The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บทความวิชาการฉบับนี้ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาสัมมนาทางนาฏศิลป์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by BoatHouse, 2023-04-23 14:00:16

นกหัสดีลิงค์ ธรรมรัตน์

บทความวิชาการฉบับนี้ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาสัมมนาทางนาฏศิลป์

Keywords: นกหัสดีลิงค์

นกหัสดีลิงค์: พิธีกรรมในจังหวัดอุบลราชธานี Husadilingu: Rituals in Ubon Ratchathani Province ธรรมรัตน์กลมวงษ์1 Thammarat klomwong 2 บทคัดย่อ บทความเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษานกหัสดีลิงค์รูปแบบงานฌาปนกิจสถานของชาวจังหวัด อุบลราชธานีศิลปกรรมที่สะท้อน กระบวนการทางสังคมพิธีกรรมฌาปนกิจของกลุ่มคนที่แตกต่างของสังคม และวัฒนธรรมอีสานการเชื่อมโยงสร้างเรื่องราวตัวละครหรือผู้แสดงกลุ่มหนึ่งในสนามการรื้อฟื้นความทรงจำ และสร้างความทรงจำทางสังคมอีกแบบหนึ่งการประกอบสร้างนกหัสดีลิงค์ที่ถูกสร้างความหมายจากสังคมว่า มิได้เป็นร่างศพของคนธรรมดาแต่เป็น คนมีที่บุญบารมีและประกอบคุณความดี ซึ่งมีทั้งระดับสูงด้านชาติ กำเนิดและชาติกำเนิดที่มาจากสามัญชนหากแต่สะสมความดี ตามแนวทางสังคมวัฒนธรรมอีสาน ผู้เป็นที่ เคารพนับถือ นกหัสดลิงค์ เป็นนกใหญ่ มีฤทธิ์มีกำลังมากและเมื่อถูกนำไปใช้ในพิธีกรรมฌาปนกิจแสดงว่าผู้ ตายมี บุญบารมีมาก จึงอยู่บนหลังนกได้ นกหัสดลิงค์สามารถนำดวงวิญญาณของผู้ตายไปสู่สวรรค์ได้เหล่านี้ ล้วนเป็นวาทกรรม การสร้างความหมาย ความทรงจำทางสังคมที่ให้เกิดความแตกต่างทางสังคมวัฒนธรรมจึงมี ลักษณะของวัฒนธรรมที่แฝงไว้ ซึ่งอำนาจในการควบคุมสังคมกลุ่มหนึ่ง กรอบแนวคิดที่ใช้ในการศึกษาได้ใช้ แนวคิดเรื่องพื้นที่ของ ฮังรีเลอแฟบร์ (Henri Lefebrve) ซึ่งประกอบไปด้วยพื้นที่ทางกายภาพ พื้นที่ทาง จินตนาการและพื้นที่ทางสังคม ทำความเข้าใจในกระบวนการสร้าง นกหัสดีลิงค์ในมิติของกระบวนการสร้าง และการเชื่อมโยงกับพื้นที่จนทำให้เกิดความหมายพิเศษและความเป็นอัตลักษณ์ของสังคมวัฒนธรรมจังหวัด อุบลราชธานี คำสำคัญ: นกหัสดีลิงค์, อัตลักษณ์, พิธีฌาปนกิจ Abstract This research aimed to study the Husadilingu is a symbol of funeral ceremony in Ubonratchatani. It’s the art that reflects varieties of society and Isan (northeastern) culture. Socially, it’s a way to connect stories, characters or performers to revive memories and create memories. Process of making Husadilingu signifies that the corpse is not just an ordinary person, but it’s a person who has great merit and virtue. It can be a person who is in high 1 นักศึกษาชั้นปีที่3 สาขาวิชานาฏยศิลป์ศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา 2 3nd year student Department of Dramatic Arts Studies Faculty of Humanities and Social Sciences Bansomdetchaopraya Rajabhat University


