The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สู้คดีอย่างไรให้ชนะ_กู้ยืม ค้ำประกัน จำนอง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by LawDD, 2022-02-11 03:03:56

สู้คดีอย่างไรให้ชนะ_กู้ยืม ค้ำประกัน จำนอง

สู้คดีอย่างไรให้ชนะ_กู้ยืม ค้ำประกัน จำนอง

สคŒู ดีอยา‹ งไร..ใหŒชนะ
กูŒยมื คำ้ ประกนั จำนอง
กฤษณ ฤทธิธรรม
DESIGN LAWS INTERNATIONAL LAW OFFICE

“สŒูคดีอย‹างไรใหŒชนะ”

“คดีกยูŒ ืม ค้ำประกัน และจำนอง” (ฉบับทนายใหม‹ไปส‹ทู นายเกŽา)

ผูเขียน กฤษณ ฤทธิธรรม
ผูเรียบเรียง นริศรา ทุมมา
ศิลปกรรม นริศรา ทุมมา
ออกแบบรูปเลม นริศรา ทุมมา

พิสูจนอักษร นริศรา ทุมมา

จดั ทำโดย สำนักงานกฎหมายดีไซน ลอว อนิ เตอรเนช่ันแนล

เลขท่ี 211/17 หมู‹ 7 ถ.บาŒ นกลŒวย-ไทรนอŒ ย ตำบลพิมลราช อำเภอบางบัวทอง นนทบรุ ี 1110

ช‹องทางการตดิ ต‹อ

ทนายกฤษณ - สำนกั งานกฎหมาย Design Laws

เบอรโ ทร - 082 018 2681

คำนำ

“สูŒคดีอย‹างไรใหชŒ นะ”

“คดกี ูยŒ ืม คำ้ ประกัน และจำนอง” (ฉบับทนายใหม‹ไปสทู‹ นายเกาŽ )

สวัสดีทานทนายความและนักกฎหมายทุกทานครับ ผม “ทนายเกา” ไมใช
วาผมเกาอะไรหรอกครับ แตเปนนามปากกาของผมครับ เจตนาของหนังสือเลมนี้
เปน การแชรป ระสบการณก ารทำคดใี นการเปน ทนายความของผม เพอ่ื เปน ประโยชน
ไมมากก็นอยใหกับทนายความใหม หรือทนายความที่ยังไมไดพบเจอคดีตาง ๆ ใน
ลักษณะนี้

แตเดี๋ยวกอนๆๆๆ อยาพึ่งคิดวาพี่เปนทนายโจรอยางนั้น หนังสือเลมนี้ผมแค
อยากบอกวาการชนะคดีของผมนั้น คือ ทำใหจำเลยชนะตามที่เปนจริง เชน คดีนี้
กูยืมกัน 100,000 บาท แตเจาหนี้สงมอบเงินเพียง 50,000 บาท อยางนี้
เราในฐานะทนายความผูกูตองทำใหคดีชนะ คือ ใหศาลพิพากษาใหจำเลยรับผิด
50,000 บาท เทานั้น ตามที่เปนจริง เชนนี้ก็ถือวา เปนการชนะคดีอยางหนึ่งครับ

“ ”อยา งงั้นเรามาจดั กันเลยดีกวา วัยรนุ

ถา อยากรูวา ตองมปี ระเดน็ อะไรบางที่เราจะตองดู ตามไปสนุกกันตอในเน้ือหา
กันไดเลยคราบบบ

ผูเขยี นหวงั เปน อยางยง่ิ วา .....
หนงั สือเลม นจี้ ะชว ยใหทนายใหมไดป ระโยชนใ นการตอสู

คดีตอ ไปครบั

ผูเขียน

สารบัญ

ขŒอต‹อสูŒที่ปรากฏในคำฟ‡อง ประเด็นว‹า… หนาŒ

1 โจทกฟ‡องเคลือบคลุมหรือไม‹ ? 1
2 โจทกถูกจำเลยโตŒแยŒงสิทธิหรือไม‹ ?
3 ฟ‡องโจทกขาดอายุความหรือไม‹ ? 3
4 โจทกฟ‡องผิดศาลหรือไม‹ ? 7
5 โจทกฟ‡องผิดเรื่องหรือไม‹ ? 13
14

ขŒอต‹อสูŒที่ปรากฏภายหลังสอบขŒอเท็จจริงแลŒว
ประเด็นว‹า…

1 โจทกยังมิไดŒมีหนังสือบอกกล‹าวใหŒชำระหนี้? 16
2 จำเลยไม‹ใช‹ผูŒกูŒ ผูŒค้ำประกันหรือผูŒจำนอง? 19
3 โจทกไม‹มีหลักฐานฟ‡องจำเลย? 20

4 การกูŒยืมเปšนโมฆะ? 24

5 ดอกเบี้ยโมฆะ? 26
6 มูลหนี้กูŒยืมเปšนอันระงับแลŒว? 27
7 เจŒาหนี้ไม‹มีสิทธิเรียกรŒอง? 31

8 หนี้เดิมไม‹สมบูรณ? 33
9 การค้ำประกันและจำนองเปšนโมฆะ?
35
“สคŒู ดีอยา‹ งไรใหŒชนะ”

กอนอื่น เมื่อเราไดรับสำเนาคำฟองจากลูกความมาแลว ใหเรามาดูกอนวา
ฟองโจทกเรื่องผิดสัญญากูยืม ค้ำประกันและจำนองนั้น เราในฐานะทนายจำเลย
จะมี “ขอตอสูที่ปรากฏในคำฟองอยางไร ?” และ เมื่อไดสอบขอเท็จจริงแลว
จะมี “ขอตอสูที่ปรากฎภายหลังสอบขอเท็จจริงอยางไร ?”

“ขอตอ สทู ป่ี รากฏในคำฟองทันท”ี

หมายถึง ขอตอ สูอันเกดิ จากการทีโ่ จทกบรรยายคำฟองผิดพลาดมาในคำฟอง
ซึ่งเปนขอตอสูที่ยังมิไดลงลึกถึงเนื้อหา หรือเปนขอตอสูที่ปรากฏขึ้น แมวาเรายัง
ไมไดส อบขอ เทจ็ จรงิ จากลกู ความก็ตาม เชน ประเด็นวา…

(1)

โจทกฟ‡องเคลือบคลุมหรือไม‹ ?

คำฟอ งนน้ั โจทกตอ งบรรยายโดยชดั แจงซ่ึงสภาพแหงขอหา คำขอบังคับ
และ ขออางที่อาศัยเปนหลักแหงขอหา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 ว.2
ซ่ึงวางหลักและแยกองคป ระกอบไดว า…

“คำฟอง

ตองแสดงโดยแจงชัดซึ่งสภาพแหงขอหาของโจทก
และ คำขอบังคับ
ทั้งขออางที่อาศัยเปนหลักแหงขอหาเชนวานั้น ”

เชน ตอ งบรรยายคำฟอ งวา มกี ารกยู มื เงนิ กนั มกี ารคำ้ ประกนั หรอื จำนอง
ถึงกำหนดแลวจำเลยไมชำระหนี้ โดยมีการบอกกลาวแกผูค้ำประกัน
หรือ ผูจำนองใหชำระหนี้แลวขอใหจำเลยชำระหนี้แกโจทก เปนตน

1

“ หากโจทกบรรยายฟองโดยไมชัดแจง
จนทำใหจำเลยไมเขาใจขอหาไดดีและตอสูคดีไมได ”
เชนนี้ ถือวาเปนคำฟองที่เคลือบคลุม ปญหาคำฟองโจทกเคลือบคลุม
หรือไม เปนปญหาขอกฎหมายแตมิใชขอกฎหมายเกี่ยวดวยความสงบ
เรียบรองของประชาชน ดังนั้น ศาลยกขึ้นวินิจฉัยเองไมได ตาม ป.วิ.พ.
มาตรา 142(5)

ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) วางหลักและแยกองคประกอบไดวา…
ในคดีที่อาจยกขอกฎหมายอันเกี่ยวดวยความสงบเรียบรอย
ของประชาชนขึ้นอางไดนั้น
เมื่อศาลเห็นสมควร
ศาลจะยกขอเหลานั้น ขึ้นวินิจฉัยแลวพิพากษาคดีไปก็ได

“ทนายจำเลยจึงตองยกประเด็นนี้ขึ้นตอสูไวในคำใหการ
พรอมใหเหตุผลประกอบการปฏิเสธ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 ว.2 ดวย”

ป.วิ.พ. มาตรา 177 ว.2 วางหลักและแยกองคประกอบไดวา…
ใหจำเลยแสดงโดยชัดแจงในคำใหการวา
จำเลยยอมรับ หรือ
ปฏิเสธขออางของโจทกทั้งสิ้นหรือแตบางสวน
รวมทั้ง
เหตุแหงการนั้น

2

(2)

โจทกถ กู จำเลยโตแŒ ยงŒ สทิ ธิหรือไม‹ ?

