The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by รพินทร์ ไพรวัลย์, 2020-07-18 09:00:57

ppt ไทย ม1

ppt ไทย ม1

การเลา่ เรือ่ งจากการฟังและการดูสื่อ

จุดมุ่งหมายของการเลา่ เร่ือง

• เพอ่ื ควำมเพลิดเพลิน เชน่ กำรเล่ำนทิ ำน เลำ่ เรื่องขำขนั เป็นตน้
• เพ่อื ให้ควำมรู้และอธิบำยหลกั เกณฑ์หรือขอ้ เสนอแนะต่ำงๆ
• เพือ่ กำรสัง่ สอน อบรม ขอรอ้ ง ขอควำมเห็นใจ
• เพื่อกำรเชิญชวนหรอื ชกั ชวนในเชงิ กำรประชำสัมพันธ์
• เพื่อปลุกใจ ชกั จงู ใจ
• เพ่ือให้ผฟู้ งั หรือผอู้ ่ำนเกิดจินตนำกำร
• เพื่อแสดงควำมคดิ เหน็ และเสียดสสี งั คม

วธิ กี ารพูดเล่าเรอ่ื ง

คณุ สมบตั ิของผ้เู ล่าเรื่องที่ดี ขน้ั ตอนการพูดเลา่ เร่ือง
ผู้เล่ำเร่ืองทดี่ ีควรมีคุณสมบตั ิ ดงั น้ี • กำรเลือกเรือ่ ง
• มบี คุ ลกิ ภำพดี • กำรใช้น้ำเสยี ง
• มีควำมจำดี รอบรเู้ กี่ยวกับเรือ่ งทเี่ ล่ำ • กำรใช้สีหนำ้ ท่ำทำง
• น้ำเสยี งชดั เจน ออกเสยี งได้ถกู ตอ้ งตำมอักขรวิธี • กำรสร้ำงอำรมณ์
• มอี ำรมณ์ดีและรกั ษำอำรมณใ์ ห้ปกตมิ ัน่ คงได้ • กำรใช้อปุ กรณ์
• มีมำรยำทดี รูจ้ กั กำลเทศะ • กำรวเิ ครำะห์ผู้ฟัง
• มีไหวพริบ ปฏิภำณ สำมำรถแก้ปญั หำเฉพำะหน้ำได้
• มคี วำมเชื่อม่นั ในตนเอง แสดงอำกัปกิริยำประกอบกำรเลำ่ ได้อย่ำงเหมำะสม
• ใชจ้ ิตวทิ ยำในกำรเข้ำถึงผ้ฟู ังกล่มุ ตำ่ งๆ และสำมำรถประเมนิ ผฟู้ ังได้

ประโยชน์ของการเล่าเร่ือง

ประโยชน์ของการเลา่ เร่ือง

• ช่วยใหผ้ ฟู้ งั มีควำมรู้ ประสบกำรณ์ทไี่ ดท้ รำบรำยละเอยี ดเกี่ยวกบั เร่อื งที่นำ่ รู้
• สรำ้ งควำมบันเทงิ ผ่อนคลำยควำมเครียดแก่ผู้ฟงั
• สร้ำงจนิ ตนำกำรใหก้ ับผฟู้ ัง
• สรำ้ งแนวควำมคดิ ใหม่ ผฟู้ งั สำมำรถนำควำมคดิ มำผสมผสำนกนั เกิดเปน็ กำรสร้ำงพฤติกรรมที่ดี
• ชว่ ยสร้ำงสรรคบ์ ุคคลและสงั คม สะท้อนควำมสำคัญ ของบคุ คลหรอื สงั คมมนษุ ย์
• กำรเลำ่ เร่อื งช่วยพฒั นำตวั ผเู้ ล่ำ ใหม้ บี ุคลกิ ดี มีควำมมั่นใจในตนเอง

การพดู เชงิ วชิ าการ

การประชุม การสมั มนา การอภปิ ราย

คือ กำรท่ีบคุ คลหลำยฝ่ำยไดพ้ บปะกันด้วย คอื กำรประชุมปรึกษำหำรอื กนั ใน มกั ใชใ้ นเร่ืองกำรแสดงควำมคดิ เหน็ เชน่
วตั ถุประสงคอ์ ยำ่ งใดอย่ำงหน่งึ หรือหลำย เร่อื งใดเรอื่ งหนงึ่ เพียงเรื่องเดียวในวง เพอ่ื แลกเปลี่ยนควำมรู้
อย่ำง เพ่ือพจิ ำรณำ ปรึกษำ ขอคำแนะนำ เพอ่ื แกไ้ ขปญั หำสงั คม
กวำ้ ง กำรสมั มนำประกอบด้วย
ขอควำมคดิ เหน็ เพอ่ื ดำเนินงำน วทิ ยำกร ผ้เู ข้ำร่วมกำรสัมมนำ
หรอื ประสำนงำน

การพูดรายงาน นยิ มใชใ้ นหอ้ งเรียน โดยผ้รู ำยงำนมีเอกสำรรวมเลม่ ส่งครูผู้สอน

และอำจมีเอกสำรย่อยแจกผู้ฟงั ด้วย กำรพดู รำยงำนมกั จะพูดตอนที่สำคัญๆ

กำรพูดเพอ่ื เสนอรำยงำน ควรยึดหลกั ดงั นี้

• พดู ข้อมูลท่คี น้ คว้ำมำจำกกำรทำรำยงำนไปตำมลำดบั ให้ต่อเนื่องกัน แต่ละข้อให้สัมพันธก์ ัน
• ใชภ้ ำษำพูดท่ีกระชบั เข้ำใจงำ่ ย สุภำพ พูดด้วยเสียงท่ดี ังพอสมควร
• เสนอขอ้ มูลตรงประเด็นและยกหลกั ฐำน
• ไม่ใชภ้ ำษำต่ำงประเทศ ถ้ำมคี ำภำษำไทยใชอ้ ย่แู ลว้ และเป็นที่รู้จัก
• พดู คำควบกล้ำและเว้นวรรคตอนใหถ้ ูกตอ้ งชัดเจน