level of the society because of social status or doing good deeds according to Isan culture these people are respected. Husadilingu is a powerful giant bird. When it’s used in funeral ceremonies, it represents that the deceased has a great virtue, so it can be on the back of the bird. Husadilingu can take the soul of the deceased to heaven. This is the discourse to create meanings and memories resulting in different social cultures and the features of culture with hidden power to control the society. The study concept bases on the production of space by Henri Lefebrve, which consists of Physical space, Mental space and Social space, to analyze the process of making Husadilingu in term of making and connecting with space to create special meanings and identities of culture in Ubonratchatani. Keywords: Husadilingu, identities บทนำ นกหัสดีลิงค์รูปแบบงานฌาปนกิจสถานของชาวจังหวัดอุบลราชธานีศิลปกรรมที่สะท้อน กระบวนการ ทางสังคม พิธีกรรมฌาปนกิจของกลุ่มคนที่แตกต่างของสังคม และวัฒนธรรมอีสานการเชื่อมโยง สร้างเรื่องราว ตัวละครหรือผู้แสดงกลุ่มหนึ่งในสนาม การรื้อฟื้นความทรงจำ และสร้างความทรงจำทางสังคม อีกแบบหนึ่ง การประกอบสร้างนกหัสดีลิงค์ ที่ถูกสร้างความหมายจากสังคม ว่ามิได้เป็นร่างศพของคนธรรมดา แต่เป็นคนที่มีบุญบารมีและประกอบคุณความดี ซึ่งมีทั้งระดับสูงด้านชาติกำเนิด และชาติกำเนิดที่มาจาก สามัญชน หากแต่สะสมความดีตามแนวทางสังคมวัฒนธรรมอีสาน นกหัสดีลิงค์ เป็นนกใหญ่ มีฤทธิ์มีกำลังมาก และเมื่อถูกนำไปใช้ในพิธีกรรมฌาปนกิจแสดงว่า ผู้ตายมีบุญบารมีมาก จึงอยู่บนหลังนกได้นกหัสดีลิงค์ สามารถนำดวง วิญญาณของผู้ตายไปสู่สวรรค์ได้ เหล่านี้ล้วนเป็นวาทกรรม การสร้างความหมาย ความทรงจำ ทาง สังคมที่ให้เกิดความแตกต่างทางสังคมวัฒนธรรม จึงมีลักษณะของวัฒนธรรมที่แฝงไว้ซึ่งอำนาจในการ ควบคุมสังคมกลุ่มหนึ่ง โดยกรอบแนวคิดที่ใช้ในการศึกษาได้ใช้แนวคิดเรื่องพื้นที่ ของ ฮังรี เลอแฟบร์ (Henri Lefebrve) โดยพื้นที่ของนกหัสดีลิงค์เป็น พื้นที่ในจินตนาการหรือเป็นพื้นที่ ที่ถูกก่อขึ้นด้านความรู้สึก และ จินตนาการ กล่าวคือ คนให้ความหมายเกี่ยวกับพื้นที่อย่างไร ส่งผลอย่างไร และมีความสำคัญต่อคนในพื้นที่ อย่างไร มนุษย์สร้างพื้นที่ขึ้นมา และปฏิบัติการด้านพื้นที่ผ่านพิธีกรรม ที่ถูกจัดขึ้นพิธีกรรมหรือการแสดง แล้วแต่ละพื้นทที่นั้นๆ สิ่งเหล่านี้ต่างเป็นพื้นที่ ที่ถูกช่วงชิงความหมายทางวัฒนธรรม ในงานฌาปนกิจสถาน นก หัสดีลิงค์


นกหัสดีลิงค์: เรื่องเล่านกหัสดีลิงค์ สุวชิช คูณผล (2548: 19-32) เขียนไว้ในหนังสือที่ ระลึกในวโรกาสสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรม ราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์งานออกเมรุพระราชทานเพลิงศพ พรระรัตโนบล (พิมพ์ นารโท) วัดทุ่งศรีเมือง ดังนี้คำว่า นกหัสดีลิงค์ เป็นชื่อนกใหญ่ชนิดหนึ่งในเทวนิยายว่า อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์รูปตัวส่วนใหญ่เป็นนก เว้นแต่จะงอยปากมีลักษณะเป็นงวงอย่างงวงช้าง ชาวอีสานรุ่น เก่าก่อนรู้จักนกหัสดีลิงค์ โดยเหตุที่งานศพเจ้านายผู้ใหญ่ พระเถระผู้ใหญ่ หรืองานศพท่านผู้มีวาสนาบารมีสูง ยิ่ง