การที่โจทกจ ะนำคดมี าฟอ งจำเลยได แสดงวาจำเลยตอ งโตแยง สิทธขิ องโจทก
ซึ่งในคดีกูยืมเงิน ค้ำประกัน และจำนอง ตองปรากฏขอเท็จจริงในคำฟองวา
ผูกู ผูค้ำประกันหรือผูจำนอง ผิดนัดไมชำระหนี้ เชนนี้ จึงถือวา ผูใหกูยืม
ถูกโตแยงสิทธิอันเปนมูลเหตุที่จะนำคดีมาฟองได ตามป.วิ.พ. มาตรา 55

ป.วิ.พ. มาตรา 55 วางหลกั และแยกองคป ระกอบไดว า …

เม่ือมขี อ โตแ ยง เกดิ ข้นึ เก่ียวกบั สทิ ธหิ รือหนา ท่ีของ
บุคคลใดตามกฎหมายแพง หรอื
บคุ คลใดจะตอ งใชสิทธิทางศาล
บุคคลนัน้ ชอบทจี่ ะเสนอคดีของตนตอ ศาลสวนแพง
ท่ีมเี ขตอำนาจได
ตามบทบัญญัติแหง กฎหมายแพง และประมวลกฎหมายนี้

ดงั น้นั
“ เราในฐานะทนายจำเลย จงึ ตอ งพจิ ารณากอนวา หน้ีตามสญั ญากูยืม

ดังกลาวเปนหนี้มีกำหนดตามวันปฏิทินหรือไม เพื่อจะไดทราบวา
ลูกความฝายเรา(จำเลย) โตแ ยงสทิ ธขิ องโจทกจ ริงหรอื ไม ”

แตกอนอื่นตองทราบวา “หนี้ตามวันปฏิทิน ” คืออะไร?

ตอบ หนี้ที่กำหนดใหชำระโดยระบุวันเดือนปอยางชัดเจน รวมถึงกรณีที่ตอง

บอกกลาวลวงหนากอนการชำระหนี้ ซึ่งไดกำหนดเวลาลงไวอาจคำนวณนับ

ไดโดยปฏิทินนับแตวันที่ไดบอกกลาว (ป.พ.พ. มาตรา 204 ว.2 ตอนทาย)

(พบไดในกรณีหนังสือบอกกลาวทวงถามของทนายความ) 3

ป.พ.พ. มาตรา 204 ว.2 วางหลักและแยกองคประกอบไดว า …

ถา ไดก ำหนดเวลาชำระหนไ้ี วตามวันแหง ปฏทิ ิน และ
ลูกหน้มี ไิ ดชำระหนตี้ ามกำหนดไซร
ทา นวา ลกู หน้ีตกเปน ผผู ิดนดั โดยมิพกั ตอ งเตอื นเลย
วธิ ีเดียวกันน้ที าน ใหใชบังคบั แกกรณที ่ตี อ งบอกกลา วลวงหนา
กอ นการชำระหนี้ ซึ่งไดก ำหนดเวลาลงไวอาจคำนวณนบั ได โดย
ปฏิทินนบั แตวนั ทไ่ี ดบอกกลาว

หากเปนหนี้มกี ำหนดชำระตามวนั แหง ปฏิทิน
หากยังไมถึงกำหนดวนั แหงปฏิทินดงั กลา ว
แลว ผใู หกูม าฟอง เชนน้ี ตอ งถอื วาเรายังไม
ผดิ นัด เพราะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 204
วรรคสอง มหี ลกั วา

“ลูกหน้ีจะตกเปน ผูผิดนดั โดยมิพกั ตอ งเตอื น ตอ เม่อื ลกู หน้มี ิได
ชำระหน้ีตามกำหนดวันแหง ปฏทิ ิน ”

แตหากเปนหนี้ไมมีกำหนดชำระตามวันแหงปฏิทิน ผูกูยืมจะตกเปนผูผิดนัด
ตอเมื่อผูใหกูยืมไดมีการบอกกลาวทวงถามมาถึงผูกูยืม และผูกูยืมก็มิได
ชำระหนี้นั้น เชนนี้ ผูกูยืมตกเปนผูผิดนัด อันเปนการโตแยงสิทธิของผูใหกูยืม
แลว ตามประมวลกฎหมายวิธิพิจารณาความแพง มาตรา 55

4

หากผูใหกูยืมยังไมมีการบอกกลาวทวงถามมายังผูกูยืม เชนนี้
ผูกูยืมยังไมตกเปนผูผิดนัด เพราะตามประมวลกฎหมายแพง

และพาณิชย มาตรา 204 วรรคหนึ่ง มีหลักวา.....

“ลูกหนี้ตกเปนผูผิดนัดเพราะเขาเตือน ตอเมื่อหนี้ถึงกำหนด
ชำระแลว และเจาหนี้ไดใหคำเตือน (การบอกกลาวทวงถาม)

แกลูกหนี้ แตลูกหนี้ก็ไมชำระหนี้ ”

ป.พ.พ. มาตรา 204 ว.1 วางหลักและแยกองคประกอบไดวา…

ถาหนี้ถึงกำหนดชำระแลว และ
ภายหลังแตนั้นเจาหนี้ไดใหคำเตือนลูกหนี้แลว
ลูกหนี้ยังไมชำระหนี้ไซร
ลูกหนี้ไดชื่อวาผิดนัดเพราะเขาเตือนแลว

ขอสังเกต หนี้ไมมีกำหนดชำระตามวันแหงปฏิทิน ถือวาเปนกรณีเวลา
อันพึงจะชำระหนี้นั้นมิไดกำหนดลงไว เจาหนี้ยอมจะเรียกใหชำระหนี้ได
โดยพลัน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 203 ว.1 จึงเปนกรณีหนี้ถึงกำหนดชำระ
ตามป.พ.พ. มาตรา 204 ว.1แลว

ป.พ.พ. มาตรา 203 ว.1 วางหลักและแยกองคประกอบไดวา…

ถาเวลาอันจะพึงชำระหนี้นั้นมิไดกำหนดลงไว หรือ
จะอนุมานจากพฤติการณทั้งปวงก็ไมได ไซร
ทานวา เจาหนี้ยอมจะเรียกใหชำระหนี้ไดโดยพลัน และ
ฝายลูกหนี้ก็ยอมจะชำระหนี้ของตนไดโดยพลันดุจกัน

5

“เม่อื ผูกูย งั ไมผิดนดั ผใู หกูก็ยงั ไมมสี ทิ ธิฟองหรอื เรียกรอ งใหผคู ้ำประกัน
รับผดิ ได ตาม ป.พ.พ. มาตรา 686 วรรคหนึ่ง”

ป.พ.พ. มาตรา 686 ว.1 วางหลกั และแยกองคประกอบไดว า…
เม่อื ลกู หนี้ผดิ นดั
ใหเจาหนี้มีหนังสือบอกกลาวไปยังผูค้ำประกันภายในหกสิบวัน
นับแตว ันทลี่ กู หน้ีผิดนัด และ
ไมว า กรณจี ะเปน ประการใด เจา หนจ้ี ะเรยี กใหผ คู ำ้ ประกนั ชำระหน้ี
กอ นท่ีหนังสือบอกกลา วจะไปถงึ ผูคำ้ ประกันมิได
แตไมตัดสิทธิผูค้ำประกันที่จะชำระหนี้เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ

ดังนั้น เมื่อจำเลยผูกูยังไมผิดนัด

“เราทนายความจำเลยตองตอสูไป โดยอาศัยหลักกฎหมาย ป.พ.พ.
มาตรา 204 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 55 เพื่อใหศาลยกฟองครับ”

ซึ่งประเด็นวา โจทกถูกจำเลยโตแยงสิทธิจริงหรือไม
เปนปญหาเกี่ยวดวยความสงบเรียบรองของประชาชน
แมจำเลยไมยกขึ้นตอสูในคำใหการ ศาลก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได

ตาม ป.วิ.พ. มาตรา142(5)

6

(3)

ฟอ‡ งโจทกข าดอายุความหรอื ไม?‹

การทเ่ี ราจะรวู า ฟองโจทกข าดอายคุ วามหรอื ไม ?
เราตอ งทราบวา หนี้ที่โจทกน ำมาฟอ งเปน หน้กี ยู ืมประเภทใด

1 บตั รเครดติ

หากเปนหนี้ที่โจทกเปนผูประกอบธุรกิจ เชน ธนาคาร เปนตน โดยออกเงิน
ทดรองหรือสำรองเงินจายแทนจำเลยไปกอน ในกรณที ี่จำเลยนำบัตรเครดติ
ไปใชรดู ซ้ือสนิ คา บริการ หรือใชกดเงินสดออกมา และมกี ารเรียกใหช ำระเงนิ
ในภายหลงั เชนนี้ เรียกวา ...

สัญญาบัตรเครดิต มีอายุความ 2 ป
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (7)

ป.พ.พ. มาตรา 193/34(7) วางหลกั และแยกองคประกอบไดว า …
สิทธิเรียกรอง ดงั ตอไปนี้ ใหม ีกำหนดอายุความสองป
บุคคลซึ่งมิไดเขาอยูในประเภทที่ระบุไวใน ม.193/34 (1)
แตเปนผูประกอบธุรกิจในการดูแลกิจการของผูอื่น หรือ
รับทำงานการตา ง ๆ เรยี กเอาสินจางอนั จะพงึ ไดร บั ในการนน้ั
รวมทัง้ เงนิ ท่ีไดออกทดรองไป

7

2 การกยู ืมทต่ี อ งชำระหนีเ้ ปนงวดๆ

หนี้ที่ผูกูตองชำระแกผูใหกู โดยการผอนเปนงวด ๆ จนครบจำนวนเงิน
ที่กูยืมไป มีอายุความ 5 ป ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/35(2)

ป.พ.พ. มาตรา 193/35(2) วางหลักและแยกองคประกอบไดวา…
สิทธิเรียกรองดังตอไปนี้ ใหมีกำหนดอายุความหาป
เงินที่ตองชำระ เพื่อผอนทุนคืนเปนงวด ๆ

ขอสังเกต ปจจุบันนี้ มีกฎหมายแกไขใหม เกี่ยวกับหนี้ที่ตองผอน
คืนทุนเปนงวดๆ วา…...

