The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แห่นกบุหรงซีงอ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

แห่นกบุหรงซีงอ

แห่นกบุหรงซีงอ

Keywords: แห่นกบุหรงซีงอ,l

๘ แบบคำขอเสนอรายการ เบื้องต้นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ส่วนที่ ๑ ลักษณะของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ๑. ชื่อรายการ การแห่นกบุหรงซีงอ ชื่อเรียกในท้องถิ่น แห่นกบุหรงซีงอ ๒. ลักษณะของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม (เลือกได้มากกว่า ๑ ช่อง) วรรณกรรมพื้นบ้านและภาษา ศิลปะการแสดง แนวปฏิบัติทางสังคม พิธีกรรม ประเพณี และงานเทศกาล ความรู้และการปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล งานช่างฝีมือดั้งเดิม การเล่นพื้นบ้าน กีฬาพื้นบ้านและศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว ๓. พื้นที่ปฏิบัติ การแห่นก เป็นประเพณีพื้นเมืองอย่างหนึ่งของชาวไทยมลายูในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ซึ่งได้กระทำสืบเนื่องกันมาเป็นเวลาช้านาน จัดเป็นประเพณีอันสูง ของชาวมุสลิม เป็นประเพณีนิยมที่ไม่เกี่ยวข้องกับทางศาสนา ไม่เป็นประเพณีตามนักขัตฤกษ์ แต่จัดขึ้น เป็นครั้งคราวตามโอกาสเพื่อความสนุกรื่นเริง เป็นการแสดงออกเกี่ยวกับความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ใน ศิลปะ และอาจจัดขึ้นในโอกาสเพื่อเป็นการแสดงคารวะ แสดงความจงรักภักดีแก่ผู้ใหญ่ที่ควรเคารพ นับถือ หรือในโอกาสต้อนรับแขกเมือง หรือเพื่อความรื่นเริงในงานพิธีมงคล เช่น การเข้าสุหนัต หรือที่ เรียกว่า “มาโซะยาวี” หรือจัดขึ้นเพื่อประกวดเป็นครั้งคราว ในปัจจุบันจังหวัดปัตตานียังคงมีผู้สืบทอดที่ เหลืออยู่น้อยมากแต่ก็ยังมีครูสิละและผู้ที่มีสายเลือดสิละเท่านั้นที่ยังคงอนุรักษ์สืบทอดกันอยู่ซึ่งพบในเขต อำเภอเมืองปัตตานี อำเภอยะหริ่ง อำเภอปะนาเระ และอำเภอหนองจิก ของจังหวัดปัตตานี แบบ มภ.๒


๙ ๔. สาระสำคัญของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมโดยสังเขป การแห่นก มีตำนานเล่าว่า กาลครั้งหนึ่ง รายาองค์หนึ่งได้เสด็จประพาสทางชลมารค ทรงพบกับ ชาวประมงกลุ่มหนึ่ง ชาวประมงได้เล่าเรื่องแปลกและมหัศจรรย์ที่พวกเขาได้ประสบระหว่างนำเรือออก จับปลาในท้องทะเลลึกว่าเห็นนกใหญ่โผล่ขึ้นมาจากท้องทะเล ดวงตาโตแดงก่ำ มีงวง มีงาและเขี้ยวงอก ออกจากปาก น่าเกลียดน่ากลัว แต่เมื่อนกนั้นบินขึ้นท้องฟ้า พวกเขาเห็นรูปร่าง สีสันขนปีกขนหาง สวยงาม แปลกประหลาดกว่านกทั้งหลาย พวกเขาเชื่อว่าเป็นนกแห่งสวรรค์มิใช่นกธรรมดา (อนันต์ วัฒนานิกร, ๒๕๒๘ : ๖๒) เมื่อรายาเสด็จกลับพระราชวังพระองค์ทรงรับสั่งให้สืบหาช่างเขียนภาพ ช่างแกะสลัก และ ช่างฝีมือการประดับตกแต่งมาช่วยประดิษฐ์รูปนกขึ้นมีจำนวน ๔ ตัว “นกทั้งสี่มีนามว่า ลักษมานอ ฆาเฆาะสุรอ การุดอ และซิงอ (อนันต์ วัฒนานิกร, ๒๕๒๘ : ๖๒) ในปัจจุบันช่างทำนกในจังหวัดปัตตานีจะทำนกเพียง ๒ ชนิด ไว้ใช้ในการแห่นก คือ นกกา เฆาะซูรอ หรือ นกกากะสุระ และนกบุหรงซีงอ หรือ นกสิงห์ ทุกวันนี้ชาวมลายูท้องถิ่นในเมืองปัตตานี และส่วนราชการยังนิยมใช้นกบุหรงซีงอ หรือ นกสิงห์ จัดอยู่ในขบวนการแห่นก หรือ เรียกติดปากว่า “การแห่นกบุหรงซีงอ” ในกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การเข้าสุหนัต งานแต่งงาน งานมงคล และงานวัฒนธรรม ของหน่วยงานราชการต่าง ๆ ความสำคัญของการแห่นกหาใช่อยู่ที่ขบวนแห่อันโอ่อ่ามโหฬาร หรือ การแสดงออกทางจิตที่ดี งามเพียงเท่านั้น แต่การแห่นกยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว การอนุรักษ์ศิลปะดนตรีท้องถิ่น ศิลปะการจัด พานบายศรีบุหงาซือรี(บุหงาซีเระ) และศิลปะการร่ายรำซีละ รำกริช รำหอก ไว้ให้ดำรงอยู่คู่เมืองปัตตานี นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยให้เกิดการรวมตัว ร่วมกิจกรรมกันของชาวท้องถิ่นแสดงถึงภูมิปัญญามรดกทาง วัฒนธรรมท้องถิ่นของชาวปัตตานี ที่สืบเนื่องจากอดีตมาสู่ปัจจุบันอีกด้วย ๕. ประวัติความเป็นมา ประวัติความเป็นมาของการแห่นก ประวัติดั้งเดิมของการแห่นกมีความเป็นมาอย่างไร ไม่มีหลักฐานที่จะอ้างอิงได้ แต่ในปัจจุบันนี้ การแห่นกก็ยังมีความนิยมกันอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย มาแลเซีย ในงานเทศกาลรื่นเริงต่าง ๆ เป็นประจำ มีการจัดริ้วขบวนแห่อย่างมโหฬาร แต่แห่เพื่ออะไร ในเทศกาลใดไม่ปรากฏแน่ชัด เข้าใจว่าคงแห่กัน เพื่อให้เกิดความสนุกสนานรื่นเริง และเพื่อความสามัคคีเท่านั้น บรรดารัฐต่าง ๆ ซึ่งรวมอยู่ในดินแดนที่เรียกว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ พม่า ไทย เขมร มาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย ระหว่างศตวรรษที่ ๘ - ๑๑ ต่างก็รับวัฒนธรรมอินเดียเข้ามา ผสมผสานกับความเชื่อ และประเพณีดั้งเดิมของท้องถิ่น ต่อมาในศตวรรษที่ ๑๒ จนถึงศตวรรษที่ ๑๘ วัฒนธรรมจีนและวัฒนธรรมอิสลามแทรกซ้อนเข้ามาตามลำดับ นักประวัติศาสตร์เชื่อว่า ปัตตานี เคยเป็น ดินแดนส่วนหนึ่งของอาณาจักรลังกาสุกะ ด้วยเหตุผลทางการเมือง การทหาร และการเปลี่ยนแปลงสภาพ


๑๐ ภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจในภูมิภาคแถบนี้ ทำให้อาณาจักรลังกาสุกะต้องสลายตัวลง ต่อมาได้มีการตั้งเมือง ตานีหรือ ปัตตานีขึ้นแทนที่ จากความเป็นบ้านเมืองโบราณ ทำให้ปัตตานีได้รับการถ่ายทอดวัฒนธรรมสามเส้าเข้ามา ผสมผสานกลมกลืน จนกลายรูปเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นของปัตตานีหลายรูปแบบ ถึงกระนั้นก็ดีในรูปแบบ พิธีกรรม ประเพณีต่าง ๆ ยังคงร่องรอยให้เห็นวัฒนธรรมฮินดู พุทธ อิสลาม ปรากฏอยู่ แต่ยากที่จะ จำแนกออกเป็นวัฒนธรรมใดวัฒนธรรมหนึ่ง ประเพณีใดที่ขัดต่อลัทธิศาสนา ความเชื่อถือของสังคม ปัจจุบันก็ละทิ้งให้สูญสลายไปในที่สุด อาทิ ประเพณีตอเลาะบาลอ พิธีปูจาปาตา การแห่นก มิได้จัดขึ้นเนื่องในความเชื่อถือบูชาเทพเจ้า หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ พิธีการใดหากจัดเป็น งานใหญ่โตมีเกียรติ ไม่ว่าจะเป็นงานเทศกาลเฉลิมฉลอง หรือ งานมงคลทั่วไปมักมีการนำขบวนแห่นกเข้า พิธีนั้น ๆ เสมอ อย่างพิธีสุหนัต ในศาสนาอิสลาม พระยาวิชิตภักดีฯ (ตนกูอับดุลกอเดร์) อดีตเจ้าเมือง ปัตตานี เมื่อทำพิธีให้แก่ตนกูจิ (น้องชาย) ก็จัดให้ผู้เข้าสุหนัตขี่นกเข้าขบวนแห่อย่างเอิกเกริก ตื่นเต้น ติดตาผู้คนที่ได้ประสบการณ์มาเล่าสืบทอดกันมา๑ เนื่องจากขบวนแห่นกมีองค์ประกอบที่น่าตื่นเต้นเร้าใจผู้ชม ด้วยเครื่องประโคมดนตรี ศิลปะการ ประดิษฐ์ดอกไม้ การจัดพานบายศรี (บุหงาซือรี) ศิลปะการแกะสลักสร้างสรรค์รูปนกอันมหึมา อาวุธและ เครื่องแต่งกายแบบนักรบโบราณสาวสวยผู้มีทรงศองามสง่า เข้าร่วมทูนพานบายศรี ชาวปัตตานีจึงนิยม ยึดถือเป็นประเพณี ใช้ขบวนแห่นกเป็นเครื่องต้อนรับอาคันตุกะผู้เป็นแขกบ้านแขกเมืองสำคัญ ในการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกรภาคใต้ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กระทั่งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จ พระบรมราชินีนาถ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๒ ชาวปัตตานีต่างก็พร้อมใจกันจัดขบวนแห่นกเป็นการถวายความ จงรักภักดีอย่างสมพระเกียรติทุกครั้ง มีเรื่องเล่ากันว่าในคราวสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จ พระราชดำเนินประพาสเมืองปัตตานีทางชลมารค เรือกลไฟติดสันดอนไม่อาจแล่นเข้าสู่แม่น้ำเพื่อไปยังตัว เมืองได้ เจ้าเมืองปัตตานี (พระยาวิชิตภักดี ฯ) และเจ้าเมืองยะหริ่ง (พระยาพิพิธเสนามาตย์ ฯ) ได้แต่งเรือ ออกไปรับเสด็จ เรือเจ้าเมืองปัตตานีได้ใช้หัวนกกาเฆาะซูรอ (กากะสุระ หรือกากะนาสูร) ติดโขนเรือ นำ ขบวนเรือน้อยใหญ่ออกไปถวายการต้อนรับ อัญเชิญเสด็จพระราชดำเนินเข้าสู่เมืองปัตตานี ทั้งนี้เพื่อเป็น การทดแทนการต้อนรับด้วยขบวนแห่นก ในคราวที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลปัตตานี เมื่อ ปีพุทธศักราช ๒๔๕๘ ผู้ว่าราชการเมืองต่าง ๆ ได้จัดขบวนแห่เข้าร่วมแห่ถวายทอดพระเนตรเพื่อเฉลิม พระเกียรติถึง ๖๕ ขบวน ๒ ๑ นายวิชิต นราวงศ์ (ต่วนติมุง) อดีตครูยะรัง อำเภอยะรัง เป็นผู้เล่า อ้างถึงใน อนันต์ วัฒนานิกร, ๒๕๒๗ : ๖๑ ๒ สักขี - เรื่องเสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลปักษ์ใต้ ปี พ.ศ. ๒๔๕๘ อ้างถึงใน อนันต์วัฒนานิกร, ๒๕๒๗ : ๖๑


๑๑ เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยือนจังหวัดปัตตานี ใน วันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๒ เสด็จพระราชดำเนิน ยังศาลากลางจังหวัดปัตตานีประชาชนชาวจังหวัดปัตตานี ทั้งชาวไทยพุทธ เชื้อสายไทยและจีน ชาวไทย มุสลิมได้ร่วมใจกันจัดขบวนแห่คชสีห์ แห่นก และขบวนแห่ของชาวจีนเป็นการถวายพระพรและถวาย พระเกียรติอย่างสูงสุด (ภาพจากชมรมอนุรักษ์ฟิล์มเก่า) ที่มา : ตันติกร ผู้เจริญทรัพทย์ , ๒๕๖๒.


๑๒ ความเป็นมาของการแห่นก การแห่นกนี้ ตามข้อสันนิฐานทางประวัติศาสตร์ ปรากฏว่า ไทยทางปัตตานีรับเอาประเพณีมา จากอินโดนีเซีย ก่อนที่ศาสนาอิสลามยังไม่แพร่หลายเข้ามาในภูมิภาคส่วนนี้ จึงสืบเนื่องเป็นประเพณี พื้นเมืองตลอดมา ทั้งนี้เพราะเมืองปัตตานีเป็นเมืองเก่าแก่เป็นหัวเมืองชั้นเอกทางภาคใต้ของ ราชอาณาจักรสุโขทัย เมืองตานี หรือ ปัตตานีเป็นเมืองท่าสำคัญ เป็นเมืองใหญ่ มีเมืองกลันตัน ตรังกานู ยะลา และนราธิวาส รวมอยู่ในเขตปกครองด้วย มีชาวต่างประเทศหลายชาติเข้ามาติดต่อค้าขายและ การค้าเจริญมาก ชาวเมืองปัตตานีเดิมนับถือพุทธศาสนา รวมอยู่ในอาณาจักรศรีวิชัย ภายหลังจึงเข้ารีต ถือศาสนาอิสลาม มีหลักฐานทางประวัตศาสตร์ปรากฏแน่ชัดเริ่มตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๐๖๐ เป็นต้นมา เมื่อสืบสาวเรื่องราวจากประวัติศาสตร์แล้ว สันนิษฐานว่าการแห่นกมีมาในครั้งนั้น และมีก่อนที่ ศาสนาอิสลามจะเข้ามามีอิทธิพลในจังหวัดภาคใต้ เพราะหลังจากที่ประชาชนนับถือศาสนาอิสลามกัน ทั่วไปแล้ว คงมีแต่ประเพณีที่เกี่ยวกับทางศาสนาอิสลามทั้งสิ้น ข้อสันนิษฐานดังกล่าวนี้หากได้ดูพิธีการแห่ นกแล้ว ก็จะทราบว่า มีการอ่านโองการและคาถาปล่อยนกที่จะออกแห่ คาถาแห่นกของจังหวัดปัตตานี ดังนี้ เฮ บูหรง เวงเวง ลักษมานอ กาเฆาะสูรอ แลกาปอ สิงงอ เฮ องค์พราหะมะจิต พราหะมะใจ พราหะมะจิ จุติกันซาไล (กันจังไร) พราหะมะใจ จุติกาโล แชมา จารีคุรู ลูกทอง ลูกกูแท ลูกกูแน ลูกกูสะ องคะคุรุองค์ มะฮาโฉน องคะบอดี มะหารีปะ (รีปะ แปลว่า ปล่อยให้พ้นไป) เมื่อเสร็จสิ้นการแห่นกแล้ว ก็จะมีการตั้งพิธีสวดมนต์ตามวิธีการทางไสยศาสตร์ เพื่อขับไล่ หรือ ขจัดปัดเป่าทุกข์โศกโรคภัยให้หมดสิ้นไป และเป็นพิธีที่เชื่อถือกันในขณะนั้น อย่างแพร่หลาย พิธีทาง ไสยศาสตร์นี้เป็นประเพณีที่ไทยเรารับมาจากศาสนาพราหมณ์ จากตำนานบอกเล่ากล่าวถึงความเป็นมาของการแห่นกว่าเริ่มขึ้นที่ยาวอ (ชวา) กล่าวคือ มีเจ้าผู้ ครองนครแห่งยาวอพระองค์หนึ่ง มีพระโอรสและพระธิดาหลายพระองค์ พระธิดาองค์สุดท้องทรงเป็นที่ รักใคร่ของพระบิดาเป็นอย่างยิ่งจึงได้รับการเอาอกเอาใจทั้งจากพระบิดาและข้าราชบริพารต่างพยายาม แสวงหาสิ่งของและการเล่นมาบำเรอ ในจำนวนสิ่งของเหล่านั้นมีการจัดทำนกและจัดตกแต่งอย่าง สวยงาม แล้วมีขบวนแห่แหนไปรอบ ๆ ลานพระที่นั่ง เป็นที่พอพระทัยของพระธิดาเป็นอย่างยิ่ง จึงโปรด ให้มีการจัดแห่นกถวายทุก ๆ ๗ วัน อีกตำนานหนึ่งว่ามี ณ กาลครั้งหนึ่งมีพระยาผู้เป็นใหญ่ในเมืองหนึ่ง (ไม่บ่งว่าชื่ออะไร) มีลูกผู้ชาย หลายคน คนสุดท้องเป็นผู้ชายอายุประมาณ ๑๐ ขวบ เป็นที่รักใคร่ของบิดามากจะประสงค์สิ่งใดก็ต้อง เสาะหามาให้จนได้ ครั้นต่อมาวันหนึ่งชาวประมงได้นำเหตุมหัศจรรย์ที่ได้พบเห็นมาจากท้องทะเลขณะที่ ตระเวนจับปลามาเล่าว่า พวกเขาได้เห็นพญานกตัวหนึ่งสวยงามอย่างมหัศจรรย์ผุดขึ้นมาจากท้องทะเล แล้วบินทะยานขึ้นสู่อากาศแล้วหายลับไปในท้องฟ้า พระยาเมืองจึงซักถามถึงรูปลักษณะของนก ประหลาดตัวนั้น ต่างคนต่างก็รายงานแตกต่างกันตามสายตาของแต่ละคน และต่างเชื่อมั่นว่านกตัวนั้น


