คู่มอการนเทศ ก
ื
ิ
พัฒนาครูภาษาไทยเสริมศักยภาพ
นักเรียนอานออกเขยนได้
ี
่
โดยใช้กระบวนการนิเทศ
ี
ี
เอ พี ไอ ซ อ (APICE Model)
(Assessing Needs: A) : ศึกษาสภาพ และความต้องการ
(Planning : P) : การวางแผนการนิเทศ
(Informing: I) : การให้ความรู้ก่อนการนิเทศ
(Coaching : C) : การนิเทศแบบโค้ช
(Evaluating: E) : การประเมินผลการนิเทศ
ั
์
นางสาววิมล ปวนปนวงค
์
ิ
ศึกษานเทศกช านาญการ
ุ
่
ิ
กลมนเทศ ติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา
่
ั
ส านกงานเขตพื้นทีการศึกษาประถมศึกษาล าปางเขต 1
เอกสาร ศน. ล าดับที่ 14 /2562
ก
ค าน า
่
คู่มือการนิเทศ พฒนาครูภาษาไทยเสริมศักยภาพนักเรียนอานออกเขียนได้ โดยใช้กระบวนการนิเทศ
ั
ื่
เอ พ ไอ ซี อ (APICE Model) เล่มนี้จัดท าขึ้น เพอให้คณะกรรมการและอนุกรรมการ ก.ต.ป.น. ผู้บริหาร
ี
ี
สถานศึกษา ครูภาษาไทย หรือบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ใช้ส าหรับศึกษาแนวทางการนิเทศภายในสถานศึกษา และ
่
ั
ื่
เพอให้ศึกษานิเทศก์ใช้เป็นคู่มือในการนิเทศ ติดตามและประเมินผลการพฒนาการอานออกเขียนได้ส าหรับ
ื้
ื่
ครูผู้สอนภาษาไทยและสถานศึกษาในสังกัดส านักงานเขตพนที่การศึกษาประถมศึกษาล าปางเขต 1 เพอสนอง
จุดเน้นนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ
ผู้จัดท าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคู่มือการนิเทศเล่มนี้ จะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยในการน ากระบวนการ
ี
ี
่
ั
นิเทศ เอ พ ไอ ซี อ (APICE Model) ไปสู่การปฏิบัติในสถานศึกษา เพอพฒนาการอานออกเขียนได้ของ
ื่
นักเรียน ส าหรับครูภาษาไทยและสถานศึกษาให้เป็นระบบ และมีประสิทธิภาพ หากคู่มือการนิเทศนี้ได้ผลหรือ
มีความคิดเห็นประการใด โปรดให้ข้อเสนอแนะ ผู้จัดท าจะน าข้อมูลที่ได้ไปปรับปรุงคู่มือการนิเทศนี้ให้เกิด
ประสิทธิผลในการปฏิบัติการนิเทศต่อไป
วิมล ปวนปันวงค์
กลุ่มนิเทศ ติดตาม และประเมินผลการจัดการศึกษา
ึ
ส านักงานเขตพื้นที่การศกษาประถมศึกษาล าปางเขต 1
ข
สารบัญ
เรื่อง หน้า
ค าน า ก
สารบัญ ข
สารบัญภาพ ค
ส่วนที่ 1 บทน า
1.1 ที่มาและความส าคัญของปัญหา 1
1.2 วัตถุประสงค์ของการนิเทศ 3
1.3 เป้าหมายของการนิเทศ 3
ส่วนที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
2.1 ความหมายและความส าคัญของการนิเทศการศึกษา 4
2.2 หลักการนิเทศการศึกษา และกระบวนการนิเทศการศึกษา 7
2.3 การนิเทศแบบโค้ช (Coaching) 17
2.4 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย 21
2.5 การเรียนการสอนภาษาไทย 26
2.6 การอ่าน 28
2.7 การเขียน 32
ส่วนที่ 3 แนวทางการนิเทศ ติดตามเพอพัฒนาการอ่านออกเขียนได้
ื่
การนิเทศ ติดตามเพอพัฒนาการอ่านออกเขียนได้ 34
ื่
บรรณานุกรม 38
ภาคผนวก
แบบนิเทศ ติดตาม การพัฒนาการอ่านออกเขียนได้ 42
คณะผู้จัดท า 48
ค
สารบัญภาพ
เรื่อง หน้า
ึ
