การอนุรกั ษ์ และสืบสาน
ประเพณีไทยทรงดา
จงั หวดั เพชรบุรี
สาขาหลกั สตู รและการสอน คณะครศุ าสตร์
มหาวิทยาลยั ราชภฏั ราไพพรรณี
คานา
หนงั สอื อเิ ล็กทรอนิกส์ (E-Book) นี้ จัดทำขนึ้ เพ่ือประกอบกำรเรียนกำร
สอนในรำยวิชำภำษำและวัฒนธรรม ผู้จัดทำได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกำร
อนุรักษ์ และสบื สำน ประเพณไี ทยทรงดำ จงั หวัดเพชรบุรี เน้ือหำประกอบด้วย
ควำมเป็นมำ กำรอพยพ พิธีกรรม กำรแต่งกำย กำรดำรงอยู่ และกำร
เปล่ียนแปลงควำมเชื่อของไทยทรงดำ เพื่อให้ผู้ที่มีควำมสนใจได้มีควำมรู้
ควำมเข้ำใจในเนื้อหำมำกย่ิงขึน้
ผู้จัดทำหวังเป็นอย่ำงยิ่งว่ำจะเป็นประโยชน์แก่นักศึกษำ และผู้สนใจได้
ไมม่ ำกก็นอ้ ย
คณะผจู้ ดั ทำ
สารบญั หน้า
ก
คำนำ ข
สำรบัญ 1
ควำมเปน็ มำของไทยทรงดำ 3
กำรอพยพของไทยทรงดำ 6
พธิ กี รรมของไทยทรงดำ 7
9
- พธิ เี สเรือน 14
- พธิ แี ต่งงาน 14
- พธิ ีมอลกู เขย 16
- พิธมี อบสะใภ้ 16
- พิธสี ขู่ วัญญาติผู้ใหญแ่ ละเพอ่ื นทม่ี าส่งเจา้ สาว 18
- พิธีสขู่ วัญบ่าวสาว 20
- พิธีศพ 36
กำรแต่งกำยของไทยทรงดำ 41
กำรดำรงอยแู่ ละกำรเปล่ยี นแปลงควำมเชอ่ื 45
ตำรำงเปรยี บเทียบกำรดำรงอยู่และกำรเปลี่ยนแปลงพิธีกรรม
อำ้ งองิ
ความเป็ นมา…
ของไทยทรงดา
“ส่ง โซ่ง ทรง” มีความหมายเดียวกันว่า กางเกงดาโซ่ง ซ่งซ่วง (ส้วง) เป็น
ภาษาลาว หมายถงึ กางเกง ดงั นัน้ ลาวทรงดา ไทยทรงดาลาวโซ่ง จึงหมายถึง ผู้ที่นุ่ง
ห่มด้วยเส้อื ผา้ สดี าใน ขณะท่ีพระบริหารเทพธานี (๒๔๘๐) กล่าวไว้ในหนังสือ พงศาว
ดารชาติไทย ตอนหนึ่งว่า “ผู้ไทยดาท่ีเรียกกัน แถวเมืองเพชรบุรีและราชบุรีลาวโซ่ง
คาว่าโซ่ง หมายถึง กางเกง ดังนั้นผู้ไทยดา ก็คือลาวโซ่งดา เพราะชอบนุ่งกางเกงสี
ดา” (เสถียรโกเศศ.๒๕๐๙)
เมืองเบียนเดียนฟูตั้งอยู่ในแถบแม่น้าดาและแม่น้าแดง ไทยโซ่งมีชื่อเดิมเรียก
กันว่า ไทดาหรือผู้ไทดา (Black Tai) เพราะนิยมใส่เสื้อดาล้วน ซ่ึงแตกต่างจากกลุ่ม
คนไทยท่ีอยู่ใกล้เคียงกัน เช่น ไทขาวหรือผู้ไทขาว (White Tai) นิยมแต่งกายด้วย
เสื้อผ้าสีขาวและไทแดง หรือผู้ไทแดง (Red Tai) ชอบใช้สีแดงขลิบและตกแต่ง
ชายเส้ือสีดาเป็นต้น คนไทยภาคกลางมักจะเรียกกันว่า ลาวทรง ดา และเหตุที่เรียก
เช่นน้ีเพราะเขา้ ใจวา่ เป็นพวกเดยี วกันกับลาว
1
ไทยทรงดา หรือไทยดามีถิ่นฐานอยู่ที่ประเทศจีนตอนกลาง ซึ่งเป็น ถ่ินฐานเดิม
ของชนเผ่าไท ตอ่ มาคนไทได้อพยพลงมาทางใตไ้ ทยดาได้อพยพมาตั้งหลักแหล่งที่บริเวณ
แม่น้าอูซ่งึ เป็นแมน่ า้ ทไี่ หลบรรจบกับแมน่ ้าโขงท่หี ลวงพระบางในแคว้นสิบสองจุไท ซ่ึงมี
เมอื งแถงหรอื ปจั จุบัน คอื เมอื งเดียนเบยี นฟู ประเทศเวียดนาม เป็นเมืองหลวงและเป็น
หัวเมืองฝ่ายเหนือ บริเวณนี้อยู่ตอนเหนือ ของราชอาณาจักรลาวใกล้เขตแดนเวียดนาม
เหนือ นอกจากเมืองแถงแล้ว บริเวณท่ีไทยดาอาศัยอยู่ ได้แก่ เมืองควาย เมืองดุง เมือง
มว่ ย เมอื งลา เมืองโมะ เมอื งหวัด เมืองซาง และรวมเมืองที่ผู้ไทขาวอาศัยอยู่อีก ๔ เมือง
รวมท้ังหมดเปน็ ๑๒ เมอื ง จึงเรียกว่า เมอื งสบิ สองผไู้ ทหรือสิบสองเจ้าไท และต่อมาเป็น
สิบสองจุไท แคว้นสิบสองจุไทเดิมนั้นข้ึนอยู่กับอาณาจักรน่านเจ้าภายหลังมาข้ึนอยู่กับ
อาณาจักรโยนกเชียงแสน เมืองอาณาจักรเชียงแสนถูกพวกไทมาทาลายลงแล้ว ก็ไป
ข้ึนกับอาณาจักรล้านนา ต่อมาไปขึ้นอยู่กับอาณาจักรสุโขทัย ในรัชกาลพ่อขุน
รามคาแหงมหาราช เม่ืออาณาจักรสุโขทัยเสื่อมอานาจลงในตอนต้นสมัยอยุธยา แคว้น
สิบสอง จุไทได้ถูกแบ่งแยกออกเป็น ๒ ภาค คือ ภาคท่ีติดต่อกับพม่า ซ่ึงจีนเรียกว่า
“แคว้นสิบสองปันนา” หรือ “พวกไทลื้อ ” และภาคที่ติดต่อกับจีน ชาวญวน เรียกว่า
“แควน้ สบิ สองจุไท” (ม.ศรีบุษรา,๒๕๓๐)
ในสมัยที่ฝรั่งเศส เข้ามาปกครองเวียดนาม และลาว พวกเขาได้เรียกชนเผ่าท่ีอยู่
บ ริ เ ว ณ ลุ่ ม แ ม่ น้ า ด า ว่ า ไ ต ด า ที่ เ รี ย ก ว่ า ไ ต ด า ไ ม่ ใ ช่ ว่ า พ ว ก เ ข า อ า ศั ย
อยูในบริเวณลุ่มน้าดา แต่เพราะว่ากลุ่มชนเผ่าไทดังกล่าวนิยมสวมเสื้อผ้าสีดาอันเป็น
เอกลักษณ์ ซึง่ ยอ้ มด้วยต้นห้อมหรือต้นคราม การท่ีเรียกว่า”ลาวโซ่ง” จริงๆแล้วชนชาติ
พนั ธ์ุไม่ได้เปน็ ลาว เหตุทเี่ รียกเชน่ นเี้ ป็นเพราะว่ามีการอพยพผ่านลาว การเรียกว่า “ชาว
โซง่ ” หรอื “ชาวไทยทรงดา”
2
การอพยพ…
ของไทยทรงดา
ไทยดาไดอ้ พยพเข้าส่ดู นิ แดนของประเทศไทยต้งั แต่สมยั พระเจ้ากรุงธนบรุ ี ใน
พ.ศ.๒๓๒๒ เม่ือกองทัพไทยไปตีเวียงจันทน์ แล้วกวาดต้อนไทยดาท่ีอพยพมาจากสิบ
สองจุไท ส่งไปต้ังถิ่นฐานทท่ีบ้านท่าแร้ง อาเภอบ้านแหลม เมืองเพชรบุรี (กลุ่ม
นกั ศึกษาโครงการเรียนรรู้ ่วมกันสรรค์สร้างชมุ ชน พ้ืนท่ตี าบลหนองปรง, ๒๕๒๗)
ชาวไทยทรงดา คือ ลาวทรงดา หรือลาวโซ่ง เป็นกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มหน่ึงที่ต้ัง
บ้านเรือนอยู่ตัง้ แตบ่ ริเวณมลฑลกวางสียูนาน ตงั เกยี๋ ลมุ่ แม่นา้ ดาและแม่น้าแดง จนถึง
แคว้นสิบสองจุไท ในประเทศเวียดนามตอนเหนือ ได้อพยพเข้ามาในประเทศไทย ใน
สมัยกรุงธนบุรี พ.ศ.๒๓๒๒ สาเหตุของการอพยพเนื่องจากเม่ือต้นแผ่นดินของ
พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าตากสินมหาราช เจา้ นครเวียงจันทน์ได้กระทาการอันหม่ินพระ
บรมเดชานุภาพ จึงได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พระบาทสมเด็จพระพุทธ
ยอดฟ้าจฬุ าโลก เมอ่ื ครั้งดารงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ยกกองทัพ
ขึ้นไปตีนครเวียงจันทน์ ในพ.ศ.๒๓๒๑ คร้ันปี ๒๓๒๒ กองทัพสมเด็จ เจ้าพระยามหา
กษัตริย์ศึกกาหนดให้กองทัพเมืองหลวงพระบางยกกาลังไปตีเอาเมืองม่วย เมืองทัน
(ญวนเรียกว่า เมืองซือหงี) ซ่ึงเป็นเมืองของผู้ไทยทรงดา ตั้งอยู่ริมเขตแดนเมืองญวน
เหนือ แล้วกวาดต้อนครอบครวั ลาวเวยี งจันทน์และไทยทรงดาลงมายังประเทศไทย ให้
ลาวเวียงจนั ทนต์ งั้ บา้ นเรอื นอยู่เมืองสระบุรี ราชบุรี และจันทบุรี ส่วนไทยทรงดาให้ต้ัง
บ้านเรือนอยู่ที่เมืองเพชรบุรี สันนิษฐานว่าอยู่ท่ีหนองปรง (หรือหมู่บ้านหนองเลา)
อาเภอเขาย้อย
3
ในปีพ.ศ. ๒๓๓๕ ไทยทรงดาได้อพยพเข้ามาในประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง สาเหตุ
เกิดจากพวกเมืองแถง เมืองพวน แข็งข้อต่อเมืองเวียงจันทน์เจ้าเมืองเวียงจันทน์จึงยก
กองทพั ไปตีได้ไททรงดาและลาวพวนมาไว้ที่เพชรบุรี ต่อมาในรัชกาลที่ ๓ หัวเมืองบางหัว
เมืองท่ีขึ้นต่อเมืองหลวงพระบางกระด้างกระเดื่อง พ.ศ. ๒๓๗๑ พระบาทสมเด็จพระนั่ง
เกล้าเจา้ อยหู่ ัวจึงทรงพระกรณาุ โปรดเกลา้ ฯให้แม่ทัพยกกองทัพไปปราบเมืองแถง และได้
ครอบครัวไทยทรงดาลงมาไวท้ ่เี มืองเพชรบรุ ีอีกคร้ังหน่ึง พ.ศ. ๒๓๗๙ เมืองหึม (ฮึม) เมือง
คอย เมอื งควร แข็งข้อต่อเมืองหลวงพระบาง เจ้าอุปราช เจ้าราชวงศ์แต่งให้ท้าวพระยาคุ
มกองทัพข้ึนไปปราบ ได้ไททรงดาส่งมาไว้ที่เมืองเพชรบุรีต่อมาปีพ.ศ. ๒๓๘๑ เจ้าอุปราช
เจ้าราชวงศ์เจ้านายทางเมืองหลวงพระบางและเวียงจันทน์เกิดวิวาทกันเจ้าราชวงศ์ได้คุม
ไทยทรงดาลงมาไว้ท่ีกรุงเทพฯ ไทยทรงดาที่นามาไว้ในจังหวัดเพชรบุรีในรัชกาลท่ี 3 น้ีต้ัง
หลักแหล่งอยู่ ตาบลท่าแร้ง อาเภอบ้านแหลม แต่เน่ืองจากไทยทรงดาชอบอาศัยอยู่ที่
ดอน น้าไม่ท่วม และบริเวณท่ีอาศัยเดิมขาดแคลนไม้จึงได้อพยพไปอยู่ที่อาเภอเขาย้อย
เพม่ิ เติมอีกในเวลาต่อมา(สานักศิลปวัฒนธรรมราชบุรี)
4
กล่าวคือ ลาวโซง่ หรอื ไททรงดา อพยพมาจากสิบสองจุไทเมื่อกว่าสองร้อยปีที่
แล้ว ไทยทรงดาได้อพยพมาด้วยเหตุของสงครามลงมาทางใต้และต้ังหลักแหล่งที่
บริเวณแมน่ ้าอู ซ่ึงเป็นแม่น้าที่ไหลบรรจบกับแม่น้าโขงที่หลวงพระบางในแคว้นสิบสอง
จุไท ซึ่งมีเมืองแถน คือ เมืองเดียนเบียนฟู สาธารณรัฐสงคมนิยมเวียดนามและเมือง
ต่างๆในบริเวณตะเข็บรอยต่อกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยมีการ
กล่าวถึง การเคล่ือนย้ายเข้ามาสู่ประเทศไทยหลายระลอก เม่ือคร้ัน แผ่นดินสมัยพระ
เจา้ ตากสนิ ในช่วงพ.ศ.๒๓๒๓ คนไทดาเคลอื่ นย้ายจากหลวงพระบางมาเมืองม้วยในหัว
พันและเมืองแถน ลาว มาตั้งรกรากในเพชรบุรี ๒ ปีต่อมา คนไทดาจากเมืองพวนใน
เชียงขวางและเมืองแถน เคลื่อนย้ายมาตั้งถ่ินฐานในเพชรบุรีเช่นกัน และมีมาอีกหลาย
ระลอกในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระน่ังเกล้าเจ้าอยู่และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวตามลาดับ การอพยพของคนไทดาระลอกสุดท้ายเกิดข้ึนในช่วงที่ลาว
เปล่ยี นเปน็ คอมมวิ นสิ ต์ พ.ศ.๒๕๑๘ กลุ่มคนไทดาจานวนหนง่ึ เคล่ือนย้ายข้ามแม่น้าโขง
เข้าสู่หนองคาย แตก่ ลุ่มนีอ้ พยพไปยังประเทศท่ีสาม ได้แก่ ฝร่ังเศส สหรัฐอเมริกา และ
ออสเตรเลีย กลุ่มชนไทดาจึง ตั้งรกรากอยู่ในเพชรบุรีและได้มีการเคลื่อนย้ายขยาย
ครอบครัวไปต้ังรกรากยังจังหวัดอ่ืน ๆ กลุ่มไทยทรงดาเป็นกลุ่มชนท่ีมีเอกลักษณ์ทาง
วัฒนธรรมโดดเด่นหลายประการ ทั้งรูปแบบการแต่งกาย รูปทรงบ้านเรือน และ
ประเพณพี ิธีกรรมทางความเช่ือทีก่ ระทาสบื เนอ่ื งกนั มา
5
พิธีกรรมไทยทรงดา
ชาวไทยทรงดา ส่วนใหญ่จะมีความผูกพันอยู่กับความเชื่อในเรื่องผีและขวัญ
เป็นอันมากเนื่องจากเชื่อว่าผีน้ันเป็นเทพยดาท่ีให้ความคุ้มครองพิทักษ์ปกปักรักษา
หรอื อาจให้โทษถึงตายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเร่ือง ผีเรือน ประดุจด่ังศาสดาประจา
ตน ซึ่งทาในส่ิงไม่ดีจะเป็นการผิดผี ผีเรือนอาจลงโทษได้ โดยมีการจาแนกประเภท
ของผีตามลาดับความสาคัญและความเชื่อได้ดังน้ี ผีแถนหรือผีฟ้า ผีบ้านผีเมือง ผี
บรรพบุรุษ ผีป่าขวงและผีอ่ืนๆ จากการนับถือผีและความเช่ือเรื่องขวัญ จึงได้
ก่อให้เกิดพิธีกรรมและจารีตประเพณีต่างๆ สาหรับพิธีกรรมอันเป็นประเพณีของชาว
ไทยทรงดา กล่าวได้ว่า แม้ชาวไทยทรงดาจะสนิทสนมคุ้นเคยกับชาวไทยหรือชนกลุ่ม
อื่นๆ เพียงใด และถึงแม้จะรับเอาวัฒนธรรมของคนกลุ่มอ่ืนมาใช้บ้างก็ตาม แต่ชาว
ไทยทรงดาส่วนใหญ่ก็ยังคงรักษาพิธีกรรมท่ีเป็นประเพณีดั้งเดิมของตนไว้เกือบ
ครบถ้วน ได้แก่ พิธีกรรมอันเกี่ยวกับความเชื่อและสภาพความเป็นอยู่ของพวกตน
ไดแ้ ก่ พธิ เี สนเรือน พิธแี ต่งงาน พิธศี พ เปน็ ตน้
6
พิธีเสนเรือน เป็นพิธีสาคัญพิธีหนึ่งของชาวไทยทรงดา หรือ ลาวโซ่งซ่ึงจะขาด
ละเลยเสียมิได้ เน่ืองจากเชื่อว่าเป็นการกระทาท่ีเพิ่มความเป็นสิริมงคลแก่ครอบครัว และ
จะต้องจัดทาอย่างน้อยปีละคร้ังเพราะคาว่า “เสน” ในภาษาลาวโซ่ง หมายถึง การเซ่นหรือ
สังเวย “เสนเรือน” จึงหมายถึงการเซ่นไหว้ผีเรือนของพวกลาวโซ่ง อันได้แก่ การเซ่นไหว้ปู่
ยา ตา ยาย รวมทั้งบรรพบุรุษทกุ คนใหม้ ารบั เครอ่ื งเซ่นไหว้ที่บุตรหลานจกั หามาเซ่นไหว้จะได้
ไม่อดยาก และจะได้คุ้มครองบุตรหลานให้มีความสุขความเจริญ เพราะชาวไทยโซ่งเชื่อว่า
บรรดาบรรพบุรุษและเครือญาติที่ล่วงลับไปแล้วจะกลับมาเป็นผีและมาเฝ้าปกป้องรักษา
ลูกหลาน ชาวโซง่ จงึ ได้มีการกันห้องส่วนหนึ่งไว้ในบ้านเป็นห้องผีเรือน เรียกว่า “กะล่อห่อง”
เปน็ ท่ีรวมวิญญาณ และเกบ็ รักษา ปบ๊ั ผีเฮือน
การเสนเรอื นเป็นการแสดงถึงความกตัญญู ผีที่เชิญมาเป็นผีเรือน จะต้องเป็นผีที่ตาย
ในบ้านดว้ ยความเจบ็ ปว่ ยหรอื ชรา หากตายโหงหรือตายไกลๆถอื วา่ ไมด่ ี จะไมเ่ ชญิ เขา้ มา
7
การเสนเรือนกระทาทุก ๒-๔ ปี
เดือนใดก็ได้ยกเว้น เดือน ๕ เดือน ๙
และเดือน ๑๐ เน่ืองจาก เดือน ๕ เป็น
ช่วงหน้าแล้ง ส่วนเดือน ๙-๑๐ มีความ
เช่ือกันว่าผีไปเฝ้าเทวดา มารับอาหาร
เซ่นไหว้ไม่ได้หากเว้นไม่ทาพิธีเสนเรือน
นานหลายปี จะทาให้ผีอดอยากและเกิด
สิ่ ง ไ ม่ ดี กั บ ค ร อ บ ค รั ว ไ ด้ เ มื่ อ เ กิ ด
เหตุการณ์ไม่ดีข้ึนกับคนในบ้าน ขาวโซ่ง
จึงมักราลึกถึงการขาดการทาพิธีเสน
เรอื น
พิธีเสนเรอื นน้ั มีรายละเอียดและข้ันตอนปลีกย่อยมากมาย แต่จุดประสงค์หลักของ
พิธีน้ีคือ การบูชาและแสดงถึงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษท่ีล่วงลับไปแล้ว การสืบต่อ
พิธีกรรมที่มีตามความเช่ือของชาวโซ่งถือเป็นการดารงวัฒนธรรมเฉพาะกลุ่มท่ีมีความโดด
เดน่ ทางวัฒนธรรมของหมูกล่มุ ในการประกอบพธิ กี รรมนี้ ชาวบ้านต่างวัฒนธรรม สามารถ
เข้ามาร่วมดูการประกอบพิธีกรรมได้ จะมีฟังคาสวดภาษาโซ่ง ท่ีหมอเสนเป็นคนกล่าว
ภายในบ้านท่ีจัดพิธีกรรมน้ีแสดงให้เห็นถึงความอบอุ่น ในหมูเครือญาติที่มาร่วม มาแสดง
ความยินดี และรว่ มรับประทานอาหารกัน
8
พิธีแต่งงำน ไทยทรงดาเรียกว่าพิธีแต่งดองหรือกินดองใหญ่ (งานเล้ียงเพ่ือเก่ียว
ดองกันเป็นญาติ) หรือเรียกส้ันๆว่า งานกินดองหรืองานกินหลอง เม่ือชายหนุ่มหญิงสาวมี
ความรักกันใคร่กันถึงขั้นจะแต่งงานกับฝ่ายชายจะส่งผู้ต๊าว (ผู้ท้าว) ไปสู่ขอกับพ่อแม่ฝ่าย
หญิง เรียกว่าไปโลมหรือไปโอ้โลมโดยต้องนาหญิงสาวที่มีชีวิตการแต่งงานราบร่ืนไปด้วย
พร้อมกบั หมากพลู 2 ชดุ เมอ่ื ตกลงกันเรยี บร้อยก็นดั หมายทาการหมนั้ หรอื แต่งงาน
รูปขบวนประกอบด้วยล่ามขันหมาก ข้ันตอนของพธิ แี ตง่ งำน
นาหน้า ตามด้วยสาวแต่งชุดประเพณี 4 คน ในตอนเช้าตรู่ที่บ้านเจ้าบ่าวมี
สะพายกะเหลบ็ หมากพลู เพ่ือนเจ้าบ่าว ถือ
เชียนหมาก ตามด้วยเจ้าบ่าวแต่งเส้ือฮี ใส่ การจัดขบวนขันหมาก และเดินทางไป
งอบสาน และมีดโต้มีฝักหาบเหล้า 1 เท ที่ ยั ง บ้ า น เ จ้ า ส า ว ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย
นอน หมอน เสื่อ ใส่สาแหรกหาบตามมา เช่ยี นหมากใสห่ มากพลู 4 ที่ กะเหล็บใส่
ถาดมะพร้าวอ่อน กล้วยน้าว้า และถาดขนม เหล้าและหมากพลูยาสูบ 4 ที่ ขนม
อีก 8 ถาด เป็นขบวนตามลาดับ และ จันอับ 8 ถาด มะพร้าวอ่อนและกล้วย
ติดตามด้วยบรรดาญาติและเพื่อนของฝ่าย น้าว้าสุก อย่างละ 2 ถาด เครื่องเซ่นผี
ชายเคล่ือนขบวนไปยังบ้านของเจ้าสาว โดย เรือนอันประกอบด้วยเนื้อหมู ไก่ ขนม
พ่อเจ้าบ่าวสะพายถุงแดง และเหล้าพร้อมหมากพลู 1 พาน และ
เหล้าโรงอีก 1 เท (36ขวด) ที่นอนยัด
นุ่น หมอนและเสอื่
9
เม่อื ขบวนถึงบันไดบา้ นเจ้าสาว ลา่ มขันหมากจะกล่าวว่าวันน้ีฤกษ์ดีจะข้ึนบ้านคงไม่
ถือสาใช่ไหม ล่ามนาไหว้เฮาของฝ่ายหญิงจะตอบว่าไม่ถือสาแล้วขอเชิญข้ึนบ้าน ในขณะท่ี
เจ้าบ่าวจะขึ้นบ้านเจ้าสาว อาจมีการปิดก้ันขึ้นด้วยสายสร้อย เข็มขัด นาคหรือทอง เพ่ือ
เรียกคา่ ผ่านประตกู ็ได้ เมอ่ื เจ้าบา่ วขนึ้ บ้านเจา้ สาว จะนาเครื่องเซ่นวางเรียงไว้บนกลางบ้าน
จากนน้ั ฝ่ายหญิงจะแยกของที่นามาทาพิธแี ละเลยี้ งแขก
10
จากน้ันเจ้าบ่าวและเพ่ือนจะต้องตรงไปทาพิธีเคารพบรรพบุรุษของเจ้าสาวก่อน
โดยนาเคร่ืองเซ่น 1 พาน ที่เตรียมมาไปยังห้องผีเรือน แล้วหมอผี เป็นผู้บอกกล่าวแก่ผี
เรือนให้ทราบ พร้อมกับสั่งให้เจ้าบ่าวและเพื่อนทาความเคารพ การทาความเคารพเริ่ม
ด้วยเจ้าบ่าวและเพ่ือนยืนเรียงหน้ากระดานทั้งหมด เจ้าบ่าวจะยืนเป็นคนท่ี 2 ในแถวแล้ว
ล่ามขันหมาก จะกล่าวแนะนาให้ผีเรือนทราบจุดประสงค์ที่มาไหว้ แล้วทั้งหมดย่ืนมือซ้าย
เหยียดตรงไปข้างหน้าทามุมกับพ้ืน 45 องศา มือขวาจับแขนซ้ายตรงเหนือข้อศอกแล้ว
กล่าวคาตามองลาม เสร็จแล้วจึงคุกเข่ากับพื้น ปล่อยมือทั้งสองให้แตะพื้น ก้มศีรษะลง
หน้าผากจรดระหว่างมือท้ังสองท่ีคว่าอยู่เหมือนการกราบพระแล้วยืนข้ึนให้น้ิวมือ
ประสานกันระหวา่ งอกหา่ งจากอกเล็กน้อย แล้วควงฝ่ามือให้เป็นวงออกจากตัวคล้ายเวียน
เทียน จะกระทาเช่นนี้จนครบจานวนผีบรรพบุรุษท่ีหมอพิธีเอ่ย และล่ามขันหมากแนะนา
ให้ทาความเคารพไหว้พ่อแม่เจ้าสาว
11
เม่ือไหว้ผีเรือนเสร็จแล้วญาติของทั้งสองฝ่ายพร้อมเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะนั่ง
รวมกนั อยูก่ ลางบา้ น หมอพธิ กี ลา่ วนาเป็นภาษาโซง่ ต่อหน้าพ่อแม่ของเจ้าสาวเก่ียวกับ
จุดมุ่งหมายในการมาในวันน้ี แล้วใหฝ้ า่ ยเจ้าบ่าวเจ้าสาวนาสินสอดอันอาจจะได้แก่ เงิน
สดและทองคารูปพรรณตา่ งๆ เช่น สร้อยคอทองคา แหวน ฯลฯ
แลว้ แต่จะตกลงกัน ถ้าเป็นเครื่องประดับเจ้าบ่าวจะเป็นผู้มอบให้กับเจ้าสาวต่อ
หน้าท่ีประชุมน้ันส่วนเงินสดท่ีนามาจะนาออกมานับและวางเรียงไว้ให้ทุกคนได้เห็น
ฝ่ายเจ้าสาวจะนาเมล็ดข้าวเปลือก ถ่ัวเขียว งา ให้บรรดาญาติท้ังสองฝ่าย โรยลงบน
กองเงินน้ัน พร้อมทั้งกล่าวคาให้พรแก่คู่บ่าวสาวด้วย เม่ือรวมเงินสดห่อผ้าเสร็จแล้วจึง
มอบให้กับพ่อแม่ของเจ้าสาว แม่ของเจ้าสาวจะแบกเงินข้ึนไว้บนบ่า ตรงไปท่ีห้องผี
เรอื นแลว้ บอกใหผ้ ีเรอื นได้ทราบ หลังจากน้นั จึงแบกเงินน้ันเขา้ ไปเกบ็ ไว้ในหอ้ งนอน
12
ต่อมาเจา้ บ่าวจะทาพิธไี หวพ้ ่อแมข่ องเจา้ สาว โดยมลี า่ มขันหมากนาไหว้ แล้วให้
เจ้าบา่ วกล่าวตามดังน้ี “องปอ ข้อยผู้ลุมาข่มเขาด้าวเอว ไหว้เฮาเอาแฟบ เจ้าเป็นปอ
ข้อยน้อ” แปลว่า ท่านพ่อครับข้าพเจ้า ลุมาคุกเข่าท้าวเอวไหว้ท่านด้วยความเคารพ
