The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by info_dlict, 2020-06-29 02:28:06

ชุดกิจกรรมการวิจัยในชั้นเรียน เล่มที่ 2 การสร้างและพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา

ชุดกิจกรรมการวิจัยในชั้นเรียน


เล่มที่ 2

การสร้างและพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา

































กลุ่มนิเทศ ติดตาม และประเมินผลการจัดการศึกษา

ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาล าปาง เขต 1

ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน


กระทรวงศึกษาธิการ


เอกสาร ศน.สพป.ลป.1
ที่ 10 /2560







ค าน า


ี่
ั้



ชดกิจกรรมการวิจยในชนเรียน เลมท 2 การสร้างและพัฒนานวัตกรรมทางการศกษา
ุ่
กลมสาระการเรียนรู้ทยาศาสตร์ มีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ครูผ้สอนมีความรู้ ความเข้าใจขั้นตอน

การพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ และสามารถน าไปแก้ปัญหาการเรียนรู้ของนักเรียนทพบในชนเรียน
ั้
ี่
ของตนเอง


ี่


ุ่

กลมนิเทศ ตดตาม และประเมินผลการจดการศกษา สานักงานเขตพื้นทการศกษา
ู้
ประถมศกษาลาปาง เขต 1 หวังเป็นอย่างยิ่งว่า เอกสารเลมนี้ คงมีประโยชน์ตอครูผสอนหรือผท ี่

ู้




เกี่ยวข้องน าแนวคด และวิธีการพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ ไปพัฒนานวัตกรรมแลวน าไปแก้ปัญหา

การเรียนรู้ของนักเรียนตามปัญหาที่พบในชั้นเรียน ได้อย่างเหมาะสม




กลุ่มนิเทศ ติดตาม และประเมินผลการจัดการศึกษา
ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาล าปาง เขต 1







ค าชี้แจง

จุดประสงค์


เพื่อให้ครูผสอนมีความรู้ ความเข้าใจขั้นตอนนวัตกรรมการศกษา และสามารถน าไป
ู้
แก้ปัญหาการเรียนรู้ที่พบในชั้นเรียนได้อย่างเหมาะสม

รายละเอียดของชุดกิจกรรมการวิจัยในชั้นเรียน



ั้

ชดกิจกรรมการวิจยในชนเรียน เลมท 2 การสร้างและพัฒนานวัตกรรมทางการศกษา

ี่
มีรายละเอียด ดังนี้
1. เนื้อหาที่ให้ศึกษา
1.1 นวัตกรรมการศึกษา

1.2 ตวอย่างนวัตกรรมการเรียนรู้ประเภทสอและเทคนิควิธีการ เพื่อน าไปแก้ปัญหา
ื่
การเรียนรู้ของนักเรียน โดยใช้การวิจัยในชั้นเรียน
2. กิจกรรมที่ให้ครูผสอนฝกปฏิบัติ มี 1 กิจกรรม คือ การสรุปขั้นตอนการจัดการเรียนรู้

ู้

ผลที่คาดว่าจะได้รับ

ู้
ครูผสอนมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับนวัตกรรมการศกษา และน านวัตกรรมทไดพัฒนา
ี่

ขึ้น ไปแก้ปัญหาการเรียนรู้ของนักเรียนตามปัญหาที่พบในชั้นเรียนได้อย่างเหมาะสม







สารบัญ

เรื่อง หน้า


ค าน า ก
ค าชี้แจง ข
นวัตกรรมการศึกษา…………..…………………….......……………………... 1
ตัวอย่างนวัตกรรมการเรียนรู้ประเภทสื่อและเทคนิควิธีการ เพื่อน าไปแก้ปัญหา

การเรียนรู้ของนักเรียน โดยใช้การวิจัยในชั้นเรียน…………….…………… 9
การจัดการเรียนรู้ แบบโครงงาน...................................................…….………... 10
การจัดการเรียนรู้ โดยใช้บทเรียนส าเร็จรูป.............……………….………... 13

การจัดการเรียนรู้ โดยใชคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI)...........…….………... 17

การจัดการเรียนรู้ โดยใชชุดการสอน.....................................…….………... 22
การจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการกลุ่ม.............................…….………... 27
การจัดการเรียนรู้ แบบแสดงบทบาทสมมติ...........................…….………... 33

กิจกรรมการสรุปขั้นตอนการจดการเรียนรู้...............……………….………... 37

บรรณานุกรม………………………….……………………………………….. 39
คณะผู้จดท า.………………………….……………………………………….. 40


นวัตกรรมการศึกษา




ื่

กระแสโลกาภิวัตน์ ส่งผลให้เกิดความเจริญดานการสอสารและโทรคมนาคมของโลกอย่าง

ั่
รวดเร็วท าให้การส่งและรับข้อมูลข่าวสารเป็นไปอย่างฉับไวและทวถึง จนเรียกไดว่าเปนโลกไร้พรมแดน


ซึ่งประเทศไทยไดรับอิทธิพลดงกลาวไปดวย โดยสงผลให้ประเทศไทยเข้าสยุคข้อมูลข่าวสาร



ู่

(Information age) ที่มีการสื่อสารกันได้กับทั่วทุกมุมโลกโดยผ่านการสื่อสารต่าง ๆ ทั้ง วิทยุ โทรทศน์


โทรสาร และเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ผลของกระแสโลกาภิวัตน์นี้ทาให้กระแสเศรษฐกิจ สงคม




ู่



วัฒนธรรม คานิยมตางชาต ไดแพร่กระจายมาสประเทศไทยดวย อาท วัตถุนิยม บริโภคนิยม


วัฒนธรรมตะวันตก เป็นต้น วิถีชีวิของคนไทยจึงเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากตามกระแสโลกทเตมไปดวย
ี่




ธุรกิจการตอรองและการแข่งขันซึ่งมีผลให้ประเทศไทยตองมีการพยายามประดษฐผลตพัฒนา

ี่
เทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ ๆ และพัฒนาคนเพื่อรองรับกระแสการเปลยนแปลงที่เกิดขึ้น
ในสวนของการเปลยนแปลงกระบวนการเรียนการสอน เพื่อแก้ไขปัญหาการเรียนรู้ของ
ี่

ผู้เรียน หรือพัฒนาผู้เรียนให้สอดคล้องกับเปูาหมายทางการศึกษาที่ต้องการได้อย่างมีประสทธิภาพนั้น



ี่


ู้

ิ่
ผสอนจาเป็นตองมีการประดษฐคดคนนวัตกรรมการเรียนรู้ ดวยการปรับปรุงสงทมีอยู่แลวหรือ




ออกแบบเพื่อพัฒนาวัสด อุปกรณ เทคนิค หรือวิธีการขึ้นมาใชจดกิจกรรมการเรียนรู้แบบใหม่ๆ




ี่
ให้สอดคล้องกับการแก้ไขปัญหาหรือตรงกับความต้องการที่คาดหวังไว้ ซึ่งนวัตกรรมการเรียนรู้ทไดมา
ู้



ู้
ี่
ู่

ตองเป็นเครื่องมือทมีบทบาทสาคญในการถ่ายทอดความรู้ และประสบการณจากผสอนไปสผเรียน
ชวยกระตนความสนใจ และเป็นตวกลางให้การสอสารระหว่างผสอน และผเรียนดาเนินไปอย่างมี
ื่
ู้
ู้



ุ้




ู้


ประสทธิภาพ ทาให้ผเรียนมีพัฒนาการดานความรู้ ความเข้าใจ ทกษะปฏิบัต และทศนคตไดตามท ี่


ู้


ผู้สอนต้องการ การถ่ายทอดความรู้ และประสบการณไม่ว่าจะอยู่ในลกษณะใด หากผสอนมีการน า
นวัตกรรมการเรียนรู้มาเป็นเครื่องมือแล้ว ย่อมสามารถเอื้ออ านวยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ง่ายยิ่งขึ้น
ทั้งสิ้น


ขณะเดยวกันนวัตกรรมการเรียนรู้ทน ามาใชนั้นตองไดรับการพัฒนาขึ้นมา อย่างมีคณภาพ
ี่






มีประสทธิภาพ และเหมาะสมสอดคลองกับสถานการณดวย จงจะเป็นผลดตอกระบวนการเรียน




การสอน การสร้างหรือพัฒนานวัตกรรมขึ้นมาใช ผสอนตองพิจารณาถึงลกษณะเฉพาะและคณสมบัตของ


ู้







นวัตกรรมเสยก่อน เพื่อให้เปนไปตามวัตถุประสงคการสอนไม่เชนนั้น อาจก่อให้เกิดข้อผดพลาดจน



ี่
ู้


ผเรียนสบสนหรือไดรับประสบการณทเบี่ยงเบนไปจากเปูาหมายทผสอนตองการได การพัฒนา

ี่
ู้
นวัตกรรมการเรียนรู้ให้มีคุณภาพควรมีขั้นตอนการด าเนินงาน ดังนี้


1. สร้างกรอบแนวคดในการพัฒนา การพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ตองสร้างกรอบแนวคด

เสียก่อน จากการพิจารณาองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมการเรียนรู้ ดังนี้
1.1 ศกษาหลกสตร เนื้อหา และเนื้อเรื่องทสอน เพื่อพิจารณาถึงความจาเป็น สภาพ


ี่




ความต้องการ และความสาคัญ ท่ผ้สอนควรก าหนดขอบเขตการน าเสนอเนื้อหาด้วยนวัตกรรม

การเรียนรู้

2










1.2 ศกษาจดเดน และจดดอยของเนื้อหาวิชา เพื่อให้ทราบสภาพพื้นฐานเบื้องตน

ด้านโครงสร้างสาระส าคัญ และรายละเอียดที่ต้องด าเนินการปรับปรุงหรือพัฒนาการเรียนรู้แก่ผู้เรียน

1.3 ศึกษาสภาพปัญหาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน และระดับความตองการใน

ี่

ขณะนั้นเพื่อน ามาเป็นแนวทางการพัฒนา และชวยให้นวัตกรรมทพัฒนาขึ้นมีความสอดคลองและ
เหมาะสมกับปัญหาหรือความต้องการที่เกิดขึ้น

1.4 ก าหนดแนวทางการพัฒนา และการประเมินคณภาพนวัตกรรมการเรียนรู้ท ี่
ู้
ี่
พัฒนาขึ้นว่าต้องการน าไปให้ผสอน หรือผเรียนใช และหลงจากใช นวัตกรรมการเรียนรู้ทพัฒนาขึ้น
ู้




ี่


ตามกระบวนการทก าหนดไว้ แลวผเรียนจะบรรลเปูาหมายไดอย่างไร และจะทราบไดอย่างไรว่า
ู้

นวัตกรรมนั้นประสบความส าเร็จในการน าไปใช้งาน
2. วิเคราะห์หลักสูตร เมื่อได้กรอบแนวคิดในการพัฒนานวัตกรรมแลว ตองน าหลกสตรมา




วิเคราะห์หาองค์ประกอบ ดังนี้


2.1 วิเคราะห์โครงสร้างของเนื้อหา เพื่อศกษาถึงองคประกอบของเนื้อหา ว่าลกษณะ

โครงสร้างตามหลักสูตรก าหนดไว้ ควรประกอบไปด้วยสาระที่เปนแกนหลกรายละเอียดใดบ้างททาให้

ี่





เนื้อหาสาระทก าหนดขึ้นสามารถน าไปพัฒนานวัตกรรมไดอย่างเหมาะสม มีความสมบูรณทนสมัย
ี่
และตรงตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร

2.2 วิเคราะห์ความยาวนานของเวลาทใช เพื่อแบ่งเนื้อหาสาระและจดลาดบ

ี่


การน าเสนอนวัตกรรมให้เหมาะสมกับความคงทน ในการเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละกลุ่มแต่ละวัย




ู้

ู้
2.3 วิเคราะห์ผเรียน เพื่อพิจารณาคณลกษณะผเรียนในดานตางๆ เชน วัฒนธรรม






สิ่งแวดล้อม ประสบการณเดม ลกษณะทางกายภาพ สตปัญญา อารมณ ความตองการ เจตคต ฯลฯ

ู้

ซึ่งทงหมดนี้เป็นสวนหนึ่งของพัฒนาการดานร่างกาย สตปัญญา สงคม และอารมณ ของผเรียน
ั้




เนื่องจากคุณลักษณะของผู้เรียนจะมีผลโดยตรงต่อการพิจารณาเลือกพัฒนานวัตกรรมตลอดจนวิธีการ
น าเสนอให้สอดคล้องและเหมาะสมกับการเรียนรู้
ู้

3. ก าหนดวัตถุประสงคการเรียนรู้ โดยพิจารณาก าหนดวิธีการให้ผเรียนเกิดพฤตกรรมท ี่

แสดงถึงการเรียนรู้และระดับของพฤติกรรมท่ต้องการ ด้วยการจัดลาดับเนื้อหาก าหนดเวลา



การน าเสนอและกิจกรรม เพื่อให้นวัตกรรมสามารถถ่ายทอดพฤตกรรมและคณลกษณะทตองการ


ี่

ให้แก่ผู้เรียนได้ดียิ่งขึ้น สามารถแบ่งประเภทการเรียนรู้และระดับการเกิดพฤติกรรมการเรียนรู้ได้ ดังนี้
3.1 พุทธพิสย (Cognitive Domain) เป็นการรับรู้ข้อมูลและเนื้อหาความรู้จากสง
ิ่

ง่ายไปสู่สิ่งยากอันเป็นการพัฒนาด้านสติปัญญาของมนุษย์มี 6 ระดับ ได้แก่ รู้และจาไดเข้าใจเรื่องราว


น าไปใช้ได้ วิเคราะห์ได้ สังเคราะห์ได้ และประเมินคุณค่าได ้


ี่
3.2 ทักษะพิสัย (Psycho-motor Domain) เป็นการเรียนรู้ทแสดงออกในดานทกษะ

และความสามารถทางด้านบังคับกลไกของร่างกายในการปฏิบัติงานตาง ๆ มี 7 ระดบ ไดแก่ รับรู้การ



กระทา เตรียมความพร้อม ตอบสนองตามสภาพ ปรับกลไกในการตอบสนองโดยอัตโนมัต ดดแปลง


กระบวนการตอบสนอง และปรับประยุกต์ใช้ในสถานการณ์อื่น ๆ


3.3 จตพิสย (Affective Domain) เป็นการเรียนรู้ด้านทัศนคติ ความรู้สึก อารมณ ์

ั้




เพื่อพัฒนาพฤตกรรมหรือบุคลกลกษณะของแตละบุคคล มี 5 ระดบ ไดแก่ ตงใจรับรู้ยอมรับและ

เชื่อถือ เห็นคุณค่า จัดระบบคุณค่าได้ และสร้างลักษณะนิสัย

3








4. ก าหนดคณลกษณะนวัตกรรมการเรียนรู้ โดยการน าเอาวัตถุประสงคมาก าหนดเป็น
คุณลักษณะ ดังนี้


4.1 พิจารณาคุณลักษณะของนวัตกรรมการเรียนรู้ด้านประเภทการใชงาน ว่าควรจด

อยู่ในประเภทใด เชน นวัตกรรมประเภทเครื่องฉาย นวัตกรรมประเภทไม่ใชเครื่องฉายนวัตกรรม

ประเภทเครื่องเสียง เป็นต้น



4.2 พิจารณาคุณลักษณะของนวัตกรรมการเรียนรู้ดานลาดบขั้นการเรียนรู้ว่าควรใช ้




นวัตกรรมให้เกิดการเรียนรู้ในลาดบใด ตามลาดบ ขั้นการเรียนรู้แบบกรวยประสบการณ์

ู้

ซึ่งการเรียงลาดบกิจกรรมการเรียนการสอน ทชวยให้ผเรียนเกิดประสบการณเรียนรู้จากง่ายไปหา


ี่



ยากตามลาดบ คอประสบการณตรง ประสบการณรอง ประสบการณจากการแสดง การสาธิต





ี่

การศกษานอกสถานทนิทรรศการ โทรทศน์ ภาพยนตร์ การบันทกเสยง วิทยุและภาพนิ่ง

ทัศนสัญญาณ และวจนสัญญาณ



4.3 พิจารณาคณลกษณะของนวัตกรรมการเรียนรู้ดานประสทธิภาพ เนื่องจาก


ี่
นวัตกรรมมีประสิทธิภาพในการถ่ายทอดประสบการณ์และช่วยให้เกิดการเรียนรู้ไดในระดบทแตกตาง


กัน ดงนั้นจะตองพิจารณาคดเลอกนวัตกรรมให้สอดคลองกับประเภทของลกษณะข้อมูลและ






ประสิทธิภาพการรับรู้ของผู้เรียน
5. สารวจทรัพยากรพัฒนานวัตกรรม มีหลกการในการสารวจทรัพยากรทจาเป็นตอ



ี่


การพัฒนา นวัตกรรมการเรียนรู้ ดังนี้


5.1 ส ารวจบุคลากร การพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ให้มีคณภาพจาเป็นตองมีทมงาน

ที่มีความเชี่ยวชาญแตกต่างกันออกไป และต้องครอบคลุมในด้านต่าง ๆ ดังนี้ คือ

ี่
ู้
1) นักเทคโนโลยีการศกษา ในฐานะผเชยวชาญดานการพัฒนา ทดสอบ และ

ทดลองใช้นวัตกรรมการเรียนรู้
2) นักวิชาการในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านหลักสูตรและเนื้อหาในสาขาวิชานั้นๆ
ี่
3) นักจิตวิทยาการศึกษา ในฐานะผเชยวชาญดานพฤตกรรมและพัฒนาการเรียนรู้

ู้

ของผู้เรียน
4) ผู้สอน ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
5) นักวัดและประเมินผล ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดและประเมินผล

5.2 สารวจเครื่องมือ วัสด และอุปกรณ เป็นองคประกอบสาคญทผพัฒนานวัตกรรม




ี่

ู้
การเรียนรู้ต้องทาการสารวจก่อนว่ามีความพร้อมเกี่ยวกับการน าเครื่องมือ วัสดและอุปกรณมาใชใน









การพัฒนาหรือไม่เพียงไร และกระบวนการพัฒนาจาเป็นตองใชเครื่องมือและวัสดอุปกรณใดบ้างมา

เป็นองคประกอบด าเนินงานการพัฒนาในแต่ละขั้นตอน นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาด้วยว่าควร