“เจาหนี้เรียกดอกเบี้ยผิดนัด ไดเฉพาะงวดที่ลูกหนี้ผิดนัดเทานั้น”

3 การกูยืมท่วั ไป

หนี้กูยืมทั่วไป คือ หนี้กูยืมที่ไมมีกฎหมายกำหนดอายุความไวโดยเฉพาะ
จึงมีอายุความ 10 ป ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30

ป.พ.พ. มาตรา 193/30 วางหลักและแยกองคประกอบไดวา…
อายุความนั้น
ถาประมวลกฎหมายนี้ (ป.พ.พ.) หรือกฎหมายอื่นมิไดบัญญัติไว
โดยเฉพาะ
ใหมีกำหนดสิบป

8

4 ผูกู ผคู ำ้ ประกัน ผูจ ำนองถึงแกความตาย

กรณีผูกูถึงแกความตาย แมมูลหนี้เดิมจะมีอายุความ 2, 5 หรือ 10 ป
ตามกฎหมายที่ไดกลาวมาขางตน หากผูกูตาย ผูใหกูตองฟองทายาท
หรือผูจัดการมรดกของผูกู

ภายในอายุความ 1 ป นับแตผูใหกูไดรู หรือควรไดรูถึงความตายของผูกู
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 ว.3 และแมผูใหกูจะยังไมรู หรือไมควรรู
ถึงความตายของผูกู แตหากพนอายุความ 10 ป นับแตผูกูตาย
เชนนี้ คดีก็ขาดอายุความแลว

ป.พ.พ. มาตรา 1754 ว.3 วางหลักและแยกองคประกอบไดวา…
ภายใตบังคับแหงมาตรา 193/27 แหงประมวล
กฎหมายนี้
ถาสิทธิเรียกรองของเจาหนี้อันมีตอเจามรดกมี
กำหนดอายุความยาวกวาหนึ่งป
มิใหเจาหนี้นั้นฟองรอง เมื่อพนกำหนดหนึ่งป
นับแตเมื่อเจาหนี้ไดรู หรือควรไดรูถึงความตาย
ของเจามรดก

ขอสังเกต ทายาทผูมีสิทธิรับมรดกหรือผูจัดการมรดกของผูกู หากถูกฟอง
จากผใู หก ู กไ็ มต อ งรบั ผดิ เกนิ ทรพั ยม รดกทต่ี กทอดแกต น ตาม ป.พ.พ. มาตรา
1601 ( ขอพึงระวัง หากไปทำสัญญายอมในชั้นศาล เชนนี้ ก็ตองรับผิดตาม
สัญญายอมนะครับ )

ป.พ.พ. มาตรา 1601 วางหลักและแยกองคประกอบไดวา…
“ทายาทไมจำตองรับผิดเกินกวาทรัพยมรดกที่ตกทอดไดแกตน”

9

5 อายคุ วามดอกเบ้ีย

สิทธิเรียกรองดอกเบี้ยคางชำระ “มีอายุความ 5 ป ”
ตามป.พ.พ. มาตรา 193/33 (1)

ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (1) วางหลักและแยกองคประกอบไดวา…
สิทธิเรียกรองดังตอไปนี้ ใหมีกำหนดอายุความหาป
ดอกเบี้ยคางชำระ

ขอสังเกต ปจ จุบนั มีกฎหมายแกไ ขใหม ในเร่ืองดอกเบ้ียทเี่ รยี กรองกนั ระหวาง
ผูใหกูมิใชสถาบันการเงินกับผูกู โดยกฎหมายไดลดอัตราดอกเบี้ยลงจากเดิม
โดยใหผูใหกูมีสิทธิเรียกรองดอกเบี้ยไดรอยละ 3 ป กรณีมีการตกลงใหเรียก
ดอกเบี้ยได แตมิไดกำหนดอัตราดอกเบี้ยไว ป.พ.พ. มาตรา 7 แตหากมีการ
ผิดนัด ใหเรียกดอกเบี้ยเพิ่มอีกรอยละ 2 ตอป เมื่อรวมกันแลวผูใหกูจึงมีสิทธิ
เรยี กรอ งเบย้ี ผดิ นดั ไดร อ ยละ 5 ตอ ป ตามมาตรา 224 ว.1

หมายเหตุ หากหน้ีขาดอายุความ ลกู หน้สี ามารถยกขนึ้ ตอ สเู จา หนี้ เพื่อปฏิเสธ
การชำระหนี้ได ตามมาตรา 193/10 ซึ่งปญหาเรื่องอายุความ มิใชปญหา
อันเกี่ยวดวยความสงบเรียบรอยของประชาชน ดังนั้น หากจำเลยไมยกขึ้น
ตอสูไวในคำใหการ ศาลก็ไมอาจยกเหตุผลดังกลาวขึ้นเพื่อยกฟองคดีได
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/29 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 142(5)

ป.พ.พ. มาตรา 193/10 วางหลักและ ป.พ.พ. มาตรา 193/29 วางหลักและ
แยกองคประกอบไดวา…
แยกองคประกอบไดวา…
เมื่อไมไดยกอายุความขึ้นเปนขอตอสู
สิทธิเรียกรองที่ขาดอายุความ ศาลจะอางเอาอายุความมาเปนเหตุ
ยกฟองไมได
ลูกหนี้มีสิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้

ตามสิทธิเรียกรองนั้นได
10

ทนายเกา ขอกลาววา “ หากมีประเด็นวาฟองโจทก

ขาดอายคุ วาม ทนายจำเลยอยางเราอยาปลอยใหหลุดมือ
ยกขึ้นสูในคำใหการและยื่นคำรองขอใหศาลวินิจฉัยชี้ขาด
ในปญหาขอกฎหมาย ตามป.วิ.พ. มาตรา 24 ทนั ทคี รบั ”

ป.วิ.พ. มาตรา 24 ว.1 วางหลักและแยกองคประกอบไดวา…

เมื่อคูความฝายใดยกปญหาขอกฎหมายขึ้นอาง
ซึ่งถาหากไดวินิจฉัยใหเปนคุณแกฝายนั้นแลว

จะไมตองมีการพิจารณาคดีตอไปอีก หรือ
ไมตองพิจารณาประเด็นสำคัญแหงคดีบางขอ หรือ
ถึงแมจะดำเนินการพิจารณาประเด็นขอสำคัญแหงคดีไป
ก็ไดความชัดขึ้นอีกแลว
เมื่อศาลเห็นสมควร หรือ เมื่อคูความฝายใดฝายหนึ่งมีคำขอ
ใหาลมีอำนาจที่จะมีคำสั่งใหมีผลวากอนดำเนินการพิจารณาตอไป
ศาลจะไดพิจารณาปญหาขอกฎหมายเชนวานี้แลว วินิจฉัยชี้ขาด
เบื้องตนในปญหานั้น

สวนการนับอายุความใหเริ่มนับแตเมื่อใดนั้น
ผมขอแบงแบบงายๆ และใชบอย ๆ อยู 2 กรณี ดังนี้

11

1.กรณีหนี้มีกำหนด

อายุความใหเริ่มนับตั้งแตขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกรองไดเปนตนไป
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/12 เชน วันที่ถึงกำหนดเวลาชำระหนี้ เปนตน

ป.พ.พ. มาตรา 193/12 วางหลักและแยกองคประกอบไดวา…
อายุความใหเริ่มนับแตขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกรองไดเปนตนไป
ถาเปนสิทธิเรียกรองใหงดเวนกระทำการอยางใด ใหเริ่มนับแตเวลา
แรกที่ฝาฝนกระทำการนั้น

2.กรณีหนี้ไมมีกำหนด

อายุความใหเริ่มนับตั้งแตเวลาแรกที่อาจทวงถามไดเปนตนไป ตาม
ป.พ.พ. มาตรา 193/13 เชน วันที่ทำสัญญากูยืม เปนตน

ป.พ.พ. มาตรา 193/13 วางหลักและแยกองคประกอบไดวา…
สิทธิเรียกรองที่เจาหนี้ยังไมอาจบังคับไดจนกวาจะไดทวงถามใหลูกหนี้
ชำระหนี้กอน ใหเริ่มนับอายุความตั้งแตเวลาแรกที่อาจทวงถามได
เปนตนไป
แตถาลูกหนี้ยังไมตองชำระหนี้จนกวาระยะเวลาหนึ่งจะไดลวงพนไปแลว
นับแตเวลาที่ไดทวงถามนั้น ใหเริ่มนับอายุความตั้งแตระยะเวลานั้นได
สิ้นสุดไปแลว

12

(4)

โจทกฟอ‡ งผดิ ศาลหรือไม‹ ?

