โครงงานภาษาไทย ส่วนหนึ่งของรายวิชาภาษาไทย
โรงเรียนอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์
ความเชื่อ
ใน
วรรณคดี
Belief in Literature
เรียบเรียง
กชญดา จันทรสุวรรณ
พวงชมพู อยู่อิ่ม
ธีระภัทร เทพทองคำ
ภาคภูมิ คงนุ่น
ภูมิภัทร อินมูล
โครงงานภาษาไทย ส่วนหนึ่งของรายวิชาภาษาไทย
โรงเรียนอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์
ความเชื่อ
ใน
วรรณคดี
Belief in Literature
เรียบเรียง
กชญดา จันทรสุวรรณ
พวงชมพู อยู่อิ่ม
ธีระภัทร เทพทองคำ
ภาคภูมิ คงนุ่น
ภูมิภัทร อินมูล
คำนำ
หนังสือนี้เป็ นส่วนหนึ่งของวิชาภาษาไทย
(รหัสวิชา ท๓๑๑๐๒) ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่๔ โดยมี
จุดประสงค์เพื่อศึกษาความรู้ที่ได้จากเรื่องความ
เชื่อที่ปรากฏในวรรณคดี ซึ่งหนังสือเล่มนี้มีเนื้อหา
เกี่ยวกับความรู้จากหนังสือวรรณคดีวิจักษ์ระดับ
ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่๑ ถึงชั้นมัธยมศึกษาปี ที่๖,
E-book, บทความงานวิจัย,หนังสือหมวด
วรรณคดีในห้องสมุด นำมาสรุปเรียบเรียงได้ถูก
ต้อง สมบูรณ์ และครบถ้วนแม่นยำมากที่สุด
ผู้จัดทำได้เลือกหัวข้อนี้ในการทำหนังสือ
เนื่องมาจากเป็ นเรื่องที่น่าสนใจและนำมาใช้
ประกอบโครงงานในรายวิชาภาษาไทย(รหัส
วิชา ท๓๑๑๐๒) ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่๔
สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณ
คุณครูฐปนีย์ พันธชาติผู้ให้ความรู้และแนวทาง
การศึกษา เพื่อน ๆ ทุกคนที่ให้ ความช่วยเหลือ
มาโดยตลอดผู้จัดทำหวังว่ารายงานฉบับนี้จะให้
ความรู้ และเป็ นประโยชน์แก่ผู้อ่านทุก ๆ ท่าน
ผู้จัดทำ
คำว่า“วรรณคดี”
(1) คำว่า “วรรณคดี” เป็นแนวคิดที่คนไทยรับมาจากชาติตะวันตก ก่อน
หน้านี้เรามักใช้คำว่า “หนังสือ” หรือมิฉะนั้นก็เรียกชื่อหนังสือประกอบกับ
ลักษณะคำประพันธ์ของหนังสือ เช่น เสือโคคำฉันท์
(2) คำว่า “วรรณคดี” ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 5 แค่เริ่มใช้
เป็นทางการในสมัยรัชกาลที่ 6 หมายถึง หนังสือที่แต่งขึ้นในสมัยใดก็ได้ที่
แต่งเป็นร้อยกรองหรือร้อยแก้วก็ได้
(3) วรรณคดีเป็นหนังสือที่มีเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์ วรรณคดีไทยคือ
สิ่งที่อยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน และพัฒนามาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มี
ความไพเราะและน่าสนใจมากขึ้น
ประเภทของวรรณคดี
(1) วรรณคดีเกี่ยวกับคำสอน หมายถึง
วรรณคดีที่มุ่งสอนจริยธรรมแก่สังคม
(2) วรรณคดีศาสนา หมายถึง เรื่องราวที่
เขียนขึ้นโดยอาศัยเนื้อหาสาระ หรือหลัก ธรรม
ของศาสนา หรืออิงหลักธรรมของศาสนา เรื่อง
ราวของบุคคลต่าง ๆ ในศาสนา
(3) วรรณคดีขนบประเพณี หมายถึง
