหตุการณ์ทาง
ประวัติศาสตร์จากข้อเท็จจริงนั้น ๆ ทั้งจากหลักฐานประเภทลายลักษณ์อักษรและท่ีไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
ตวั อย่างเชน่ เมอื่ ผศู้ กึ ษาพบหลกั ฐานทบ่ี ง่ ชวี้ า่ ทอ้ งถน่ิ ของเราเคยเปน็ ท่ีต้งั ของชมุ ชนเมอื งในสมยั โบราณ เพราะมี
หลักฐานทางโบราณคดีปรากฏเป็นจานวนมาก เช่น กาแพงเมืองคูน้าคันดิน สถูปเจดีย์ ใบเสมา หลุมฝังศพ
ส่ิงของเคร่ืองใช้ต่าง ๆ หลักฐานเหล่าน้ีแสดงถึงข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ว่าพ้ืนท่ีดังกล่าว เคยเป็นชุมชน
เมืองในอดตี แตก่ ็ยงั ไม่มใี ครรบั รถู้ งึ ความจริงของเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ว่า เมืองนั้น ตั้งขึ้นเมื่อไร สมัยใด
ใครเปน็ ผู้สรา้ งหรือผู้นา ชุมชนน้ันมีอายุยาวนานเพียงใด และผู้ท่ีอาศัยอยู่ในชุมชน น้ันเป็นกลุ่มชาติพันธ์ุใดใน
กรณีเช่นนกี้ ารสืบคน้ หาความจริงตอ้ งอาศยั ผเู้ ชีย่ วชาญทงั้ ผ้เู ชี่ยวชาญการอา่ น จารึกโบราณ นักวิทยาศาสตร์นัก
ประวัติศาสตร์สาขาต่าง ๆ และนักโบราณคดีร่วมกันตรวจสอบหลักฐานที่ขุดค้นพบ และนาไปเชื่อมโยงกับ
หลกั ฐานอนื่ โดยเฉพาะบนั ทกึ และเอกสารโบราณท่ีกลา่ วถงึ ดนิ แดน ซ่ึงเป็นท่ีต้ังของชุมชนเมืองโบราณนั้น แล้ว
นามาประกอบกบั หลักฐานด้านศลิ ปกรรมร่วมสมัยอ่นื ๆ เพื่อศึกษาเปรียบเทียบ วิเคราะห์หรือตีความและสรุป
หาความจริงซึ่งเปน็ ทยี่ อมรับตรงกัน

อย่างไรก็ตาม ความจริงทางประวัติศาสตร์ซ่ึงเป็นที่ยอมรับสืบต่อกันมาต้ังแต่ อดีตจนถึง
ปัจจุบนั นนั้ อาจเปลี่ยนแปลงได้หากมีหลักฐานหรือข้อมูลใหม่ท่ีบ่งช้ีว่า “ความจริง” ท่ีเรายอมรับกันมาช้านาน
นั้นผิดพลาดขณะเดียวกนั ขอ้ มูลท่ีค้นพบใหม่มีความน่าเชื่อถือและถูกต้องมากกว่าองค์ความรู้เดิมท่ีเคยยอมรับ
ดังนั้น ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์จึงต้องติดตามความก้าวหน้าและการค้นพบองค์ความรู้ใหม่ ทางวิชาการ
ประวัติศาสตรอ์ ย่างต่อเน่อื ง

การวเิ คราะหค์ วามแตกต่างระหวา่ งความจริงกับขอ้ เท็จจรงิ ของเหตกุ ารณท์ างประวตั ศิ าสตร์

1) การวิเคราะหค์ วามจรงิ และขอ้ เทจ็ จริงของเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ดังได้กล่าวมาแล้ว
วา่ ข้อเท็จจรงิ ของเหตกุ ารณ์ทางประวัติศาสตร์แม้จะให้ข้อมูลหรือคาอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นในอดีตแต่ก็ไม่อาจ
สรปุ ไดว้ ่าขอ้ เท็จจรงิ น้ันคอื ความจรงิ ตามที่ปรากฏในเหตุการณ์ ทางประวัตศิ าสตร์ทัง้ หมด ดังน้ัน ผู้ศึกษาจึงต้อง
วิเคราะห์หลักฐานทางประวัติศาสตร์เพ่ือสรุปความแตกต่างระหว่างความจริงกับข้อเท็จจริง โดยยึดเกณฑ์การ
วเิ คราะห์ดงั นี้ (1) ขอ้ คิดเหน็ ทัศนคติหรือการวิเคราะห์ของผู้บันทึกประวัติศาสตร์ซึ่งปรากฏอยู่ในหลักฐานทาง
ประวัติศาสตร์ที่ไม่มีหลักฐานร่วมสมัย อ่ืน ๆ ยืนยันหรือสนับสนุนแนวคิดน้ัน ๆ ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็น
ความจรงิ ของเหตกุ ารณ์ทางประวัติศาสตร์ (2) ข้อคิดเห็นหรือการวิเคราะห์ถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่มี
หลักฐานยนื ยนั ตรงกัน สามารถนบั เป็นความจรงิ ทางประวตั ิศาสตรไ์ ด้