ต่อไปนที้ า่ นเป็นพ่อของขา้ พเจ้าแล้ว
ในขณะท่ีกล่าวคาดังกล่าวน้ัน ท้ัง
เจ้าบ่าวและเพ่ือนเจ้าบ่าวยืนตรง อยู่
ตรงหน้าพ่อแม่โดยใช้มือขวาแขนจับซ้าย
ตรงข้อพับแขนด้านบน แขนซ้ายเหยียด
ตรง แล้วเอาน้ิวมือท้ังสองประสานกันตรง
หนา้ อกวนเข้ามาตัวใหเ้ ป็นวงกลมประมาณ
หน้าผากแตะฝ่ามือ 1 ครั้ง แล้วยืนข้ึน
ตามเดิมเตรียมทาความเคารพต่อไป การ
คุกเข่าลงพร้อมๆ กันและทานองเดียวกัน
กด็ ูเหมอื นการเล่นเพอ่ื ความสนกุ สนานด้วย
ฝ่ายพ่อแม่ของเจ้าสาวหรือพ่อตาแม่ยาย เมื่อรับความเคารพแล้วจึงให้พร เป็น
ทานองวา่ “ขอให้อายุม่ันขวัญยืน เจริญรุ่งเรือง ครองคู่กันจนแก่เฒ่า และมีลูกหลานสืบ
สกุล ฯลฯ” แล้วเจ้าบ่าวจะรับว่า “อุ้มใส่หัวปัว (พร) ใส่เกล้า” สาหรับการทาความ
เคารพพ่อแม่ของเจ้าบ่าวและญาติน้ัน เจ้าสาวจะมีเพื่อน 1 คน แต่งตัวนุ่งผ้าซิ่นสวมเส้ือ
ฮี เกล้าผม เช่นเดียวกับเจ้าสาว โดยพนมมือไหว้แล้วกราบลงกับพ้ืนอย่างไทย เพื่อน
เจ้าสาวจะคอยถือพานหมากพลู บุหรี่ให้เจ้าสาวนาไปวางต่อหน้าผู้ท่ีตนจะทาความ
เคารพทกุ คร้ัง
การรับไหว้ของพ่อแม่และญาติทั้งสองฝ่ายจะมีการมอบเครื่องประดับให้เจ้าสาว
และเงนิ สด ใสพ่ านหมากพลนู ้นั อีกด้วย เสร็จพิธีแล้วเจ้าภาพฝ่ายหญิงจะเชิญชวนทุกคน
รว่ มรับประทานอาหาร
13
พิธีมอบลูกเขย ล่ามนาเจ้าบ่าวทาพิธีมอบให้ผีเรือนในกะล้อห้องก่อน (ใน
หอ้ ง) แล้วนาออกมามอบเจา้ บ่าวให้กบั พ่อแมเ่ จ้าสาวพร้อมกบั เหล้า 2 ขวด ถ้าผู้ต๊าว (ผู้
ท้าว) ใช้เหล้า 4 ขวดเพอ่ื ใหเ้ ปน็ ลูกเป็นเขย ต่อจากน้ันลูกเขยรินเหล้าให้พ่อแม่เจ้าสาว
ดื่ม เรียกว่า “เม้ยเหล้า” ฝ่ายเจ้าสาวยกสารับมีอาหารคาวหวาน เหล้า 1 ขวด มาให้
พ่อแม่ฝ่ายเจา้ บา่ วและรินเหล้าใหด้ ม่ื
พิธีมอบสะใภ้ ฝ่ายเจ้าสาวนา
เจ้าสาวมาทาพิธีมอบลูกสะใภ้ให้กับฝ่าย
เจ้าบ่าว ซ่ึงจะทาเหมือนพิธีมอบลูกเขย
ในปัจจุบันการแต่งงานของชาวไทยโซ่งนี้
ไ ด้ รับป ระ เพณี ไ ทยเ ข้ าไ ปผ สมด้ ว ย
โดยเฉพาะพิธีทางพุทธศาสนา เช่น มีการ
เลีย้ งพระตอนเชา้ และรดน้าพระพุทธมนต์
หรือน้าสังข์ด้วยการส่งตัวเจ้าสาว ในตอน
หมอน มุ้ง และเสื้อผ้า ด้วยมือทั้งสิ้น เช่น บ่ายหลังจากการรับประทานอาหาร เสร็จ
ท่ีนอนแบบยัดนุ่นแบบยาวท่อนเดียว หุ้ม แล้วจึงเริ่มพิธีส่งตัวเจ้าสาวไปอยู่บ้าน
ด้วยผ้าสีดาตกแต่งด้วยผ้าสีแดง ส้ม เจ้าบ่าว ซึง่ เจา้ สาวได้จดั ทาท่ีนอน
จานวน 7 หลัง หมอนหน้าอิฐเป็นหมอน
สี่เหลี่ยมยัดนุ่นแข็งมีหน้าหมอนที่ตกแต่ง
ด้วยผ้าสีต่างๆ อาจประดับด้วยกระจก ตัว
หมอนเป็นสีดาจานวน 10 ใบ มุ้งเย็บด้วย
ผ้าทอมือสีดาตกแต่งขอบด้านบนทั้ง 4
ด้าน ด้วยเศษผ้าสีต่างๆ แบบศิลปะของ
โซ่งโดยเฉพาะ นอกจากน้ันยังมีผ้าซ่ินและ
ผ้าพื้นทอมือบรรจุใส่ในขมุกอีก 1-2 ขมุก
นอกจากน้ันยังมีเคร่ืองครัวและตู้เสื้อผ้าอีก
ด้วย
14
เจ้าบ่าวจะแต่งตัวชุดเดินทาง คือ สวมเส้ือฮี สะพายย่าม และมีมีดโต้มีฝักสวม
งอบสานที่ศีรษะ เจ้าสาวแต่งชุดเดิม คือเส้ือฮีและนุ่งผ้าซ่ินแต่จะสะพาย กระบอกน้า
ไม้ไผ่และแอ็บข้าวและญาติจะช่วยกันแบกหามไปตามขบวน ในการเดินทางไปบ้าน
เจา้ บา่ วน้ี ถ้าอยู่ไมไ่ กลนกั ก็จะเดนิ ไปด้วยเท้าเปน็ ขบวน แตถ่ ้าไกลมากอาจใช้รถบรรทกุ
เม่ือขบวนส่งตัวถึงบริเวณบ้านฝ่ายชาย เจ้าบ่าวจะจูงมือเจ้าสาวก้าวหน้าขึ้น
บันไดก้าวข้ามบันได ข้ันที่ 1 ไปเหยียบข้ันท่ี 2 เจ้าบ่าวจะดึงมือเจ้าสาวข้ึนไปจนถึงขั้น
สุดท้ายแต่ท้ังคู่จะไม่เหยียบบันได ขั้นสุดท้ายเลย จากน้ันทั้งคู่จะตรงไปไหว้ ผีเรือนท่ี
ห้องผีเรือนพร้อมทั้งเจา้ บา่ วและเจ้าสาว ฝา่ ยเจา้ สาวเม่ือมาอยู่บนบ้านของฝ่ายชายแล้ว
จะต้องน่ังบนตัง่ ท่ีถือมาเสมอ แมต้ อนที่ไหว้ผีเรือนก็เช่นเดียวกัน ทั้งน้ีเพราะธรรมเนียม
ของชาวโซ่งถือว่าสะใภ้นั้นมีสถานภาพต่ากว่าเจ้าของบ้าน จะน่ังเสมอเหมือนกับ
เจา้ ของบา้ นไมไ่ ดเ้ สรจ็ แลว้ จึงทาพิธีรบั ขวัญเจา้ สาว
15
พิธีสู่ขวัญญำติผู้ใหญ่และเพ่ือนท่ีมำส่งเจ้ำสำว ทางบ้านฝ่ายเจ้าบ่าวได้
จัดเตรียมเครื่องเซ่นพิธีสู่ขวัญ เคร่ืองเซ่นประกอบด้วย ไก่ 3 ตัว (แบ่งเป็นไก่ซ้องท้ัง 3
ตัว) ท่ีเหลือนาไปต้มยา ถ้วยหมากพลู เหล้า ข้าวสุก จัดใส่ปาน (พาน) ไม้หรือถาดก็ได้
โดยจะต้องจัดไว้จานวน 3 ท่ีดังน้ี ปานเคร่ืองเซ่นชุดที่ 1 สาหรับทาพิธีสู่ลุง สู่ตา
หมายถึงบุคคลท่ีมีศักด์ิเป็นปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า ท่ีเดินทางมาส่งลูกหลาน ปาน
เครื่องเซ่น ชุดท่ี 2 สาหรับพิธีสู่ต๊าว สู่ขวาน หมายถึงผู้สูงอายุ มีศักด์ิ (ฐานะ) เป็นญาติ
ผู้ใหญ่ของเจ้าสาวท่ีเดินทางมาส่งลูกหลาน ปานเครื่องเซ่นชุดที่ 3 สาหรับพิธีสู่หญิง สู่
สาว หมายถึงบุคคลท่ีเป็นผู้หญิง ซ่ึงเป็นแม่ เป็นอา เป็นญาติผู้หญิง จะมีหมอสู่ขวัญมา
ทาพธิ ีให้ เสร็จแล้วกน็ าเครอ่ื งเซ่นน้ันมาจดั เล้ียงกันเปน็ อนั เสรจ็ พิธี
พิธีสู่ขวัญบ่ำวสำว บ้านเจ้าบ่าวจะเตรียมเคร่ืองเซ่นไว้ ได้แก่ หัวหมูสุก
หมากพลู ขนม ข้าวต้มมัด กล้วย อ้อย เผือกต้มมันต้ม ผลไม้และเหล้า 2 ขวดใน
ขวดเหลา้ แต่ละขวดมีหมัวเหล้าด้วย (หมัวเหล้า หมายถึงหลอดดูดเหล้าทาจากไม้ ) นา
เคร่ืองเซ่นมาจัดใส่ปานไว้ ใช้หางตอง 3 ยอดรองปานไม้ แล้วนาเครื่องเซ่นเรียงใส่ใน
ปานไม้ ขวดเหล้าทั้ง 2 ขวด ต้ังไว้ด้านหน้าปานไม้ ให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวถือปลายหลอด
คนละดา้ น ในสมยั โบราณคงเปน็ ไหบรรจุเหล้า และการท่ีมีหลอด 1 อนั แต่ปลายหลอด
แยกเป็น 2 ปลายจุ่มอยู่ในไหเหล้าเดียวกันน้ันคงหมายถึงการดื่มเหล้าร่วมไห อันเป็น
คติธรรมครองเรือนท่ีจะบอกให้รู้ว่าการครองชีวิตต่อไปน้ีคงจะต้องร่วมทุกข์ ร่วมสุข
รว่ มกนิ ร่วมนอน ฯลฯ นั่นเอง
16
คาบอกกล่าวในการทาขวัญแบ่งได้เป็นสองเรื่อง คือ การสอนขวัญซ่ึง
หมายถึง การบอกใหค้ บู่ า่ วสาวทราบถงึ การวางตัว เช่นการกล่าวว่า “อย่าฟังความ
วัวท่ีเขาเอาไปขายอย่าฟังความควายท่ีเขาเอาไปฆ่า” มีความหมายว่าอย่าหูเบา
เช่ือคนง่าย ควรจะเชื่อหรือฟังความจากผู้เฒ่าผู้แก่อายุจะยืนและให้ขวัญอยู่กับ
บ้านกับช่อง ส่วนการหอมขวญั นนั้ เป็นการให้ทงั้ คถู่ นอมนา้ ใจกัน เวลาเขา้ นอนก็ให้
เอาขวัญเข้านอนด้วย ขวัญในท่ีน้ี หมายถึง “ความรู้สึกนึกคิดที่เกิดจากใจ”
หลังจากน้ันจะเป็นการจุดเทียนชัย เรียกว่า “หลาแนน” บ่าวสาวจะจุดเทียนคน
ละเล่ม ถ้าเทียนทั้งคู่ลุกโชติช่วงดีทายว่า ท้ังคู่จะครองชีพกันราบรื่นดี นอกจากนี้
ยังมีบรรดาญาติทั้งสองฝ่ายนาเงินมาใส่ในปานขวัญกันคนละเล็กละน้อยไปจนถึง
100 - 500 บาท เพ่ือให้คู่บ่าวสาวเป็นทุนทรัพย์ในการครองเรือน เม่ือเสร็จจาก
การทาขวัญแล้ว เจ้าภาพฝ่ายชายจะเชิญบรรดาญาติฝ่ายหญิงที่มาส่งตัวร่วม
รับประทานเป็นการเล้ียงฉลองระหว่างผู้เป็นญาติของทั้งสองฝ่าย ซ่ึงเป็นการ
“เก่ียวดอง” กนั แล้วงานนจี้ งึ เรยี กตามภาษาโซ่งวา่ งาน “กนิ ดอง”
หมอสู่ขวัญเร่ิมพิธี เจ้าภาพมอบปานเครื่องเซ่น (ปานขวัญ) ให้แก่หมอสู่
ขวัญท้ังหมด หมอสู่ขวัญจะพูดบอกกล่าวถึงการวางตัวของบ่าวสาวในการอยู่
ร่วมกันต้องทาใจให้หนักแน่น มีการถนอมน้าใจกัน หนักนิดเบาหน่อยให้อภัยซ่ึง
กนั และกัน ใหอ้ ยรู่ ว่ มกนั อยา่ ง มีความสุขตลอดไป
เมื่อถึงเวลาอันสมควรแล้วจึงมีพิธี “กางก่วงกางหยั่น” (พิธีปูที่นอน) มุ้ง
ของโซง่ ตดั เย็บดว้ ยผ้าสีดาตกแต่งด้วยเศษผ้าไหมสตี า่ งๆ ที่ขอบบนท้ัง 4 ด้าน หูมุ้ง
ทาด้วยเชือกที่มาเกี่ยวกับหูมุ้งท้ัง 4 น้ัน ตรงปลายจะทาด้วยกิ่งไผ่ที่มีลักษณะ
คล้ายผา้ ไหมสีตา่ งๆ เช่นเดียวกัน ทกุ ข้ันตอนในพิธีจะต้องมีผู้ใหญ่ที่มีสถานภาพใน
การครองเรือนดเี ป็นท่ีเคารพนับถอื ของคนทว่ั ไปเป็นผู้นาก่อนเสมอ ท้ังน้ีเพ่ือความ
เปน็ สริ ิมงคลแก่คู่บา่ วสาวและเป็นตัวอย่างทีด่ ใี นการครองเรือนต่อไป
17
ก่อนจะปูท่ีนอนและกางมุ้งนั้น หมอพิธีและญาติผู้ใหญ่จะต้อง “สาดเงิน สาด
กา” คือโปรยเงินโปรยทองลงบนพ้ืนท่ีนั้นเพ่ือให้เจ้าบ่าวได้เก็บไว้เป็นสิริมงคล แล้วให้
“ลุงตา” หรือ พี่ข้างเมียเลือกตะขอที่เกี่ยวหูมุ้งทั้งส่ี ซึ่งได้เตรียมไว้ 5 อัน เลือกท่ีดีๆ 4
อันท้ิงไป 1 อัน ตะขอหูมุ้งน้ีทาด้วยแขนงไผ่ที่มีก่ิงยื่นออกมาเป็นตะขอสาหรับเกี่ยวมุ้ง
ได้ แล้วหมอพิธีก็จะกล่าวคาสั่งสอนดังคาสอนตอนหน่ึงว่า “เป็นสะใภ้อย่าชวนผัวแยก