จัดเตรียมจัดหาสิ่งใดบ้าง จ านวนเท่าใด



5.3 สารวจงบประมาณ เป็นองคประกอบสาคญยิ่งหากขาดแคลนงบประมาณหรือ


ู้
มีงบประมาณไม่เพียงพอ ผพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้จะตองพิจารณาปรับประเภท ชนิด หรือ
ลดสวนประกอบของนวัตกรรมออกไปตามลาดบความสาคญ แตตองพยายามคงคณคาของนวัตกรรม









การเรียนรู้เอาไว้ ให้มากที่สุด

4





ี่
5.4 ส ารวจสถานที่ ต้องพิจารณาความเหมาะสมของสถานทในการพัฒนาและสถานท ี่


ในการน านวัตกรรมการเรียนรู้ไปใช้งาน เพื่อให้การประกอบกิจกรรม และการปฏิบัตงานเป็นไปดวย
ความเรียบร้อย สอดคล้องต่อเนื่องกัน ทั้งกระบวนการพัฒนา และกระบวนการใชนวัตกรรม กิจกรรม

การเรียนการสอน


ี่


6. ออกแบบนวัตกรรมการเรียนรู้ การออกแบบนวัตกรรมการเรียนทด ตองให้ความสาคญ
เกี่ยวกับหลักการและทฤษฎีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องและส่งผลกระทบตอคณภาพของนวัตกรรมการเรียนรู้ท ี่


พัฒนาขึ้น โดยมีหลักการที่ควรน ามาพิจารณา ดังนี้



6.1 หลกการและทฤษฎีทางจตวิทยาการศกษา การพัฒนานวัตกรรมเพื่อน ามาใช ้


ประกอบกิจกรรมการเรียนรู้นั้น ควรค านึงถึงหลักการและทฤษฎีทางจตวิทยาการศกษาทเป็นพื้นฐาน
ี่
ส าคัญ ดังนี้
ี่


1) การเสริมแรง นวัตกรรมการเรียนรู้ตองมีอิทธิพลตอการจงใจผเรียนมากทสด
ู้


ี่
ู้


ั้



ตองชวยให้ผเรียนไดรับเนื้อหาทสอดคลองสามารถขยายความรู้จากประสบการณเดม รวมทง

สอดคล้องกับเจตคติเดิมที่มีอยู่ก่อนแล้ว
2) การให้ความรู้เฉพาะเรื่อง นวัตกรรมการเรียนรู้ต้องเป็นส่งท่มีอิทธิพลต่อ


การเรียนรู้ในเนื้อหา โดยเฉพาะเรื่องที่ต้องการให้ผู้เรียนเกิดประสบการณ์เรียนรู้มากที่สุด
ู้



3) ความสมพันธ์ นวัตกรรมการเรียนรู้จะมีความหมายตอผเรียนมากหากจด
ู้

เนื้อหาสาระให้มีความสมพันธ์กับแรงจงใจภายในและปฏิกิริยาของผเรียนในขณะปฏิบัตกิจกรรม


เพื่อการเรียนรู้
4) พื้นฐานการรับรู้ การพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้จะต้องมีความประณีต ละเอียด
สัมพันธ์กัน และมีความชัดเจนของเนื้อหาที่ต้องการให้เรียนรู้อย่างสมเหตุสมผล


5) การใชองคประกอบ การพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ตองใชองคประกอบของ



นวัตกรรมที่ผู้เรียนมีความคุ้นเคย และใช้เทคนิคการน าเสนอที่สอดคล้องกับทัศนคติของผู้เรียน
ิ่
6) ความเป็นรูปธรรม นวัตกรรมการเรียนรู้ทพัฒนาขึ้นตองน าเสนอในสงท ี่
ี่

ตอบสนองต่อผู้เรียนในลักษณะที่สามารถสัมผัสได้และเป็นรูปธรรมส าหรับการเรียนรู้มากที่สุด

7) อัตราส่วนของเนื้อหาสาระ ในขณะท่น านวัตกรรมมาประกอบกิจกรรม
การเรียนรู้ตองก าหนดปริมาณเนื้อหาและจดลาดบการน าเสนอให้มีอิทธิพลและสงผลตอการเรียนรู้






มากที่สุด


8) การจดตวแปรทางการสอน นวัตกรรมการเรียนรู้ตองสามารถจดสภาพของ


องค์ประกอบต่าง ๆ ให้สามารถเกิดประโยชน์ต่อผู้เรียนเฉพาะจุดมุ่งหมายที่ต้องการได้มากที่สุด
ู้
ู้
9) ความเป็นผน าทางการสอน นวัตกรรมการสอนตองชวยให้ผสอนสามารถ





ประยุกต์ใช้เทคนิควิธี หลักการ และทฤษฎีต่างๆ การจดการเรียนรู้มาหลอมรวมกับประสบการณเดม
ู้



เพื่อใชจดกิจกรรมการเรียนรู้ไดอย่างเหมาะสมและสอดคลองกับสถานการณและสภาพของผเรียน


6.2 หลักการออกแบบ การพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ต้องคานึงถึงพื้นฐานของ

ี่




องคประกอบตาง ๆ ทบรรจไว้ในนวัตกรรม เพื่อให้ผเรียนเกิดความสนใจ เกิดการสงเกต การจดจา

ู้
มีความคิดสร้างสรรค์ และกระตือรือร้นในการปฏิบัติกิจกรรม โดยเฉพาะองค์ประกอบภายใน

5





นวัตกรรม ได้แก่ ความกลมกลืน สัดส่วน ความสมดุล จังหวะ การเน้น ความเป็นเอกภาพและ
ความแตกต่างหรือการตัดกันที่แสดงออกด้วยการใช้ เส้น สี แสง และเงา
ี่



ื่
ิ่
6.3 หลกการสอสาร สงทควรคานึงถึงในการใชนวัตกรรมการเรียนรู้ถ่ายทอดข้อมูล
ู้

อันเป็นความรู้และประสบการณจากผสอนไปยังผเรียน คอ การให้ความสาคญกับองคประกอบของ




ู้

ื่

ู้
การสอสา ไดแก่ ผสงสารหรือแหลงข่าวสาร เนื้อหาเรื่องราว นวัตกรรมหรือชองทางการน าข่าวสาร



ู้
ี่
ุ่
ผรับหรือกลมเปูาหมาย ผลทเกิดขึ้น และปฏิกิริยาตอบสนอง นอกจากนี้ยังตองพิจารณาเข้ารูปแบบ
ของการสอสารด้วยว่าเป็นการสื่อสารทางเดียวกันหรือการสื่อสารสองทาง
ื่
ี่
6.4 หลกการเรียนรู้ เป็นการพิจารณาว่านวัตกรรมทพัฒนาขึ้นควรตอบสนองตอ




การเรียนรู้ในลกษณะใด เชน การเรียนรู้โดยการวางเงื่อนไข การเรียนรู้ดานภาษา การเรียนรู้ดาน



ทักษะ การเรียนรู้จากการสมผส การเรียนรู้จากการแก้ปัญหา การเรียนรู้จากกระบวนการทางสงคม


การเรียนรู้จากการสังเกต การเรียนรู้จากความผิดพลาด การเรียนรู้จากการคัดค้านหรือโต้แย้งกัน เป็นต้น
7. วางแผนและด าเนินการพัฒนา การวางแผนเพื่อด าเนินงานพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้
เป็นขั้นตอนที่ต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับขั้นตอนต่าง ๆ ที่ผ่านมา โดยมีหลักการด าเนินงาน ดังนี้


7.1 ก าหนดขั้นตอนการดาเนินงาน เพื่อให้กระบวนการพัฒนาสามารถดาเนินไปได ้
ด้วยความราบรื่นและต่อเนื่องกันไป ต้องก าหนดล าดับขั้นการปฏิบัติ เปูาหมาย จ านวนทรัพยากร และ
ระยะเวลาที่ใช้ในการด าเนินงานแตละขั้นตอนเอาไว้



7.2 การดาเนินงานตามแผน เป็นการน าเอาทรัพยากรตางๆ ทก าหนดไว้มา
ี่

ี่
ั้
ดาเนินการพัฒนาตามแผนทวางไว้อย่างเป็นระบบ เพื่อให้ไดนวัตกรรมการเรียนรู้ดงทตง เปูาหมาย


ี่
ู่

เอาไว้ ซึ่งผลการพัฒนาทไดอาจประกอบไปดวยนวัตกรรมการเรียนรู้ คมือการใชและแบบประเมินผล
ี่


เป็นต้น
8. การตรวจสอบคณภาพวิธีการหรือนวัตกรรมการเรียนรู้ เพื่อให้นวัตกรรมมีประสทธิภาพ


ี่



ี่
คณภาพและมาตรฐานทเชอถือได และตรงตามเปูาหมายทก าหนดไว้ ตองมีการตรวจสอบคณภาพ

ื่

ี่
ี่
และปรับปรุงแก้ไขนวัตกรรมการเรียนรู้ทพัฒนาออกมาให้เป็นทยอมรับดวยการตรวจสอบคณภาพ

และความสอดคลองกับการน านวัตกรรมการเรียนรู้ทพัฒนาขึ้นไปใชงานจริง โดยกลมพัฒนาและ


ุ่
ี่

ู้
ี่


ผเชยวชาญจะทาการตรวจสอบสภาพนวัตกรรม ทพัฒนาเสร็จสมบูรณพร้อมน าไปใชงาน หากพบ
ี่

ข้อบกพร่องต้องดาเนินการปรับปรุงแก้ไขให้มีสภาพท่ดีและเหมาะสมกับการน าไปใช้ประกอบ


การเรียนการสอน ซึ่งการตรวจสอบเชนนี้ จะมีความเหมาะสมกับการวิจยพัฒนาคณภาพการเรียนรู้


ที่มีระยะเวลาแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ที่มีระยะเวลาแก้ไขปัญหาช่วงสั้นๆ เป็นอย่างมาก


สาหรับการน าวิธีการ หรือนวัตกรรมไปใชแก้ปัญหา หรือพัฒนาการเรียนรู้นั้น เป็น

กระบวนการที่ต้องการความรวดเร็วในการแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ด้วยการวิจัยในชั้นเรียน ดงนั้น
จงควรใชเพียงการตรวจสอบคณภาพ วิธีการหรือนวัตกรรมเทานั้น เพื่อให้สามารถน าวิธีการหรือ




นวัตกรรมที่สร้างขึ้นไปใช้ได้อย่างรวดเร็วและทันกับสถานการณ์ที่จะต้องเรียนรู้ในเรื่องต่อไป
ิ้


9. สรุปและประเมินผล เมื่อดาเนินการเสร็จสนทกขั้นตอนแลว ตองสรุปและประเมินผล



การพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ เพื่อเป็นข้อมูลในการพิจารณาน านวัตกรรมการเรียนรู้มาใช โดยมี
หลักการพิจารณา 4 ประการ คือ

6








ู้
มีประสทธิภาพ (Efficiency) เมื่อน านวัตกรรมมาใชสอนแลว ผเรียนมีพฤตกรรม

การเรียนรู้ตรงตามเปูาหมายที่หลักสูตรก าหนดไว้อย่างเด่นชัด



มีประสทธิผล (Productivity) การจดกิจกรรมการเรียนการสอน ดวยนวัตกรรมท ี่

พัฒนาขึ้น ช่วยให้ผู้เรียนบรรลุเปูาหมายและวัตถุประสงคการเรียนการสอน โดยทผเรียนจานวนมาก

ี่
ู้
หรือทุกคนเกิดพฤติกรรมการเรียนรู้ผ่านเกณฑ์ที่ก าหนดไว้


มีความประหยัด (Economy) นวัตกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น เมื่อน ามาใชสอนแลวมี
ความคุ้มค่ากับการลงทุน ทั้งด้านทุนทรัพย์ แรงงาน และระยะเวลาที่สูญเสียไป ตลอดจนมีความคงทน
ถาวรไม่ช ารุดเสียหายง่ายๆ
มีคุณลักษณะที่ดี (Goodness) นวัตกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นตองตรงกับวัตถุประสงค ์

ู้
การเรียนรู้ เหมาะสมกับวัยของผเรียน เหมาะสมกับกิจกรรมการเรียนการสอนเ หมาะสมกับเนื้อหาวิชา
ใช้ง่ายสะดวกปลอดภัย ไม่สิ้นเปลืองประหยัดคุ้มค่า สามารถแก้ปัญหาข้อบกพร่องของเนื้อหาวิชาและ
สถานการณ์การเรียนการสอนได้เป็นอย่างดี

กระบวนการพัฒนา นวัตกรรมการเรียนการสอนไว้ว่า กระบวนการพัฒนา มีจดเริ่มตน


จากการศกษาสภาพปัญหา การวางแผนสร้างและพัฒนานวัตกรรม การสร้างและพัฒนานวัตกรรม


ตามทไดวางแผนไว้ การน านวัตกรรมไปทดลองใช และพัฒนานวัตกรรม ตอจากนั้นจงจะให้

ี่

การยอมรับและน านวัตกรรมไปใช้ปรับปรุงแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาการเรียนการสอน สรุปตามแผนภูมิ ดังนี้

ศึกษาสภาพปัญหา


วางแผนสร้างและพัฒนานวัตกรรม


สร้างและพัฒนานวัตกรรม



ยอมรับและน านวัตกรรมไปใช ้


จากวงจรกระบวนการพัฒนานวัตกรรมข้างต้นอธิบายได้ ดังนี้

1. การศึกษาสภาพปัญหา เป็นการศึกษาว่า ปัญหาท่เกิดขึ้นนั้นมาจากสาเหตุใด
ี่
มีความรุนแรงหรือเร่งด่วนมากน้อยเพียงใด ปัญหาใด เป็นปัญหาหลักและปัญหารอง เป็นปัญหาทอยู่
ั้

ี่


ภายใตศกยภาพทจะแก้ไขไดหรือไม่และถ้าแก้ไขไดแลวจะไดรับประโยชน์คมคาหรือไม่ ทงนี้ใชเป็น

ุ้




ข้อมูลในการพิจารณาวางแผนค้นหาหรือสร้างนวัตกรรมมาปรับปรุงแก้ไขต่อไป

7








2. การวางแผนสร้างและพัฒนานวัตกรรม เปนการคดคนและก าหนดว่าจะน านวัตกรรมใด

มาใชในการปรับปรุงแก้ไขปัญหาท่ตัดสินใจไว้แล้วในขั้นตอนแรก โดยพิจารณาว่านวัตกรรมนั้นมี


ี่
ความเป็นไปได้ตามหลักการใด ทั้งในด้านหลักการสอนหลักจิตวิทยาการเรียนรู้ หรือจากประสบการณทสงสม
ั่
ั้





ไว้เป็นองคความรู้ของตนเอง ถ้าน ามาใชแลวจะสามารถแก้ไขปัญหาไดตามวัตถุประสงคหรือไม่ รวมทง


ต้องค านึงถึงคุณสมบัติอื่น ๆ ด้วย เช่นโครงสร้างและองคประกอบของนวัตกรรม ความสะดวกในการจดทา






ความง่ายในการน าไปทดลองใช คาใชจายในการจดทา การใชและการบ ารุงรักษา และความสอดคลอง



กับสภาพของท้องถิ่น เป็นต้น
ี่

3. การสร้างและพัฒนานวัตกรรม เป็นขั้นตอนการจดทานวัตกรรมตามทวางแผนออกแบบไว้

ให้อยู่ในรูปของนวัตกรรมที่สมบูรณ์ โดยการจัดท านวัตกรรมแลวน าไปทดลองใชเพื่อปรับปรุงแก้ไขให้มี



คุณสมบัติตามท่ต้องการ เช่น การหาความเท่ยง ความตรง และการหาประสิทธิภาพ เป็นต้น



ี่


นวัตกรรมแต่ละประเภทมีลกษณะโครงสร้างและองคประกอบทแตกตางกัน ดงนั้นการสร้างและการพัฒนา
ี่
ื่



จึงมีความแตกต่างกันด้วย รูปแบบวิธีการพัฒนานวัตกรรมอาจทาไดหลายวิธี วิธีการทนิยมใชและเชอถือ


ไดวิธีหนึ่งก็คอการวิจยเชงทดลองเพื่อพิสจน์ว่านวัตกรรมนั้นสามารถแก้ปัญหา หรือพัฒนาคณภาพและ




ประสิทธิภาพของการเรียนการสอนได้จริงหรือไม่ ถ้าพบข้อบกพร่องก็ท าการปรับปรุงแก้ไขแล้วน าไป

ี่



ทดลองใชใหม่ จนกว่าจะไดนวัตกรรมทมีคณลกษณะตามตองการ แลวจงจดท าเป็นนวัตกรรมทเป็น



ี่

นวัตกรรมที่สมบูรณ์น าไปใช้ต่อไป
ี่

4. การยอมรับและน านวัตกรรมไปใช คอ การให้การยอมรับนวัตกรรมทไดสร้างและพัฒนา


มาแล้ว และน านวัตกรรมนั้นไปใชปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาการเรียนการสอน ของครูตามปรกติต่อไป


ั้
รวมทงท าการฝกฝนทกษะการใชนวัตกรรมนั้นอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณเปลี่ยนแปลง



ไปก็ย่อมมีปัญหาเกิดขึ้นตามวงจรของการพัฒนานวัตกรรม

8





กระบวนการพัฒนานวัตกรรมทั้ง 4 ขั้นตอน สามารถสรุปได้ดังนี้

จัดล าดับความส าคัญของปัญหา



ภาพปัญหา ความสามารถในการแก้ไข
ศึกษาส

ความคุ้มคา / ประโยชน์ที่จะได้รับ




ก าหนดวัตถุประสงค ์

หลักการ/ที่มาของนวัตกรรม

วางแผนสร้างและพัฒนานวัตกรรม
ก าหนดขั้นตอนการสร้าง/พัฒนา


สะดวกในการจัดท าและทดลองใช ้


สร้างนวัตกรรมตามแผน



สร้างและพัฒนานวัตกรรม ทดลองใช้และปรับปรุงแก้ไข





สร้างนวัตกรรมที่สมบูรณ ์




ยอมรับและน านวัตกรรมไปใช ้ น านวัตกรรมไปใช้จริง

9

























ตัวอย่าง

ู้
นวัตกรรมการเรียนรประเภทสื่อและเทคนิควิธีการ
เพื่อน าไปพัฒนา แก้ปัญหาการเรียนรู้ของนักเรียน