วรรณคดีที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ ประเพณี พิธีกรรม
และ ขนบธรรมเนียมต่าง ๆในการประกอบพิธีใน
สังคมไทยมักต้องมีบทประกอบพิธี ซึ่งอยู่ในรูป
ของ บทสวด บทเพลงที่เรียบเรียงอย่างไพเราะ
ความเชื่อ คือ
(1) โรคีช(M. Rokeach) ได้อธิบายความหมายของความเชื่อว่า หมายถึง
“ความคิดใดๆ ที่เป็นไปได้ หรือแน่ใจเกี่ยวกับการมีอยู่ การเป็นอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่
ควรทำหรือไม่ควรทำ ทั้งนี้เป็นปัจจัยที่ทำให้คนแสดงพฤติกรรมตามความเชื่อนั้น”
(2) ทัศนีย์ ทานตวณิช (2523) กล่าวว่า “ความเชื่อคือการยอชมรับ
นับถือว่าเป็นความจริง หรือมีอยู่จริง การยอมรับหรือการยึดมั่นนี้ อาจมีหลัก
ฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ หรืออาจไม่มีหลักฐานที่จะพิสูจน์สิ่งนั้นให้เห็นจริงได้”
(3) สุนทรี โคมิน (2539) กล่าวว่า “ความเชื่อเป็นความนึกคิดยึดถือ
โดยที่เจ้าตัวจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เป็นสิ่งที่สามารถจะศึกษาและวัดได้จากคำพูด
และการกระทำของคน”
(4) สถาพร ศรสัจจัง (2533) ให้ความหมายของความเชื่อไว้ว่า “ความเชื่อ
หมายถึงการยอมรับข้อเสนออย่างใดอย่างหนึ่งว่าเป็นความจริง การยอมรับนี้
อาจจะเกิดจากสติปัญญา เหตุผลหรือศรัทธา โดยไม่ต้องมีเหตุผลใดๆ รอบรับ
ก็ได้”
สรุปได้ว่า ความเชื่อ หมายถึง ความคิด ความเข้าใจและการยอมรับ
นับถือ เชื่อมั่นในสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยไม่ต้องมีเหตุผลใดมาสนับสนุนหรือพิสูจน์ ทั้งนี้
บางอย่างอาจมีหลักฐานอย่างเพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ หรืออาจจะไม่มีหลักฐานที่จะนำ
มาใช้พิสูจน์ให้เห็นจริงเกี่ยวกับสิ่งนั้นก็ได้
ประเภทของความเชื่อ
โรคีช (M. Rokeach) ได้จัดแบ่งประเภทของ
ความเชื่อว่ามี 4 ประเภท ได้แก่
1. ความเชื่อตามที่เป็นอยู่ เป็นการเชื่อในสิ่งหนึ่งสิ่งใดว่า
จริง-เท็จ ถูก-ผิด เชื่อ ความเชื่อว่าโลกกลม
พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก เป็นต้น
2. ความเชื่อเชิงประเมินค่า เป็นความเชื่อที่แฝงความรู้สึก
รวมทั้งมีการประเมินในขณะเดียวกัน เช่น เชื่อว่าบุหรี่เป็น
สิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เป็นต้น
3. ความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งที่ควรทำและควรห้าม เป็นความ
เชื่อว่าสิ่งใดที่พึงปรารถนา-ไม่พึงปรารถนา เช่น เชื่อว่า
เด็กควรเคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่ เป็นต้น
4. ความเชื่อเกี่ยวกับสาเหตุ เป็นความเชื่อในสภาพที่ก่อให้
เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่งตามมา เช่น เชื่อว่าการตัดไม้
ทำลายป่าทำให้เกิดความแห้งแล้ง การสร้างเขื่อนเป็นการ
ทำลายสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ เป็นต้น