แผนภูมิภาพที่ 2.1 กระบวนการนิเทศการศกษา 11
แผนภูมิภาพที่ 2.2 กระบวนการ PDCA 14
1
ส่วนที่ 1
บทน า
1.1 ที่มาและความส าคัญของปัญหา
ั
ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติ เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอนก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพและ
เสริมสร้างบุคลิภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเพอสร้างความเข้าใจ
ื่
และความสัมพนธ์ที่ดีต่อกัน ท าให้สามารถประกอบกิจธุระ การงาน และการด ารงชีวิตร่วมกันในสังคม
ั
ประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์ จากแหล่งข้อมูล
ั
ื่
ั
สารสนเทศต่างๆ เพอพฒนาความรู้ พฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ ให้ทันต่อการ
เปลี่ยนแปลงทางสังคม และความกาวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนน าไปใช้ในการพัฒนาอาชีพให้
้
มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเป็นสื่อแสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษด้านวัฒนธรรม ประเพณี และ
สุนทรียภาพ เป็นสมบัติล้ าค่าควรแก่การเรียนรู้ อนุรักษ์ และสืบสานให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป
(กระทรวงศึกษาธิการ.2551)
ื่
กระทรวงศึกษาธิการให้ความส าคัญต่อการพฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาเพอน าพาประเทศ
ั
ั
สู่ความเจริญก้าวหน้า โดยให้มีการพฒนาหลักสูตรการจัดการเรียนรู้ และการวัดผลประเมินผล ส านัก
ื้
คณะกรรมการการศึกษาขั้นพนฐาน จึงมีนโยบายรองรับการขับเคลื่อนดังกล่าว โดยให้ความส าคัญต่อ
ื่
การเรียนรู้ของนักเรียนตั้งแต่เริ่มเรียน และก าหนดจุดเน้นเพอยกระดับคุณภาพการศึกษาด้านการอานออก
่
่
เขียนได้ คิดเลขเป็นของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ดังนี้ 1) อานและเขียนแม่ ก กา ที่ประสมด้วย
่
สระ อา อ อู เอ และแอ 2) อานและเขียนค าง่ายๆ ในแม่ ก กาที่ประสมด้วยสระเสียงยาว และมีรูปวรรณยุกต์
ี
และ 3) การบวก การลบจ านวนนับ 1-100
ในปีการศึกษา 2561 ส านักงานเขตพนที่การศึกษาประถมศึกษาล าปางเขต 1 มีผลการประเมิน
ื้
การอานการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ครั้งที่ 4 โดยใช้แบบทดสอบของส านักทดสอบทาง
่
การศึกษา สพฐ. เป็นเครื่องมือในการประเมิน เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2562 ที่ผ่านมา จ านวนนักเรียนปกติชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 1 ทั้งหมด 1,807 คน เข้าสอบ 1,796 คน ขาดสอบ 11 คน พบว่า ผลการประเมินการอาน
่
ออกเสียง อยู่ในระดับดีขึ้นไป จ านวน 1,638 คน คิดเป็นร้อยละ 94.46 ผลการประเมินการอานรู้เรื่อง อยู่ใน
่
ระดับดีขึ้นไป จ านวน 1,356 คน คิดเป็นร้อยละ 78.20 ผลการประเมินการเขียนค า อยู่ในระดับดีขึ้นไป จ านวน
1,288 คน คิดเป็นร้อยละ 74.28 และผลการประเมินการเขียนเรื่อง อยู่ในระดับดีขึ้นไป จ านวน 1,497 คน คิด