การพดู เชิงสรา้ งสรรค์

การพูดแสดงความคดิ เห็น • ควำมคดิ เหน็ เฉพำะตัว
• กำรแสดงควำมรสู้ ึก
การพดู ให้กาลังใจ • กำรคำดคะเนไมแ่ นน่ อน
การพูดติชม • แสดงกำรเปรยี บเทียบ
• แสดงกำรแนะนำหรอื เสนอแนะ
มารยาทการพูด
เปน็ กำรพูดท่ีมีพลัง ใหค้ ตเิ ตือนใจ สอนใจทค่ี วรนำมำเป็นแงค่ ิดใน
กำรสร้ำงสรรคใ์ หช้ ีวติ ดีขน้ึ

กำรพดู ตเิ พื่อกอ่ และชมให้กำลังใจ ควรพดู ชมกอ่ นติโดยให้เหตผุ ล
ประกอบและเสนอแนะ

• กำรพูดระหวำ่ งบคุ คล
• กำรพูดในที่สำธำรณะ

ภาษาไทย หลกั ภาษาและการใชภ้ าษา

ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๑

กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย

ตอนท่ี ๑ ตอนท่ี ๒ ตอนที่ ๓ ตอนท่ี ๔

๑_หลกั สูตรวิชาภาษาไทย
๒_แผนการจัดการเรยี นรู้
๓_PowerPoint_ประกอบการสอน
๔_ใบงาน_เฉลย
๕_ขอ้ สอบประจาหนว่ ย_เฉลย
๖_ขอ้ สอบ_เฉลย
๗_การวดั และประเมนิ ผล
๘_เสรมิ สาระ
๙_สอ่ื เสริมการเรียนรู้

บรษิ ทั อกั ษรเจรญิ ทัศน์ อจท. จำกดั : 142 ถนนตะนำว เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200
Aksorn CharoenTat ACT.Co.,Ltd : 142 Tanao Rd. Pranakorn Bangkok 10200 Thailand
โทรศพั ท์ : 02 622 2999 โทรสำร : 02 622 1311-8 [email protected] / www.aksorn.com

๔ตอนท่ี หลกั การใชภ้ าษา ๑หนว่ ยการเรยี นรู้ที่

เสียงในภาษาไทย

และการสรา้ งคา

จดุ ประสงค์การเรียนรู้

๑. สำมำรถอธิบำยลักษณะของเสยี งในภำษำไทยได้
๒. สำมำรถสรำ้ งคำในภำษำไทยได้

การพดู จับใจความสาคัญจากการฟังและดูสื่อ

เสยี งในภาษา หมำยถึง เสียงของมนษุ ยท์ ่ีเปลง่ ออกมำเพ่ือใช้ในกำรสอื่ สำร
เสียงในภำษำไทย ประกอบด้วย
• เสยี งสระ
• เสยี งพยัญชนะ
• เสยี งวรรณยุกต์

กลอ่ งเสียง เสน้ เสียง โพรงจมกู
รมิ ฝีปำก ฟัน ลนิ้

หลอดลม

ปอด

ภำพแสดงอวยั วะต่ำงๆ ทใ่ี ชใ้ นกำรออกเสยี ง

ลักษณะของเสยี งในภาษาไทย

เสียงในภาษาไทย มี ๓ ชนดิ คอื เสียงสระ เสยี งพยัญชนะ และเสยี งวรรณยกุ ต์

เสียงสระ

เสยี งสระ สระเดี่ยว - อะ อำ อิ อี อึ อือ อุ อู เอะ เอ แอะ แอ โอะ โอ เอำะ ออ เออะ เออ
สระประสม - เอยี เอือ อวั

เสยี งพยัญชนะ
เสียงพยญั ชนะ พยญั ชนะตน้ - เดี่ยว ควบกล้ำ อักษรนำ

พยัญชนะทา้ ย - กง กน กม เกย เกอว กก กด กบ

เสยี งวรรณยกุ ต์

เสียงวรรณยุกต์ สำมัญ เอก โท ตรี จัตวำ

เสยี งในภาษาไทยและรปู ตวั อักษรแทนเสยี ง

เสียงและรปู สระ

• ตาแหนง่ ที่เกิดเสียงสระในภาษาไทย
• ลักษณะการออกเสียงสระ
• การใช้รูปสระแทนเสียงสระ

เสียงและรปู พยญั ชนะ

• ตาแหน่งทีเ่ กิดของเสียงพยัญชนะ

• ลกั ษณะและประเภทของเสยี งพยัญชนะ

• การใช้อกั ษรแทนเสียงพยญั ชนะ พยญั ชนะต้นเสยี ง
• การใช้พยญั ชนะ พยัญชนะท้ำยเสียง

เสียงและรูปวรรณยกุ ต์

• หลกั การผนั เสียงวรรณยกุ ต์

วรรณยุกต์เปน็ เคร่ืองหมำยแสดงระดบั เสียงสูงตำ่ ในภำษำ คำที่มีรปู พยญั ชนะและสระเหมอื นกนั ถ้ำ
เสียงวรรณยุกตต์ ่ำงกนั จะทำใหค้ ำมีควำมหมำยต่ำงกนั เช่น

นำ นำ่ นำ้ ปำ ป่ำ ปำ้ ป๊ำ ป๋ำ ไข ไข่ ไข้ เรอื เร่ือ เรอื้

• ลกั ษณะและประเภทของเสียงวรรณยุกต์

ไตรยำงศ์ คือ กำรจัดพยญั ชนะไทยท้ัง ๔๔ รปู แบ่งเป็นสำมหม่เู พอ่ื ให้สะดวกในกำรผันอักษร ดังนี้