๑๓ เป็นนกสวรรค์ เพราะบันดาลให้คนเห็นในลักษณะที่แตกต่างกัน พระยาเมืองตื่นเต้นและยินดีมาก ลูกชาย คนสุดท้องก็รบเร้าจะใคร่ได้ชม พระยาเมืองจึงป่าวประกาศรับสมัครช่างผู้มีฝีมือหลายคนให้ประดิษฐ์รูป นกตามคำบอกเล่าของชาวประมงซึ่งได้เห็นรูปที่แตกต่างกันนั้น ช่างทั้งหลายประดิษฐ์รูปนกขึ้นรวม ๔ ลักษณะ แล้วบรรดาช่างทั้งหลายก็ร่วมกันสร้างนกขึ้น ๔ ตัว ตามที่จินตนาการได้นกแต่ละตัวสวยงามมาก ข่าวลือกระฉ่อนไปยังเมืองใกล้ไกลเมื่อสร้างเสร็จจึงให้มีพิธีแห่อย่างมโหฬาร มีหญิงสาวเข้าริ้วขบวนถือ พานดอกไม้นานาชนิดมีหลากสี เรียกว่า “บุหงาซีเระ” คล้ายขันหมากเครื่องบายศรี ขบวนแห่ไปรอบ ๆ เมือง และเชื่อว่าตำนานคือจุดเริ่มต้นของประเพณีแห่นก เพื่อแสดงความจงรักภักดีแก่พระยาเมือง สืบเนื่องมาจนถึงบัดนี้ นกที่นิยมจัดทำขึ้นเพื่อแห่ตามประเพณีเดิม มีเพียง ๔ ตัว คือ (ศิริศักดิ์ ชาทอง, ๒๕๒๕ : ๑๗๕) ๑. นกกาเฆาะซูรอ หรือ นกกากะสุระ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นนกการเวก เป็นนกสวรรค์ ที่สวยงามและบินสูงเทียมเมฆ การประดิษฐ์มักจะตบแต่งให้มีหงอนสูงแตกออกเป็น ๔ แฉก นกชนิดนี้ชาว พื้นเมืองเรียกว่า “นกทูนพลู” เพราะบนหัวคล้ายบายศรีพลูที่ประดับในถาดเวลาเข้ากระบวนแห่ นกชนิดนี้มีกระหนกลวดลายสวยงามมากมักนำไม้ทั้งท่อนมาแกะสลัก ตานกประดับด้วยลูกแก้วสี ทำให้ กลอกกลิ้งได้เหมือนมีชีวิต แต่ที่แปลกอยู่ในนกตัวนี้ คือ มีงายื่นออกมาจากปากคล้ายงาช้างเล็ก ๆ พอสม กับตัวนกเข้าใจว่าเป็นการดัดแปลงให้แตกต่างจากนกธรรมดา สมกับที่เล่าว่าเป็นนกสวรรค์ เพราะฉะนั้น จึงเป็นที่ยอมรับกันว่า นกกาเฆาะซูรอ หรือ นกกากะสุระ เป็นนกตัวหนึ่งในประเพณีแห่นก ที่จัดทำกันมา แต่โบราณ ๒. นกกรุดา หรือ นกครุฑ มีลักษณะคล้ายกับครุฑในธนบัตร นกกรุดานี้เป็นที่น่าเสียดายที่การแห่ ในสมัยต่อ ๆ มาไม่มีผู้จัดทำขึ้น เพราะมีเชื่อกันว่ามีอาถรรพ์ ผู้ทำมักถูกอาเพศเกิดการเจ็บป่วย ไม่สบาย และถือกันว่าผีแรงมาก ถ้าไม่มีผู้รู้หรือครูหมอดี ๆ แล้วก็ไม่สามารถที่จะปัดรังควานให้หมดไปได้ ประกอบ กับนกชนิดนี้เมื่อตกแต่งหน้าและเนื้อตัวแล้วรู้สึกว่าดูน่ากลัว ด้วยเหตุนี้กระมังจึงใช้นกครุฑเป็น เครื่องหมายของทางราชการในปัจจุบัน และปัจจุบันจึงไม่นิยมจัดทำนกชนิดนี้เข้าร่วมกระบวนแห่ ๓. นกมือเฆาะมาศ หรือ นกยูงทอง มีลักษณะคล้ายนกกาเฆาะซูรอมาก มีหงอนสวยงามเป็น พิเศษ นกยูงทองนั้นเมื่อติดบ่วงนายพราน ไม่ยอมดิ้นเพราะเกรงจะเสียขนจนยอมตาย นกชนิดนี้อิสลาม ยกย่องมากและไม่ยอมบริโภคเนื้อ การตกแต่งและการประดิษฐ์รูปนกพญายูงทองต้องใช้ความละเอียด ถี่ถ้วน กว่าจะสำเร็จเป็นรูปร่างขึ้นมาได้ต้องใช้เวลามาก ๔ นกบุหรงซีงอ หรือนกสิงห์ มีรูปร่างเหมือนราชสีห์ ตามแบบฉบับของนกนี้หัวเป็นนกแต่ตัวเป็น ราชสีห์ นกชนิดนี้ตามนิทานเล่ากันว่ามีฤทธิ์มาก ทั้งมีการเหาะเหินเดินอากาศและดำน้ำก็ได้ มีงวง ปากมี เขี้ยวงาน่าเกรงขาม เลยทำรูปตัวให้เป็นสิงห์ไปเสียเลย ปัจจุบันช่างทำนกในจังหวัดปัตตานีจะทำนกเพียง ๒ ชนิดเท่านั้น คือ นกกาเฆาะซูรอ และ นกบุหรงซีงอ


๑๔ นกกาเฆาะซูรอ หรือ นกกากะสุระ นกกาเฆาะซูรอ หรือ นกกากะสุระ นกมือเฆาะมาศ หรือ นกยูงทอง นกบุหรงซีงอ หรือนกสิงห์ ที่มา : ตันติกร ผู้เจริญทรัพทย์ และ เฉลิมชัย โสวิรัตน์, ๒๕๖๒.


๑๕ กำเนิดการแห่นกบุหรงซีงอ นายช่างประดิษฐ์นก ได้ถ่ายทอดประวัติการแห่นกออกมาในรูปนิยายที่เล่าสืบต่อกันมาว่า รายา องค์หนึ่งมีโอรสธิดาสี่พระองค์ องค์สุดท้องเป็นชายนอกจากทรงพระสิริลักษณ์งดงามแล้ว กลับมีความ เฉลียวฉลาดปฏิภาณเฉียบแหลมยิ่งกว่าโอรสธิดาทั้งหลาย ดังนั้นโอรสองค์น้อยจึงเป็นที่สนิทเสน่หาของ พระราชบิดามารดา ไม่ว่าโอรสต้องประสงค์สิ่งใด รายาจะพยายามจัดหาเลือกสรรสิ่งของมามอบให้เสมอ วันหนึ่งรายาและข้าราชบริพารเสด็จประพาสทรงเบ็ดได้พบกับชาวประมงกลุ่มหนึ่ง หัวหน้า ชาวประมงได้เล่าเรื่องแปลกและมหัศจรรย์ที่เขาและพวกได้ประสบ ระหว่างนำเรือออกตระเวนจับปลาอยู่ ในท้องทะเลลึกว่า เห็นนกใหญ่ผุดโผล่ขึ้นจากท้องทะเล ดวงตาโตแดงก่ำมีงวง มีงาและเขี้ยวงอกออกจาก ปาก น่าเกลียดน่ากลัว แต่เมื่อนกนั้นบินขึ้นสู่อากาศ เขาเห็นรูปร่างสีสันขนปีกขนหาง รู้สึกว่าสวยงาม แปลกประหลาดกว่านกทั้งหลาย พวกเขาเชื่อว่าเป็นนกแห่งสวรรค์มิใช่นกธรรมดา เพราะติดตามดู จนกระทั่งนกตัวนั้นบินหายลับไปในท้องฟ้าสีคราม เมื่อรายากลับคืนสู่อิสตานาแล้ว ทรงเล่าเรื่องประหลาดที่ชาวประมงเล่า ให้ประไหมสุหรีและ โอรสธิดาฟัง โอรสองค์น้อยพอใจในเรื่องนกมหัศจรรย์นั้นมาก ถึงกับวิงวอนให้องค์รายาสร้างรูปนกจำลอง ขึ้น รายามิอาจขัดขืนจิตใจโอรสอันเป็นที่รักของพระองค์ได้ วันรุ่งขึ้นพระองค์ได้เรียกประชุมบรรดา อำมาตย์ผู้ใกล้ชิด ตรัสเล่าถึงเรื่องนกประหลาดและความประสงค์ของโอรสแล้วรับสั่งเหล่าอำมาตย์ให้ออก สืบหาช่างเขียนภาพ ช่างแกะสลัก และช่างฝีมือการประดับตกแต่งมาช่วยประดิษฐ์รูปนกขึ้น ฝ่ายช่างเขียนก็บรรจงเขียนภาพจากคำบอกเล่าของชาวประมงผู้ได้เห็นนกประหลาดตัวนั้น ช่าง แกะสลักต่างก็นำเอาไม้มาแกะสลักหัวนกจากภาพที่ช่างเขียนสี่คนได้เขียนขึ้น เมื่อนำเอาหัวนกแต่ละหัว ไปสวมกับโครงร่างตัวนกที่ช่างฝีมือช่วยกันประดิษฐ์ขึ้น นกแต่ละตัวจึงมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไปตาม ทรรศนะของชาวประมงผู้เล่าและจินตนาการของนายช่างเขียนภาพแต่ละคน เมื่อมหาอำมาตย์และนายช่างนำนกขึ้นถวายแด่รายาทรงมีบัญชาให้ประชุมคณาจารย์ผู้เฒ่า ช่วยกันตั้งนามนกทั้งสี่ มีนามว่า ลักษมานอ กาเฆาะซูรอ การุดา และซิงอ ในพิธีสมโภชเฉลิมฉลองนก รายาได้ให้โอรสธิดาทั้งสี่ขึ้นประทับนั่งบนหลังนกเข้าขบวนแห่ไป รอบ ๆ อิสตานา ค่ำลงก็มีการละเล่นให้ชาวเมืองได้ชมเป็นที่สุขสำราญกันทั่วหน้า ตำนานการแห่นกนั้นมีมาหลายที่มาด้วยกัน เช่น ตำนานการประดิษฐ์นกอย่างสวยงาม พร้อมนำ ออกมาแห่ทุก ๆ ๗ วัน เพื่อให้ธิดาองค์สุดท้องของเจ้าเมืองเป็นที่พอพระทัย หรือตำนานเจ้าเมืองป่าว ประกาศหาช่างฝีมือมาประดิษฐ์นกตามคำบอกเล่าของชาวประมงที่เห็นพญานกผุดขึ้นจากทะเลแล้วบิน หายขึ้นไปยังท้องฟ้าจนได้เป็นนก ๔ ตัว บ้างก็ว่าการแห่นกนี้สืบเนื่องมาจากในสมัยก่อน เริ่มต้นสมัยปลาย รัชกาลที่ ๕ ซึ่งภาคใต้ไม่ค่อยมีการละเล่นพื้นบ้าน ชาวใต้ที่ออกมานั่งรับแสงแดดในตอนเช้า มองเห็นแสง แรกของดวงอาทิตย์สะท้อนกับปุยเมฆ รูปร่างดูคล้ายกับนกมีงวงช้างออกมา ชาวใต้จึงจิตนาการสัตว์ ดังกล่าวออกมาให้เป็นนกบุหรงซีงอ


๑๖ ๖. ลักษณะเฉพาะที่แสดงถึงอัตลักษณ์ของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม โดยให้มีรายละเอียด ครอบคลุม สาระ ดังต่อไปนี้ วัฒนธรรมและประเพณีของชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ สภาพทางสังคมความเป็นอยู่เกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมนั้น เนื่องจากชาว ไทยมุสลิมนับถือศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัด การดำเนินชีวิตในทุก ๆ ด้าน จึงต้องอยู่ภายในกรอบ หรือ ขอบเขตของวัฒนธรรมอิสลามเป็นหลัก ส่วนขนบธรรมเนียมประเพณีของท้องถิ่นนั้น มีบางอย่างยังถือ ปฏิบัติแตกต่างกันไปบ้าง วัฒนธรรมตามความหมาย ได้แก่สิ่งอันเป็นวิถีชีวิตของสังคมคนในส่วนรวมของสังคมจะคิดเห็น อย่างไร รู้สึกอย่างไร มีความเชื่ออย่างไร ก็แสดงออกให้ปรากฎเห็นเป็นรูปภาษา ประเพณี กิจการงาน การเล่น การศาสนา เป็นต้น ตลอดจนเป็นสิ่งต่าง ๆ ที่คนในส่วนรวมสร้างขึ้น เช่น สิ่งอันจำเป็นแก่ชีวิต และการครองชีพ มีเรื่องปัจจัย ๔ เครื่องมือ เครื่องใช้ เหล่านี้เป็นต้น ความคิด ความรู้สึก ความเชื่อ ที่ สำแดงออกให้ปรากฎเห็นเป็นสิ่งต่าง ๆ ดังกล่าวมาข้างต้นรวมทั้งหมดนั้น ย่อมมีการสะสมเป็นความรู้ไว้ ในความจำจดไว้ในหนังสือ และสิ่งต่าง ๆ ที่สร้างขึ้น และถ่ายทอดไว้ให้แก่คนเป็นมรดกตกทอดสืบต่อ กันมาทุกชั่วอายุคน มีการเพิ่มเติมเสริมสร้างสิ่งใหม่ และปรับปรุงสิ่งเก่าให้เข้ากันได้ และมีความ เจริญก้าวหน้าเรื่อยไปเป็นลำดับเช่นเดียวกับประเพณีแห่นกบุหรงซีงอ ซึ่งปัจจุบันกำลังจะสูญหาย ดังนั้น จึงจำเป็นจะต้องสืบสาน อนุรักษ์ รักษาไว้ให้คงอยู่สืบต่อไป การแห่นกบุหรงซีงอจะมีการจัดขบวนแห่ ประกอบด้วยอุปกรณ์และกำลังคนมากมาย ก่อนที่ จะเริ่มขบวนแห่นั้น ต้องมีการประกอบพิธีกรรมเพื่อเป็นสิริมงคลแก่คนทั่วไปและผู้เข้าร่วมพิธีกรรม และกิจกรรมต่าง ๆ เริ่มกระทำกันตั้งแต่ก่อนจัดแห่นกโดยมีลำดับต่อไปนี้ ๑. การประดิษฐ์นก หัวนก จากการสังเกตหัวนกรุ่นเก่า ในท้องถิ่นอำเภอยะรัง อำเภอเมืองปัตตานี และอำเภอ หนองจิก นิยมใช้ไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้ตะเคียน ไม้กายี นำมาแกะเป็นหัวนก เนื้อไม้เหล่านี้ไม่แข็งเปราะ จนเกินไป สะดวกในการแกะของช่าง ทั้งยังทนทานใช้การได้นานปี คุ้มค่าเวลาและแรงงานของช่างแกะสลัก ช่างที่มีฝีมือและชำนาญการแกะสลัก บอกว่าแต่ละหัว (นก) ต้องใช้เวลาแกะสลักหนึ่งหรือสองเดือน ฝีมือ การแกะสลักของช่างท้องถิ่นนับได้ว่าไม่ด้อยทีเดียว หากได้นำเอาหัวนกรุ่นเก่า ไปเปรียบเทียบกับหัวเรือ สุพรรณหงส์ พาลีรั้งทวีป อนันตนาคราช ดูเป็นที่น่าเสียดายที่บรรดาช่างต่างก็ได้ร่วงโรยล้มหายตายจาก ไปโดยปราศจากการสืบทอดให้แก่อนุชนรุ่นหลัง ตัวนก ใช้ไม้ไผ่ผูกเป็นโครงติดคานหาม แล้วนำกระดาษมาติดรองพื้น ต่อจากนั้นก็ตัดกระดาษสี เป็นขนประดับส่วนต่าง ๆ สีที่นิยม ได้แก่ สีเขียว สีทอง (เกรียบ) สีนอกนั้นจะนำมาใช้ประดับตกแต่งเพื่อให้ สีตัดกันแลดูเด่นขึ้น


๑๗ ๒. พิธีสวมหัวนก เป็นพิธีกรรมเซ่นบวงสรวงหัวนกด้วยเครื่องเซ่นต่าง ๆ ตามตำราโบราณมีการนำเครื่องเซ่นสังเวย ไปวางหน้าหัวนก มีประกอบพิธีกรรมจุดเทียนเผากำยานพร้อมทั้งกล่าวคาถาบูชา พิธีสวมหัวนก ในปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมปฏิบัติกันแล้ว เพราะขัดกับความเชื่อถือของสังคม พิธีการ สวมหัวนกนี้ มีที่มาทำนองเดียวกันกับการนำเรือหงส์ลงสู่แม่น้ำของชาวไทยภาคกลาง ดังความในกาพย์ แห่เรือตอนหนึ่งว่า “เรือหงส์ลงสู่คงคา พราหมณ์พฤฒาบำบวงสรวง สวัสดิศรีศักดิ์ปวง ปกป้องขวัญให้ยรรยง” อุปกรณ์ที่ใช้ในพิธี ๑. ผ้าเพดานสำหรับขึงตรงหัวนก ๑ ผืน ขนาด ๑ x ๑ เมตร ๒. ข้าวเหนียวสมางัด ๑ พาน (เช่นเดียวกับข้าวเหนียวเหลืองของชาวไทย แต่ข้าวเหนียวสมางัด นิยมใช้สามสี คือ เหลือง แดง ขาว) ๓. ขนมดาดา หรือฆานม ๑ จาน (ขนมทำใช้ในพิธีเฉพาะ ไม่นิยมทำรับประทาน) ๔. ข้าวสาร ๑ จาน (ข้าวสารย้อมสีเหลือง) ๕. แป้ง น้ำหอม ๖. กำยาน ๗. เทียน ๘. ทอง ๙. เงิน ๑๐. เงินค่าบูชาครู ๑๒ บาท ๑๑. ใบอ่อนของมะพร้าว ๒ - ๓ ใบ เมื่อนำเครื่องเซ่นบวงสรวงไปวางเบื้องหน้าหัวนก ผู้ประกอบพิธีจุดเทียนเผากำยานแล้วกล่าวถาคา บูชาต่อไปนี้ “เฮ - บูหรง - เวง – เวง ลักษมานอ, ฆาเฆาะสูรอ, แลกาปอ, ซีงอ” (คาถาบทที่หนึ่ง) “เฮ - องค์พราหมจิต พราหมใจ จุติการโลแซ มาจารีฆูรู ลูกูทอ ลูกูแท ลูกูแน ลูกูสะ องค์มหาฆูรู องค์มหาไฉน องค์มหาบดี (ปะลือปัส) (ถาคาบทที่สอง) จบกล่าวคาถา ผู้ทำพิธีนำใบมะพร้าวเทิดขึ้นเสมอหน้าแล้วกล่าวคำ “ปะลือปัส” (หลุดพ้น, ปลอดภัย) ก็เป็นการเสร็จพิธี คาถานี้ถอดเป็นภาษาไทยได้ดังนี้ “โอม พรหมจิต ไรหมใจ ขจัดจัญไร กาลเทพ คุรุเทพ โอมมหาคุรุ โอมมหาไฉน โอมมหาบดี ปกป้องภัย”


๑๘ คาถาบทแรกเป็นชื่อนก ๔ ตัว ตัวแรก “ลักษมานอ” ชื่อเดียวกับพระลักษณ์ ตัวที่สอง “ฆาฆะสุรอ” หรือ “กากะสุระ” ในพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ใช้คำว่า “กากะนาสูร” ตัวที่สาม “แลกาปอ” “แล” ภาษาถิ่นปัตตานี หมายถึง นกเหยี่ยว สกุลเดียวกับนกอินทรีย์อันเป็นที่มาของครุฑ ในวรรณคดีภาษาถิ่นปัตตานีเรียกครุฑว่า “การุดอ” ตัวที่สี่ “ซีงอ” หมายถึงนกสิงห์ ตรงกับ นกหัสดีลึงค์ในนิยายปรัมปราของไทย คาถาบทที่สอง มีถ้อยคำภาษาไทยปะปนอยู่มากมาย คล้ายคลึงกับคาถาแก้บนของหนัง วายังเสียม (หนังตะลุงของชาวปัตตานี) คำว่า “อง” มาจากโอมหมายถึงพระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ “จุติ” จุติในภาษาไทยแปลว่า ดับ การหมดสภาพของเทพ “กันซาไล” เข้าใจว่าเป็นภาษาไทย กัน = “ป้องกัน” ชาไล = “จัญไร” แปลว่า สิ่งชั่วร้าย “กาโลแซ” กาโล, กาลอ, ตือกาลอ, เลือนมาจาก คำว่า “ภัทรกาล หรือพระกาล ชื่อพระศิวะปางดุร้าย “แซ” แซ ซัง = เทพ กาโลแซ = กาลเทพ “องฆูรู” อง = โอม ฆูรู = คุรุ เลือนมาจากคำว่า “ภัทรคุรุ” ชื่อพระศิวะ ปางสร้างสรร ดูหนังสือ “สยาเราะห์ อาลัมมลายู” ตอนที่กล่าวถึงพระศิวะเทพ ถอดเล่าความในคาถาได้ดังนี้ “โอม พรหมจิต พรหมใจ ขจัด จัญไร กาลเทพ คุรุเทพ โอมมหาคุรุ โอมมหาไฉน โอมมหาบดี ปกป้องภัย”