โดยสวนมากแลวคดีผิดสัญญากูยืม ค้ำประกันและจำนอง หากมีการเรียกดอกเบี้ย
เปนการตอบแทนมาดวย ยอมเปนคดีผูบริโภค ซึ่งตามมาตรา 17 แหงพระราชบัญญัติ
วิธีพิจารณาคดีผูบริโภค พ.ศ.2551 บัญญัติใหผูประกอบธุรกิจ(ผูใหกู)จะฟองผูบริโภค
(ผูกู, ผูค้ำประกัน และผูจำนอง)เปนคดีผูบริโภค แมผูประกอบธุรกิจมีสิทธิเสนอ
คำฟองตอศาลที่ผูบริโภคมีภูมิลำเนาอยูในเขตศาล หรือตอศาลอื่นไดดวย เชน ศาล
ที่มูลคดีเกิดในเขตศาล ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 4(1) แตกฎหมายฉบับนี้ก็บัญญัติบังคับ

ใหผ ปู ระกอบธรุ กจิ ตองเสนอคำฟองตอศาลที่
“ ผูบริโภคมีภูมิลำเนาอยูในเขตศาลไดเพียงแหงเดียวเทานั้น ”

ป.ว.ิ ผบู รโิ ภค มาตรา 17 วางหลกั และแยก หากโจทกฝาฝน ศาลชั้นตนชอบที่
องคป ระกอบไดว า … จะสั่งไมรับคำฟองได ตามป.วิ.พ.
มาตรา 18 ว.3 อันเปนคำสั่งในชั้น
ในกรณีที่ผูประกอบธุรกิจจะฟองผูบริโภค ตรวจคำฟอง แตหากลวงเลยเวลา
เปนคดีผูบริโภคและ ในชั้นตรวจคำฟอง “เราในฐานะ
ผูประกอบธุรกิจมีสิทธิเสนอคําฟองตอ ทนายความจำเลยมสี ิทธยิ กขึ้นตอสู
ศาลทผ่ี บู ริโภคมภี มู ลิ าํ เนาอยูในเขตศาล ในคำใหการได ยอมเปนประเด็น
หรือตอศาลอื่นไดดวย ขอ พพิ าทแหง คดใี หศ าลตอ งวนิ จิ ฉยั
ใหผูประกอบธุรกิจเสนอคําฟองตอศาลที่ ชี้ขาดเปนขอแพชนะกันตอไป ”
ผูบริโภคมีภูมิลําเนาอยูในเขตศาลไดเ พยี ง
แหง เดยี ว

ขอสงั เกต : ภูมลิ ำเนาของผบู รโิ ภค (ผูก,ู ผูค้ำประกัน และผจู ำนอง) ไดแ ก หลกั แหลง อันสำคัญของ
บุคคลนั้น เชน ภูมิลำเนาตามทะเบียนราษฎร ปรากฏตามบัตรประชาชน หรือ ทะเบียนราษฎร
แมความจริงจะอยูที่อื่นก็ตามภูมิลำเนาตามความเปนจริง ถือตามความเปนจริง หากอยูที่ใดเปน
ประจำกถ็ ือทีน่ ัน้ เปน ภมู ิลำเนาได และรวมถงึ สถานท่ีทำงานดว ย เปน ตน
13

(5)

โจทกฟ อ‡ งผดิ เรือ่ งหรือไม?‹

การที่ผูใหกูมาฟองผูกูยืม ผูค้ำประกันและผูจำนอง ใหรับผิดในเงินตนและ
ดอกเบี้ย ยอมเปนคดีผูบริโภค เพราะเปนคดีแพงระหวางผูบริโภคกับผู
ประกอบธุรกิจซึ่งพิพาทกันเกี่ยวกับสิทธิหรือหนาที่ตามกฎหมายอันเนื่อง
มาจากการบรโิ ภคสนิ คา หรอื บรกิ าร ตามมาตรา 3(1) แหง พระราชบญั ญตั ิ
วิธีพิจารณาคดีผูบริโภค พ.ศ.2551

“ ดงั นน้ั เราในฐานะทนายความจำเลย
หากเห็นวาโจทกนำคดี เชนนี้ มาฟองเปนคดีมโนสาเร หรือคดีแพง
สามัญ เราตองยื่นคำรองขอใหประธานศาลอุทธรณวินิจฉัยวาเปน
คดีผูบริโภคหรือไม โดยตองยื่นอยางชาในวันชี้สองสถานหรือ
วันสืบพยานกรณีไมมีการชี้สองสถาน ตามมาตรา 8 ”

ป.วิ.ผูบรโิ ภค มาตรา 8 ว.1 วางหลกั และ ไมวาโดยคูความเปนผูขอ หรือโดยศาลเห็น
แยกองคป ระกอบไดวา… สมควร
ถา เปน การขอในคดผี บู รโิ ภคตอ งกระทำอยา งชา
ในกรณีมีปญหาวาคดีใดเปนคดี ในวนั นดั พจิ ารณา
ผูบ รโิ ภคหรือไม แตถาเปนการขอในคดีอื่นตองกระทำอยางชา
ใหป ระธานศาลอทุ ธรณเ ปน ผวู นิ จิ ฉยั ในวันชี้สองสถาน หรือวันสืบพยาน ในกรณีที่
คำวนิ จิ ฉยั ของประธานศาลอทุ ธรณ ไมม กี ารชส้ี องสถาน
ใหเปน ทีส่ ดุ หากพนกำหนดเวลาดังกลาวแลว หามมิใหมี
แตทั้งนี้ไมกระทบถึงกระบวนพิจารณา การขอใหว นิ จิ ฉยั ปญ หาดงั กลา วอกี และ
ใด ๆ ทไ่ี ดก ระทำไปกอ นทจ่ี ะมคี ำวนิ จิ ฉยั น้ัน เมื่อไดรับคำขอจากศาลชั้นตนแลว ใหประธาน
ว.2 ศาลอุทธรณมีคำวินิจฉัยและแจงผลไปยัง
การขอใหป ระธานศาลอทุ ธรณว ินิจฉยั ศาลชน้ั ตน โดยเรว็
ปญหาตามวรรคหนงึ่

14

“ขอ ตอสูท ี่ปรากฏภายหลงั
สอบขอ เทจ็ จริงแลว”

เปน ขอตอสูท่ีปรากฏภายหลังจากท่ที นายอยา งเรา
ไดสอบขอเท็จจริงหรือเรื่องราวจากจำเลยแลว
จึงทราบขอตอสู อนั เปนขอ ตอ สูใ นเน้ือหาของคดี

ประเด็นวา…

1 โจทกยังมิไดมีหนังสือบอกกลาวใหชำระหนี้
2 จำเลยไมใชผูกู ผูค้ำประกันหรือผูจำนอง
3 โจทกไมมีหลักฐานฟองจำเลย
4 การกูยืมเปนโมฆะ
5 ดอกเบี้ยโมฆะ
6 มูลหนี้กูยืมเปนอันระงับแลว
7 เจาหนี้ไมมีสิทธิเรียกรอง
8 หนี้เดิมไมสมบูรณ
9 การค้ำประกันและจำนองเปนโมฆะ

15

1 โจทกยังมิไดมีหนังสือบอกกลาวใหชำระหนี้

ถาผูกูผิดนัดแลว ผูใหกูมีหนาที่ตองบอกกลาวเปนหนังสือไป
ยังผูค้ำประกันใหมาชำระหนี้ ภายใน 60 นับแตลูกหนี้ผิดนัด
มิฉะนั้น จะไมมีอำนาจฟองผูค้ำประกัน แตหากผูใหกูบอกกลาว
เปนหนังสืออยู แตลวงเลยระยะเวลา 60 วัน ผูค้ำประกันยอม
ตองรับผิดเฉพาะเงินตนเทานั้น ไมรวมดอกเบี้ย คาสินไหมทดแทน
คาภาระติดพันอันเปนอุปกรณแหงหนี้ ที่เกิดขึ้นภายหลังพนกำหนด
เวลา 60 วันดังกลาว ตามป.พ.พ. มาตรา 686 ว.2

ป.พ.พ. มาตรา 686 วางหลักและแยกองคประกอบไดวา…

ว.1
เมื่อลูกหนี้ผิดนัด
ใหเจาหนี้มีหนังสือบอกกลาวไปยังผูค้ำประกัน ภายในหกสิบวัน
นับแตวันที่ลูกหนี้ผิดนัด และ
ไมวากรณีจะเปนประการใด เจาหนี้จะเรียกใหผูค้ำประกันชำระหนี้
กอนที่หนังสือบอกกลาวจะไปถึงผูค้ำประกันมิได
แตไมตัดสิทธิผูค้ำประกันที่จะชำระหนี้ เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ

ว. 2
ในกรณีที่เจาหนี้มิไดมีหนังสือบอกกลาวภายใน
กำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง
ใหผูค้ำประกันหลุดพนจากความรับผิดในดอกเบี้ย
และคาสินไหมทดแทน ตลอดจนคาภาระติดพันอัน
เปน อปุ กรณแ หง หนร้ี ายนน้ั บรรดาทเ่ี กดิ ขน้ึ ภายหลงั
จากพนกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง

16

สว นการจำนอง แบบออกเปน 2 กรณี คือ

1.“กรณีผูกนู ำทรพั ยส ินของตนมาจำนอง”