ไตรยางศ์

อกั ษรสงู อักษรกลาง อักษรตา่
ขฃฉฐถผฝศษสห กจฎฏดตบปอ
คฅฆชซฌฑฒทธพภ
ฟฮงญณนมยรลวฬ

คาเป็น

คอื คำท่ีประสมกบั สระเสยี งยำวในแม่ ก กำ เช่น พี่ ป้ำ ไป เรอื และคำที่สะกดในแม่กง กน กม เกย เกอว
เช่น ลุง กนิ นม เลย หวิ รวมทั้งคำทป่ี ระสมดว้ ยเสียงอำ ไอ ใอ เอำ เชน่ นำ้ ไม่ ใจ เมำ
คาตาย

คือ คำที่ประสมดว้ ยสระเสียงส้นั ในแม่ ก กำ เช่น มะระ เกะกะ เอะอะเลอะเทอะ และคำที่สะกดในแม่กก กด
กบ เชน่ นก มด จับ

การออกเสยี งภาษาไทย

• ออกเสียงพยัญชนะ และถอ้ ยคำให้คล่องถูกตอ้ ง ชัดเจน ตำมหลักกำรออกเสียง
ภำษำไทยไม่ออกเสียงช้ำหรอื เร็วเกินไป เชน่
มกรำคม ออกเสยี งวำ่ มะ-กะ-รำ-คม
สัปดำห์ ออกเสียงวำ่ สับ-ดำ หรือ สบั -ปะ-ดำ

• ออกเสยี งควบกลำ้ ใหช้ ดั เจน เป็นธรรมชำติ ไมด่ ัดเสียงหรอื เนน้ เสยี งเกินไป

• ระมัดระวังไมอ่ อกเสยี งเลยี นแบบภำษำต่ำงประเทศ

• ไม่ออกเสยี งตดั คำ ย่อคำ หรอื รวบคำ เชน่ หย่งั เน้ียะ หยั่งง้ี
อยา่ งน้ี ไมอ่ อกเสียงเปน็

• เม่ือพูดอยำ่ งเปน็ ทำงกำรตอ้ งใช้ภำษำไทยกลำงและต้องออกเสียงให้ชดั เจน
• ไม่พูดภำษำไทยปนกับภำษำต่ำงประเทศ
• ระมัดระวังกำรออกเสยี งวรรณยกุ ต์ใหถ้ กู ต้องไม่ออกเสยี งเพี้ยน
• อำ่ นเวน้ วรรคตอนให้ถกู ต้อง

พลงั ของภาษา

• พลงั ของภาษา หมำยถึง อำนำจของภำษำ
สว่ นภำษำ หมำยถึง เสยี งพดู ของมนุษย์ (วจั นภำษำ) และกิรยิ ำทำ่ ทำง (อวัจนภำษำ)

รวมทัง้ สัญลักษณ์ เช่น ตัวอักษรที่ใชแ้ ทนเสียง ภำษำมหี นำ้ ที่ในกำรส่อื สำรทำควำมเข้ำใจ

ภำษำ ภำษำ ภำษำ
สร้ำงขวัญกำลังใจ ชว่ ยปลอบประโลมใจ ชว่ ยสร้ำงสมั พนั ธไมตรี

ภำษำ เมื่อยำมเจ็บปวด ภำษำ
ชว่ ยสรำ้ งควำมฮึกเหมิ สิ้นหวัง ท้อถอย ใหค้ ติสอนใจ ใหค้ วำม
รน่ื รมย์ จรรโลงใจ
ภำษำ
เพ่ือโน้มนำ้ วใจ
ให้เชอื่ ถือ คลอ้ ยตำม

• พลังของภาษาเชิงลบ เปน็ พลังในทำงทำลำย

การสรา้ งคา คามลู

เปน็ คำดั้งเดิมท่ีมีใช้ในภำษำไทย มคี วำมหมำยสมบูรณ์ชดั เจนในตวั เอง อำจเปน็ คำไทยแท้ หรือเปน็ คำยืมจำก
ภำษำตำ่ งประเทศก็ได้ คำมูลแบง่ ออกเป็น ๒ ชนิด ดังนี้

คามลู พยางคเ์ ดียว

เป็นคำพยำงคเ์ ดยี วทีม่ ีควำมหมำย จดั เป็นคำไทยแทแ้ ละคำยืมจำกภำษำตำ่ งประเทศ

คามลู หลายพยางค์

คำท่ีมสี องพยำงค์ขึน้ ไป มีควำมหมำยในตวั ไม่สำมำรถแยกพยำงคใ์ นคำออกได้ เพรำะจะทำให้ไมไ่ ดค้ วำมหมำย
คำมูลหลำยพยำงคอ์ ำจเปน็ คำไทยแท้ หรอื เป็นคำยมื จำกภำษำต่ำงประเทศกไ็ ด้

คาประสม

คาประสม เปน็ คำทสี่ ร้ำงขน้ึ ใหมโ่ ดยกำรนำคำมลู ตงั้ แตส่ องคำขึ้นไปมำรวมกนั เกิดเปน็ คำใหม่ควำมหมำยใหมข่ ึ้น

คาประสมที่เกิดความหมายใหม่แต่ยงั มีเคา้ ความหมายเดิม เช่น

เตำ + รีด = เตำรดี หมำยถึง เตำทใี่ ชร้ ีดเสอ้ื ผำ้

คาประสมทเ่ี กิดความหมายใหมเ่ ปลย่ี นแปลงไปจากเดมิ เชน่

รำด + หนำ้ = รำดหน้ำ หมำยถึง อำหำรประเภทกว๋ ยเต๋ยี วมนี ้ำปรงุ ขน้

คาประสมท่ีเกิดจากการยอ่ คาใหก้ ะทดั รดั มกั ขนึ้ ต้นดว้ ยคำวำ่ การ ความ ของ

เคร่อื ง ชาว นกั ผู้ ชา่ ง เชน่ กำรค้ำ ควำมคิด ของหวำน เครื่องเรอื น ชำวนำ นักเรียน ผูข้ ำย ช่ำงภำพ เปน็ ตน้

