48
1.การสะทอ้ นของแสงบนกระจกเงาราบ
ภาพจากการสะทอ้ นของแสงบนกระจกเงาราบ
กระจกราบ ทาํ ด้วยแผน่ แก้วหรอื วัสดโุ ปรง่ ใสเรยี บ ด้านหนงึ จะเคลือบด้วยสารมนั วาว เชน่ ปรอท
การเกิดภาพมหี ลักว่า ภาพจะเกิดการรงั สสี ะทอ้ นหรอื รงั สหี กั เหไปตัดกัน แบง่ เปน 2 ชนดิ
ภาพจรงิ : ภาพทเี กิดจากรงั สสี ะทอ้ นหรอื รงั สหี กั เหตัดกันจรงิ ใชฉ้ ากรบั ได้ ลักษณะหวั กลับกับวัตถุ
ภาพเสมอื น : ภาพทเี กิดจากรงั สสี ะทอ้ นหรอื รงั สหี กั เหตัดกันไมจ่ รงิ แต่มรี งั สเี สมอื น ใชฉ้ ากรบั ไมไ่ ด้
การสะทอ้ นของแสงบนกระจกเงาราบ
1.ถ้าวัตถเุ ปนจดุ
2.ถ้าวัตถมุ ขี นาด สรปุ การเกิดภาพในกระจกเงาคราบ 1 บาน
1. เปนภาพเสมอื นหวั ตัง อยหู่ ลังกระจก
ระยะภาพ (s) = ระยะวัตถุ (s′) 2. ระยะวัตถเุ ทา่ กับระยะภาพ
และ ขนาดภาพ (y) = ขนาดวัตถุ (y′) 3. ขนาดวัตถเุ ทา่ กับขนาดภาพ
3.การมองภาพตัวเองในกระจก 4. ภาพมลี ักษณะกลับขา้ งซา้ ย - ขวา ซงึ เรยี กว่า
ปรศั วภาควิโลม
ให้ h = ความสงู ของคน h′ = ความกว้างหนา้ ผาก
x =ความยาวของกระจกทสี นั ทสี ดุ
y = ระยะขอบบนกระจกถึงระดับศรี ษะ
เนอื งจาก ระยะภาพ (s) = ระยะวัตถุ (s′)
จะได้
49
4.การหาจาํ นวนภาพทเี กิดจากกระจกเงาราบ 2 บาน วางทาํ มมุ กัน
5.ผลทเี กิดขนึ เมอื เราหมนุ กระจกราบไปจากแนวเดิม
ถ้าใหร้ งั สตี กกระทบคงเดิม ถ้ากระจกบดิ ไปจาก
เดิม
เปนมมุ θ ผลคือ
1. เสน้ ปกติจะบดิ ไปจากเดิม θ
2. รงั สสี ะทอ้ นใหมเ่ บนไปจากแนวรงั สสี ะทอ้ นเดิม
เปนมมุ 2θ
ตัวอยา่ งโจทยเ์ รอื งการสะทอ้ นบนกระจกเงาราบ
ตัวอยา่ งที 1 จงคํานวณหาจาํ นวนภาพทเี กิดขนึ จากการสะทอ้ นบนกระจกเงาระนาบสองบาน
ทาํ มมุ ต่อกัน 55 องศา
ตอบ เกิดภาพทงั หมด 6 ภาพ
50
ตัวอยา่ งที 2 นกั มายากลคนหนงึ ต้องการทาํ ใหเ้ กิดภาพตัวเองในกระจกเงาราบทงั หมด 9 ภาพ อยาก
ทราบว่าจะต้องนาํ กระจกมาวางทาํ มมุ กันกีองศาจงึ จะเกิดภาพได้ตามต้องการ
ตอบ วางทาํ มมุ 39 องศา
ตัวอยา่ งที 3 ชายคนหนงึ สงู 180 cm ยนื อยหู่ นา้ กระจกเงาราบบานหนงึ ซงึ ตังอยใู่ นแนวดิง ถ้าระดับ
สายตาของชายคนนนั อยสู่ งู จากพนื 165 cm จงหาความยาวของกระจกนอ้ ยทสี ดุ ทที าํ ใหช้ ายคนนนั สามารถ
มองเหน็ ภาพของเขาในกระจกได้เต็มตัวและขอบบนของกระจกจะต้องอยสู่ งู จากพนื เปนระยะเทา่ ใด
ตอบ ความยาวกระจกทนี อ้ ยทสี ดุ 90 ซม. และ ความสงู ของขอบล่างของกระจก 82.5 ซม.
ขอ้ สอบเรอื งการสะทอ้ นบนกระจกเงาราบ
1.ถ้าวางกระจกเงาราบทงั 2 บานเปนมมุ 0 องศา จาํ นวนภาพทเี กิดขนึ เปนตามขอ้ ใด
ก. 0 ภาพ
ข. 1 ภาพ
ค. 2 ภาพ
ง. นบั ไมถ่ ้วน
ตอบ ง.
51
2.วางวัตถไุ ว้หนา้ กระจกเงาราบ 10 เซนติเมตร ถ้าเลือนวัตถเุ ขา้ ไปหากระจกอีก 5 เซนติเมตร
จะเกิดภาพอยา่ งไร
ก.เปนภาพจรงิ หลังกระจกในตําแหนง่ เดิม
ข.เปนภาพจรงิ อยหู่ ลังกระจกระยะ 5 เซนติเมตร
ค.เปนภาพเสมอื นอยหู่ ลังกระจกระยะ 5 เซนติเมตร
ง.เปนภาพจรงิ อยหู่ ลังกระจกระยะ 15 เซนติเมตร
ตอบ ค. เนอื งจากการสะทอ้ นของกระจกเงาราบได้ระยะวัตถเุ ทา่ กับระยะภาพ และได้ภาพเสมอื น
3.เทยี นไขอันหนงึ วางอยหู่ นา้ กระจก 2 บาน ทที าํ มมุ กัน 60 องศา ถ้าเลือนกระจกทงั สองบานเพมิ มมุ ให้
มากขนึ 30 องศา อยากทราบว่าภาพทเี กิดขนึ ในกระจกจะต่างกันกีภาพ
ก. 1 ภาพ
ข. 2 ภาพ
ค. 3 ภาพ
ง. 5 ภาพ
ตอบ ข.
4.นายกรสงู 1.8 เมตรยนื อยหู่ นา้ กระจกเงาราบถ้าต้องการใหเ้ หน็ เต็มตัวจะต้องใชก้ ระจกเงาราบ
ยาวนอ้ ยทสี ดุ เทา่ ใด
ก. 0.9 เมตร
ข. 0.8 เมตร
ค. 0.7 เมตร
ง. 0.6 เมตร
ตอบ ก.
5.ชายคนหนงึ สงู 184 เซนติเมตร ยนื มองดภู าพตัวเองในกระจกเงาราบซงึ ติดไว้ทฝี าผนงั ถามว่ากระจกเงาจะ
ต้องติดไว้สงู จากพนื ดินเทา่ ไร ชายคนนนั จงึ จะเหน็ ภาพเขาทงั ตัวในกระจกเงานี ถ้าตาของเขาอยสู่ งู จากพนื
166 เซนติเมตร
ก. 72 เซนติเมตร
ข. 73 เซนติเมตร
ค. 82 เซนติเมตร
ง. 83 เซนติเมตร
ตอบ ง.