เป็นร้อยละ 86.33 นอกจากนี้จากการประเมินความสามารถด้านการอ่านของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปี
ที่ 1 โดยใช้แบบทดสอบของส านักทดสอบทางการศึกษา สพฐ. เป็นเครื่องมือในการประเมิน เมื่อวันที่ 12
กุมภาพนธ์ 2562 ที่ผ่านมา จ านวนนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ทั้งหมด 1,959 คน เป็นนักเรียนปกติ
ั
จ านวน 1,788 คน และนักเรียนที่มีความบกพร่องพเศษ จ านวน 171 คน เมื่อแบ่งนักเรียนปกติเข้าสอบตาม
ิ
ระดับคุณภาพ จัดกลุ่มได้ดังนี้ กลุ่มดีมาก 822 คน คิดเป็นร้อยละ 45.97 กลุ่มดี 556 คน คิดเป็นร้อยละ 31.09
กลุ่มพอใช้ 295 คน คิดเป็นร้อยละ 16.49 กลุ่มปรับปรุง 115 คน คิดเป็นร้อยละ 6.43 โดยผลการประเมนของ
ิ
2
ื้
โรงเรียนในสังกัดส านักงานเขตพนที่การศึกษาประถมศึกษาล าปางเขต 1 จ านวน 21 โรงเรียน จาก 4 อาเภอ
คิดเป็นร้อยละ 21.21 อยู่ในกลุ่มพอใช้และปรับปรุง (ส านักทดสอบทางการศึกษา.2562) ซึ่งโรงเรียนในกลุ่มนี้
จ าเป็นต้องได้รับการปรับปรุง แก้ไขและพัฒนาอย่างเร่งด่วน
ส านักงานเขตพนที่การศึกษาประถมศึกษาล าปางเขต 1 เห็นถึงปัญหาและตอบสนองจุดเน้นดังกล่าว
ื้
่
ั
ื่
จึงได้ก าหนดแผนการนิเทศพฒนาการอานออกเขียนได้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ขึ้น เพอเป็น
แนววทางในการด าเนินการพฒนาการอ่าน การเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และพฒนานวัตกรรม
ั
ั
เพื่อปัญหานักเรียนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทยสูงขึ้น
่
การน าการนิเทศแบบโค้ช (Coaching) มาเป็นขั้นตอนหนึ่งในการขับเคลื่อนพฒนาการอานออกเขียน
ั
ได้ โดยให้ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย มีความรู้ ความเข้าใจใน การ
ั
ด าเนินการพฒนาการอานออกเขียนได้ โดยผู้นิเทศต้องท าการนิเทศแบบกัลยาณมิตรซึ่งจะช่วยท าให้
่
กระบวนการนิเทศประสบผลส าเร็จได้จริง ผู้นิเทศที่มีลักษณะความเป็นกัลยาณมิตร คือ มีความเป็นมิตร
ึ่
ชวนให้เข้าไปหารือไต่ถาม ขอค าปรึกษา น่าเคารพ ท าให้ผู้รับการนิเทศเกิดความรู้สึกอบอนใจ เป็นที่พงได้
ุ่
น่ายกย่อง เป็นผู้มีความรู้และภูมิปัญญาแท้จริง รู้จักพูดให้ได้ผล รู้จักชี้แจงให้เข้าใจง่าย อดทนต่อถ้อยค า พร้อม
ที่จะรับฟังค าปรึกษา ค าเสนอแนะ และค าวิพากษ์วิจารณ์ สามารถอธิบายเรื่องที่ยุ่งยากและซับซ้อนให้เข้าใจได้
และให้เรียนรู้เรื่องราวที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปได้ การนิเทศแบบโค้ช จึงเป็นการชี้แนะ และให้ความช่วยเหลือ โดย
จุดประสงค์ของการนิเทศแบบโค้ช (Coaching) ประกอบด้วย การเปิดใจ การให้ใจ การร่วมใจ ตั้งใจสร้างสรรค์
คุณภาพ และเงื่อนไขที่ไม่เน้นปริมาณงาน แต่เน้นคุณภาพ เป็นลักษณะของความสัมพันธ์ทางใจเข้ามาเกี่ยวข้อง
โดยจะเป็นการให้ก าลังใจ ช่วยเหลือกันอย่างจริงใจ เพอให้งานด าเนินไปในทิศทางที่ถูกต้องตามความต้องการ