ข้อสังเกต

• ถ้ำนำคำมลู สองคำมำรวมกนั แลว้ ไม่เกดิ ควำมหมำยใหม่ ไม่จดั เปน็ คำประสม เช่น

ลกู + ไก่ = ลกู ไก่ หมำยถึง ลูกของไก่ (เป็นกลุ่มคำ)

ดำว + ลูก + ไก่ = ดำวลกู ไก่ หมำยถึง ช่ือดำว (เปน็ คำประสม)

• คำภำษำบำลีประสมกับคำสนั สกฤตไม่ถือเปน็ คำประสม แต่เปน็ คำสมำส เชน่

คุณ + ธรรม = คุณธรรม อ่ำนวำ่ คุน-นะ-ทำ

มธั ยม + ศกึ ษำ = มัธยมศกึ ษำ อ่ำนว่ำ มัด-ทะ-ยม-มะ-สึก-สำ

คาซอ้ น คาซ้า

คาซ้อนเพอื่ ความหมาย คาซ้า เป็นกำรสรำ้ งคำเพ่อื ใหเ้ กดิ ควำมหมำยใหม่

• ควำมหมำยเหมอื นกนั เชน่ เส่อื สำด เหำะเหิน พดู จำ วธิ ีหน่ึงโดยกำรนำคำเดิมมำกล่ำวซ้ำ มี ๒ วิธี ดงั น้ี
• ควำมหมำยใกลเ้ คียงกัน เชน่ คัดเลือก แนะนำ เกรง
คาซา้ ทใ่ี ชไ้ ม้ยมก (ๆ) กากับ เชน่
กลัว
• ควำมหมำยตรงกนั ข้ามกัน เชน่ ผดิ ชอบ ชว่ั ดี ไดเ้ สีย • เดก็ ๆ ไปไหน
(เด็กๆ หมำยถึง เด็กหลำยคน)
คาซ้อนเพอ่ื เสยี ง
• ของอร่อยๆ ทงั้ น้ัน
• ซอ้ นเสียงพยัญชนะตน้ เช่น เร่อรำ่ ทอ้ แท้ จริงจงั ตมู ตำม ซบุ ซบิ (อรอ่ ยๆ หมำยถึง ของอรอ่ ยทุกอยำ่ ง ไม่เน้น
• ซอ้ นเสยี งสระ เชน่ รำบคำบ จมิ้ ล้มิ แร้นแคน้ เบอ้ เรอ่ อ้ำงวำ้ ง ว่ำอร่อยเพยี งใด)
• ซอ้ นเสียงพยัญชนะต้นและสระ เชน่ ออดอ้อน อดั อ้นั รวบรวม
คาซ้าทีเ่ ลน่ เสียงวรรณยกุ ต์ โดยเปล่ียนเสยี ง
วรรณยุกตแ์ รกใหส้ งู ข้ึน เชน่

• น้องคนทห่ี มำยเลขสำม ซว้ ยสวย
(ซว้ ยสวย หมำยถึง สวยมำกๆ)

คาพอ้ ง

คาพอ้ งเสียง คาพอ้ งรปู

หมำยถึง คำทีอ่ ่ำนออกเสียงเหมือนกนั หมำยถงึ คำท่เี ขยี นเหมือนกัน
แต่สะกดตำ่ งกัน มีควำมหมำยต่ำงกัน แต่อำ่ นต่ำงกันและควำมหมำยตำ่ งกนั

คาพอ้ งความหมาย (คำไวพจน)์ คาพอ้ งรูปพอ้ งเสยี ง

หมำยถงึ ส่งิ ใดสิง่ หนึ่งอำจเรยี กได้หลำยคำ เปน็ คำทีเ่ ขยี นเหมือนกัน
อำ่ นเหมอื นกัน

แต่ควำมหมำยแตกตำ่ งกันเปน็ คำตำ่ งชนดิ
และต่ำงหน้ำท่กี นั

๒หน่วยการเรยี นรู้ท่ี

ชนิดและหน้าทข่ี องคาในประโยค

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
• สำมำรถวิเครำะหช์ นิดและหนำ้ ทขี่ องคำในประโยคได้

ลกั ษณะของพยางค์ คา กลมุ่ คา และประโยค

• คำเกิดจำกกำรนำเสียงในภำษำ คอื เสยี งพยัญชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์ประสมกนั
คำท่ีประสมแล้วไม่มคี วำมหมำยเรียกวำ่ “พยำงค์”

• ถำ้ พยำงค์หน่ึงพยำงค์ หรือสองพยำงค์ขึ้นไปรวมกนั จะเกดิ เป็นคำที่มคี วำมหมำยขน้ึ เรียกวำ่ “คำ”
ดังนั้น คำหนึ่งคำอำจมีพยำงคเ์ ดยี ว หรือหลำยพยำงค์กไ็ ด้

ส่วนประกอบของประโยคในการสอ่ื สาร

สำรทีใ่ ช้ส่อื สำรกนั ส่วนมำกจะพดู และเขียนเปน็ ประโยคหรือวลี
ประโยคประกอบด้วยส่วนสำคัญ ๒ ส่วน คอื ภำคประธำนและภำคแสดง

คาประสม

• ภาคประธาน ไดแ้ ก่ สว่ นท่เี ปน็ ผูก้ ระทำอำจจะมสี ว่ นขยำยหรือไมม่ กี ็ได้ เชน่

กองลกู เสือสามัญโรงเรียนนพเกา้ วทิ ยาไปอยคู่ ำ่ ยพกั แรมที่คำ่ ยลูกเสือวชริ ำวธุ ำนุสรณ์
นกั เรยี นโรงเรยี นสายอนสุ รณส์ ละที่นัง่ ใหค้ นชรำ