ทั้งนี้ประเภทของความเชื่อตามแบบของสังคมไทย จากการศึกษาพบว่า สังคม
ไทยมีความเชื่อที่หลากหลาย หากจะแบ่งประเภท อาจแบ่งออกได้เป็น 7 ประเภท
ใหญ่ ดังนี้
1. ความเชื่อเกี่ยวกับลัทธิและศาสนา เช่น เชื่อในเรื่องการทำสมาธิเพื่อรักษาโรค
เชื่อในพลังอำนาจของพระเจ้า เชื่อในเรื่องนรก-สวรรค์ เชื่อในเรื่องบาป-บุญ ด่าพ่อ
แม่ชาติหน้าปากจะเท่ารูเข็ม เป็นต้น
2. ความเชื่อเกี่ยวกับไสยศาสตร์ ผีสางเทวดา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น เชื่อในเรื่อง
คาถาอาคม การทำเสน่ห์ การเสกตะปูเข้าท้อง การเสดาะเคราะห์ เชื่อในเรื่องผีบ้านผี
เรือน ผีปอบ ผีแม่หม้าย หรือเชื่อในเรื่องเครื่องรางของขลัง หรือสิ่งที่มีปาฏิหาริย์ต่างๆ
3. ความเชื่อเกี่ยวกับโหราศาสตร์ โหงวเฮ้ง และฮวงจุ้ย เช่น เชื่อในเรื่องของ
การดูดวงชะตา ดูลายมือ เชื่อในเรื่องบุคลิกลักษณะสัมพันธ์กับชีวิต หรือสิ่ง
แวดล้อมที่ทำงานและที่อยู่อาศัยสัมพันธ์การดำเนินชีวิต
4. ความเชื่อเกี่ยวกับโชคลางและฤกษ์ยาม เช่น เชื่อในเรื่องของการไม่ตัดผมใน
วันพุธ การไม่เดินทางไกลถ้าจิ้งจกทัก หรือ การหาฤกษ์ยามสำหรับการทำงาน
มงคลต่างๆ
5. ความเชื่อเกี่ยวกับความฝันและคำทำนายฝัน เช่น เชื่อว่าถ้าฝันว่าเห็นงู จะได้
เนื้อคู่ ถ้าฝันว่าฟันหัก ญาติผู้ใหญ่จะเสียชีวิต ฝันเห็นคนตาย จะเป็นการต่ออายุ
6. ความเชื่อเกี่ยวกับพิธีกรรมต่างๆ เช่น การแห่นางแมวขอฝน การทำบุญขึ้น
บ้านใหม่ งานบุญต่างๆ
7. ความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งที่ควรทำและสิ่งที่ไม่ควรทำ เช่น ห้ามนอนหันหัวไปทางทิศ
ตะวันตก เอาไม้กวาดตีกันชีวิตจะไม่เจริญ กินข้าวเกลี้ยงจานจะได้แฟนสวยหรือหล่อ
ห้ามปลูกต้นลั่นทม ระกำไว้ในบ้าน ให้ปลูกต้นมะยม มีคนนิยมชมชอบ ปลูกขนุน จะ
ทำให้มีผู้สนับสนุนค้ำจุน
ความเชื่อเกี่ยวกับพุทธศาสนา
1) ความเชื่อเกี่ยวกับกรรม โดยส่วนใหญ่เนื้อหาจะเป็นการสอดแทรกหลัก
ธรรมของพระพุทธศาสนา ลงไปในคําประพันธ์เพื่อตักเตือนแก่ผู้อ่านให้อยู่ใน
ศีลในธรรม และประเพณี วัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับพุทธ ศาสนาอยู่ในคํา
ประพันธ์ ตัวอย่างคํำประพันธ์
อย่าลุ่มหลงจงอุตส่าห์รักษาศีล ให้เพิ่มฏิญโญไปดังใจหมาย
อย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิตคิดอุบาย พี่แบ่งบุญบรรพชาสถาผล
กลับไปอยู่คูหาในวารี จะจําตายตกนรกอเวจี
ส่วนกุศลให้สุดามารศรี อย่าได้มีห่วงใยอาลัยลาญ
(พระอภัยมณี)
2) ความเชื่อเกี่ยวกับบุญ บาป
ส่วนใหญ่จะป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นผลของผลจากการกระทําต่างๆเพื่อ เป็นการ
เตือนใจให้แก่ผู้อ่าน ตัวอย่างคํำประพันธ์
ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง โอ้บาปบุญกรรมน้ํานรกเจียวอกเรา