๑๙ ภาพพิธีการบวงสรวงนกบุหรงซีงอก่อนนำไปแห่ เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ณ ที่ว่าการอำเภอยะหริ่ง ที่มา : อุไร เลอศักดิ์อนุสรณ์ ประเพณีแห่นกโบราณของจังหวัดปัตตานี ๓. การจัดขบวนแห่นก ขบวนแห่นกบุหรงซีงอจะมีข้อกำหนด หรือองค์ประกอบรูปแบบการจัดขบวนซึ่งจำเป็นใช้ กำลังคน และอุปกรณ์มากมาย ผู้มีฐานะมีบริวารเท่านั้นจึงจะจัดขบวนแห่ได้โดยสมบูรณ์ องค์ประกอบ ของขบวนแห่ประกอบด้วยชุดต่าง ๆ เรียงจากต้นขบวน ได้แก่ อันดับแรก ได้แก่ เครื่องประโคม สำหรับประโคมดนตรีนำหน้าขบวนนก ประกอบด้วย คนเป่าปี่ ชวา (สุไน) ๑ คน กลองแขก (คันดัง) ๑ คู่ ใช้คนตีสองคน ฆ้องใหญ่ ๑ ใบ ใช้คนหามและคนตีฆ้องรวม สองคน ดนตรีนี้จะบรรเลงนำหน้าขบวนนกไปจนถึงจุดหมายและบรรเลงในเวลาแสดงสิละ รำกริช อันดับ ๒ เป็นขบวนบุหงาซือรี(บายศรีที่ทำกับใบพลู) จัดเป็นขบวนที่สวยงามระรื่นตาผู้ชม ขบวนหนึ่ง ผู้ทูนพานบายศรีต้องเป็นสตรีที่ได้รับการคัดเลือกเฟ้นจากผู้มีเรือนร่างได้สัดส่วน แต่งกายด้วย เสื้อผ้าหลากสีสันตามประเพณีท้องถิ่น พานบายศรี (อาเนาะกาซอ) ใช้พานทองเหลือง ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมในอดีตของเมืองตานี ปัจจุบันกลับกลายเป็นวัตถุโบราณประดับบ้านผู้มีอันจะกิน ไปจวนจะหมดสิ้นแล้ว พานบายศรีที่นิยมใช้เข้าขบวนแห่ นิยมใช้พานคี่ คือ ๓ - ๕ - ๗ หรือ ๙ พาน อันดับ ๓ ขอใช้คำว่า “ทวิรักขบาท” คือ ผู้ดูแลนก ทำนองเดียวกับจตุลังคบาท ทหารประจำ เท้าช้างของแม่ทัพสมัยโบราณ ใช้ชาย ๒ คน แต่งกายแบบนักรบมือถือกริชเดินนำหน้านกคัดเลือกจาก ผู้ชำนาญการร่ายรำสิละ รำกริช รำหอก อันเป็นศิลปะการต่อสู้อย่างหนึ่งของชาวปัตตานี เมื่อขบวนแห่ไป ถึงจุดหมาย หรือที่อาคันตุกะพักอยู่ “ทวิรักขบาท” ก็จะใช้ศิลปะการร่ายรำสิละ รำกริช รำหอก ให้แขก ชมอีกด้วย อันดับ ๔ ขบวนนกบุหรงซีงอ จัดให้ยืนมาบนคานหาม ใช้ผู้หามจำนวนมาก - น้อย ขึ้นอยู่กับ ขนาดและน้ำหนักของนก หากนกมีขนาดใหญ่อาจใช้คนหามถึง ๑๖ คน ผู้หามแต่งกายเครื่องแบบพล ทหารถือหอกเป็นอาวุธ


๒๐ อันดับ ๕ ขบวนพลกริช ขบวนพลหอก ผู้คนในขบวนแต่งกายอย่างนักรบสมัยโบราณ ถือหอก ถือกริชเดินตามหลังขบวนนก ดุจเหล่าทหารหาญเคลื่อนเข้าสู่สมรภูมิอันมีพระราชาเป็นผู้นำ จำนวน ทหารกริช ทหารหอกมีมากเท่าไรก็จะทำให้ขบวนแห่นกแลดูน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น ผังการจัดการแห่นกบุหรงซีงอ ๑. ๒. ๓. ๔. ๕. ป้ายขบวนแห่ เครื่องประโคม และธง ทวิรักขบาท (ผู้ดูแลนก) ขบวนบุหงาซีเระ (บายศรีทำกับใบพลู) ขบวนนกบุหรงซีงอ ขบวนพลกริช พลหอก


๒๑ หากเป็นการแห่นกเข้าในพิธีเข้าสุหนัต จะมีลักษณะต่างไปเล็กน้อย ได้แก่ อาจใช้นกเพียง ๑ ตัว ก็ได้ จะแห่เช้าของวันเข้าพิธี หรือแห่ ๒ ครั้ง คือ ในเย็นของวันก่อนเข้าพิธีสุหนัตด้วยก็ได้ เริ่มขบวนด้วย ผู้หญิงถือเชี่ยนหมากและกาน้ำเดินนำหน้า ถัดมาเป็นผู้หญิงถือพานบายศรี (พานดอก-พลู) ทำด้วยใบพลู จับเป็นชั้น ๓, ๕, หรือ ๗ ชั้น) ถัดมาเป็นขบวนผู้ชายถืออาวุธ อารักขารอบ ๆ นกในขบวนนี้ จะมีประโคม ดนตรีและเล่นสิละไปพร้อม ๆ กัน สุดท้ายจึงเป็นขบวนนก ก่อนเริ่มแห่ “โต๊ะมูเด็ง” (ผู้ทำหน้าที่ขลิบ หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ) จะจุดเทียนและร่ายอาคมเวียนรอบนก โดยเดินเวียนซ้าย ๓ รอบ และเดิน ย้อนกลับอีก ๑ รอบ แล้วจึงให้ผู้จะเข้าพิธีสุหนัตขึ้นหลังนกบุหรงซีงอ จากทางด้านขวา (ลงทางซ้าย) จากนั้นจึงเคลื่อนขบวนไปยังสถานที่ประกอบพิธีเมื่อขบวนถึงที่หมาย โต๊ะมูเด็ง จะร่ายอาคมทำพิธีเชือด เป็นเสร็จพิธี ๔. ข้อห้ามตามความเชื่อ ข้อห้ามตามความเชื่อนี้ ปรากฏเฉพาะในการแห่นกเข้าพิธีสุหนัตเท่านั้น มีความเชื่อหลายประการ เช่น ห้ามผู้ใดเดินผ่านหน้านกซึ่งวางไว้ก่อนเริ่มขบวนแห่เด็ดขาด มิฉะนั้นจะเกิดเหตุเพศภัยต่าง ๆ นานา จึงมีการปักไม้ไว้ด้านหน้านกบุหรงซีงอให้เป็นที่สังเกต ผู้เข้าพิธีสุหนัตจะต้องมีพี่เลี้ยงนั่งบนหลัง นกบุหรงซีงอด้วย ๑ คน หากเป็นงานที่ชาวบ้านจัดเองต้องให้ผู้มีเชื้อสายเจ้าเมือง หรือสายเลือดขึ้นไปนั่ง ด้วยอีกคนหนึ่ง เป็นต้น จะเห็นได้ว่าการแห่นกนั้น เป็นการบูรณาการนำศิลปะวัฒนธรรมหลากหลายมาใช้ในการจัด ขบวนแห่ โดยมีการเชื่อมโยงวัฒนธรรมมาจากวังยะหริ่ง และนอกจากต้องใช้ช่างฝีมือในการประดิษฐ์นก แล้ว ยังมีการประดิษฐ์บุหงาซีเระ การแสดงศิลปะการต่อสู้ที่เรียกว่า “สิละ” เป็นต้น ในการจัดขบวนแห่ แต่ละครั้งจึงต้องใช้ผู้คนเป็นจำนวนมากมาร่วมใจกันจัดขบวนแห่ และร่วมขบวนแห่จากการศึกษาภาพ การจัดขบวนแห่ในสมัยโบราณ จะเห็นถึงความสนุกสนาน และความร่วมแรงร่วมใจของผู้ร่วมขบวนแห่ จึง เป็นการยากที่จะจัดขึ้นบ่อย ๆ เพราะต้องใช้ผู้คนมากมายและงบประมาณเป็นจำนวนมาก


๒๒ องค์ประกอบรูปแบบการจัดขบวนแห่นกบุหรงซีงอ ป้ายขบวนแห่ ตามด้วยเครื่องประโคม (เครื่องดนตรีสิละ) และธง เครื่องประโคม เป็นเครื่องดนตรีสิละ ประกอบด้วยฆ้อง กลองแขก ปี่


๒๓ ขบวนบุหงาซีเระ (บายศรีที่ทำกับใบพลู) ขบวน “ทวิรักขบาท” คือ ผู้ดูแลนกบุหรงซีงอ


๒๔ ขบวนนกบุหรงซีงอ และตามด้วยขบวนพลกริช ขบวนพลหอก สิละร่ายรำรับขบวนแห่นก เพื่อเข้าพิธีสุหนัต ที่มา : ตันติกร ผู้เจริญทรัพทย์ , ๒๕๖๒.


๒๕ ภาพหัวนกโบราณที่ยังไม่ได้ตกแต่ง ภาพหัวนกโบราณที่ได้ตกแต่งเรียบร้อยแล้ว ที่มา : อุไร เลอศักดิ์อนุสรณ์ ประเพณีแห่นกโบราณของจังหวัดปัตตานี


๒๖ องค์ประกอบที่โดดเด่นในการแห่นกบุหรงซีงอ ๑. บุหงาซือรี (บายศรีที่ทำกับใบพลู) หรือบุหงาซีเระ ความหมาย บุหงา หมายถึง ดอกไม้ ซีเระ หมายถึง ใบพลูที่ใช้กินกับหมาก บุหงาซีเระ จึงเป็นการประดิษฐ์ใบพลูจัดซ้อนกันโดยให้เป็นรูปดอกไม้บานเรียงใบพลูวางซ้อนเป็น ๓ ชั้น ๕ ชั้น ๗ ชั้น และ ๙ ชั้น ทั้งนี้แล้วแต่จุดประสงค์ของการนำไปใช้ และประดับตกแต่งด้วยดอกไม้ ซึ่งนิยมใช้ในงานมงคล ๓ ชั้น นำไปใช้ ในพิธีแต่งงาน ขบวนแห่ต่าง ๆ หรือพิธีมงคลเล็ก ๆ ๕ ชั้น นำไปใช้ ในพิธีต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง หรืองานพิธีมงคลใหญ่ ๆ ๗ ชั้น นำไปใช้ ในพิธีต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองชั้นเจ้า ที่มีระดับชั้นสูงขึ้นไป และงานมงคล ชั้นสูง ๙ ชั้น นำไปใช้ ในพิธีต้อนรับ และเฉลิมฉลองพระมหากษัตริย์เท่านั้น ประวัติความเป็นมาของบุหงาซีเระ บายศรีของชาวพุทธในภาคใต้จะมีหลายขนาดมีชั้นของบายศรีเป็นตัวกำหนด โครงสร้างของ บายศรีจะใช้ต้นกล้วยหรือหยวกกล้วยเป็นแกนกลาง และใช้ใบตองประดิษฐ์เป็นกลีบบัวหรือกลีบดอกไม้ ฐานของบายศรีจะใช้พานขนาดใหญ่เป็นฐานรองรับ การนำเอาบายศรีไปใช้ในพิธีกรรมของชาวพุทธใน ภาคใต้พบว่ามีใช้อยู่มากหลายพิธีกรรม เช่น การทำบายศรีไปใช้ในพิธีกรรมขวัญต่าง ๆ ใช้ในพิธีกรรม สำคัญ เช่น โนรา โรงครู ฯลฯ บายศรีนั้น ท่านผู้รู้ส่วนใหญ่จะรับทราบกันดีว่าเป็นสัญลักษณ์ของเขาพระสุเมรุ ตามคติความเชื่อ ของ อินดู การนำเอาบายศรีมาใช้เป็นเครื่องประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น การยกเสาเอก วางศิลาฤกษ์ งานแต่ง งานสุหนัต มะโยงโรงครู การทำขวัญ การแห่ขบวนต่าง ๆ ฯลฯ การทำขวัญต่าง ๆ นั้นก็เพราะมา จากคติความเชื่อที่ว่าเขาพระสุเมรุเป็นที่สถิตของเทพยดาต่าง ๆ การนำเอาบายศรีมาตั้งเป็นเครื่องประฐาน ในการประกอบพิธีกรรมตามคติความเชื่อพราหมณ์ – ฮินดู ก็เพื่อความเป็นสิริมงคลของพิธีกรรม โดยเชื่อ ว่าเทพยดาทั้งหลายได้อัญเชิญมาในพิธีกรรมนั้น ๆ ได้มาสถิตอยู่บนยอดบายศรี หรือเขาพระสุเมรุจำลอง นั้นเอง เพื่อมาเป็นสักขี มาประสิทธิประสาทพร และโชคชัยให้ผู้ที่เข้าร่วมพิธีกรรม เช่น เป็นองค์ประธาน ในการประกอบศาสนกิจ และ พิธีกรรม ต่าง ๆ กลุ่มชาวมุสลิมในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ อันได้แก่ ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส ซึ่งชาว มุสลิมในพื้นที่นี้ส่วนใหญ่จะมีเชื้อสายมลายู จะใช้หยวกกล้วยหรือต้นกล้วยขนาดเล็กเป็นแกนกลาง ส่วน กลีบบัวหรือดอกไม้จะใช้ใบ”พลู”เป็นเครื่องตกแต่งในคำมลายูปัตตานีเรียกใบพลูว่า ซีเระ ส่วนคำมลายู กลางจะเรียกว่า ซือรี , ซีเระ และ ซือรีที่แปลว่า พลู นั้นจะตรงกับคำราชาศัพท์ของไทยที่เรียกพลูว่า ศรี และเรียกหมากพลูว่า พระศรี ส่วนเซียนหมากนั้นเรียกว่า พานพระศรี ซึ่งคำว่าศรีที่ใช้ในราชาศัพท์ที่ แปลว่าพลูนั้น พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตย์สถาน ๒๕๒๕ ว่ามีที่มาจากคำมลายู ซึ่งก็คือคำว่า ซีเระ หรือ


๒๗ ซือรี นั้นเอง และคำว่าบายศรีนี้ก็เรียกกันในภาษามลายูปัตตานีว่า “บุงอซีเระ” ส่วนมลายูกลางจะออก เสียงเป็น “บุหงาซือรี” แต่ทางราชการไทยในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้กลับไปบัญญัติคำว่าบายศรี เสียใหม่ เป็นคำลูกผสมระหว่างคำมลายูกลางกับมลายูปัตตานี โดยเรียกบายศรีของชาวมุสลิมในจังหวัด ชายแดนภาคใต้ว่า “บุงอซีเระ” และได้ใช้แบบแผนมาจนทุกวันนี้(บุหงาเป็นคำมลายูกลางแปลว่าดอก หรือ ดอกไม้ ส่วนคำว่าซีเระเป็นคำมลายูปัตตานีแปลว่า พลูหรือใบพลู) ถ้าจะใช้คำว่าบายศรีที่เรียกเป็น ภาษามลายูว่า”บุหงาซีเระ” หรือ”บุงอซีเระ ที่แปลว่าดอกไม้พลูหรือดอกไม้แห่งสิริมงคลก็ได้ เพราะคำว่า ซือรือ หรือ ซีเระนั้นเป็นคำบาลีสันสกฤต ซึ่งก็คือคำว่า”สิริ”หรือ”ศรี”ที่แปลว่ามิ่งขวัญหรือสิริมงคล นั้นเอง และคำ ๆ นี้ชาวชวา - มลายู รับมาใช้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่อินดู- พุทธ หรือ อินดู- ชวา ได้แผ่อิทธิพล เข้ามาเมือครั้งโบราณกาลก่อนที่อิสลามจะเข้ามาแทนที่ในภายหลัง ในจังหวัดปัตตานีประวัติความเป็นมาของบุหงาซีเระไม่ค่อยมีการบันทึกไว้เป็นการเฉพาะ แต่จะ กล่าวถึงไว้ในส่วนประกอบของการจัดงานประเพณีต่าง ๆ เช่น ประเพณีการแห่นกจึงได้ทำการศึกษา ประวัติความเป็นมาของ “บุหงาซีเระ” จากคำบอกเล่าของคุณป้าสวาทพิพิธภักดี ภรรยาของพระพิพิธ ภักดี (บุตรคนโตของพระยาพิพิธเสนามาตยาธิบดีศรีสุรสงคราม เจ้าเมืองยะหริ่งคนสุดท้าย) คุณป้าสวาท ถือว่าเป็นบุคคลย้อนยุคของวังยะหริ่งที่เหลืออยู่คนเดียว สามารถเล่าเรื่องแต่หนหลังตอนที่ วังยะหริ่ง รุ่งเรืองได้อย่างแม่นยำ คุณป้าได้เล่าว่า ในสมัยก่อน เนื่องในพิธีต้อนรับเจ้าเมือง และแขกบ้าน แขกเมือง จะมีขบวนแห่นกของชาวไทยอิสลามในจังหวัดภาคใต้ และในขบวนจะมีขบวนแห่ “บุหงาซีเระ” ควบคู่ ตามมาด้วยเสมอ ซึ่ง “บุหงาซีเระ”จะเป็นส่วนหนึ่งของงานประเพณีสำคัญ ๆ ของชาวไทยมุสลิม ไม่ว่า จะเป็นงานแต่งงาน พิธีสู่ขอ พิธีเข้าสุหนัต พิธีรับขวัญเด็ก พิธีกรรมทางศาสนาต่าง ๆ “บุหงาซีเระ”จึง เป็นเครื่องหมายของความเป็นสิริมงคล เป็นสิ่งนำโชคลาภ และเพื่อความสวยงาม “บุหงาซีเระ”จึงเป็น เหมือนเสน่ห์ของการจัดงานประเพณีของอำเภอยะหริ่งแต่ละครั้ง ผู้ไปเที่ยวชมงานจะตื่นตาตื่นใจและ สอบถามที่มาของการนำใบพลูมาซ้อน ๆ กันเป็นบุหงาซีเระ การประดิษฐ์บุหงาซีเระ ในการประดิษฐ์บุหงาซีเระ นิยมประดิษฐ์เป็นชั้นคี่ คือ ๓ ชั้น ๕ ชั้น ๗ ชั้น มีวัสดุอุปกรณ์ที่เป็น ส่วนประกอบของบุหงาซีเระ คือ ๑. พานทองเหลือ ๒. หน่อกล้วยมีใบ ๒ – ๓ ใบ สูง ๓ เท่าของความกว้างของพาน ๓. ไม้ไผ่เกลาเล็ก ๆ ยาวสองเท่าของพาน ๔. ใบพลู ๕. กาบกล้วย ๖. กระดาษทองเกรียบ ๗. ใบมะยมหรือใบอื่น ๆ