บ้านถึงเวลาเย็นอย่าอุ้มลูกไปเท่ียวนอกบ้าน” หมายความว่าเป็นสะใภ้ต้องไม่ทะเลาะ
กับพ่อแม่ของฝ่ายชายจนต้องชวนกันแยกบ้านไปอยู่ที่อ่ืน และให้หุงหาอาหารในตอน
เย็น มิใช่อมุ้ ลูกออกไปเที่ยว บ้านอื่น ที่กล่าวมาน้ีเป็นการสอนฝ่ายเจ้าสาว ส่วนการส่ัง
สอนเจ้าบ่าวนั้น ดังตอนหน่ึงมีว่า “บอกเมียอย่าถือพร้าบอกหล้าอย่าถือขวาน บอกกัน
อย่ากาฆ้อง” มีความหมายว่าฝ่ายสามีควรทาให้หนักแน่น เวลามีปากเสียงกันอย่าพูด
ท้าทายภรรยาให้ใชข้ องมคี มเหล่านัน้
จากนั้นผู้ประกอบพิธีเข้าซุ้มลงนอนก่อน พอเป็นตัวอย่างเพื่อเป็นเคล็ดว่า ให้คู่
สามีภรรยาจงมีชีวิตคู่ท่ีดีดังตัวอย่างน้ีด้วย แล้วจากนั้นจึงให้ผู้บ่าวสาวได้เข้านอนต่อไป
เป็นอันเสรจ็ พิธี
เรอื นแส พิธีศพ เม่ือมีคนตายในหมู่บ้าน
ชาวบ้านทุกครัวเรือนจะให้ความสาคัญ
กับการตายมาก จะหยุดงานการทุก
อย่างท่ีทาและมาช่วยกันจัดการกับงาน
ศพ ในวันแรกท่ีมีคนตาย ญาติพี่น้องจะ
อาบนา้ แตง่ ตัวให้ศพ โดยให้ใส่เส้ือฮีด้าน
ที่มีสีสัน แล้วยกศพวางบนแคร่ไม้ไผ่ที่
ทาขึ้น นาไปวางไว้ใต้ขื่อบ้านตามยาว
รองและคลุมศพด้วยผ้าไหมหรือผ้าฝ้าย
สีขาวหรือแดง บ้านที่มีฐานะดีจะจัดทา
“เรือนแส” ครอบศพ
18
เรือนแสเป็นมุ้งใหญ่ท่ีทาด้วยผ้าขาว หรือจะทาเป็นม่านล้อมรอบศพก็ได้ เหนือ
ศพจะทาราวแขวนผ้าท่ีทอไว้ นอกจากผ้าไหมและผ้าฝ้ายที่แขวนไว้นี้ก็จะมีไข่ดิบห่อ
ข้าวเหนียวแขวนไว้ด้วย ปลายเท้าศพจะวางเครื่องเซ่นไหว้ ตอนกลางคืนจะมีการก่อ
กองไฟไว้ข้างบ้านติดกับห้องผีเป็นสัญลักษณ์ของคนตาย และปล่อยให้ลุกทั้งคืน
วนั รุ่งขน้ึ หมอพธิ ที เ่ี รียกว่า “เขย” จะทาพิธีบอกทางใหก้ ับผูต้ าย เพ่ือให้วิญญาณกลับไป
เมืองแถนบ้านเกิดเมืองนอน ซึ่งปัจจุบันนี่เปรียบเสมือนเมืองฟ้าเมืองสวรรค์สาหรับ
ผู้ตาย หลังจากนั้นจึงหาบศพไปเผาที่ป่าแฮ่วหรือป่าช้า โดยให้ผู้เป็นลูกชายผู้ตายถือธง
นาหน้าเม่ือถึงป่าแฮ่ว หมอพิธีต้องทาพิธีเสี่ยงทายเพ่ือขอซ้ือที่สาหรับเผาศพ เมื่อได้ที่
แล้ว จึงช่วยกันถางหญ้าพรวนดินให้เป็นรูปสี่เหลี่ยม แล้วปักเสา 4 เสา วางแคร่บน
ปลายเสา กองฟืนไวใ้ ตเ้ สา แล้วหมอพิธจี ุดไฟเผาไล่มด จากนั้นเจ้าภาพจะจุดไฟเป็นคน
แรก วันรุ่งข้ึน ญาติจะไปเก็บกระดูก และทาพิธีส่งผี คือส่งเส้ือผ้าเคร่ืองใช้ไปให้ผี
เช่น ธงสาหรับให้ผู้ตายเกาะชายธงไปเมืองฟ้า เสาหลวงเป็นพาหนะให้ศพข่ีไปเมืองฟ้า
เรือนแก้วสาหรับเป็นบ้านเรือนให้ผู้ตายได้อยู่ในเมืองฟ้า เป็นต้น หลังจากพิธีส่งผีแล้ว
จะต้องหาวันที่ทาพิธีแผ้วเรือน เพื่อล้างเรือนให้สะอาดเสียก่อนที่จะอยู่อาศัยกันต่อไป
โดยปราศจากทกุ ขโ์ ศก เพราะเชือ่ กนั ว่าบ้านท่มี คี นตายเปน็ เรือนรา้ ยไมส่ ะอาดบริสุทธิ์
19
การแต่งกาย…
ของประเพณีไทยทรงดา
ชำวไทดำ หรือลำวโซ่ง มีเอกลักษณ์ กำรแต่ง
กำยเป็นของตนเอง แบ่งกำรแต่งกำยเป็น 2 ประเภท
คือ เสื้อผ้ำสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน และเสื้อผ้ำ
สำหรบั ใส่ในงำนประเพณี หรอื งำนบุญต่ำง ๆ ซง่ึ ส่วน
ใหญ่ท้ังชำยและหญิงมักนิยมใช้ผ้ำฝ้ำยทอมือย้อม
ครำม สำหรับเส้ือผ้ำที่ใส่ในพิธีกรรมจะจัดทำขึ้นเป็น
พิเศษ มีสดี ำตกแตง่ ดว้ ยผำ้ ไหมชน้ิ เล็กๆ
การแต่งกายชาวไทยทรงดา
1. ผำ้ ทีใ่ ชใ้ นชีวิตประจำวนั
ชาวไทยทรงดานิยมใช้ผ้าพื้นสีดาทอขึ้นอย่างง่ายๆ มีสีสันและลวดลายบ้าง ได้แก่
ผ้าซิน่ ผ้าขาวมา้ เส้ือน่อย สว้ งกอ้ ม และผ้าเปยี ว
1.1 ผ้ำซ่นิ
การใชผ้ ้าซิ่นเป็นเอกลักษณ์ของหญิงเผ่าพันธุ์ไทดาส่วนใหญ่จะนุ่งผ้าท่ีทอกันขึ้นมาใช้
เองต้ังแต่อดีตถึงปัจจุบัน ชาวลาวโซ่งก็เช่นกัน ทุกครัวเรือนผู้หญิงจะเป็นผู้ทอผ้าขึ้นมาใช้เอง
เ ป็ น ผ้ า ฝ้ า ย ท อ มื อ ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย เ ชิ ง บ น ซ่ิ น เ ป็ น “ หั ว ซิ่ น ” “ ตั ว ซ่ิ น ” เ ชิ ง ล่ า ง
ซ่ึงเป็น “ตีนซ่ิน” ย้อมครามจนเป็นสีครามเข้มเกือบดา มีลวดลายคล้ายกับแตงโม
จงึ นิยมเรยี กวา่ “ผ้าซน่ิ ลายแตงโม” โดยผ้าซนิ่ จะประกอบด้วย 3 ส่วน คอื หวั ซิน่ ตัวซิ่น และ
ตีนซิ่น
20
1.1.1 หวั ซน่ิ เปน็ ผ้าพนื้ สีครามเข้มหรือสดี าข้ึนอยู่กับตวั ผ้าซ่นิ สีกลมกลืนกับตัวซิ่นมี
ความกว้างประมาณ 8 -10 นิ้ว การต่อหัวซ่ินจะใช้เข็มสอยด้วยฝีเข็มที่ละเอียดมาก และมี
ความคงทนถาวรไม่หลุดงา่ ย
1.1.2 ตัวซ่ิน ส่วนท่ีเป็นผ้าสาหรับพันรอบตัวพื้นเป็นสีครามเข้มหรือสีดาและมีลาย
ทางสีขาวหรือสีฟ้าแทรกตามทางยาวของลาตัว ลายสีขาวหรือสีฟ้าแต่ละลายห่างประมาณ
1.5 - 2 น้ิว คล้ายลายแตงโม โดยตัวซ่ินนี้เส้นด้ายยืนจะมีสีดาหรือสีแดง อาจจะเป็นฝ้าย
หรอื ไหมสว่ นดา้ ยพ่งุ จะเปน็ ฝ้ายสดี าหรือสีครามเขม้ ขนึ้ อยู่กับสีท่ตี อ้ งการวา่ ต้องการผ้าซ่ินสี
ครามเขม้ หรือสดี า
1.1.3 ตีนซิ่น เป็นผ้าที่ทอข้ึนโดยเฉพาะต้องใช้ก่ีสาหรับ
ทอตีนซิ่น มีความกว้างประมาณ 1.5 นิ้ว โดยมีการสลับสีของ
เส้นดา้ ยยนื ใหเ้ ป็นสีดาหรือสีครามเข้มและสีขาวหรือสีฟ้า ส่วน
เสน้ ด้ายพุ่งเป็นสีดาหรือสีครามเข้มลวดลายที่เกิดจะเป็นลายท่ี
เกิดตามยาวแล้วนาไปเย็บติดกับตัวซิ่นด้วยมืออย่างประณีต
ตามแบบของชาวไทยทรงดา ลายผ้าซ่นิ
1.2 ผา้ ขาวมา้
ผ้าขาวม้าเป็นผ้าสารพัดประโยชน์ที่ใช้ในชีวิตประจาวัน โดยมีการตัดเย็บด้วยผ้า
ฝ้ายเป็นรปู ส่ีเหลี่ยมผืนผ้าแล้วมัดย้อมหรือขิด ชาวไทยทรงดานิยมนาผ้าขาวม้าสาหรับพัน
รอบเอวและผลัดอาบนา ชาวไทยทรงดาส่วนมากใช้ผ้าขาวม้าในการประกอบพิธีกรรม
ต่างๆ เช่น พิธีเสนเรือนเก่ียวกับการเรียกขวัญ โดยจะใช้ร่วมกับเครื่องเซ่นต่างๆ ซ่ึงเป็น
เครื่องหมายแสดงตัวเจ้าของขวัญสาหรับในพิธีแต่งงาน บางครังใช้เป็นของกานัลแก่ญาติ
ผใู้ หญ่
ผ้าขาวม้า 21
1.3 เสื้อน่อย
เสื้อน่อยและเส้ือซ้อนเป็นเสื้อช้ันในของผู้หญิงไทยทรงดาใช้สาหรับทางานอยู่กับ
บา้ น หากไปงานท่ีไม่เป็นทางการมักจะใช้เสื้อน่อยห่มทับด้วยผ้าสไบ หรือใช้เสื้อก้อมพาด
ไว้ท่ีไหล่ ซ่ึงถือว่าเป็นชุดสุภาพ ลักษณะของเสื้อจะตัดเย็บด้วยผ้าฝ้ายสีครามหรือดา
ลักษณะของเสื้อน่อยคล้ายเสื้อสายเดี่ยวคอเสื้อจะเป็นคอกลมติดกระดุมด้านหน้าลาตัว
เส้ือซอ้ นมลี กั ษณะคล้ายเสอ้ื ช้นั ใน มกี ระเป๋าเลก็ ๆอยู่ตรงกลางเสือ้
เส้อื น่อยและเสอ้ื ซอ้ นของชาวไทยทรงดาในยคุ ปจั จบุ ัน
1.4 ส้วงกอ้ มหรือกำงเกงขำสนั้ ส้วงก้อมหรอื กางเกงขาส้นั
เปน็ กางเกงทต่ี ัดเย็บด้วยผ้าฝา้ ยสคี รามเข้มหรือสีดา
ตัดเย็บด้วยมือไม่มีการต่อขอบ มีความยาวเสมอหัวเข่า
บริเวณเอวเป็นส่วนท่ีกว้างท่ีสุด เวลานุ่งต้องทบผ้าไว้
ด้านหน้าแล้วคาดทับด้วยสายคาดหรือเข็มขัด ลักษณะ
คล้ายกบั กางเกงขากว๊ ย แตต่ ่างกนั ตรงที่การประกอบผ้าแต่
ละชนิ้ โดยเฉพาะบริเวณเป้าด้านหน้าและด้านหลังมีการใช้
ผ้าแทรกแล้วนาผ้าที่ทบกันมาเย็บเป็นตะเข็บกลมทั้งหมด
ในอดีตใช้สาหรับนุ่งทางานทั่วไป การใส่ส้วงก้อมน้ันถ้าใส่
กับเส้ือก้อมชายหรือชุดทางาน ถ้าคาดหลวมหรือมีกระเป๋า
คาดเอวจะเป็นชุดท่ีสามารถออกเท่ียวงานได้ ผู้ชายนิยมจะ
ใส่เส้ือไท กางเกงขาก๊วยสีดาหรือสีครามแก ใช้ผ้าขาวม้า
คาด ผู้ชายจะใส่ส้วงก้อมขาสั้น เอาผ้าคาดเอวหรือเป็น
กระเปา๋ ฝกั คาดเอว ในกระเป๋าฝักจะใส่ยาสบู
22
1.5 ผำ้ เปียวหรือผ้ำสไบ
ผ้านี้เป็นผ้าห่มของผู้หญิงจะมีสีครามเข้มหรือสีดา นิยมห่มเป็นผ้าสไบเฉียงเพื่อไป
ทาบุญที่วัด มีลักษณะเป็นผ้าฝ้ายทอมือ มีความกว้างประมาณ 15 – 65 น้ิว มีความยาว
ต้ังแต่ 1 – 3 เมตร ปักลายด้วยวิธีขิดและปักลวดลายด้วยเส้นด้ายสีต่างๆ สลับสีกันที่ชาย
ผ้า ผ้าเปียวเป็นผ้าที่ใช้ได้สารพัดประโยชน์ เช่น ใช้คลุมไหล่ ใช้คาดอก ใช้คลุมศีรษะหรือ
ห่มเฉลียงไหลไ่ ปวัดหรือเวลามีพธิ ีกรรมต่าง ๆ ส่วนหญิงที่แตง่ งานไปแล้วจะใช้ผ้าเปียวสดี า
ผ้าเปยี วหรือผา้ สไบ
“ผา้ เปียวเป็นผ้าสารพัดประโยชน์ของหญิงไทยโชง่
สมัยกอ่ นนามาคาดอก คล้องคอ เวลาไปวดั ก็ทาเป็นผา้ สไบกไ็ ด้ถ้าไปทานา
แดดร้อนก็เอาคลุมหวั กันร้อน หรือถา้ อากาศหนาวก็เอาผ้าเปยี วมาคลมุ ไหล่
เรยี กว่าใช้งานไดต้ ลอด”
(คา ทองคงหาญ,ขอ้ มลู จากการสัมภาษณ์)
“ผู้หญิงสาวสมยั ก่อนถา้ ยังไม่ได้แตง่ งานจะใชผ้ ้าเปียวท่มี ีสีสนั เช่น สเี หลอื ง
สเี ขยี ว และถ้าแตง่ งานแลว้ จะใช้ผา้ เปียวสีดาเทา่ นน้ั ”
(ปิยะวรรณ สุขเกษม, ขอ้ มูลจากการสัมภาษณ์)
ขอ้ มลู การสัมภาษณอ์ า้ งอิงจากงานวิจัย กานต์ทติ า สหี มากสกุล. (2558).