โดยใช้การวิจัยในชั้นเรียน

10






การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน



ความหมาย
ี่


ู้
การจดการเรียนรู้แบบโครงงาน เป็นกระบวนการเรียนรู้ทเปิดโอกาสให้ผเรียนไดศกษา



ค้นคว้าและลงมือปฏิบัตกิจกรรมตามความสนใจ ความถนัดและความสามารถของตนเอง ซึ่งอาศย

กระบวนการการทางวิทยาศาสตร์ หรือกระบวนการอื่น ๆ ที่เป็นระบบ ไปใช้ในการศึกษาหาคาตอบ
ี่



ู้

ู้
ั้

ในเรื่องนั้น ๆ ภายใตคาแนะน า ปรึกษาและความชวยเลอกจากผสอนหรือผเชยวชาญเริ่มตงแต


ี่
การเลอกเรื่องหรือหัวข้อทจะศกษาการวางแผน การด าเนินงานตามขนตอนทก าหนดตลอดจนการ
ี่
ั้

น าเสนอผลงาน ซึ่งในการจดทาโครงงานนั้นสามารถทาไดทกระดบชน อาจเป็นรายบุคคลหรือเป็น





ั้
ุ่
กลม จะกระท าในเวลาเรียนหรือนอกเวลาเรียนก็ได ้

วัตถุประสงค์





1. เพื่อให้ผเรียนไดใชความรู้ ทกษะและประสบการณของตนเองในการศกษาคนคว้าหา

ู้
ข้อมูลจากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ
2. เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดพลังความอยากรู้อยากเห็น


3. เพื่อสงเสริมให้ผเรียนตดสนใจว่าจะทาอะไร กับใคร อย่างไรและเสริมสร้างความมั่นใจ
ู้


ผู้เรียนเป็นผู้ที่มีความรู้ความช านาญในเรื่องที่เขาต้องการค้นหาค าตอบ
4. เพื่อให้ผู้เรียนได้แสดงออกซึ่งความคิดริเริ่มสร้างสรรค ์

ประเภทของโครงงาน
ประเภทของโครงงานแบ่งตามลักษณะกิจกรรมได้เป็น 4 ประเภท คือ
1. โครงงานประเภทส ารวจ
โครงงานประเภทนี้เป็นการศึกษา ส ารวจและรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประเด็น
ที่ผู้เรียนต้องการศึกษา หลังจากนั้นจึงน าข้อมูลที่ได้มาจัดกระท าให้เป็นระเบียบเป็นหมวดหมู่สื่อ
ความหมาย แล้วน าเสนอในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ตาราง กราฟ แผนภูมิ และค าอธิบายประกอบ
เพื่อให้เห็นลักษณะหรือความสัมพันธ์ในเรื่องที่ศึกษาชัดเจนยิ่งขึ้น ตัวอย่างโครงงานประเภทนี้เช่น
- การส ารวจพืชสมุนไพรในชุมชนบ้านสบปราบ
- ปัญหาขยะของตลาดสดเทศบาล 2
- การตรวจสอบคุณภาพน้ าจากหนองปลาดุก
- วัฏจักรชีวิตของคางคก
- ระบบนิเวศในสวนยางพารา

11





2. โครงงานประเภททดลอง


โครงงานประเภทนี้เป็นการศกษาเพื่อหาคาตอบของปัญหา โดยมีการออกแบบ


ี่
ี่





ี่


การทดลอง เพื่อศกษาตวแปรทสงผลตอตวแปรทตองการศกษา โดยควบคมตวแปรอื่นๆ ทอาจ



ี่

ั่

มีผลตอตวแปรทตองการศกษาไว้ โดยทวไปขั้นตอนการดาเนินงานของโครงงานประเภทนี้จะ
ประกอบดวยการก าหนดปัญหา ตงสมมุตฐาน ออกแบบการทดลอง รวบรวมข้อมูล แปรผลและ

ั้

ี่


สรุปผลการทดลอง ซึ่งขั้นตอนทปฏิบัตจะเป็นกระบวนการวิทยาศาสตร์อย่างสมบูรณ ์ ตวอย่าง
โครงการประเภทนี้ เช่น
- การท ายากันยุงจากตะไคร้หอม
- การผลิตยาสระผมจากพืชสมุนไพรในท้องถิ่น
- การศึกษาเปรียบเทียบตัวแปรที่ส่งผลต่ออัตราการเจริญเติบโตของต้นมะเขือเทศ
3. โครงงานประเภทสิ่งประดิษฐ ์


โครงงานประเภทนี้เป็นการประยุกตทฤษฎี หรือหลกการทางวิทยาศาสตร์ หรือ


ด้านอื่นๆ มาสร้างหรือประดษฐ์เป็นของเลน เครื่องมือ เครื่องใชหรืออุปกรณสาหรับใชสอยตางๆ ซึ่ง





อาจจะเป็นการปรับปรุงเปลยนแปลงของเดมทมีอยู่แลว หรือประดษฐสอใหม่หรืออาจเป็นการเลน

ี่



ื่

ี่
แบบจ าลองทางความคิดเพื่อนแก้ปัญหาก็ได้ตัวอย่างโครงงานประเภทนี้ เช่น
- การประดิษฐ์ของเล่นพื้นบ้านจากวัสดุในท้องถิ่น
- การบ าบัดน้ าเสียโดยวิธีธรรมชาต ิ
- การประดิษฐ์กังหันลมเพื่อวิดน้ าเข้าแปลงผัก
4. โครงงานประเภทสร้างทฤษฎี
โครงงานประเภทนี้เป็นการน าเสนอทฤษฎี หลกการหรือแนวคดใหม่ ๆ ซึ่งแตกตางจาก



แนวคดของผอื่นทมีอยู่แลวโดยมีหลกการทางวิทยาศาสตร์ หรือทฤษฎีอื่นๆ ตลอดจนข้อมูลตางๆ


ี่

ู้





สนับสนุน ซึ่งอาจจะเป็นลกษณะทฤษฎี หลกการ แนวคดใหม่ หรืออาจขัดแย้งกับทฤษฎีนี้จะตอง
ั่
มีความรู้พื้นฐานในเรื่องนั้น ๆ อย่างด ี โดยทวไปโครงงานประเภทนี้มักจะเป็นโครงงานทาง
คณตศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์ อาจจะน าเสนอในรูปของสตร สมการหรือคาอธิบายก็ไดตวอย่าง










โครงงานประเภทนี้ เชน การเกษตรทฤษฎีใหม่ การผลตก๊าซชวภาพจากมูลสตว์ การผลตแทง

เชื้อเพลิงสีเขียว

ขั้นตอนการจัดการเรียนร ู้
การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานมีขั้นตอนส าคัญ ดังต่อไปนี้
1. การเลือกหัวข้อเรื่องหรือปัญหาที่จะศึกษา
2. การวางแผน ประกอบดวย การก าหนดจดประสงค การตงสมมุตฐาน การก าหนด
ั้




วิธีการศึกษา
3. การลงมือปฏิบัต ิ
4. การเขียนรายงาน
5. การน าเสนอผลงาน

12





ส่วนประกอบของการเขียนรายงานโครงงาน
การเขียนรายงานโครงงาน เป็นการเสนอผลงานที่ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้ารูปแบบหนึ่งตั้งแต ่
เริ่มต้นจนเสร็จสิ้นการค้นคว้ารายงานโครงงานมีส่วนประกอบต่าง ๆ ดังนี้
1. ชื่อโครงงาน

2. ชื่อผู้ท าโครงงาน/โรงเรียน/วันเดือนปีที่จัดท า
3. ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษา



4. บทคัดย่อ บอกเค้าโครงอย่างย่อๆ ประกอบดวยเรื่อง/วัตถุประสงค/วิธีการศกษาและ
สรุปผล


5. กิตติกรรมประกาศ (แสดงความขอบคุณบุคคลหรือหน่วยงานที่มีส่วนให้ความชวยเหลอ
ให้งานส าเร็จ)
6. ที่มาและความส าคัญของโครงงาน
7. วัตถุประสงค์ของการศึกษาค้นคว้า (ถ้ามี)

8. สมมุติฐานของการศึกษาค้นคว้า (ถ้ามี)
9. วิธีด าเนินการ
10. สรุปผลการศึกษาค้นคว้า

11. อภิปรายผล/ประโยชน์/ข้อเสนอแนะ
12. เอกสารอ้างอิง

ข้อดีและข้อจ ากัด
ข้อด ี





ี่
ู้

1. ผเรียนมีโอกาสไดเลอกประเดนทจะศกษา วิธีการศกษาและแหลงความรู้

ด้วยตนเอง
2. ผู้เรียนเป็นผู้ศึกษาหรือลงมือปฏิบัติด้วยตนเองทุกขั้นตอน



ื่
3. การศกษาคนคว้านั้นมีการเชอมโยงหรือบูรณาการระหว่างความรู้/ทกษะ/
ประสบการณ์เดิมกับสิ่งใหม่
4. ผู้เรียนได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้อื่น
5. ผู้เรียนได้ฝึกการแก้ปัญหาในการท างาน
ข้อจ ากัด
1. ใช้เวลาในการเรียนรู้มาก เสียค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
2. ผู้สอนอาจให้ค าปรึกษาและดูแลไม่ทั่วถึง
3. ถ้าผู้เรียนวางแผนการท างานไม่ดีอาจท าให้ไม่ประสบความส าเร็จ

4. ถ้าผู้สอนขาดความเอาใจใส่หรือขาดความอดทน อาจท าให้ไม่ประสบความส าเร็จ

13






การจัดการเรียนรู้ โดยใช้บทเรียนส าเร็จรูป



ความหมาย



การจดการเรียนรู้โดยใช้บทเรียนสาเร็จรูป เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ท่มีการสร้าง


บทเรียนส าเร็จรูปไว้ล่วงหน้าที่จะให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง จะเรียนรู้ไดเร็วหรือชาตามความสามารถของ


ู้
ี่
ี่
แตละบุคคล โดยบทเรียนดงกลาวจะเป็นบทเรียนทน าเนื้อหาสาระทจะให้ผเรียนได เรียนรู้มา




แบ่งเป็นหน่วยย่อยหลาย ๆ กรอบ (Frames) เพื่อให้ง่ายตอการเรียนรู้ในแตละกรอบจะมีเนื้อหา
ค าอธิบายและค าถามที่เรียบเรียงไว้ ตอเนื่องกันโดยเริ่มจากง่ายไปหายาก เพื่อมุ่งให้เกิดการเรียนรู้

ตามลาดบบทเรียนสาเร็จรูปทสมบูรณจะมีแบบทดสอบก่อนและหลงเรียนเพื่อตรวจสอบการเรียนรู้




ี่

ของตนเองได้ทันท ี

วัตถุประสงค์

ู้
1. เพื่อให้ผเรียนไดเรียนรู้ตามความสามารถ ความถนัด ความตองการและความสนใจ

เป็นรายบุคคล
2. เพื่อสนองตอบความแตกต่างระหว่างบุคคล และความสนใจเป็นรายบุคคล

องค์ประกอบส าคัญ
การจัดการเรียนรู้โดยใช้บทเรียนส าเร็จรูปมีองค์ประกอบส าคัญ ดังนี้
1. บทเรียนส าเร็จรูปมีเรื่องที่ตรงกับความต้องการและความสนใจของผู้เรียน
2. ผลการเรียนรู้ของผู้เรียนที่เกิดจากบทเรียนส าเร็จรูป

ลักษณะของบทเรียนส าเร็จรูป
บทเรียนส าเร็จรูปมีลักษณะที่ส าคัญดังต่อไปนี้
1. ก าหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่สามารถวัดได ้
ี่
ั้
2. เนื้อหาหรือเรื่องทจะให้เรียนรู้ แบ่งเป็นหน่วยย่อย ๆ เรียกว่ากรอบบทเรียน ความสน
ยาวของแต่ละกรอบแตกต่างกันไปตามความเหมาะสม

3. จดเรียงลาดบกรอบบทเรียนให้ตอเนื่องกัน เริ่มจากง่ายไปหายากและเหมาะสมกับ



ความสามารถของผู้เรียน มีการทบทวนให้ผู้เรียนทดสอบการเรียนรู้ของตนเองตลอดเวลา
4. ผู้เรียนมีโอกาสเรียนรู้เนื้อหาและทักษะจากกิจกรรมต่าง ๆ ที่ก าหนดไว้ในกรอบ


ี่

5. เปนการเรียนรู้ทมีการให้ข้อมูลย้อนกลบจากผลการทดสอบทนทโดยสามารถตรวจสอบ

ค าตอบจากค าเฉลยด้วยตัวเองซึ่งในบางข้ออาจมีค าอธิบายเพิ่มเติมให้ด้วย
ี่

ู้
6. มีการเสริมแรงแก่ผเรียนในขั้นตอนสาคญเป็นระยะ เชน คาชมขณะทผเรียนทาได ้
ู้




ถูกต้องเป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ต่อไป
7. ไม่จ ากัดเวลาเรียน ผู้เรียนสามารถใช้เวลาในการเรียนรู้ตามความสามารถของแตละบุคคล


14





ั้
8. มีการวัดประเมินผลแน่นอน ซึ่งจะทงการทดสอบย่อยระหว่างเรียน ทดสอบก่อนเรียน
และหลังเรียน เพื่อวัดความก้าวหน้าในการเรียนรู้ให้เห็นอย่างชัดเจน

ประเภทของบทเรียนส าเร็จรูป

บทเรียนส าเร็จรูปหรือบทเรียนส าเร็จรูปแบ่งออกได้ 2 ชนิดดังนี้
1. บทเรียนแบบเส้นตรง (Linear program)


บทเรียนชนิดนี้จะบรรจเนื้อหาย่อยลงในกรอบตามล าดบจากรอบแรกไปจนถึงกรอบ





ั้

สุดท้าย ผู้เรียนจะน้องศึกษาเรียงตามลาดบตอเนื่องกันไปตงแตกรอบแรกไปจนถึงกรอบสดทายไม่ควร
เรียนข้ามกรอบใดกรอบหนึ่งไม่ว่าจะเป็นคนเรียนเก่งหรือเรียนอ่อนก็ตาม ซึ่งอาจใช้เวลาเรียนไม่เท่ากัน
2. บทเรียนแบบแตกสาขาหรือแตกกิ่ง (Branching program)

บทเรียนชนิดนี้จะมีการจดเนื้อหาย่อยลงเป็นกรอบเชนเดยวกับบทเรียนแบบเสนตรง




แต่จะมีกรอบย่อย ๆ เรียกว่า กรอบหรือกิ่งสาขาแตกออกมาจากรอบหลกหรือกรอบยืน มีประโยชน์


สาหรับให้ความรู้พื้นฐานเพิ่มเตมแก่ผเรียนทยังมีความรู้พื้นฐานไม่เพียงพอทจะเรียนในกรอบตอไป
ี่
ู้
ี่



ผู้เรียนทุกคนไม่จ าเป็นจะตองเรียนทกกรอบ คนเก่งอาจจะเรียนจบเร็วกว่าคนอ่อนเพราะไม่ตองเสยเวลา


แวะเรียนตามกรอบสาขา บทเรียนแบบแตกสาขานั้นสามารถแตกสาขาได้ในลักษณะต่างๆ

ขั้นตอนการสร้างและการใช้บทเรียนส าเร็จรูป
ขั้นตอนการสร้างและการใช้บทเรียนส าเร็จรูปแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้
1. ขั้นเตรียม (ส าหรับผู้สอน)
ู้
ผสอนศกษาปัญหาความตองการและความสนใจของผเรียน น ามาหาทางเลอกหรือ



ู้
สร้างบทเรียนสาเร็จรูปหรือบทเรียนสาเร็จรูปเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นมาโดยควรไดรับการออกแบบจาก




ู้

ผเชยวชาญก่อนและตองมีการทดลองตามหลกการวิจย โดยการหาคาความเชอมั่นก่อนจงจะให้

ื่


ี่
ผู้เรียนได้เรียนตามกิจกรรมในบทเรียนนั้น ๆ ส่วนขั้นตอนการออกแบบสามารถด าเนินการได้ดังนี้
- วิเคราะห์หลกสตรเพื่อพิจารณาขอบข่ายเนื้อหาระดบ ประเภท เวลาทใชคมือครู



ู่

ี่
เพื่อให้เกิดแนวคิดในการผลิต
- ก าหนดเนื้อหาวิชาและระดับชั้น โดยพิจารณาเนื้อหาวิชาทน ามาผลตเปนวิชาอะไรใช ้

ี่

สอนระดับใด
ู้



- ก าหนดวัตถุประสงค เปนการก าหนดให้ทราบว่าเมื่อเรียนจบแลวผเรียนจะรู้อะไร
มีความสามารถแค่ไหน
- วางขอบเขตของงาน โดยวางเค้าโครงเรื่องล าดับเรื่องราวก่อนหลัง

- วิเคราะห์เนื้อหาเป็นขั้นตอนทสาคญเพราะเป็นการน าเนื้อหามาแตกย่อยและ

ี่
เรียงล าดับจากง่ายไปหายาก
- สร้างแบบทดสอบและมีคาตอบเฉลยให้ไว้ โดยออกแบบเนื้อหาทจะใชทดสอบผเรียน
ู้
ี่


ทั้งก่อนและหลงเรียนในบทเรียนนั้น แบบทดสอบตองวัดให้ครอบคลมวัตถุประสงคเชงพฤตกรรมท ี่






วางไว้และต้องสร้างขึ้นตามหลักการสร้างแบบทดสอบนั่นคือมีการหาค่าความเชื่อมั่นและการทดลองใช ้
- เขียนบทเรียนส าเร็จรูป ผู้ออกแบบจะตองเขียนโดยยึดโครงสร้างขั้นตอนการเขียน

และขอบเขตของงาน

15







- ทดลองใชและปรับปรุงแก้ไข การทดลองแตละครั้งควรบันทกผลการทดลอง

เพื่อน ามาปรับปรุงแก้ไข เช่น อาจจะปรับปรุงเนื้อหา แก้ไขด้านภาษา เป็นต้น
2. ขั้นการเรียนรู้
- ผู้สอนให้ผู้เรียนท าแบบทดสอบก่อนเรียน