ทําบุญบวชกรวดน้ําขอสําเร็จ ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย
มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย พระ
สรรเพชญโพธิญาณประมาณหมาย ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป
(นิราศภูเขาทอง)
3) ความเชื่อเกี่ยวกับภพชาติ กล่าวถึงการที่ได้กลับชาติมาเกิด เพื่อเป้า
หมายบางประการ โดยมีผลบุญ และผลกรรมเป็นตัวกำหนดสิ่งที่จะเกิดขึ้น
มาในชาติใหม่ ตัวอย่างคำประพันธ์
จึงสร้างพรตอตส่าห์ส่งบุญถวาย ประพฤติฝ่ายสมถะทั้งวสา
เป็นสิ่งของฉลองคุณมุลิกา ขอเป็นข้าเคียงบาททุกชาติไป
(นิราศภูเขาทอง)
4) ความเชื่อเกี่ยวกับนรก สวรรค์กล่าวถึงภพภูมิหลังความตาย ตามความ
เชื่อไตรภูมิที่ปรากฏมา ตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยสอนให้ทำความดีแล้วจะได้ขึ้น
สวรรค์ ทำความชั่วจะตกนรกใช้กรรมตามที่ตนก่อไว้เมื่อมีชีวิต ตัวอย่างคำ
ประพันธ์
ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา
โอ้บาปบุญกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย
(นิราศภูเขาทอง)
ความเชื่อเกี่ยวกับไสยศาสตร์
1) ความเชื่อเกี่ยวกับคาถาอาคม ส่วนใหญ่จะแสดงให้เห็นถึง
ความเชื่อเกี่ยวกับพิธีกรรรมทางไสยสาสตร์ คาถาอาคมที่ใช้ใน
กิจกรรมต่างๆ ตัวอย่างคำประพันธ์
พี่เองใช้มายาวิน ใช้เชอญยุพิน มาที่นี้ด้วยอาถรรพ์
(มัทนะพาธา)
2) ความเชื่อเกี่ยวกับสัตว์บอกเหตุส่วนใหญ่จะเป็นความเชื่อที่เกิดจากสัตว์
บางชนิดร้องทัก สัตว์บางชนิดทำตัวผิดปกติไปจากเดิม สัตว์บางชนิดที่ไม่
สามารถเห็นได้ตามปกติปรากฏตัว ตัวอย่างคำประพันธ์
สิ้นฝันครั้นตื่นตกประหม่า หวีดผวากอดผัวสะอื้นไห้
เล่าความบอกผัวด้วยกลัวภัย ประหลาดใจน้องฝันพรั่นอุรา
ใต้เตียงเสียงหนูก็กุกกก แมงมุมทุ่มอกที่ริมฝา
ยิ่งหวาดหวั่นพรั่นตัวกลัวมรณา ดังวิญญานางจะพรากไปจากกาย
ครานั้นขุนแผนแสนสนิท ฟังความตามนิมิตก็ใจหาย
ครั้งนี้น่าจะมีอันตราย ฝันร้ายสาหัสตัดตำรา
(ขุนช้างขุนแผน)
3)ความเชื่อเกี่ยวกับความฝัน ส่วนใหญ่จะเป็นการบอกเล่าเกี่ยวกับความฝัน
และนำไปเปรียบเทียบกับ ความเชื่อของคนไทยว่าตรงกับเรื่องใด เป็นสิงดี
หรือไม่ ตัวอย่างคำประพันธ์
ฝันว่าพลัดไปในไพรเถื่อน เลื่อนเปื้อนไม่รู้ที่จะกลับหลัง
ลดเลี้ยวเที่ยวหลงในดงรัง ยังมีพยัคฆ์ร้ายมาราวี
ทั้งสองมองหมอบอยู่ริมทาง พอนางดั้นป่ามาถึงที่
โดดตะครุบคาบคั้นในทันที แล้วฉุดคร่าพารี่ไปในไพร
(ขุนช้างขุนแผน)
4) ความเชื่อเดี่ยวกับการเขม่นตาบอกเหตุจะกล่าวถึงการที่เกิดอาการ
ตากระตุกในแต่ละแบบมี ความหมายว่าอย่างไร ตัวอย่างคำประพันธ์
หลังตาขวามีผู้ให้ลาภ หลังตาซ้ายผู้หญิงกล่าวถึง
กึ่งกลางตาจะมีคนมาสู่ ตาซ้ายเบื้องต่ำเขาจะหาความเอา
จมูกจะมีคนหาความเอาไม่ดี หูขวาจะได้ยินข่าวร้ายมาบอก
หูซ้ายดีจะได้ลาภ คอข้างขวาจะมีลูกชายอันพึงใจ