• ภาคแสดง ได้แก่ ส่วนที่บอกอำกำรหรือบอกสภำพของประธำน อำจมสี ว่ นขยำยหรือไม่มกี ไ็ ด้

สว่ นขยำยอำจเปน็ คำ วลี หรอื ประโยคกไ็ ด้ เชน่
นกรอ้ งเสียงไพเราะ
นภำและครอบครวั ย้ายไปอยู่บ้านใหม่ซึ่งสรา้ งเสรจ็ เรยี บร้อยแลว้

ชนดิ และหน้าทข่ี องคาในประโยค

หมวดคานาม

คานาม คอื คำท่ีใช้เรียกชอื่ คน สัตว์ สง่ิ ของ สภำพ หนา้ ที่ของคานามในประโยค

ลักษณะ และอำกำรของสง่ิ มชี วี ติ คำนำมมหี น้ำทีใ่ นประโยค ดงั น้ี
และสงิ่ ที่ไม่มชี ีวิต ทัง้ สง่ิ ท่เี ป็นรูปธรรมและนำมธรรม
• ทาหนา้ ที่เปน็ ประธานของประโยค
ประเภทของคานาม แบ่งได้ ๕ ประเภท ต่อไปนี้ • ทาหนา้ ท่ีเป็นกรรมของประโยค
• ทาหนา้ ที่เป็นกรรมตรงและกรรมรอง
• คานามที่เรียกชือ่ ทว่ั ไป ได้แก่ ชือ่ บคุ คล ช่อื สัตว์ • ทาหน้าที่ขยายคาอ่ืนให้ชัดเจนยงิ่ ข้นึ
ช่อื ส่งิ ของ ชอื่ สถำนท่ี • ทาหน้าทเ่ี ป็นคาเรียกขาน
• ทาหน้าที่เปน็ สว่ นเตมิ เตม็ ให้คากริยา
• คานามที่เป็นชื่อเฉพาะ ไดแ้ ก่ ช่อื บคุ คล ช่อื สัตว์
ชื่อส่ิงของ และชือ่ สถำนที่

• คานามทบ่ี อกความเป็นหมู่พวก กลมุ่ หรอื คณะ
ได้แก่ ชอื่ บคุ คล ชอ่ื สตั ว์ ชือ่ สงิ่ ของและชอื่ สถำนท่ี

• คานามทเี่ ป็นนามธรรม ไมม่ ีขนำดและรปู รำ่ ง แต่
สำมำรถส่ือควำมหมำยได้เข้ำใจ

• คานามทใี่ ชบ้ อกลกั ษณะของนาม บำงทีเรยี ก
ลักษณนำม คำนำมประเภทนบี้ อกให้ทรำบถึง
ลกั ษณะของส่งิ ที่กล่ำวถงึ ว่ำมีรปู พรรณสณั ฐำน

หมวดคาสรรพนาม

คาสรรพนาม หนา้ ทข่ี องคาสรรพนาม
คอื คำที่ใชแ้ ทนช่อื คน สัตว์ สงิ่ ของ มกั ใช้ในกำรพดู เนื่องจำกคำสรรพนำม คือ คำทีแ่ ทนคำนำม
ฉะนน้ั คำสรรพนำมจึงมีหนำ้ ทเ่ี หมือนคำนำม ดงั น้ี
เช่น ผม ฉัน ดิฉัน คุณ ท่ำน เขำ เรำ เป็นต้น
• คาสรรพนามทาหน้าที่เปน็ ประธานของประโยค
ประเภทของคาสรรพนาม แบ่งได้ ๗ ประเภท ดงั น้ี • คาสรรพนามทาหนา้ ที่เป็นกรรมของประโยค
• คาสรรพนามทาหนา้ ที่เป็นสว่ นเตมิ เตม็ ในประโยค
• คาสรรพนามทีใ่ ช้ในการพดู (บรุ ษุ สรรพนาม) • คาสรรพนามทาหน้าที่เป็นคาขยาย
• คาสรรพนามชร้ี ะยะ
• คาสรรพนามทใ่ี ชเ้ ปน็ คาถาม
• คาสรรพนามบอกความไม่เจาะจง
• คาสรรพนามบอกความช้ีซา้ แบง่ พวก หรอื รวมพวก
• คาสรรพนามเชอื่ มประโยค
• คาสรรพนามท่ีเน้นคานามทอี่ ย่ขู ้างหนา้

หมวดคากรยิ า

ประเภทของคากรยิ า หน้าทขี่ องคากริยา
แบง่ ได้ ๔ ประเภท ดังนี้ มีดงั นี้

• คากริยาท่ีมคี วามหมายสมบรู ณใ์ นตวั เอง • เปน็ คาแสดงอาการหรอื บอกสภาพของประธาน
• คากรยิ าทต่ี อ้ งมีกรรมมารบั • คากริยาทาหน้าท่ีขยายนาม
• คากริยาทตี่ อ้ งมสี ่วนเตมิ เต็ม • คากรยิ าทท่ี าหนา้ ที่เหมอื นคานาม
• คาช่วยกริยา

หมวดคาวเิ ศษณ์

คาวเิ ศษณ์ คือ คำทปี่ ระกอบคำอ่ืนและชว่ ยขยำยคำอืน่ ให้ หน้าทขี่ องคาวิเศษณ์

มเี น้ือควำมแปลกออกไป ทำให้ใจควำมในประโยคสมบูรณ์ คำวเิ ศษณ์เปน็ คำทข่ี ยำยคำอื่น ทำให้ควำมหมำยของ
ด้วยอำรมณ์ ควำมร้สู ึก และจนิ ตนำกำร คำต่ำงๆ กระจำ่ งชัดเจนยงิ่ ขึ้น คำวเิ ศษณ์จงึ มหี นำ้ ท่ี ดงั นี้