มักจัดงานศพโดยสร้างรูปนกหัสดีลิงค์ขนาดใหญ่รองรับหีบศพ นกนั้นสร้างแบบมีชีวิต เช่น หันศีรษะได้งวง ม้วนได้ตากระพริบ หูกระดิก มีเสียงร้องได้ด้วย การนำศพเคลื่อนจากที่ตั้งไปยังเมรุ นิยมใช้ตะเฆ่รองรับฐาน ของนกหัสดีลิงค์นกหัสดีลิงค์มีเชือก 3 สาย ผูกที่ฐานล่างของนก ให้ญาติและชาวบ้านชักลากไป หากเป็นศพ เจ้าเมือง หรือ ศพพระเถระผู้ใหญ่ เล่าขานกันว่า คนทั้งเมืองมาช่วยกันลากศพไปช้าๆ งานใหญ่ๆ เช่นนี้สิ่งที่ขาด ไม่ได้คือ โรงทานน้ำกินน้ำใช้ต้องบริบูรณ์ตลอดงาน ครั้นศพถึงเมรุผู้เข้าพิธีในงานจัดกำลังไว้ยกนกหัสดีลิงค์ที่ บรรทุกศพเข้าเทียบในเมรุ ในธรรมบทได้กล่าวถึงเรื่องนกหัสดีลิงค์ที่เกี่ยวกับพระเจ้าอุเทนกับนกหัสดีลิงค์ไว้เพียงย่อๆว่า สมัยนั้นในกรุงโกสัมพีมพีระราชานามว่า พระเจ้าปรันตปะ วันหนึ่งพระเจ้าปรันตปะนั่งผิงแดดอ่อนอยู่กลางแจ้ง กับ พระราชเทวผู้ทรงครรภ์ และได้ถอดพระธำมรงค์สวมใส่นิ้วพระราชเทวีขณะนั้นมีนกหัสดีลิงค์ซึ่งเป็นนก ใหญ่ เป็นนกทรงพลังเท่ากับช้าง 5 เชือก บินผ่านมาเห็นพระราชเทวีทรงผ้ากัมพลสีแดง เข้าใจว่าเป็นชิ้นเนื้อจึง ชะลอปึกโผลงมา ภาพวาดนกหัสดีลิงค์ ที่มา : https://id.pinterest.com/pin/536139530637008539/


พระราชาตกพระทัยจึงเสด็จลุกเข้าไปภายในพระราชนิเวศน์ ส่วนพระราชเทวีไม่อาจเข้าไปทันเพราะทรงพระ ครรภ์แก่ จึงถูกนกหัสดีลิงค์โฉบจับไป พระราชเทวีตกพระทัยกลัวต่อมรณภัย แต่ก็ตั้งสติได้ว่า ถ้าเราร้องออกไป อาจเป็นเหตุให้นกนี้ตกใจกลัวแล้วทิ้งเราลงไปเสีย เราคงจักตายเป็นแน่ พระนางคงจักสิ้นชีพ พร้อมกับลูกน้อย ในครรภ์ แต่เมื่อมันในพาเราไปจับอยู่ที่ใดแล้ว จึงร้องขึ้นไล่มันไปเสียอาจมีชีวิตรอด พระนาง ดำริเช่นนั้นแล้วจึง เงียบอยู่ เมื่อนกหัสดีลิงค์นำพระราชเทวีไปวางไว้ระหว่างคาบต้นไทรใหญ่ พระราชเทวีทรง ดำริว่า บัดนี้ควรไล่ นกนี้ให้หนีไป นกหัสดีลิงค์ได้ยินเสียงร้องดังขึ้นพร้อมเสียงปรบมือก็ตกใจจึงบินหนีไป ครั้งนั้นเป็นเวลาอาทิตย์อัสดง ลมกัมมชวาตปั่นป่วนในพระครรภ์ของพระราชเทวีครั้งนั้นมหาเมฆ คำรามร้องดังขึ้นในทุกทิศ พระนางตกพระทัยกลัวไม่ได้หลับตลอดทั้งคืนยันรุ่ง อันความทุกข์เข้าครอบงำ แต่ เมื่อจวนราตรีสว่าง พระนางก็ได้ประสูติพระโอรส และตั้งชื่อพระโอรสว่า “อุเทน” พอรุ่งเช้ามีดาบสนามว่า อัลลกัปปดาบสอาศัยอยู่ในที่ไม่ไกลจากต้นไทรใหญ่นัก โดยปกติหากวัน ไหนมีฝนตก ดาบสจะไม่เข้าป่าเพื่อหาผลไม้จักแสวงหาอาหารอยู่เลียบต้นไทรใหญ่ ในเช้าวันนั้นเช่นกัน อัลล กัปปดาบสได้ไปแสวงหาอาหารอยู่เลียบต้นไทรนั้น ทันใดนั้นได้ยินเสียงเด็กร้องอยู่ บนต้นไทร อัลลกัปปดาบส ได้สนทนาไต่ถามความเป็นมาของพระราชเทวี แล้วเข้าใจว่าทั้งสองต่างเป็นตระกูลกษัตริย์ อัลลกัปปดาบสจึงได้ ขึ้นไปรับพระราชเทวีพร้อมทารกลงมาจากต้นไทร แล้วรับพระราชเทวีไปสู่อาศรม อนุเคราะห์ด้วยอาหารบำรุง เลี้ยงดูโดยไม่กระทำให้เสียศีลเลยแม้แต่น้อย ครั้นต่อมาในกาลวันหนึ่ง อัลลกัปดาบสได้ตรวจดูความประกอบแห่งดาวนักษัตร เห็นความ หม่นหมอง แห่งดาวนักษัตรของพระเจ้าปรันตปะจึงบอกแก่พระนางราชเทวีว่า พระเจ้าปรันตปะแห่งกรุงโกสัม พีสวรรคตแล้ว พระนางราชเทวีได้ยินอดกลั้นน้ำตาไม่อยู่จึงร้องไห้ออกมา อัลลกัปปดาบสสอบถามถึงเหตุแห่ง การร้องไห้จึงทราบว่า