๒๘ บุหงาซีเระ ๓ ชั้น บุหงาซีเระ ๕ ชั้น บุหงาซีเระ ๗ ชั้น


๒๙ ๒. ศิลปะการแสดงสิละ สิละ เป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวอย่างหนึ่งของชาวไทยมุสลิม เช่นเดียวกับคาราเต้ ยูโด กังฟู หรือ มวยไทย โดยได้รับอิทธิพลด้านศิลปะการแสดงที่มีผู้สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดขึ้นครั้งแรกที่ เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย หรือจากมะละกา และแพร่กระจายมายังประเทศมาเลเซีย และมาทาง ตอนใต้ของประเทศไทย ไทยมุสลิมภาคใต้เรียกการต่อสู้แบบสิละอีกอย่างหนึ่งว่า “ตีกา” หรือ “บือตีกา” เป็นการต่อสู้ด้วยมือเปล่า เน้นให้เห็นลีลาการเคลื่อนไหวอย่างสง่างาม ที่มาของท่ารำกำเนิดจากช่อดอกบอมอร์ในกระแสน้ำวน Mubin Sheppard ได้กล่าวถึงตำนาน สิละไว้ว่า การต่อสู้แบบสิละมีตั้งแต่ ๔๐๐ ปีมาแล้ว โดยกำเนิดที่เกาะสุมาตรา ต่อมาผู้สอนได้ดัดแปลง แก้ไขให้เข้ากับยุคสมัย มีตำนานว่า สมัยหนึ่งสามสหายเชื้อสายสุมาตรา ชื่อ บูฮันนุดดิน ซัมซุดดิน และ ฮามิน นุดดิน เดินทางจากมินังกาบัง ฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของสุมาตรา สำนักวิยายุทธนั้นอยู่ใกล้สระ น้ำใหญ่ น้ำในสระไหลมาจากหน้าผาสูงชันริมสระมีต้นบอมอร์ (ต้นอินทนิล) ออกดอกสีม่วงสดกลมกลืน กับสีนกกินปลา ซึ่งถลาร่อนแล่นน้ำเนืองนิตย์ วันหนึ่งฮามินนุดดินไปตักน้ำที่สระแห่งนั้น เขาสังเกตเห็นว่า แรงน้ำตกทำให้น้ำในสระเป็นระลอกคลื่นหมุนเวียน และที่น่าทึ่งคือ ดอกบอมอร์ช่อหนึ่งซึ่งหล่นจากต้น ถูกน้ำพัดตกลงกลางสระแล้วถอยย้อนกลับไปใกล้ตลิ่ง ลอยไปลอยมาเช่นนี้ประหนึ่งว่ามีชีวิตจิตใจ ฮามิน นุดดินเพิ่มความพิศวงถึงกับวางกระบอกไม้ไผ่ซึ่งบรรจุน้ำแล้วจ้องมองดอกไม้ในสระเป็นเวลานาน จนกระทั่งกระแสลมและกระแสคลื่นพัดพาดอกบอมอร์ออกจากกระแสน้ำ จากนั้นชายหนุ่มรีบคว้าดอกไม้ ช่อนั้นกลับมา เขาได้นำลีลาการลอยของดอกบอมอร์มาประยุกต์สอนการร่ายรำให้แก่เพื่อนทั้งสอง และ ช่วยกันคิดวิธีเคลื่อนไหว อาศัยแขน ขา เพื่อป้องกันฝ่ายปรปักษ์ วิชาสิละจึงเกิดขึ้นตั้งแต่นั้นมา เมื่อสาม สหายเดินทางกลับถิ่นเดิมแล้ว ต่างตั้งตัวเป็นครูวิทยายุทธและศาสนาอิสลามปรากฎว่ามีผู้สนใจสมัครฝึก การต่อสู้แบบสิละจนเป็นที่แพร่หลายออกไปตามลำดับ ตำนานสิละ ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่าแต่ก่อนมี ๒ สามีภรรยาคู่หนึ่ง มีอาชีพทำสวนในป่า ผู้เป็นสามีชอบ ทำร้ายภรรยา ทุกวันภรรยาต้องนำอาหารไปส่งให้สามี มีอยู่วันหนึ่งภรรยาได้นำอาหารมือเที่ยงไปส่งให้ สามี พอถึงครึ่งทางมีลิงยักษ์ตัวหนึ่งได้ขวางทางและขอเสบียงอาหารเพื่อจะกิน และภรรยาของเขาบอกว่า เราจะให้อาหารเจ้าไม่ได้เพราะเราต้องนำอาหารไปให้กับสามีเรา หากไม่ได้ส่งอาหารให้ก็จะถูกสามีทำร้าย ร่างกาย เจ้าลิงตัวนั้นบอกว่าไม่เป็นไรยังงัยก็จะเอาเสบียงอาหารนั้น ภรรยาของสามีเขาจึงนำเสบียง อาหารของสามีให้กับเจ้าลิงแทน เพราะกลัวว่าจะถูกลิงทำร้าย และภรรยาของเขาก็เดินทางกลับ ตกเย็น สามีกลับมาถึงบ้านก็ทุบตีภรรยาของตน เพราะว่าภรรยาเขาไม่ได้ส่งเสบียงอาหารมื้อเที่ยง ภรรยาก็ได้ บอกกับสามีว่ามีลิงยักษ์ตัวหนึ่งมาขออาหาร และเขากลัวว่าลิงตัวนั้นจะทำร้ายจึงให้อาหารไป แต่สามีเขา ไม่เชื่อ และอยู่มาวันหนึ่งภรรยาจะนำเสบียงอาหารไปให้สามีเช่นเคย เจ้าลิงตัวนั้นก็ออกมาขวางทางเพื่อ จะขออาหารอีก ภรรยาจึงขอร้องกับเจ้าลิงว่าครั้งก่อนตนได้ถูกสามีทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ เจ้าลิงบอกว่า ไม่เป็นไรเดี่ยวจะสอนวิชาให้ และเจ้าลิงยักษ์ตัวนั้นก็ได้สอนวิชาให้จนสำเร็จ ภรรยาเขาก็เดินทางกลับบ้าน ฝ่ายสามีเมื่อกลับมาถึงบ้านก็จะทุบตีภรรยาอีก ภรรยาเขาบอกว่าถ้าจะทุบตีเขาครั้งนี้ให้ลงไปตีที่ตรงบันได


๓๐ หน้าบ้าน เมื่อสามีลงมือทุบตีภรรยา ฝ่ายภรรยาก็สามารถป้องกันตัวจนสามีไม่สามารถทำร้ายเขาได้ สามี ก็ได้ถามภรรยาว่าไปร่ำเรียนวิชามาจากไหน ภรรยาตอบสามีว่าเจ้าลิงยักษ์ตัวนั้นสอน แล้วสามีก็ขอ ร่ำเรียนวิชาจากภรรยาของเขาจนสำเร็จ เพราะเหตุนี้การแสดงสิละส่วนใหญ่จะแสดงตรงหน้าบันไดหรือ หน้าบ้าน สองสามีภรรยามีลูก ๒ คน ชาย ๑ คน หญิง ๑ คน เขาได้สอนสิละให้กับลูกผู้ชายเพราะว่า ลูกผู้ชายจำเป็นต้องรับ ส่วนลูกผู้หญิงได้สอนเมาะยง จากตำนานสรุปได้ว่าสิละมาจากผู้หญิง ถึงได้เรียกว่า “อีบูกายง” ถ้ามีการจัดงานสิละกับเมาะยง ก็ต้องเริ่มด้วยสิละก่อนทุกครั้งเพราะว่า สิละเป็นพี่ ส่วนเมาะ ยงเป็นน้อง ความหมาย คำว่า “สิละ” บางครั้งเขียน หรือ พูดเป็น “ซีละ” หรือ “ซิละ” บางท่านบอกว่ารากคำมาจาก “สิละ” ภาษาสันสกฤต เพราะดินแดนชวามลายูในอดีตเคยเป็นดินแดนของอาณาจักรศรีวิชัย ซึ่งมี วัฒนธรรมอินเดียเป็นแม่บทสำคัญ เพราะฉะนั้นจึงมีคำบาลี สันสกฤต ปรากฏอยู่มาก ความหมายเดิมของ สิละหมายถึงการต่อสู้ด้วยน้ำใจนักกีฬา ผู้เรียนวิชานี้จึงต้องมีศิลปะ มีวินัยที่จะนำกลยุทธ์ไปใช้ป้องกันตัว มิใช่ไปทำร้ายผู้อื่นให้ได้รับความเดือดร้อน เมื่อจะฝึกสิละ ผู้สมัครเรียนจะต้องไหว้ครู โดยนำผ้าขาว ข้าว สมางัด ด้ายขาว และแหวน ๑ วง มามอบให้กับครูฝึก ผู้เป็นศิษย์ใหม่จะต้องมีอายุไม่น้อยกว่า ๑๕ ปี ระยะเวลาที่เรียน ๓ เดือน ๑๐ วัน (๑๐๐ วัน) จึงจะจบหลักสูตร การสอนนั้นจะมีครูสิละคนหนึ่งต่อศิษย์ ๑๔ คน ในรุ่นหนึ่ง ๆ ผู้ที่เก่งที่สุดจะได้รับแหวนจากครูและได้รับเกียรติเป็นหัวหน้าทีมและสอนแทนครูได้ องค์ประกอบในการแสดง ๑. ผู้แสดง สิละคณะหนึ่ง ๆ มีอย่างน้อย ๖ คน ผู้เล่นดนตรี ๔ คนผู้เล่นสิละ ๒ คน การเล่นสิละ จะเป็นการแสดงศิลปะการต่อสู้เป็นคู่ ต่อสู้ตัวต่อตัว ผู้เล่นจึงมี ๒ คนเป็นอย่างน้อย ๒. เครื่องดนตรีสิละ เป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวที่มีดนตรีประกอบ ๓ ชนิด คือ กลองมลายู (ฆือแน) จำนวน ๒ ใบ ตัวแม่กับตัวลูก ฆ้อง (ฆง) จำนวน ๑ คู่ และปี่ชวา ๑ เลา ดนตรีจะประโคมเรียก ความสนใจจากคนดู โดยเฉพาะเสียงปี่เร้าอารมณ์ไม่ยิ่งหย่อนกว่ามวยไทย ๓. เวทีการแสดง ปกติแสดงกันบนพื้นดิน สนามหญ้า หรือลานบ้าน ถ้ามีการรับเชิญไปแสดงบน เวทีก็แสดงได้แต่ไม่ค่อยนิยม วิธีการแสดง ผู้แสดงแต่งกายรัดกุม นุ่งกางเกงขายาว ใส่เสื้อยืดคอกลมมีแขน มีผ้าลวดลายสวยงามพันทับจาก เอวถึงเหนือเข่าและใช้ผ้าคาดสะเอว ไม่สวมรองเท้า ถ้าเป็นสิสะมือเปล่าก็จะไม่พันมือ ถ้าเป็นสิละกริชจะ เหน็บกริชด้วย เมื่อดนตรีประโคมนักสิละก็จะก้าวออกมาสู่เวทีทั้งคู่ แล้วผลัดกันไหว้ครูทีละคน และทำ ความเคารพผู้ชมโดยการโค้งคำนับ นั่งหรือยืนไหว้ หลังจากนั้นคู่ต่อสู้จะออกมาสลามต่อกัน (การทำความ เคารพแบบพื้นเมือง) คือ ยื่นมือทั้งสองออกไปขอสัมผัสกัน แล้วเอาฝ่ามือทั้งสองข้างของตนมาแตะที่ หน้าผากกับหน้าอก ต่อจากนั้นนักสิละทั้งคู่ก็เริ่มแสดงลวดลายท่าร่ายรำ ดูชั้นดูเชิงกันก่อน ต่างก็ให้คู่ต่อสู้ เห็นกล้ามเนื้ออันทรงพลังของตน เพื่อเป็นการข่มขวัญ บางครั้งจะกระทืบเท้า ตบมือฉาด ๆ หรือใช้ฝ่ามือ


๓๑ ตบต้นขาของตนให้เกิดเสียงดังเพื่อข่มคู่ต่อสู้ พอแสดงลวดลายร่ายรำ กระทืบเท้า ตบมือ ตบขา ขู่สำทับดู ชั้นเชิงกันพอสมควรแล้ว ดนตรีจะประโคมเร่งเร้าให้นักสิละคึกคะนอง นักสิละก็จะขยับเข้าใกล้กันและหา จังหวะเข้าห่ำกันซึ่งกันและกัน เพื่อให้คู่ต่อสู้เพลี่ยงพล้ำ พ่ายแพ้ เช่น หาจังหวะใช้มือหรือเท้าฟาดลำตัว หรือกล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่งของคู่ต่อสู้ ถ้าคู่ต่อสู้เตะ อีกผ่ายหนึ่งก็มักแก้โดยการใช้มือผลักหรือปัดขาคู่ ต่อสู้ แล้วชกสวนตรงหน้าหรือลำตัวอย่างฉับไว หรือหาจังหวะที่จะใช้น้ำหนักตัวทุ่มทับลงบนบ่า คู่ต่อสู้ก็ พยายามต่อสู้แล้วขัดขาให้คู่ต่อสู้ล้ม เมื่อฝ่ายหนึ่งเข้าต่อสู้แบบนี้คูต่อสู้ที่ฉลาดจะแก้ไขโดย พยายามสปริง ตัวออกห่าง หรือถ้าล้มไปแล้วก็จะพยายามที่จะจับจุดอ่อนของคู่ต่อสู้เพื่อทำลายพลัง มือจึงไขว่คว้าป้อง ปัดพัลวัน ขณะนั้นดนตรีจะเร่งรุดโหมประโคมในจังหวะกระชั้นเป็นการเร่งความระทึกใจแก่ผู้ชมและเพิ่ม ความคึกคะนองให้แก่นักสิละ เมื่อนักสิละแสดงไปจนหมดลีลา ซึ่งใช้เวลาประมาณคู่ละ ๑๕ - ๒๐ นาที หรือเมื่อมีการแพ้ชนะ กันแล้วทั้งคู่จะถอยห่างออกจากกัน แล้ะทำความเคารพผู้ชมทำความเคารพต่อกันเป็นการจบสิ้นสำหรับ การแสดงสิละคู่นั้นถ้ามีการแสดงคู่อื่นอีกก็ก้าวออกไปสู่เวทีแล้วเริ่มต้นตลอดจนจบลงด้วยลักษณะ เดียวกัน การเล่นสิละไม่มีการพักเป็นยก ไม่มีการให้น้ำ ไม่มีพี่เลี้ยง ไม่มีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอนและ ไม่มีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอนและไม่มีกรรมการ ทั้งนี้เพราะนักสิละแต่ละคนจะมีระเบียบวินัยในตนเอง มีความซื่อสัตย์เคารพกติกา ไม่เอารัดเอาเปรียบคู่ต่อสู้โดยใช้เล่ห์เหลี่ยมนอกลู่นอกทางศิลปะของสิละ กติกาในการต่อสู้มีข้อห้าม ดังนี้ ๑. ห้ามใช้นิ้วแทงตา ๒. ห้ามบีบคอ ๓. ห้ามชกต่อยแบบมวย ๔. ห้ามเตะตัดล่าง ๕. ห้ามใช้เข่าแบบมวยไทย ๖. ห้ามใช้ศอก ทั้งศอกสั้นและศอกยาว สำหรับเกณฑ์การตัดสินนั้น ถ้าฝ่ายใดสามารถทำให้คู่ต่อสู้ล้มลงได้เพียงฝ่ายเดียวโดยที่ตนไม่ล้ม เลย ถือว่าฝ่ายนั้นชนะขาด แต่ถ้าต่างฝ่ายไม่ล้มหรือล้มพอ ๆ กัน ผู้ชมก็จะเป็นผู้ตัดสินโดยใช้เสียงปรบมือ สิละนิยมเล่นกันในหมู่ชายเท่านั้น ในหมู่หญิงไม่นิยม ทั้งนี้อาจเนื่องจากการเล่นสิละเป็นการแสดงหรือ กีฬาที่ใช้กำลังมาก มีลีลาท่าทางที่ไม่ต้องกับธรรมเนียมของผู้หญิงไทยมุสลิม ซึ่งเรียบร้อย นิ่มนวล อ่อนหวาน ไม่นิยมการเล่นที่โลดโผนโจนทะยาน สิละจึงเป็นการเล่นที่ผิดเพศสำหรับหญิงไทยมุสลิม ความเชื่อและวัฒนธรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง การเล่นสิละมีความเชื่อและวัฒนธรรมอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องไม่น้อยทีเดียว นับตั้งแต่การเริ่ม ฝึกหัดศิษย์ใหม่จะต้องไหว้ครูมอบตัวยอมรับว่าเป็นศิษย์ของครูเสียก่อนที่จะมีการเรียนการสอน แต่การ ไหว้ครูของสิละไม่จำเป็นที่จะต้องทำพิธีในวันพฤหัสบดี เพราะไม่ได้นับถือเทพเจ้าพฤหัสบดีว่าเป็นครูของ เทพทั้งหลายเหมือนคติที่ชาวไทยนับถือกัน และไม่ได้กระทำอาการกราบเพราะผิดหลักการทางศาสนา


๓๒ ที่ได้กล่าวไว้แล้วในตอนต้น ตลอดทั้งไม่ต้องทำกันทุก ๆ ปี ศิษย์คนหนึ่งจะประกอบพิธีไหว้ครูเพียงครั้ง เดียวเมื่อเข้ามาเป็นศิษย์ใหม่ของสำนักเท่านั้น โอกาสที่แสดง ใช้แสดงในงานเทศกาลสำคัญ เช่น งานแก้บน งานเข้าสุหนัต หรืองานเฉลิมฉลองในโอกาสต่าง ๆ การไหว้ครู การไหว้ครูแบบสิละนั้น เขาไหว้ทีละคน วิธีการไหว้ครู่แต่ละสำนักแตกต่างกันไป สังเกตว่าขณะ รำไหว้ครูนั้น นักสิละจะทำปากขมุบขมิบว่าคาถาเป็นภาษาอาหรับ และที่สำคัญคือขอพรสี่ประการ ดังนี้ ๑. ขออโหสิกรรมแก่คู่ชิงชัย ๒. ขอให้ปลอดภัยจากปรปักษ์ ๓. ขอให้เป็นที่รักแก่เพื่อนข้า ๔. ขอให้ท่านผู้ชมนิยมศรัทธา ตามที่ Mubin Sheppard เขียนไว้ในหนังสือ Teran Indera มีมากมายหลายท่า เช่น ๑. ซังคะ ตั้งท่าป้องกัน ๒. ลังคะดาน ท่ายืนตรงพร้อมต่อสู้ ๓. ลังคะฑีมา ท่ายกมือขึ้นป้องกัน คือ มือเท้าปิดท้องน้อยแขนซ้ายยกเสมอบ่า ๔. ลังคะเลิมปัด ก้าวไปตั้งหลักเบื้องหน้าคู่ต่อสู่โดยก้าวเท้าทั้งสองอย่างรวดเร็ว ประเภทของสิละ สิละของไทยมุสลิมภาคใต้ แบ่งออกเป็น ๓ ประเภท คือ ๑. สิละยาโต๊ะ คือ สิละอาศัยศิลปะการต่อสู้ เมื่อฝ่ายหนึ่งรุกอีกฝ่ายหนึ่งต้องรับ ถ้ารับไม่ได้ก็จะ ตกไปเลยเรียกว่าสิละยาโต๊ะ (ตก) ส่วนมากใช้ในการแข่งขันประชันฝีมือ ๒. สิละตารี (รำ) คือ สิละที่ต่อกรด้วยความชำนิชำนาญในจังหวัดลีลาการร่ายรำ ส่วนมากใช้ แสดงเฉพาะหน้าเจ้าเมือง หรือ เจ้านายชั้นสูง ๓. สิละกายอ (กริช) คือ สิละใช้กริชประกอบการร่ายรำ ไม่ใช่การต่อสู้จริง ๆ แต่อวดลีลา กระบวนท่าทางต่อสู้ ส่วนมากมักแสดงในเวลากลางคืน (ประพันธ์ เรืองณรงค์, ๒๕๔๐ : ๑๕๙ - ๑๖๓) ความเชื่อเกี่ยวกับสิละ (จากการสัมภาษณ์ นายนิเซ็ง สาและ) ความเชื่อนั้น สำหรับผู้ป่วยที่ต้องรักษาด้วยสิละเขาเหล่านั้นจะต้องเกิดความศรัทธา แต่สำหรับผู้ ที่ไม่ได้ป่วยหรือไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิละก็ไม่เกิดการศรัทธา ผู้ป่วยที่ต้องรักษาด้วยสิละเนื่องจากว่าในอดีต บรรพบุรุษเขาได้มีการบูชาสิละ ปูญอสแลแง (บูชาสนาม) บูชาเจ้าที่เจ้าทาง และในแต่ละปีจะนำของบูชา ไปถวาย เมื่อบรรพบุรุษได้ตายไปลูกหลานไม่ได้ดูแลแทน ก็จะเกิดอาการเจ็บป่วยขึ้นมา และในการแห่นก ทุกครั้งจะต้องมีสิละควบคู๋กันไปถ้าไม่มีสิละจะแห่นกไม่ได้ ในอดีตหากมีผู้ใดจะมาขอฝึกเป็นลูกศิษย์ จะต้องมีค่าครูก่อน หากครูรับไว้ก็สามารถฝึกได้ ค่าครูก็มี ใบพลู หมาก ปูน สายสิจน์ข้าวสาร ยาเส้น


๓๓ เงิน ๑๒ บาท มะนาม ๑ ลูก จะมีพิธีการผ่าลูกมะนาว หากลูกมะนาวคว่ำหน้าก็แสดงว่า ลูกศิษย์ไม่ทรยศ และหากลูกมะนาวหงายหน้าขึ้นก็แสดงว่าลูกศิษย์ทรยศ ไม่สามารถรับเป็นศิษย์ได้ (แต่ปัจจุบันการผ่าลูก มะนาวจะไม่ค่อยนิยมทำแล้ว) เมื่อลูกศิษย์ร่ำเรียนเสร็จถึงจะมีค่าไหว้ครู สำหรับเงิน ๑๒ บาท ก็คือท่า ๑๒ ท่า ของสิละ ส่วนใบพลูครูก็สามารถดูลูกศิษย์จากใบพลูที่ลูกศิษย์นำมาไหว้ว่าลูกศิษย์คนไหนที่เหมาะ ที่จะเป็นผู้ถ่ายทอด และลูกศิษย์คนไหนที่เหมาะแก่การต่อสู้ประชัดกับคู่แข่งก็ดูจากใบพลู ถ้าตกส่วน แอกอ หมายถึง ทายาทบรรพบุรุษดั้งเดิม (เป็นสิละสายเลือด) ถ้าตกส่วนสายะ หมายถึง ผู้ที่ได้รับการฝึก มา เมื่อร่ำเรียนจบหลักสูตรแล้วครูจะทำพิธีอาบน้ำดอกไม้ให้กับลูกศิษย์ เรียกว่า บลีมา และมีการทำข้าว เหนียว ไก่ย่างเพื่อฉลองในหมู่คณะ เครื่องดนตรีสิละประกอบด้วย ฆ้อง กลองมลายู ปี่ชวา ที่มา : ตันติกร ผู้เจริญทรัพทย์ , ๒๕๖๒.