กอนฟองคดีผูรับจำนอง (ผูใหกู) ตองมีหนังสือบอกกลาวใหผูกู
(ผูจำนอง)ชำระหนี้ ภายในเวลาอันสมควร แตตองไมนอยกวา 60 วัน
นับแตไดรับคำบอกกลาวนั้น

มิฉะนั้น ผูรับจำนอง(ผูใหกู)ไมมีอำนาจฟองยึดทรัพยสินที่จำนอง
ออกขายทอดตลาดได ตามป.พ.พ. มาตรา 728 ว.1

ป.พ.พ. มาตรา 728 ว.1 วางหลักและแยกองคประกอบไดวา…
เมื่อจะบังคับจำนองนั้น
ผูรับจำนองตองมีหนังสือบอกกลาวไปยังลูกหนี้กอนวาใหชำระหนี้
ภายในเวลาอันสมควรซึ่งตองไมนอยกวาหกสิบวัน นับแตวันที่ลูกหนี้
ไดรับคำบอกกลาวนั้น
ถาและลูกหนี้ละเลยเสียไมปฏิบัติตามคำบอกกลาว
ผูรับจำนองจะฟองคดีตอศาลเพื่อใหพิพากษาสั่งใหยึดทรัพยสิน
ซึ่งจำนอง และใหขายทอดตลาดก็ได

17

2. “กรณีบคุ คลภายนอกนำทรพั ยสนิ ของตนมาจำนอง”

กอนฟองคดีผูรับจำนอง(ผูใหกู) ตองมีหนังสือบอกกลาวใหผูจำนอง
ซึ่งเปนบุคคลภายนอกทราบ ภายใน 15 วัน นับแตวันที่ไดสงแจงให
ผูกูทราบ

มิฉะนั้น
จะไมมีอำนาจฟองผูจำนองซึ่งเปนบุคคลภายนอก

แตหากผูรับจำนอง(ผูใหกู)บอกกลาวเปนหนังสืออยู แตลวงเลยระยะ
เวลา 15 วัน ผูจำนองซง่ึ เปน บคุ คลภายนอกยอ มตอ งรบั ผดิ เฉพาะเงนิ ตน
เทา นน้ั ไมร วมดอกเบย้ี คา สนิ ไหมทดแทน คา ภาระตดิ พนั อนั เปน อปุ กรณ
แหงหนี้ ที่เกิดขึ้นภายหลังพนกำหนดเวลา 15 วันดังกลาว ตามป.พ.พ.
มาตรา 728 ว.2

ป.พ.พ. มาตรา 728 ว.2 วางหลักและแยกองคประกอบไดวา…
ในกรณีตามวรรคหนึ่ง ถาเปนกรณีผูจำนองซึ่งจำนองทรัพยสิน
ของตนไว เพื่อประกันหนี้อันบุคคลอื่นตองชำระ
ผูรับจำนองตองสงหนังสือบอกกลาวดังกลาวใหผูจำนองทราบ
ภายในสิบหาวันนับแตวันที่สงหนังสือแจงใหลูกหนี้ทราบ
ถาผูรับจำนองมิไดดำเนินการภายในกำหนดเวลาสิบหาวันนั้น
ใหผูจำนองเชนวานั้นหลุดพนจากความรับผิดในดอกเบี้ย และ
คาสินไหมทดแทนซึ่งลูกหนี้คางชำระ ตลอดจนคาภาระติดพันอัน
เปนอุปกรณแหงหนี้รายนั้น บรรดาที่เกิดขึ้นนับแตวันที่พนกำหนด
เวลาสิบหาวันดังกลาว

18

2 จำเลยไมใชผูกู ผูค้ำประกันหรือผูจำนอง

ผูที่จะเปนผูกู ผูค้ำประกัน หรือผูจำนองไดนั้น “ตองมีเจตนากูยืมเงิน
เจตนาค้ำประกัน และเจตนาจำนอง” ตามหลักกกฎหมายประมวลแพง
และพาณิชย มาตรา 149 มีหลักวา

“ผูกูยืม ผูค้ำประกัน หรือผูจำนอง ตองมีเจตนากูยืมเงิน ค้ำประกัน
หรือจำนองดวยใจสมัคร มุงโดยตรงตอการผูกนิติสัมพันธขึ้นระหวางบุคคล
เพื่อกอใหเกิดสิทธิความเปนเจาหนี้และลูกหนี้ตอกัน ”

ดังนั้น เมื่อเราไมเปนผูกูยืม ผูค้ำประกัน หรือผูจำนอง เราก็ไม
ตองรับผิดฐานผิดสัญญากูยืมเงิน ผิดสัญญาค้ำประกัน หรือ

ผิดสัญญาจำนองครับ

เมื่อจำเลยไมใชผูกู ผูค้ำประกัน หรือผูจำนอง
“เราทนายความจำเลยตองตอสูไป โดยอาศัยหลักกฎหมาย

ป.พ.พ. มาตรา 149 เพื่อใหศาลยกฟองครับ”

19

3 โจทกไมมีหลักฐานฟองจำเลย

ในเรื่องการกูยืมเงินกันนั้น
กฎหมายบังคับวาในการกูยืมเงินกันกวา 2,000 บาท

(คือ สองพันบาทยี่สิบหาสตางค)

“ตองทำหลักฐานเปนหนังสือลงมือชื่อผูกูเปนสำคัญ” ผูใหกูจึงจะฟองรอง
ผูกูได ตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา 653 วรรคหนึ่ง

ดังนั้น
“หากการกูยืมดังกลาวไมมีหลักฐานเปนหนังสือ
ลงลายมือชื่อผูกูเปนสำคัญ ผูใหกูก็จะฟองผูกูไมได”

แตหากเปนการกูยืมเงินกัน 2,000 บาท พอดี หรือต่ำกวานั้น แมการกูยืมเงิน
ดังกลาวไมไดทำหลักฐานเปนหนังสือ ผูใหกูยืมก็มีสิทธิฟองผูกูไดโดยนำพยาน
บุคคลเขาสืบได

ป.พ.พ. มาตรา 653 ว.1 วางหลักและแยกองคประกอบไดวา…
การกูยืมเงินกวาสองพันบาทขึ้นไปนั้น
ถามิไดมีหลักฐานแหงการกูยืมเปนหนังสืออยางใดอยางหนึ่ง
ลงลายมือชื่อผูยืมเปนสำคัญ
จะฟองรองใหบังคับคดีหาไดไม

20

“รวมถึงกรณีผูค้ำประกันดวย”

“กฎหมายบังคับวาในการค้ำประกันตองมีหลักฐาน
เปนหนังสือลงลายมือชื่อผูค้ำประกันเปนสำคัญ”

ผูใหกูจึงจะฟองผูค้ำประกันได
ตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา 680 วรรคสอง

ดังนั้น
“หากการค้ำประกันดังกลาวไมมีหลักฐานเปนหนังสือ
ลงลายมือชื่อผูค้ำประกันเปนสำคัญ ผูใหกูก็จะฟองผูค้ำประกันไมได”

ป.พ.พ. มาตรา 680 ว.2 วางหลักและแยกองคประกอบไดวา…
สัญญาค้ำประกันนั้น
ถามิไดมีหลักฐานเปนหนังสืออยางใดอยางหนึ่งลงลายมือชื่อ
ผูค้ำประกันเปนสำคัญ
ทานวา จะฟองรองใหบังคับคดีหาไดไม

แมการกูยืมเงินเกินกวา 2,000 บาท ที่ไมมีหลักฐานเปนหนังสือ
จะทำใหฟองผูกูใหรับผิดไมได แตก็ถือวาเปนหนี้อันสมบูรณ
ตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา 681 วรรคหนึ่ง
ที่ผูค้ำประกันตองรับผิดตอผูใหกู

ป.พ.พ. มาตรา 681 ว.1 วางหลักและแยกองคประกอบไดวา…
“อันค้ำประกันนั้นจะมีไดแตเฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ”

21

แตอยางไรก็ตาม ประเด็นวา “ผูใหกูไมมีหลักฐานเปนหนังสือ
ลงลายมือชื่อผูกูมาฟองคดี” ถือวา เปนขอตอสูของลูกหนี้ผูกู
ที่ผูค้ำประกันตองยกขึ้นตอสูเจาหนี้ผูใหกู ตามมาตรา 694

ป.พ.พ. มาตรา 694 วางหลักและแยกองคประกอบไดวา…
นอกจากขอตอสูซึ่งผูค้ำประกันมีตอเจาหนี้นั้น
ทานวา ผูค้ำประกันยังอาจยกขอตอสูทั้งหลาย
ซึ่งลูกหนี้มีตอเจาหนี้ขึ้นตอสูไดดวย

หากผูค้ำประกันละเลยไมยกขอตอสูดังกลาว ยอมสิ้นสิทธิไลเบี้ย
เอาแกผูกูเพียงเทาที่ไมยกเปนขอตอสู ตามมาตรา 695

ป.พ.พ. มาตรา 695 วางหลักและแยกองคประกอบไดวา…
ผูค้ำประกันซึ่งละเลยไมยกขอตอสูของลูกหนี้ขึ้นตอสูเจาหนี้นั้น
ทานวา ยอมสิ้นสิทธิที่จะไลเบี้ยเอาแกลูกหนี้เพียงเทาที่ไมยกขึ้น
เปนขอตอสู
เวนแต จะพิสูจนไดวาตนมิไดรูวามีขอตอสูเชนนั้น และที่ไมรูนั้น
มิไดเปนเพราะความผิดของตนดวย