- ผู้สอนแนะน าการใช้บทเรียนให้ผู้เรียนเข้าใจทุกขั้นตอน

ี่
- แจกบทเรียนให้แก่ผเรียนศกษาดวยตนเองตามกิจกรรมทบทเรียนก าหนดไว้

ู้
โดยผู้เรียนแต่ละคนใช้เวลามากน้อยแตกต่างกันไป
3. ขั้นสรุป
- หลังจากที่ผู้เรียนศึกษาจนจบบทเรียนแล้ว ผู้สอนจึงให้ท าแบบทดสอบหลังเรียน
- ผู้สอนสรุปสาระส าคัญเพิ่มเติมส าหรับผู้เรียนที่ต้องการทราบ
- ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันตรวจสอบและประเมินผลงาน


ข้อเสนอแนะการใช้บทเรียนส าเร็จรูป
การใช้บทเรียนสาเร็จรูปสิ่งจาเป็นที่ผสอนต้องเข้าใจ คือ บทบาทของตนเอง โดยสรุป ดังนี้
ู้




ู้



ู้


1. บทเรียนสาเร็จรูปมีไว้สาหรับผเรียนไดเรียนดวยตนเอง ดงนั้นผสอนไม่จาเป็นตองสอน
ผู้เรียนในบทเรียนนั้น ๆ
ี่




2. ควรให้ผู้เรียนใชเวลาเรียนอย่างเตมทจนกว่าจะเขาใจหรือบรรลวัตถุประสงคในบทเรียน

นั้นๆ ไม่ควรก าหนดเวลาของผู้เรียน



ั้

ู้
3. บทเรียนสาเร็จรูปสามารถใชไดทงในและนอกห้องเรียน ผสอนไม่ควรบังคบให้เรียน
เฉพาะในห้องเรียนเท่านั้น
4. ควรให้โอกาสผู้เรียนอภิปรายซักถามปัญหาในบทเรียนได้ถ้าไม่เข้าใจ

ู้
5. ควรชี้แจงวิธีการใชบทเรียนและให้การบ้านเพื่อทดสอบว่าผเรียนเรียนไดผลมากน้อยเพียงใด

6. ควรให้มีการพักผ่อนระหว่างการเรียนบางบทที่ยาวเกินไป เพื่อมิให้ผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่าย
7. ควรสาธิตในระหว่างการเรียนเพื่อเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศให้สนุกสนานไปกับบทเรียน
8. ควรวิเคราะห์ว่าเรียนบทเรียนแต่ละกรอบได้ผลมากน้อยเพียงไร โดยการประเมินหลังเรียน

ข้อดีและข้อจ ากัด
ข้อด ี
1. ส่งเสริมให้ผู้เรียนศึกษาเรียนรู้ได้ด้วยตนเองตามความสามารถและความสนใจ
2. ตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล
3. ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมหรือทบทวนความรู้ได้ด้วยตนเอง
4. ลดภาระการสอน ท าให้ครูมีเวลาพบเด็กเป็นรายบุคคล
5. แก้ปัญหาการขาดแคลนครู หรือครูไม่ครบชั้นเรียน
ข้อจ ากัด



1. กรณทบทเรียนสาเร็จรูปมีคณภาพไม่ดพอ เชน กิจกรรมไม่น่าสนใจ ข้อมูลหรือ


ี่

เนื้อหาสาระผดจากข้อเทจจริง สอไม่ทนสมัยไม่ดงดดใจผเรียนการวัดประเมินผลไม่ครอบคลุมหรือ


ื่
ู้



16







ใช้วิธีการไม่ถูกต้อง สื่อไม่ทันสมัยไม่ดึงดูดใจผู้เรียน การวัดประเมินผลไม่ครอบคลมหรือใชวิธีการไม่
ถูกต้อง อาจท าให้ผู้เรียนเบื่อหน่ายได ้



2. การสร้างบทเรียนแบบส าเร็จรูปจ าเป็นต้องใชเวลาในการจดทามากพอสมควรและตอง

อาศัยความรู้ความสามารถของผู้เชี่ยวชาญ
3. ผู้เรียนที่อ่านหนังสือไม่ออกจะเป็นอุปสรรคต่อวิธีสอนแบบส าเร็จรูป

17






การเรียนรู้
โดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI)




คอมพิวเตอร์ชวยสอน มาจากคาว่า CAI (Computer Assisted Instruction) หมายถึง



ี่
วิถีทางของการสอนรายบุคคลโดยอาศยความสามารถของเครื่องคอมพิวเตอร์ทจะจดหาประสบการณ ทมี
ี่




ี่


ี่
ความสมพันธ์กันมีการแสดงเนื้อหาตามลาดบทตางกันดวย บทเรียนโปรแกรมทเตรียมไว้อย่าง
เหมาะสม คอมพิวเตอร์ช่วยสอน จึงเป็นเครื่องมือช่วยสอนอย่างหนึ่งที่ผู้เรียนด้วยตนเองเป็นผู้ที่จะตอง


ี่
ปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ทสงมาทางจอภาพผเรียนจะตอบคาถาม ทางแปูนพิมพ์ แสดงออกมาจากทาง
ู้





จอภาพ มีทั้งรูปภาพและตัวหนังสือหรือบางทีอาจใช้ร่วมกันกับ อุปกรณอย่างอื่นดวย เชน สไลด เทป
วีดีทัศน์ เป็นต้น

ประเภทของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน

ี่

คอมพิวเตอร์ชวยสอนทใชกันในปัจจบันนี้มีอยู่มากมายหลายรูปแบบนักวิชาการและ



นักการศึกษาทั้งในและต่างประเทศไดจดแบงลกษณะของคอมพิวเตอร์ชวยสอนออกเปนประเภทตางๆ





คล้ายคลึงกัน พอจะสรุปได้ดังนี้
ี่
1. บทเรียน (Tutorial) เปนโปรแกรมทสร้างขึ้นมาในลกษณะของบทเรียน โปรแกรมท ี่





เสนอเนื้อหาความรู้เป็นสวนย่อยๆ เป็นการเรียนแบบการสอนของครู คอ จะมี บทน า คาอธิบาย ซึ่ง

ประกอบดวยตวทฤษฎี กฎเกณฑ์ คาอธิบาย และแนวคดทจะสอนในรูปแบบของข้อความ ภาพและ



ี่





ี่
ู้
เสยงหรือทกแบบรวมกัน หลงจากทผเรียนไดศกษาแลวก็จะมีค าถามเพื่อใชในการตรวจสอบ ความ




เข้าใจของผู้เรียน มีการแสดงผลย้อนกลบตลอดจนมีการเสริมแรงสามารถให้ผเรียนย้อนกลบไปเรียน
ู้
ี่
ู้




บทเรียนเดมหรือข้ามบทเรียนทผเรียนรู้แลวไปได นอกจากนี้ยังสามารถบันทกผลว่าผเรียนทาได ้

ู้
เพียงไร อย่างไร เพื่อให้ครูผู้สอนมีข้อมูลในการเสริมความรู้ให้กับผู้เรียนบางคนได ้





2. ฝกทกษะและปฏิบัต (Drill and Practice) สวนใหญ่จะใชเสริมการสอน เมื่อครูหรือ


ผสอนไดสอนบทเรียนบางอย่างไปแลว และให้ผเรียนทาแบบฝกหัดจากคอมพิวเตอร์เป็นการวัด


ู้
ู้
ี้
ี่



ความเข้าใจ ทบทวนและช่วยเพิ่มพูนความรู้ความช านาญ ลักษณะแบบฝกหัดทนิยมกันมาก คอ การจบคชว่า
ู่




ถูก – ผิด และเลือกข้อถูกจาก 3 – 5 ตัวเลอก การใชไมโครคอมพิวเตอร์เพื่อฝกทกษะตาง ๆ จะเป็นวิธีท ี่

มีประสิทธิภาพมาก หากโปรแกรมที่ใช้มีประสิทธิภาพดี โปรแกรมในด้านการฝึกทักษะและปฏบัตไมได ้


ช่วยผเรียนเฉพาะในดานความจาเพียงดานเดยวแตยังชวยผเรียนให้รู้จกคดดวย เพราะคอมพิวเตอร์
ู้



ู้






มักจะเป็นฝุายปูอนค าถามให้ผู้เรียนเป็นฝุายตอบอยู่เสมอ
ิ่

3. จาลองแบบ (Simulation) ในบางบทเรียนการสร้างภาพพจน์เป็นสงสาคญและเป็น



สงจาเป็น การทดลองทางห้องปฏิบัตการในการเรียนการสอนจงมีความสาคญ แตในหลายๆ วิชาไม่




ิ่



สามารถทดลองให้เห็นจริงได้ เช่น การเคลอนทของลกปืนใหญ่ การเดนทางของแสง และการหักเหของ
ื่
ี่


ี่


ื่

คลื่นแม่เหลกไฟฟูาหรือปรากฏการณทางเคมีทตองใชเวลานานหลายวันของคลนแม่เหลกไฟฟูาหรือ


ปรากฏการณ์ทางเคมีที่ต้องใช้เวลานานจึงปรากฏผลให้เห็นการใชคอมพิวเตอร์ชวยจาลองแบบ ทาให้


18








ื่

เข้าใจบทเรียนไดง่ายขึ้น เชน การสอน เรื่อง โปรเจคไตล คลนแม่เหลกไฟฟูาเราสามารถสร้าง
การจ าลองเป็นรูปภาพด้วยคอมพิวเตอร์ทาให้ผเรียนเหนจริงและเขาใจไดง่าย การจาลองแบบบางเรื่อง
ู้















ชวยลดคาใชจายในเรื่องวัสดอุปกรณทางห้องปฏิบัตการไดมาก การจาลองแบบอาจจะชวยย่น
ระยะเวลาและลดอันตรายได ้
4. เกมทางการศกษา (Educational Game) เกมการศกษาหลายๆ เรื่อง ชวยพัฒนาความคด












อ่านตาง ๆ ไดด เชน เกมเตมคา เกมการคดแก้ปัญหา เกมการคดแก้ปัญหา เป็นการเรียนรู้จาก


การเล่นช่วยให้นักเรียนได้รับความรู้และความสนุกสนานเพลดเพลนไปพร้อมๆ กันเปูาหมายหลกของ


ู้




เกมการศกษาคอชวยให้ผเรียนไดเรียนรู้เป็นสาคญสาหรับในสวนทมีลกษณะเหมือนเกมทวๆ ไป คอ



ั่


ี่
เรื่องของการแข่งขัน แต่ก็เป็นการน าเกมไปสู่การเรียนนั่นเอง
ี่
ู้

ี่

5. การสาธิต (Demonstration) เป็นวิธีการสอนทดวิธีหนึ่งทครูผสอน มักน ามาใช โดยเฉพาะ
อย่างยิ่ง ในการสอนสาธิตวิชาวิทยาศาสตร์และคณตศาสตร์ การสอนดวยวิธีนี้ครูจะเป็นผแสดงให้

ู้

ผู้เรียนดู เช่น แสดงขั้นตอนเกี่ยวกับทฤษฎีหรือวิธีการทางวิทยาศาสตร์และคณตศาสตร์ การสาธิตโดย

ใช้คอมพิวเตอร์ก็มีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่การใช้คอมพิวเตอร์นั้นน่าสนใจกว่า เพราะว่า
คอมพิวเตอร์ให้ทั้งเส้นกราฟที่สวยงาม อีกทั้งมีสีและเสียงอีกด้วย ครูสามารถน าคอมพิวเตอร์มาใชเพื่อ

สาธิตเกี่ยวกับการโคจรของดาวพระเคราะห์ในระบบสุริยะ โครงสร้างของอะตอม เป็นต้น

6. การทดสอบ (Testing) การใชคอมพิวเตอร์ชวยสอนมักจะตองการทดสอบเป็น





ู้


การวัดผลสมฤทธิ์ของผเรียนไปดวย โดยผทาจะตองคานึงถึงหลกการตาง ๆ คอ การสร้างข้อสอบ การจด

ู้



การสอบ การตรวจให้คะแนน การวัดวิเคราะห์ข้อสอบเป็นรายข้อ การสร้างคลังข้อสอบ และการจดให้

ผู้สอบสุ่มเลือกข้อสอบเองได ้

7. การไตถาม (Inquiry) คอมพิวเตอร์ชวยสอนนั้น สามารถใชในการคนหาข้อเทจจริง




ความคดรวบยอด หรือข่าวสารทเป็นประโยชน์ในแบบให้ข้อมูลข่าวสารคอมพิวเตอร์ชวยสอน


ี่

ู้





ี่

คอมพิวเตอร์ชวยสอนจะมีแหลงเก็บข้อมูลทมีประโยชน์ซึ่งสามารถแสดงไดทนทเมื่อผเรียนตองการดวย


ี่
ู้



ระบบง่ายๆ ทผเรียนสามารถทาได เพียงแตกดหมายเลข หรือใสรหัส หรือตวย่อของแหลงข้อมูลนั้นๆ

การใส่รหัสหรือหมายเลข จะท าให้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนแสดงข้อมูล ซึ่งจะตอบคาถามของผเรียนตาม
ู้

ต้องการ
8. การแก้ปัญหา (Problem Solving) คอมพิวเตอร์ชวยสอนประเภทนี้เน้นให้ฝก การคด




ู้

การตัดสินใจ โดยการก าหนดเกณฑ์ให้ผเรียนพิจารณาน าไปตามเกณฑ์มีการให้คะแนนแตละข้อ เชน
ในวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ผู้เรียนจ าเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจและมีความสามารถในแก้ปัญหา
ี่
9. แบบรวมวิธีตาง ๆ เข้าดวยกัน (Combination) เป็นคอมพิวเตอร์ชวยสอนทใช




การประยุกต์เอาวิธีการหลายแบบเข้ารวมกันตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ

19





ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน




นับตั้งแต่ไดมีการน าคอมพิวเตอร์มาใชในการจดการศกษาหรือเพื่อการเรียนการสอนไดมี







การศกษา คนคว้า และวิจยเกี่ยวกับการน าคอมพิวเตอร์มาใชในการจดการศกษา หรือจดการเรียน


การสอนมากมาย พบว่า คอมพิวเตอร์ช่วยสอนนั้นมีประโยชน์ต่อผู้เรียนมากมาย พอสรุปได ดังนี้
1. ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถได้ตามเอกัตภาพ
2. ผู้เรียนมีโอกาสเรียนซ้ าได้หลายครั้งเท่าที่ต้องการ
3. ผู้เรียนมีโอกาสโต้ตอบกับคอมพิวเตอร์ และสามารถควบคุมวิธีการเรียนเองได ้

4. มีภาพ มีภาพเคลื่อนไหว มีส และเสียง ที่ท าให้ผู้เรียนไม่เบื่อหน่ายในเนื้อหาที่เรียน

ู้
ู้



5. ตวผเรียนเป็นศนย์กลางการเรียนรู้ ความแตกตางของผเรียนไม่มีผลตอการเรียนรู้ดงเชน


วิธีการอื่น

6. ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนไปตามขั้นตอนได้ เรียนจากง่ายไปหายาก หรือเลอกเรียนใน

หัวข้อที่ตนเองสนใจก่อนไดคิดอย่างมีเหตุผล เพราะต้องแก้ปัญหาตลอดเวลา

ลักษณะของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน

ี่
คอมพิวเตอร์ช่วยสอนเป็นการเรียนการสอนแบบรายบุคคลประเภทหนึ่งทน าเอาหลกการ

ของบทเรียนโปรแกรม (Programmed Instruction) ของ สกินเนอร์ (Skinner) และเครื่องชวยสอน

ของ เพรสซี่ (Plessey) มาผสมผสานกันโดยมีจดมุ่งหมายทจะตอบสนอง ในเรื่องความแตกต่าง
ี่

ื่
ระหว่างบุคคลของผเรียนวัตถุประสงคทางการศกษาเป็นรายบุคคลโดยใชคอมพิวเตอร์เป็นสอแทน

ู้


สงพิมพ์ทาให้บทเรียนมีความสมบูรณยิ่งขึ้นเพราะคอมพิวเตอร์สามารถแก้ไข ข้อบกพร่องของบทเรียน
ิ่




โปรแกรมได เชน ความเร็วในการเสนอเนื้อหา การซ่อนคาตอบการเสริมแรง เป็นตน ซึ่งมีลกษณะ


การเรียนที่เป็นขั้นตอน
1. ขั้นน าเข้าสบทเรียน จะเริ่มตงแตการทกทายผเรียน บอกวิธีการเรียนและบอกจดประสงค ์
ู้

ู่


ั้
ู้


ี่
ของการเรียน เพื่อทจะให้ผเรียนไดทราบว่าเมื่อเรียนจบบทเรียนนี้แลวเขาจะสามารถทาอะไรไดบ้าง


ื่


คอมพิวเตอร์ช่วยสอนสามารถเสนอวิธีการในรูปแบบที่น่าสนใจได้ ไม่ว่าจะเป็นลกษณะภาพเคลอนไหว เสยง
หรือผสมผสานหลาย ๆ อย่างเข้าด้วยกัน เพื่อเร้าความสนใจของผู้เรียน ให้มุ่งความสนใจเข้าสบทเรียน
ู่
บางโปรแกรมอาจจะมีแบบทดสอบวัดความพร้อมของผเรียนก่อน หรือมีรายการ (Menu) เพื่อให้
ู้
ผู้เรียนเลือกเรียนได้ตามความสนใจ และผู้เรียนสามารถจัดล าดับการเรียนก่อนหลังได้ด้วยตนเอง

2. ขั้นการสอนเนื้อหา เมื่อผู้เรียนเลือกเรียนในเรื่องใดแล้วคอมพิวเตอร์ชวยสอนก็จะเสนอ


ี่
เนื้อหานั้นออกมาเป็นกรอบ (Frame) ในรูปแบบทเป็น ตวอักษร ภาพ เสยง ภาพกราฟฟิกส และ


ภาพเคลื่อนไหวเพื่อเร้าความสนใจในการเรียน และสร้างความเข้าใจในความคดรวบยอดตางๆ แตละ



ู้

กรอบ หรือเสนอเนื้อหาเรียงล าดับไปทีละอย่างทีประเดนโดยเริ่มจากง่ายไปหายาก ผเรียนจะควบคม

ี่
ี่

ความเร็วในการเรียนด้วยตนเองเพื่อทจะให้ไดเรียนรู้ไดมากทสด ตามความสามารถ และมีการชแนะ
ี้

หรือการจัดเนื้อหาส าหรับการช่วยเหลือผู้เรียนให้เกิดการเรียนที่ดีขึ้น
ี่
ู้
3. ขั้นค าถามและค าตอบ หลังจากเสนอเนื้อหาของบทเรียนไปแล้ว เพื่อทจะวัดผเรียนว่ามี
ความรู้ความเข้าใจเนื้อหาทเรียนผานมาแลวเพียงใดก็จะมีการทบทวนโดยการให้ทาแบบฝกหัด และ
ี่