23
2.1 เสือ้ กอ้ มผ้ชู ำย
เป็นเส้ือท่ีมีรูปทรงส้ัน เป็นเส้ือแบบคอต้ังไม่มีปก ตัดเย็บด้วยผ้าฝ้ายสีครามเข้มท่ี
แขนเส้อื ตอ่ ตรงไปถึงปลายแขน โดยใช้ผ้าทบสองชั้นให้เป็นรูปทรงกระบอกยาวถึงข้อมือ
การต่อแขนเส้ือมีการแทรกผ้ารูปสามเหลี่ยมไว้ใต้รักแร้ทาให้โคนแขนใหญ่ขึ้น บริเวณ
ชายเส้ือด้านข้างลาตัวทั้งสองข้างแทรกด้วยผ้ารูปสามเหลี่ยมต้ังแต่เอวลงมาถึงสะโพก
เพื่อให้ชายเสื้อบานอก สาบเส้ือซ่ึงเป็นผ้าทาบท่ีอกเส้ือสาหรับติดกระดุม ใช้ผ้าแถบยาว
ถึงเอวไม่ติดชายเสื้อเย็บติดกับแผ่นเสื้อด้านหน้าข้างขวา แล้วเจาะรังดุม 9 –12 ช่อง
กระดุมทาด้วยเงินเป็นรูปยอดแหลมลายกลีบบัวติดห่วงที่ปลายยอดแล้วจึงนามาเย็บติด
กับผ้าด้านซ้ายให้ตรงกับรังดุม การเย็บตะเข็บเส้ือใช้มือเย็บตลอดแนว โดยเย็บแบบฟัน
ตะเข็บให้เป็นเส้นกลมส่วนการเย็บปลายแขนเสื้อเก็บริมผ้าโดยไม่ต้องพับแล้วเย็บ เสื้อ
ก้อมนี้ใช้สาหรับสวมใส่ไปทางาน เดินทางไปต่างหมู่บ้าน หรือใช้คู่กับเสื้อเช้ิตสีขาวโดย
สวมเสอ้ื เช้ิตไว้ดา้ นในแลว้ จงึ สวมเสอ้ื กอ้ มทับอกี ชนั้ หนง่ึ
เสอ้ื ก้อมผชู้ าย
24
2.2 เสือ้ กอ้ มผู้หญิง
ทาจากผ้าพื้นสีครามเข้มหรือสีดา ตัดเย็บ
ด้วยมือ ฝีเข็มละเอียด สามารถใส่ได้ท้ังสองด้าน
เปน็ เสื้อคอตง้ั เขา้ รปู ไม่มปี ก แขนยาวทรงกระบอก
รัดข้อมือ การต่อแขนติดกับลาตัวต่อซ่อนตะเข็บ
ตรงๆ ไม่เว้าผ้า และมีผ้าแทรกใต้รักแร้เพ่ือให้แนบ
ลาตัว ตัวเส้ือมีความยาวเหนือสะโพกและผ่าหน้า
ตลอดติดกระดุมถี่ประมาณ 10 – 12 เม็ด กระดุม
ทาด้วยเงนิ แท้ เป็นยอดแหลมมีลายกลีบบัวติดห่วง
มคี วามหมายและการใชเ้ หมือนกบั เสื้อก้อมผูช้ าย
เสื้อกอ้ มผู้หญิง
เส้อื ฮีผู้ชายหรอื เสื้อยาว 2.3 เสือ้ ฮี
2.3.1 ผชู้ ายหรือเส้อื ยาวหรือเส้ือผี
ชาวไทยทรงดามีความเช่ือว่าเส้ือฮีด้านท่ีมีลวดลาย
มากน้นั ขโมยมาจากผี ชาวไทยทรงดาทุกคนจะต้องปกปิดด้าน
ท่ีมลี วดลายไว้เม่อื ยงั มีชวี ิตอยู่ แตถ่ า้ เสยี ชีวิตจะนาด้านท่ีมีลาย
มากมาคลุมโลงศพ เพื่อให้ผีได้รับรู้ว่าเป็นพวกเดียวกัน เสื้อฮี
จัดเป็นเส้ือสาคัญซึ่งแต่ละคนจะมีเส้ือฮีประจาตัว เสื้อฮีจะ
ตกแต่งด้วยลวดลายท่ีสวยงาม เพื่อไว้ใช้ในงานพิธีกรรมต่างๆ
เม่ือเจ้าของเสียชีวิต ญาติจะนาเส้ือสวมใส่ให้เจ้าของเส้ือที่
เสียชีวิตด้วย ลักษณะรูปแบบเสื้อฮี เป็นเสื้อยาวผ่าหน้าถึงเข่า
ท่ีขอบคอเสื้อหุ้มกุ๊นด้วยผ้าไหมสีต่างๆ เรียกว่า “ซ้อน” ใต้
รักแร้ใช้ผ้าไหมขริบหรือเจียนเป็นลวดลายหลากสีโดยตัดเป็น
รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเรียกว่า “เบ้ือแขน” เย็บแทรกระหว่างด้าน
แขนกบั ตัวเส้ือ
25
2.3.2 เส้อื ฮผี หู้ ญิง เส้อื ฮผี ้หู ญิง
เป็นเสื้อที่ถูกออกแบบให้สามารถสวมใส่ได้ เส้อื ไต
ท้ัง 2 ด้าน มีลักษณะเป็นเสื้อคลุมแขนยาว ตัวเสื้อ
ยาวถึงเข่า ไม่ผ่าหน้า คอแหลมรูปตัววี ไม่มีปก
ด้านหนง่ึ นั้นบนตวั เสื้อและขอบชายเสื้อด้านล่างจะ
ปักและเย็บด้วยเส้นไหมมีลวดลายต่างๆ สวยงาม
สว่ นอกี ดา้ นหนง่ึ นน้ั จะปักลวดลายทม่ี สี สี ันนอ้ ยกว่า
อีกด้านหนึ่ง ในการสวมใส่เส้ือฮีในพิธีกรรมเสน
เรือน การแต่งงาน เจ้าของเสื้อจะสวมใส่เสื้อฮีด้าน
ที่มีสีสันสวยงามน้อยกว่าอีกด้านหนึ่ง สีของเสื้อฮี
เป็นสีครามเข้มหรือสีดาลวดลายของเสื้อฮีมีการ
ตกแต่งลวดลายด้วยวิธีการปักและปะด้วยผ้าสี
ต่างๆ ทางด้านหน้าตัวเสื้อบริเวณแผ่นอกท้ังสอง
ข้าง ใต้แขนเสื้อทั้งสองข้างแนว ตะเข็บทุกแห่ง
และชายด้านล่างรอบตัวเสื้อบริเวณผ้าทาบท่ีอก
เสื้อไว้ติดรังดุมจะตกแต่งด้วยผ้าลายต่างๆ และ
ประดับด้วยกระจกเงาอย่างสวยงามลายที่นิยม
นามาปัก ได้แก่ ลายดอกแก้ว ลายดอกผักแว่น
ลายดอกพิกุล ลายนกแก้ว ลายปะ ได้แก่ ลายดอก
พรหม ลายขาบวั ลายดอกแปด และลายดอกมะลิ
2.4 เสื้อไต
เสื้อไต เรียกอีกชื่อว่าเสื้อไทเป็นเส้ือที่มีขนาดใหญ่ เป็นเส้ือลาลองของผู้ชายสวมใส่เม่ือ
ไปงานต่างๆ ใสไ่ ปเทย่ี ว เกี้ยวสาว หรือใสไ่ ปงานทไี่ ม่เป็นพิธีการมากนัก จะตัดเย็บด้วยผ้าฝ้ายสี
ครามเขม้ หรอื สีดาไม่มีลวดลาย ลักษณะเป็นเสื้อคอต้ังแขนยาวทรงกระบอก ผ่าหน้าตลอด ติด
กระดุมเงินเรียงกันประมาณ 10-19 เม็ด แล้วแต่ฐานะของผู้สวมใส่ ตัวเสื้อส้ันต่ากว่าเอวลงไป
เล็กน้อย การเย็บเสื้อจะตัดเข้ารูปกับเอวแล้วขยายออกให้ยาวลงมาคลุมถึงสะโพกด้านบน
ด้านล่างของตัวเส้อื ผ่าออกท้ังสองขา้ ง โดยใชเ้ ศษผา้ รปู สเี่ หลี่ยมเย็บติดกัน มีกระเป๋าทั้งสองข้าง
บริเวณดา้ นลา่ งของตัวเสื้อ
26
2.5 ส้วงขำฮีหรือกำงเกงขำยำว ใช้สวมใส่ในงานท่ีเป็นพิธีการ เช่น พิธีแต่งงาน พิธีผี
หรอื ผู้สืบสกุลของผู้ชายที่เป็นพ่อบ้าน งานศพญาติพ่ีน้องของตนซ่ึงเป็นญาติจากตระกูลเดียวกัน
เรียกว่า “ผีเดียวกนั ” มีลกั ษณะเป็นกางเกงขายาวเสมอขอ้ เทา้ บริเวณเอวตัดเย็บด้วยผ้ายาวท่อน
เดยี ว ไมม่ ีการต่อขอบเอวปลายขากางเกงแคบเลก็ น้อย
2.6 เสื้อด๊กเป็นเสื้อที่ใช้ในพิธีศพ ผู้ท่ีจะสวมใส่เส้ือด๊กได้คือญาติทางสายโลหิตเดียวกัน
เป็นเส้ือท่ีทาจากฝ้ายดิบสีขาว ไม่มีลวดลาย เป็นเสื้อคอวี ไม่มีแขน จะสวมใส่เม่ือพ่อแม่ถึงแก่
กรรมโดยเฉพาะลูกชาย หลานชาย โดยลูกชายและลูกสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานต้องสวมเสื้อด๊กใน
พิธีศพแล้วมีผ้าสามเหล่ียมสีขาวโพกด้วย 1 ผืนผ้าหลอยเป็นผ้าไหมหรือฝ้ายที่ทอขึ้นเพื่อใช้รอง
ศพโดยใช้ปดิ ทัง้ ตวั สว่ นผา้ ทใ่ี ช้ปิดหน้าศพจะใช้ผา้ แพร
3. ผ้ำอื่นๆ ท่ใี ชใ้ นวิถชี ีวติ ของชำวไทยทรงดำ
3.1 หลวมหรอื กระเป๋ำคำดเอว
เป็นเคร่ืองแต่งกายของผู้ชายโดยใช้คาดทับเสื้อก้อมตรงเอวตัดเย็บด้วยผ้าฝ้ายสีคราม
เข้ม ท่ีเน้นให้เห็นถึงศิลปะในการประดิษฐ์โดยทาเลียนแบบรังผ้ึงที่อยู่บนต้นไม้ มีไว้ใช้สาหรับใส่
ของใช้ประจาตัวเช่น เงิน ยาสูบ หมากพลู โดยกระเป๋าคาดเอวจะตกแต่งด้วยลายปักเป็นรูป
ดอกไมต้ า่ งๆ ตามจนิ ตนาการของชาวไทยทรงดา
หลวมหรือกระเปา๋ คาดเอว
27
3.2 มู่หรือหมวก
เป็นผ้าท่ีตัดเย็บด้วยผ้าฝ้ายสีครามเข้มรูปส่ีเหล่ียมคางหมู ตกแต่งด้วยวิธีปะหน้ามู่
ด้านบนมีพู่ติดไว้ สวมให้เด็กป้องกันแดด ส่วนมู่ของแม่มดสวมเพ่ือป้องกันขวัญออกจาก
ร่างกายในขณะทาพิธีกรรม มีลักษณะเป็นรูปส่ีเหล่ียมผืนผ้า ด้านบนไม่มีผ้าปิด ด้านข้าง
ซ้ายและขวาใช้เศษผ้าไหมหลากสีประดับด้วยวิธีปะลวดลายที่นิยม เช่น ลายดอกพรหม
ลายดอกมะลิ ลายขาบวั ลายดอกพิกุล และลายดาวลอย
3.3 หมอนและหมอนต๊ำวเสือ่ น่งั หมอนของชาวไทยทรงดา
ผู้ ห ญิ ง เ ป็ น ผู้ จั ด ท า ขึ้ น ไ ว้ ใ ช้ ภ า ย ใ น
ครอบครัวหรือทาเตรียมไว้สาหรับเป็นเคร่ือง
เรือนของตนเองก่อนแต่งงาน ลักษณะหมอน
คลา้ ยท่อนไมเ้ ป็นรูปส่ีเหล่ียมผืนผ้าตัวหมอนทา
ด้ ว ย ผ้ า ฝ้ า ย เ ย็ บ แ ต่ ล ะ ท่ อ น ต่ อ กั น เ ป็ น
ทรงกระบอก แล้วจึงยัดนุ่นจากนั้นทาการ
ตกแต่งลวดลายของหมอนโดยใช้วิธีปะหรือปัก
ใหเ้ ป็นลวดลายตา่ งๆ
3.4 ถุงยำ่ ม ยำ่ ม หรอื ถงุ ผ้ำฝำ้ ยมีสำยสะพำย
ไว้สาหรบั ใส่ส่งิ ของเล็กๆ น้อยๆ โดยจะมีการตกแต่งดว้ ยลวดวายต่างๆ ขน้ึ อยกู่ ับผผู้ ลติ
หมอนของชาวไทยทรงดา
28
4. ลำยเครอื่ งแต่งกำยชำวไทยทรงดำ
ลวดลายต่างๆ ได้สืบทอดมาจากบรรพบุรุษและมีบางลวดลายได้คิดค้นมาใหม่
และมีการปรับประยุกต์เพื่อให้เข้ากับสมัยปัจจุบันมากข้ึนแบ่งได้ ๓ ประเภทคือ
ลายพืช ลายสัตว์ และลายผสมอืน่ ๆ โดยมรี ายละเอียดดงั นี้
4.1 ลำยพืช ลายพืช คือ ลวดลายท่ีได้
แนวคิดจากพืช เป็นการลอกเลียนแบบพืช
ที่อยู่ใกล้ตัวจะมีลายที่ส่ือความหมายถึง
ต้นไม้ ใบไม้ ดอกไม้ หรือผลไม้ เป็นต้น
สามารถนามาเป็นต้นแบบในการสร้าง
ลวดลายผ้าได้โดยเฉพาะลายแตงโมหรือ
ลายชะโด ถือเป็นลายท่ีเป็นเอกลักษณ์อัน
เด่นชดั ของชาวไทยทรงดา
ลายแตงโม
4.2 ลำยดอกผกั แวน่ เปน็ ผักพื้นบ้านประเภทไม้ล้มลุกจาพวกเฟิร์น ขึ้นอยู่ตาม
ชายฝั่งลาน้า ห้วยหนอง คลองบึง มีดอกเล็กๆ สวยงามเกิดเป็นกลุ่มและโตเร็ว ชาว
ไทยทรงดามคี วามเชอื่ วา่ ใครสามารถปักลายดอกผักแว่นได้ย่อมแสดงถึงความอดทน
ความเอื้อเฟื้อ ประณีต ละเอียดอ่อน ดังนั้น ลายน้ีนิยมมอบให้คู่บ่าวสาวในวัน
แตง่ งาน หรือผใู้ หญ่ท่ีเคารพนบั ถอื
ลายดอกผักแว่น
29
4.3 ลำยดอกจัน ชาวไทยทรงดามี
ความเช่ือว่าดอกจันเป็นตานานรักอมตะของ
ชาวไทยทรงดาเวียดนามในอดีต ปัจจุบันจึง
นิยมใช้ลายดอกจันประดิษฐ์เพ่ือมอบให้
เจ้าบ่าวและเจ้าสาว หรือผู้อาวุโสในหมู่บ้าน
เป็นการแสดงความรกั อนั บรสิ ุทธ์มิ น่ั คง
ลายดอกผกั แวน่
4.4 ลำยดอกพรม เป็นไม้พุ่มมีหนามท่ี
ก่ิงก้าน ดอกออกช่อท่ีปลายก่ิงกลีบดอกเช่ือม
ติดกันเป็นหลอดสีขาว มีกล่ินหอม ชาวไทยทรง
ดานิยมปะผ้าประดิษฐ์เป็นลายดอกพรมเป็น
ส่วนมาก เพราะเห็นดอกพรมอยู่คู่กับทุ่งนามา
แต่เด็ก และเปน็ ลายทีง่ า่ ยในการใชเ้ ปน็ ตน้ แบบ
ลายดอกพรม
4.5 ลำยขำบัว (ดอกบัว) ดอกบัวเป็นไม้น้าจะบานในช่วงเช้าและหุบในตอนเย็น
ชาวไทยทรงดามีความเชื่อว่า ดอกบัวเป็นสัญลักษณ์ของเวลาหรือเปรียบถึงลักษณะการชู
ก้านดอกเพื่อหนีน้าโคลนตมเป็นกาประพฤติผิดพลาดแม้จะประพฤติผิดเพียงใดถ้าทุกคนมี
ความตั้งใจจริง การคิดลายขาบัวหรือดอกบัวตามจินตนาการนี้ เพื่อเป็นการขอขมาหรือทอ