22

ขอสังเกต
การกูยืมเงินกันกวา 2,000 บาท มีสวนที่เกี่ยวของกับ
กฎหมายลักษณะพยาน คือ ป.วิ.พ. มาตรา 94 ซึ่งมีหลักวา

“การกูยืมเงินกันกวา 2,000 บาท ตองทำหลักฐานเปน
หนังสือลงมือชื่อผูกูเปนสำคัญ ผูใหกูจึงจะฟองรองผูกูได
ตามป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคหนึ่ง อันเปนกรณีกฎหมาย
บังคับใหตองมีพยานเอกสารมาแสดง จึงไมอาจนำพยาน
บุคคลมาสืบในประเด็นวามีการกูยืมเงินกันจริงหรือไม
จึงตองใชสัญญากูยืมอันเปนพยานเอกสารมานำสืบเอา”

ป.วิ.พ. มาตรา 94 ว.1 วางหลักและแยกองคประกอบไดวา…
เมื่อใดมีกฎหมายบังคับใหตองมีพยานเอกสารมาแสดง
หามมิใหศาลยอมรับฟงพยานบุคคลในกรณีอยางใดอยางหนึ่ง
ดังตอไปนี้ แมถึงวาคูความอีกฝายหนึ่งจะไดยินยอมก็ดี
(ก) ขอสืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสาร เมื่อไมสามารถนำ
เอกสารมาแสดง
(ข) ขอสืบพยานบุคคลประกอบขออางอยางใดอยางหนึ่ง เมื่อ
ไดนำเอกสารมาแสดงแลว วา ยงั มขี อความเพม่ิ เตมิ ตดั ทอน
หรือเปลี่ยนแปลงแกไขขอความในเอกสารนั้นอยูอีก

ดังนั้น แมเราจะกูยืมจริง
แตเราทนายจำเลยมีสิทธิยกขอตอสู
โดยอาศัยหลักฎหมาย ป.พ.พ. มาตรา มาตรา 653 วรรคหนึ่ง

เพื่อให “ศาลยกฟอง” ครับ

23

4 การกูยืมเปนโมฆะ

การกูยืม การค้ำประกัน และการจำนอง เปนทำนิติกรรมอยางหนึ่ง
ตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา 149

ดังนั้น หากการกูยืม การค้ำประกัน และการจำนอง เปนกระทำไป
โดยมีวัตถุประสงค
ตองหามชัดแจงโดยกฎหมาย
เปนการพนวิสัย หรือ
เปนการขัดตอความสงบเรียบรอยของประชาชน
หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

“การกูยืม การค้ำประกัน และการจำนอง
ก็เปนโมฆะตาม มาตรา 150 ”

ป.พ.พ. มาตรา 150 วางหลักและแยกองคประกอบไดวา…
การใดมีวัตถุประสงค…
เปนการตองหามชัดแจงโดยกฎหมาย
เปนการพนวิสัย หรือ
เปนการขัดตอความสงบเรียบรอยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
การนั้นเปนโมฆะ

24

ตัวอยาง

ก. เลนการพนันเสียให ข. เจามือ เปนเงิน 100,000 บาท
ซึ่งมูลหนี้การพนัน ไมอาจทวงคืนกันได ตาม ป.พ.พ. มาตรา 853

ถา ก. ทำสัญญาวา “ตนเปนหนี้เงินกูยืม ข.”
เชนนี้ ถือวา การกูยืมเปนโมฆะ

เพราะ ตามมาตรา 150 เปนการกระทำโดยมีวัตถุประสงคตองหาม
ชัดแจงโดยกฎหมายและเปนการขัดตอความสงบเรียบรอยของ
ประชาชนหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

เมื่อมูลหนี้กูยืมอันเปนหนี้ประธานเปนโมฆะ ผูค้ำประกัน และ ผูจำนอง
ก็ไมตองรับผิด เพราะ การค้ำประกันและการจำนองจะมีไดเฉพาะ
หนี้อันสมบูรณ ตามมาตรา 681 วรรคหนึ่ง และมาตรา 707
ประกอบ มาตรา 681 วรรคหนึ่ง

ดังนั้น แมเราจะทำสัญญากูยืมจริง
แตเราทนายจำเลยมีสิทธิยกขอตอสู
โดยอาศัยหลักฎหมาย ป.พ.พ. มาตรา 150

เพื่อให “ศาลยกฟอง” ครับ

25

5 ดอกเบี้ยโมฆะ

สิทธิตามกฎหมาย ผูใหกูมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยไดสูงถึงรอยละ 15 ตอป

ตามป.พ.พ. มาตรา 654 “หากผูใหกูเรียกดอกเบี้ยเกินกวานั้น
มีผลเปนโมฆะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 150”

เนื่องจากขอตกลงดังกลาวมีวัตถุประสงคเปนการตองหามชัดแจง
โดยกฎหมาย และเปนการขัดตอความสงบเรียบรอยหรือศีลธรรม
อันดีของประชาชน ซึ่งกฎหมายที่ตองหามชัดแจงนั้น คือ พ.ร.บ.
หามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2561 มาตรา 4(1) ตองระวาง
โทษจําคุกไมเกินสองป หรือปรับไมเกินสองแสนบาท หรือทั้งจํา
ทั้งปรับ

พ.ร.บ. หามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2561 “เชนนี้ เราในฐานะทนายความ
มาตรา 4 (1) วางหลักและแยกองคประกอบ จำเลย ตองยกขอตอสูดังกลาว
ไดวา.... ตอศาล หากขอเท็จจริงรับฟง
ไดวาดอกเบี้ยเปนโมฆะ
บุคคลใดใหบุคคลอื่นกูยืมเงิน หรือกระทำการ
ใด ๆ อันมีลักษณะเปนการอำพรางการให ศาลชอบจะนำเงินที่จำเลย
กูยืมเงิน ชำระดอกเบี้ยไปแลว มาหักกับ
โดยมีลักษณะอยางใดอยางหนึ่งดังตอไปนี้ เงินตนได อีกทั้งผูกูยังมีสิทธิ
แจงความรองทุกขเอาผิดแก
(1) เรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมาย ผูใหกูผูเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา
กำหนดไว ใหไดรับโทษทางอาญาได ”

ตองระวางโทษจำคุกไมเกินสองป หรือปรับ
ไมเกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

26

6 มูลหนี้กูยืมเปนอันระงับแลว

มูลหนี้กูยืมเปนมูลหนี้หลัก หรือมูลหนี้ประธาน เมื่อมูลหนี้ดังกลาว
ระงับแลว ผูกู ผูค้ำประกันหรือ ผูจำนอง ยอมหลุดพนความรับผิด

เราในฐานะทนายความจำเลย ตองทำคำใหการตอสูคดีในประเด็นดังกลาว
และตองทราบวา การทำคำใหการตอสูคดีวามูลหนี้กูยืมระงับแลว ถือวา

จำเลยรับในขอเท็จจริงแลววา “จำเลยทำสัญญากูยืมเงินจริง
แตยกขอตอสูขึ้นใหมวามูลหนี้กูยืมระงับแลว”

ประเด็นขอพิพาท “ จึงมีวามูลหนี้กูยืมระงับแลวหรือไม ”
โดยจำเลยเปนผูมีภาระการพิสูจนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84/1

ป.วิ.พ. มาตรา 84/1 วางหลกั และแยกองคป ระกอบไดวา…
คูความฝายใดกลาวอางขอเท็จจริงเพื่อสนับสนุนคำคูความของตน
ใหคูความฝายนั้นมีภาระการพิสูจนขอเท็จจริงนั้น
แตถา…
มีขอสันนิษฐานไวในกฎหมาย หรือ
มีขอสันนิษฐานที่ควรจะเปนซึ่งปรากฏจากสภาพปกติธรรมดาของ
เหตุการณ เปนคุณแกคูความฝายใด
คูความฝายนั้นตองพิสูจนเพียงวาตนไดปฏิบัติตามเงื่อนไขแหงการ
ที่ตนจะไดรับประโยชนจากขอสันนิษฐานนั้นครบถวนแลว

27

ซึ่งเหตุที่ทำใหมูลหนี้เงินกูยืมระงับ มีดังนี้

6.1 ชำระหนี้แลว ผูกูชำระเงินครบถวนแลว

6.2 ปลดหนี้

ป.พ.พ. มาตรา 340 วางหลักและแยกองคประกอบไดวา…
ว.1 ถาเจาหนี้แสดงเจตนาตอลูกหนี้วาจะปลดหนี้ให

ทานวา หนี้นั้นก็เปนอันระงับสิ้นไป
ว.2 ถาหนี้มีหนังสือเปนหลักฐานการปลดหนี้ก็…

ตองทำเปนหนังสือดวย หรือ
ตองเวนคืนเอกสารอันเปนหลักฐานแหงหนี้ใหแกลูกหนี้
หรือ ขีดฆาเอกสารนั้นเสีย

6.3 หักกลบลบหนี้

ป.พ.พ. มาตรา 341 วางหลักและแยกองคประกอบไดวา
ถาบุคคลสองคนตางมีความผูกพันซึ่งกันและกัน
โดยมูลหนี้อันมีวัตถุเปนอยางเดียวกัน และ
หนี้ทั้งสองรายนั้นถึงกำหนดจะชำระ ไซร
ทานวา ลูกหนี้ฝายใดฝายหนึ่งยอมจะหลุดพนจากหนี้
ของตนดวยหักกลบลบกันไดเพียงเทาจำนวนที่ตรงกัน
ในมูลหนี้ทั้งสองฝายนั้น