๓๔ บันทึกการแห่นกในอดีต เจริญ ตันมหาพราน (๒๕๔๑ : ๗ - ๘) ได้รวบรวมเหตุการณ์สำคัญของเมืองปัตตานีที่มีการจัด แห่นก ไว้ดังต่อไปนี้ ๑. เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๘ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ เสด็จพระราชดำเนินประพาสเมืองปัตตานีทางชลมารค เรือกลไฟติดสันดอนไปอาจแล่นเข้าสู่แม่น้ำเพื่อไป ยังตัวเมื่อได้ พระยาวิชิตภักดีฯ เจ้าเมืองปัตตานี และพระยาพิพิธเสนามาตย์ฯ เจ้าเมืองยะหริ่ง ได้แต่งเรือ ออกไปรับเสด็จ เรือเจ้าเมืองปัตตานีได้ใช้นกกาเฆาะซูรอ ติดโขนเรือนำขบวนเรือน้อยใหญ่ออกไปถวาย การต้อนรับอัญเชิญเสด็จพระราชดำเนินเข้าสู่เมืองปัตตานี ทั้งนี้เพื่อเป็นการทดแทนการต้อนรับด้วย ขบวนแห่นก ๒. ในคราวที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เสด็จพระราชดำเนินเลียบ มณฑลปัตตานีเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๕๘ ผู้ว่าราชการเมืองต่าง ๆ ได้จัดขบวนแห่นกเข้าร่วมแห่ถวาย ทอดพระเนตรเพื่อเฉลิมพระเกียรติถึง ๖๕ ขบวน ๓. เมื่อปีพ.ศ. ๒๔๗๒ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ เสด็จมณฑลภูเก็ตและ ปัตตานีชาวเมืองปัตตานีจัดประเพณีแห่นกถวายทอดพระเนตร ๔. ในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ เมื่อคราวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ และสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยือนภาคใต้ ชาวเมืองปัตตานีตั้งพิธีแห่นกเพื่อถวายความจงรักภักดีแด่องค์พระ ประมุขของชาติ ๕. พ.ศ. ๒๕๐๙ ในเทศกาลวันฮารียายอ อันเป็นปีที่ทางฝ่ายปกครองจังหวัดปัตตานี ได้เล็งเห็น ความสมานฉันท์และความสามัคคี ทางราชการจึงได้ริเริ่มนโยบายฟื้นฟูประเพณีแห่นก โดยประกาศเชิญ ชวนให้ราษฎรทุกอำเภอในเขตจังหวัดปัตตานีส่งนกประดิษฐ์และขบวนแห่มาร่วมพิธี ในวันที่ทางการ กำหนดให้ หรือวันที่มีความสำคัญทางศาสนาของชาวไทยมุสลิมในจังหวัดปัตตานี ๖. พ.ศ. ๒๕๒๔ การแห่นกในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาเขต ครั้งที่ ๑๔ จังหวัดปัตตานี ๗. ชาวปัตตานีได้จัดส่งขบวนแห่นกบุหรงซีงอ มากรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๓๐ เนื่องในวาระโอกาสเปิดปีท่องเที่ยวไทย ๒๕๓๐ เพื่อร่วมขบวนแห่ในครั้งนี้ด้วย (เจริญ ตันมหาพราน. ๒๕๔๑ : ๗ -๙) การแห่นกเป็นพิธีการที่ยิ่งใหญ่ต้องใช้คนจำนวนมาก ใช้ทุนทรัพย์มากและใช้ฝีมือเชิงศิลปะชั้นสูง ในการประดิษฐ์นก ตลอดถึงขบวนแห่ ดังนั้นการจัดให้มีพิธีแห่นกจึงเป็นงานที่สำคัญจริง ๆ ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ ยังมีการจัดพิธีการแห่นกในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ชมกันได้ในบางโอกาสที่สำคัญ ๆ


๓๕ ภาพนกบุหรงซีงอ หรือ นกสิงห์ มีรูปร่างเหมือนราชสีห์ตามแบบฉบับของนกนี้มีหัวเป็นนกแต่ตัว เป็นราชสีห์ ที่มา : สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา ภาพการแห่นกบุหรงซีงอในอดีต ที่มา : สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา


๓๖ ส่วนที่ ๒ คุณค่าและบทบาทของวิถีชุมชนที่มีต่อมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ๑. คุณค่าของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่สำคัญ “นกบุหรงซีงอ” การแห่นก เป็นประเพณีการละเล่นทางพื้นเมืองของจังหวัดชายแดนภาคใต้ เริ่มต้นสมัยปลายรัชกาลที่ ๕ เนื่องจากสมัยก่อนไม่ค่อยมีการละเล่นพื้นบ้าน โดยเริ่มจากบรรพบุรุษนั่งใน ยามเช้ามองเห็นแสงอรุณสะท้อนปุยเมฆ คล้ายรูปสัตว์ชนิดหนึ่งเหมือนนกข้างหน้าคล้ายงวงช้าง จินตนาการออกมาเป็นนกบุหรงซีงอ เลยรวมกลุ่มกันหาไม้มาสร้างเจอไม้กายูรือดะห์ที่โดนพายุพัด มีส่วน โค้งคล้ายหัวนกที่จินตนาการไว้ เลยนำมาสร้างเพื่อใช้แห่ในพิธีแต่งงาน เพื่อความรื่นเริงในพิธีการเข้า สุหนัต กิจกรรมรื่นเริงของหมู่บ้าน ในโอกาสต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองหรือจัดขึ้นเพื่อประกวดเป็นครั้ง คราว โดยผสมผสานวัฒนธรรมระหว่างลังกาสุกะกับวิถีชีวิตมุสลิมในสมัยก่อน โดยเริ่มนำมาต้อนรับแขก บ้านแขกเมืองในสมัยขุนอาเทศ ธุรการ หลังจากสืบทอดประเพณีกันมา ๓ ช่วงอายุคน ปัจจุบันยังมี บางส่วนที่ใช้ในพิธีแห่ แต่ไม่ค่อยมีการสร้างนกบุหรงซีงอ และประชาชนบางส่วนมีความคิดเห็นแตกต่าง กันเกี่ยวกับประเพณีเลยหยุดไป การแห่นกนั้นนอกจากที่ให้ความสนุกสนานแล้ว ยังให้คติ ความเชื่อ ความรัก ความสามัคคีและความเชื่อในการยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้ร่วมพิธีในการปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ และเป็นการอนุรักษ์ให้การแห่นกยังคงอยู่สืบเนื่องต่อไป การแห่นกบุหรงซีงอของจังหวัดปัตตานี กล่าวได้ว่า เป็นประเพณีสำคัญของท้องถิ่น ซึ่งมีส่วนช่วย ให้เกิดการรวมตัว ร่วมกิจกรรมกันของชาวท้องถิ่น มีส่วนช่วยส่งเสริมและอนุรักษ์ศิลปะดนตรีท้องถิ่นให้ คงอยู่แสดงถึงภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่นของชาวปัตตานีที่สืบเนื่องจากอดีตมาสู่ปัจจุบันด้วย การแห่นกบุหรงซีงอ ปัจจุบันยังคงเป็นที่นิยมจัดให้กับผู้เข้าสุหนัตขึ้นขี่นก เพราะมีความเชื่อว่าผู้ที่ ได้ขึ้นนั่งบนนกจะได้เป็นใหญ่เป็นโตในอนาคตภายหน้า จึงทำให้มีรายได้เกิดขึ้นในชุมชนตลอดทั้งเดือน โดยเฉพาะในช่วงเดือนเมษายน พฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงพิธีเข้าสุหนัต ยกเว้นเดือนถือศีลอด ทำให้เกิด รายได้ครั้งละ ๓,๐๐๐ – ๕,๐๐๐ บาท (เฉพาะค่าเช่านกบุหรงซีงอ ส่วนขบวนเจ้าของงานจัดเอง) หากเป็น พิธีในขบวนใหญ่ ๆ เช่น ขบวนของราชพิธีต่าง ๆ งานเฉลิมฉลองตามเทศกาล ต้อนรับบุคคลสำคัญ หรือ ในพิธีเปิดงานวัฒนธรรม ต่าง ๆ ราคาของการจัดจะแตกต่างกันทั้งนี้ขึ้นอยู่กับงานและการจัดตกแต่งตัว นกบุหรงซีงอ ความสำคัญของการแห่นกบุหรงซีงอ หาใช่อยู่ที่ขบวนแห่โอ่อ่ามโหฬาร หรือการแสดงออกทาง จิตใจที่ดีงามเพียงเท่านั้นก็หาไม่ แต่การแห่นกยังช่วยส่งเสริมและอนุรักษ์ศิลปะดนตรีท้องถิ่น ศิลปะการ ช่างแกะสลัก ศิลปะการประดิษฐ์ดอกไม้ ศิลปะการจัดพานบายศรี (บุหงาซือรี) และศิลปะการร่ายรำสิละ รำกริช รำหอก ไว้ให้ดำรงอยู่คู่เมืองปัตตานีสืบไป


๓๗ ๒. บทบาทของชุมชนที่มีต่อมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ปัจจุบันยังมีช่างทำนกบุหรงซีงอ มีผู้ครอบครองนกบุหรงซีงอ และมี หัวนกบุหรงซีงอ ดังนี้ ๑. จากการสัมภาษณ์นายนิเซ็ง สาและ อายุ ๕๘ ปี อยู่บ้านเลขที่ ๓๐/๒ หมู่ที่ ๓ ตำบลบางปู อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี เป็นช่างทำนก และครูสอนสิละ ได้เล่าว่าตนเองรู้จักและได้เป็นช่างทำนก โดยจะทำนกเพียง ๒ ชนิด คือ นกกาเฆาะซูรอ และ นกบุหรงซีงอ โดยมีประวัติและที่มาว่ามีนกสองตัวมา เข้าฝันเจ้าเมืองและเจ้าเมืองได้บอกให้ทหารองครักษ์หาช่างเขียนภาพมาเขียนภาพนกตามที่ฝัน มีงวง มีเขี้ยว มีงา จากนั้นก็ให้ช่างไม้มาแกะสลักตามรูปที่วาด และเมื่อสร้างนกเสร็จแล้วก็จัดขบวนแห่อย่าง อลังการ โดยมีบุหงาซีเระ สิละ ในขบวนแห่ และสิละต้อนรับนก หลังจากนั้นก็จัดให้มีการประกวด และ การแข่งขัน ผู้ที่ส่งนกเข้าประกวดก็จะใส่คาถาอาคมลงไปเพื่อให้เกิดความเกรงขาม สวยงาม และเพื่อให้ ชนะการประกวด จึงเป็นต้นเหตุของการบูชานก (เลี้ยงนก) จากนั้นก็กลายเป็นประเพณีของชาวมุสลิมนำ นกมาแห่ในประเพณีต่าง ๆ เช่น เข้าสุหนัต โดยให้เด็กที่เข้าพิธีสุหนัตนั่งบนนก คนที่มีสายเลือดในการ ครอบครองหัวนกและทำนก จะต้องมีการจัดแห่นก ถ้าไม่มีการสืบทอดจะมีเหตุจนต้องให้ช่างทำนกมาก ใช้คาถาแก้นก ครูนิเซ็ง ได้รับคาถาจากช่างทำนกของเจ้าเมืองยะหริ่ง โดยได้รับสืบทอดมาเป็นชั้น ๆ ตนเองเป็นชั้นที่สาม สิ่งสำคัญมากที่สุดที่คู่กับประเพณีแห่นก คือ สิละ โดยเฉพาะเครื่องดนตรีสิละ มี ๔ ชิ้น คือ กลองแม่ กลองลูก ฆ้อง ปี่ชวา เรียกว่า ขันหมากสิละ บางครั้งนกก็จะสำแดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็น ถ้าทำไม่ถูกต้อง ทุกครั้งที่มีเหตุการณ์ครูนิเซ็งจะนำเครื่องดนตรีสิละและคาถาแก้นกมาใช้แก้ทุกครั้ง นกก็จะยอมและหยุดสำแดงอิทธิฤทธิ์และจะต้องมีขบวนบุหงาซีเระ เพื่อความสวยงาม และรื่นเริง เป็น สีสันของขบวนอีกด้วย และในขบวนแห่นกทุกครั้งจะประกอบด้วย ๑. ธง ใช้ผ้า ๑ ผืน ทำเป็นธง เรียกว่าผ้าปะลือปัส (หลุดพ้น ปลดปล่อย ปลอดภัย) และมีเสา เรียกว่า เสาหลัก ทำด้วยไม้ไผ่ หรือ ทางสาคู ๒. ชุดนักรบ ๒ คน ใส่ชุดสีแดง กางเกงสีแดง ๓. ชุดเครื่องทองเหลือง เช่น เชี่ยนหมาก กาน้ำ และเครื่องทองเหลือที่ใส่ของกิน ของใช้ (ใน ปัจจุบันไม่ค่อยมี เนื่องจากเครื่องทองเหลืองหายาก) ๔. ชุดบุหงาซีเระ (จำนวนคนที่ถือมากค่าใช้จ่ายก็จะสูงตามจำนวน) ๕. สิละ จำนวนคนที่ใช้มักเป็น ๘ ๑๐ ๑๒ และ ๑๔ คน ทั้งนี้แล้วแต่เจ้าของงานที่เชิญถ้า จำนวนคนมากค่าใช้จ่ายก็จะสูงตามจำนวน ๖. ชุดกลอง (เครื่องดนตรี ๔ ชิ้น) ใช้คน ๕ คน (แบกฆ้อง ๑ คน ตี ๑ คน ตีกลอง ๒ คน ปี่ชวา ๑ คน) ๗. เจ้าของนก ถือ หอก เดิมใช้ ๒ คน คือ คนแก่ กับ คนอ่อน (เด็ก เหมือนควาญช้าง ใช้ ๒ คน เช่นกัน)


๓๘ ๘. นกบุหรงซีงอ ๙. ราษฎรธรรมดาที่ร่วมงานในขบวนแห่ ในการจัดประเพณีแห่นก ต้องใช้ สิละ ๒ ชุด โดยใช้ในชุดขบวนแห่นก ๑ ชุด และ ชุด ๑ ใช้รับขบวนแห่ นก (เรียกว่าชุดเจ้าภาพที่เชิญขบวนแห่นก) และงานทุกงานที่ใช้นกแห่ในขบวนจะต้องเป็นงานสิริมงคล เท่านั้น ในการจัดนกบุหรงซีงอเพื่อใช้ในขบวนแห่จะต้องมีส่วนประกอบของหัวบุหรงซีงอ ดังนี้ ๑. หงอน ๒. งวง ๓. เขา ๔. หู ๕. ฟัน เขี้ยว และงา ครูนิเซ็งบอกว่าจุดที่สำคัญที่สุดก็คือ หัวนก เพราะสมัยก่อนจะต้องใช้ของมีค่ามาประดับตกแต่ง ให้ดูสวยงามและมีความขลังในเรื่องของอิทธิฤทธิ์สายเลือดที่เป็นช่างทำนกต้องมีนกไว้แห่ถ้าไม่จัดทำการ แห่นกก็ต้องมีคนสืบทอด ถ้าไม่มีการสืบทอดก็จะมีอันเป็นไปในลักษณะต่าง ๆ ต้องหาวิธีแก้ ในการแห่นก กับสิละเป็นของคู่กัน เพราะว่าเวลาเคลื่อนนกออกไปแสดงจะต้องมีสิละ มีเสียงกลอง ต้องใช้กลองสิละ ตีก่อน ต้องมีขันหมากสิละ และต้องมีคาถาแห่นกด้วยโดยที่ตนเองได้รับการสืบทอดจากช่างทำนก บุหรงซีงอ ให้เจ้าเมืองยะหริ่ง ปัจจุบันตนเองเป็นครูสิละ และเป็นช่างทำนกไว้ออกงานต่าง ๆ เช่น งานเข้า สุหนัต งานแต่งงาน งานวัฒนธรรมของหน่วยงานราชการต่าง ๆ ตลอดทั้งงานรื่นเริง เฉลิมฉลองในพิธีเปิด ต่าง ๆ ๒. นายเจะและ เถาะ อายุ ๖๔ ปี อยู่บ้านเลขที่ ๗๘/๔ หมู่ที่ ๔ ตำบลปะนาเระ อำเภอ ปะนาเระ จังหวัดปัตตานี เป็นเจ้าของนกบุหรงซีงอ เหตุที่ตนเองได้ให้ช่างทำนกบุหรงซีงอ เพราะต้องการ ใช้นกบุหรงซีงอในงานประเพณีเข้าสุหนัตลูกชาย และในตระกูลของตนเองก็มีสายเลือดสิสะ โดยได้ว่าจ้าง ช่างจากตำบลหนองแรต อำเภอยะหริ่ง ในราคา ๑๗,๐๐๐ บาท เมื่อประมาณ ๑๐ ปี ที่แล้ว และนกบุหรง ซีงอ ของตนตัวนี้ ได้นำไปแห่ออกงานต่าง ๆ เพื่อความสวยงาม สีสันของงานและความรื่นเริง แต่ไม่มี ความเชื่อหรือพิธีกรรมทางศาสนาใด ๆ นกบุหรงซีงอตัวนี้ ได้นำไปร่วมงานทั้งในจังหวัดและต่างจังหวัด เช่น งานวันที่ ๕ ธันวาคม ที่อ่าวลึก จังหวัดกระบี่ งานมหกรรมวัฒนธรรมจังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา งานวัฒนธรรมองค์การบริหารส่วนตำบลหลาย ๆ ตำบล ทั้งในจังหวัดและต่างจังหวัด งานแต่งงาน และ งานเข้าสุหนัต โดยมีผู้มาเช่าไปออกงานในราคาครั้งละ ๓,๐๐๐ - ๕,๐๐๐ บาท ในแต่ละปีมีผู้มาขอเช่า ไปจัดขบวนแห่ประมาณ ๕ - ๘ ครั้ง แต่ตนเองไม่ค่อยมีเวลาในการดูแล จึงคิดจะขายนกบุหรงซีงอ เพราะ ไม่มีผู้ดูแล รุ่นลูก ๆ ก็ไม่มีใครเป็นผู้สืบทอดและดูแลรักษาและไม่ได้สนใจแต่อย่างใด นกบุหรงซีงอที่วาง อยู่ไม่มีที่เก็บเป็นสัดส่วนโดยจะขายในราคาประมาณ ๑๗,๐๐๐ บาท หากมีผู้มาขอซื้อ