ถวายพระ
ลายดอกพรม
30
4.6 ลำยขอกูด โดยผักกูดมีลักษณะยอดอ่อนจะงอชูยอดแข่งกันรับแสงแดด
ลายขอกดู นยิ มใชบ้ นผ้าทุกช้นิ โดยเฉพาะ ผ้าเปยี ว ผ้าหม่ และดา้ นข้างของเส้ือฮี
ลายขอกูด
4.7 ลำยดอกมะลิ ชาวไทยทรงดามคี วามเช่ือ ลายดอกมะลิ
ว่าลักษณะของดอกมะลิเปรียบเหมือนผู้หญิง 4 วัย
วัยเด็ก วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ และวัยชรา เหมือนลักษณะ
การเจริญเติบโตของดอกมะลิจากดอกตูม แรกแย้ม
บานเต็มที่ และแห้งร่วงลงพื้นดิน จึงให้ตระหนักถึง
คุณคา่ ของลกู ผหู้ ญงิ ท่ไี มป่ ระพฤตินอกลนู่ อกทาง
4.8 ลำยสัตว์ ลายสัตว์เป็นลายท่ีได้แนวคิดมา
จากสัตว์ ส่วนมากเป็นลายที่พบเห็นและมีความเก่ียวข้อง
ในชีวิตประจาวัน และสัตว์ในจินตนาการ ลวดลายที่
ป ร า ก ฏ บ น ผ้ า ท อ ข อ ง ช า ว ไ ท ย ท ร ง ด า
มีความเช่ืออยู่หลายลักษณะ เช่น เช่ือเรื่องบุญคุณ ถ่ิน
กาเนิด ความยาเกรง ความรัก ความสวยงาม การ
คุ้มครองความคิดถึง อานาจวาสนา ซึ่งความเชื่อตาม
ลักษณะดังกล่าวสามารถนามาสร้างสรรค์ลวดลายด้วย
ลายสตั ว์ วธิ ีการทอ ปัก ปะ และขิด เพ่ือสื่อความหมายถึงเร่ืองราว
บนผืนผ้า เช่น ลายนาค ลายตานกแก้ว ลายผีเส้ือ และ
ลายม้า เป็นต้น ซ่ึงในปัจจุบันลายสัตว์หาดูได้ยาก เพราะ
ไมม่ ผี ู้สืบทอด 31
5. สีเครอื่ งแต่งกำย
ตามความเช่อื เกยี่ วกับการทาสยี อ้ มผา้ พบว่า ชาวไทยทรงดาใช้สีครามเข้าเป็น
สหี ลกั โดยมสี สี ้ม สีเหลือง สีเขยี ว สแี ดงหรือสีแดงเลือดหมู และสขี าว เป็นสีประกอบ
การใชส้ ยี อ้ มผา้ ท่เี นน้ ไปทางสคี รามเข้ม เป็นการส่ือความหมายให้เห็นถึงความเก็บกด
ทางอารมณ์ที่เป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศไทย ส่วนการย้อมสีไม่ควรย้อมสีในวันพระ
หรือเวลาที่พระเดินผ่าน ซึ่งมักจะเป็นเวลาท่ีพระมาบิณฑบาตในช่วงเช้า เพราะชาว
ไทยทรงดาเลื่อมใสต่อพุทธศาสนามาก อาจทาให้จิตใจกังวล ทาให้ย้อมสีได้ไม่ดี
(จุรีวรรณ จันพลา และคณะ. 2554) สาหรับสีที่เกี่ยวกับความเช่ือของชาวไทยทรง
ดามี 6 สี คือ สีครามเข้ม สีเหลือง สีส้ม สีเขียว สีแดงหรือสีแดงเลือดหมู และสีขาว
ซึง่ แต่ละสีมคี วามเชื่อดงั น้ี (บุญเสรมิ ตนิ ตะสวุ รรณ, 2545)
5.1 สีครำม เป็นสที ช่ี าวไทยทรงดาใช้เป็นสีหลักในพ้ืนท่ีส่วนใหญ่ของผืนผ้า โดยมี
ความเช่ือว่าเกิดจากการเก็บกดทางอารมณ์ของผู้ย้อมโดยแสดงความรู้สึกออกมาทางผืนผ้า
ซงึ่ หมายถึง ความเดยี วดายของกลุ่มชนไทยทรงดาทตี่ ้องพลดั พรากจากบ้านเกิดเมืองนอนจน
กลายเป็นชนกลุม่ น้อยของประเทศไทย
5.2 สีครำมและสีขำว เป็นสีท่ีเกิดจากการวาง
ลายบนผนื ผา้ ซ่ินด้วยผ้าฝ้ายสีครามเข้มสลับกับสีขาวชาวไทย
ทรงดาถ่ายทอดอารมณ์ท่ีถูกดดันจากชนกลุ่มใหญ่ของ
ประเทศ เนื่องจากถูกกวาดต้อนเข้ามาด้วยเหตุผลทาง
สงครามตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีเรื่อยมาจนถึงสมันรัตนโกสินทร์
ตอนต้น แต่พวกเขาก็พยายามสร้างครอบครัวและท่ีทากิน
ด้วยความมานะอดทนจนสร้างครอบครัวและชุมชนได้สาเร็จ
แต่ด้วยเหตุท่ีเป็นชนกลุ่มน้อยของประเทศ พวกเขากลับถูก
ผลักดันให้อพยพหรือเคล่ือนบ้ายไปหาแหล่งท่ีทากินไกลจาก
ชุมชนครั้งแล้วครั้งเล่า ทาให้วิถีชีวิตของชาวไทยทรงดา มี
ความสุขอยู่ไม่นาน ความทุกข์มักจะติดตามมาเสมอ การวาง
สีครามสลับสขี าว จงึ เป็นการบง่ บอกถงึ ความเดียวดายท่ีต้อง
พลดั พรากจากญาตพิ ี่นอ้ งและบ้านเกดิ เมืองนอน
32
5.3 สีเหลือง เป็นสีท่ีมีความสว่างไสว ชาวไทยทรงดานิยมนามาแทรกไว้ใน
ส่วนหน่ึงของผ้าและเครื่องนุ่งห่ม เพ่ือเน้นให้ลายผ้าแต่ละส่วนมีความเด่นชัดข้ึน ทาให้ผ้า
ท่ีมีการแทรกสีเหลืองไว้มีความสดใส มีชีวิตชีวา ให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายอารมณ์
เคร่งเครยี ด นอกจากนีช้ าวไทยทรงดายงั เชื่อว่าสีเหลืองเป็นสีท่ีแสดงถึงความเจริญเติบโต
สติปัญญา ความก้าวหน้า และยังเป็นสีท่ีแสดงถึงความศักดิ์สิทธ์ิ ท่ีมีความสัมพันธ์กับ
พระพทุ ธศาสนา
5.4 สีส้ม เป็นสีที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น ชาวไทยทรงดาจึงนิยมนามาประดิษฐ์ไว้
ใกล้ส่ิงที่ตนผูกพันและนับถือ เช่น การประดิษฐ์มะหงันหงอซ่ึงเป็นเคร่ืองรางผูกไว้กับผ้า
อุ้มเด็ก เพื่อป้องกันภูตผี แสดงถึงความรักที่ม่ันคงของแม่สู่ลูก หมอนลายปะหรือลายปัก
เพอ่ื ถวายแด่พระภกิ ษุ หรือนาไปมอบให้ญาติผู้ใหญ่ที่นับถือ สิ่งเหล่านี้เป็นการบ่งบอกถึง
ความสัมพันธ์และความกตัญญู ทาให้ชาวไทยทรงดาเช่ือว่าจะนาความเจริญรุ่งเรืองให้
พวกตนมพี ลงั ในการดารงชีวิตท่ดี รตอ่ ไป
5.5 สีเขียว เป็นสีท่ีส่ือถึงพันธ์ุพฤกษา เช่น ต้นไม้ ใบไม้ ดอกไม้ และผลไม้ ให้
ความรู้สึกสดชื่น ร่มรื่น เยือกเย็นดูแล้วสบายตาสบายใจ ให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลาย
ชาวไทยทรงดาจึงนิยมนาลวดลายพันธ์ุพฤกษามาประดิษฐ์ลงบนผืนผ้าไว้เพ่ือระลึกถึง
คณุ ประโยชน์
5.6 สีแดงหรือสีแดงเลือดหมู เป็นสีที่โดดเด่นสามารถดึงดูดสายตา
ไดม้ ากท่ีสุด จงึ ใชเ้ ปน็ สที ส่ี อื่ ความหมายตา่ งๆ จากการสอบถามผู้สูงอายุหลายท่านได้กล่า
ถึงสีแดงหรือสีแดงเลือดหมูว่ามีความหมายถึง เลือดเน้ือหรือสิ่งมีชีวิต ความเช่ือดังกล่าว
จึงเป็นการย้าให้เห็นว่าผ้าและเคร่ืองนุ่งห่มที่ทอขึ้นเพื่อใช้กับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่และเพื่อสื่อ
ความหมายของการเป็นพวกพ้องเผ่าพันธ์ุเดียวกัน นอกจากน้ียังเป็นสีที่แสดงถึงการหยุด
การสิ้นสุด และการหลุดพ้น เช่น การใช้ผ้าแพรสีแดงปิดหน้าศพ การใช้ผ้าฝ้ายสีแดงปิด
โลงศพ หรอื ในพิธีส่งวิญญาณ ใชธ้ งกาวที่มีขอบสี
33
5.7 สีขาว เป็นสีที่แสดงถึงความสงบเยือกเย็น ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ความ
สุภาพ และความเบิกบาน ชาวไทยทรงดานิยมนาผ้าสีขาวมาประกอบพิธีกรรมในการ
ไหวผ้ ี เพราะมีความเชอ่ื วา่ สขี าว หมายถงึ วิญญาณ นอกจากนี้สีขาวของลวดลายต่างๆ
ท่ีประดิษฐ์เป็นพันธุ์พฤกษา ยังสื่อถึงความผูกพันกับธรรมชาติ ชาวไทยทรงดานาลาย
ดอกแก้ว ลายดอกจัน ลายดอกพรม ลายดอกมะลิ และลายขาบัว ซ่ึงล้วนแต่เป็น
ดอกไม้สีขาวท่ีมีความหมายแสดงถึงความบริสุทธิ์ และความเบิกบาน มาประดิษฐ์เพื่อ
ใชใ้ นงานมงคล หรอื ไวถ้ วายพระภิกษุ
6. ทรงผมของผู้หญงิ
ทรงผมของผู้หญิงชาวไทยทรงดาไว้ตามช่วงอายุ สาววัยรุ่นอายุ 16-17 ปี ทรงขอก
กระติกผู้ผมแบบเชือกเง่ือนตายเอาชาวไว้ข้างซ้าย คนที่แต่งงานแล้วจะไว้ทรงปั้นเกล้า คือ
เกล้าผมไว้กลางศีรษะมีหางยาวออกมาทางขวา คนที่สามีเสียชีวิตจะสยายผมแล้วมัดไว้ที่ต้น
คอในช่วงการไวท้ ุกขเ์ ทา่ น้นั
ประตสู ่อู สี านดอทคอม (2559) กลา่ วว่า ชาวไทดา หรือลาวโซ่ง เป็นกลุ่มชาติพันธ์ุที่มี
วัฒนธรรมเป็นเอกลักษณ์ท่ีโดดเด่นอย่างหนึ่งของชาวไทดา คือ ทรงผมซ่ึงเป็นเอกลักษณ์
เฉพาะกล่มุ เรียกวา่ “ป้นั เกล้า” ลักษณะของป้ันเกล้าจะบ่งบอกถึงอายุ และสถานะภาพทาง
สังคม ซึง่ มชี ่ือเรยี กต่างกัน ดงั นี้
1) หญิงอายุ 13-14 ปี ผมยาวประไหล่ แต่ยังรวบไม่ได้ ทรงน้ีเรียกว่า “เอ้ือมไหล
หรอื เอือ้ มไร”
2) หญิงอายุ 14-15 ปี ผมเริ่มยาวมากข้ึนจะพับปลายผมมวนข้ึน แล้วใช้หวีสับไว้ตรง
ทา้ ยทอย ทรงน้เี รียกว่า “ผมสบั ปน้ิ ”
ทรงผมเออ้ื มไร ทรงผมสับปน้ิ
34
3) หญิงอายุ 15-16 ปี ผมยาวพอมัดได้ บ้างแล้ว รวบผมมัดเป็นกระจุกและ
ทาเหมือนกระบังไว้ข้างหน้า ปล่อยหางผมไว้ ดา้ นหลัง ทรงนเ้ี รียกวา่ “ผมจุกต๊บ”
4) หญิงอายุ 16-17 ปี ผมยาวพอสมควรแล้ว รวบโดยเอาผมผูกเป็นปมเหมือน
ผกู เชือกไว้ด้านหลงั ปล่อยชายผมลงข้างขวา ทรงน้ีเรียกวา่ “ผมขอดกระต๊อก”
5) หญิงอายุ 17-18 ปี เกล้าผมโดยผกู ลักษณะคลา้ ยโบว์ไว้ด้านซ้าย ปล่อยชาย
ผมเป็นหางไวด้ า้ นหลัง ทรงนีเ้ รยี กวา่ “ป้นั เกลา้ ขอดซอย”
6) หญิงอายุ 19-20 ปี ข้ึนไปถือว่าเป็นสาวเต็มตัว ผมทรงน้ีต้องใช้ผมยาวมาก
จึงจะสามารถเกล้าได้ โดยเกลา้ ผมตลบไว้กลางศีรษะมวนชายสอดเข้าข้างใน ใช้ไม้สอด
ขัดไว้เพื่อไม่ให้หลุดทรงนี้ เรียกว่า ป้ันเกล้าต่วง และเมื่อพอแม่หรือสามีตาย หญิงน้ัน
ต้องไว้ทุกข์ โดยป้ันเกล้าให้ตกค่อนไปทางด้านหลัง ไม่ยกสูง ทรงนี้เรียกว่า “ป้ันเกล้า
ตก๊ หรือ ทรงแม่หม้าย”
ทรงผมจกุ ต๊บ ทรงผมขอดกระตอ๊ ก
ทรงผมขอดซอย ทรงผมป้ันเกล้าตก๊
35
การดารงอย่แู ละการเปลี่ยนแปลง
...ความเช่ือของประเพณีไทยทรงดา
สาหรับวัฒนธรรมความเชื่อด้านพิธีกรรม ท่ีดารงอยู่ของไทยทรงดา ตาบล
หนองปรง อาเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี มีการถ่ายทอดสืบต่อกันมายาวนาน
จนเป็นวัฒนธรรมความเชื่อ แต่กาลังเปลี่ยนแปลงไป โดยมีแนวโน้มถูกลดบทบาทและ
หมดความสาคัญลง หากไม่มีการคานึงท่ีจะหาวิธีการให้ภูมิปัญญาท้องถ่ินน้ีดารงอยู่ได้
ต่อไปวัฒนธรรมความเชื่อ อาจกลายเป็นเพียงตานานหรือเร่ืองเล่าขาน อย่างท่ีบาง
วัฒนธรรมกาลังประสบอยู่ (กานต์ทิตา สีหมากสุก. 2558) โดยบางพิธีกรรมยังคงอยู่
และบางพธิ กี รรมมกี ารเปล่ยี นแปลงไปตามกาลเวลา
1. การคงอยขู่ องความเช่อื ในพธิ ีกรรมไทยทรงดา