ื่
ของผู้นิเทศและผู้ได้รับการนิเทศร่วมกัน
ในการนิเทศ ติดตามการพัฒนาการอ่านออกเขียนได้ ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เพื่อให้
เกิดผลส าเร็จ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล จ าเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องด าเนินการตามล าดับขั้นตอนอย่าง
ต่อเนื่องกัน เช่น การน าวงจรคุณภาพที่นิยมเรียกกันว่า PDCA มาใช้เป็นกระบวนการนิเทศ ซึ่ง สมศักดิ์
สินธุระเวชญ์ (2542: 188) ได้กล่าวถึง จุดหมายที่แท้จริงของวรจรคุณภาพ (PDCA) ว่าเป็นกิจกรรมพนฐาน
ื้
ี
ในการบริหารคุณภาพนั่นมิใช่เพยงแค่การปรับแก้ผลลัพธ์ที่เบี่ยงเบนออกไปจากเกณฑ์มาตรฐานให้กลับมาอยู่
ื่
ในเกณฑ์ที่ต้องการเท่านั้น แต่เพอก่อให้เกิดการปรับปรุงในแต่ละรอบของ PDCA อย่างต่อเนื่องเป็นระบบและ
มีการวางแผน มี 4 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 การวางแผน (Plan-P) ขั้นที่ 2 การด าเนินตามแผน (Do – D) ขั้นที่ 3
การตรวจสอบ (Check – C) ขั้นที่ 4 การแก้ไขปัญหา (Act – A) และธัญพร ชื่นกลิ่น (2553) ได้เสนอการ
พฒนารูปแบบการโค้ช เพอพฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของอาจารย์พยาบาลที่ส่งเสริมทักษะการคิด
ั
ั
ื่
อย่างมีวิจารณญาณของนักศึกษาพยาบาลในสังกัดสถาบันพระบรมราชชนกกระทรวงสาธารณสุข พบว่า การ
ั
พฒนารูปแบบโค้ช พพซีอ (PPCE Coaching Model) คือ ระยะที่ 1 ระยะการเตรียมการ (Preparing Phase
ี
ี
ี
: P) ระยะที่ 2 ระยะการวางแผนการโค้ช ( Planning Phase : P) ระยะที่ 3 ระยะการปฏิบัติการโค้ช (
Coaching Phase : C) ระยะที่ 4 ระยะเวลาการประเมินผลการโค้ช (Evaluating Phase : E)
3
ั
นอกจากนี้การศึกษาการวิจัยของเกรียงศักดิ์ สังข์ชัย (2552) เกี่ยวกับการพฒนารูปแบบการนิเทศครู
ื่
วิทยาศาสตร์ เพอพฒนาศักยภาพนักเรียนที่มีแววความสามารถทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งใช้รูปแบบการนิเทศที่
ั
เรียกว่า APFIE Model มีกระบวนการด าเนินงาน 5 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาสภาพปัจจุบันและ
ความต้องการจ าเป็น (Assessing Needs : A) ขั้นตอนที่ 2 การให้ความรู้ก่อนการนิเทศ (Providing
Information : P) ขั้นตอนที่ 3 การวางแผนการนิเทศ (Formation Plan : F) ขั้นตอนที่ 4 ปฎิบัติการนิเทศ
(Implementation : I) ขั้นตอนที่ 5 ประเมินผลการนิเทศ (Evaluating : E)
ื้
ดังนั้นกลุ่มนิเทศ ติดตาม และประเมินผลการจัดการศึกษา สังกัดส านักงานเขตพนที่การศึกษา
ประถมศึกษาล าปาง เขต 1 จึงมีแนวทางการพัฒนาการอ่านออกเขียนได้ของนักเรียนระดับชั้นประถมศกษาปีที่
ึ
ี
1 โดยใช้กระบวนการนิเทศ เอ พ ไอ ซี อ (APICE Model) คือ 1. A (Assessing Need) การศึกษาสภาพและ
ี
ความต้องการ 2. P (Planning) การวางแผนการนิเทศ 3. I (Informing) การให้ความรู้ก่อนการนิเทศ 4.