ประเภทของคาวเิ ศษณ์ จำแนกย่อยได้ ๙ ประเภท ดงั นี้ • คาวเิ ศษณท์ าหน้าท่ีขยายคานาม
• คาวิเศษณท์ าหน้าที่ขยายคาสรรพนาม
• คาวเิ ศษณ์บอกลกั ษณะ • คาวิเศษณท์ าหน้าทีข่ ยายคากรยิ า
• คาวิเศษณ์บอกเวลา • คาวเิ ศษณท์ าหนา้ ที่ขยายคาวเิ ศษณ์
• คาวิเศษณ์บอกสถานท่ี • คาวเิ ศษณ์ทาหน้าท่ีเปน็ คาบอกสภาพและเป็น
• คาวเิ ศษณ์บอกปรมิ าณหรอื จานวน
• คาวิเศษณ์บอกความไม่ชี้เฉพาะ ตวั แสดงกริยาอาการ
• คาวเิ ศษณ์บอกความชี้เฉพาะ
• คาวิเศษณ์แสดงคาถาม
• คาวิเศษณ์แสดงการร้องเรยี ก ขานรับ หรอื แสดงความสุภาพ
• คาวิเศษณ์แสดงความปฏิเสธ

หมวดคาบุพบท

คาบุพบท

คอื คำท่ีใชเ้ ชื่อมคำต่อคำ มักอยหู่ นำ้ คำนำม คำสรรพนำม หรือคำกริยำ มีคำวำ่ ด้วย โดย ใน ของ แหง่ กับ แก่ แด่ ตอ่ เปน็ ตน้
คำบพุ บทมักจะนำหนำ้ คำ หรอื กล่มุ คำ เพ่ือบอกควำมสัมพนั ธร์ ะหว่ำงขอ้ ควำมข้ำงหน้ำกับคำ หรอื กลุ่มคำขำ้ งหลัง

หมวดคาสันธาน

คาสันธาน คอื
• คำท่ีเชื่อมประโยคกับคำ เช่อื มประโยคกับกลมุ่ คำ หรอื เชื่อมประโยคกับประโยค

รวมให้เป็นประโยคเดียวกนั
• ทำใหป้ ระโยคชัดเจน กะทัดรดั สละสลวยย่ิงขน้ึ
• ประโยคท่ีเกิดใหมจ่ งึ สำมำรถแยกเป็นประโยคควำมเดยี วไดต้ ง้ั แต่ ๒ ประโยคขน้ึ

ไป จะพบคำสนั ธำนในประโยคควำมรวมและประโยคควำมซ้อน

หนา้ ท่ีของคาสนั ธาน ดงั นี้
• เชอื่ มคากับคา เชน่

ฉนั กบั เธอเปน็ ศิษยเ์ ก่ำโรงเรยี นวฒั นำวิทยำลยั เหมือนกัน (เชื่อม ฉนั กับ เธอ)
• เชื่อมคากบั กลมุ่ คา เช่น

คณุ พ่อและญำติๆ ของฉนั ตำ่ งเลย้ี งฉลองแสดงควำมยินดีท่ฉี ันได้รำงวลั (เชอ่ื มคณุ พอ่ และ ญำติๆ ของฉัน)
• เชื่อมประโยคกบั ประโยค เชน่

เธอจะเอำสำยสร้อยหรือเอำนำฬกิ ำ

(เชื่อมประโยคเธอจะเอำสำยสร้อย กบั เธอจะเอำนำฬิกำ ดว้ ยคำว่ำ หรือ เพื่อใหเ้ ลือกอยำ่ งใดอย่ำงหน่ึง)

หมวดคาอทุ าน

คาอุทาน
คือ คำหรือเสียงทเ่ี ปล่งออกมำเพื่อแสดงอำรมณ์ ควำมร้สู ึกตำ่ งๆ เชน่ ดใี จ เสียใจพอใจ
ตกใจ แปลกใจ เป็นต้น คำอุทำนไมม่ ีควำมหมำยสำคญั ในประโยค แตท่ ำใหผ้ ้รู ับสำร

เขำ้ ใจเจตนำและควำมรู้สึกของผูส้ ่งสำรชัดเจนยิ่งข้นึ

ประเภทของคาอทุ าน แบง่ ได้ ๒ ประเภท ดงั นี้

• คาอุทานบอกอารมณ์ ความรู้สกึ

ตายจรงิ ! ฉนั ลมื ปดิ เตำแกส๊ (ตำยจรงิ อุทำนด้วยควำมตกใจ)

• คาอทุ านเสรมิ บท เป็นคำที่ไม่ได้บอกอำรมณค์ วำมรสู้ กึ ของผพู้ ูด แต่ใช้ในกำรสนทนำเพอื่ แสดง
ควำมรู้สึกคนุ้ เคยและทำใหก้ ำรสนทนำมีรสชำตขิ ้นึ

ควำมประพฤติของหลำนๆ ทำใหย้ ำ่ หนกั อกหนักใจมำกนะ

๓หนว่ ยการเรยี นรู้ที่

ความแตกต่างของภาษา

จุดประสงค์การเรยี นรู้
• สำมำรถวเิ ครำะหค์ วำมแตกตำ่ งของภำษำพูดและภำษำเขยี นตำมควำมสนใจ

ภาษาพดู

กำรพดู เปน็ กำรสื่อสำรโดยใชถ้ ้อยคำ นำ้ เสยี ง รวมทัง้ กริ ิยำอำกำร ถำ่ ยทอดควำมรู้
ควำมคดิ ควำมรู้สึก จินตนำกำร และควำมตอ้ งกำรของผ้พู ดู ใหผ้ ้ฟู งั รบั รแู้ ละตอบสนอง

ลกั ษณะของภาษาพดู

ภาษาพูด หมำยถงึ ภำษำทใี่ ช้พดู ในชวี ิตประจำวันผู้พดู ไม่เครง่ ครัดในระเบียบของภำษำ
ม่งุ เน้นให้สำมำรถสือ่ สำรเข้ำใจได้ตรงกนั และบรรลผุ ลตำมทีต่ ้องกำรเทำ่ นนั้