52
2.การสะทอ้ นของแสงบนกระจกเงาโค้ง
การเกิดภาพจากการสะทอ้ นของกระจกเว้า
1. เกิดภาพได้ทงั ภาพจรงิ และภาพเสมอื น
2. ภาพจรงิ มที งั ขนาดเล็กกว่าวัตถุ ขนาดเทา่ วัตถุ
และขนาดใหญก่ ว่าวัตถุ ภาพจรงิ อยหู่ นา้ กระจก
แต่เกิดภาพเสมอื นขนาดใหญก่ ว่าวัตถุ อยหู่ ลัง
กระจกเทา่ นนั
1. กระจกนนู คือ กระจกทรี งั สตี กกระทบและรงั สี
สะทอ้ นอยคู่ นละด้านกับจดุ ศนู ยก์ ลางความโค้ง
2. กระจกเว้า คือ กระจกทรี งั สตี กกระทบและรงั สี
สะทอ้ นอยดู่ ้านเดียวกับจดุ ศนู ยก์ ลางความโค้ง
3. กระจกนนู เปนกระจกกระจายแสง ถ้าใหร้ งั สี
ตกกระทบขนานกับแกนมขุ สาํ คัญ รงั สแี สงจะถ่าง
ออกหรอื กระจายออก โดยรงั สแี สงขนานสะทอ้ นใน
ทศิ ทเี สมอื นกับมาจากจดุ โฟกัสของกระจกนนู
4. กระจกเว้าเปนกระจกรวมแสง ถ้าใหร้ งั สตี กกระ
ทบขนานกับแกนมขุ สาํ คัญ รงั สที สี ะทอ้ นออกจาก
กระจกจะล่ไู ปรวมกันทจี ดุ จดุ หนงึ เรยี กว่า จดุ โฟกัส
การเขยี นทางเดินแสงบนกระจกเงาโค้ง
1. เขยี นรงั สตี กกระทบจากปลายบนของวัตถขุ นานกับแกนมขุ สาํ คัญไปยงั กระจก จะได้แนวของรงั สี
สะทอ้ นจากผวิ กระจกผา่ นจดุ โฟกัส
2. เขยี นแนวของรงั สตี กกระทบจากปลายบนของวัตถผุ า่ นจดุ ศนู ยก์ ลางความโค้งไปยงั กระจก จะได้
รงั สี
สะทอ้ นจากผวิ กระจกยอ้ นกลับทางเดิม
3. จดุ ตัดของแนวรงั สสี ะทอ้ นในขอ้ ที 1 และขอ้ ที 2 คือตําแหนง่ ปลายบนของภาพ และจากจดุ ตัดนี
ลากเสน้ ตรงตังฉากกับแกนมขุ สาํ คัญจะได้ขนาดของภาพทเี กิด
53
เปรยี บเทยี บภาพทเี กิดจาก
กระจกโค้งเว้าและกระจกโค้งนนู
สตู รทใี ชใ้ นการคํานวณ 54
เมอื กําหนดให้
S เปนระยะวัตถุ
S′ เปนระยะภาพ
f เปนความยาวโฟกัสของกระจก
R เปนรศั มคี วามโค้งของกระจก
M เปนกําลังขยายภาพ
I เปนขนาดความยาวของภาพ
O เปนขนาดความยาวของวัตถุ
การคํานวณกระจก 2 บาน
หลักการ
1. คิดบานที 1 หา S′1, m1
2. นาํ ภาพจากบานที 1 มาเปนวัตถขุ องบานที 2 หา S′2 , m2
3. การหา m รวม ใหใ้ ชส้ ตู ร mรวม = m1 x m2
4.ถ้าโจทยไ์ มบ่ อกว่า ไมม่ พี ารลั แลกซ(์ Parallax) แปลว่าวัตถไุ มเ่ หลือมกัน คือ ซอ้ นทบั กันพอดี
55
ตัวอยา่ งโจทยเ์ รอื งการสะทอ้ นบนกระจกเงาโค้ง
ตัวอยา่ งที 1 วางวัตถหุ นา้ กระจกซงึ มคี วามยาวโฟกัส 20 เซนติเมตร โดยวางวัตถหุ า่ งจากขวั กระจก
15 เซนติเมตร จงหาชนดิ และตําแหนง่ ของภาพ
ตอบ เกิดภาพเสมอื น หา่ งจากขวั กระจก 60 เซนติเมตร
ตัวอยา่ งที 2 กระจกนนู รศั มคี วามโค้ง 60 CM จงหาระยะวัตถทุ พี อดี ทาํ ใหเ้ กิดภาพหา่ งจากกระจก 2 ใน 3
ของความยาวโฟกัส
ตอบ ระยะวัตถเุ ทา่ กับ 60 เซนติเมตร
56
ตัวอยา่ งที 3 กระจกเว้ามรี ศั มคี วามโค้ง 10 เซนติเมตร จะต้องวางวัตถหุ า่ งกระจกกีเซนติเมตรจงึ
จะทาํ ใหภ้ าพของวัตถมุ กี ําลังขยายเปน 2 เทา่ และหวั ตัง
ตอบ วางวัตถหุ า่ งจากกระจก 2.5 เซนติเมตร
ขอ้ สอบเรอื งการสะทอ้ นบนกระจกเงาโค้ง
1.จะต้องวางวัตถใุ หห้ า่ งจากกระจกเว้าความยาวโฟกัส 18 เซนติเมตร เทา่ ไร จงึ จะได้ภาพจรงิ มขี นาด
1/9 เทา่ ของวัตถุ
ก. 45 เซนติเมตร
ข. 90 เซนติเมตร
ค. 180 เซนติเมตร
ง. 360 เซนติเมตร
ตอบ ค.
57
2. วางวัตถอุ ันหนงึ หนา้ กระจกโค้งซงึ มคี วามยาวโฟกัสเทา่ กับ 20 เซนติเมตร ปรากฏว่าได้ภาพเสมอื นมี
กําลังขยายเทา่ กับ 0.1 จงหาระยะวัตถุ
ก. +220 เซนติเมตร
ข. +180 เซนติเมตร
ค. -220 เซนติเมตร
ง. -180 เซนติเมตร
ตอบ ข.
3.กระจกเว้ามรี ศั มคี วามโค้ง 10 เซนติเมตร จะต้องวางวัตถหุ า่ งกระจกกีเซนติเมตรจงึ จะทาํ ใหภ้ าพของ
วัตถมุ กี ําลังขยายเปน 2 เทา่ และหวั ตัง
ก. 2 เซนติเมตร
ข. 3 เซนติเมตร
ค. 2.5 เซนติเมตร
ง. 3.5 เซนติเมตร
ตอบ ค.
4. จงหารศั มคี วามโค้งของกระจกนนู ซงึ ทาํ ใหเ้ กิดภาพทมี ขี นาดเปน 1 / 5 ของวัตถุ เมอื วัตถอุ ยหู่ า่ ง
จากกระจก 15 ซม.
ก. 5.0 เซนติเมตร
ข. 5.5 เซนติเมตร
ค. 6.0 เซนติเมตร
ง. 7.5 เซนติเมตร
58
5. กระจกบานหนงึ แขวนไว้ทผี นงั หอ้ ง เมอื วัตถชุ นิ หนงึ สงู 6 ซม. อยหู่ า่ งจากกระจก 24 ซม.ทาํ ใหเ้ กิดภาพ
ของเขาหลังกระจกสงู 0.5 ซม. จงหาระยะภาพทอี ยหู่ ลังกระจกชนดิ และความยาวโฟกัสของกระจกนนั
ก. 2 ซม.
ข. 2.15 ซม
ค. 2.18 ซม
ง. -2.18 ซม
ตอบ ง.