๓๙ ๓. นายกอเย็ง สาเมาะ ปัจจุบันอายุ ๗๖ ปี อยู่บ้านเลขที่ ๗๕ หมู่ที่ ๖ ตำบลหนองแรต อำเภอ ยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี ช่างทำนกบุหรงซีงอ และผู้ครอบครองนกบุหรงซีงอ เป็นช่างทำนกตั้งแต่อายุ ๕๐ ปี ได้ทำนกมาแล้วทั้งหมด ๖ ตัว ได้จัดทำให้วิทยาลัยนาฏศิลปะพัทลุง ๑ ตัว ปัจจุบันมีเหลือเก็บไว้ที่บ้าน เพียงตัวเดียว โดยมีผู้คนมาขอเช่าไปจัดแสดงแห่ในงานต่าง ๆ ในราคาครั้งละ ๓,๐๐๐ บาท ระยะเวลาใน การทำหัวนกบุหรงซีงอ ใช้เวลาประมาณ ๑ เดือน ถ้าหากทำทั้งตัวนกใช้เวลาประมาณ ๓ เดือน ค่าตอบแทนในการรับจ้างทำนกในแต่ละครั้งอยู่ที่ประมาณ ๒๐,๐๐๐ - ๓๐,๐๐๐ บาท ในปัจจุบันการนำนกบุหรงซีงอไปใช้ในงานพิธีเข้าสุหนัต ถ้าหากเจ้าของงานไม่มีสายเลือดก็จะไม่ ค่อยเป็นที่นิยมเนื่องจากมีความยุ่งยากในการจัดขบวนแห่นกบุหรงซีงอทำให้เสียเวลาจึงเหลือแต่เพียงสิละ การจัดงานวัฒนธรรมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ที่ขอเช่านกบุหรงซีงอไปแห่ในงานของตนก็มี ค่าใช้จ่ายในการตกแต่ง ซ่อมแซม ถ้าหากจัดให้สวยงามมากก็จะเสียค่าใช้จ่ายมาก จึงมีการลดขั้นตอน การแห่นกบุหรงซีงอในพิธีหรือ ประเพณีต่าง ๆ ลง ต่อไปคงเป็นการแห่นกบุหรงซีงอในตำนาน รุ่นลูกหลานก็ไม่เป็นที่นิยม ไม่มีใครสืบสานต่อ เพราะอาชีพนี้ไม่สามารถนำมาซึ่งรายได้ในการเลี้ยง ครอบครัวได้ เนื่องจากในบางชุมชนจะไม่ค่อยยอมรับการแห่นกบุหรงซีโดยอ้างว่าผิดหลักทางศาสนา อิสลาม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความศรัทธาของแต่และพื้นที่นายกอเย็ง กล่าวว่าตัวเขาเป็นทั้งช่างทำนก และครู สิละ ลูก ๆ ไม่มีใครรับสืบทอดต่อจากตน แต่ตัวเขามีสายเลือดในการเป็นช่างทำนก และสิละ ต่อไป อาจจะมีรุ่นหลานสืบทอดก็เป็นไปได้ เพราะจะต้องมีการถ่ายทอดทางสายเลือด เช่นเดียวกับมโนราห์ ๔. นางเจะหม๊ะ บาราเหง อายุ ๗๖ ปี อยู่บ้านเลขที่ ๘๘ หมู่ที่ ๓ ตำบลปิยามุมัง อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี ผู้ครอบครองหัวนกบุหรงซีงอ และในครอบครัวมีลูกชายคือนายเจะอูเซ็ง กาโปะ อายุ ๔๔ ปีและลูกเขย คือ นายอามะ มะแซ อายุ ๕๗ ปีเป็นช่างทำนกบุหรงซีงอแฆะตอ นางเจะหม๊ะ มีบุตร ทั้งหมด ๖ คน และได้แต่งงานใหม่กับนายสาและ หะยี (ปัจจุบันเสียชีวิต) ซึ่งมีอาชีพเป็นครูช่างสอน ย่านลิเภาในศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุนทอง จังหวัดนราธิวาส นายเจะอูเซ็ง กาโปะ บุตรชายนาเจะหม๊ะ เล่าว่า คุณพ่อเป็นครูช่างสอนจักสานย่านลิเภา ช่างทอง ช่างแกะสลักหนังตะลุง ทำกลอง แสดงสิละ มะโย่ง โนรา และเป็นช่างทำนกบุหรงซีงอเท่านั้น นกชนิดอื่นไม่ทำ ไม่ทราบการได้รับการถ่ายทอด พ่อเป็นคนอำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี ได้ทำนกบุหรงซีงอตัวแรกที่อำเภอยะรัง ใช้แห่ในขบวนการจัดงาน ต่าง ๆ ในสมัยนั้น พ่อได้ทำนกไว้ ๓ ตัว ตัวแรกทำขึ้นเพื่อใช้ในพิธีเข้าสุหนัตลูกเจ้าเมืองยะหริ่ง ตัวที่สอง อยู่ที่จังหวัดนราธิวาส ได้ใช้ออกงานสำคัญ ๆ ในจังหวัดนราธิวาสหลายงาน ตัวที่สามทำขึ้นเพื่อใช้ในพิธี แต่งงานและต้อนรับเจ้าสาวของตนเองซึ่งตอนนี้ยังคงเหลือหัวนกส่วนตัวนกได้พังไปโดยผู้เช่านำนกไปแห่ ออกงานต่าง ๆ นกบุหรงซีงอ หรือนกสิงห์ ซึ่งมีชื่อเรียกว่า นกบุหรงซีงอแฆะตอ (แฆะตอ หมายถึง การรวมกัน) มีลักษณะ ๔ ขา มีหู เขา เขี้ยว งา และงวง คนสมัยก่อนทำไว้ ๔ ขา เพื่อมิให้หกล้ม เพราะมีความเชื่อว่า จะทำกิจหรือประกอบกิจอันใด ๆ แล้วจะไม่มีการหกล้ม หรือ ล้ม จะต้องสำเร็จไปด้วยดี นายสาและ หะยี เป็นต้นกำเนิดของผู้ที่สร้างนกบุหรงซีงอแฆะตอ ซึ่งคำว่า “นกบุหรงซีงอแฆะตอ” หมายถึง การนำ


๔๐ สัตว์เจ้าป่าทั้ง ๔ ตัวมาอยู่ในนกตัวเดียวกัน คือ ช้าง (มีงา มีงวง) สิงห์ (มีเขี้ยว และ ขา ๔ ขา) วัว (มีเขา มี หูเหมือนวัว) นก (มีปีก ๒ ปีก มีหงอนหรือทูนพลู) หัวนกบุหรงซีงอแฆะตอในปัจจุบัน ทำขึ้นใน ปี พ.ศ. ๒๕๓๘ ซึ่งนายเจะอูเซ็ง มีอายุ ๒๔ ปี จัดทำ ขึ้นในพิธีงานแต่งงานของตน เพื่อใช้ต้อนรับเจ้าสาว นกตัวนี้สร้างขึ้นโดยฝีมือของคนในครอบครัว ซึ่งทุก คนช่วยกัน หัวนกทำจากไม้ชมพู่ป่า ตัวโครงนกทำด้วยไม้ไผ่ ขาทั้งสี่ทำด้วยไม้ตะเคียน จะไม่ใช้เหล็กทำ โครง เพราะมีความเชื่อว่าเมื่อนำไปแห่ออกงานแล้วหากมีคนมาลบหลู่เมื่อเกิดอาเพศขึ้นมาจะรักษาหรือ แก้ยากโดยมีแม่เป็นผู้รักษาหรือแก้(มีสายมะโย่ง) นกบุหรงซีงอแฆะตอที่สร้างขึ้นใหม่จะใช้ผ้าสีขาวห่อหุ้ม เพื่อให้ติดกระดาษได้ง่ายขึ้น ในการทำตัวนกบุหรงซีงอแฆะตอขึ้นมาแต่ละครั้งต้องดูวัตถุประสงค์ของการนำไปแห่ ดังนี้ ๑. ถ้าใช้ในงานพิธีรับเสด็จเชื้อพระวงศ์ จะตกแต่งด้วยสีในลักษณะเหมือนธงชาติ ได้แก่ สีน้ำเงิน ขาวแดง และสีประจำพระองค์ที่เสด็จ ๒. งานรื่นเริง งานประเพณีเข้าสุหนัต จะตกแต่งด้วยกระดาษหลากสีผสมผสานกันไป ให้ดูสี ฉูดฉาด ตัดกระดาษตกแต่งให้ฟู ๆ แลดูสวยงาม นกบุหรงซีงอแฆะตอที่ทำขึ้นในครอบครั้วทุกตัวล้วนมีเหตุให้ถูกสร้างขึ้นเพื่อนำไปใช้ในงานพิธี ต่าง ๆ เช่น งานรับเสด็จของในหลวงรัชกาลที่ ๙ พระราชินีตลอดทั้งเชื้อพระวงศ์ ณ จังหวัดนราธิวาส และจังหวัดปัตตานี งานเฉลิมฉลอง ๑๒ สิงหาคม งานฉลองพิธีเปิดโรงแรมชางลีจังหวัดยะลา งาน วัฒนธรรมที่โรงแรม ซี เอส ปัตตานี งานกาชาดประจำจังหวัดปัตตานี งานปลากะพงอำเภอยะหริ่ง และ งานประเพณีต่าง ๆ ทั้งในพื้นที่และนอกพื้นจังหวัดอีกมากมาย และได้มีผู้มาเช่าออกงานครั้งสุดท้ายเมื่อ ปี ๒๕๕๘ กลับมาตัวนกอยู่ในสภาพที่พัง ไม่มีการซ่อมแซมปัจจุบันยังคงเหลือหัวนกบุหรงซีงอในสภาพที่ ไม่สมบูรณ์ ห่อหุ้มด้วยผ้ากำมะหยี่ รอการซ่อมแซม บุตรชายนางเจะหม๊ะ ได้เล่าว่ามีตำนานนกบุหรงซีงอ หรือ นกบุหรงซีงอแฆะตอ ที่บิดาตนเองเป็น ช่างทำขึ้นมาว่า นานมาแล้วบุตรเจ้าเมืองชวาได้ไปเห็นนกประหลาดบินขึ้นกลางทะเลจึงมีความอยากได้ นกตัวนั้นมาก จึงไม่ยอมทานอาหารและไม่ยอมอาบน้ำและจะออกไปเดินที่ชายหาดมีอาการเหม่อลอย เหมือนคนเป็นโรคทางประสาทและไปเจอผู้เฒ่ากำลังเหลาไม้ไผ่ท่านผู้เฒ่าจึงถามบุตรเจ้าเมืองชวาที่มา เดินและมีสภาพเช่นนี้ ปรากฎได้ความว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะบุตรเจ้าเมืองอยากได้นกตามที่เห็นกลางทะเล มาก จึงมีอาการเช่นนี้ ตนก็บอกว่าให้กลับไปบอกเจ้าเมืองชวาให้คนนำไม้ไผ่กับมีดมาให้ตนและรับปากว่า จะทำนกตัวที่บุตรเจ้าเมืองต้องการให้ เมื่อทำนกตามที่ต้องการเสร็จผู้เฒ่าก็นำผ้ามาปิดคลุมไว้ และให้คน ไปตามบุตรเจ้าเมืองมาดู และถามว่านกแบบนี้ใช่หรือเปล่าที่ต้องการ ปรากฎว่านกตัวนั้นเหมือนกับนกที่ ต้องการจริง ๆ บุตรเจ้าเมืองถึงกับดีใจเข้าไปโอบกอดนกตัวนั้น เจ้าเมืองจึงให้นำนกตัวนั้นกลับเข้าไปในวัง นกตัวดังกล่าวมีลักษณะมีงวง มีงา มีฟัน มีเขี้ยว มีหงอน มีหู มีเขา มีขา ๔ ขา มีปีก ดูเหมือนมีสัตว์ ๔ ชนิดมาอยู่รวมกันในนกตัวเดียวทำให้ดูน่าเกรงขามมาก และนกตัวดังกล่าวได้มีคนจากเมืองชวานำกลับ เข้ามาฝั่งไทยทางเขตแดนตันหยงมัส จังหวัดนราธิวาส โดยมีการจัดเครื่องเซ่นไหว้ ตามลักษณะอาหาร


๔๑ ของสัตว์ เช่น ช้างกินกล้วยอ้อย วัวกินข้าวจัดให้มีข้าวเหนียวสีต่าง ๆ สิงห์โตกินผลไม้ นกกินข้าวเปลือก ผลไม้ ถั่ว น้ำ ต่อมาผู้ดูแลนกได้เสียชีวิตลง ลูกหลานก็ได้เผาหัวนกตัวนั้น เนื่องจากไม่มีคนดูแล และบอก ว่านกมาจากดินก็จะกลับไปสู่ดิน ต่อมานายสาและ หะยี ซึ่งเป็นครูช่าง และมีสายเลือดสีสะ ก็ได้สร้างนกบุหรงซีงอแฆะตอ ตัวใหม่ ขึ้นมา โดยมีนางเจะหม๊ะ ลูก ๆ และลูกเขย ได้เรียนรู้จากนายสาและ ช่วยกันสร้างนกบุหรงซีงอแฆะตอ ปัจจุบันคนส่วนใหญ่จะเรียกชื่อสั้น ๆ ว่า “นกบุหรงซีงอ” ในการเซ่นไหว้ ในปัจจุบันเรียกว่าเลี้ยงนก มี เพียงการตั้งกล้วยน้ำว้าเลี้ยงเท่านั้น เพราะถือว่านกมีเจ้าของต้องมีการบอกกล่าวเมื่อนำไปแห่ออกงาน ต่าง ๆ ปัจจุบันนายสาและ ได้เสียชีวิตแล้วก็ยังคงเหลือแต่เพียงหัวนกบุหรงซีงอเท่านั้นที่ตั้งวางอยู่ใน สภาพที่ไม่สามารถนำไปจัดการแห่ออกงานได้ นางเจะหม๊ะ กล่าวว่า ได้มีหลานสาวซึ่งมีอาการป่วยไม่สบายอาศัยอยู่ในประเทศมาเลเซีย เดินทางกลับมารักษาตัวที่บ้านได้ฝันและบอกว่าให้ทุกคนในบ้านช่วยกันทำนกตัวใหม่ขึ้นมาโดยใช้หัวนก อันที่มีอยู่มาซ่อมให้มีสภาพเหมือนเดิมพร้อมใช้งานได้ โดยใช้โครงสร้างตัวนกทำด้วยไม้ไผ่ มีขา ๔ ขา ทำ ด้วยไม้ตะเคียน ซึ่งพี่น้องทุกคนในบ้านเป็นช่างออกแบบ ช่างทำโครงนก ช่างตัดกระดาษ ช่างติดกระดาษ ช่างผ้า จะมีความแปลกตรงที่ว่าช่างแต่ละคนจะทำหน้าที่ของตนเองเท่านั้น จึงประกอบขึ้นมาเป็นนก บุหรงซีงอแฆะตอ เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วนกบุหรงซีงอแฆะตอ ๑ ตัว จะใช้คนยกประมาณ ๘ คน ใช้ ระยะเวลาในการทำประมาณสามเดือน งบประมาณอยู่ที่ประมาณ สามหมื่นบาท และเป็นสิ่งที่คาดหวังว่า คงจะได้เห็นนกบุหรงซีงอแฆะตอตัวใหม่เกิดขึ้น จากฝีมือของลูก และลูกเขย นายสาและ หะยี ต่อไป แต่ ทั้งนี้ยังติดที่งบประมาณ ในการทำ และตนคิดว่าเมื่อเสร็จจะให้คนในชุมชน หรือหน่วยงานทางราชการมา ใช้บริการเช่าในการเข้าร่วมขบวนแห่ประเพณีต่าง ๆ และแสดงในขบวนแห่งานวัฒนธรรมต่อไปได้เพื่อ เป็นการอนุรักษ์ และสืบสานต่อไป ๕. นายเจะโซะ เจ๊ะสอเหาะ อายุ ๗๐ ปี อยู่บ้านเลขที่ ๑๒๑ หมู่ที่ ๗ ตำบลดอนรัก อำเภอ หนองจิก จังหวัดปัตตานี คนเลี้ยงนก และนายธนพจน์ เจ๊ะสอเหาะ ผู้ครอบครองหรือเจ้าของหัว นกบุหรงซีงอ อาศัยอยู่ในตำบลดอนรัก อำเภอหนองจิก หัวนกบุหรงซีงอในปัจจุบันอยู่ในสภาพที่ไม่ สามารถใช้งานได้ ต้องได้รับการซ่อมแซมและประกอบตัวนกขึ้นใหม่จึงจะนำไปใช้ในขบวนแห่ได้ นายธนพจน์ เล่าว่า นกตัวแรกที่สร้างขึ้น โดยนายเจะสามะ เจ๊ะสอเหาะ ผู้เป็นบิดาซึ่งในสมัยก่อน พ่อนั่งหน้าบ้านแหงนขึ้นมองท้องฟ้าเห็นก้อนเมฆเป็นรูปนกมีงวง มีงา มีเขี้ยว ก็เลยทำตามจินตนาการที่ ได้เห็น เมื่อทำเสร็จก็ได้นำมาแห่เป็นการละเล่นของคนในสมัยนั้นซึ่งไม่ค่อยมีกิจกรรมหรือการละเล่นของ คนมุสลิม ต่อมาได้นำนกไปแห่ในงานประเพณีต่าง ๆ เช่น เข้าสุหนัต งานแต่งงาน และการแข่งขัน ประกวดในระหว่างอำเภอ เช่น อำเภอสายบุรี ยะหริ่ง ยะรัง และหนองจิก ในการทำหัวนกบุหรงซีงอ จะ ใช้ไม้ที่มีส่วนโค้งพอเหมาะมาทำเป็นส่วนหัวซึ่งมีงวง ตัวแรกที่ทำได้นำไปรับเสด็จในหลวงรัชกาลที่ ๕ ได้มี อาจารย์จากมหาวิทยาสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เป็นคนญี่ปุ่นมาขอซื้อหัวนกบุหรงซีงอในราคา หนึ่งแสนห้าหมื่นบาท คุณพ่อไม่ขาย ต่อมามีคนจากอำเภอโคกโพธิ์มาขอซื้อบอกว่าตนเองได้ฝันว่ามีผู้


๔๒ ต้องการให้นกตัวนี้ไปอยู่ในที่เดิม คุณแม่เลยขายหัวนกบุหรงซีงอไปในราคา สามหมื่นหกพันบาท ต่อมา บิดาก็ได้สร้างนกบุหรงซีงอตัวใหม่ขึ้นมา เพื่อใช้ในการแข่งขัน และใช้ร่วมกิจกรรมในการต้อนรับแขกบ้าน แขกเมือง และประเพณีต่าง ๆ หัวนกบุหรงซีงอ (หัวในปัจจุบัน) เคยใช้ในขบวนแห่เข้าสุหนัตของตนโดยขึ้นไปนั่งบนนกบุหรงซีงอ และนำนกบุหรงซีงอขึ้นรถแห่ ตอนขึ้นหลังนกบุหรงซีงอต้องให้นกหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ห้ามคน เดินผ่านหน้านกบุหรงซีงอและพูดคำหยาบ หรือคำพูดที่ดูเหม็น เพราะจะมีอาเพศทำให้มีอันเป็นไปใน ลักษณะต่าง ๆ ที่ไม่ดีได้ การใช้นกบุหรงซีงอในขบวนแห่สมัยก่อนจะเน้นในเรื่องความสนุกสนาน ความ ครื้นเครง อาศัยความรัก ความสามัคคี ไม่มีพิธีกรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง ครั้งสุดท้ายได้ใช้นกบุหรงซีงอเข้า ร่วมงานวัฒนธรรมอำเภอหนองจิก เมื่อประมาณ ๕ ปี ที่ผ่าน นับจากนั้นไม่มีการนำนกบุหรงซีงอออกมา ใช้งาน อีกเลย จึงทำให้สภาพตัวนกผุพัง ไม่มีที่เก็บ ยังคงเหลือหัวนกในสภาพที่ใช้งานไม่ได้ต้องได้รับการ ซ่อมแซมใหม่ หากจะทำการซ่อมใหม่ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ประกอบกับคนรุ่นใหม่ไม่กล้าที่จะ นำมาใช้ในประเพณี ต่าง ๆ เนื่องจากจะเกรงว่าผิดหลักศาสนา แต่ตนพยายามชี้แจงว่านี่คือการละเล่น ของชาวมุสลิมในสมัยโบราณ แต่คนมุสลิมในยุคปัจจุบันจะมีมุมมองเป็นอย่างอื่น คุณค่าของคนสมัยก่อน จะหายไปแต่นำคุณค่าสมัยใหม่เข้ามาแทนที่ ค่านิยมตะวันตกความคิดของคนรุ่นใหม่ไม่มีที่ยึดเหนี่ยวหรือ ยึดติด ทำให้จิตใจของคนยิ่งถดถอยลง เช่นเดียวกับการแสดงสิละ ซึ่งมีเครื่องดนตรี และมีเครื่องเซ่นไหว้ เช่น หมาก พลู เงิน สังคมในชุมชนจะมองว่าผิดหลักศาสนา แต่นายเจะโซะ ซึ่งเป็นโตะมูเด็ง (ครูหมอใน พิธีเข้าสุหนัต) จะพยายามทำต่อไปโดยไม่ให้ผิดหลักศาสนาโดยตัดในเรื่องของพิธีกรรม และในสิ่งที่ชุมชน ไม่ยอมรับออกไป นายธนพจน์ กล่าวว่า หากหัวนกตัวนี้ผุพังไปใช้งานไม่ได้ แต่ถ้าต้องมีเหตุให้ทำนกบุหรง ซีงอขึ้นใหม่ตนเองก็มีแบบที่จะทำ (จะปลุกขึ้นมาใหม่) โดยทำในสายเลือดเพียงเท่านั้น ๖. นายยุทธพงษ์ พิพิธภักดี อายุ ๕๘ ปีทายาทจากวังยะหริ่ง ได้กล่าวว่าอิทธิพลต่อการสืบ ทอดประเพณีและวัฒนธรรมเก่า ๆ ของเมืองยะหริ่ง การแห่นกกับวังยะหริ่ง ในพิธีต้อนรับเจ้าเมือง และ แขกบ้าน แขกเมือง พิธีเข้าสุหนัต และงานรื่นเริงต่าง ๆ ในวังยะหริ่ง ในครั้งสำคัญ เช่น การแห่นักรับ เสด็จพระบาทสมเด็จฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในครั้งเสด็จพระราชดำเนินประพาสเมืองปัตตานี เจ้า เมืองยะหริ่ง (พระยาพิพิธเสนามาตยาธิบดีศรี สุรสงคราม) ได้จัดขบวนแห่นกต้อนรับ และเป็นครั้ง สุดท้าย เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๔ ในวังยะหริ่งจัดให้มีพิธีเข้าสุหนัตหมู่ จำนวน ๑๖ คน โดยมีพันเอกยุทธพงษ์ พิพิธภักดี เข้าร่วมพิธีเข้าสุหนัตในครั้งนั้นด้วย โดยจัดให้มีการแห่นกบุหรงซีงอ เข้าร่วม ๑๐ ตัว จาก ๑๐ อำเภอ (ขณะนั้นจังหวัดปัตตานี มี ๑๐ อำเภอ) จากนั้นรุ่นหลังได้มีหลักศาสนาอิสลามเข้ามา ทำให้ความ เชื่อการบูชา การแห่นกซึ่งมาจากฮินดู มีการเซ่นไหว้บูชา ทำให้เกิดความเชื่อได้ถูกเปลี่ยนไปในยุค ปัจจุบัน หัวนกเมื่อมีการแห่เสร็จแล้วก็จะถูกถอดเก็บไว้ เช่นเดียวกับหัวโขน หัวโนรา เชื้อสายการทำนก เหมือนกับเชื้อสายโนรา จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยนิยมจัดการแห่นกกัน