ช่วยเพิ่มพูนความรู้ ความชานาญ เชนให้ทาแบบฝกหัดชนิดคาถาม แบบเลอกตอบ แบบถูกผด แบบ





20





ู้



จับคู่ และแบบเติมค า เป็นต้น ซึ่งคอมพิวเตอร์ชวยสอนสามารถเสนอแบบฝกหัดแก่ผเรียนไดน่าสนใจ

ู้


มากกว่าแบบทดสอบธรรมดาและผเรียนตอบคาถามผานทางแปูนพิมพ์หรือเมาส นอกจากนี้
คอมพิวเตอร์ช่วยสอนยังสามารถจับเวลาในการตอบค าถามของผู้เรียนได้ด้วยถ้าผู้เรียนไม่สามารถตอบ
ค าถามได้ในเวลาที่ก าหนดไว้ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนก็จะเสนอความช่วยเหลือให้
ู้





4. ขั้นการตรวจคาตอบ เมื่อระบบคอมพิวเตอร์ชวยสอนไดรับคาตอบจากผเรียนแลว


คอมพิวเตอร์ช่วยสอนก็จะตรวจค าตอบและแจ้งผลให้ผู้เรียนได้ทราบ การแจงผลอาจแจงเป็นข้อความ



กราฟฟิกสหรือเสยงผเรียนตอบถูกก็จะไดรับการเสริมแรง (Reinforcement) เชน การให้คาชมเชย

ู้



เสียงเพลง หรือให้ภาพกราฟิกสวย ๆ และถ้าผู้เรียนตอบผดคอมพิวเตอร์ชวยสอนก็จะบอกใบ้ให้หรือ


ู่


ให้การชวยเสริมเนื้อหาแลวให้ค าถามนั้นใหม่ เมื่อตอบไดถูกตอง จงก้าวไปสหัวเรื่องใหม่ต่อไป ซึ่ง

จะหมุนเวียนเป็นวงจรอยู่จนกว่าจะหมดบทเรียนในหน่วยนั้นๆ


5. ขั้นของการปิดบทเรียน เมื่อผู้เรียนเรียนจนจบบทเรียนแลวคอมพิวเตอร์ชวยสอนจะทา


การประเมินผลของผู้เรียนโดยการท าแบบทดสอบซึ่งจุดเด่นของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน คอ สามารถสม
ุ่

ข้อสอบออกมาจากคลังข้อสอบที่ได้สร้างเก็บไว้และเสนอให้ผู้เรียนแต่ละคนโดยที่ไม่เหมือนกันจงทาให้



ผู้เรียนไม่สามารถจดจ าค าตอบจากการที่ท าในครั้งแรกๆ นั้นไดหรือแบบไม่รู้คาตอบนั้นมาก่อนเอามา


ู้
ใชประโยชน์ เมื่อทาแบบทดสอบนั้นเสร็จแลว ผเรียนจะไดรับทราบคะแนนการทาแบบทดสอบของ



ั้
ั้
ี่
ตนเองว่าผานตามเกณฑ์ทไดก าหนดไว้ตงแตแรกไม่รวมทงคอมพิวเตอร์ชวยสอนจะบอกเวลาทใชใน




ี่

การเรียนในหน่วยนั้น ๆ ได้ด้วย เป็นต้น



แนวคดของนักวิจยและพัฒนา ในการสร้างและพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ชวยสอนนั้น

ต้องคานึงถึงในการสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน และลักษณะของการพัฒนาบทเรียน
คอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่ดีไว้ 12 ประการ ดังนี้
1. สร้างขึ้นตามจดประสงคของการสอนเพื่อทจะให้ผเรียนไดเรียนจากบทเรียนนั้น ไดมี

ู้



ี่

ั้

ู้
ความรู้และทักษะตลอดจนทัศนคติที่ผู้สอนไดตงไว้และผเรียนสามารถประเมินผลดวยตนเองว่าบรรล ุ
จุดประสงค์ในแต่ละข้อหรือไม่



ี่
2. บทเรียนทดควรเหมาะสมกับลกษณะของผเรียน การสร้างบทเรียนจะตองคานึงถึง
ู้

ู้


ผเรียนเป็นสาคญว่าผเรียนมีความรู้ความสามารถพื้นฐานอยู่ในระดบใด ไม่ควรทจะยากหรือง่าย
ู้
ี่

จนเกินไป
ี่


3. บทเรียนทดควรมีปฏสมพันธ์กับผเรียนให้มากทสด เพราะการเรียนจากคอมพิวเตอร์
ี่
ู้


ช่วยสอน ควรมีประสิทธิภาพมากกว่าเรียนจากหนังสือ เพราะสามารถสื่อสารกับผู้เรียนได้ 2 ทาง

4. บทเรียนทดควรจะมีลกษณะเปนการสอนรายบคคล ผเรียนสามารถทจะเลอกเรียนใน
ี่
ู้


ี่


หัวข้อที่ตนเองมีความสนใจและต้องการที่จะเรียนและสามารถทจะข้ามบทเรียนทตนเองเข้าใจแลวได้
ี่
ี่

แต่ถ้าเรียนบทเรียนที่ตนเองยังไม่เข้าใจก็สามารถเรียนซ่อมเสริมจากข้อแนะน าของคอมพิวเตอร์ชวย

สอนได ้

ู้

ี่

5. บทเรียนทดควรคานึงถึงความสนใจของผเรียน ควรมีลกษณะเร้าความสนใจผเรียนได ้
ู้
ตลอดเวลา เพราะจะท าให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นในการเรียนอยู่เสมอ

ู้

6. บทเรียนทดควรสร้างความรู้สกในทางบวกกับผเรียน ควรทาให้ผเรียนเกิดความรู้สก


ี่
ู้
เพลิดเพลิน เกิดก าลังใจและควรที่จะหลีกเลี่ยงการลงโทษ

21







7. ควรจดท าบทเรียนให้สามารถแสดงผลย้อนกลบไปยังผเรียนให้มากๆ โดยเฉพาะอย่าง
ู้
ยิ่งการแสดงผลย้อนกลับในทางบวก ซึ่งจะสามารถท าให้ผู้เรียนชอบและไม่เบื่อหน่าย

8. บทเรียนท่ดีความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทางการเรียนการสอน บทเรียน





ควรปรับเปล่ยนให้ง่ายต่อกล่มผ้เรียน เหมาะกับการจัดตารางเวลาเรียน สถานท่ติดต้งเครื่อง

มีความเหมาะสมควรคานึงถึงการใส่เสียงระดับเสียงหรือดนตรีประกอบ ควรให้เป็นท่ดึงดูดใจ

ผู้เรียนด้วย


9. บทเรียนท่ดีควรมีวิธีการประเมินผลการปฏิบัติงานของผ้เรียนอย่างเหมาะสม


ี่
ี่

ี่


ี่
ควรหลกเลยงคาถามทง่ายและตรงเกินไป ควรหลกเลยงคาหรือข้อความในคาถามทไร้ความหมาย

การเฉลยคาตอบควรให้แจ่มแจ้งไม่คลุมเครือและไม่ควรให้เกิดความสับสน

ี่
10. บทเรียนควรกับคอมพิวเตอร์ทจะเป็นแหลงทรัพยากรทางการเรียนอย่างชาญฉลาด

ไม่ควรเสนอบทเรียนในรูปอักษรอย่างเดียวหรือเรื่องราวท่พิมพ์เป็นอักษรโดยตลอด ควรใช ้


สมรรถนะของเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างเตมท เชน การเสนอดวยภาพ ภาพเคลอนไหว ผสมตวอักษร

ี่
ื่


ี่



หรือให้มีเสยงหรือแสงเน้นทสาคญ หรือวลตางๆ เพื่อขยายความคดของผเรียนให้กว้างไกลมากขึ้น
ู้


ผู้ที่สร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนควรตระหนักในสมรรถนะของเครื่องคอมพิวเตอร์ทมีอยู่ตลอด
ี่
ี่


ิ่
ี่
ข้อจ ากัดต่างๆ ของคอมพิวเตอร์ดวย เพื่อทจะหลกเลยงความสญเสยบางสงบางอย่างของสมรรถนะ




ของเครื่องคอมพิวเตอร์ไป เชน ภาพเคลอนไหวปรากฏชาเกินไปการแบ่งสวนย่อยๆ ของโปรแกรม
ื่

มีขนาดใหญ่เกินไป ท าให้ไม่สะดวกต่อการใช ้

11. บทเรียนที่ดีต้องอยู่บนพื้นฐานของการออกแบบการสอนคลาย ๆ กับการผลตสอชนิด
ื่

ู้
ี่
อื่นๆ การออกแบบบทเรียนทดย่อมจะสามารถเร้าความสนใจของผเรียนไดมาก การออกแบบ


บทเรียนย่อมประกอบด้วยการต้งวัตถุประสงค์ของบทเรียน การจัดลาดับขั้นตอนของการสอน


การส ารวจทักษะที่จ าเป็นต่อผู้เรียน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้ จึงควรจัดล าดับขั้นตอนการสอนให้ดี
มีการวัดผลและการแสดงผลย้อนกลับให้ผู้เรียนได้ทราบ มีแบบฝึกหัดพอเพียง และให้มีการประเมินผล
ขั้นสุดท้ายเป็นต้น

ู้

ี่
12. บทเรียนทดควรมีการประเมินผลทกแง่ทกมุม เชน การประเมินคณภาพของผเรียน



ประสิทธิภาพของบทเรียน ความสวยงามความตรงประเด็น และตรงกับทัศนคติของผู้เรียน เป็นต้น

22






การจัดการเรียนรู้ โดยใช้ชุดการสอน



ความหมาย


ื่


การจดการเรียนรู้โดยใชชดการสอน เป็นกระบวนการเรียนรู้จากชดการสอนเป็นสอ
ี่
ื่
ั้

การสอนชนิดหนึ่งทเป็นลกษณะของสอประสม ( Multi-media) เป็นการใชสอตงแตสองชนิดขึ้นไป

ื่

ี่




ู้
ร่วมกันเพื่อให้ผเรียนไดรับความรู้ทตองการ โดยอาจจดขึ้นสาหรับหน่วยการเรียนตามหัวข้อเนื้อหา


ู้

ี่


และประสบการณของแตละหน่วยทตองการจะให้ผเรียนไดเรียนรู้ อาจจดเอาไว้เป็นชดๆ ในการทา


ื่

ี่

กิจกรรม วัสดุอุปกรณ เอกสาร/ใบความรู้ เครื่องมือหรือสอทจาเป็นสาหรับกิจกรรมตางๆ รวมทง ั้


แบบวัดประเมินผลการเรียนรู้

วัตถุประสงค์
1. เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าและแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง
2. เพื่อฝึกให้ผู้เรียนรับผิดชอบการท ากิจกรรมตามความสนใจ ความถนัดและความสนใจ
ของตนเอง
3. เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักท างานร่วมกับผู้อื่น

องค์ประกอบของชุดการสอน
ชุดการเรียนการสอนมีองค์ประกอบส าคัญ 4 ประการได้แก่
ู่

ู่


1. คมือการใชชดการสอน เป็นคมือหรือแผนการสอนสาหรับผสอนใชศกษาและปฏิบัต ิ
ู้






ตามขั้นตอนตางๆ ซึ่งมีรายละเอียดชแจงไว้อย่างชดเจน เชน การน าบทเรียน การจดชนเรียน
ั้
ี้
บทบาทผู้เรียน เป็นต้น ลักษณะของคู่มืออาจจัดท าเป็นเล่มหรือแผ่นพับก็ได ้
ี่

ู้
2. บัตรค าสั่งหรือบัตรงาน เป็นเอกสารทบอกให้ผเรียนประกอบกิจกรรมแตละอย่างตาม
ุ่

ขั้นตอนที่ก าหนดไว้ บรรจุอยู่ในชุดการสอน บัตรค าสั่งหรือบัตรงานจะมีครบจานวนกลมหรือจานวน

ู้

ั่
ี่


ู้
ผเรียน ซึ่งจะประกอบดวย คาอธิบายในเรื่องทจะศกษาคาสงให้ผเรียนประกอบกิจกรรมและ


การสรุปบทเรียน การจดท าบัตรค าสงหรือบัตรงาน สวนใหญ่นิยมใชกระดาษแข็งขนาด 68 นิ้ว

ั่


ื่

3. เนื้อหาสาระและสอการเรียนประเภทตาง ๆ จดไว้ในรูปของสอการสอนทหลากหลาย
ี่
ื่
อาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภทดังนี้
- ประเภทเอกสารสิ่งพิมพ์ เช่น หนังสือ วารสาร บทความ ใบความรู้ (Fact Sheet)
ของเนื้อหาเฉพาะเรื่อง บทเรียนส าเร็จรูป เป็นต้น

- ประเภทโสตทศนูปกรณ เชน รูปภาพ แผนภาพ แผนภูมิ สมุดภาพ เทปบันทกเสยง









เทปโทรทศน์ สไลด (Slide) วีดทศน์ (Video) ซีดรอม (CD-Rom) สาเร็จรูปคอมพิวเตอร์ชวยสอน


(CAI) เป็นต้น
4. แบบประเมินผล เป็นแบบทดสอบชนิดจับคู่เลือกตอบหรือกาเครื่องหมายก็ได ้

23





ประเภทชุดการสอน
ชุดการสอนที่ใช้กันอยู่ แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ คือ
1. ชุดการสอนประกอบค าบรรยายของครู

เป็นชุดการสอนส าหรับผู้เรียนกลุ่มใหญ่ หรือเป็นการสอนที่มุ่งเน้นการปูพื้นฐานทกคน



รับรู้และเข้าใจในเวลาเดยวกัน มุ่งในการขยายเนื้อหาสาระให้ชดเจนยิ่งขึ้น ชดการสอนแบบนี้
ี่

ู้
ื่
ลดเวลาในการอธิบายของผสอนให้พูดน้อยลง เพิ่มเวลาให้ผเรียนไดปฏิบัตมากขึ้น โดยใชสอทมีอยู่
ู้






ิ่

ู้
ื่

พร้อมในชดการสอน ในการน าเสนอเนื้อหาตางๆ สงสาคญคอสอทน ามาใชจะตองให้ผเรียนไดเห็น

ี่

ชัดเจนทุกคนและมีโอกาสได้ใช้ครบทุกคนหรือทุกกลุ่ม
2. ชุดการสอนแบบกลุ่มกิจกรรม หรือชุดการสอนส าหรับการเรียนเป็นกลุ่มย่อย
ุ่

ู้
ุ่
เป็นชุดการสอนส าหรับให้ผเรียนเรียนร่วมกันเปนกลมย่อย ประมาณกลมละ 4 - 8 คน
โดยใช้สื่อการสอนต่าง ๆ ที่บรรจุไว้ในชุดการสอนแต่ละชุด มุ่งที่จะฝึกทักษะในเนื้อหาวิชาทเรียน โดยให้
ี่


ผู้เรียนมีโอกาสท างานร่วมกัน ชุดการสอนชนิดนี้มักใชในการสอนแบบกิจกรรมกล่ม เช่น การสอน
ุ่
แบบศูนย์การเรียน การสอนกิจกรรมกลม เชน การสอนแบบศนย์การเรียน การสอนแบบกลม
ุ่


สัมพันธ์ เป็นต้น
3. ชุดการสอนรายบุคคลหรือชุดการสอนตามเอกัตภาพ

ู้


เป็นชดการสอนสาหรับเรียนดวยตนเองเป็นรายบุคคล คอผเรียนจะตองศกษาหา





ความรู้ตามความต้องการและความสนใจของตนเองอาจจะเรียนท่โรงเรียนหรือท่บ้านก็ได


จดประสงคหลก คอมุ่งให้ทาความเข้าใจกับเนื้อหาวิชาเพิ่มเตมผเรียนสามารถประเมินผลการเรียน


ู้




ด้วยตนเองได ชุดการสอนชนิดนี้ส่วนใหญ่จัดลักษณะของหน่วยการสอนย่อย เช่น ชุดวิชาต่างๆ ของ
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

ขั้นตอนในการผลิตชุดการสอน
การผลิตชุดการสอนมีขั้นตอนดังนี้




1. ก าหนดเรื่องเพื่อทาชดการสอน อาจก าหนดตามเรื่องในหลกสตรก าหนดเรื่องใหม่




ขึ้นมาก็ได การจัดแบ่งเรื่องย่อยจะขึ้นอยู่กับลกษณะของเนื้อหาและลกษณะการใชชดการสอนนั้นๆ

การแบ่งเนื้อเรื่องเพื่อท าชุดการสอนในแต่ละระดับย่อมไม่เหมือนกัน
2. ก าหนดหมวดหมู่เนื้อหาและประสบการณ ์ อาจก าหนดเป็นหมวดวิชาหรือบูรณาการ
แบบสหวิทยาการได้ตามความเหมาะสม


3. จัดเป็นหน่วยการสอน จะแบ่งเป็นกี่หน่วยหนึ่งๆ จะใชเวลานานเทาใดนั้น ควรพิจารณาให้
เหมาะสมกับวัยและระดับชั้นผู้เรียน

4. ก าหนดหัวเรื่อง จัดแบ่งหน่วยการสอนเป็นหัวข้อย่อยๆ เพื่อสะดวกแก่การเรียนรู้แตละ
หน่วยควรประกอบด้วยหัวข้อย่อย หรือประสบการณ์ในการเรียนรู้ ประมาณ 4 - 6 ข้อ
5. ก าหนดความคดรวบยอดหรือหลกการ ตองก าหนดให้ชดเจนว่าจะให้ผเรียนเกิดความคด
ู้






รวบยอดหรือสามารถสรุปหลักการ แนวคิดอะไร ถ้าผ้สอนเองยังไม่ชัดเจนจะให้ผ้เรียนเกิด




การเรียนรู้อะไรบ้าง การก าหนดกรอบความคิด หรือหลกการก็จะไม่ชดเจน ซึ่งจะรวมไปถึงการจด
กิจกรรม เนื้อหาสาระ สื่อและส่วนประกอบอื่นก็ไม่ชัดเจนตามไปด้วย