C (Coaching) การนิเทศแบบโค้ช และ 5. E (Evaluating) การประเมินผลการนิเทศ
1.2 วัตถุประสงค์
ั
1. เพอนิเทศ ติดตาม การพฒนาการอานออกเขียนได้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้
ื่
่
ื้
กระบวนการนิเทศ เอ พ ไอ ซี อ (APICE Model) ของสถานศึกษาในสังกัดส านักงานเขตพนที่การศึกษา
ี
ี
ประถมศึกษาล าปางเขต 1
2. เพื่อส่งเสริมครูผู้สอนภาษาไทยด้านการอ่าน (Reading) และการเขียน (Writing)
3. เพื่อมุ่งเน้นให้ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอนภาษาไทย และศึกษานิเทศก์ น าไปใช้ในการด าเนินการ
จัดกิจกรรมและนิเทศครูที่ได้รับมอบหมายให้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
1.3 เป้าหมายในการพัฒนา
เป้าหมายเชิงปริมาณ
ร้อยละ 100 ของครูผู้สอนภาษาไทยได้รับการพฒนาจากการนิเทศ ติดตาม เพอส่งเสริมการอานออก
ั
ื่
่
เขียนได้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
เป้าหมายเชิงคุณภาพ
ื่
1. เพอพฒนาการอานออกเขียนได้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ให้บรรลุผลส าเร็จตามที่ สพฐ.
่
ั
ก าหนด
2. ครูผู้สอนภาษาไทย ผู้บริหารสถานศึกษา และศึกษานิเทศก์ น าไปใช้ในการด าเนินการจัดกิจกรรม
และนิเทศครูที่ได้รับมอบหมายให้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
4
ส่วนที่ 2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
ั
่
การนิเทศ ติดตาม การพฒนาการอานออกเขียนได้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้
ื้
กระบวนการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model) ของส านักงานเขตพนที่การศึกษาประถมศึกษาล าปางเขต 1
ผู้จัดท าได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
2.1 ความหมายของการนิเทศการศึกษา และความมุ่งหมายของการนิเทศการศึกษา
2.2 หลักการนิเทศการศึกษา และกระบวนการนิเทศการศึกษา
2.3 การนิเทศแบบโค้ช
2.4 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพนฐาน พทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
ื้
ุ
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
2.5 การเรียนการสอนภาษาไทย
2.6 การอ่าน
2.7 การเขียน
2.1 ความหมายของการนิเทศการศึกษาและความมุ่งหมายของการนิเทศการศึกษา
ความหมายของการนิเทศการศึกษา
ั
การพฒนาการศึกษาขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ครูเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่มีอทธิพลต่อคุณภาพ
ิ
การศึกษา ครูที่มีความรู้ความสามารถและได้รับการอบรมเป็นอย่างดีจะช่วยให้งานการศึกษาบรรลุผลส าเร็จ
ดังนั้นการปรับปรุงประสิทธิภาพของครูจึงเป็นเครื่องมือส าคัญ วิธีการที่จะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของครู
คือ การนิเทศการศึกษา การที่ผู้เรียนจะมีคุณภาพทางการศึกษามากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับคุณภาพของครู การ
นิเทศการศึกษาเป็นองค์ประกอบที่ส าคัญของการพัฒนาคุณภาพครูในการจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนบรรลุ
เป้าหมายของหลักสูตร นักการศึกษาได้ให้ความหมายของการนิเทศการศกษา ดังนี้
ึ
ชารี มณีศรี (2540 : 19) กล่าวว่า การนิเทศการศึกษา หมายถึง ความพยายามอย่างหนึ่งในหลายๆ