ระดบั ภำษำท่ใี ช้สว่ นมำก ประโยคทใี่ ชส้ ว่ นมำกเป็นประโยค มักมกี ำรตดั คำ
เปน็ ภำษำระดับกันเอง ระดับสนทนำ ระดับกง่ึ ควำมเดยี วและประโยคควำมรวม ยอ่ คำ
ส่วนประโยคควำมซอ้ นมีไมม่ ำกนกั รวบคำ
ทำงกำร มกั ใช้ภำษำระดบั กนั เอง
สำหรับคนสนิท คุน้ เคย เพ่อื ควำมรวดเรว็

มคี ำลงทำ้ ยเรยี กขำนหรอื มีกำรใชภ้ ำษำ มีกำรพูดโดยใช้ถอ้ ยคำ สำนวนโวหำร สภุ ำษิต มกี ำรใชป้ ระโยค
คำขำนรบั เพือ่ แสดงควำม ท้องถ่ินปะปน คำพงั เพย คำซ้ำ คำซ้อน คำคลอ้ งจอง ท่ีไม่สมบูรณ์

สภุ ำพหรือยกย่อง ประกอบกำรพูด หรือใช้คำพดู ทมี่ ีควำมหมำย
โดยนยั ตอ้ งตีควำม

ภาษาเขียน

ภาษาเขยี น

หมำยถงึ กำรถ่ำยทอดควำมรู้ ควำมร้สู ึกนึกคดิ ควำมคดิ ควำมเข้ำใจของมนษุ ย์ โดยใชอ้ ักษรหรอื ใช้สัญลักษณ์
อื่นๆ แทนคำพดู เชน่ แผนภำพ แผนภูมิ แผนท่ี เพ่ือให้ผอู้ ื่นได้รบั รูเ้ ข้ำใจ และตอบสนองตำมที่ผู้เขยี นต้องกำร

ความสาคญั ของภาษาเขยี น กำรเขียนมีควำมสำคัญในฐำนะที่เป็นหลักฐำนในกำรบันทึกควำมรู้
ควำมคิด ควำมเชื่อ สภำพสังคมในสมัยน้ันถ่ำยทอดให้คนรุ่นหลังได้
เรียนรู้และเข้ำใจวิถีชีวิตของบรรพชนเป็นกำรเขียน เพื่อระบำย
อำรมณ์ ควำมรู้สึก หรอื เพ่อื แสดงภมู ปิ ัญญำของผเู้ ขยี น

ลกั ษณะของภาษาเขยี น เขยี นตามภาษาพดู ทีพ่ ดู ในชวี ติ ประจาวัน
เขียนโดยใช้ภาษาทีก่ ลัน่ กรองถ้อยคาอยา่ งละเมียดละไม

การใช้ภาษาเขียน การเขยี นอย่างไม่เปน็ ทางการ
การเขียนอยา่ งเปน็ ทางการ

เปรยี บเทยี บภาษาพดู และภาษาเขียน

ภาษาพดู ภาษาเขยี น

มุ่งสอื่ สำรอยำ่ งรวดเรว็ ทำใหใ้ ช้คำในประโยค มงุ่ ส่อื สำรใหเ้ ขำ้ ใจ รู้จกั คดิ และตีควำม ผ้เู ขียน
ไมส่ มบรู ณ์ กำกวม อำจทำใหผ้ ูร้ บั สำรเข้ำใจผิด มเี วลำในกำรกลน่ั กรองถ้อยคำและผอู้ ำ่ นมเี วลำ
ในกำรพจิ ำรณำสำร
ใช้ภำษำไม่ประณตี มกั ใช้ภำษำระดบั กนั เอง
และภำษำสนทนำหรือก่งึ ทำงกำร มกี ำรใชภ้ ำษำประณีตกวำ่ ภำษำพูดเพรำะผู้เขยี น
มีเวลำในกำรขดั เกลำภำษำให้สละสลวยตรงกับ
มักพูดคำไทยปนกบั ภำษำต่ำงประเทศและ ระดับภำษำ
เลียนเสียงภำษำต่ำงประเทศ ทำใหเ้ สยี งใน
ภำษำเปล่ยี นไป มกี ำรใชภ้ ำษำต่ำงประเทศในงำนเขยี นทเ่ี ปน็
วชิ ำกำร หำกเขยี นเล่ำเรื่องจะอธบิ ำยควำมหมำย
ของคำภำษำต่ำงประเทศดว้ ย

๔หน่วยการเรยี นรู้ท่ี

สานวน คาพังเพย

และสภุ าษติ

จุดประสงค์การเรยี นรู้
• สำมำรถจำแนกและใชส้ ำนวนท่เี ปน็ คำพงั เพยและสภุ ำษิตได้

สานวน คาพงั เพย และสภุ าษิต

สานวน พจนำนุกรมฉบบั รำชบณั ฑติ ยสถำน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ควำมหมำยว่ำ น. ถ้อยคำที่เรียบเรียง โวหำร บำง
ทีใช้ว่ำ สำนวนโวหำร ถ้อยคำหรือข้อควำมที่กล่ำวสืบต่อกันมำช้ำนำนแล้วมีควำมหมำยไม่ตรงตำมตัวอักษร
หรือมคี วำมหมำยอ่ืนแฝงอยู่

สอนจระเข้ให้ว่ำยนำ้

คาพังเพย หมำยถึง ถอ้ ยคำหรอื ข้อควำมท่ีกล่ำวสืบต่อกันมำ โดยกล่ำวเปน็ กลำงๆ เพือ่ ใหต้ ีควำมใหเ้ ขำ้ กับเรอ่ื ง

ไม่ใช่คำสอน แต่เปน็ คำติชมอยใู่ นตวั
กระต่ำยต่นื ตูม

สุภาษติ ภำษิตหรอื สภุ ำษติ หมำยถึง คำท่กี ล่ำวดี คำพดู มคี ติควรฟัง เป็นถอ้ ยคำทแี่ สดงหลักควำมจริง