คอข้างซ้ายจะมีลูกหญิงอันพึงใจ จะรักข้าวของนักนา
รักแร้ข้างซ้ายจะได้ลาภ รักแร้ข้างขวาความจะมาถึง
หัวใจเขาจะทำโทษ หลังตาจะได้เป็นน้อยกว่าท่าน
ปากขวาจะมีลาภ ปากล่างจะมีทุกข์เพราะญาติ
5) ความเชื่อเกี่ยวกับการแต่งกายประจำวัน กล่าวถึงเรื่องความเชื่อเรื่อง
การแต่งกายตามวันต่างๆ ตัวอย่างคำประพันธ์
วันอาทิตย์สิทธิโชคโฉลกดี เอาเครื่องสีแดงแรงเป็นมงคล
วันจันทร์นั้นควรสีนวลขาว จะยืนยาวชันษาสถาผล
อังคารม่วงช่วงงามสีครามปน เป็นมงคลขัติยาไม่ราคี
วันพุธสุดดีด้วยสีแสด กับเหลืองแปดปนประดับสลับสี
วันพฤหัสบดีจัดเครื่องเขียวเหลืองดี วันศุกร์เมฆหมอกออกสงคราม
วันเสาร์ทรงดำจึงล้ำเลิศ แสนประเสริฐเสี้ยนศึกจะนึกขาม
ทั้งพาชีขี่ขับประดับงาม ให้ต้องตามสีสันจึงกันภัย
(สวัสดิรักษา)
6) ความเชื่อเกี่ยวกับผีสาง เทวดา กล่าวถึงเรื่องการใช้ภูตผีในการทำสิ่ง
ต่างๆ และการกราบขอพรได้รับพร หรือการถูกสาปแช่งจากเทวดา
ตัวอย่างคำประพันธ์
ปู่รำพึงถึงเทพดา หากันมาแต่ป่า มาแต่ท่าแต่น้ำ มาแต่ถ้ำคูหา ทุกทิศมา
นั่งเฝ้าพระปู่ เจ้าทุกตำบล ตนบริพารทุกหมู่ตรวจตราอยู่ทุกแห่ง ปู่แต่งพระ
พนัสบดีศรีพรหมรักษ์ยักษ์กุมาร บริพารภูตปีศาจ ดาเดียรดาษมหิมา นายก
คนแลคน ตนเทพยผู้ห้าวท้าวผู้หาญเรืองฤทธิ์ชาญเหลือหลาย ตั้งเปนนายเป
นมุล ตัวขุนให้ขี่ช้าง บ้างขี่เสือขี่สีห์บ้างขี่หมีขี่หมูบ้างขี่งู่ขี่เงือก ขี่ม้าเผือก
ผันผาย บ้างขี่ควายขี่แรด แผดร้องก้องน่ากลัว ภูตแปรตัว หลายหลาก
แปรเปนกากภาษา เปนหัวกาหัวแร้ง แสร้งเปนหัวเสือหัวช้าง เปนหัวกวาง
หัวฉมัน ตัวต่างกันพันลึก ลคึกกุมอาวุธ เครื่องจะยุทธยงยิ่ง เต้นโลดวิ่ง
ระเบง คุกเครงเสียงคะครื้น ฟื้นไม้ไหล้หินผา ดาษดากันผาดเผ้ง รเร้งร้อง
ก้องกู่เกรียง เสียงสเทือนธรณีเทียบพลผีเสร็จสรรพ ปู่ก็บังคับทุกประการ
จึ่งบอกสารอันจะใช้ให้ทั้ง ยามนตร์ดล บอกทั้งกลอันจะทำ ให้ยายำเขาเผือด
มนตราเหือดหายศักดิ์ให้อารักษ์เขาหนีผีเขาแพ้แล้วไส้กู
จึงจะใช้สลาเหิน เดินเวหาไปสู่ เชิญพระภูธรท้าว ชักมาสู่สองหย้าว อย่าคล้า
วคำกูสั่งนี้
(ลิลิตพระลอ)
7) ความเชื่อเกี่ยวกับอาวุธ กล่าวถึงการใช้อาวุธต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวิชาที่
ได้ร่ำเรียนมาหรืออาวุธมาใช้ในการต่อสู้ ตัวอย่างคำประพันธ์
เจียระบาดคาดองค์ก็ปลงเปลื้อง ให้เป็นเครื่องนุ่มห่มโอรสา
สอนให้เจ้าเป่าปี่มีวิชา เพลงศาสตราสารพัดหัดชำนาญ
(พระอภัยมณี)
ความเชื่อเกี่ยวกับศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
1) ความเชื่อเกี่ยวกับเทวปกรณัมในศาสนาพราหมณ์กล่าวถึงความเชื่อที่มี
เกี่ยวกับเทพต่างๆในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่เป็นศาสนาคู่กับศาสนาพุทธ
มาช้านานและส่งผลต่อประเพณี วัฒนธรรมต่างๆ ตัวอย่างคำประพันธ์