ความเชื่อในพิธีกรรมไทยทรงดาตาบลหนองปรง ท่ีมมี าดงั เดิมต้ังแต่ในอดีตนั้นล้วน
เก่ียวขอ้ งกับวิถีการดาเนนิ ชีวติ ทแ่ี บง่ ความเชอื่ ออกเป็นเร่อื งต่าง ๆ ดังน้ี
1.1 ควำมเชื่อในพิธีกรรมเกี่ยวกับกำรเกิด ยังคงมีอยู่เฉพาะความเช่ือในช่วง
ก่อนเกิด ซึ่งก็คือข้อปฏิบัติเกี่ยวกับหญิงในช่วงระยะตังครรภ์ ท่ียังคงมีความเชื่อเรื่องกลัว
ว่า เด็กจะเกิดมาแล้วตาย ซ่ึงเป็นความเชื่อดังเดิมเกี่ยวกับเร่ือง เด็กผีเกือดผีกา และ ผีแม่
เกือด จะมาทาร้ายแม่และทารกในครรภ์ให้เสียชีวิต และมีความเชื่ออ่ืนท่ีเกี่ยวกับการเกิด
อาทิ ความเชื่อเก่ียวกับความฝัน ความเชื่อเก่ียวกับอาหารของหญิงตังครรภ์ ความเชื่อ
เกีย่ วกับผีบรรพบุรษุ ความเชื่อเก่ยี วกับโชคลาง ความเชอื่ เก่ียวกบั เครื่องรางของขลงั
ความเชอื่ ในเรื่องขอ้ หา้ มเกยี่ วกบั หญงิ มคี รรภ์ อาทิ ห้ามข้ามคราด เพราะเชื่อว่า
ข้ามแล้วจะมีครรภ์เกินกาหนด เป็นการเตือนให้หญิงมีครรภ์ ได้มีความระมัดระวังในการ
เดินป้องกันไม่ให้หญิงมีครรภ์พลังเผลอเดินสะดุดส่ิงเหล่านี ซึ่งเม่ือสะดุดหกล้มจะเป็น
อันตรายได้ทังแม่และลูกในครรภ์
36
นอกจากนี ยังมีความเช่ือเร่ือง การทาไต้ หลังจากที่เด็กได้คลอดออกมาแล้วไม่นาน
เน่ืองจากความเชื่อดงั เดิมในเรื่อง ผขี วญั ในร่างกายคนเรา อีกเมื่อเด็กโตขึน ก็ต้องมีพิธีเสน
เรือน ซึ่งในพิธีนันจะมีขันตอนแปงไต้ คือ การเซ่นอาหารให้ผีขวัญท่ีอยู่ในไต้และให้ช่วย
คุ้มครองดแู ล เจา้ ของไตใ้ ห้มคี วามสุขสบื ไป
ความเชื่อเก่ียวกับการสู่ขวัญเด็กอ่อน เกือบทุกครอบครัวยังคงมีการทาพิธีกรรม
ตามความเช่ือดังเดิมเรื่องขวัญ ท่ีว่าในร่างกายคนเรามผี ขี วัญ เม่ือมีเด็กเกิดใหม่ จะต้อง
ทาพิธีรับขวัญ อันเป็นการสู่ขวัญให้กับเด็ก เพ่ือเป็นการรับขวัญที่เข้ามาสู่ตัวเด็กน้อยเกิด
ใหม่ โดยนิยมกระทาเม่ือเด็กมีอายุประมาณ 2 - 3 เดือน เชื่อว่าเม่ือได้ทาพิธีนีแล้ว จะทา
ให้ไม่มี ผีแม่เกือด มารบกวนเด็กอีก เด็กก็จะได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ และเจริญเติบโต
อย่างมีสุขภาพทดี่ ีแข็งแรงต่อไป
ความเช่ือในเร่ืองการโกนผมไฟ ยังคงมี
อยู่ เพราะความเชื่อดัง้ เดิมที่ว่า จะเป็นการ
โกนเสนียดจัญไรที่ติดมากับตัวเด็กออกทิงไป
แล้ว ความเช่ือนียังมีเร่ืองของสุขภาพและ
อนามัยเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะเม่ือเด็กโกน
ผมไฟออกทิงไปแล้ว จะช่วยให้การทาความ
สะอาดศีรษะของทารก มคี วามง่ายขนึ
พิธกี รรมโกนผมไฟ
1.2 ความเช่ือในชว่ งวยั เดก็ ชีวิตในวยั เด็กของไทยทรงดาตาบลหนองปรง ยังคงถูก
อบรมเลียงดู โดยพ่อแม่ และมีปู่ย่าหรือตายาย ช่วยกันเลียงดูให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ
ดว้ ยความรักอยา่ งเท่าเทยี มกันทังเดก็ ผูห้ ญงิ และเด็กผู้ชาย และยังคงนิยมเลียงลูกชายให้มี
ความเป็นผู้นาและมีความกล้าหาญอดทนมากกว่าลูกผู้หญิง เพราะความเชื่อดังเดิมท่ีสืบ
ทอดความคดิ กันมาวา่ เพศชายตอ้ งเปน็ หวั หนา้ ครอบครัวและสบื ผีของตระกลู ต่อไป
37
1.3 ความเชอ่ื ในชว่ งวัยรุ่น ยังคงมีความเชื่อเรื่องผีเรือนอยู่ ดังปรากฏอยู่ในพิธีแต่งงาน
ทมี่ ีปรากฏอย่ใู นขันตอนการไหว้เฮาผีเรือน ซึ่งถ้าคนไทยทรงดา ได้แต่งงานกับครอบครัวไทย
ทรงดาด้วยกัน ก็จะทาให้การประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อดังเดิมมีการสืบทอดกันต่อไป
และหลังจากท่ีได้แต่งงานออกไปแล้ว จึงมีการสร้างครอบครัวใหม่ด้วยการแยกเรือนออกไป
สร้างบ้านใหม่ ซ่ึงก่อนท่ีจะเข้าไปอยู่ในบ้านหลังใหม่ท่ีได้สร้างเสร็จแล้ว ความเชื่อในพิธีขึน
บ้านใหม่หรือพิธีข่มขวง ตามความเชื่อท่ีว่า สิ่งไม่ดีที่อาจจะมีติดอยู่ในบ้านท่ีสร้างใหม่ จึงมี
การทาพิธีขึนบ้านใหม่และอัญเชิญผีเรือน ให้มาอยู่ที่กะล่อห่องของบ้านหลังใหม่ เพ่ือเป็นส่ิง
ยึดเหนี่ยวจิตใจของลูกหลานอยู่เช่นเดิม เมื่อหมอพิธีทาการข่มขวง คือ ข่มสิ่งเลวร้าย ด้วย
การไล่สิ่งทไี่ มด่ แี ละผีรา้ ย ใหอ้ อกไปจากบา้ นเรอื นไปใหห้ มด
1.4 ความเชื่อในช่วงวัยผู้ใหญ่ ยังคงมี
ความเช่ือในพิธีเสนปะเค่อ ความเชื่อในพิธีเสน
ปลูกกล้วยกลางห้าว ความเชื่อในพิธีเสนปลูก
กล้วยเมืองลุ่ม ที่ยังคงมีการปฏิบัติอยู่ เนื่องจาก
ในสังคมไทยทรงดา จะเน้นสอนให้ลูกหลานได้
รู้จักบุญคุณของพ่อแม่และผู้มีพระคุณท่านอื่น ๆ
เม่ือผู้ใหญ่ในบ้านแก่ลง ลูกหลานรุ่นใหม่ก็ยังคงมี
ความรักและกตัญญูต่อท่านเหล่านัน จึงได้จัด
พิธีกรรมตามช่วงอายุวัยของท่าน เพ่ือต้องการที่
จะเป็นกาลังใจให้ท่านได้อยู่เป็นมิ่งขวัญของบ้าน
ไปให้นานท่สี ดุ นอกจากนี ยังมีความเช่ือถือในคา
กล่าวและคาให้พรของผู้ใหญ่ ถือเป็นสิ่งศักด์ิสิทธ์ิ
อย่างหน่ึงด้วย ดังนัน นอกจากการที่ลูกหลาน
ต้องการจะแสดงความกตัญญูแล้ว ลูกหลานยัง
ต้องการส่ิงศักด์ิสิทธิ์จากคาอวยพร และการ
กระทาต่าง ๆ ที่คนแก่จะมีให้กับลูกหลานใน
ฐานะของส่งิ ศกั ด์ิสิทธิ์ท่ีลูกหลานต้องเคารพบชู า
38
1.5 ควำมเชื่อในพิธีกรรมเกี่ยวกับกำรเจ็บป่วย ท่ียังคงมีอยู่ ได้แก่ ความเช่ือในพิธี
เสนฆ่าเกือด เพ่ือตัดขาดจากการรบกวนของผีแม่เกือดร้าย ความเช่ือในพิธีแปงขวัญ ความ
เช่ือในพิธีเสนตัว ความเชื่อในพิธีเสนเต็ง ยังคงมีปรากฏพิธีกรรมน้ีอยู่ เนื่องจากความเช่ือ
ด้ังเดิมในเรื่องขวัญและผี ที่มีท้ังผีดีและร้าย ที่ยังคงมีปรากฏอยู่ให้เห็นในพิธีกรรม เช่น พ่อ
มดทาพิธีการเรียกผีแม่เกือดให้มาสิงอยู่ในสัตว์ตัวแทน จากน้ันฆ่าสัตว์ให้ตาย เพ่ือเป็น
สัญลักษณ์แสดงถึงการตดั ผีแมเ่ กอื ดออกไปจากชวี ิตของเด็กแล้ว ต่อไปเม่ือไม่มีผีแม่เกือดเข้า
มารบกวนเด็กแล้ว เด็กจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ และมีสุขภาพแข็งแรงต่อไป ส่วนการจัดพิธี
แปงขวญั ไดจ้ ดั ให้มีข้ึน เพื่อเรียกขวัญของตนเองกลับคืนมา โดยให้หมอขวัญทาพิธีเชิญขวัญ
ด้วยการเชิญผู้สร้างขวัญ 12 แม่นาง การเรียกและตามหาขวญั ท่ียงั หลงอย่ขู า้ งนอก ให้
กลบั เขา้ มาส่รู า่ งกายดงั เดิม ความเช่ือในพิธีเสนเต็งหรือเรียกอีกช่ือหน่ึงว่า เสนนอ้ ยจอ้ ย
เป็นพิธีท่ีกระทาเพ่ือขอไถ่ความผิดของผีเรือน ท่ีไปทาผิดต่อแถนหรือทาผิดกฎเมืองแถน
จึงถกู ผีแถนจบั ไปลงโทษดว้ ยการขงั คกุ ของเมืองแถนและจองจาผีเรอื นใส่ข่ือคาไว้ จึงได้
ส่ือสารลกู หลานทราบ ดว้ ยการทาใหล้ กู หลานในบา้ นเจ็บป่ วยเรอื้ รงั อย่างไม่ทราบสาเหตุ
บรรดาญาติ ๆ ของลูกหลานจะไปหาหมอเยือ้ งเพ่ือใหเ้ ส่ียงทายว่า การท่ีมีคนในบา้ น
เจ็บป่ วยนน้ั มีสาเหตมุ าจากอะไร หากเป็นเพราะผีเรือนติดข่ือติดคา ลกู หลานจะตอ้ งตงั้
จิตอธิฐาน หากหายดีแลว้ จะทาพธิ ีเสนเต็งใหผ้ ีแถนและเพ่อื ชว่ ยไถ่ถอนญาติของตนใหพ้ น้
จากการตดิ ข่ือติดคาจากแถนดว้ ย
1.6 ความเช่ือในพธิ ีกรรมเกย่ี วกับการตายและหลังการตาย ยังคงมีอยู่เฉพาะ
ความเช่อื ในพิธีศพ ความเชื่อในพิธีเสนกวัดกว้าย ความเช่ือในพิธีเชิญผีข้ึนเรือน ความเช่ือ
ในพธิ ีเสนแก้เคราะห์เรอื น ความเชอ่ื ในพิธปี าดตง ทั้งพิธปี าดตงธรรมดาและพิธีปาดตงข้าว
ใหม่ ความเช่ือในพิธีเสนเรือน ทุกพิธีกรรมยังคงมีอยู่ เพราะงานท่ีเก่ียวข้องกับชีวิตและมี
ผลตอ่ ครอบครัวท่ีสาคัญที่สุดน้ัน ยังมีความเชื่อเรื่อง แถน ผีเรือน ผีขวัญ ซ่ึงเป็นความเช่ือ
ดั้งเดิมปรากฏอยู่ จึงมีการทาพิธีกรรมท่ีสื่อแสดงให้เห็นถึงเรื่องของความเชื่อดัง้ เดิมอยู่
นั่นเอง เช่น พิธีบอกทางผีไปเมืองแถน ในพิธีศพส่วนพิธีกรรมหลังการตาย ยังคงมพิธีเสน
กวัดกวา้ ย ท่ีเชอ่ื กันวา่ บ้านหรือเรือนใดที่มีการตายเกิดขึ้นถือว่าบ้านหรือเรือนนั้นไม่ดี เป็น
เสมือนเรือนร้ายหรือเรือนไม่สะอาดและไม่เป็นมงคล ต้องมีการปัดกวาดสิ่งชั่วร้ายให้ออก
จากเรอื นไปใหห้ มดส้ินดว้ ยการทาพธิ ีเสนกวัดกวา้ ย เพอ่ื ให้เรือนร้ายกลายเป็นเรอื นดี
39
หลังจากน้ันไม่เกินหน่ึงเดือนจึงทาพิธีบอกกล่าวเชิญผีขวัญส่วนหน่ึงของพ่อแม่หรือ
ปู่ย่าที่เพิ่งเสียชีวิต ตามความเชื่อด้ังเดิมเร่ืองผีเรือน ให้ขึ้นมาเป็นผีเรือนคอยปกปัก
รักษาคุ้มครองบุตรหลานต่อไป ด้วยการจัดพิธีเชิญผีข้ึนเรือน เพ่ือท่ีบุตรหลานจะได้
แสดงความกตญั ญดู ้วยการปาดตง ปาดตงข้าวใหม่ และเสนเรือน ตามความเชื่อดัง้ เดิม
เกย่ี วกับผีเรือนต่อไป แต่ก่อนท่ีลูกหลานจะจัดพิธีเสนเรือนครั้งแรกได้น้ันตามความเช่ือ
ในพิธเี สนแก้เคราะห์เรอื น จะยังถอื ว่าเรอื นหรอื บา้ นน้ัน เป็นเรือนร้าย และเพื่อเป็นการ
สะเดาะเคราะหต์ ายให้แกท่ กุ คนในบา้ นและทาให้เรือนรา้ ยกลายเป็นเรอื นดี เพ่อื ทคี่ นใน
บ้านจะไดห้ มดทุกขห์ มดโศกและเป็นการมอบบ้านเรือน มอบของทุกส่ิงทุกอย่างให้แก่ผี
เรือน เพื่อใหผ้ เี รือนได้เปน็ ใหญ่ในบ้านของลกู หลานอย่างสมบูรณ์ตอ่ ไป
40
ตำรำงเปรยี บเทียบกำรดำรงอยู่
และกำรเปลีย่ นแปลงพธิ ีกรรมไทยทรงดำ
หวั ขอ้ พธิ กี รรมดง้ั เดิม พิธกี รรมทเ่ี ปลยี่ นแปลง
ควำมเช่ือ 1. ขอ้ ปฏิบัติเก่ียวกับหญิงในช่วงระยะ 1. มีสถานพยาบาลเกิดข้ึน ทาให้ความ
ชว่ งกำรเกดิ ตังครรภ์ ที่ยังคงมีความเช่ือเรื่องกลัวว่า เชื่อบางอย่างเกี่ยวกับการเกิด ได้หายไป