59
การหกั เหของแสง
การหกั เหของแสง (Refraction)
เกิดจากการทแี สงเคลือนทผี า่ นตัวกลางทมี คี วามหนาแนน่ ต่างกัน เปนผลทาํ ใหท้ ศิ ทางของแสง
เปลียนแปลงไปด้วย ซงึ ในขณะทแี สงเกิดการหกั เหก็จะเกิดการสะทอ้ นของแสงขนึ พรอ้ มๆ กันด้วย
ดังรปู
2
เมอื แสงเดินทางผา่ นวัตถหุ รอื ตัวกลางโปรง่ ใส เชน่ อากาศ แก้ว นา พลาสติกใส แสงจะสามารถเดิน
ทางผา่ นได้เกือบหมด เมอื แสงเดินทางผา่ นตัวกลางชนดิ เดียวกัน แสงจะเดินทางเปนเสน้ ตรงเสมอ
แต่ถ้าแสงเดินทางผา่ นตัวกลางหลายตัวกลาง แสงจะหกั เห
สาเหตทุ ที าํ ใหแ้ สงเกิดการหกั เห
เกิดจากการเดินทางของแสงจากตัวกลางหนงึ ไปยงั อีกตัวกลาง หนงึ ซงึ มคี วามหนาแนน่ แตกต่าง
กัน จะมคี วามเรว็ ไมเ่ ทา่ กันด้วย โดยแสงจะเคลือนทใี นตัวกลางโปรง่ กว่าได้เรว็ กว่าตัวกลางทที บึ กว่า
เชน่ ความเรว็ ของแสงในอากาศมากกว่าความเรว็ ของแสงในนา และความเรว็ ของแสงในนา
มากกว่าความเรว็ ของแสงในแก้วหรอื พลาสติกการทแี สงเคลือนทผี า่ นอากาศและแก้วไมเ่ ปนแนว
เสน้ ตรง เดียวกันเพราะเกิดการหกั เหของแสง โดยแสงจะเดินทางจากตัวกลางทมี คี วามหนาแนน่
นอ้ ยกว่า ( โปรง่ กว่า) ไปยงั ตัวกลางทมี คี วามหนาแนน่ มากกว่า ( ทบึ กว่า) แสงจะหกั เหเขา้ หาเสน้
ปกติ ในทางตรงขา้ ม ถ้าแสงเดินทางจากยงั ตัวกลางทมี คี วามหนาแนน่ มากกว่า ไปยงั ตัวกลางทมี ี
ความหนาแนน่ นอ้ ยกว่า แสงจะหกั เหออกจากเสน้ ปกติ
60
3. การสะทอ้ นกลับหมด (total Reflection)
แสงทเี ดินทางจากตัวกลางทมี คี ่าดัชนหี กั เหสงู (ความ
หนาแนน่ มาก) ไปสตู่ ัวกลางทมี คี ่าดัชนหี กั เหนอ้ ย
(ความหนาแนน่ นอ้ ย) จะทาํ ใหร้ งั สขี องแสงเบนออก
จากเสน้ ปกติ ถ้ามมุ หกั เหโตเทา่ กับ 90 องศา มมุ ของ
รงั สตี กกระทบนนั เรยี กว่า มมุ วิกฤต (Critical Angle)
และถ้ามมุ ตกกระทบโตกว่ามมุ วิกฤต จะเกิดการ
สะทอ้ นเพยี งอยา่ งเดียว เราเรยี กว่า การสะทอ้ นกลับ
หมดของแสง
มมุ วิกฤต คือ มมุ ตกกระทบทที าํ ใหม้ มุ หกั เหโต 90 องศา ซงึ ตําแหนง่ มมุ วิกฤติจะต้องอยใู่ นตัวกลางทมี ี
ค่าดัชนหี กั เหมากหรอื ตัวกลางทแี สงเดินทางชา้
ขอ้ ควรจาํ : ในขณะทเี กิดมมุ วิกฤตินไี มม่ กี ารหกั เหของแสงผา่ นไปยงั ตัวกลางที 2 เลย และแสงจะ
เกิดการสะทอ้ นกลับมายงั ตัวกลางเดิม เมอื มมุ ตกกระทบโตกว่ามมุ วิกฤติ
61
4. การหกั เหของแสงระหว่างตัวกลางทเี ปนผวิ เรยี บ
เนอื งจากมกี ารหกั เห เมอื เปลียนตัวกลางมผี ลทาํ ใหต้ ําแหนง่ ของ
ภาพเปลียนไปจากตําแหนง่ เดิม ระยะภาพทตี ามองเหน็ เมอื วัดตัง
ฉากผวิ ระนาบทแี สงเปลียนทางเดินไปยงั ตําแหนง่ ภาพทอี ยู่ เรา
เรยี กว่า สว่ นลึกปรากฏ และระยะวัตถทุ ที าํ ใหเ้ กิดภาพเมอื วัดตัง
ฉากจากผวิ ระนาบทแี สงเปลียนทางเดินโดยการหกั เหไปยงั
ตําแหนง่ ทวี ัตฤอยเู่ ราเรยี กว่า สว่ นลึกจรงิ
สว่ นลึกปรากฎ (Apparent Depth) คือระยะจากผวิ รอยต่อของตัวกลางถึงภาพ
สว่ นลึกจรงิ (Real Depth) คือระยะจากผวิ รอยต่อของตัวกลางถึงวัตถุ
ค่าของสว่ นลึกจรงิ และลึกปรากฏสมั พนั ธก์ ันโดยอาศยั ค่าของ
ดัชนหี กั เหระหว่างตัวกลางทวี ัตถอุ ยกู่ ับตัวกลางทตี าอยู่
แบง่ ได้ 2 กรณี
1. เมอื มองวัตถตุ ามแนวเสน้ ปกติ
2. เมอื มองวัตถแุ นวเอียง
การหาตําแหนง่ ภาพเมอื มตี ัวกลาง 2 ชนดิ หรอื มากกว่าวางกันระหว่างวัตถกุ ับตา
กรณนี อี าจสรปุ เปนหลักได้ดังนี
ความลึกปรากฏรวม = ผลบวกของความลึกปรากฎ
ความลึกปรากฏรวม = ความลึกปรากฎในตัวกลางที 1 + ความลึกปรากฎในตัวกลางที 2 + ความลึกปรากฏใน
ตัวกลางที 3
- ขถ้าอ้ มสองงั วเัตกถตทุ อี ยใู่ นตัวกลางหนาแนน่ กว่า เชน่ จากอากาศไปสนู่ า(วัตถอุ ยใู่ นนา)
จะเหน็ วัตถอุ ยใู่ กล้ตา มากกว่าระยะจรงิ ตามากกว่าระยะจรงิ
- ถ้ามองวัตถอุ ยใู่ นตัวกลางทหี นาแนน่ นอ้ ยกว่า เชน่ มองจากนาสอู่ ากาศ(วัตถอุ ยู่
ในอากาศ) จะเหน็ วัตถอุ ยไู่ กลตามากกว่าระยะจรงิ
62
5. การหกั เหทผี วิ โค้ง
การหกั ของแสงผา่ นเลนส์
เลนส์ คือ ตัวกลางโปรง่ ใสทมี ผี วิ หนา้ ด้านใดด้านหนงึ หรอื ทงั
สองด้านเปนผวิ โค้ง ซงึ เลนสอ์ าจจะทาํ ด้วยแก้วหรอื พลาสติก
ก็ได้
แบง่ ออกได้เปน 2 ชนดิ ดังนี
1.เลนสน์ นู (Convex Lenses) คือ เลนสท์ มี ตี รงกลางหนากว่า
ตรงขอบเสมอ เมอื มลี ําแสงขนานผา่ นเขา้ หาเลนสจ์ ะทาํ ใหร้ งั สี
ตีบเขา้ หากันและไปตัดกันทจี ดุ โฟกัสจรงิ (Real Focus)