๔๓ ๗. นายยะโกะ มาแห เป็นอิหม่าม และนักสะสมของเก่า อายุ ๕๖ ปี อยู่บ้านเลขที่ ๒๑ หมู่ ที่ ๔ ตำบลบาโลย อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี เป็นผู้ครอบครองหัวนกซีงอ โดยซื้อมาจากคนใน ตำบล ดอนรัก อำเภอหนองจิก ในราคาเจ็ดหมื่นบาท เพื่อจะขายให้กับนักสะสมของเก่าที่มาเลเซีย แต่มีคนไทย มาขอซื้อต่อในราคาหนึ่งแสนห้าหมื่น และให้ตนดูแลมาประมาณ ๑๐ ปีแล้ว คิดว่าต่อไปจะตกแต่งให้ สมบูรณ์ แล้วจะนำกลับไปเก็บในสถานที่ที่มีความเหมาะสมต่อไป และหัวนกนี้ได้ใช้แห่ต้อนรับการเสด็จ ของพระบาทสมเด็จฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินประพาสเมืองปัตตานี นายยะโกะ เล่าว่าตนเองได้ซื้อหัวนก และได้ขายไปให้ชาวมาเลเซีย ประมาณ ๕ หัวแล้ว รวมทั้ง ซื้อมาจากตำบลปิยามุมัง อำเภอยะหริ่ง จำนวน ๑ หัว ในราคาเจ็ดหมื่นบาท ส่งไปขายที่ประเทศมาเลเซีย ในราคาเกือบสองแสนบาท ที่รัฐกัวลาลัมเปอร์ มีผู้ซื้อนำไปสะสมในพิพิธภัณฑ์ นักสะสมชาวมาเลเซียซื้อ ไปเพราะต้องการอนุรักษ์ หากคนไทยจะซื้อกลับมาก็ยินดีจะขายคืน และตนคิดว่าในฐานะที่เป็นนักสะสม ของเก่าคนหนึ่งได้คิดจะทำบ้านให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของโบราณในจังหวัดปัตตานี โดยต้องการให้มี หน่วยงานทางราชการเข้ามาให้คำแนะนำ และบางครั้งที่ได้ขายไปเพราะมีความจำเป็นต้องการนำเงินมา ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ๘. นายเฉลิมชัย โสวิรัตน์ ศิลปินอิสระ ภูมิปัญญางานช่างประดิษฐ์ต่าง ๆ ช่างทำนก บุหรงซีงอ และจัดขบวนแห่นกบุหรงซีงอ อายุ ๓๘ ปี อยู่บ้านเลขที่ ๑๘ หมู่ที่ ๓ ตำบลยามู อำเภอ ยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี คุณตามีความสามารถในงานศิลปะการประดิษฐ์ คุณยายเป็นแม่นมในวังยะหริ่ง คุณแม่ช่วยงานคุณยายในวังยะหริ่ง ตนเองก็เจริญเติบโตมากับวังยะหริ่งตั้งแต่เล็ก ๆ เริ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง กับนกบุหรงซีงอ ตั้งแต่อายุ ๒๕ ปี ที่ตำบลหนองแรตมีการจัดพิธีเข้าสุหนัต ตนขับรถผ่านไปเห็นขบวนแห่ นกบุหรงซีงอ โดยมีคนหามประมาณ ๑๕ คน มีเด็กนั่งบนนก จำนวน ๓ คน ตนเองก็เข้าไปช่วยหามนกใน ขบวนแห่ด้านหน้า ได้เห็นคนป้อนอาหารให้นกบุหรงซีงอ มีขนมลา กล้วย ขนมดอดอ ข้าวตอก และน้ำ ขณะที่หามนกรู้สึกหนักคิดจะออกจากขบวนแห่นกบุหรงซีงอ แต่ก็ไม่ได้ออก เมื่อเสร็จสิ้นจากการแห่นก บุหรงซีงอได้มีนักข่าวมาสัมภาษณ์ตน และตนเองก็จะให้สัมภาษณ์ข้อมูลเกี่ยวกับวังยะหริ่งและการแห่นก ทุกครั้ง จากนั้นก็เริ่มมีผู้คนรู้จักและมาติดต่อให้มีบทบาทในประเพณีแห่นกบุหรงซีงอมาตลอด ซึ่งทุกอย่าง นี้น่าจะเป็นสายเลือดจากคุณตาซึ่งมีศาสตร์ของดีกา (มีลักษณะการแสดงคล้ายกับสิละ เป็นศาสตร์ที่ใช้ รักษาโรคของคนมลายู) และศิลปะการประดิษฐ์ ตนเองเกิดมาก็ไม่เคยเห็นคุณตา นี่คือคำบอกเล่าที่ตนได้ รับรู้จากชาวบ้านว่าตนเองมีลักษณะการปฏิบัติที่เหมือนคุณตามาก ประวัติความเป็นมาเรื่องราวของนกก็จะคล้าย ๆ กับของผู้รู้คนอื่น ๆ แต่มีฉีกออกไปว่ามี ชาวประมงที่ออกไปหาปลากลางทะเลเห็นนกผุดขึ้นมาก่อนที่ท้องฟ้าและอากาศจะแปรปรวน มีนกมา เกาะที่หัวเรือ ชาวประมงตกใจจึงรีบขึ้นไปบนบกไปเล่าให้ชาวบ้านฟังข่าวไปถึงเจ้าเมืองซึ่งน่าจะเป็นเจ้า เมืองที่อยู่ติดกับชายฝั่งทะเล น่าจะเป็นเจ้าเมืองสายยุคลังกาสุกะ หรือเมืองกลันตัน เจ้าเมืองจึงให้ ชาวประมงเข้าเฝ้าเล่าเรื่องนกให้ฟังขณะนั้นพระโอรสของเจ้าเมืองได้ยินก็อยากได้นกที่ชาวประมงเล่าให้ พระบิดาฟังมาก เจ้าเมืองจึงให้ช่างมาออกแบบมีช่างจำนวน ๔ คน มาออกแบบตามที่ชาวประมงเล่า


๔๔ จึงทำให้ช่างออกแบบนกต่างกัน จึงได้นก ๔ ตัว นกที่นิยมทำมีเพียง ๒ ชนิด คือ นกกาเฆาะซูรอ หรือนก กากะสุระ จะอยู่แถบพื้นที่ไม่ติดกับชายฝั่งทะเล เช่น อำเภอยะรัง รามัญ ยาลอ และนกบุหรงซีงอ หรือ นกสิงห์ จะอยู่แถบพื้นที่ชายฝั่งทะเล เช่น อำเภอสายบุรี ยะหริ่ง เมือง และหนองจิก ในอำเภอยะหริ่งมีผู้สืบทอดที่นิยมทำมาตั้งแต่อดีตในพื้นที่ ตำบลยามู ตำบลสาบัน (ปัจจุบันไม่มี แล้ว) ตำบลปิยามุมัง ตำบลหนองแรต นกบุหรงซีงอ จะมีลักษณะทั่ว ๆ ไป คือ มีหัวเป็นช้าง มีงา มีงวง มี เขา มีหู มีทูนพลู ตัวเป็นตัวนก มีปีก มีขา ๒ ขา แต่นกบุหรงซีงอที่ตำบลปิยามุมังจะมีลักษณะที่แตกต่าง ไปจากพื้นที่อื่น คือมีลักษณะ มีงวง มีงาเหมือนช้าง มีเขี้ยวเหมือนสิงห์โต มีหูวัว มีเขาวัว มีทูนพลู มีตัว เป็นสิงห์ มี ๔ ขา มีหาง มีปีกเป็นนก และเรียกว่า บุหรงซีงอแฆะตอ นายเฉลิมชัย โสวิรัตน์ ได้มีบทบาทในการเข้าร่วมและจัดขบวนแห่นกบุหรงซีงอ ร่วมระยะเวลา ๑๓ ปี ได้มีประสบการณ์และชิ้นงานมากมาก อาทิเช่น - จัดขบวนแห่นกบุหรงซีงอ ในงานของดีและงานมหกรรมวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนชายแดนใต้ เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๔ ณ บริเวณหน้าสวนกรมหลวงนราธิวาสราชนคินทร์ อำเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส - ร่วมงานมหกรรมวัฒนธรรมเชื่อมใจชายแดนใต้สันติสุข “๙๙ ปี นราธิวาส งานมหกรรมสินค้า และวัฒนธรรมเชื่อมใจชายแดนใต้สันติสุข” ระหว่างวันที่ ๑๐ -๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๗ ณ สวนสาธารณะ เฉลิมพระเกียรติ ๖ รอบ พระชนมพรรษา ถนนศูนย์ราชการ อำเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส - “งานพระบรมราชาภิเษกปีที่ ๖๐ ฉัตรมงคล : นิรมิตทิพย์ขบวนล้วนล้ำค่า” และน้ำพุดนตรีเริง สราญตระการตา ในระหว่างวันที่ ๕ - ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ณ บริเวณพระบรมรูปทรงม้าและด้านหน้า กระทรวงกลาโหม ชุดขบวนชื่อ “ขบวนความสุขของวิถีไทย” ขบวนนกบุหรงซีงอปัตตานี - ผลิตภัณฑ์ของใช้ของที่ระลึก ได้แก่ พวงกุญแจ ปั่นปักผม ด้ามกริช ด้ามมีด เสื้อ และจำลอง นกบุหรงซีงอ เป็นของที่ระลึก ชุดละ ๑,๐๐๐ - ๑,๕๐๐ บาท (พร้อมใส่ตู้กระจก) บทบาทของชุมชนกับความเชื่อหลักศรัทธาของศาสนาอิสลาม ไม่อยากให้มีการบวงสรวง การ บูชา แต่ให้เป็นไปในเรื่องของประเพณี โดยให้ส่วนราชการ หรือหน่วยงานเข้ามาร่วมมีบทบาทให้สังคม ยอมรับประเพณีแห่นกบุหรงซีงอต่อไป


๔๕ ป้ายนกบุหรงซีงอที่ใช้ในขบวนแห่นกบุหรงซีของจังหวัดปัตตานี เก็บไว้ที่ศูนย์เรียนรู้สัมมาอาชีพ ตำบล หนองแรต อำเภอยะหริ่ง โดย นายเฉลิมชัย โสวิรัตน์ “งานพระบรมราชาภิเษกปีที่ ๖๐ ฉัตรมงคล : นิรมิตทิพย์ขบวนล้วนล้ำค่า” และน้ำพุ ดนตรีเริงสราญตระการตา ในระหว่างวันที่ ๕ - ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ณ บริเวณพระบรมรูปทรงม้าและ ด้านหน้ากระทรวงกลาโหม ชุดขบวนชื่อ “ขบวนความสุขของวิถีไทย” ขบวนนกบุหรงซีงอปัตตานี โดย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดปัตตานี และนายเฉลิมชัย โสวิรัตน์


๔๖ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดปัตตานี ได้สนับสนุนให้นกบุหรงซีงอ และบุหงาซีเระ ให้เป็นสินค้าและ บริการด้านวัฒนธรรมจังหวัดปัตตานี ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยผู้ประกอบการ และนายเฉลิมชัย โสวิรัตน์ (นกบุหรงซีงอ) และนางปิยนุช ไชยรี (บุหงาซีเระ)


๔๗ ส่วนที่ ๓ มาตรการในการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ๑. โครงการ กิจกรรมที่มีการดำเนินงานของรายการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม การศึกษา วิจัย (ระบุวิธีดำเนินงาน พื้นที่ ชุมชน ระยะเวลา และงบประมาณ) ไม่พบว่ามีการศึกษาวิจัยการแห่นกบุหรงซีงอในปัจจุบัน การอนุรักษ์ ฟื้นฟู (ระบุวิธีดำเนินงาน พื้นที่ ชุมชน ระยะเวลา และงบประมาณ) การอนุรักษ์ ฟื้นฟูการแห่นกบุหรงซีงอ เป็นการดำเนินไปตามวิถีทางสังคมวัฒนธรรมของมุสลิม ซึ่งมีความคิดในลักษณะที่แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ซึ่งมีอยู่อย่างจำกัด ได้แก่ อำเภอยะหริ่ง และอำเภอ ปะนาเระ และมีโอกาสจะสูญหายในรุ่นลูกหลานต่อไป ซึ่งการแห่นกบุหรงซีงออาจจะเป็นตำนานก็ว่าได้ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดปัตตานี ได้พยายาม อนุรักษ์ ฟื้นฟูในลักษณะรูปแบบต่าง ๆ เช่น การจัดให้มี ขบวนแห่นกบุหรงซีงอในงานวัฒนธรรม และงานสำคัญ ๆ ในโอกาสต่าง ๆ รวมทั้งของหน่วยงาน สำนักงานวัฒนธรรม และหน่วยงานอื่น ๆ การนำเสนอเป็นสินค้าและบริการทางวัฒนธรรม “นกบุหรงซี งอ” เป็นของฝากของที่ระลึกที่มีรากเหง้าแสดงถึงมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม โดย นายเฉลิมชัย โสวิรัตน์ อยู่บ้านเลขที่ ๘ หมู่ที่ ๓ ตำบลยามู อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานีจัดขบวนแห่นกในงาน ๑๐ สุด ยอด สมบัติปัตตานี ประจำปี ๒๕๖๒ และการจัดขบวนแห่ประจำอำเภอยะหริ่ง ในงานแสดงสินค้าและ วัฒนธรรมของดีเมืองตานีและงานกาชาดจังหวัดปัตตานี ประจำปี ๒๕๖๒ สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยานิวัฒนา ได้ดำเนินการอนุรักษ์ นกบุหรงซีงอ ซึ่งได้รับบริจาคจาก นายเฉลิมชัย โสวิรัตน์ (ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดปัตตานี) เพื่อจัดทำ นิทรรศการ หัวข้อ “ประเพณีแห่นก” ให้เป็นแหล่งเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่นของจังหวัดปัตตานีต่อไป การสืบสานและถ่ายทอด (ระบุวิธีดำเนินงาน พื้นที่ ชุมชน ระยะเวลา และงบประมาณ) การสืบสานและการถ่ายทอดยังไม่มีกระบวนการที่ชัดเจน ในลักษณะของตำราหรือการจัดอบรม ในหลักสูตรต่าง ๆ แต่เป็นการสืบสานและถ่ายทอดโดยสายเลือดช่าง และสิสะ ที่จำเป็นต้องทำเท่านั้น ใน ปัจจุบันยังมีผู้สืบทอดประเพณีแห่นกบุหรงซีงอ ได้แก่ ในเขตอำเภอยะหริ่ง โดยมีช่างทำนกในตำบลยามู หนองแรต และปิยามุมัง และอำเภอเมือง ตำบลตะบุโบะ โดยนายนิเซ็ง สาและ ซึ่งเป็นครูสอนสิละ ได้ พยายามถ่ายทอดการทำนกบุหรงซีงอ พร้อมกับสอนสิละ ให้กับกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่มีสายเลือดการทำนก และการแสดงสิละ และอำเภอปะนาเระ ตำบลปะนาเระ มีนกบุหรงซีงอให้บริการเช่าสำหรับแห่ใน กิจกรรมและงานต่าง ๆ นายเฉลิมชัย โสวิรัตน์ เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีสายเลือดศิลปินช่างประดิษฐ์ผู้หนึ่งที่ได้รับการสืบสาน ถ่ายทอดจากช่างผู้อาวุโสเกี่ยวกับการแกะสลักหัวนก ทำนก และการแห่นกบุหรงซีงอ พร้อมกับ ประสบการณ์และการเรียนรู้ด้วยตนเองจนมีความชำนาญตลอดจนได้สร้างสิ่งใหม่ๆ ถ่ายทอดให้กับกลุ่ม เยาวชนในอำเภอยะหริ่งให้มีการสืบทอดต่อไป


๔๘ การพัฒนาต่อยอดมรดกภูมิปัญญา (ระบุวิธีดำเนินงาน พื้นที่ ชุมชน ระยะเวลา และ งบประมาณ) สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดปัตตานีได้สนับสนุนและคัดเลือกให้นกบุหรงซีงอเป็นสินค้าและ บริการทางวัฒนธรรม ของฝากของที่ระลึกที่เป็นอัตลักษณ์ของจังหวัดปัตตานีและแสดงถึงมรดก ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม โดย นายเฉลิมชัย โสวิรัตน์ อยู่บ้านเลขที่ ๘ หมู่ที่ ๓ ตำบลยามู อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานีจำลองนกบุหรงซีงอเป็นของที่ระลึก (ใส่ตู้กระจก) จัดพวงกุญแจ ปิ่นปักผม ด้ามกริช ด้าม มีด เสื้อ พวงกุญแจ ป้ายชื่อ แต่สินค้าบางอย่างก็ยังไม่ค่อยเป็นที่นิยมของผู้คนทั่วไปมากนัก เพื่อให้คน ต้องการ ควรให้คนรุ่นใหม่ได้รู้จักนกบุหรงซีงอเสียก่อน ถ้ามีคนรู้จักก็พอมีช่องทางให้เด็กได้เรียนรู้และได้ พัฒนาต่อยอดต่อไปได้ ดังนั้นควรจะมีกลุ่มคนที่รู้จักนกบุหรงซีงอให้มากกว่านี้ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่ง การดำเนินงานด้านอื่น ๆ (ระบุวิธีดำเนินงาน พื้นที่ ชุมชน ระยะเวลา และงบประมาณ) มีการจัดตั้งศูนย์เรียนรู้สัมมาอาชีพในพื้นที่ตำบลหนองแรต อำเภอยะหริ่ง โดยกลุ่มนายเฉลิมชัย โสวิรัตน์ เป็นงานด้านศิลปะและการประดิษฐ์ทั่ว ๆ ไป เพื่อจำหน่วย ในงานต่าง ๆ ลูกค้าทั่วไปและลูกค้า ประจำ ไม่ใช้งบประมาณของทางราชการ และยังเป็นสถานที่เก็บอุปกรณ์ในการจัดการแห่นกบุหรงซีงอ การทำบุหงาซีเระ เป็นสถานที่รับจ้างทำนกบุหรงซีงอ และจัดขบวนแห่นกบุหรงซีงอให้กับหน่วยงานทาง ราชการ เช่น สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดปัตตานี ๒. มาตรการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมอื่น ๆ ที่คาดว่าจะดำเนินการในอนาคต ต้องสร้างความคิดใหม่ให้กับคนรุ่นใหม่ในเรื่องของการแห่นกบุหรงซีงอ ซึ่งเป็นประเพณีหนึ่งของ ชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนใต้ที่มีขอบเขต แต่ที่กำลังจะหายไปเนื่องจากความเชื่อของหลักศรัทธาใน ศาสนาอิสลามซึ่งมีความเชื่อว่านกชนิดนี้สร้างขึ้นมาเพื่อบูชา เพราะคนจะสร้างสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้มีรูปลักษณ์ ให้มีรูปร่างไม่ได้จะถือว่าเป็นเรื่องของการบูชา แต่ความจริงแล้วการสร้างนกตัวนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นการ ถ่ายทอดองค์ความรู้ว่าคือประเพณีวัฒนธรรมของชาวไทยมุสลิมในพื้นที่ก็สามารถทำได้ ดังนั้นควรสร้าง ความรู้ใหม่ให้กับคนรุ่นใหม่ เพราะคนรุ่นใหม่มีการศึกษาที่หลากหลายโดยนำเอาหลักศาสนาและศาสตร์ ต่าง ๆ มาประกอบกันความเชื่อก็จะถูกหลอมเชื่อมใหม่ และมีคนรุ่นเก่าที่เป็นมลายูอิสลามบางคนใน ปัตตานี (ที่มีสายเลือด) ไม่ได้มีความเชื่อในเรื่องของการบูชานก แต่ที่ได้มีการสร้างนกขึ้นหามในขบวนแห่ ขึ้นมาในปัจจุบันเพราะยุคหนึ่งเคยเป็นการแห่นกบุหรงซีงอต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองที่มาเยือนในปัตตานี ที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของเมืองปัตตานี และใช้แห่ในงานรื่นเริง งานมงคลทั่วไป แต่ในอีกมุมมองหนึ่ง ผู้คนกำลังมองว่าการแห่นกเป็นการแห่เพื่อบูชาเหมือนกับแห่นางแมว แห่พญานาค