อินทรชิตบิดเบือนกายิน เหมือนองค์อมรินทร์
ทรงคชเอราวัณ
(บทพากย์เอราวัณ)
2) ความเชื่อเกี่ยวกับการบูชาไฟ กล่าวถึงการบูชาไฟตามลัทธิความ
เชื่อ ที่แตกย่อยมาจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ตัวอย่างคำประพันธ์
ขึ้นกบ จบ แม่ กด พระดาบสบูชากูณฑ์ ผาสุกกรุกขมูล พูนสวัสดิ์
สัตถาวร
(กาพย์พระไชยสุริยา)
3)ความเชื่อเกี่ยวกับการบูชาฤาษีกล่าวถึงการบูชาฤาษีตามลัทธิความ
เชื่อ ที่แตกย่อยมาจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ตัวอย่างคำประพันธ์
สององค์ทรงหนังพยัคฆา จัดจีบกลีบชฎา
รักษาศีลถือฤาษี
(กาพย์พระไชยสุริยา)
บรรณานุกรม
อรอร ฤทธิ์กลางและอภิษฎา ขาวสุทธิ์. 2551. วรรณคดีวิจักษ์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1.
พิมพ์ครั้งที่ 10. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้าว. 2561.
อรอร ฤทธิ์กลางและอภิษฎา ขาวสุทธิ์. 2551. วรรณคดีวิจักษ์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2.
พิมพ์ครั้งที่ 10. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้าว. 2561.
อรอร ฤทธิ์กลางและอภิษฎา ขาวสุทธิ์. 2551. วรรณคดีวิจักษ์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3.
พิมพ์ครั้งที่ 12. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้าว. 2562.
อรอร ฤทธิ์กลางและอภิษฎา ขาวสุทธิ์. 2551. วรรณคดีวิจักษื ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4.
พิมพ์ครั้งที่ 14. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้าว, 2563.
อรอร ฤทธิ์กลางและอภิษฎา ขาวสุทธิ์. 2551. วรรณคดีวิจักษื ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5.
พิมพ์ครั้งที่ 15. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้าว, 2563.
อรอร ฤทธิ์กลางและอภิษฎา ขาวสุทธิ์. 2551. วรรณคดีวิจักษื ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6.
พิมพ์ครั้งที่ 13. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้าว, 2563.
พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว. ๒๔๖๗. มัทนะพาธาหรือตำนานแห่งดอกกุหลาบ.
พิมพ์ครั้งที่ 23. กรุงเทพมหานคร : บริษัท อักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด.
นิพัทธ์ แย้มเดช. “อิทธิพลความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ที่ส่งผลต่อการสร้างสรรค์วรรณคดี
ไทย.” วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์. 1 : 3
(ตุลาคม 2558 – มกราคม 2559) : 4-11.
ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์
มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
แม้พูดชั่วตัวตายทำลายมิตร
จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา
นิราศภูเขาทอง