2. เลนสเ์ ว้า (Concave Lenses) คือ เลนสท์ มี ตี รงกลางบางกว่า
ตรงขอบเสมอ เมอื มลี ําแสงขนานผา่ นเขา้ หาเลนสจ์ ะทาํ ใหร้ งั สี
ถ่างออกจากกันและต่อแนวรงั สจี ะไปตัดกันทจี ดุ โฟกัสเสมอื น
(Virtual Focus)
เมอื วัตถใุ ดๆวางอยหู่ นา้ เลนส์ แสงจากวัตถทุ ตี กกระทบกับเลนส์
จะหกั เหทาํ ใหเ้ กิดภาพ ณ ตําแหนง่ ต่างๆ พจิ ารณาเลนสน์ นู และ
เลนสเ์ ว้า สามารถสรปุ เปนหลักการหาตําแหนง่ การเกิดภาพของ
วัตถทุ มี ขี นาดซงึ วางอยหู่ นา้ เลนสไ์ ด้ดังนี
1. จากจดุ ปลายวัตถุ ลากรงั สขี นานตกกระทบเลนสแ์ ล้วหกั เห
ผา่ นจดุ โฟกัสของเลนสน์ นู หรอื เสมอื นผา่ นจดุ โฟกัสของ
เลนสเ์ ว้า
2. จากจดุ ปลายวัตถจุ ดุ เดียวกัน ลากรงั สตี กกระทบผา่ นจดุ กลาง
เลนส์ แล้วไปตัดกับรงั สหี กั เหของแสงในขอ้ ที 1 จดุ ตัดของรงั สี
คือ ตําแหนง่ ภาพ
63
6. ความสว่าง
เปนพลังงานทสี ามารถทาํ ใหก้ ิดกาสอ่ งสว่างขนึ บนพนื ทแี สงตกกระทบ ทาํ ใหป้ ระสาปกติเกิด
ความรสู้ กึ ในการมองเหน็ ความสว่างบนผวิ วัตถจุ ะมากหรอื นอ้ ยขนึ อยกู่ ับ
1. ความเขม้ แหง่ การสอ่ งสว่างของแสงจากแหล่งกําเนดิ
2. ระยะหา่ งจากแหล่งกําเนดิ ถึงพนื ทรี บั แสง
3. มมุ ตกกระทบของรงั สี
- ความเขม้ แหง่ การสอ่ งสว่าง ( Luminous intensity : I ) คือ ความสามารถของแหล่งกําเนดิ
แสงทสี ามารถปล่อยแสงออกมา มหี นว่ ยเปนแคลเดลา
- อัตราการใหพ้ ลังงานแสง ( Luminous flux : F) คือ ปรมิ าณพลังงานแสงทสี อ่ งออกมาจาก
แหล่งกําเนดิ ใน 1 วินาที มหี นว่ ยเปนลเู มน
1 ลเู มน คือ ปรมิ าณแสงทปี ล่งออกมาจากหลอดไฟฟาทมี คี วามเขม้ ของการสอ่ งสว่าง 1 แคลเด
ลา ซงึ วาง ณ จดุ ศนู ยก์ ลางของทรงกลม รศั มี 1 หนว่ ย ไปตกบน 1 หนว่ ยพนื ทบี นผวิ ทรงกลมนใี น
1 วินาที
คํานวณได้จาก F = 4πl ความสว่าง(E) หมายถึงความสว่าง
F = อัตราการใหพ้ ลังงานแสง(Im) ของแสงทเี กิดขนึ บนพนื ทที แี สง
l = ความเขม้ แหง่ การสอ่ งสว่าง(cd) ตกกระทบ หรอื อัตราการใหพ้ ลังงาน
แสงทตี กบนพนื ทผี วิ 1 ตารางเมตร
มหี นว่ ยเปน ลักซ์ (Lux , lx)
ความสว่าง = อัตราพลังงานแสงทตี กบนพนื
พนื ทรี บั แสง
ความสว่าง 1 ลักซ(์ lux) หมายถึง ความ
สว่างทเี กิดขนึ บนพนื ทผี วิ 1 ตารางเมตร
เมอื แหล่งกําเนดิ แสงมคี วามเขม้ แหง่
การสอ่ งสว่าง เทา่ กับ 1 แคลเดลา
เมอื E = ความสว่างบนพนื ทรี บั
แสง(lux)
l = ความเขม้ แหง่ การสอ่ งสว่าง
ของแหล่งกําเนดิ แสง
R = ระยะจากแหล่งกําเนดิ แสง
ถึง
. พนื ทรี บั แสง(m)
64
5. ทศั นอปุ กรณ์
ความหมายของทศั นอปุ กรณ์
ทศั นอปุ กรณ์ เปนอปุ กรณท์ ปี ระดิษฐข์ นึ มาเพอื ใชป้ ระโยชนใ์ นด้านต่างๆ โดยอาศยั
ความรเู้ รอื งการหกั เหของแสงและการสะทอ้ นแสง ซงึ สามารถชว่ ยอํานวย
ประโยชนต์ ่อคนเราอยา่ งมากมาย เชน่ แว่นขยาย กล้องถ่ายรปู เครอื งฉายภาพนงิ
กล้องจลุ ทรรศน์ กล้องโทรทศั น์ เปนต้น
แว่นขยาย
แว่นขยายประกอบด้วยเลนสน์ นู เพยี งอันเดียวมกี รอบล้อมรอบ ในลักษณะ
ต่างๆเพอื สะดวกในการใช้
งานในต้านต่างๆ เชน่ กล้องสอ่ งพระ แว่นหมอดู เปนต้น
หลักการของแว่นขยาย คือต้องการใหเ้ หน็ ภาพทใี หญก่ ว่าขนาดวัตถุ ดังนนั ต้องวาง
วัตถใุ หม้ รี ะยะวัตถนุ อ้ ยกว่าความยาวโฟกัสของเลนสน์ นู จงึ จะได้ภาพเสมอื นหวั ตัง
ขนาดใหญก่ ว่าวัตถุ และเพอื ใหเ้ หน็ ภาพชดั เจนตําแหนง่ ของภาพหรอื ระยะภาพทเี กิด
ขนึ จะต้องมคี ่าประมาณ 25 cm (ซงึ เปนระยะทใี กล้ทสี ดุ ทคี นสายตาปกติสามารถมอง
เหน็ ได้ชดั เจนทสี ดุ )
65
เครอื งฉายภาพนงิ
เครอื งฉายภาพนงิ มสี ว่ นประกอบสาํ คัญดังนี
1. หลอดฉาย(Lamp) เปนหลอดทใี หค้ วามสว่างมากๆ วางอยทู่ จี ดุ โฟกัสของกระจกสะทอ้ นแสงและอยทู่ จี ดุ
โฟกัสของเลนสร์ วมแสง
2. กระจกสะทอ้ นแสง(Miror) ทาํ ด้วยโลหะขดั มนั วาวหรอื กระจกเว้า เพอื ชว่ ยสะทอ้ นแสงจากหลอดฉายที
วางอยทู่ จี ดุ โฟกัส ใหเ้ ปนลําแสงขนานไปยงั เลนสร์ วมแสง
3. เลนสร์ วมแสง(Condenser (ens) เปนเลนสน์ นู แกมราบ 2 อัน วางประกบหนั ด้านเลนสน์ นู เขา้ หากนุ
ทาํ ใหล้ ําแสงทมี าจากหลอดฉายและกระจกสะทอ้ นแสง เมอื ผา่ นเลนสร์ วมแสงแล้วจะเปนลําแศงขนานมี
ความเขม้ แสงหรอื ความสว่างมากขนึ
4. เลนสฉ์ ายภาพ(Projection (ens) อาจเปนเลนสน์ นู อันเดียวหรอื หลายอันประกอบเปนชดุ มหี นา้ ทหี กั เห
แสงทผี า่ นสไลด์ใหเ้ กิดเปนภาพจรงิ หวั กลับขนาดขยาย