เด็กจะเกิดมาแล้วตาย ซ่ึงเป็นความเช่ือ จากสังคมไทยทรงดา เนื่องจากคนนิยมไป
ดังเดิมเก่ียวกับเรื่อง เด็กผีเกือดผีกา และ คลอดลูกท่ีโรงพยาบาล ซ่ึงมีเทคโนโลยี
ผีแม่เกือดจะมาทาร้ายแม่และทารกใน ทางด้านเคร่ืองมือแพทย์ท่ีทันสมัย สามารถ
ครรภ์ใหเ้ สียชวี ิต จะชว่ ยชีวิตของแมแ่ ละเด็กได้อยา่ งรวดเร็ว
2. ความเช่ือเรื่อง การทาไต้ หลังจาก 2. ความเชื่อในการวานขวัญผีเรือน
ที่เด็กได้คลอดออกมาแล้วไม่นานนัก จาก ก่อนที่หญิงจะคลอดบุตร ได้หายไปด้วย
ความเชื่อดังเดิมในเรื่อง ผีขวัญในร่างกาย เม่ือไปคลอดลูกที่โรงพยาบาลจึงทาให้ไม่
คนเรา อีกเม่ือเด็กโตขึน ก็ต้องมีพิธีเสน ต้องเก็บรกเด็ก ทาให้ข้ันตอนการฝังรก
เรือน ซ่ึงในพิธีนันจะมีขันตอนแปงไต้ คือ หายไปจากสงั คมไทยทรงดาเช่นกัน
การเซ่นอาหารให้ผีขวัญที่อยู่ในไต้และให้
ช่วยคุ้มครองดูแลเจ้าของไตใ้ หม้ คี วามสุข 3. คนรุ่นใหม่นิยมท่ีจะไปคลอดลูกที่
โรงพยาบาล ซึ่งใช้เวลาหลายวันกว่าจะ
3. ความเช่ือเก่ียวกับศาสนาพุทธ กลับบ้านได้ และหลังจากคลอดออก
เพ่ิมเติมว่า ถ้าเป็นเด็กชายเจ็บป่วยอยู่ มาแลว้ แม่เด็กต้องพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล
สม่าเสมอ พ่อแม่อาจจะฝากบุตรไว้กับ ประมาณ 2–3 วัน จึงกลับมาบ้าน ทาให้ไม่
พระ ให้เป็นลูกของพระ เพราะเชื่อกันว่า มีข้ันตอนในพิธีการร่อนกระด้งเด็กให้เห็น
ผีกลัวพระ เป็นการรักษาชีวิตเด็กได้อีก อีก พิธีร่อนกระด้ง จึงได้หายไปจาก
วธิ ีการหน่งึ ความเช่อื ทาพิธีรับขวัญ เม่ือมี ขั้นตอนในพิธีกรรมเกี่ยวกับการเกิดของ
เด็กเกิดใหม่ อันเป็นการสู่ขวัญให้กับเด็ก ไทยทรงดา
เพื่อเป็นการรับขวัญที่เข้ามาสู่ตัวเด็กน้อย 4. ความเชื่อนียังคงมีอยู่ เพราะมีเร่ืองของ
เกดิ ใหม่ สุขภาพและอนามัยเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
เพราะเมื่อเด็กโกนผมไฟออกทิงไปแล้ว จะ
4. ความเช่ือในเรื่องการโกนผมไฟ ช่วยให้การทาความสะอาดศีรษะของทารก
จะเปน็ การโกนเสนียดจัญไรที่ติดมากับตัว มคี วามงา่ ยขึน
เดก็ ออกทงิ ไปแลว้
41
หวั ข้อ พิธกี รรมดง้ั เดิม พิธกี รรมที่เปลี่ยนแปลง
ควำมเชอ่ื ความเชอื่ เก่ียวกบั การห้ามเขกหวั และการ ความเชื่อเก่ียวกับการห้ามเล่นซ่อน
ช่วงวยั เด็ก
หา้ มเลน่ ซอ่ นหาในเวลาค่ามืด หาในเวลาค่า ความเชื่อเหล่านีย้ังคงมี
ควำมเช่อื
ช่วงวยั รนุ่ อยู่ ที่ยังมีอยู่ก็เพราะความรักของพ่อ
แม่ย่อมรักและเป็นห่วงลูก ส่วนการ
ห้ามเล่นซ่อนหาในเวลาค่า เป็น
เพราะว่ากลัวลูกหลานของตนจะได้รับ
อนั ตรายจากสัตวร์ า้ ยต่าง ๆ
1. ความเช่ือเรื่องผีเรือน ดังปรากฏอยู่ใน 1. ความเช่ือเรื่องพิธีกรรมด้ังเดิม
พิธีแต่งงานที่มีปรากฏอยู่ในข้ันตอนการ เริ่มสูญหาย เมื่อมีการสร้างครอบครัว
ไหว้เฮาผีเรือน ซึ่งถ้าคนไทยทรงดา ได้ กับบคุ คลทม่ี าจากท่ีอ่ืน ไม่ใช่คนในไทย
แตง่ งานกับครอบครัวไทยทรงดาด้วยกัน ก็จะ ทรงดาด้วยกนั
ทาให้การประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อ
ด้ังเดิมมีการสืบทอดกันต่อไป และหลังจากที่
ได้แต่งงานออกไปแล้ว จึงมีการสร้าง
ครอบครัวใหม่ด้วยการแยกเรือนออกไปสร้าง
บ้านใหม่ ความเชื่อในพิธีขึ้นบ้านใหม่หรือพิธี
ข่มขวง ตามความเช่ือท่ีว่า สิ่งไม่ดีท่ีอาจจะมี
ตดิ อยู่ในบ้านที่สรา้ งใหม่
2. ไทยทรงดา ตาบลหนองปรง ในอดีตมี 2. ในปัจจุบัน พิธีอิ่นกอน สาหรับ
การละเล่นพ้ืนบ้าน ท่ีเรียกว่า “อ่ินกอน” เด็กรุ่นใหม่บางคนอาจจะร้องกลอน
ท่ีเป็นการจัดเพ่ือให้หนุ่มสาวได้พบปะและทา เป็นภาษาไทยภาคกลาง โต้ตอบ
ความรู้จักกัน มีการขับร้องเป็นกลอนเป็น ระหว่างชายกับหญิง หรือใช้การเปิด
ภาษาไทดา และมีการเป่าแคน ซึ่งใช้คนร้อง แผ่นซีดีและใช้เครื่องขยายเสียงเข้ามา
สดและเปา่ แคนสด ช่วย จึงทาให้ขั้นตอนการการลงข่วง
ก า ร ล้ ว ง ส า ว ไ ด้ สู ญ ห า ย ไ ป จ า ก
สังคมไทยทรงดาด้วย
42
หัวขอ้ พิธีกรรมดง้ั เดมิ พิธกี รรมท่เี ปล่ยี นแปลง
ความเช่ือใน “พิธีเสนปะเค่อ” ความ พิธีกรรมตามช่วงอายุท่ีจัดให้กับผู้ใหญ่
เชื่อในพิธีเสนปลูกกล้วยกลางห้าว ความ ในตระกูลของตนนั้น เชื่อว่าจะเป็นการเติม
เช่อื ในพธิ ีเสนปลูกกลว้ ยเมืองล่มุ ท่ียังคงมี ขวัญกาลังใจให้ผู้ใหญ่ได้มีความสุขและ
ควำมเชอื่ การปฏิบัติอยู่ เนื่องจากในสังคมไทยทรง อยากจะอยู่กับลูกหลานไปอีกยาวนาน ซ่ึง
ช่วงวยั ผใู้ หญ่ ดา จะเน้นสอนให้ลูกหลานได้รู้จักบุญคุณ จะเปล่ียนแปลงเฉพาะวัสดุอุปกรณ์ท่ีใช้ใน
ของพ่อแม่และผู้มีพระคุณท่านอ่ืน ๆ เม่ือ พิธีกรรม เช่น แป้งกระป๋องที่ใช้สาหรับทา
ผู้ใหญ่ในบ้านแก่ลงลูกหลานรุ่นใหม่ก็ หน้า ในข้ันตอนที่ให้ลูกหลานมาปะแป้งกับ
ยงั คงมีความรกั และกตัญญู ญาตผิ ู้ใหญข่ องตน สว่ นกรงขังไก่ จากเดิมที่
ใช้สุ่มไก่ ก็เปล่ียนเป็นกรงเหล็กแบบ
สมัยใหม่ เปน็ ตน้
ความเช่ือใน “พิธีเสนฆ่าเกือด” เพื่อ ความเชื่อในพิธีกรรมเก่ียวกับการ
ตดั ขาดจากการรบกวนของผีแม่เกือดร้าย เจ็บป่วย ในวัยเด็กมพิธีเสนฆ่าเกือด การ
ความเช่ือในพิธีแปงขวัญ ความเชื่อในพิธี ประกอบพิธีกรรมเร่ิมจางลงไปมากและไม่
เสนตัว ความเชื่อในพิธีเสนเต็ง ยังคงมี ค่อยมีคนประกอบพิธีกรรมเช่นน้ีแล้ว
ควำมเชือ่ ปรากฏพิธีกรรมน้ีอยู่ เน่ืองจากความเช่ือ เพราะคนส่วนมากเชื่อในวิทยาการสมัยใหม่
ชว่ งเจบ็ ปว่ ย ดั้งเดิมในเรื่องขวัญและผี ท่ีมีท้ังผีดีและ ที่ว่าหากเด็กไม่สบายต้องพาไปหาหมอ
ร้าย ที่ยังคงมีปรากฏ อยู่ให้เห็นใน เท่านัน้
พิธีกรรม เช่น พ่อมดทาพิธีการเรียกผีแม่
เกือดให้มาสิงอยู่ในสัตว์ตัวแทน จากนั้น
ฆ่าสัตว์ให้ตาย เพ่ือเป็นสัญลักษณ์แสดง
ถึงการตัดผีแม่เกือดออกไปจากชีวิตของ
เด็กแลว้
43
หัวขอ้ พธิ กี รรมด้งั เดมิ พธิ กี รรมที่เปลี่ยนแปลง
ความเช่ือในพิธีศพ ความเช่ือในพิธี พิธีศพในปัจจุบัน มีการตั้งศพท่ีวัดและ
เสนกวัดกว้าย ความเชื่อในพิธีเชิญผีขึ้น นิมนต์พระสงฆ์มาสวดในพิธีศพ อีกทั้ง เขย
เรอื น ความเช่อื ในพธิ ีเสนแก้เคราะห์เรือน ในพิธีศพที่ต้องใช้ลูกเขยจริง ๆ เปลี่ยนเป็น
ความเช่ือในพิธีปาดตง ท้ังพิธีปาดตง จ้างคนอื่นท่ีรับจ้างเป็นผู้นาในพิธีศพ เรียก
ธรรมดาและพิธปี าดตงขา้ วใหม่ ความเช่ือ กนั ในปัจจุบันวา่ เขยจ้าง ซ่ึงไมไ่ ด้เป็นลูกเขย
ในพิธีเสนเรือน ทุกพิธีกรรมยังคงมีอยู่ จริง ๆ ของครอบครัวน้ัน เพียงแต่เป็นผู้ที่รู้
เพราะงานท่ีเก่ียวข้องกับชีวิตและมีผลต่อ เร่ืองอักษรไทดาและรเู้ ร่อื งขัน้ ตอนในพิธีศพ
ควำมเชอื่ ครอบครัวท่ีสาคัญท่ีสุดน้ัน ยังมีความเช่ือ เป็นอย่างดีเท่านั้น ในพิธีศพแบบใหม่จะมี
ชว่ งกำรตำย เร่ือง แถน ผีเรือน ผีขวัญ ซึ่งเป็นความ ข้ันตอนการรดน้าศพให้กับศพ จากน้ันจะ
และหลงั เชอ่ื ด้งั เดิมปรากฏอยู่ จงึ มีการทาพิธีกรรม นาดอกบัวมาใส่ในมือศพให้มืออยู่ในท่า
กำรตำย ที่ส่ือแสดงให้เห็นถึงเร่ืองของความเชื่อดัง้ พนมมือ ต่อมาก็นิมนต์พระสงฆ์มาสวดศพ
เดิมอยู่น่ันเอง เช่น พิธีบอกทางผีไปเมือง ท่ีบ้านหรืออาจจะมีการนาศพไปต้ังบาเพ็ญ
แถน ในพิธีศพส่วนพิธีกรรมหลังการตาย กุศลที่วัด โดยกาหนดการต้ังศพไว้ว่ากี่วัน
ยังคงมพิธีเสนกวัดกว้าย ที่เช่ือกันว่าบ้าน อาทิ 3 – 9 วัน แล้วแต่สะดวก เพ่ือให้ถึง
หรือเรือนใดท่ีมีการตายเกิดข้ึนถือว่าบ้าน วันดีที่สุดท่ีจะทาการเผาศพ หรือบาง
หรือเรือนนั้นไม่ดี เป็นเสมือนเรือนร้าย ครอบครวั จะให้ลูกหลานบวชหน้าศพให้กับ
หรอื เรอื นไม่สะอาดและไม่เป็นมงคล ต้อง ผตู้ ายดว้ ย
มีการปัดกวาดส่ิงช่ัวร้ายให้ออกจากเรือน
ไปให้หมดสิ้นด้วยการทาพธิ ีเสนกวัดกวา้ ย
โปรดแสกน
เพอื่ ประเมินควำมพงึ พอใจ
หนังสอื E-Book เล่มนี้
44
อำ้ งอิง
กระทรวงวัฒธรรม. (2563). เอกสำรประกอบชุดกำรแสดงชำติพันธุ์ชำวไทยทรง
ดำ “ฟ้อนแคนแมนฟ้ำ”. นิทรรศการวิถีชีวิต 8 ชาติพันธุ์ เล่าขาน
วัฒนธรรมภายใตโ้ ครงการสง่ เสริมการท่องเท่ียวเชงิ ศิลปวัฒนธรรม
กานต์ทิตา สีหมากสกุล. (2558). วิเครำะห์ปัจจัยกำรดำรงอยู่และกำรเปล่ียนแปลง
ควำมเชื่อในพิธีกรรมของไทยทรงดำ : กรณีศึกษำเขตตำบลหนองปรง
อำเภอเขำย้อย จังหวัดเพชรบุรี. สาขาวิชาไทยศึกษา คณะมนษุยศาสตร์
และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั บรพู า
จุรีวรรณ จันพลา และคณะ. (2554). กำรพัฒนำรูปแบบผลิตภัณฑ์ผ้ำทอไทยทรง
ดำ เพื่อสร้ำงมูลค่ำเพ่ิมตำมแนวทำงเศรษฐกิจสร้ำงสรรค์. โครงการวิจัยนี้
ได้รบั ทนุ อุดหนนุ การวจิ ัยจากกรมสง่ เสริมวฒั นธรรม. (ออนไลน์).
ชีวสิทธบิ์ ณุ ยเกยี รติ. (2557). ประเพณี อน้ิ ก๋อนฟ้อนแกน๊ . (ออนไลน์).
แหล่งทม่ี า : ฐานข้อมลู งานวจิ ยั ทางชาติพนั ธ.ุ์ 14 มิถนุ ายน 2564
สมทรง บุรุษพัฒน์. (2524). กำรเล่นคอนของลำวโซ่งที่บำงกุ้ง. นครปฐม:
สถาบนั วิจยั ภาษาและวฒั นธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล.
45
สาขาหลกั สตู รและการสอน คณะครศุ าสตร์
มหาวิทยาลยั ราชภฏั ราไพพรรณี
จดั ทาโดย
1. 6326302011 นางสาวภทั ราพร ปัตตาวะตงั
2. 6326302012 นางสาวภทั ราวรรณ ไกรกจิ ราษฎร์
3. 6326302013 นางวรรณภา งว่ นสน จนั ทรเ์ จรญิ
สาขาหลกั สตู รและการสอน คณะครศุ าสตร์
มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ราไพพรรณี