มุง่ แนะนำ ส่งั สอน เตือนสติ
ตนเป็นที่พง่ึ แห่งตน

คาขวญั คาคม หมำยถงึ ขอ้ ควำมทกี่ ล่ำวด้วยโวหำรอนั คมคำย แสดงแง่คิด ปรัชญำมีควำมหมำยลึกซึง้ กนิ ใจ

งำนคอื เงนิ เงินคอื งำนบันดำลสุข

๕หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี

การแต่งบทรอ้ ยกรอง

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
• แต่งบทรอ้ ยกรอง

การแตง่ บทร้อยกรองประเภทกาพย์

การแต่งบทรอ้ ยกรองประเภทกาพย์

• เป็นกำรแต่งคำประพันธ์ของไทยทง่ี ่ำยทสี่ ดุ
• มีเพยี งกำรบงั คบั จำนวนคำ เสียง และสัมผัส เทำ่ นน้ั
• ไม่มบี ังคบั ครุ ลหุ เหมือนคำประพันธป์ ระเภทฉันท์
• คำประพนั ธป์ ระเภทกำพย์จงึ เปน็ ทีน่ ิยมแตง่ กนั มำต้งั แต่สมยั กรุงศรอี ยุธยำ

ลักษณะขอ้ บงั คบั ของร้อยกรองประเภทกำพย์ มดี ังน้ี

คณะ

หมำยถึง จำนวนที่กำหนดใน ๑ บทว่ำมีกว่ี รรค วรรคละก่ีคำ ตัวเลขทำ้ ยช่อื กำพย์ บอกวำ่ ในหน่ึงบทนั้นมีจำนวนคำก่คี ำ
เช่น ยำนี ๑๑ หนงึ่ บท มี ๑๑ คำ ฉบัง ๑๖ หนงึ่ บท มี ๑๖ คำ สุรำงคนำงค์ ๒๘ หนง่ึ บท มี ๒๘ คำ

เสียง

หมำยถึง ข้อบงั คบั เสียงวรรณยุกต์ กำพย์แตล่ ะชนิดจะมีข้อบงั คับเสียงวรรณยุกต์แตกต่ำงกัน ซ่งึ วรรณยุกต์บำงเสยี ง
ทำใหก้ ำพยบ์ ำงชนดิ มคี วำมไพเรำะ หรอื คำสดุ ท้ำยของวรรคในกำพยบ์ ำงชนิดควรหลีกเลี่ยงกำรใช้วรรณยุกต์บำงเสียง

สมั ผสั

หมำยถงึ ขอ้ บังคับท่ใี ช้ในฉันทลกั ษณเ์ พ่ือใหเ้ สยี งรับกนั ประกอบด้วยสมั ผัสในและสัมผสั นอก ดังน้ี
สัมผสั ใน เป็นสมั ผสั ทอ่ี ยภู่ ำยในวรรค ช่วยใหบ้ ทรอ้ ยกรองมีควำมไพเรำะ
สมั ผัสนอก เปน็ สมั ผสั นอกวรรคหรอื สัมผัสระหวำ่ งวรรค ตลอดจนสมั ผัสระหว่ำงบท
โดยกำพย์แตล่ ะชนดิ มกี ำรบังคบั สัมผสั ทแ่ี ตกตำ่ งกัน

กาพยย์ านี ๑๑

เป็นกำพย์ท่ีแตง่ ง่ำย มลี ลี ำกำรอ่ำนช้ำๆ ออ่ นหวำน มกั ใช้แตง่ พรรณนำชมควำมงดงำมของส่งิ ของ ธรรมชำติ
สง่ิ แวดลอ้ ม มกั นยิ มแตง่ คกู่ บั โคลง โดยขนึ้ ต้นดว้ ยโคลง แลว้ ต่อด้วย กำพยย์ ำนี ๑๑ อีกหลำยบททีม่ ีเน้ือหำตรงกัน
กับโคลง เรียกว่ำ กาพยห์ อ่ โคลง

แผนผังและตวั อยา่ งกาพย์ยานี
๑๑

กาพย์ฉบัง ๑๖

เปน็ ร้อยกรองท่ีใชบ้ รรยำยควำมทีร่ วดเร็ว มลี ลี ำคกึ คัก มีควำมไพเรำะนำ้ เสยี งกอ้ งกงั วำน แสดงควำมสงำ่ งำม
จึงนยิ มใชแ้ ต่งรว่ มกับคำฉนั ท์ บรรยำยควำมยง่ิ ใหญ่อลังกำรหรือพรรณนำควำมโออ่ ่ำงดงำมของบ้ำนเมอื ง

แผนผงั และตวั อย่างกาพย์ฉบงั
๑๖

กาพย์สรุ างคนางค์ ๒๘

คณะ กำพย์สรุ ำงคนำงค์ ๒๘ หน่งึ บท มี ๗ วรรค วรรคละ ๔ คำ รวม ๒๘ คำ
พยางค์หรือจานวนคา ในแตล่ ะวรรค มี ๔ คำ ๗ วรรค รวมเป็น ๒๘ คำ

จงึ เขียนจำนวนคำท้ำยช่ือกำพย์ว่ำสรุ ำงคนำงค์ ๒๘ หมำยถงึ มีจำนวนคำ ๑ บท ๒๘ คำ

เสียง ไม่บังคบั เสียงวรรณยกุ ต์ แตส่ ว่ นมำกนยิ มเสยี งสำมัญและเสยี งจัตวำ
สมั ผสั กำหนดสมั ผัสระหวำ่ งวรรค ๔ แห่ง และสัมผสั ระหว่ำงบท ๑ แห่ง

แผนผังและตัวอย่างกาพย์สรุ างคนางค์ ๒๘

ฝกึ อา่ นคาในบทรอ้ ยแกว้ และบทรอ้ ยกรอง


Click to View FlipBook Version