28 เวนแต สภาพแหงหนี้ฝายหนึ่งจะไมเปดชองใหหักกลบลบกันได

ซึ่งเหตุที่ทำใหมูลหนี้เงินกูยืมระงับ มีดังนี้

6.4 แปลงหนี้ใหม

ป.พ.พ. มาตรา 349 วางหลักและแยกองคประกอบไดวา
ว.1 เมื่อคูกรณีที่เกี่ยวของไดทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเปน

สาระสำคัญแหงหนี้ ไซร
ทานวา หนี้นั้นเปนอันระงับสิ้นไปดวยแปลงหนี้ใหม
ว.2 ถาทำหนี้มีเงื่อนไขใหกลายเปนหนี้ปราศจากเงื่อนไขก็ดี
เพิ่มเติมเงื่อนไขเขาในหนี้อันปราศจากเงื่อนไขก็ดี เปลี่ยน
เงื่อนไขก็ดี
ทานถือวา เปนอันเปลี่ยนสิ่งซึ่งเปนสาระสำคัญแหงหนี้นั้น

6.5 หนี้เกลื่อนกลืนกัน

ป.พ.พ. มาตรา 353 วางหลักและแยกองคประกอบไดวา
ถาสิทธิและความรับผิดในหนี้รายใดตกอยูแกบุคคลคนเดียวกัน
ทานวา หนี้รายนั้นเปนอันระงับสิ้นไป
เวนแต…
เมื่อหนี้นั้นตกไปอยูในบังคับแหงสิทธิของบุคคลภายนอก หรือ
เมื่อสลักหลังตั๋วเงินกลับคืนตามความในมาตรา 917 วรรค 3

29

ซึ่งเหตุที่ทำใหมูลหนี้เงินกูยืมระงับ มีดังนี้

6.6 ประนีประนอมยอมความ

ป.พ.พ. มาตรา 850 วางหลักและแยกองคประกอบไดวา
อันวาประนีประนอมยอมความนั้น คือ…
สัญญาซึ่งผูเปนคูสัญญาทั้งสองฝายระงับขอพิพาทอันใด
อันหนึ่งซึ่งมีอยู หรือ จะมีขึ้นนั้นใหเสร็จไปดวย
ตางยอมผอนผันใหแกกัน

ป.พ.พ. มาตรา 851 วางหลักและแยกองคประกอบไดวา
อันสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น
ถามิไดมีหลักฐานเปนหนังสืออยางใดอยางหนึ่ง
ลงลายมือชื่อฝายที่ตองรับผิด หรือ
ลายมือชื่อตัวแทนของฝายนั้นเปนสำคัญ
ทานวา จะฟองรองใหบังคับคดีหาไดไม

ป.พ.พ. มาตรา 852 วางหลักและแยกองคประกอบไดวา
ผลของสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น
ยอมทำใหการเรียกรองซึ่งแตละฝายไดยอมสละนั้นระงับ
สิ้นไป และ
ทำใหแตละฝายไดสิทธิตามที่แสดงในสัญญานั้นวาเปน
ของตน

30

7 เจาหนี้ไมมีสิทธิเรียกรอง

โดยหลักแลว “ผูที่จะมีสิทธิเรียกรองหรือฟองคดีตองเปนเจาหนี้ ”
โดยเฉพาะสัญญากูยืมเงิน สัญญาค้ำประกันหรือสัญญาจำนอง
ตองเปนผูใหกูหรือผูรับจำนอง บุคคลอื่นจะมาฟองคดีมิได
เวนแต ผูนั้นเปนผูรับโอนสิทธิเรียกรองจากเจาหนี้ โดยปฏิบัติ
ตามมาตรา 306

ป.พ.พ. มาตรา 306 วางหลักและแยกองคประกอบไดวา
การโอนหนี้ อันจะพึงตองชำระแกเจาหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจงนั้น
ถาไมทำเปนหนังสือ ทานวาไมสมบูรณ
อนึ่ง การโอนหนี้นั้น ทานวา จะยกขึ้นเปนขอตอสูลูกหนี้หรือบุคคล
ภายนอกไดแตเมื่อไดบอกกลาวการโอนไปยังลูกหนี้หรือลูกหนี้จะได
ยินยอมดวยในการโอนนั้น
คำบอกกลาวหรือความยินยอมเชนวานี้ ทานวา ตองทำเปนหนังสือ

ป.พ.พ. มาตรา 308 วางหลักและแยกองคประกอบไดวา

ว.1 ถาลูกหนี้ไดใหความยินยอมดังกลาวมาในมาตรา ๓๐๖ โดยมิได

อิดเอื้อน

ทานวา จะยกขอตอสูที่มีตอผูโอนขึ้นตอสูผูรับโอนนั้นหาไดไม

แตถาเพื่อจะระงับหนี้นั้นลูกหนี้ไดใชเงินใหแกผูโอนไปไซร

ลูกหนี้จะเรียกคืนเงินนั้นก็ได หรือ

ถาเพื่อการเชนกลาวมานั้น ลูกหนี้รับภาระเปนหนี้อยางใด

อยางหนึ่งขึ้นใหมตอผูโอน จะถือเสมือนหนึ่งวาหนี้นั้นมิได

กอขึ้นเลยก็ได 31

ว.2 ถาลูกหนี้เปนแตไดรับคำบอกกลาวการโอน
ทานวา ลูกหนี้มีขอตอสูผูโอนกอนเวลาที่ไดรับคำบอกกลาว
นั้นฉันใด ก็จะยกขึ้นเปนขอตอสูแกผูรับโอนไดฉันนั้น
ถาลูกหนี้มีสิทธิเรียกรองจากผูโอน แตสิทธินั้นยังไมถึงกำหนด
ในเวลาบอกกลาวไซร
ทานวา จะเอาสิทธิเรียกรองนั้นมาหักกลบลบกันก็ได หากวา
สิทธินั้นจะไดถึงกำหนดไมชากวาเวลาถึงกำหนดแหงสิทธิ
เรียกรองอันไดโอนไปนั้น

ดังนั้น หากเจาหนี้ผูที่มาฟองเรานั้น มิไดเปนผูรับโอน
สิทธิเรียกรอง หรือเปนผูรับโอนสิทธิเรียกรอง แตยังมิไดมี
หนังสือบอกกลาวการโอนสิทธิเรียกรองมายังลูกหนี้อยางเรา

เชนนี้ ตองถือวาผูที่มาฟองเรานั้น “ ไมมีอำนาจฟอง ”

ซึ่งปญหาวา “โจทกมีอำนาจฟองคดีหรือไม ”
เปนปญหาเกี่ยวดวยความสงบเรียบรอยของประชาชน

แมจำเลยมิไดใหการตอสูไวในคำใหการ
ศาลก็สามารถหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142(5)

32

8 หนี้เดิมไมสมบูรณ

มูลหนี้กูยืมเงิน ถือเปนสัญญายืมใชสิ้นเปลืองอยางหนึ่ง
เพราะผูใหยืมตองโอนกรรมสิทธิ์ในเงินใหแกผูยืม แตผูยืม

มีหนาที่ตองคืนเงินตามจำนวนที่ยืมไปใหครบถวน
ตามมาตรา 650

ป.พ.พ. มาตรา 650 วางหลักและแยกองคประกอบไดวา
ว.1 อันวา ยืมใชสิ้นเปลืองนั้น คือ

สัญญาซึ่งผูใหยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพยสินชนิดใชไป
สิ้นไปนั้นเปนปริมาณมีกำหนดใหไปแกผูยืม และ
ผูยืมตกลงวาจะคืนทรัพยสินเปนประเภท ชนิด และ
ปริมาณเชนเดียวกันใหแทนทรัพยสินซึ่งใหยืมนั้น
ว.2 สัญญานี้ยอมบริบูรณตอเมื่อ มีการสงมอบทรัพยสิน
ที่ยืม

หากมูลหนี้เดิมหรือมูลหนี้ประธานไมสมบูรณ

เชน คดีนี้ ผูใหกูยืมสงมอบเงินกันจริง ๆ เพียง 50,000 บาท โดย
ทำเอกสารสัญญากูยืมวา “ยืมเงิน 80,000 บาท” เชนนี้ ตองถือวา
มูลหนี้เดิมหรือมูลหนี้ประธานสมบูรณเพียง 50,000 บาท เทานั้น

ดังนั้น ผูค้ำประกันและผูจำนองก็ยอยหลุดพนความรับผิดในจำนวนเงิน

30,000 บาท และตองรับผิดในมูลหนี้ 50,000 บาท ตามจริงเทานั้น

โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 681 และมาตรา 707 33

ป.พ.พ. มาตรา 681 วางหลักและแยกองคประกอบไดวา
ว.1 อันค้ำประกันนั้นจะมีไดแตเฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ
ว.2 หนี้ในอนาคตหรือหนี้มีเงื่อนไขจะประกันไวเพื่อเหตุการณ
ซึ่งหนี้นั้นอาจเปนผลไดจริงก็ประกันได