พระนางเป็นพระมเหสีของพระเจ้าปรันตปะแห่งโกสัมพีซึ่งกุมารอุเทนควรได้สีบราช สมบัติต่อไปเมื่อ อัลลกัปปดาบสได้ทราบประสงค์ของราชเทวีจึงได้มอบพิณวิเศษและสอนมนต์เรียกช้าง แก่ พระกุมารอุเทน เมื่อพระกุมารอุเทนได้เรียนรู้การใช้พิณวิเศษและการใช้มนต์ที่ดาบสสอนให้แล้ว พระราชเทวี จึงได้มอบผ้ากัมพลแดง และธำมรงค์ที่ได้จากพระเจ้าปรันตปะผู้เป็นบิดาพร้อมกับบอกชื่อของเสนาบดี และ กำชับว่าเมื่อไปถึงกรุงโกสัมพีแล้วให้แสดงตนว่าเป็นโอรสของพระเจ้าปรันตปะที่มารดาถูกนกหัสดีลิงค์จับไป พร้อมแจ้งชื่อเสนาบดี เมื่อได้ฤกษ์งามยามดีแล้ว พระกุมารอุเทนจึงได้ร่ายมนต์เรียกช้างมารวมกันที่ต้นไทรใหญ่แล้วนำ ขบวนช้างนับแสนเชือกเข้าล้อมกรุงโกสัมพี พร้อมทั้งส่งสาสน์จะให้เรารบหรือจะมอบสมบัติให้แก่เราโดยที่ ชาวเมือง ตอบว่าไม่ให้รบและไม่ให้สมบัติเพราะพระราชเทวีของพวกเรามีพระครรภ์แก่ถูกนกหัสดีลิงค์จับไปไม่ ทราบว่า พระนางยังมีชีวิตอยู่หรือสิ้นพระชนม์แล้ว การที่เรายังไม่ทราบเรื่องราวเราจะไม่ให้ราชสมบัตินี้แก่ใคร จากนั้นพระกุมารอุเทนจึงตรัสแก่พวกเสนาบดีว่า เราคือบุตรของพระนางพร้อมอ้างชื่อเสนาบดี พวกเสนาบดีไม่ เชื่อ พระองค์จึงแสดงผ้ากัมพลพร้อมธำมรงค์ของพระเจ้าปรัตปะให้เสนาดู เมื่อเสนาบดีได้เห็นผ้ากัมพลพร้อม ธำมรงค์แล้วเชื่อด้วยความสนิทใจพร้อมเปิดประตูเมืองต้อนรับและอภิเษกพระกุมารอุเทนขึ้นครองราชสมบัติ สืบไป


นกหัสดีลิงค์: ประเพณีการทำศพแบบนกหัสดีลิงค์ อรรถ นันทจักร์(2536) รวบรวมบทความว่าด้วยนกหัสดีลิงค์ดังนี้การทำศพแบบนกหัสดีลิงค์นั้น จำกัดเฉพาะกลุ่มเจ้านายอุบลราชธานีเท่านั้น ผู้ไม่ใช่เจ้านายไม่อนุญาต ให้ทำศพแบบนกหัสดีลิงค์อดีตได้ทำ การเผาศพที่ทุ่งศรีเมือง ภายหลังเมื่อกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ได้เป็น ข้าหลวงต่างพระองค์ปกครองเมือง อุบลราชธานีได้ยกเลิกประเพณีการเผาศพที่ทุ่งศรีเมือง และอนุญาตให้พระ เถระที่ทรงคุณธรรม เมื่อ มรณะภาพให้จัดประเพณีการทำศพแบบนกหัสดีลิงค์ได้ โดยเริ่มจากธรรมบาลผุย หลักคำเมือง เจ้าอาวาสวัด มณีวนาราม เนื่องจากกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ทรงศรัทธาเลื่อมใสท่านธรรมบาลว่า เคร่งครัดในธรรมวินัย มีความรู้ในปริยัติแตกฉานไม่แพ้พระเถระทางกรุงเทพฯเมื่อท่านธรรมบาล (ผุย) ถึงแก่มรณะภาพ เสด็จในกรม สั่งให้สร้างเมรุรูปนกหัสดีลิงค์ถวายเป็นเกียรติยศ ให้ชักลากออกไปบำเพ็ญ กุศลที่ทุ่งศรีเมืองเช่นเดียวกับอาญา สี่และนับเห็นนกตัวสุดท้าย ที่ได้รับเกียรติยศให้เผาทที่ทุ่งศรีเมือง หลังจากนั้นแล้วไม่มีการเผาศพที่ทุ่งศรีเมือง อีกเลย พระสงฆ์ที่เป็นพระเถระผู้ใหญ่ จึงได้รับเกียรติยศให้ขึ้นนกตั้งแต่นั้นมา จงกลนี คงชนะ. (2539) ได้เขียนในงานวิจัยเรื่อง นกหัสดีลิงค์พาหนะสู่สวรรค์ของผู้ประพฤติดีไว้ ว่า ตำนานการทำศพแบบนกหัสดีลิงค์กล่าวว่า นครๆ หนึ่งชื่อนครเชียงรุ้งตักศิลา พระเจ้าแผ่นดินถึงแก่ สวรรคต พระมเหสีนำพระบรมศพ แห่แหนไปถวายพระเพลิงนอกเมือง นกหัสดีลิงค์บินจากป่าหิมพานต์มาเห็น เข้า จึงได้โฉบลงแย่งพระศพ พระมเหสีให้หาคนที่จะสู้นก แย่งเอาพระศพคืนในที่สุดมีหญิงสาวผู้หนึ่งชื่อ เจ้า นางสีดา เป็นบุตรีของมหาราชครู อาสาต่อสู้นกหัสดีลิงค์ เจ้านางสีดามีวิชายิงศรเป็นเยี่ยม ได้ใช้ศรยิงถูกนก ใหญ่ ตกลงมาถึงแก่ความตาย พระมเหสีจึงให้ประกอบพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพร้อมกับนกใหญ่ กลาย เป็นธรรมเนียมสำหรับเจ้านายเชื้อสายอุบลราชธานีว่า เมื่อถึงแก่อนิจกรรมแล้วให้ทำเมรุรูปนกประกอบหอแก้ว แล้วเชิญศพขึ้นตั้ง ชักลากออกไปบำเพ็ญกุศลครบถ้วน 3 วัน จึงเผา ภาพเมรุนกหัสดีลิงค์ ที่มา : https://www.sanook.com/news/7650010/


ก่อนเผาต้องมีพิธีฆ่านก แล้วเผาทั้งศพทั้งนก อนุสนธิตามตำนาน ผู้ฆ่านกจะต้องสืบสกุลจากเจ้า นางสีดา ผู้ฆ่านกในสมัยโบราณ ผู้สืบทอดจากเจ้านางสีดา คือ คุณยายสุกัญจ์ บุตรเจ้านางสีดา และปัจจุบัน คือ คุณยายมณีจันทร์ผ่องศิลป์ซึ่งสืบทอดบุตรคุณยาย สุกัญจ์มาตามลำดับ คุณยายมณีจันทร์ยังเหลือศรสำหรับ ประกอบพิธียิงนก และหมวกที่ใช้สวมในพิธียิงนก นกหัสดีลิงค์: การเชิญศพขึ้นสู่หลังนก และจัดกระบวนแห่ ประทีป พืชทองหลาง, บุญรัตน์ ณ วิชัย และญาตาวีมินทร์ พืชทองหลาง (2560). ได้เขียนข้อมูล ในงานวิจัยปราสาทศพนกหัสดีลิงค์ในล้านนา: รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์. ไว้ว่า ในพิธีญาติพี่น้องจะแต่งตัว นุ่งขาวห่มขาว เมื่อพร้อมกันแล้ว ญาติผู้ใหญ่ที่เป็นประธานจะนำยันห้า ประกอบด้วย เทียน 5 คู่ ดอกไม้5 คู่ ขอขมาศพ แล้วนำศพสู่เมรุนก เมื่อตั้งศพเรียบร้อยแล้ว นิมนต์พระเถระ ทั้งสี่ขึ้นนั่งบนที่นั่งหลังนก เพื่ออ่าน คัมภีร์บนนกนั้นด้วย กระบวนแห่ศพจะนำเชือกหนังอย่างดีผูกมัดกับฐานนก ชั่งทำเป็นตะเข่ใหญ่ 3 เส้น แล้ว จัดคนเข้าแถวตามเส้นเชือกนั้นเป็น 3 แถว กระบวนสุดคือต้นแถว จะมีคน หามฆ้องใหญ่ตีให้สัญญาณนำหน้า แถวถัดมาก็จะเป็นกระบวนพิณพาทย์เครื่องประโคมแห่ มีคนถือธงสามหาง และธงช่อ ธงชัย กระบวนหอก กระบวนดาบ กระบวนช้าง กระบวนเครื่องยศของผู้เสียชีวิต แล้วจึงถึงกระบวน ชักลากด้วยเชือกสามสาย ดังกล่าว เมื่อได้สัญญาณแล้ว ก็จะพร้อมกันดึงนกให้เคลื่อนที่ แห่ไปตามถนนจนถึงวัด กระบวนท้ายคือกระบวน ผู้ที่จะใช้ท่อนไม้งัดตะเข่นกใหญ่ หากติดขัดในการแห่นกใหญ่ จะมีคนมาร่วมกระบวนมาก เรียกว่า พร้อมทั้ง บ้านเมืองเลยทีเดียว เพราะถือว่าเป็นการแสดงความเคารพรักแก่ผู้ตายในครั้งสุดท้าย แม้แต่เจ้านายที่ เป็น ญาติกันที่อยู่เมืองอื่นก็มาร่วมงานด้วย ประเพณีการทำศพแบบนกหัสดีลิงค์ ถือเป็นงานใหญ่ เจ้าภาพจึงด้องจัด โรงทานไว้เป็นประจำตลอดงาน นกหัสดีลิงค์: พิธีฆ่านก พระเทพกิตติมุนี. (2548) เขียนไว้ในหนังสือหนังสือที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ พระราช รัตโนบล ดังนี้เจ้าภาพมอบให้ผู้มีเชื้อสายเจ้านายคือ อัญญาชาย 2 คน หญิง 2 คน เชิญผู้ฆ่านกไปฆ่านก เมื่อ คนทรง ได้รับเชิญแล้ว จะเข้าประทับทรงเชิญเจ้านางสีดามารับเชิญ และเรียกค่าบูชาครูก่อนทำพิธีฆ่านก เรียกว่า คาย หน้า คือ เครื่องบูชาบวงสรวง ก่อนที่จะไปฆ่านกหัสดีลิงค์ จะต้องมีการบวงสรวงเข้าทรงเสียก่อน ตามประเพณีโบราณ เครื่องบูชาครูหรือ เครื่องบวงสรวงมีทั้งหมด 20 รายการ (บางตําราบอกว่า 17 รายการ) ได้แก่ 1. เทียนขี้ผึ้งอย่างดียาว 1 คืบ จำนวน 1 กิโลกรัม 2. มะพร้าวอ่อน 4 ทะลายกับอีก 4 ลูก 3. กล้วย 4 เครือกับอีก 4 