5. แผน่ สไลด์(side of flm) จะวางอยรู่ ะหว่างเลนสร์ วมแสงและเลนสฉ์ ายภาพ โดยจะต้องวางอยู่
หา่ งจากเลนสฉ์ ายภาพ ระหว่าง f ถึง 2f ของเลนสฉ์ ายภาพ เพอื จะได้เกิดภาพจรงิ ขนาดขยายบนจอภาพ
กล้องถ่ายรปู
1. เลนส(์ Lens) เปนสว่ นประกอบทสี าํ คัญทสี ดุ ของกล้อง ทาํ ด้วยเลนสน์ นู หรอื ชดุ ของเลนสท์ ปี ระกบกัน
ทาํ ใหเ้ กิดภาพจรงิ บนแผน่ ฟล์ม
2. ชตั เตอร(์ Shutter) เปนกลไกลอัตโนมตั ิทาํ หนา้ ทปี ด - เปดหนา้ กล้อง มลี ักษณะเปนกสบี โลหะสดี ํา
หลายแผน่ ซอ้ นกันอยหู่ ลังไดอะแฟรม เพอื ใหแ้ สงตกบนฟล์มในปรมิ าณทพี อเหมาะ
3. ไดอะแฟรม(Diaphram) เปนแผน่ โลหะสดี ําหลายแผน่ ซอ้ นกันสามารถปรบั ใหม้ รี ตู รงกลางทมี ี
ขนาดต่างๆกันเพอื ควบคมุ ปรมิ าณแสงทจี ะผา่ นไปตกกระทบแผน่ ฟล์ม โดยปรบั ชอ่ งแสงผา่ นใหแ้ คบ
หรอื กว้างตามต้องการ การบอกขนา่ ดของรรู บั แสงตรงกลางไดอะแฟรมนจี ะบอกด้วยค่า f number ซงึ มี
ค่าเทา่ กับความยาวโฟกัสหารเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางของลําแสงทผี า่ นรเู ปดของเลนส์
4. ตัวกล้อง(Camera case) เปนกล่องรปู สเี หลียมแบบต่างๆ ทาํ หนา้ ทเี ปนหอ้ งมดื ขนาดเล็กปองกัน
แสงไมใหแ้ สงทไี มต่ ้องการเขา้ ไปภายในกล้องและทาํ หนา้ ทเี ปนแกนใหส้ ว่ นอืนของกล้องยดื เกาะ
66
กล้องจลุ ทรรศน์
กล้องจลุ ทรรศน์ เปนกล้องทใี ชส้ าํ หรบั ดวู ัตถขุ นาดเล็กๆเพอื ขยายขนาดภาพใหใ้ หญ่
ขนึ มสี ว่ นประกอบสาํ คัญดังนี
1. เลนสใ์ กล้วัตถ(ุ Objective lens) เปนเลนสน์ นู ทมี คี วามยาวโฟกัสสนั มากๆ ซงึ จะทาํ ใหก้ ล้องมกี ําลังขยายมาก
และทาํ ใหต้ ัวกล้องไมย่ าวเกินไป
2. เลนสไ์ กล้ตา(Eyepiece lens) เปนเลนสน์ นู ความยาวโฟกัสสนั แต่มากกว่าเลนสใ์ กล้วัตถุ ทาํ ใหไ้ ด้กําลังขยาย
มาก
หลักการเกิดภาพของกล้องจลุ ทรรศน์
กล้องจลุ ทรรศนใ์ ชเ้ ลนสใ์ กล้วัตถทุ มี คี วามยาวโฟกัสสนั มาก ทาํ ใหว้ ัตถทุ วี างใกล้เลนสส์ ามารถเกิด
ภาพจรงิ ขนาดขยายอยรู่ ะหว่างเลนสใ์ กล้วัตถกุ ับเลนสใ์ กล้ตา ซงึ ภาพนที าํ หนา้ ทเี ปนวัตถขุ อง
เลนสใ์ กล้ตาโดยตําแหนง่ ภาพนจี ะตกอยรู่ ะหว่างจดุ โฟกัสของเลนสใ์ กสตั ากับตัวเลนสใ์ กล้ตา และ
ภาพสดุ ทา้ ยทเี กิดจากเลนสใ์ กลัตาจะเกิดทรี ะยะ 25 cm จากเลนสใ์ กล้ตา
กล้องโทรทศั น์
กล้องโทรทศั น์ คือกล้องทใี ชส้ อ่ งวัตถทุ อี ยใู่ กลๆ แล้วทาํ ใหเ้ หน็ ภาพของวัตถใุ หญข่ นึ เชน่ ใชด้ ดู วงดาว
สว่ นประกอบทสี าํ คัญของกล้องโทรทศั น์ ประกอบด้วยเลนสน์ นู 2 ชนิ ดังนี
1. เลนสใ์ กล้วัตถ(ุ Objective lens) เปนเลนสน์ นู ทมี คี วามยาวโฟกัสยาวมากๆ และมขี นาดของเลนสใ์ หญ่ เพอื ให้
แสงเขา้ กล้องได้มาก เพอื เพมิ ความสว่างของภาพ
2. เลนสใ์ กล้ตา(Eyepiece lens) เปนเลนสน์ นู ทมี คี วามยาวโฟกัสสนั มาก
หลักการเกิดภาพของกล้องโทรทศั น์
กล้องโทรทศั น์ ใชเ้ ลนสใ์ กล้วัตถทุ มี คี วามยาวโฟกัสยาว ดึงภาพวัตถเุ ขา้ มาเปนภาพจรงิ อยรู่ ะหว่างเลนส์
ใกลัวัตถกุ ับเลนสใ์ กล้ตา ภาพนจี ะทาํ หนา้ ทเี ปนวัตถขุ องเลนสใ์ กล้ตา โดยตําแหนง่ ภาพนจี ะเกิดอยรู่ ะหว่างจดุ
โฟกัสของเลนสใ์ กล้ตากับตัวเลนสใ์ กล้ตา ดังนนั จะทาํ ใหเ้ กิดภาพสดุ ทา้ ยจากเลนสใ์ กล้ตาเปนภาพเสมอื นหวั
กลับ
67
6.ปรากฏการณท์ างแสงทนี า่ สนใจ
การกระจายแสง
ลําแสงสว่ นใหญเ่ ปนคลืนแสงผสม ซงึ มคี วามยาวคลืนต่างกัน ความเรว็ คลืนแสงในสญู ญากาศเทา่ กัน
หมดความยาวคลืน แต่ความเรว็ ในวัตถเุ ดียวกันจะต่างกันสาํ หรบั แสงทมี คี วามยาวคลืนต่างกัน ดังนนั
หกั เหของวัตถจุ งึ ขนึ อยกู่ ับความยาวคลืนของแสง ด้วยเหตนุ เี มอื แสงขาวผา่ นวัตถแุ ล้วจงึ แยกออกเปน
แสงสดี ่างๆ 7แสงสี ได้แก่ มว่ ง คราม นาเงนิ เขยี ว เหลือง แสด แดง เราเรยี กแถบแสงสที กี ระจายออก
จากแสงสขี าวว่า "สเปคตรมั ของแสงขาว"(Spectrum of White light ) ในการกระจายแสงนนั แสงสี
ต่างๆจะมมี มุ หกั เหแตกต่างกัน โดยแสงสแี ดงมมี มุ หกั เหมากทสี ดุ สว่ นแสงสมี ว่ งมมี มุ หกั เหนอ้ ยทสี ดุ
รงุ้ กินนา
รงุ้ กินนา เปนปรากฎการณธ์ รรมชาติทเี กียวขอ้ งกับการกระจายของแสง เมอื แสงจากดวงอาทติ ยส์ อ่ ง
ผา่ นไปยงั ละอองนาหรอื หยดนา ทาํ ใหเ้ รามองเหน็ สเปคตรมั ของแสงเปนวงโค้งอยใู่ นกล่มุ ละอองนา
ซงึ เกิดจากแสงแดดตกกระทบหยดนาหรอื ละอองนา จะทาํ ใหเ้ กิดการหกั เหและการสะทอ้ นกลับหมด