24












6. ก าหนดจดประสงคการสอน หมายถึงจดประสงคทวไปและจดประสงคเชงพฤตกรรม

ั่
รวมทั้งการก าหนดเกณฑ์การตัดสินผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ไว้ให้ชัดเจน





7. ก าหนดกิจกรรมการเรียน ตองก าหนดให้สอดคลองกับวัตถุประสงค เชงพฤตกรรมซึ่ง
ี่
ู้
จะเป็นแนวทางในการเลือกและผลิตสื่อการสอน กิจกรรมการเรียนหมายถึงกิจกรรมทุกอย่างทผเรียน




ั่
ปฏิบัต เชน การอ่าน การทากิจกรรมตามบัตรคาสงการตอบคาถาม การเขียนภาพการทดลอง

การเล่นเกม การแสดงความคิดเห็น การทดลองเป็นต้น

8. ก าหนดแบบประเมินผล ตองออกแบบประเมินผลให้ตรงกับวัตถุประสงคเชงพฤตกรรม




ี่
ี่
โดยใชการสอบแบบอิงเกณฑ์ (การวัดผลทยึดเกณฑ์หรือเงื่อนไขทก าหนดไว้ในจดประสงค โดยไม่มี


ู้
การน าไปเปรียบเทียบกับคนอื่น) เพื่อให้ผู้สอนทราบว่าหลังจากผ่านกิจกรรมมาเรียนร้อยแลว ผเรียน

ได้เปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้มากน้อยเพียงใด

ั้
ี่
ู้
ื่
ิ้
9. เลือกและผลิตสื่อการสอน วัสดุอุปกรณ์และวิธีการทผสอนใชถือเป็นสอการสอนทงสน
เมื่อผลิตสื่อการสอนในแต่ละหัวเรื่องเรียบร้อยแล้ว ควรจัดสื่อการสอนเหล่านั้นแยกออกเป็นหมวดหมู่

ในกล่อง/แฟูมที่เตรียมไว้ ก่อนน าไปหาประสิทธิภาพ เพื่อหาความตรง ความเที่ยงก่อนน าไปใช เ รา
เรียกสื่อการสอนแบบนี้ว่า ชุดการสอน
โดยปกตรูปแบบของชดการสอนทดควรมีขนาดมาตรฐานเพื่อความสะดวกในการใชและ




ี่



ความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการเก็บรักษา โดยพิจารณาในดานตางๆ เชน การใชประโยชน์

ความประหยัด ความคงทนถาวร ความน่าสนใจ ความทันสมัยทันเหตุการณ ความสวยงาม เป็นต้น

10. สร้างข้อทดสอบก่อนและหลังเรียนพร้อมทั้งเฉลย การสร้างข้อสอบ เพื่อทดสอบก่อน

และหลงเรียนควรสร้างให้ครอบคลมเนื้อหาและกิจกรรมทก าหนดให้เกิดการเรียนรู้ โดยพิจารณาจาก

ี่

จุดประสงค์การเรียนรู้เป็นส าคัญ ข้อสอบไม่ควรมากเกินไปแต่เน้นกรอบความรู้ส าคญในประเดนหลก




มากกว่ารายละเอียดปลีกย่อย หรือถาม เพื่อความจาเพียงอย่างเดยว และเมื่อสร้างเสร็จแลวควรทา


เฉลยให้พร้อมก่อนส่งไปหาประสิทธิภาพของชุดการสอน




11. หาประสทธิภาพของชดการสอน เมื่อสร้างชดการสอนเสร็จเรียบร้อยแลวตองน า



ชุดการสอนนั้น ๆ ไปทดสอบโดยวิธีการต่าง ๆ ก่อนน าไปใชจริง เชน ทดลองใชเพื่อปรับปรุงแก้ไขให้

ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความถูกต้อง ความครอบคลุมและความตรงของเนื้อหา เป็นต้น

การใช้ชุดการสอน
ชุดการสอนรายบุคคลหรือชุดการสอนตามเอกัตภาพ
การใช้ชุดการสอนรายบุคคลหรือชุดการสอนตามเอกัตภาพ ควรด าเนินการดังนี้
1. ผู้สอนควรแนะน าหรือชี้แจงภาพรวมของชุดการสอน เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้เรียนได ้
ื่
เข้าใจ เชน ลกษณะการจดการเรียนรู้ สวนประกอบทสาคญ แนะน าการใชบัตรคาสง การใชสอ




ี่





ั่
ต่าง ๆ เป็นต้น
2. ให้ผู้เรียนศึกษาด้วยตนเองจากบัตรค าสั่งและด าเนินตามกิจกรรมของบัตรค าสั่ง จนครบ

กระบวนการโดยมีการประเมินตนเองทั้งก่อนและหลังการใช ชุดการสอน
ชุดการสอนแบบกลุ่มกิจกรรมหรือชุดการสอนส าหรับการเรียนเป็นกลุ่มย่อย

25











โดยปกตชดการสอนชนิดนี้มักจะใชในการสอนแบบศนย์การเรียน ดงนั้นการใช
ชุดการสอนควรด าเนินการดังนี้
1. แนะน าหรือชี้แจงการใช้ชุดการสอนเพื่อเป็นแนวทางให้ผู้เรียนเข้าใจวิธีใช ้
2. แบ่งกลุ่มย่อยผู้เรียนตามจ านวนชุดการสอน
ู้


ี่
ั่

3. ให้ผเรียนทากิจกรรมตามบัตรคาสงทอยู่ในชดการสอนโดยเริ่มตนพร้อมๆ กันภายใน

ชุดการสอนจะก าหนดค าสั่ง กิจกรรม การประเมิน ภายในกรอบเวลาที่ก าหนด

ี่

4. เมื่อผู้เรียนกลุ่มใดประกอบกิจกรรมเสร็จตามเวลาทก าหนดแลว ให้สลบหมุนเวียนกับ
กลุ่มอื่น ๆ ในกรณีที่ยังสลับกลุ่มไม่ได้ให้ปฏิบัติกิจกรรมในศูนย์การเรียนรู้ส ารอง
ชุดการสอนประกอบค าบรรยายของผู้สอน
การใช้ชุดการสอนประกอบค าบรรยายของครู ควรด าเนินการ ดังนี้
1. ผู้สอนต้องท าความเข้าใจอย่างดีกับบัตรค าสั่ง เนื้อหา สื่อ ใบงานและกิจกรรม
ื่
ู้
2. ผสอนตองเตรียมวัสดอุปกรณหรือสอในการน าเสนอหรือการสาธิต โดยฝกให้




เกิดทักษะก่อนน าไปปฏิบัติจริง



3. ผสอนตองประเมินการใชชดการสอนเพื่อเป็นข้อมูลสาหรับการปรับปรุงในโอกาส

ู้
ต่อไป

ขั้นตอนการใช้ชุดการสอน
การใช้ชุดการสอนจะใช้ตามประเภทจุดประสงค์ที่ท าขั้นสอนโดยสรุปดังนี้
1. ขั้นทดสอบก่อนเรียนให้ผู้เรียนได้ทดสอบก่อนเรียน
ู้


เพื่อพิจารณาพื้นความรู้เดมของผเรียน อาจใชเวลาประมาณ 10-15 นาท และ

ควรเฉลยผลการทดสอบให้ผู้เรียนแต่ละคนทราบพื้นฐานความรู้ของตน
2. ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน
เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้
3. ขั้นประกอบกิจกรรมการเรียน

ู้
ี้

ู้
ผสอนจะตองชแจงหรืออธิบายให้ผเรียนเข้าใจอย่างละเอียดทกขั้นตอนก่อนลงมือ
ปฏิบัติกิจกรรม
4. ขั้นสรุปบทเรียน


ู้
ผู้สอนน าสรุปบทเรียนซึ่งอาจทาไดโดยการถามหรือให้ผเรียนสรุปความเข้าใจทไดจาก
ี่

การเรียนรู้ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้เรียนมีความคิดรวบยอดตามหลักการที่ก าหนด
5. ประเมินผลการเรียน


โดยการทาข้อสอบหลงเรียนเพื่อประเมินดว่าผเรียนบรรลตามจดประสงคหรือไม่
ู้




เพื่อได้ปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องของผู้เรียนในกรณีที่ยังไม่ผ่านจุดประสงค์ที่ก าหนดข้อใดข้อหนึ่ง

26





ข้อดีและข้อจ ากัด
ข้อด ี

ู้

1. สงเสริมการเรียนเป็นรายบุคคล โดยผเรียนสามารถเรียนไดตามความสามารถ
ความสนใจ ตามเวลาและโอกาสที่เหมาะสมของแต่ละบุคคล


ู้
2. แก้ปัญหาการขาดแคลนครูผสอน เพราะชดการสอนชวยให้ผเรียนสามารถเรียน
ู้
ได้ด้วยตนเอง และต้องการความช่วยเหลือของครูผู้สอนไม่มากนัก






3. สงเสริมการจดการศกษานอกโรงเรียนและการจดการศกษาตลอดชวิต เพราะ
ผู้เรียนสามารถน าชุดการสอนไปเรียนรู้ได้ในทุกสถานที่และทุกเวลาไม่จ ากัดชั้นเรียน


ู้

4. สร้างความมั่นใจและชวยลดภาระของผสอน เพราะการผลตชดการสอนเตรียมไว้
ู้
ครบจ านวนหน่วยการเรียนรู้ และจัดไว้เป็นหมวดหมู่ท าให้ผเรียนสามารถน าไปใช้ได้ทันท ี


ู้

5. ผเรียนสามารถแสวงหาความรู้ไดดวยตนเอง มีโอกาสฝกการตดสนใจและ


การท างานร่วมกับกลุ่ม
6. ช่วยให้ผู้เรียนจ านวนมากได้รับความรู้แนวเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อจ ากัด


1. การออกแบบและการผลตชดการสอนตองอาศยผเชยวชาญทางดานเนื้อหา
ู้


ี่

ด้านเทคโนโลยี ด้านการศึกษา ด้านศิลปะการท างานร่วมกัน


ั้
2. ผู้สอนต้องเป็นกัลยาณมิตร รวมทงมีความกระตอรือร้น สนใจใฝรู้วิทยาการใหม่ๆ
อยู่เสมอ

ื่
3. ต้องใช้เวลาพอสมควรในการเตรียมชดการสอนพร้อมสออุปกรณให้ครบ


27







การจัดการเรียนรู้ โดยใชกระบวนการกลุ่ม


ความหมาย
ู้
ี่
ุ่

การจัดการเรียนรู้โดยกระบวนการกลม เป็นกระบวนการเรียนรู้ทผเรียนไดรับความรู้จาก



การลงมือร่วมกันปฏิบัติเป็นกลม กลมจะมีอิทธิพลตอการเรียนรู้ของสมาชกแตละคน และสมาชกแต ่
ุ่
ุ่

ละคนในกลุ่มก็มีอิทธิพลและปฏิสัมพันธ์ต่อกันและกัน

วัตถุประสงค์
ุ่

1. เพื่อเปิดโอกาสให้ผเรียนเขาร่วมกิจกรรมกลมและมีบทบาทในการเรียนจะชวยใหผเรียน
ู้

ู้

มีความพร้อม มีความกระตือรือร้น และมีความสุขในการเรียน

2. เพื่อพัฒนาผ้เรียนทางด้านวิชาการและทักษะทางสังคม เช่น ทักษะมนุษยสัมพันธ์
ทักษะกระบวนการกลุ่ม เป็นต้น
3. เพื่อเตรียมผู้เรียนให้สามารถด ารงชีวิตในสังคมประชาธิปไตยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

องค์ประกอบส าคัญ
การจัดการเรียนรู้โดยกระบวนการกลุ่มมีองค์ประกอบส าคัญ ดังนี้
1. เนื้อหาหรือประสบการณ์
2. กิจกรรมที่ใช้ในกระบวนการกลุ่ม
3. ผลการเรียนรู้จากกลุ่ม


หลักการจัดการเรียนรู้โดยกระบวนการกลุ่ม มีดังนี้

1. เป็นวิธีการท่ฝึกผ้เรียนเป็นศูนย์กลางทางการเรียนรู้ โดยให้ผ้เรียนทุกคนมีโอกาส


เข้าร่วมกิจกรรมมากที่สุด
2. ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากกลุ่มมากที่สุด
3. ให้ผู้เรียนค้นพบและสร้างสรรค์ความรู้ด้วยตนเอง





ู้
4. ให้ความสาคญของกระบวนการเรียนรู้ ผสอนจะตองให้ความสาคญของกระบวนการตางๆ

ในการแสวงหาค าตอบ

ขั้นตอนการจัดการเรียนร ู้
การจัดการเรียนรู้โดยกระบวนการกลุ่ม มีขั้นตอน ดังนี้
1. ขั้นตั้งจุดมุ่งหมายของการจัดการเรียนรู้ ก่อนที่จะจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้สอนจะต้อง
ตั้งจุดมุ่งหมายของการเรียนรู้


2. ขั้นการจดประสบการณการเรียนรู้ โดยเน้นให้ผเรียนลงมือปฏิบัตกิจกรรมดวยตนเอง


ู้
และท างานกลุ่ม ซึ่งมีขั้นตอน ดังนี้

28





2.1 ขั้นน า เป็นการสร้างบรรยากาศและสมาธิของผู้เรียนให้มีความพร้อมในการเรียนการสอน

การจัดสถานที่ การแบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มย่อย แนะน าวิธีด าเนินการสอน กติกาหรือกฎเกณฑ์การทางาน
ระยะเวลาในการท างาน




2.2 ขั้นสอน เป็นขั้นท่ผ้สอนลงมือสอน ให้ผ้เรียนลงมือปฏิบัติกิจกรรมเป็นกล่มๆ

เพื่อให้เกิดประสบการณ์ตรง โดยทกิจกรรมตาง ๆ จะตองคดเลอกให้เหมาะสมกับเนื้อเรื่องในบทเรียน


ี่




เชน กิจกรรมเกมและเพลง บทบาทสมมต สถานการณจ าลอง การอภิปรายกลุ่ม เป็นต้น

2.3 ขั้นวิเคราะห์ เมื่อดาเนินการจดประสบการณ์การเรียนรู้แลว จะตองให้ผเรียน



ู้
วิเคราะห์และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมต่าง ๆ ความสัมพันธ์ในกล่ม ตลอดจน


ี่
ความร่วมมือในการทางานร่วมกัน โดยวิเคราะห์ประสบการณ์ทไดรับจากความรู้สกและการรับรู้ของ


ผู้เรียน แสดงข้อคิดทไดจากการท างานกลมให้คนอื่นไดรบรู เป็นการถ่ายทอดประสบการณ์การเรียนรู้

ี่



ุ่
ู้
ู้

ของกันและกัน ขั้นวิเคราะห์จะชวยให้ผเรียนเข้าใจตนเอง เข้าใจผอื่น มองเห็นปัญหาและวิธีการ

ทางานทเหมาะสม เพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงการทางาน เป็นการถ่ายโอนประสบการณ


ี่

ี่




ู้
การเรียนรู้ทด จะชวยให้ผเรียนสามารถพบแนวคดทตองการดวยตนเองเปนการขยายประสบการณ

ี่

การเรียนรู้ให้ถูกต้องเหมาะสม

ู้
2.4 ขั้นสรุปและน าหลกการไปประยุกตใช ผเรียนสรุปรวบรวมความคดให้เป็นหมวดหมู่




โดยผสอนกระตนให้แนวทางและหาข้อสรุป จากนั้นน าข้อสรุปทคนพบจากเนื้อหาวิชาทเรียนไปประยุกตใช ้
ี่

ู้
ี่
ุ้

ให้เข้ากับตนเองและน าหลักการที่ได้ไปใช้เพื่อปรับปรุงตนเอง ประยุกต์ใช้ให้เข้ากับคนอื่นประยุกต์ใชเพื่อ






ี่
แก้ปัญหา สร้างสรรค์สงทเกิดประโยชน์ตอสงคม ชมชนและการด ารงชวิตประจาวัน เชน การปรับปรุง
ิ่
บุคลิกภาพ เกิดความเห็นอกเห็นใจกัน เคารพสิทธิของคนอื่น แก้ปัญหา ประดิษฐ์สิ่งใหม่ เป็นต้น
3. ขั้นประเมินผล


ู้
เป็นการประเมินผลว่า ผเรียนบรรลผลตามจดมุ่งหมายมากน้อยเพียงใด โดยจะประเมิน


ทงดานเนื้อหาวิชาและดานกลมสมพันธ์ ไดแก่ ประเมินดานมนุษยสมพันธ์ ผลสมฤทธิ์ของกลม เชน




ั้


ุ่
ุ่




ผลการทางาน ความสามัคค คณธรรม หรือคานิยมของกลม ประเมินความสมพันธ์ในกลมจากการให้
ุ่
ุ่


ู้
สมาชกตชม หรือวิจารณ์แก่กันโดยปราศจากอคต จะทาให้ผเรียนสามารถประเมินตนเองได และผสอน


ู้


เข้าใจผเรียนได อันจะทาให้ผเรียนผสอนเข้าใจปัญหาซึ่งกันและกัน ซึ่งจะเป็นหนทางในการน าไป
ู้


ู้
ู้
พิจารณาแก้ปัญหาและจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้แก่ผเรียน
ู้

กิจกรรมการเรียนรู้โดยที่ใช้กระบวนการกลุ่ม
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยกระบวนการกลุ่มมีหลายวิธี เช่น
1. เกม เป็นกิจกรรมการเล่นง่าย ๆ ที่มีกฎ กติกาไม่ยุ่งยากสลบซับซ้อน การเลนเกมจะทาให้








เดกเกิดความสนุกสนานมีแรงจงใจและมีความสขในการเรียนไดด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยเดกเลก







ู้
ี่

วิธีการเลนเกมจะชวยให้ผเรียนไดวิเคราะห์ความรู้สกนึกคดตาง ๆ เพื่อไปสการตดสนใจทด เพราะ
ู่



ผลของการตัดสินใจจะท าให้เกิดการแพ้ ชนะ ตัวอย่างเช่น เกมลูกเต๋า เกมเศษส่วน เป็นต้น

2. บทบาทสมมต วิธีนี้จะมีการก าหนดบทบาทของผเลน ตามสถานการณทสมมุตขึ้นแลวให้


ู้

ี่



ผ้เรียนเข้าสวมบทบาทนั้นโดยผ้เรียนจะต้องแสดงตามบทบาทท่ได้รับตามประสบการณ์และ



ู้
ความรู้สกนึกคดของตนเอง วิธีนี้จะชวยใหผเรียนเกิดจนตนาการและความคดสร้างสรรคไดด ผเรียนมี