ชุด 4. หัวหมู2 ชุด 5. ไก่ต้ม 4 ตัว 6. อ้อยลำงาม 4 ต้น 7. หน่อกล้วยกําลังงาม 4 หน่อ 8. พานบายศรี7 ชั้น 1 สำรับ 9. ขันหมากเบ็งซ้ายขวา 1 คู่ 10. ขัน 5 เทียนเงิน 1 ขัน 11. ขัน 8 เทียนทอง 1 ขัน 12. คายหลัง 15 ตำลึง 13. คายหน้า 12 ตำลึง 14. สัปทน สำหรับกางให้ร่างนางสีดา 15. วอเงิน สำหรับ ใส่เครื่องบวงสรวง 16. วอทอง สำหรับเชิญร่างทรงนางสีดา 17. ข้าทาสบริวาร ชาย-หญิง ช้าง ม้า วัว ควาย 18. เหล้า 1 ไห กับ 2 ขวด 19. อาหารคาวหวาน อย่างละ 2 สำรับ 20. เงินคําพันฮ้อย (เงินหนึ่งพันบาท และ เครื่องประดับเป็นทองแท้หนัก 10 บาท สำหรับให้ร่างทรงนางสีดา)


ภุชงค์ รัตนะปัญญา. (2536). ได้เขียนในหนังสือพิธีฆ่านกหัสดีลิงค์ดังนี้ ครั้นบวงสรวงและประทับ ร่างทรงเสร็จ ค่อยแต่งตัวนางสีดาด้วยเครื่องทรงเฉพาะ ได้แก่ ผ้าซิ่นยกดิ้นทอง แบบลาว หมวกทรงแหลม คล้ายหมวกเจ้านายยามออกศึก และอาวุธประจำกาย คือ ศร ตลอดระยะเวลาการ ประทับทรงจะดื่มหรือล้าง อาบน้ำมะพร้าว เพราะถือว่าเป็นน้ำบริสุทธิ์เท่านั้น เมื่อขบวนแห่ไปถึงบริเวณที่ตั้ง เมรุนกสักกะไดลิงค์หรือนก หัสดีลิงค์แล้ว ขบวนก็จะเดินไปรอบๆ พอนกหัสดีลิงค์เห็นเช่นนั้น ก็จะหันซ้าย หันขวา งวงก็จะไขว่คว้า ตาก็จะ เหลือกขึ้นลง หูก็กระพือ ปากก็จะอ้าร้องเสียงดัง พร้อมที่จะต่อสู้เจ้าแม่สีดาก็ไม่รั้งรอโดยร่างทรงจะแทงหอก สามครั้งที่ตัวนก แล้วเอาผ้าคลุมศีรษะนก ไปอีกก็จะกลับมายิงนกหัสดีลิงค์อีก ภาพการทำพิธีฆ่านกหัสดีลิงค์ ที่มา : https://www.77kaoded.com/news/aekkapongputta/299065 จนนกหัสดีลิงค์หมดแรงไม่เคลื่อนไหว ซึ่งแสดงว่านกหัสดีลิงค์ตายแล้ว แผลที่ถูกยิงก็จะมีเลือดไหลออกมา เมื่อ เห็นว่า นกหัสดีลิงค์หมดกําลังแล้ว บริวาร ของเจ้าแม่สีดาก็จะช่วยเอาหอก หลาว แหลน เอาดาบฟันนกหัสดี ลิงค์ เมื่อเสร็จจากการฆ่านกหัสดีลิงค์แล้ว แล้วจึงเผานก และฌาปนกิจไปทั้งหมด ร่างทรงและคณะต้องรีบกลับ บ้านโดยทันที เพื่อทำพิธีบวงสรวงให้กับวิญญาณของนกและผู้ตาย เมื่อพิธีฆ่านกเสร็จสิ้นก็จะเป็นพิธีทางพุทธ ศาสนา และเมื่อได้ประชุมเพลิงตามปกติจะทำเวลากลางคืน ระหว่าง 4-5 ทุ่ม พร้อมกัน จากนั้นผ่านไปสามวัน จึงทำพิธีเก็บอัฐิและเลี้ยงลูกน้องเจ้าแม่สีดาที่เรียกว่า งาน “กินลาบนก” โดยการบวงสรวงจะประกอบไปด้วย 1. หัวหมู1 ชุด 2. ไก่ต้ม 2 ตัว 3. มะพร้าวอ่อน 4 ลูก 4. กล้วย 4 หวี5. บายศรี7 ชั้น 1 สำรับ แต่เดิมในเมืองอุบลราชธานีนี้ มีตํานานการสร้างเมรุนกหัสดีลิงค์อยู่เป็นของประจำเมือง พร้อมทั้ง พงศาวดารเมือง ต่อมาทางราชการมาขอยืมไปเพื่อตรวจสอบ ทั้งตํานานเมือง ตํานานนกหัสดีลิงค์ โดยอ้างว่า จะไปเรียบเรียงใหม่ ภายหลังผู้มาขอยืมที่เป็นเจ้าหน้าที่บ้านเมืองชั้นสูงได้เดินทางไปปักปันดินแดนระหว่างไทย กับฝรั่งเศส ในคราวไทยเสียดินแดนฝั่งซ้ายให้แก่ฝรั่งเศส แล้วป่วยไข้มาลาเรียเสียชีวิต ตํานานนี้กล่าวมาก็หาย