ภายในหยดนานนั ทาํ ใหเ้ กิดรงุ้ กินนาได้ 2 แบบดังนี
1. รงุ้ ปฐมภมู ิ (Pimary Roinbow) เกิดเมอื แสงจากดวงอาทติ ยก์ ระทบเขา้ มาทางด้านบนของหยดนา
แล้วเกิดการหกั เหเขา้ ไปภายในหยดนา ทาํ ใหเ้ กิดการกระจายแสงจากนนั ก็เกิดการสะทอ้ นของแสงที
ผวิ ด้านในของหยดนาแล้วหกั เหออกจากหยดนาสอู่ ากา ซงึ ทาํ ใหม้ องเหน็ รงุ้ กินนามสี มี ว่ งอยดู่ ้านล่าง
และมสี แี ดงอยดู่ ้านบน ผสู้ งั เกตจะเหน็ แถบสรึ งุ้ มสี ใี สจ่ ากมว่ งไปแดง โดยแสงสแี ดงอยสู่ งู สดุ แถบนจี ะ
ทาํ มมุ จาก 40องศา- 42.5องศา กับแนวรงั สตี กกระทบหยดนา
2. รงุ้ ทตุ ิยภมู ิ (Secondary Rainbow) เกิดเมอื แสงจากดวงอาทติ ยก์ ระทบเขา้ ทางด้านล่างของหยด
นาแล้วเกิดการหกั เหเขา้ ไปในหยดยานนั ทาํ ใหเ้ กิดการกระจายแสง จากนนั เกิดการสะทอ้ นกลับหมดทผี วิ
ภายในหยดนา 2 ครงั จากนนั หกั เหออกจากหยดนาสอู่ ากาศ ซงึ ทาํ ใหเ้ หน็ รงุ้ กินนามสี แี ดงอยดู่ ้านล่าง
และมสี มี ว่ งอยดู่ ้านบน ผสู้ งั เกตจะเหน็ แถบสรี งุ้ มสี ไี ล่จากสแี ดงไปมว่ ง โดยมสี มี ว่ งอยสู่ งู สดุ แถบนจี ะทาํ
มมุ จาก 51องศา - 54องศา กับแนวรงั สตี กกระทบหยดนา
68
ปรากฎการณม์ ริ าจ
มริ าจ คือภาพลวงตาของพนื ดินหรอื พนื นาซงึ ไมม่ อี ยจู่ รงิ มกั จะเหน็ ปรากฏทบี รเิ วณใกล้ๆขอบฟา
ปรากฏการณน์ เี กิดจากการสะทอ้ นกลับหมดของแสงทหี กั เหผา่ นชนั บรรยากาศทมี คี วามหนาแนน่ ไม่
เทา่ กัน แสงทสี ะทอ้ นกลับหมดนนั ผา่ นเขา้ สตู่ าทาํ ใหเ้ หน็ ภาพของวัตถปุ รากฏอยใู่ นชนั อากาศทแี สงมี
การสะทอ้ นกลับหมดนนั มริ าจทเี กิดขนึ นนั มกั จะเกิดในภมู ปิ ระเทศทมี อี ากาศรอ้ นจดั ทพี นื ผวิ
ในขณะทแี ดดรอ้ นจดั อากาศเหนอื พนื ดินจะรอ้ นต่างกัน
เปนชนั ๆ ชนั ของอากาศทอี ยชู่ ดิ พนื ดินจะรอ้ นมากกว่า จะมี
ความหนาแนน่ นอ้ ยกว่าชนั ของอากาศทอี ยเู่ หนอื ขนึ ไป
เมอื แสงจากทอ้ งฟาหรอื จากวัตถผุ า่ นชนั บรรยากาศจาก
จากชนั ทมี คี วามหนาแนน่ มากไปสชู่ นั ทมี คี วามหนาแนน่
นอ้ ยกว่าแสงจะเดินทางเรว็ ขนึ ทาํ ใหม้ มุ ตกกระทบมากขนึ
เมอื มมุ ตกกระทบมากกว่ามมุ วิกฤตเมอื ใดแสงจากทอ้ งฟา
หรอื จากวัตถนุ นั จะเกิดการสะทอ้ นกลับหมด เขา้ สตู่ าทาํ ให้
เหน็ เปนภาพลวงตาของทอ้ งฟา เชน่ มลี ักษณะคล้ายๆมนี า
อยบู่ นถนนหรอื ฟนทะเลทรายหรอื เหน็ ภาพลวงตาของ
วัตถเุ ปนภาพหวั กลับ เชน่ ภาพหวั กลับของรถยนต์บนถนน
ทรี อ้ นจดั หรอื ภาพหวั กลับของต้นไมห้ รอื อฐู บนทะเลทราย
เปนต้น
แสงสี
ในชวี ิตประจาํ วันของเราพบแสงอาทติ ยม์ ากทสี ดุ ซงึ เปนแสงขาว แต่ความจรงิ แล้วถ้นาํ แสงขาวผา่ นเก
รตติงหรอื ปรซิ มึ จะได้แสงแยกออกมาเปนแสงสตี ่างๆการทเี รามองเหน็ วัดถตุ าง ๆ ได้นนั เนอื งจากมแี สง
จากวัตถนุ นั สง่ เขา้ มากระทบกับนยั นต์ า จงึ ทาํ ใหม้ องเหน็ ภาพได้ แสงจากวัดถนุ นั ยงั แยกได้เปน 2 กรณี
คือ แสงจากวัตถโุ ดยตรง และแสงทสี ะทอ้ นออกมาจากวัตถุ เราสามารถบง่ วัตถทุ เี ปนตัวกลางทางแสงได้
เปน 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. ประเภทโปรง่ ใส หากนาํ วัตถชุ นดิ นมี ากันแสง แสงสว่างจะสามารถผา่ นวัดถไุ ด้ทงั หมด รวมทงั
สามารถทะลผุ า่ นวัตถปุ ระเภทนใี ด้ เพราะแสงจะทะไปอยา่ งมรี ะเบยี บ ตัวอยา่ งของวัตถโุ ปรง่ ใส ได้แก่
กระจกใส พลาสติกใส และอืนๆ
2. ประเภทโปรง่ แสง หากนาํ วัตถชุ นดิ นมี ากันแสง จะทาํ ใหค้ วามสว่างของแสงลดลงไป และมองผา่ นได้
ไมช่ ดั นกั ตัวอยา่ งเชน่ กระดาษฝา กระจกฝา กระดาษไข พลาสติกขนุ่ เปนต้น
3. ประเภททบึ แสง หากนาํ วัตถชุ นดิ นมี ากันแสงจะทาํ ใหแ้ สงสว่างไมส่ ามารถทะลผุ า่ นไปได้ อีกทงั ไม่
สามารถมองทะลผุ า่ นได้ ตัวอยา่ งเชน่ ไม้ อิฐ กระดาษหนา ๆ เปนต้น
69
สที เี กิดจากการรวมแสงสี
ถ้าฉายแสงขาวผา่ นแผน่ กรองแสงสแี ดง สนี าเงนิ และสเี ขยี ว โดยใหแ้ สงทงั สามไปตกบนฉากสขี าว แล้ว
ปรบั ความเขม้ ของแสงสที งั สามใหเ้ ทา่ กันและเหลือมกันเล็กนอ้ ย จะได้แสงสตี ่างๆเพอื ใหส้ ะดวกในการจาํ
อาจเขยี นเปนรปู สามเหลียมของสตี ามแบบของแมกซเ์ วลล์ได้
แสงสปี ฐมภมู ิ คือแสงสบี รสิ ทุ ธเิ พราะไม่
สามารถแยกเปนแสงสอี ืนได้และไมส่ ามารถ
นาํ แสงสอี ืนมาผสมกันแล้วทาํ ใหเ้ กิดเปน
แสงสปี ฐมภมู ไิ ด้เชน่ กัน ซงึ ได้แก่ แสงสแี ดง
แสงสเี ขยี ว และแสงสนี าเงนิ