๔๙ ปัจจุบันช่างทำนกในพื้นที่ปัตตานีที่ยังคงเหลืออยู่เพียงไม่กี่คน ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอยะหริ่ง ได้มี ความพยายามส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาประเพณีแห่นกบุหรงซีงอ เช่น นายนิเซ็ง สาและ ได้ฝึก เยาวชนรุ่นใหม่ให้เรียนรู้ศิลปะการแสดงสิละ และฝึกเรียนรู้การสร้างนกบุหรงซีงอตัวใหม่ขึ้น ครอบครัว นางเจะหม๊ะ บาราเหง ซึ่งมีสายเลือดช่างทำนก และการแสดงมะโย่ง ได้มีการหล่อหลอมให้บุคคลใน ครอบครัวได้เป็นช่างในการสร้างนกบุหรงซีงอ เพื่อเป็นการอนุรักษ์สืบทอดต่อไป และนายเฉลิมชัย โสวิรัตน์ ได้มีจุดยืนของตัวเองเกี่ยวข้องกับการแห่นกบุหรงซีงอมาตลอดในการจัดขบวนแห่ รวมทั้งได้ คิดค้นประดิษฐ์ของฝากของที่ระลึก จุดที่มาเรียนรู้ และการให้ข้อมูลเกี่ยวกับนกบุหรงซีงอ เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ได้เข้ามามีส่วนในการรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมการแห่นก บุหรงซีงอให้คงอยู่ต่อไปในสังคมปัจจุบันและในอนาคตหน่วยงานทางราชการควรต้องเชิญผู้รู้ด้านการแห่ นกบุหรงซีงอ อิหม่าม ผู้นำศาสนาอิสลามมาร่วมเสวนาพูดคุยสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการแห่นกบุหรงซี งอและความเชื่อหลักศรัทธาทางศาสนา ๓. การส่งเสริม สนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ หรือภาคเอกชน หรือภาคประชาสังคม (ถ้ามี) ได้มีหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน หรือภาคประชาชนบ้างที่ได้เชิญร่วมเปิดงานทางวัฒนธรรมแต่ ก็ยังน้อยมาก เนื่องจากต้องใช้งบประมาณที่ค่อนข้างสูง หน่วยงานที่ให้การสนับสนุนในการจัดขบวนแห่ ทางวัฒนธรรมได้แก่ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดปัตตานี องค์การบริหารส่วนตำบล และประชาชนเพียง บางส่วนเท่านั้นที่ใช้ในพิธีเข้าสุหนัต


๕๐ ส่วนที่ ๔ สถานภาพปัจจุบัน ๑. สถานการณ์คงอยู่ของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม มีการปฏิบัติอย่างแพร่หลาย เสี่ยงต่อการสูญหายต้องได้รับการส่งเสริมและรักษาอย่างเร่งด่วน ไม่มีการปฏิบัติอยู่แล้วแต่มีความสำคัญต่อวิถีชุมชนที่ต้องได้รับการฟื้นฟู ๒. สถานภาพปัจจุบันของการถ่ายทอดความรู้และปัจจัยคุกคาม ๒.๑ สถานภาพปัจจุบัน การถ่ายทอดองค์ความรู้การแห่นกบุหรงซีงอมีอยู่อย่างจำกัด เช่น ช่างทำนก (หัวนก ตัวนก) ศิลปะการแสดงสิละ บุหงาซีเระ ผู้ที่มีความสามารถในการทำนกบุหรงซีงอในพื้นที่จังหวัดปัตตานีมีอยู่ใน พื้นที่อำเภอยะหริ่งเท่านั้น ส่วนอำเภอหนองจิกมีหัวนกโบราณซึ่งอยู่ในสภาพที่ชำรุด และอำเภอปะนาเระ มีผู้ครอบครองนกบุหรงซีงอแต่ก็อยากจะขายไม่อยากเก็บไว้เป็นภาระเพราะไม่มีผู้ดูแล โอกาสเสี่ยงต่อการสูญหายมีโอกาสสูงมาก เพราะไม่มีคนสืบทอดการแห่นกบุหรงซีงอ หน่วยงาน ทางราชการต่าง ๆ ไม่ได้ให้ความสำคัญในการแห่นกบุหรงซีงอ อาจเป็นเพราะปัจจัย หลาย ๆ อย่าง เช่น ค่าใช้จ่ายสูง ค่านิยมในพื้นที่กับหลักศาสนา การใช้จำนวนคนมาก ความยุ่งยากในการจัดขบวนแห่ ๒.๒ ปัจจัยคุกคาม - หลักความเชื่อหลักความศรัทธาทางศาสนาของศาสนาอิสลามเกี่ยวกับการบูชานกบุหรงซีงอ - คนรุ่นใหม่และสังคมปัจจุบันไม่ค่อยยอมรับและไม่ให้ความสำคัญในการอนุรักษ์ สืบทอดมรดก ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมการแห่นกบุหรงซีงอ โดยให้เป็นเรื่องของทางราชการ หรือหน่วยงานที่จะต้องเข้า มาดูแลให้การสนับสนุน - นกบุหรงซีงอที่สร้างขึ้นมาแล้วต้องมีพื้นที่ในการเก็บรักษา มีผู้ดูแลเพื่อมิให้ชำรุดเสียหาย - การสืบทอด และการอนุรักษ์ที่ยังไม่ชัดเจน การแห่นกบุหรงซีงอไม่ใช่เครื่องอุปโภค บริโภค หรือเครื่องใช้ที่มีอยู่ในสังคมปัจจุบันทั่วไป หรือเป็นประเพณีที่ได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี หากกลุ่มถือ ปฏิบัติการแห่นกบุหรงซีงอในจังหวัดปัตตานีซึ่งมีเหลือเพียงไม่กี่คนได้เกิดล้มหายไปการแห่นกบุหรงซีงอก็ จะหายไปกับกลุ่มนี้ด้วย - มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมการแห่นกบุหรงซีงอ ผู้ที่สืบทอด หรือสืบสานได้จะต้องมีเชื้อสาย เจ้าเมือง (กู) และหรือ ผู้ที่มีสายเลือดหรือมีเชื้อ (มีศาสตร์ เช่นเดียวกับ ตายาย โนรา ดีกา) หากภูมิปัญญา สองกลุ่มนี้ไม่มีการถือปฏิบัติสืบทอด หรือสืบสานต่อไป การแห่นกบุหรงซีงอก็จะสูญหายไปกับบุคคล เหล่านี้ในไม่ช้า - ผู้ที่ครอบครองหรือนักสะสมของเก่านิยมนำหัวนกบุหรงซีงอจำหน่ายให้กับนักสะสมของเก่า ชาวต่างชาติ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย ซึ่งจะให้ราคาที่ค่อนข้างสูงกว่าคนมลายูในสามจังหวัดชายแดนใต้


๕๑ ๓. รายชื่อผู้สืบทอดหลัก (เช่น บุคคล กลุ่มคน .... เป็นต้น) รายชื่อบุคคล/ หัวหน้าคณะ/ กลุ่ม/สมาคม/ ชุมชน อายุ / อาชีพ องค์ความรู้ด้านที่ได้รับการสืบทอด/ จำนวนปีที่สืบทอดปฏิบัติ สถานที่ติดต่อ/ โทรศัพท์ นายนิเซ็ง สาและ อายุ ๕๘ ปีอาชีพ เป็ น ช ่ าง ทำนก และครูสอนสิละ เป็นช่างแกะสลักหัวนกและทำนก เล่นสิ ละ และเป็นครูสอนสิละ ทำนกร่วมกับ นายกอเย็ง สาเมาะ ตั้งแต่อายุ ๔๒ ปี ได้ สืบทอดการทำนกบุหรงซีงอ จำนวน ๓ ตัว นกกาเฆาะซูรอ จำนวน ๒ ตัว บ้านเลขที่ ๓๐/๒ หมู่ที่๓ตำบลบางปู อ ำ เ ภ อ ย ะ ห ริ่ ง จังหวัดปัตตานี โทรศัพท์ ๐๘๓ - ๑๘๔๓๗๓๖ นายกอเย็ง สาเมาะ อายุ ๗๖ ปี เป็น ช่างแกะสลักหัว นกบุหรงซีงอ และ ทำนกบุหรงซีงอ ช่างแกะหนังตะลุง ทำอุปกรณ์เครื่อง ดนตรีสิละ และ เป็นเล่นสิละ เป็นช่างแกะหนัวนกและทำตัวนก เป็น ช่างแกะหนังตะลุง ทำกลอง ทำปีชวา เล่นสิละ ครูสอนสิละ ตั้งแต่อายุ ๕๐ ปี บ้านเลขที่ ๗๕ หมู่ ที่ ๖ ตำบลหนอง แรต อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี นางเจะหม๊ะ บาราเหง อายุ ๗๙ ปี ร่วมทำ หัวนกบุหรงซีงอ แฆะตอ ทำนกและ แสดงมะโย่ง ในครอบครัวสามี (นายสาและ หะยี เสียชีวิตแล้ว) เป็นครูช่างแกะสลักศูนย์ พิกุลทอง จังหวัดนราธิวาส นางเจะหม๊ะ พร้อมด้วยลูก ๆ และลูกเขย ได้รับการ ถ่ายทอดแกะสลักหัวนกบุหรงซีงอแฆะตอ และทำนกบุหรง ซีงอแฆะตอ จากผู้เป็น สามี มากว่า ๓๐ ปี บุตรชายชื่อ นายเจะอูเซ็ง กาโปะ อายุ ๔๔ ปี บุตรเขย ชื่อนายอามะ มะแซ อายุ ๕๗ ปี บ้านเลขที่ ๘๘ หมู่ ที่ ๓ ตำบลปิยามุมัง อ ำ เ ภ อ ย ะ ห ริ่ ง จังหวัดปัตตานี โทรศัพท์ ๐๘๙ - ๕๙๖๑๗๐๑


๕๒ นายเจะและ เถาะ อายุ ๖๔ ปี มี อาชีพรับเหมา ก่อสร้าง เป็นเจ้าของนกบุหรงซีงอ โดยจ้าง นายกอเย็ง สาเมาะ ทำไว้เมื่อ ๑๐ ปีที่ แล้ว เพื่อใช้แห่ในพิธีเข้าสุหนัตบุตรชาย และให้บริการเช่านกบุหรงซีงอ เพื่อร่วม ในงานต่าง ๆ ของชุมชน และหน่วยงาน ต่าง ๆ ทั้งในจังหวัดและนอกจังหวัด บ้านเลขที่ ๗๘/๔ หมู่ที่ ๔ ตำบลปะ นาเระ อำเภอปะ น า เ ร ะ จ ั ง ห วั ด ปัตตานี โทรศัพท์ ๐๙๓ ๕๓๐๐๐๖๐ นายเฉลิมชัย โสวิรัตน์ อาย ุ ๓ ๘ ปี มี อาชีพเป็นช่างนัก ประดิษฐ์ แกะสลัก ช่างทำนกบุหรง ซีงอและจัดขบวน แห่นกบุหรงซีงอ มีความรู้ความสามารถในงานช่าง ประดิษฐ์ต่าง ๆ ตลอดทั้งทำนกบุหรงซีงอ จัดขบวนแห่นกบุหรงซีงอ และ ตั้งกลุ่ม ประดิษฐ์ของใช้ของที่ระลึกในรูปแบบ ต่าง ๆ การจำลองนกบุหรงซีงอ ร่วม ระยะเวลา ๑๓ ปี บ้านเลขที่ ๑๘ หมู่ ที่ ๓ ตำบลยามู อ ำ เ ภ อย ะ ห ริ่ ง จังหวัดปัตตานี


๕๓ ส่วนที่ ๕ การยินยอมของชุมชนในการจัดทำรายการเบื้องต้นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม (ไม่จำกัด จำนวน) สถานภาพที่เกี่ยวข้องกับมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม (เช่น เป็นครูผู้สืบทอด เป็นผู้ได้รับการถ่ายทอด ความรู้ เป็นผู้นำชุมชน เป็นเจ้าหน้าที่ในชุมชน เป็นผู้ชม เป็นผู้รับบริการ หรือเป็นผู้สนับสนุนด้านอื่น ๆ ที่ เกี่ยวข้อง) ๑. ชื่อ – สกุล นายนิเซ็ง สาและ เป็นช่างทำนกและครูสอนสิละ ขอรับรองข้อมูลตามเอกสารคำขอเสนอฯ และยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลนำใช้ประโยชน์ต่อไป ลงชื่อ (นายนิเซ็ง สาและ) วันที่ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ๒. ชื่อ – สกุล นายกอเย็ง สาเมาะ เป็นช่างทำนก ช่างแกะสลัก ช่างทำเครื่องดนตรีสิละ ครูสอนสิละ และเป็นเจ้าของนกบุหรงซีงอ ขอรับรองข้อมูลตามเอกสารคำขอเสนอฯ และยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลนำใช้ประโยชน์ต่อไป ลงชื่อ (นายกอเย็ง สาเมาะ) วันที่ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ๓. ชื่อ – สกุล นายเจะและ เถาะ เป็นเจ้าของนกบุหรงซีงอ ขอรับรองข้อมูลตามเอกสารคำขอเสนอฯ และยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลนำใช้ประโยชน์ต่อไป ลงชื่อ (นายเจะและ เถาะ) วันที่ พฤษภาคม ๒๕๖๒


๕๔ ๔. ชื่อ – สกุล นางเจะหม๊ะ บาราเหง เป็นเจ้าของหัวนกบุหรงซีงอแฆะตอ หรือนกสิงห์ เป็นภูมิปัญญาการแสดงมะโย่ง มีสายเลือดในสาย ช่างการทำนกบุหรงซีงอแฆะตอ หรือ นกสิงห์ ขอรับรองข้อมูลตามเอกสารคำขอเสนอฯ และยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลนำใช้ประโยชน์ต่อไป ลงชื่อ (นางเจะหม๊ะ บารางเหง) วันที่ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ๕. ชื่อ – สกุล นายเจะอูเซ็ง กาโปะ เป็นผู้สืบทอดหัวนกบุหรงซีงอแฆะตอ หรือนกสิงห์ จากนายสาและ หะยี มีสายเลือดในสายช่างการ ทำนกบุหรงซีงอแฆะตอ หรือ นกสิงห์ ขอรับรองข้อมูลตามเอกสารคำขอเสนอฯ และยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลนำใช้ประโยชน์ต่อไป ลงชื่อ (นายเจะอูเซ็ง กาโปะ) วันที่ มิถุนายน ๒๕๖๒ ๖. ชื่อ – สกุล นายอามะ มะแซ เป็นผู้สืบทอดหัวนกบุหรงซีงอแฆะตอ หรือนกสิงห์ จากนายสาและ หะยี มีสายเลือดในสายช่างการ ทำนกบุหรงซีงอแฆะตอ หรือ นกสิงห์ ขอรับรองข้อมูลตามเอกสารคำขอเสนอฯ และยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลนำใช้ประโยชน์ต่อไป ลงชื่อ (นายอามะ มะแซ) วันที่ มิถุนายน ๒๕๖๒ ๗. ชื่อ – สกุล นายธนพจน์ เจ๊ะสอเหาะ เป็นเจ้าของหัวนกบุหรงซีงอ ขอรับรองข้อมูลตามเอกสารคำขอเสนอฯ และยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลนำใช้ประโยชน์ต่อไป ลงชื่อ (นายธนพจน์ เจ๊ะสอเหาะ) วันที่ พฤษภาคม ๒๕๖๒


๕๕ ๘. ชื่อ – สกุล นายเจะโซะ เจ๊ะสอเหาะ เป็นผู้ดูแลหัวนกบุหรงซีงอ ขอรับรองข้อมูลตามเอกสารคำขอเสนอฯ และยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลนำใช้ประโยชน์ต่อไป ลงชื่อ (นายเจะโซะ เจ๊ะสอเหาะ) วันที่ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ๙. ชื่อ – สกุล นายเฉลิมชัย โสวิรัตน์ เป็นผู้มีความรู้ความสามารถในงานช่างประดิษฐ์ต่าง ๆ จัดทำนกบุหรงซีงอ จัดขบวนแห่นก บุหรงซีงอ และ ตั้งกลุ่มประดิษฐ์ของใช้ของที่ระลึกในรูปแบบต่าง ๆ การจำลองนกบุหรงซีงอ ขอรับรองข้อมูลตามเอกสารคำขอเสนอฯ และยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลนำใช้ประโยชน์ต่อไป ลงชื่อ (นายเฉลิมชัย โสวิรัตน์) วันที่ มิถุนายน ๒๕๖๒ ๑๐. ชื่อ – สกุล นายยะโกะ มาแห เป็นนักสะสมของเก่า เป็นผู้ครอบครองหัวนกบุหรงซีงอโบราณ ขอรับรองข้อมูลตามเอกสารคำขอเสนอฯ และยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลนำใช้ประโยชน์ต่อไป ลงชื่อ (นายยะโกะ มาแห) วันที่ มิถุนายน ๒๕๖๒ ๑๑. ชื่อ – สกุล นายยุทธพงษ์ พิพิธภักดี เป็นทายาทวังยะหริ่ง ขอรับรองข้อมูลตามเอกสารคำขอเสนอฯ และยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลนำใช้ประโยชน์ต่อไป ลงชื่อ (นายยุทธพงษ์ พิพิธภักดี)


๕๖ ส่วนที่ ๖ ภาคผนวก ๑. เอกสารอ้างอิง มานิต จารงค์. (๒๕๒๖) วัฒนธรรมและประเพณีของไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ศิริศักดิ์ ธาทอง. (๒๕๒๕) “ประเพณีแห่นก”,ใน ลุ่มน้ำตานี.ปัตตานี: ศูนย์การศึกษาเกี่ยวกับภาคใต้. สถาบันนาฏดุริยางคศิลป์.(๒๕๔๒). วิพิธทัศนา. กรุงเทพฯ : ไทภูมิ พับลิซซิ่ง. สมปราชญ์ อัมมะพันธุ์. (๒๕๔๘) . ประเพณีท้องถิ่นภาคใต้. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์. สุทธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์.(๒๕๔๒). สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคใต้. กรุงเทพฯ : มูลนิธิสารานุกรม วัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์. อนันต์ วัฒนานิกร. (๒๕๒๘) แลหลังเมืองปัตตานี. ปัตตานี : ศูนย์การศึกษาเกี่ยวกับภาคใต้. อมรา กล่ำเจริญ.(๒๕๕๓). เพลงและการละเล่นพื้นบ้าน.กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์. อุไร เลอศักดิ์อนุสรณ์. (๒๕๔๗) ประเพณีแห่นกโบราณของจังหวัดปัตตานี https://nicknick14000.wordpress.com/ประเพณี/ประเพณีแห่นก/ มยววา ๒. บุคคลอ้างอิง ๑. นายนิเซ็ง สาและ ๒. นายกอเย็ง สาเมาะ ๓. นางเจะหม๊ะ บาราเหง ๔. นายเจะอูเซ็ง กาโปะ ๕. นายอามะ มะแซ ๖. นายเจะและ เถาะ ๗. นายเจะโซะ เจ๊ะสอเหาะ ๘. นายธนพจน์ เจ๊ะสอเหาะ ๙. นายยุทธพงษ์ พิพิธภักดี ๑๐. นายยะโกะ มาแห ๑๑. นายเฉลิมชัย โสวิรัตน์


Click to View FlipBook Version