ู้




29







โอกาสศึกษาวิเคราะห์ความรู้สึกและพฤติกรรมของตนเองอย่างลกซึ้ง ชวยสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ให้
น่าสนใจและน่าติดตาม




3. กรณตวอย่าง เป็นวิธีหนึ่งท่ใช้กรณีหรือเรื่องราวท่เกิดขึ้นจริง ๆ มาดัดแปลงและให้

เป็นตัวอย่างให้ผู้เรียนได้ศึกษาวิเคราะห์ อภิปราย เพื่อสร้างความเข้าใจ และฝกให้การหาทางแก้ปัญหานั้น

ี่



ั้
วิธีการนี้ท าให้ผู้เรียนมีโอกาสแลกเปลี่ยนข้อมูล รวมทงการน าเอากรณตาง ๆ ทคลายคลงกับชวิตจริงมา





ใช จะชวยให้การเรียนรู้ใกลความเป็นจริง ซึ่งทาให้การเรียนรู้มีความหมายยิ่งขึ้น กรณตวอย่างหรือ


เรื่องราวที่ศึกษาต้องมีลักษณะ ดังนี้
3.1 เป็นเรื่องจริง
3.2 เป็นเรื่องที่ช่วยพัฒนาความรู้ความเข้าใจและมีโอกาสฝึกทักษะ
3.3 เป็นเรื่องที่ท าให้เกิดความก้าวหน้าหรือความเปลี่ยนแปลงให้ตัวผู้เรียน


3.4 มีการวิเคราะห์กรณ (Case analysis) การวิเคราะห์เป็นหัวใจสาคญของ




การศกษากรณีตวอย่าง ซึ่งการวิเคราะห์ควรคานึงถึงความเป็นจริงให้มากทสด มีระบบการแนะแนว

ี่
ให้กับผู้เรียน ยืดหยุ่นได้และมีการสรุป
3.5 มีการอภิปรายกรณี (Case discussion)
3.6 มีการสร้างสถานการณ์ที่เหมือนจริง



4. การอภิปรายกล่ม เป็นการสนทนาแลกเปล่ยนความคิดเห็นหรือหัวข้อท่กล่มสนใจ


ู้
ร่วมกัน อภิปรายกลมแตละกลมอาจมีสมาชกประมาณ 6-12 คน โดยมีผน ากลมคนหนึ่งมีหน้าทเป็น
ี่
ุ่
ุ่
ุ่


ี่
ผดาเนินการอภิปราย สมาชกในกลมมีสวนร่วมอย่างเป็นอิสระและเป็นธรรมชาตในการแลกเปลยน


ุ่
ู้

ุ่
ความคิดเห็นตลอดจนสมาชิกในกลุ่มมีความเข้าใจในจดมุ่งหมายของกลมร่วมกัน สรุปปญหาของกลมได ้


ุ่
ตรงประเด็น การอภิปรายมีหลายชนิด ซึ่งผสอนต้องเลือกตามความเหมาะสม
ู้

บทบาทของผู้สอน
ี่

ู้

1. มีความเป็นกันเอง มีความเห็นอกเห็นใจผเรียน สร้างบรรยากาศทดตอการเรียนสนใจ
ให้ก าลังใจ สนทนา ไถ่ถาม
2. ผู้สอนพูดน้อยและจะเป็นเพียงผู้ประสานงานแนะน าช่วยเหลือเมื่อผู้เรียนต้องการเท่านั้น
3. ผู้สอนไม่ชี้น าหรือโน้มน้าวความคิดของผู้เรียน

ู้
ุ้


4. สนับสนุน ให้ก าลงใจ กระตนให้ผเรียนเกิดความกระตอรือร้นในการทางาน แสดงออก
อย่างอิสระและแสดงออกซึ่งความสามารถของผู้เรียนแต่ละคน
5. สนับสนุนให้ผเรียนสามารถวิเคราะห์ สรุปผลการเรียนรู้และประเมินผลการท างาน
ู้
ให้เป็นไปตามจุดหมายที่วางไว้

บทบาทของผู้เรียน
1. เป็นผู้ลงมือท ากิจกรรม พยายามค้นหาและแสวงหาความรู้ที่เรียนด้วยตนเอง
2. ให้ความช่วยเหลือกันและแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันในหมู่ผู้เรียน
3. แสดงความรู้สึก ความคิดเห็นอย่างอิสระ

30






ุ่

ี่



4. มีความรับผดชอบตอบทบาทหน้าทของตนเองในกลม เชน สร้างความสมพันธ์อันดกับคนอื่น


ในกลุ่ม การแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสม พยายามปรับปรุงบุคลกภาพเสมอ สร้างบรรยากาศทด ควบคม

ี่
การท างานของกลุ่ม
5. ท าความเข้าใจงานที่ได้รับมอบหมายและท างานร่วมกับกลุ่มได้ด ี

ขนาดของกลุ่ม
ขนาดของกลมจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับเนื้อหาวิชา จดมุ่งหมายของการเรียนการสอนและ

ุ่


ุ่
ตามความมาก – น้อย ยาก-ง่าย ของงานทผสอนมอบหมาย กิจกรรมบางประเภทอาจใชกลมขนาดเลก
ี่
ู้
ุ่
ู้


ุ่

แต่กิจกรรมบางประเภท อาจใชกลมขนาดใหญ่ ผสอนจงควรพิจารณาเองว่า กลมควรมีขนาดเทาใด
จึงจะเหมาะสมกับการเรียนแตละครั้ง โดยทั่วไปกลุ่มทใชในการจดการเรียนการสอนจะมีขนาด 6 – 8 คน


ี่


ลักษณะสมาชิกในกลุ่ม

ลักษณะของสมาชิกในกลุ่มมีอิทธิพลและมีความสาคญมากตอการทางานของกลมการแบ่งกลม

ุ่

ุ่




ี่
โดยทวไปจะมีลกษณะของคนหลากหลาย แตกตางกันไปเข้ามารวมกันเป็นกลมแตมีบางกรณทการแบ่งกลม

ุ่
ั่
ุ่
หากให้คนหลากหลายมารวมกัน อาจทาให้การเรียนการสอนไม่ประสบความสาเร็จเทาทควร เพราะฉะนั้น

ี่



ในการแบ่งกลมบางครั้งอาจไม่จ าเป็นตองใชคนหลากหลายมาคละกันไป การจะตัดสินใจว่ากล่มแต ่
ุ่




ุ่
ละกลุ่มควรประกอบด้วยใครบ้าง ผู้สอนอาจจะแบ่งกลมโดยคานึงถึงวัตถุประสงคเป็นสาคัญ อาทิเช่น


ี่


ู้

1. การแบ่งกลมตามเพศ ใชในกรณทผสอนมีวัตถุประสงคทชเฉพาะลงไป เชน ตองการ

ี่
ี้
ุ่



ู้


ส ารวจความแตกต่างระหว่างเพศหญิงและชายในดานตาง ๆ เชน ทศนคต คานิยมเป็นตน ผสอนอาจ


แบ่งกลุ่มแยกเพศชายและหญิงออกจากกันได ้


2. แบ่งกลมตามความสามารถ จะใช้กรณีท่ผ้สอนมีภาระงานมอบหมาย ให้แต่ละกล่ม
ุ่





แตกตางกันไปตามความสามารถ หรือต้องการศึกษาความแตกต่างในการทางานระหว่างกล่มท่มี
ความสามารถสูงและต่ า
3. แบ่งกลุ่มตามความถนัด โดยการแบ่งกลุ่มที่มีความถนัดเรื่องเดียวกันไว้ด้วยกัน
ุ่


ู้
4. แบ่งกลุ่มตามความสมัครใจ โดยให้สมาชกเลอกเขากลมกับคนทตนเองพอใจ ซึ่งผสอนทา
ี่


ได้แต่ไม่ควรบ่อยนักเพราะจะท าให้ผู้เรียนขาดประสบการณ์ในการท างานกับบุคคลที่หลากหลาย

5. แบ่งกลุ่มแบบเจาะจง ผู้สอนเจาะจงให้เด็กบางคนอยู่ในกลมเดยวกัน เชน ให้เดกเรียนเก่ง
ุ่


อยู่กับเด็กที่เรียนอ่อน เพื่อให้เด็กที่เรียนเก่งช่วยเด็กที่เรียนอ่อน หรือให้เด็กปรับตัวเข้าหากัน
6. แบ่งกลุ่มโดยการสุ่ม เป็นการไม่เจาะจงว่าให้ใครอยู่กับใคร



7. แบ่งกล่มตามประสบการณ์ คือการรวมกล่มโดยพิจารณาจากเด็กท่มีประสบการณ

คล้ายคลึงกันมาอยู่ด้วยกันเพื่อประโยชน์ในการช่วยกันวิเคราะห์หรือแก้ปัญหาหนึ่งโดยเฉพาะ
ุ่



ู้
นอกจากนี้ผสอนอาจพิจารณาแบ่งกลมโดยใชปัจจยอื่น ๆ มาเปนเกณฑ์ในการแบ่งไดตาม

ความเหมาะสม เช่น แบ่งตามอายุ เชื้อชาติ ศาสนา เป็นต้น (ส านักงานคณะกรรมการการประถมศกษา

แห่งชาติ, 2534)

31





เทคนิคในการแบ่งกลุ่ม
ี่


ุ่


ุ่
ู้

ุ่
การแบงกลมผเรียนให้เป็นกลมย่อย หากไม่มีความจาเปนทจะตองคานึงถึงขนาดของกลม
ุ่



ุ่
หรือลักษณะของสมาชิกในกลุ่ม ผู้สอนอาจใชวิธีอื่น ๆ ในการแบงกลมได วิธีการแบงกลมมีหลายวิธี ซึ่ง

ุ่
นอกจากจะท าให้สามารถแบ่งกลมไดแลว ยังเพิ่มความสนุกสนานความมีชีวิตชีวาให้กับผ้เรียนมาก



ยิ่งขึ้น ซึ่งเทคนิคในการแบ่งกลุ่มมีหลายวิธี เช่น
ุ่
1. การแบ่งกลมตามการนับหมายเลข เชน นับ 1, 2 ถ้านับ 1 ไปอยู่กลม 1 ถ้านับ 2 ก็ให้ไป
ุ่


อยู่กลม 2 ถ้าตองการ 5 กลม ก็ให้นับ 1–5 เปนตนซึ่งอาจดดแปลงการนับหมายเลขเป็นการจดกลม
ุ่

ุ่



ุ่

ุ่
ี้



เขาพวก เชน มะโรง มะเสง มะเมีย มะแม (ถ้าตองการแบงออกเปน 4 กลม)โปูง ช กลาง นาง ก้อย


(ถ้าต้องการแบ่งเป็น 5 กลุ่ม)
ุ่




2. แบ่งกลมโดยการจบสลาก โดยเขียนช่อเลขกล่มลงในสลาก ผ้เรียนจับได้เลขไหนให้
ไปอยู่กลุ่มนั้น หรืออาจใช้สลากเป็นชื่อสัตว์แล้วให้ผู้เรียนท าท่าสัตว์พร้อมกับเลยนเสียงร้องของสตว์นั้น


ๆ ผู้ที่จับสลากได้ไปรวมกลุ่มที่ร้องและท าท่าทางสัตว์นั้น ๆ ตัวอย่างเกมเสียงสัตว์ เป็นต้น

ู้


3. การแบ่งกลุ่มด้วยเกมและเพลง ผสอนอาจใชเพลงตาง ๆ โดยชวยกันร้องเพลงหรือผสอน
ู้


ู้
ุ่
ู้



ู้
อาจเปิดเพลงให้ผเรียนร าวงหรือเดนตามเสยงเพลง เมื่อผสอนตองการให้จบกลมกี่คน ผสอนจะลงทาย
เพลงตามเลขจ านวนนั้น เช่น

เพลง พายเรือ
พายเรือลอยล านาวา กุ้ง หอย ปู แหวกว่ายเวียนวน
ลอยเรือมาตามสายชล (ซ้ า) ให้คน…(6)…คน จับเข่าคุยกัน


4. การแบ่งกลมจากหลกคดคณตศาสตร์ ให้เดกมีพัฒนาการทางความคดดาคณตศาสตร์





ุ่



เช่น ออกค าสั่งว่า 3 + 3 หรือ 7 - 1, 2 คณ 3 หรือ 12 หาร 2, ไก่ 1 ตว กับแพะ 1 ตว รวมกันมีกี่

ขา, เสอ 1 ตว กับห่าน 1 ตว รวมกันมีกี่ขา เป็นตน ซึ่งปัญหาอาจจะไม่ตองยากนัก เพราะมี





วัตถุประสงค์ในการรวมกลุ่ม เป็นหลัก
5. การแบ่งกลุ่มโดยใช้อุปกรณ์เป็นสื่อ ท าบัตรค า หรือภาพที่เป็นพวกเดียวกัน เช่น
5.1 เครื่องใช้ในครัว ได้แก่ กระทะ ช้อน มีด เขียง จาน ครก เป็นต้น
5.2 สิ่งของที่อยู่ในทะเล เช่น ม้าน้ า ปลาหมึก หอย ปู กุ้ง เป็นต้น
5.3 สัตว์ปุา เช่น เสือ สิงโต กระทิง แรด กวาง ยีราฟ เป็นต้น
5.4 ต้นไม้ เช่น มะพร้าว ขนุน ตาล ยางพารา สัก เป็นต้น
5.5 ดอกไม้ เช่น ดอกกุหลาบ มะลิ ทานตะวัน พุทธรักษา เป็นต้น

หลักการวัดและประเมินผลการเรียนการสอนกระบวนกลุ่ม
ุ่
1. สังเกตจากการทางาน กระบวนการทางาน พฤตกรรมของสมาชกในกลมบทบาทผน า


ู้


ผู้ตาม ความคิดริเริ่มสร้างสรรค ์


ี่

2. ซักถามสมาชิกให้ทั่ว ถึงปัญหาทถามควรให้เดกไดมีโอกาสคดคนคาตอบและแก้ปัญหา


ร่วมกัน ผู้สอนฟังและสังเกตจากค าตอบของผู้เรียน

32





3. พิจารณาจากการเข้าร่วมท ากิจกรรมต่าง ๆ

4. ทดสอบข้อเขียน ควรมีบ้างแตผู้สอนไม่ควรให้ความส าคัญมาก
5. ผลงานของผู้เรียน ผู้สอนควรพิจารณาทั้งรายกลุ่มและรายบุคคล
ู้
6. ผู้เรียนมีโอกาสหรือมีส่วนร่วมในการวัดและประเมินผลด้วย ไม่ได้ประเมินผลจากผสอน
ฝุายเดียว
7. มีการประเมินผลทุกครั้งที่เรียน ซึ่งผู้เรียนไม่จ าเป็นต้องรู้ตัว


8. ถ้าเป็นงานกลุ่ม ผลส าเร็จและคะแนนของกลม คอ ผลสาเร็จและคะแนนของทกคนใน
ุ่

กลุ่มเท่ากัน
9. ผู้เรียนต้องรู้ผลการประเมินและวัดผลของตนเอง
10. ผู้เรียนมีโอกาสประเมินผู้สอนด้วย

ข้อดีและข้อจ ากัด

การจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการกลุ่มมีข้อดีและข้อจ ากัด ดังนี้
ข้อด ี
1. ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีทักษะการท างานร่วมกันและทักษะทางสังคม


2. ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ศกษา ค้นคว้า ค้นพบความรู้และสร้างสรรค์ความรู้ด้วยตนเอง
ข้อจ ากัด
1. เป็นวิธีการที่ใช้เวลาในการเรียนรู้ค่อนข้างมาก
2. ถ้าสมาชกในกลมขาดความเอาใจใสและความรับผดชอบ จะสงผลให้ผลงานกลม

ุ่

ุ่


และการเรียนรู้ไม่ประสบความส าเร็จ
3. เป็นวิธีการที่ผู้สอนจะต้องดูแล ช่วยเหลือ เอาใจใส่อย่างใกล้ชิดจะได้ผลด ี

33






การจัดการเรียนรู้แบบแสดงบทบาทสมมต ิ


ความหมาย


การจดการเรียนรู้แบบแสดงบทบาทสมมติ คือ กระบวนการท่ผ้สอนก าหนดหัวข้อเรื่อง


ู้

ปัญหาหรือสร้างสถานการณขึ้นมาให้คลายกับสภาพความเป็นจริง แลวให้ผเรียนสวมบทบาท หรือแสดง

บทบาทนั้นตามความรู้สึกและประสบการณ์ของผ้เรียนท่คิดว่าควรจะเป็นภายหลังของการแสดง


ั้



ู้

บทบาทสมมตจะตองมีการอภิปรายกับการแสดงออกทงดานความรู้และพฤตกรรมของผแสดง
เพื่อการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค ์

วัตถุประสงค์
1. เพื่อฝึกให้ผู้เรียนรับรู้และเข้าใจในความรู้สึกและพฤติกรรมทั้งของตนเองและผู้อื่น

2. เพื่อฝึกให้ผ้เรียนใช้ความรู้และทักษะในการแก้ปัญหาและตัดสินใจในการเผชิญ
สถานการณ์ต่าง ๆ


3. เพื่อให้ผู้เรียนปรับเปลยนเจตคต พฤตกรรมและการปฏิบัตตนในสงคมไดอย่างถูกตอง




ี่
เหมาะสม
4. เพื่อให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการเรียนรู้ มีโอกาสแสดงออกและได้เรียนอย่างสนุกสนาน

องค์ประกอบส าคัญ
องค์ประกอบส าคัญในการจัดการเรียนรู้แบบแสดงบทบาทสมมต ได้แก่

1. การก าหนดสถานการณ์สมมุติ หัวข้อเรื่องหรือปัญหา
2. การก าหนดบทบาทสมมตที่ต้องการพร้อมรายละเอียด

3. การแสดงบทบาทสมมต ิ
4. กติกาควบคุมการแสดงบทบาทสมมต ิ
5. การอภิปรายทเกี่ยวกับความรู้ ความรู้สึกและพฤตกรรมการแสดงบทบาทสมมต ิ
ี่

6. การสรุปผลการเรียนรู้

ขั้นตอนการจัดการเรียนร ู้
การจัดการเรียนรู้แบบแสดงบทบาทสมมต ประกอบด้วย 7 ขั้นตอน ดังต่อไปนี้