แสงสที ตุ ิยภมู ิ คือแสงสที เี กิดจากการนาํ เอา
แสงสปี ฐมภมู มิ าผสมกันแล้วเกิดสใี หมข่ นึ มา
ได้แก่ แสงสมี ว่ งแดง แสงสฟี า แสงสเี หลือง
แสงสเี ติมเต็ม คือแสงสคี ่หู นงึ ทผี สมกันแล้ว
ได้แสงสขี าว แสงสแี ต่ละสขี องค่นู นั จะเปนสี
เติมเต็มซงึ กัน
สขี องวัตถทุ บึ แสง
การมองเหน็ วัตถมุ สี ตี ่าง ๆ นนั เกิดขนึ จากแสงสที สี ะทอ้ นเขา้ สนู่ ยั นต์ าเรา ซงึ มปี จจยั หลัก 3 ประการแก่ แสง
กระทบวัตถุ แสงจากวัดถสุ ะทอ้ นเขา้ สตู่ าและตัวสที อี ยใู่ นวัตถุ วัตถตุ ่าง ๆ ได้รบั แสงชนดิ เดียวกันแต่กลับเหน็
วัตถแุ ต่ละวัตถมุ สี ที ตี ่างกันออกไป เนอื งจากวัตถแุ ต่ละสดี ดู สตี ่าง ๆ ในปรมิ าณทแี ตกต่างกันออกไป แล้วจงึ
ปล่อยบางสอี อกมากระทบนยั นต์ าของเรา จงึ ทาํ ใหเ้ หน็ สขี องวัตถแุ ตกต่างกันออกไป เชน่ เหน็ ใบไมม้ สี เี ขยี ว
เพราะทใี บไมด้ ดู กลืนทกุ สไี ว้ แต่ปล่อยเฉพาะสเี ขยี วออกมา สว่ นสดี ําจะดดู กลืนทกุ สไี ว้และไมป่ ล่อยสใี ดออกมา
เลย ซงึ ผดิ กับสขี าวทจี ะปล่อยทกุ แสงสอี อกมา กระจกเงาก็เปนวัตถทุ บึ แสงเชน่ กัน เพราะแสงไมส่ ามารถทะลุ
ผา่ นไปได้
70
สขี องวัตถโุ ปรง่ ใสและโปรง่ แสง
วัตถโุ ปรง่ ใสทมี สี ตี ่าง ๆ และวัตถโุ ปรง่ แสงสเี ดียวกันจะใหแ้ สงสที ะลผุ า่ นสเี ดียวกัน แต่แตกต่างกันที
ปรมิ าณแสงสที ผี า่ นทะลวุ ัตถโุ ปรง่ แสงออกมาจะนอ้ ยกว่าวัตถโุ ปรง่ ใส นอกจากนนั วัตถโุ ปรง่ ใสสตี ่าง ๆ
จะยอมใหแ้ สงสมี ากกว่า 1 สที ะลผุ า่ นได้ แต่ตาของมนษุ ยไ์ มอ่ าจเหน็ ได้ เชน่ วัตถโุ ปรง่ ใสสเี ขยี วนอกจาก
จะใหแ้ สงสเี ขยี วผา่ นไปแล้ว ยงั มแี สงสนี าเงนิ และสเี หลืองผา่ นไปด้วย หรอื แผน่ วัตถโุ ปรง่ ใสสนี าเงนิ ที
นอกจากจะยอมใหแ้ สงสนี าเงนิ ผา่ นออกไปได้แล้ว ยงั ยอมใหแ้ สงสมี ว่ งและสเี ขยี วผา่ นออกไปได้บา้ ง
71
ตัวอยา่ งโจทยเ์ รอื งการสะทอ้ นกลับและทศั นอปุ กรณ์
ตัวอยา่ งที 1 วางวัตถไุ ว้หนา้ เลนสน์ นู ทมี คี วามยาวโฟกัส 8.0 เซนติเมตร โดยวางทตี าแหนง่ 20
เซนติเมตรหนา้ เลนส์ วัตถกุ ับ ภาพอยหู่ า่ งกันกีเซนติเมตร (PAT2 ต.ค.53)
ตอบ วัตถกุ ับภาพอยหู่ า่ งกัน 33.33 เซนติเมตร
ตัวอยา่ งที 2 แสงจากจดุ S สะทอ้ นจากผวิ กระจกทจี ดุ A ไปตามแนว AR ถ้าเบนกระจกไปจากแนวเดิม
เปนมมุ θ แนวแสงสะทอ้ นใหมจ่ ะเบนจากเดิมเปนมมุ เทา่ ไร (Ent38)
ตอบ แนวแสงสะทอ้ นใหมจ่ ะเบนจากเดิมเปนมมุ 2θ
72
ตัวอยา่ งที 3 มองผา่ นกล้องจลุ ทรรศนเ์ หน็ จดุ เล็ก ๆ บนโต๊ะชดั เจน แต่เมอื นาํ แผน่ วัตถใุ สหนา
1.00 เซนติเมตร มาวางทบั จดุ ดังกล่าวต้องปรบั เลือนกล้องใหห้ า่ งโต๊ะจากตําแหนง่ เดิม ไปเปน
ระยะ 0.40 เซนติเมตร โดยทโ่ี ฟกัสของกล้องจลุ ทรรศนย์ งั คงเดิม ดัชนหี กั เหของแผน่ วัตถนุ เ้ี ปน
เทา่ ใด (แนว มช)
ตอบ ดัชนหี กั เหของแผน่ วัตถนุ เี ปน 1.667
ขอ้ สอบเรอื งการสะทอ้ นกลับและทศั นอปุ กรณ์
1.จะต้องวางวัตถใุ หห้ า่ งจากกระจกเว้าความยาวโฟกัส 18 เซนติเมตร เทา่ ไร จงึ จะได้ภาพจรงิ มขี นาด
1/9 เทา่ ของวัตถุ
ก. ภาพจรงิ ขนาด 3/2 เทา่
ข. ภาพจรงิ ขนาด 6 เทา่
ค. ภาพเสมอื น ขนาด 3/2 เทา่
ง. ภาพเสมอื น ขนาด 3 เทา่
จ. ภาพเสมอื น ขนาด 6 เทา่
ตอบ ง.
73
2.ฉายแสงสเี ขยี วความยาวคลืน 550 นาโนเมตร ใหต้ กกระทบตั้งฉากกับด้านหนง่ึ ของปรซิ มึ สามเหลียม
มมุ ฉากซงึ วาง อยใู่ นอากาศ ดังรปู ถ้าลําแสงทอี อกจากปรซิ มึ เบนออกจากแนวเดิม 30° จงหาดรรชนหี กั เห
ของปรซิ มึ นี (มนี า 44)
ก.1.3
ข.1.5
ค.1.7
ง.1.9
ตอบ ค.
3.นาย ก. ชวนเพอื นไปเทยี วดิสโก้เทค เพอื นของเขาสวมหมวกสเี ขยี ว เสอื สขี าวมลี ายมงั กรสแี ดง ใน
ดิสโก้เทคใชแ้ สง สว่างจากหลอดไฟสเี ขยี ว นาย ก. จะเหน็ เพอื นของเขาแต่งตัวอยา่ งไร (มนี า 45)
ก.หมวกสเี ขยี ว เสอื สเี ขยี วลายมงั กรสดี า
ข.หมวกสเี ขยี ว เสอื สเี ขยี วลายมงั กรสเี ขยี ว
ค.หมวกสขี าว เสอื สเี ขยี วลายมงั กรสเี หลือง
ง.หมวกสขี าว เสอื สเี ขยี วลายมงั กรสเี ขยี ว
ตอบ ก.
4.เลนสน์ นู และเลนสเ์ ว้า ความยาวโฟกัสเทา่ กัน 20 เซนติเมตร วางอยใู่ นแนวแกนมขุ สาํ คัญ เดียวกันและ
หา่ งกัน 30 เซนติเมตรวัตถวุ างอยหู่ นา้ เลนสน์ นู หา่ ง 40 เซนติเมตร จงหาชนดิ ตําแหนง่ ของภาพทเี กิดขนึ
หลัง จากแสงหกั เหผา่ นเลนสท์ งั สองแล้ว(Enter)
ก.ภาพเสมอื นหนา้ เลนสเ์ ว้า 30 เซนติเมตร ตอบ ง.