แตตองระบุ…
(1) วัตถุประสงคในการกอหนี้รายที่ค้ำประกัน
(2) ลักษณะของมูลหนี้
(3) จำนวนเงินสูงสุดที่ค้ำประกัน และ
(4) ระยะเวลาในการกอหนี้ที่จะค้ำประกัน เวนแตเปนการค้ำประกัน
เพื่อกิจการเนื่องกันไปหลายคราวตามมาตรา 699 จะไมระบุ
ระยะเวลาดังกลาวก็ได
ว.3 สัญญาค้ำประกันตองระบุหนี้ หรือสัญญาที่ค้ำประกันไวโดยชัดแจง
และผูค้ำประกันยอมรับผิดเฉพาะหนี้หรือสัญญาที่ระบุไวเทานั้น
ว.4 หนี้อันเกิดแตสัญญาซึ่งไมผูกพันลูกหนี้เพราะ…
(1) ทำดวยความสำคัญผิด หรือ
(2) เปนผูไรความสามารถนั้น
ก็อาจจะมีประกันอยางสมบูรณได
ถาหากวาผูค้ำประกันรูเหตุสำคัญผิดหรือไรความสามารถนั้น
ในขณะที่เขาทำสัญญาผูกพันตน

ป.พ.พ. มาตรา 707 วางหลักและแยกองคประกอบไดวา
บทบัญญัติ มาตรา ๖๘๑ วาดวยค้ำประกันนั้น
ทานใหใชไดในการจำนองอนุโลมตามควร

34

9 การค้ำประกันและจำนองเปนโมฆะ

ในระยะหลังที่ผานมานี้ เรื่องค้ำประกันและจำนอง ไดมีการ
แกไขปรับปรุงใหม เพื่อความเปนธรรมแกผูค้ำประกันและ

ผูจำนอง เพื่อปองกันมิใหเจาหนี้เอาเปรียบ เชน

ป.พ.พ. มาตรา 681/1 วางหลักและแยกองคประกอบไดวา
ว.1 ขอตกลงใดที่กำหนดใหผูค้ำประกัน

ตองรับผิดอยางเดียวกับลูกหนี้รวม หรือในฐานะเปนลูกหนี้รวม
ขอตกลงนั้นเปนโมฆะ
ว.2 ความในวรรคหนึ่ง มิใหใชบังคับแกกรณี…

ผูค้ำประกันซึ่งเปนนิติบุคคล และยินยอมเขาผูกพันตน

เพื่อรับผิดอยางลูกหนี้รวมหรือในฐานะเปนลูกหนี้รวม ในกรณีเชนนั้น

ผูค้ำประกันซึ่งเปนนิติบุคคลนั้นยอมไมมี

สิทธิดังที่บัญญัติไวในมาตรา ๖๘๘ มาตรา ๖๘๙ และมาตรา ๖๙๐

ป.พ.พ. มาตรา 685/1 วางหลักและแยกองคประกอบไดวา

บรรดาขอตกลงเกี่ยวกับการค้ำประกันที่แตกตางไปจาก…

มาตรา 681 วรรคหนึ่ง (มีขอตกลงวาใหผูค้ำประกันรับผิด แมหนี้ไมสมบูรณก็ตาม)

มาตรา 681 วรรคสอง (มีขอตกลงวา การค้ำประกันไมตองระบุวัตถุประสงคลักษณะ

จำนวนเงินสูงสุดและระยะเวลาค้ำประกัน)

มาตรา 681 วรรคสาม (มีขอตกลงวา ใหผูค้ำประกันตองรับผิด แมหนี้นั้นไมไดระบุไว

ก็ตาม)

มาตรา 686 (มีขอตกลงวา เจาหนี้ไมตองบอกกลาวแกผูค้ำประกันกอนฟอง หรือมี

ขอตกลงวา ผูค้ำประกันตองรับผิดในดอกเบี้ยทั้งปวง แมเจาหนี้จะบอกกลาวไมทัน

ภายใน 60 วัน นับแตลูกหนี้ผิดนัดก็ตาม)

มาตรา 694 (มีขอตกลงวา หามผูค้ำประกันยกขอตอสูของลูกหนี้ ขึ้นตอสูกับเจาหนี้)

มาตรา 698 (มีขอตกลงวา แมหนี้ระงับแลวผูค้ำประกันก็ตองรับผิดตอไป) และ

มาตรา 699 (มีขอตกลงวา หามผูค้ำประกันยกเลิกการค้ำประกันหนี้ในอนาคต)

เปนโมฆะ 35

ป.พ.พ. มาตรา 714/1 วางหลักและแยกองคประกอบไดวา
บรรดาขอตกลงเกี่ยวกับการจำนองที่แตกตางไปจาก
มาตรา ๗๒๘ (มีขอตกลงวา ใหผูรับจำนองฟองคดีไดโดยไมตองบอกกลาว
บังคับจำนองกอน หรือ มีขอตกลงวา ผูจำนองตองรับผิดในดอกเบี้ยทั้งปวง
แมผูรับจำนองจะบอกกลาวไมทัน ภายใน 15 วัน นับแตสงหนังสือแจงให
ลูกหนี้ทราบก็ตาม)
มาตรา ๗๒๙ (มีขอตกลงวา ผูจำนองยินดีใหทรัพยที่จำนองหลุดเปนสิทธิ
ของผูรับจำนองได แมไมเขาเงื่อนไข ม.729(1),(2) ก็ตาม)
มาตรา ๗๓๕ (มีขอตกลงวา ใหผูรับจำนองฟองคดีไดโดยไมตองบอกกลาว
บังคับจำนองแกผูรับโอนทรัพยจำนองกอน)
เปนโมฆะ

ป.พ.พ. มาตรา 727/1 วางหลักและแยกองคประกอบไดวา
ว.1 ไมวากรณีจะเปนประการใด

ผูจำนองซึ่งจำนองทรัพยสินของตนไวเพื่อประกันหนี้อันบุคคลอื่นจะตองชำระ
ไมตองรับผิดในหนี้นั้นเกินราคาทรัพยสินที่จำนองในเวลาที่บังคับจำนอง
หรือเอาทรัพยจำนองหลุด
ว.2 ขอตกลงใดอันมีผลใหผูจำนองรับผิดเกินที่บัญญัติไวในวรรคหนึ่ง หรือให
ผูจำนองรับผิดอยางผูค้ำประกัน ขอตกลงนั้นเปนโมฆะ
ไมวาขอตกลงนั้นจะมีอยูในสัญญาจำนองหรือทำเปนขอตกลงตางหาก ทั้งนี้
เวนแต เปนกรณีที่นิติบุคคลเปน…

(1) ลูกหนี้ และ
(2) บุคคลผูมีอำนาจในการจัดการตามกฎหมายหรือบุคคลที่มี

อำนาจควบคุมการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้นเปนผูจำนอง
ทรัพยสินของตนไวเพื่อประกันหนี้นั้นของนิติบุคคล และ
(3)ผูจำนองไดทำสัญญาค้ำประกันไวเปนสัญญาตางหาก

“เมื่อการค้ำประกันและการจำนองเปนโมฆะ ผูค้ำประกันและผูจำนอง

ก็ไมตองรับผิด ซึ่งเปนเหตุเฉพาะตัวของผูค้ำประกันและผูจำนองเทานั้น
สวนลูกหนี้ชั้นตนหรือผูกูยังอาจตองรับผิดอยูหากมูลหนี้นั้นยังสมบูรณ ”

36

ทั้งหมดที่ไดถายทอดออกมานั้น เปนการนำกฎหมายมาใชในการแกปญหาใน
ที่เกิดขึ้นจริงในทางปฏิบัติ ขอตอสูทั้งหมดลวนมาจากชองทางในกฎหมายทั้งสิ้น
และในการตอสูคดีตาง ๆ ยังตองอาศัยขอกฎหมายและประสบการณทางวิชาชีพ
ทเ่ี ราจะตอ งสง่ั สมกนั ตอ ไป ทง้ั น้ี กระผมของเปน สว นหนง่ึ ในกำลงั ใจใหก บั พ่ี ๆ นอ ง ๆ

“เสนทางนี้ไมงาย และ ก็ไมยาก แคใจเรามุงมั่น”
ตอวิชาชีพของเรา และ อาศัยความรูทางกฎหมาย ประกอบวิชาการตลาด
ที่ปจจุบันปฏิเสธไมไดวานักกฎหมายของเราตองมีไปควบคูกับความรูที่เรามี
สุดทายนี้ หากนักกฎหมายหรือทนายความรุนใหมที่ยังไมกลาเริ่มตนในสาย
วิชาชีพนี้ ผมยินดีที่จะถายทอดความรูและประสบการณที่ผมมีใหกับทุกทาน
ทำใหวิชาชีพทนายความเปนวิชาชีพที่มีแตความสนุก ทาทาย กันนะครับ

“มีคดีอยูในมอื แตไมก ลาทจี่ ะไปตอ ” เพราะไมร ูจะเริ่มท่ีตรงไหน
มารวมทีมวางแผนคดกี นั ครบั ทีมงานของเรายินดตี อนรับและพรอ ม

ท่ีจะแชรป ระสบการณใหกบั ทกุ ทา น

ทนายกฤษณ - สำนักงานกฎหมาย
Design Laws

เบอรโทร - 082 018 2681

ทนายกฤษณ ฤทธธิ รรม


Click to View FlipBook Version