เน้อื หา
คาสอน ใจความ
อยา่ ถากคนด้วยตา อย่ามองคนดว้ ยสายตาท่ดี ูหมิ่น ถากถาง
เยาะเยย้ หรือมองดว้ ยสายตาทไ่ี ม่เปน็ มติ ร
อย่าพาผิดด้วยหู อยา่ ทาผิดหรือเขา้ ใจผิดเพราะเชือ่ คาพูด
ของผูอ้ ื่น
อยา่ เลียนครูเตือนด่า ครูตกั ตือนว่ากล่าว อย่าลอ้ เลียนครู
เนือ้ หา ใจความ
คาสอน อยา่ ตเิ ตยี นผอู้ ่ืนลับหลงั
อยา่ นินทาผู้อ่นื เม่ือมคี นยกย่อง อย่าหลงลมื ตวั ดอี กดีใจ
อยา่ ตื่นยกยอตน หลงเช่อื ไปตามคายอ
อยา่ ดูถกู คนจน
คนจนอยา่ ดถู กู
เนื้อหา
คาสอน ใจความ
ปลูกไมตรีทว่ั ชน ใหส้ ร้างไมตรี เปน็ มติ รกบั คนท่วั ไป
ตระกลู ตนจงคานบั จงเคารพและนับถอื ตระกูลของตน
อย่าจบั ล้นิ แก่คน อยา่ คอยจับผดิ คาพูดของคนอ่ืน
เนือ้ หา
คาสอน ใจความ
ทา่ นรกั ตนจงรักตอบ ใครรกั ให้รกั ตอบ
ทา่ นนอบตนจงนอบแทน ใครแสดงกริ ยิ าอ่อนน้อม เคารพนบนอบ
กค็ วรแสดง กิริยาอ่อนน้อมต่อเขา
ความแหนใหป้ ระหยดั เรือ่ งราวท่สี าคญั หรอื เปน็ ความลบั ต้อง
ระมัดระวังใหด้ อี ยา่ พลงั้ เผลอพูดให้คนอนื่ รู้
เนอ้ื หา
คาสอน ใจความ
ผจิ ะบงั บงั จงลับ ถ้าจะบงั ต้องบังใหพ้ ้นตา ไมใ่ หใ้ ครเห็น
ผจิ ะจับจับจงมั่น ถ้าจะจับตอ้ งจบั ใหม้ นั่ คง อยา่ ให้หลุดมือไปได้
ผจิ ะค้นั คน้ั จงตาย ถ้าจะบบี ต้องบีบให้ตาย อยา่ ใหร้ อดไปได้
ผิจะหมายหมายจงแท้ ถ้าตั้งใจอะไรไว้ ตอ้ งตง้ั ใจจริง ไมเ่ ปล่ยี นแปลง
หรือลม้ เลิกงา่ ยๆ
ผิจะแกแ้ กจ้ งกระจา่ ง ถ้าจะแก้ไขเร่อื งอะไรหรือปญั หาอะไร ต้องแก้
ใหก้ ระจ่างชดั เจน
คุณค่าด้านเนอื้ หา
มคี าสอนทีส่ ามารถนาไปใช้ในชีวติ ประจาวนั
1. การปฏบิ ัตติ ่อตนเอง เช่น ใหห้ าความรู้เมอื่ ใหญ่
O เม่อื นอ้ ยใหเ้ รียนวิชา อยา่ คะนึงถงึ โทษทา่ น
O โทษตนผดิ ราพึง ปลกี ตนไปโดยด่วน
O ท่ีมีภยั พงึ หลีก
ปลูกไมตรีทว่ั ชน
2. การปฏิบัตติ นตอ่ คนรอบขา้ ง เชน่
O ปลกู ไมตรอี ย่ารรู้ า่ ง
O เมตตาตอบตอ่ มิตร
O อย่านินทาผูอ้ น่ื
คณุ คา่ ดา้ นเนอื้ หา
มีคาสอนท่สี ามารถนาไปใช้ในชีวติ ประจาวนั
3. การปฏบิ ัติตนต่อผ้ใู หญ่ เช่น O ผู้เฒ่าสั่งจงจาความ
O อย่านัง่ ชดิ ผูใ้ หญ่ O อย่าปองภัยต่อทา้ ว
O อย่าเลยี นครเู ตอื นดา่
4. การปฏบิ ตั ติ นตอ่ พระมหากษัตรยิ ์ เช่น
O อาสาเจา้ จนตัวตาย
5. การปฏบิ ัติตนต่อครูอาจารย์ เช่น
O ยอครูยอตอ่ หน้า
O ครบู าสอนอยา่ โกรธ
คณุ คา่ ด้านวรรณศิลป์
- มีความไพเราะจากการสัมผัสคลอ้ งจอง เช่น
ปลกู ไมตรีอยา่ รู้ร้าง สรา้ งกุศลอย่ารู้โรย
อย่าโดยคาคนพลอด เข็นเรือทอดทางถนน
ทง้ั สีว่ รรคน้มี ีการสัมผสั “ รา้ ง – สรา้ ง ” “ โรย – โดย ”
รบั ส่งต่อเน่ืองกัน ได้แก่คาวา่ “ พลอด – ทอด ”
คณุ ค่าดา้ นวรรณศิลป์
- มีความไพเราะจากการซ้าคา เช่น
“ปางมีชอบท่านช่วย ปางป่วยทา่ นชิงชงั ”
“อย่ารกั เหากวา่ ผม อย่ารักลมกวา่ นา้
อยา่ รกั ถา้ กว่าเรือน อยา่ รักเดือนกว่าตะวนั ”
คณุ ค่าดา้ นวรรณศิลป์
- มกี ารเลน่ คาซ้าเพอ่ื เนน้ ความ เชน่
ผจิ ะบังบังจงลับ ผจิ ะจบั จับจงมั่น
ผิจะคน้ั ค้ันจงตาย ผิจะหมายหมายจงแท้
ผจิ ะแกแ้ กจ้ งกระจ่าง
คณุ คา่ ดา้ นวรรณศลิ ป์
- ใชค้ าวา่ จงึ จง ให้ พงึ เปน็ คาสอนเชงิ แนะนา เช่น
“คิดแล้วจึงเจรจา”
“ทที่ ับจงมไี ฟ ทไี่ ปจงมีเพอ่ื น”
“เมือ่ นอ้ ยให้เรยี นวชิ า ให้หาสินเมอื่ ใหญ่”
“พรรคพวกพงึ ทานุ เมอ่ื พาทีพงึ ตอบ พงึ ผันเผ่อื ญาติ”
คณุ คา่ ด้านสังคม
สุภาษติ พระรว่ งสะท้อนภาพสงั คมท่ีมีคนหลายชนชั้นอยู่
รว่ มกัน ทุกคนต้องรหู้ นา้ ที่ และฐานะของตนเอง มีการปฏบิ ัติ
ต่อกนั อยา่ งเหมาะสม เคารพและใหเ้ กยี รติซึ่งกันและกนั สังคม
กจ็ ะดารงอยอู่ ย่างสงบสุข