1. ขั้นเตรียมการ
ผู้สอนควรก าหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน สร้างสถานการณ์และก าหนดบทบาทสมมต ซึ่ง


บทบาทสมมตที่ใช้ประกอบการเรียนการสอนอยู่ในปัจจุบันนี้แยกออกเป็น 3 วิธี ดังนี้
1.1 การแสดงบทบาทสมมตแบบไม่มีบทเตรียมไว้ ซึ่งผู้แสดงไม่จ าเป็นต้องฝึกซ้อม

ก่อนทจะแสดง เมื่อเรียนถึงเรื่องใดตอนใดก็แสดงไดทนทโดยแสดงไปตามความรู้สกนึกคดของตนเอง
ี่





เช่น เป็นครู ทหาร หรือบุคคลส าคัญต่าง ๆ ในชุมชน เป็นต้น

34





ู้

1.2 การแสดงบทบาทสมมติแบบเตรียมบทไว้พร้อม ผสอนจะเตรียมบทไว้ลวงหน้า



บอกความคดรวบยอดและบทบาทให้ผ้แสดงทราบ ซึ่งผ้แสดงอาจแสดงตามบทท่ก าหนดบ้างหรือ

อาจคิดบทบาทขึ้นเองตามความคิดด ความพอใจของตนแต่ต้องตรงกับเนื้อหาที่ก าหนดให้

ู้

ู้

1.3 การแสดงบทบาทสมมตแบบแสดงละคร ผสอนก าหนดบทบาทไว้แลวผแสดงจะตอง
ฝึกซ้อมแสดงและพูดตามบทที่ผู้สอนก าหนดขึ้น
2. ขั้นเริ่มบทเรียน
ควรกระตุ้นความสนใจผู้เรียนให้คิดและอยากติดตามเรื่องราวต่าง ๆ ซึ่งอาจท าได้หลายวิธี เช่น
2.1 การเชื่อมโยงประสบการณ์ใกล้ตัวผู้เรียน
2.2 การเชื่อมโยงประสบการณ์ที่ผู้เรียนได้รับในอดีต
2.3 การเล่าเรื่องราวหรือสถานการณ์สมมุติที่เตรียมมาแล้วและทิ้งท้ายด้วยปัญหา
2.4 การชี้แจงให้เห็นประโยชน์จากการเข้าร่วมแสดงและร่วมกันคิดแก้ปัญหา
2.5 การใช้ค าถามน าซึ่งเป็นค าถามหลักในประเด็นที่ต้องการกระตุ้นให้เกิดการคิด

3. ขั้นเลือกผู้แสดง
ู้
การเลอกผแสดงขึ้นอยู่กับจดมุ่งหมายทตองการให้เกิดกับผเรียน และควรให้โอกาส

ู้


ี่


ู้
ผเรียนอาสาสมัครแสดงบทบาทดวยความเตมใจ เมื่อเลอกผแสดงครบถวนโดยวิธีการใดวิธีการหนึ่งแลว



ู้
ควรให้เวลาในการเตรียมการแสดงและการฝึกซ้อมพอสมควร เช่น
ู้
3.1 เลือกผแสดงทมีลกษณะเหมาะสมกับบทบาท เพื่อให้การแสดงเปนไปอย่างราบรื่น

ี่

ตามวัตถุประสงค ์
ี่
ู้

ู้

ี่
3.2 เลอกผแสดงทมีลกษณะตรงกับบทบาททก าหนดให้ เพื่อให้ผเรียนคนนั้นไดรับ

ประสบการณ์ใหม่ เกิดความเข้าใจในความรู้สึกและพฤติกรรมของผู้ที่มีลักษณะแตกต่างไปจากตน
ี่
3.3 เลือกผู้แสดงจากอาสาสมัครหรือความสมัครใจทผู้แสดงแต่ละคนสนใจ
3.4 เลอกผแสดงแบบจ าเพาะเจาะจง เพื่อให้บุคคลนั้นเกิดการเรียนรู้ไดข้อคด


ู้

จากบทบาทที่ได้รับ
4. ขั้นก าหนดตัวผู้สังเกตการณ์หรือผู้ชม




ผ้สอนควรซ้อมความเข้าใจกับผ้ชมหรือผ้สังเกตการณ์ว่า การแสดงบทบาทสมมต
ี่




ทจดขึ้นนี้มิไดมุ่งน าเสนอเพือความสนุกสนาน ความบันเทง แตทแทจริงแลวจุดประสงคที่ส าคญมุ่งให้





ี่

เกิดการเรียนรู้แก่ผู้แสดงและผู้ชมหรือผู้สังเกตการณ์ ดังนั้นผู้ชมควรสังเกตและมีแบบบันทึกการสงเกต

เพื่อสะดวกในการเก็บข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างครบถวน
5. ขั้นแสดง



การใชวัสดอุปกรณประกอบการแสดง ควรใชเศษวัสดโดยการใชซ้ า (Reuse) การหมุนเวียน





น ากลับมาใช้ใหม่ (Recycle) หรือซ่อมแซมใช้ เพื่อเป็นการประหยัดและปลุกจิตสานึกในการใชทรัพยากรท ี่





มีอยู่ให้เกิดประโยชน์คุ้มค่า จัดเป็นฉาก การแสดงให้ดสมจริงสมจง เมื่อทกฝายพร้อมแลวให้เริ่มการ
แสดงตามเวลาทก าหนด ผแสดงควรดแลก ากับการแสดงอย่างใกล้ชิด ไม่ควรให้ใช้เวลายืดยาวมาก
ี่
ู้



เกินไปหรือแสดงออกนอกเรื่องหรือวกวนไปมาจนผชมเกิดความร าคาญหรือความสบสนไม่สามารถจบ
ู้
ประเด็นตามที่ต้องการได ้

35





6. ขั้นวิเคราะห์และอภิปรายผลการแสดง

ี่
ู้


ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนส าคัญทชวยให้ผเรียนเกิดการเรียนรู้ตรงตามจดประสงคการเรียนรู้



เทคนิคท่จาเป็นคือการสัมภาษณ์ความรู้สึกของผ้แสดงและการจดบันทึก ต่อจากนั้นจึงสัมภาษณ ์
ู้

ผชม/ผสงเกตการณตาง ๆ จากข้อมูลทบันทกไว้ เพื่อน าข้อมูลเหลานั้นมาเป็นประเดนในการอภิปราย
ู้
ี่





สะท้อนความคิดเห็นและสรุปประเด็นส าคัญในการเรียนรู้

ผสอนตองระมัดระวงในการคุมประเด็นการอภิปราย โดยเน้นผร่วมอภิปรายทกคนให้


ู้
ู้

ตระหนักถึงวัตถุประสงคของการแสดงบทบาทสมมตว่า บทบาททผแสดงออกมานั้นเป็นเครื่องมือใน
ู้
ี่


การดงความรู้สกนึกคด การรับรู้ เจตคตหรืออคตตาง ๆ ทซ่อนอยู่ในสวนลกของผแสดงแตละคน


ี่






ู้
ออกมาเพื่อเปนข้อมูลในการเรียนรู้ ดงนั้นการอภิปรายจงควรมุ่งเน้นเฉพาะพฤตกรรมทผสวมบทบาท

ู้
ี่



ี่



ู้

แสดงออกมา ตลอดจนสะทอนความรู้สกของผสวมบทบาททแสดงตามบทบาทนั้น ๆ เชน มีพฤตกรรม
ี่


อะไรบ้างทน่าสนใจ ทาไมจงแสดงพฤตกรรมเชนนั้น พฤตกรรมนั้น ๆ จะก่อให้เกิดผลอะไรบ้าง เป็นตน







ประเดนส าคญ ผร่วมอภิปรายไม่ควรมุ่งประเดนไปวิจารณ์การแสดงรายบุคคล เชน แสดงไดด – ไม่



ู้

ดีเพียงไร เหมาะสมกับบทบาทหรือไม่ การแตงกายถูกตองเหมาะสมหรือไ ม่ รูปร่างหน้าตาดี –ไม่ด ี

เพียงไร ฯลฯ เพราะนอกจากจะทาให้ ผ้แสดงท่ต้งใจแสดงตามบทบาทท่ได้รับมอบหมาย





ถูกวิพากษ์วิจารณ์จนเสียความรู้สึกแล้วยังผิดวัตถุประสงค์ท่ต้องการ เรียกว่า อภิปรายไม่ตรง

ประเด็นนั่นเอง
7. ขั้นแลกเปลี่ยนประสบการณ์และสรุป



เมื่อได้วิเคราะห์และอภิปรายผลของการแสดงแลว ผสอนจะเปนผเร้าและจงใจผเรียนได ้
ู้
ู้
ู้




ี่

แลกเปลยนประสบการณตาง ๆ เพื่อให้เกิดแนวคดกว้างขวางขึ้น โดยให้ข้อคิดว่าส่งท่ได้เรียนรู้หรือ
พบเห็นมานั้น เป็นสิ่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องบนพื้นฐานความเป็นจริงในวิถีชวิตทงนั้นแลวให้ผเรียนชวยกัน
ั้

ู้


ก าหนดกรอบแนวคิดของเรื่อง สรุปประเด็นให้ตรงกับวัตถุประสงคของการแสดงที่ก าหนดไว้


ข้อเสนอแนะ

ข้อเสนอแนะในการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการเรียนรู้แบบการแสดงบทบาทสมมต มีดังนี้
1. บรรยากาศการเรียนรู้
1.1 ความสมัครใจของผู้แสดง โดยคัดเลือกจากอาสาสมัครมากกว่าการบังคับ


ู้
ู้
1.2 การแบ่งหน้าที่และความรับผดชอบเชน ผชม ผวิจารณ ผแสดง ผคมเวลา ผทาหน้าท ี่


ู้

ู้
ู้
สรุปผล เป็นต้น

1.3 การร่วมมือกันท างานเป็นทีม เช่น การตกแต่งฉาก เครื่องแตงกาย การเตรียมสถานที่
การช่วยกันซ้อมบทบาท เป็นต้น
ู้
1.4 การให้อิสระทางความคิด ผสอนเป็นผู้ให้ค าปรึกษาและผู้สนับสนุนการท างานของ
ผู้เรียน
2. ข้อตกลงเบื้องต้น

ื้
ู้
ผสอนควรสร้างข้อตกลงเบองตนหรือสร้างพันธะสญญา (Commitment ) ร่วมกันก่อน

เช่น 2.1 ชี้แจงจุดประสงค์ในการแสดงบทบาทสมมตและสิ่งที่ต้องการให้เกิดการเรียนรู้


36







2.2 ก าหนดกตกาตาง ๆ เชน ขอบเขตของการวิพากษ์วิจารณ์ ความสมจริงสมจัง

ของการแสดงในแต่ละบทบาทของผู้แสดง เป็นต้น
2.3 ก าหนดระยะเวลาของการทางานให้พอเหมาะ เชน การซ้อมบทบาท การเตรียม


การแสดงแต่ละบทบาท การสรุปประเด็น เป็นต้น
3. ประเมินผล
ผู้สอนควรประเมินผลจากการสังเกต ผลจากการสรุปข้อคดเห็นของผเรียน การสอบถาม ฯลฯ
ู้

ทุกครั้ง และน าผลการประเมินไปใช้เพื่อปรับปรุงในการแสดงครั้ง/ตอนต่อไป


ข้อดีและข้อจ ากัด


ข้อดีและข้อจ ากัดของการจัดการเรียนรู้แบบใชบทบาทสมมต มีดังนี้
ข้อด ี

1. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนอย่างสนุกสนาน สามารถเรียกไดว่าเป็น
เทคนิคการสอนแบบเล่นปนเรียน
2. เป็นลักษณะการจัดการเรียนรู้ที่มีความหมายส าหรับผู้เรียน
3. เป็นการเรียนรู้ที่มีสภาพใกล้เคียงกับความเป็นจริงมาก ผู้เรียนสามารถสัมผัสได ้

4. ชวยพัฒนาให้ผเรียนเกิดความเข้าใจในความคด ความรู้สกของผอื่นและสามารถ
ู้

ู้


เกิดการเปลี่ยนแปลงเจตคติและพฤติกรรมของผู้เรียนได ้
ข้อจ ากัด

ี่


1. เปนวิธีสอนทใชเวลามากพอสมควร ดงนั้น ผสอนจะตองวางแผนการใชเวลาไว้
ู้


ล่วงหน้าและควรก าหนดเวลาแบบยืดหยุ่นได ้
2. เป็นวิธีสอนที่มีขั้นตอนค่อนข้างมาก ผู้สอนต้องเตรียมการอย่างรัดกุม
3. ผู้สอนต้องมีประสาทสัมผัสที่ไวต่อการรับรู้ สามารถสงเกตและเข้าใจพฤตกรรมทง
ั้




ู้
ู้
ของผแสดงและผชมไดตลอดเวลา เพื่อน าข้อมูลเหลานั้นมาใชในการวิเคราะห์และอภิปรายผล

การแสดง


4. ผสอนตองมีความสามารถในการแก้ปัญหาหรือปรับสถานการณไดด ในกรณท ี่

ู้



ผเรียนไม่อาจแสดงให้เป็นไปตามความคาดหวังของผสอน หรือเกิดการตดขัดในการแสดงอย่าง
ู้
ู้
กระทันหัน

37






กิจกรรม

การสรุปขั้นตอนการจัดการเรียนรู้







ื่
ค าชี้แจง ขอให้ทานเขียนชอนวัตกรรม ขั้นตอนการจดการเรียนรู้ เพื่อจะไดน าไปใชแก้ปัญหา
การเรียนรู้ของนักเรียน ตามปัญหาที่พบในชั้นเรียนของตนเอง
……………………………………………………………………………………..........................................................…..
……………………………………………………………………………………..........................................................…..
……………………………………………………………………………………..........................................................…..

……………………………………………………………………………………..........................................................…..
……………………………………………………………………………………..........................................................…..
……………………………………………………………………………………..........................................................…..
……………………………………………………………………………………..........................................................…..

……………………………………………………………………………………..........................................................…..
……………………………………………………………………………………..........................................................…..
……………………………………………………………………………………..........................................................…..
……………………………………………………………………………………..........................................................…..

……………………………………………………………………………………..........................................................…..
……………………………………………………………………………………..........................................................…..
……………………………………………………………………………………..........................................................…..
……………………………………………………………………………………..........................................................…..

……………………………………………………………………………………..........................................................…..
……………………………………………………………………………………..........................................................…..
……………………………………………………………………………………..........................................................…..

……………………………………………………………………………………..........................................................…..
……………………………………………………………………………………..........................................................…..
……………………………………………………………………………………..........................................................…..
……………………………………………………………………………………..........................................................…..
……………………………………………………………………………………..........................................................…..

……………………………………………………………………………………..........................................................…..
……………………………………………………………………………………..........................................................…..
……………………………………………………………………………………..........................................................…..

……………………………………………………………………………………..........................................................…..
……………………………………………………………………………………..........................................................…..

38






แนวค าตอบกิจกรรม
การสรุปขั้นตอนการจัดการเรียนรู้



ชื่อนวัตกรรม การแก้ปัญหาการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ประโยชน์ของพืชสมุนไพร โดยใช้กิจกรรม

โครงงานวิทยาศาสตร์

ขั้นตอนการจัดการเรียนร ู้
การแก้ปัญหาการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ประโยชน์ของพืชสมุนไพร โดยใชกิจกรรมโครงงาน

วิทยาศาสตร์ประเภททดลองมีขั้นตอนส าคัญ ดังนี้


1. ตั้งค าถามเกี่ยวกับพืชสมุนไพร ว่าพืชสมุนไพรในทองถิ่นมีอะไรบ้าง และแตละชนิดมี
ประโยชน์อย่างไร พร้อมให้นักเรียนศึกษาค้นคว้า โดยมีครูผู้สอนกระตุ้นให้ผู้เรียนอยากรู้ อยากเห็น
2. แบ่งกลุ่มการเลือกหัวข้อเรื่องหรือปัญหาที่จะศึกษา
3. นักเรียนร่วมกันวางแผน/ออกแบบการทดลอง ประกอบดวย ก าหนดจดประสงค



การตั้งสมมุติฐาน การก าหนดวิธีการศึกษา
4. การลงมือปฏิบัตการทดลอง

5. การเขียนรายงาน
6. การน าเสนอผลงาน

39





บรรณานุกรม


กรมวิชาการ. (2545). วิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน. กรุงเทพฯ :
คุรุสภา.

. (2543). การวิจัยในชั้นเรียน. กรุงเทพฯ : การศาสนา.
ี่
ครุรักษ์ ภิรมย์รักษ์. (2544). เรียนรู้และฝึกปฏิบัติการวิจัยในชั้นเรียน. พิมพ์ครั้งท 4. ชลบุรี : งามช่าง.
ู้



ู้

สวิทย์ มูลคา และ อรทย มูลคา. (2545). 19 วธีจัดการเรยนร : เพื่อพัฒนาความรและทักษะ.


กรุงเทพฯ : ภาพพิมพ์.

ส านักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาต. (2534). คู่มือคร รูปแบบการฝึกทักษะ

การท างานกลุ่มส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 : ชุดกิจกรรมและฝึกทักษะ
กระบวนการกลุ่ม. กรุงเทพฯ : รุ่งศิลป์การพิมพ์.

40





คณะผู้จัดท า



ที่ปรึกษา
1. นายสุทิน แก้วพนา ผู้อ านวยการส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาล าปาง เขต 1
2. นายสมเกียรติ ปงจันตา รองผู้อ านวยการส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาล าปาง เขต 1
3. นางวรางคณา ไชยเรือน รองผู้อ านวยการส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาล าปาง เขต 1

4. นายเจริญชัย กิตติพีรเดช รองผู้อ านวยการส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาล าปาง เขต 1

5. นายสมคด ธรรมสิทธิ์ รองผู้อ านวยการส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาล าปาง เขต 1
6. นายประสิทธิ์ พรมศรี รองผู้อ านวยการส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาล าปาง เขต 1
7. นายประเสริฐ ศุภชาติไพบูลย์ ผู้อ านวยการกลุ่มนิเทศ ติดตาม และประเมินผลการจัดการศึกษา

ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาล าปาง เขต 1



ผู้เขียน และออกแบบปก
นายเอกฐสิทธิ์ กอบก า ศึกษานิเทศก์ช านาญการพิเศษ
ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาล าปาง เขต 1


Click to View FlipBook Version