ข.ภาพเสมอื นหลังเลนสเ์ ว้า 20 เซนติเมตร
ค.ภาพจรงิ หนา้ เลนสเ์ ว้า 30 เซนติเมตร
ง.ภาพจรงิ หลังเลนสเ์ ว้า 20 เซนติเมตร
74
5. นายเอนกยนื อยบู่ นสะพานเหน็ ปลาตัวหนงึ อยลู่ ึก 2 เมตร ถามว่าตัวจรงิ ของปลาอยลู่ ึกกีเมตร (กําหนด
ดรรชนหี กั เหของนา = 4/3)
ก.1.33
ข.1.50
ค.2.50
ง.2.67
ตอบ ง.
บรรณานกุ รม
กนกอร แสงโพดา. (2561). แสงเชงิ ฟสกิ ส.์ [ออนไลน]์ . เขา้ ถึงได้จาก
: https://sites.google.com/site/lightphysics1111/saeng-cheing-fisiks
(วันทคี ้นขอ้ มลู : 12 สงิ หาคม 2564)
กนกอร แสงโพดา. (2561). แสงและทศั นอปุ กรณ.์ [ออนไลน]์ . เขา้ ถึงได้จาก
: https://sites.google.com/site/lightphysics1111/saeng-laea-thasn-xupkrn
(วันทคี ้นขอ้ มลู : 17 สงิ หาคม 2564)
กฤตนยั จนั ทรจตรุ งค์. รวมโจทยเ์ รอื งแสง. [ออนไลน]์ . เขา้ ถึงได้จาก
: https://sites.google.com/a/phonmuang.ac.th/sutita001/about-us
(วันทคี ้นขอ้ มลู : 15 สงิ หาคม 2564)
กฤตนยั จนั ทรจตรุ งค์. การสะทอ้ นกลับหมด. [ออนไลน]์ . เขา้ ถึงได้จาก
: https://th.wikipedia.org/wiki/การสะทอ้ นกลับทงั หมด
(วันทคี ้นขอ้ มลู : 15 สงิ หาคม 2564)
จตั พุ งศ์ ศภุ ศร.ี (2557). อัตราเรว็ เสยี ง. [ออนไลน]์ . เขา้ ถึงได้จาก
: http://www.kanlayanee.ac.th/file/301_10_2558.pdf
(วันทคี ้นขอ้ มลู : 14 สงิ หาคม 2564).
ชวลิต เลาหอดุ มพนั ธ.์ ปรากฏการณท์ างแสงทนี า่ สนใจ . [ออนไลน]์ . เขา้ ถึงได้จาก
: https://th.wikipedia.org/wiki/การหกั เหของแสงระหว่างตัวกลางทเี ปนผวิ เรยี บ
(วันทคี ้นขอ้ มลู : 19 สงิ หาคม 2564)
ชวลิต เลาหอดุ มพนั ธ.์ การหกั เหของแสงระหว่างตัวกลางทเี ปนผวิ เรยี บ. [ออนไลน]์ . เขา้ ถึงได้จาก
: https://th.wikipedia.org/wiki/การหกั เหของแสงระหว่างตัวกลางทเี ปนผวิ เรยี บ
(วันทคี ้นขอ้ มลู : 16 สงิ หาคม 2564)
ชวลิต เลาหอดุ มพนั ธ.์ การหกั เหของแสงระหว่างตัวกลางทเี ปนผวิ เรยี บ. [ออนไลน]์ . เขา้ ถึงได้จาก
: https://th.wikipedia.org/wiki/การหกั เหของแสงระหว่างตัวกลางทเี ปนผวิ เรยี บ
(วันทคี ้นขอ้ มลู : 16 สงิ หาคม 2564)
ชชั ชยั ฟกกระโทก. สมบตั ิของคลืน. [ออนไลน]์ . เขา้ ถึงได้จาก
: https://sites.google.com/site/physicchat/home
(วันทคี ้นขอ้ มลู : 23 สงิ หาคม 2564)
ธติ ินนั ท์ นาจาน. (2560). คลืนนงิ และการสนั พอ้ ง. [ออนไลน]์ . เขา้ ถึงได้จาก
: http://www.pk.ac.th/main2/teacher/p6.pdf
(วันทคี ้นขอ้ มลู : 20 สงิ หาคม 2564).
นนั ทพล สทิ ธสิ วุ รรณ. (2559). สมบตั ิของคลืนเสยี ง. [ออนไลน]์ . เขา้ ถึงได้จาก
: http://www.atom.rmutphysics.com
(วันทคี ้นขอ้ มลู : 15 สงิ หาคม 2564).
บญุ เกิด ยศรงุ่ เรอื ง. แสงเชงิ ฟสกิ ส.์ [ออนไลน]์ . เขา้ ถึงได้จาก
: http://www.krukird.com/L12_1_61.pdf
(วันทคี ้นขอ้ มลู : 12 สงิ หาคม 2564)
บญุ เกิด ยศรงุ่ เรอื ง. แสงและทศั นอปุ กรณ.์ [ออนไลน]์ . เขา้ ถึงได้จาก
: http://www.krukird.com/L11_1_61.pdf
(วันทคี ้นขอ้ มลู : 17 สงิ หาคม 2564)
ปรยี า อนพุ งษ์องอาจ. สมบตั ิของคลืน. [ออนไลน]์ . เขา้ ถึงได้จาก
: http://www.rmutphysics.com/charud/exercise-online/wave/wave1/index8.htm
(วันทคี ้นขอ้ มลู : 23 สงิ หาคม 2564)
มานสั มงคลสขุ . ฟสกิ สร์ าชมงคล. [ออนไลน]์ . เขา้ ถึงได้จาก
: http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/light/lightchoice/11-20.html
(วันทคี ้นขอ้ มลู : 20 สงิ หาคม 2564)
ศพุ ลั ดี จนั เจยี ม . สมบตั ิของคลืน. [ออนไลน]์ . เขา้ ถึงได้จาก
: https://sites.google.com/site/supuldee2505/smbati-kar-leiyw-ben-khxng-khlun
(วันทคี ้นขอ้ มลู : 18 สงิ หาคม 2564)
ศภุ มาศ สขุ วิทย.์ สว่ นประกอบของคลืน. [ออนไลน]์ . เขา้ ถึงได้จาก
: https://sites.google.com/a/lublae.ac.th/fisiks/swn-prakxb-khxng-khlun
(วันทคี ้นขอ้ มลู : 16 สงิ หาคม 2564)
อรพรรณ ไวแพน. รวมโจทยเ์ รอื งแสง. [ออนไลน]์ . เขา้ ถึงได้จาก
: https://orapanwaipan.wordpress.com/รางวัลผลงาน/รวมโจทยเ์ รอื งแสง/
(วันทคี ้นขอ้ มลู : 13 สงิ หาคม 2564)
อรพรรณ ไวแพน. (2561). ปรากฏการณด์ อปเพลอรแ์ ละคลืนกระแทก. [ออนไลน]์ . เขา้ ถึงได้จาก
: https://orapanwaipan.wordpress.com/เกียวกับ/เสยี ง/คลืนเสยี ง/ปรากฏการณด์ อปเพลอรแ์ ละ/
(วันทคี ้นขอ้ มลู : 20 สงิ หาคม 2564).
อรพรรณ ไวแพน. (2561). ความเขม้ เสยี งและการได้ยนิ . [ออนไลน]์ . เขา้ ถึงได้จาก
: https://orapanwaipan.wordpress.com/เกียวกับ/เสยี ง/คลืนเสยี ง/ความเขม้ เสยี งและการได้/
(วันทคี ้นขอ้ มลู : 20 สงิ หาคม 2564).
อรพรรณ ไวแพน. รวมโจทยเ์ รอื งแสง. [ออนไลน]์ . เขา้ ถึงได้จาก
: https://orapanwaipan.wordpress.com/รางวัลผลงาน/รวมโจทยเ์ รอื งแสง/
(วันทคี ้นขอ้ มลู : 20 สงิ หาคม 2564)
เอกนนั ท์ ตังธรี ะสนุ นั ท์ . คลืน. [ออนไลน]์ . เขา้ ถึงได้จาก
: http://bit.ly/M5-1-1
(วันทคี ้นขอ้ มลู : 16 สงิ หาคม 2564)