การตคี วามหลักฐานทางประวตั ิศาสตร์
ความสาคญั ของการวเิ คราะห์ขอ้ มูลและตีความหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เร่ืองราวในอดีตที่

หา่ งไกล เช่นสมัยอยธุ ยาแมจ้ ะมีหลกั ฐานขน้ั ปฐมภูมอิ ยู่มากแต่หลักฐานส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ให้ภาพรวมทั้งหมดของ
ยคุ สมยั ซง่ึ ยาวนานถึง 417 ปี นอกจากนใ้ี นสมยั ธนบุรแี ม้จะเป็นชว่ งเวลาที่ไมน่ านนักเพียง 15 ปีแต่ก็มีหลักฐาน

4

จากัดและไม่หลากหลาย การศึกษาเรื่องราวหรือเหตุการณ์ในช่วงเวลาดังกล่าวจึงต้องนาหลักฐานที่มีอยู่มา
วิเคราะห์และตีความเพอื่ ให้ได้องค์ความรูท้ ี่สมบรู ณ์

การวิเคราะห์ข้อมูลและการตีความหลักฐานทางประวัติศาสตร์มีความสาคัญต่อการศึกษา
ประวัติศาสตร์มาก เพราะช่วยให้ผู้ศึกษารับรู้ถึงข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์อย่างถ่องแท้ และ
ช่วยขยายขอบเขตของความร้ทู ีม่ อี ยเู่ ดิมใหก้ ว้างขวางออกไป นอกจากนก้ี ารตคี วามจากหลักฐานท่ีค้นพบใหม่ยัง
อาจเป็นการนาเสนอองค์ความรู้ใหม่ให้แก่ผู้สนใจอ่ืน ๆ อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ข้อมูล และการตีความ
หลักฐานทางประวตั ศิ าสตร์จาเปน็ ตอ้ งศกึ ษาหลักฐานอนื่ ๆ ประกอบดว้ ย

5

เอกสารอา้ งอิง

ชยั รัตน์ โตศิลา. (2555). “การพัฒนากระบวนการเรียนการสอนโดยใชว้ ธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตร์เพือ่
ส่งเสริมทักษะการคิดทางประวัติศาสตร์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2.” วิทยานิพนธ์ปริญญา
ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอน ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะครุศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .

ณรงค์ พ่วงพศิ และคณะ. (ม.ป.ท.). หนังสือเรยี น รายวชิ าพ้ืนฐานประวตั ิศาสตร์ ม. 2. พิมพ์คร้ังที่ 5.
กรงุ เทพฯ: อกั ษรเจรญิ ทศั น.์

วงเดือน นาราสัจจ์ และชมพูนทุ นาคีรักษ์. (2559). หนังสือเรยี นรายวิชาพ้ืนฐานประวตั ิศาสตร์ ช้นั
มัธยมศึกษาปีท่ี 2. กรุงเทพฯ: บรษิ ัทพฒั นาคุณภาพวิชาการ (พว.).

วรพร ภู่พงศ์พนั ธ.์ุ (2549). “กฎมณเทียรบาลในฐานะหลักฐานประวัตศิ าสตรไ์ ทยสมัยอยุธยาถึง พ.ศ.
2348.” วทิ ยานพิ นธ์ปริญญาอกั ษรศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวชิ าประวัตศิ าสตร์ ภาควิชา
ประวตั ิศาสตร์ คณะอกั ษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั .

วรางคณา นิพทั ธฺสุขกจิ . (2561). ชุดถาม-ตอบ เสริมความรสู้ าระประวัติศาสตร์ ฉบบั นักเรยี นนกั ศึกษา
ประวตั ศิ าสตร์ สมัยอยุธยา. พมิ พ์ครัง้ ท่ี 2. กรุงเทพฯ: สารคดี.

สริ ิวรรณ ศรีพหล. (2554). การจดั การเรียนการสอนวชิ าประวัตศิ าสตรใ์ นสถานศกึ ษา. พิมพค์ ร้ังที่ 2.
นนทบรุ ี: โครงการส่งเสริมการแตง่ ตารา สานกั วชิ าการ มหาวิทยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช.


Click to View FlipBook Version