สาบสูญไป ต่อมาจึงมีแต่เพียงคําบอกเล่าของผู้ได้ปฏิบัติมา และผู้สืบทอดเชื้อสายเล่าให้ลูกหลานฟังเท่านั้น ราชประเพณีของเมืองจึงเลือนรางไปดังที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ สมชาติ มณีโชติ. (2535). ได้เขียนในหนังสือวิจัยเรื่อง คติเรื่องนกหัสดีลิงค์และรูปแบบทาง ศิลปกรรมไว้ว่า วัฒนธรรมประเพณีพื้นเมืองจะยังอยู่สืบเชื้อสายได้ก็จะต้องมีผู้รักษา หากขาดผู้รักษาแล้ว วัฒนธรรมท้องถิ่น ก็หมดไปด้วย นกหัสดีลิงค์ที่ว่านี้เป็นเรื่องประชาชนในท้องถิ่นถวายให้เกียรติแก่ผู้ตาย ไฟ พระราชทานนั้น เป็นพระเมตตาของพระมหากษัตริย์ที่พระราชทานมาให้ผู้ตาย นกหัสดีลิงค์ก็เท่ากับว่าเป็น พานทองรับไฟเพลิง พระราชทานของพระมหากษัตริย์ นั่นเอง ดอกไม้มีพานใส่ฉันใด นกหัสดีลิงค์ก็ฉันนั้น ที่ กล่าวมานี้ ก็ได้จากการที่ได้เคยพบเห็นมาแต่สมัยยังเป็นเด็ก และจากผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือเล่าให้ฟัง สืบทอดกัน มาขอเอ่ยนามคือ อัญญาใหญ่นางแพง อัญญาใหญ่นาง อบ อัญญาใหญ่ท้าวจอม อัญญาเจ้าเรือนสมบูรณ์ใน ฐานะที่ข้าพเจ้าผู้เล่าต่อเป็นลูก-หลานเหลน จึงขอเล่าสู่ท่านผู้อ่านได้รู้เพื่อประดับสติปัญญาสืบไป หากผิดพลาด ประการใดขออภัยท่านผู้รู้ทั้งหลายด้วย บทสรุป การศึกษาเกี่ยวกับพิธีกรรมการปลงศพแบบฌาปนกิจสถานรูปแบบนกหัสดีลิงค์ชี้ให้เห็นว่า กระบวนการทางสังคมพิธีกรรมฌาปนกิจของกลุ่มคนที่แตกต่างของสังคม และวัฒนธรรมอีสานการเชื่อมโยง สร้างเรื่องราว ตัวละคร หรือผู้แสดงกลุ่มหนึ่งในสนามการรื้อฟื้นความทรงจำ และสร้างความทรงจำทางสังคม การประกอบสร้างนกหัสดีลิงค์ที่ถูกสร้างความหมายจากสังคมว่ามิได้เป็นร่างศพของคนธรรมดา แต่เป็นคนมีที่ บุญบารมีและประกอบคุณความดี ซึ่งมีทั้งระดับสูงด้านชาติกำเนิดและชาติกำเนิดที่มาจากสามัญชนหากแต่ สะสมความดี ตามแนวทางสังคมวัฒนธรรมอีสาน เมื่อนกหัสดีลิงค์ถูกนำไปใช้ในพิธีกรรมฌาปนกิจแสดงว่า ผู้ตายมีบุญบารมีมาก จึงอยู่บนหลังนกได้ มีความเชื่อว่านกหัสดีลิงค์ สามารถนำดวงวิญญาณของผู้ตายไปสู่ สวรรค์ได้ล้วนเป็นวาทกรรม การสร้างความหมายความทรงจำทางสังคมที่ให้เกิดความแตกต่างทางสังคม วัฒนธรรม จึงมีลักษณะของวัฒนธรรมที่แฝงไว้ซึ่งอำนาจในการควบคุมสังคมกลุ่มหนึ่ง แต่ความเปลี่ยนแปลงที่ เกิดขึ้นกับพิธีกรรมนี้ก็คือ พิธีกรรมนี้เริ่มไม่ผูกขาดเฉพาะ “เจ้า” กับ “พระ” ดังในอดีต เนื่องจากปัจจุบันผู้ที่ สืบเชื้อสาย เจ้าเมืองอุบลราชธานีเริ่มลดลงไปตามลำดับ ดังนั้นโอกาสที่จะได้จัดพิธีกรรม “ขึ้นนก” หัสดีลิงค์ เมื่อเสียชีวิตไป แล้วก็ย่อมน้อยลงไปด้วย ดังจะเห็นได้ว่านับตั้งแต่งานศพผญาพ่อพระอุบลการประชานิตย์ (ท้าว สิทธิสาร-บุญชูพรหมวงศานนท์) เมื่อ พ.ศ. 2491 แล้วยังไม่เคยมพิธีปลงศพแบบนกหัสดีลิงค์ของผู้ที่สืบเชื้อ สายเจ้าเมือง อุบลราชธานีอีกเลย หากแต่กลุ่มที่จะได้รับการจัดพิธีปลงศพแบบนกหัสดีลิงค์มากก็คือ “พระ เถระชั้นผู้ใหญ่” นอกจากนี้ก็ยังพบว่ามีการจัดพิธีปลงศพแบบนกหัสดีลิงค์แก่สามัญชนทั่วไปถึง 4 คนด้วยกัน มองในแง่หนึ่งนั้น การที่ปัจจุบันผู้ที่สืบเชื้อสายเจ้าเมืองเก่าเริ่มลดน้อยถอยลงไปเป็นลำดับ และผู้ที่จะได้รับการ ปลงศพแบบนก หัสดีลิงค์ก็คือบรรดาพระเถระชั้น ผู้ใหญ่ ดังนั้นการที่ทำให้พิธีกรรมที่เคยเป็นเรื่อง “เฉพาะ กลุ่ม” กลับกลาย เป็นพิธีกรรม “ทั่วไป” ดังในแง่ของการพบว่ามีการจัดพิธีปลงศพแบบนกหัสดีลิงค์แก่สามัญ ชนทั่วไป ก็น่าจะมีส่วนในการช่วยทำให้พิธีกรรมนี้ยังคงอยู่ อย่างไรก็ตามการคงอยู่นั้นส่วนใหญ่ก็คงจะคงอยู่ใน เชิงของรูปแบบ (form) ส่วนเนื้อหา (content) นั้น ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลา


เอกสารอ้างอิง กาญจนา ชินนาค. 2550. นกหัสดีลิงค์: การวิเคราะห์ทางมานุษยวิทยา. มน.ม (สาขามานุษยวิทยา). วารสารวิชาการคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี. ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน 2550. หน้า 69-70. จงกลนี คงชนะ. (2539, กรกฎาคม) นกหัสดีลิงค์พาหนะสู่สวรรค์ของผู้ประพฤติดี. สยามอารยะ 3, 42 (ก.ค. 2539);หน้า 10-12. ติ๊ก แสนบุญ. (2548,พฤศจิกายน). เมรุชั่วคราวนกหัสดีลิงค์เมืองอุบลมรดกทางงานช่างวัฒนธรรม พื้นถิ่นอีสาน. ศิลปวัฒนธรรม 27,1 :หน้า 42. บำเพ็ญ ณ อุบล. ม.ป.ป. “พิธีกรรมฆ่านกหัสดีลิงค์ในงานศพเจ้านายเมืองอุบล” ใน มรดกอีสาน. สถาพร พันธุ์มณี, บรรณาธิการ. 27-34, มหาสารคาม: ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม วิทยาลัยครู มหาสารคาม. เอกสารอัดสำเนา. บทความนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในวารสารเมืองโบราณ ปีที่ 16 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม-กันยายน 2533. ประทีป พืชทองหลาง, บุญรัตน์ ณ วิชัย และญาตาวีมินทร์ พืชทองหลาง (2560). ปราสาทศพนกหัสดีลิงค์ใน ล้านนา: รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์. สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและ นวัตกรรม. ประทับใจ สิกขา. (2556). นกหัสดีลิงค์. อุบลราชธานี: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. ประยุทธ สารัง. นกหัสดีลิงค์: การเมืองเรื่องการนิยาม รหัสหมายชั้นชน ในสังคมวัฒนธรรมล้านช้าง. สาขาการวิจัยทางศิลปกรรมศาสตร์, มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. การประชุมวิชาการ มหาวิทยาลัย มหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 13. เข้าถึงข้อมูลได้ที่ http://research.msu.ac.th/msu_journal /upload/articles/article1938_4061.pdf. สืบค้นเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2566 พระเทพกิตติมุนี. (2548). ตำนานนกหัสดีลิงค์. หนังสือที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ พระราชรัตโนบล (พิมพ์ นารโท). อุบลราชธานี: ศิริธรรมออฟเซ็ท. สุวิชช คูณผล. 2548. “เรื่องราวนกหัสดีลิงค์” ใน หนังสือที่ระลึกในวโรกาสสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์งานออกเมรุ พระราชทานเพลิงศพ พระราชรัตนโนบล (พิมพ์นารดท ป.ธ.) วัดทุ่งศรีเมือง เสาร์ที่ 18 มิถุนายน 2548, หน้า 19-32. สมชาติ มณีโชติ. (2535). “คติเรื่องนกหัสดีลิงค์และรูปแบบทางศิลปกรรม”. มรดกอีสาน. ที่ระลึก ในงานเปิด ศูนย์วัฒนธรรม วิทยาลัยครูมหาสารคาม.มหาสารคาม: ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม วิทยาลัยครูมหาสารคาม. สมชาติ มณีโชติ. (2556). “คติเรื่องนกหัสดีลิงค์และรูปแบบทางศิลปกรรม”, ในเอกสารประกอบการสัมมนา ทางวิชาการ เรื่อง ศิลปะอีสานกับกระแสการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรม. อรรถ นันทจักร์. (2536). รวมบทความว่าด้วยนกหัสดีลิงค์. มหาสารคาม : ประสานการพิมพ์


Click to View FlipBook Version