อย่างที่จะช่วยส่งเสริมให้การศึกษามีคุณภาพทั้งการเรียนและการสอน
ผดุง เฉลียวศิลป์ (2540 : 7) กล่าวว่า การนิเทศการศึกษา หมายถึง กระบวนการสร้างปฏิสัมพนธ์
ั
ั
ระหว่างผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศเพอให้เกิดความร่วมมือในการพฒนากิจกรรมการเรียนการสอนให้บรรลุ
ื่
เป้าหมายตามเจตนารมณ์ของหลักสูตรส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพนักเรียนทุก ๆ ด้าน
รินทร์ทอง วรรณศิริ (2541 : 17) กล่าวว่า การนิเทศการศึกษา หมายถึง กระบวนการที่ครูและ
บุคลากรทางการศึกษาร่วมกันด าเนินงานโดยมุ่งให้ครูเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนการสอนในทางที่ดีขึ้น
อันส่งผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการสอนของนักเรียนให้สูงขึ้น
วีณา พานิช (2546 : 15) ได้ให้ความหมายการนิเทศว่า การนิเทศเป็นส่วนหนึ่งของการบริหาร ซึ่งเป็น
กระบวนการท างานร่วมกันระหว่างผู้นิเทศ ครูผู้สอน ผู้บริหารและบุคลากรทางการศึกษาอื่นๆ เพื่อกระตุ้นยั่วยุ
5
ั
ท้าทาย สนับสนุนและส่งเสริมให้มีการปรับปรุงพฒนาการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพและทันสมัย
ี่
อยู่เสมอ โดยมีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่คุณภาพการศึกษาทก าหนดไว้
ส านักนิเทศและพัฒนามาตรฐานการศึกษา ส านักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2541
ั
: 3) ได้ให้ความหมายของการนิเทศการศึกษาไว้ว่า การนิเทศการศึกษาคือ งานพฒนาที่ควรด าเนินการอย่าง
ต่อเนื่องโดยมุ่งคุณภาพที่การเรียนการสอนและผลที่เกิดกับนักเรียน
้
Good (1973 อางถึงใน สิทธิชัย เวศสุวรรณ, 2541 : 11) ได้ให้ความหมายการนิเทศการศึกษา คือ
ความพยายามทุกวิถีทางของอาจารย์ผู้ที่ท าหน้าที่นิเทศในการให้ค าแนะน าแก่ครูหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับ
การศึกษาให้รู้จักปรับปรุงการเรียนการสอน
้
Harris (1975 อางถึงใน ไสว เครือรัตนไพบูรณ์, 2550 : 15) กล่าวถึงความหมายของการนิเทศ
ื่
การศึกษาว่า คือ การกระท าใดๆ ที่บุคลากรในโรงเรียนเพอรักษามาตรฐานหรือการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
ึ
กระบวนการการนิเทศการศกษาภายใต้ระเบียบแบบแผนอ านวยความสะดวกแก่การสอนให้พัฒนาดีขึ้น โดยมุ่ง
ให้เกิดประสิทธิผลในด้านการสอนเป็นส าคัญ
้
Glickman (1990 อางถึงใน ธ ารง บัวศรี, 2542 : 23) ให้ความเห็นเกี่ยวกับการนิเทศว่าเป็น
แนวความคิดกับการงานและหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงการเรียนการสอน ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับเรื่อง
หลักสูตร การจัดครูเข้าสอน การจัดสื่อการสอน สิ่งอานวยความสะดวก การเตรียมการสอนและการพฒนาครู
ั
รวมทั้งการประเมินผลการเรียนการสอน
้
Daniel Tanner and Laured Tanner (1987 อางถึงใน ทัสนี วงศ์ยืน, 2550 : 13) กล่าวว่า การ
นิเทศการศึกษา คือ การปรับปรุงคุณภาพการสอนและการเรียนรวมทั้งปรับปรุงหลักสูตร
สรุปได้ว่า การนิเทศการศึกษาเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงการเรียนการสอน โดยการ
ปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างผู้บริหารและครูในโรงเรียนเพอให้ความช่วยเหลือ ให้ค าปรึกษา สนับสนุน แนะน าซึ่ง
ื่
ั
กันและกันในการพฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพการท างานของครูให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่
สูงขึ้นตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ
ความมุ่งหมายของการนิเทศการศึกษา
ื่
ั
ในปัจจุบันการนิเทศการศึกษามีความจ าเป็นต่อการพฒนาคุณภาพการศึกษาเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เพอ
ลดความสูญเปล่าทางการศึกษา ส่งเสริมผู้เรียนให้ได้รับการศึกษาที่ดีกว่าเดิมเหมาะสมกับความต้องการ
ุ
ึ
ในอนาคต องค์ประกอบที่เป็นหัวใจส าคัญในการปรับปรุงคุณภาพการศกษาอยู่ที่คณภาพของการเรียนการสอน
การนิเทศการศึกษาเป็นส่วนหนึ่งที่ท าให้การสอนของครูมีประสิทธิภาพ เพราะการนิเทศการศึกษาเป็น
องค์ประกอบที่จะช่วยสนับสนุนให้กระบวนการเรียนการสอนมีคุณภาพและบรรลุเป้าหมาย มีนักการศึกษาและ
หน่วยงานของรัฐได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการนิเทศการศึกษาไว้ ดังนี้
การนิเทศการศึกษาของส านักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2541 : 25) มีความ
มุ่งหมายเฉพาะการนิเทศการศึกษา สรุปได้ดังนี้
6
ั
ื่
1. เพอส่งเสริมและพฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของโรงเรียนในความรับผิดชอบของ
ส านักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ
2. เพื่อแก้ปัญหา ให้ความร่วมมือและให้ค าปรึกษาแก่ผู้บริหาร ผู้สอน และบุคลากรของโรงเรียน ใน
สังกัดส านักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ ในการด าเนินงานจัดการเรียนการสอนให้เป็นไปตาม
หลักสูตรให้บรรลุจุดมุ่งหมายตามที่ก าหนดไว้ในหลักสูตรและนโยบายของส านักงานคณะกรรมการ การ
ประถมศึกษาแห่งชาติ
ื่
3. เพอพฒนานวัตกรรมเทคโนโลยี รูปแบบการเรียนการสอนและการจัดการเรียนการสอนตาม
ั
หลักสูตรให้มีประสิทธิภาพ ตลอดจนพฒนาหลักสูตรและสื่อการเรียนการสอนให้เหมาะสมและสอดคล้องกับ
ั
ความต้องการของท้องถิ่น
4. เพอพฒนาบุคลากรของโรงเรียน สังกัดส านักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ
ื่
ั
ให้มีความรู้ ทักษะและประสบการณ์อนจ าเป็นในการจัดการเรียนการสอนและสามารถแก้ปัญหาที่จะเกิดขึ้น
ั
จากการด าเนินการดังกล่าว รวมทั้งให้มีขวัญก าลังใจในการด าเนินงานตามบทบาทหน้าที่ให้บรรลุวัตถุประสงค์
ตามนโยบายของส านักงานคณะกรรมการการประถมศกษาแห่งชาติ
ึ
ื่
5. เพอให้ค าปรึกษาและประสานงานทางวิชาการแก่ส านักงานคณะกรรมการการประถมศึกษา
แห่งชาติ ส านักงานการประถมศึกษาจังหวัดหรือส านักงานการประถมศึกษากรุงเทพมหานคร ส านักงานการ
ประถมศึกษาอาเภอและกิ่งอาเภอและโรงเรียนสังกัดส านักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติหรือ
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนองค์การระหว่างประเทศ
ื่
6. เพอประสานงานให้ความร่วมมือกับส านักงานศึกษาธิการเขต ส านักงานศึกษาธิการจังหวัดและ
ส านักงานศึกษาธิการอาเภอ ด าเนินโครงการและพฒนางานต่าง ๆ ที่กระทรวงและกรมมอบหมายไปยังเขต
ั
การศึกษาจังหวัด อ าเภอและกิ่งอ าเภอ
้
นอกจากนี้ Abbot Linda Yager (๑๙๙๒ อางถึงใน ไสว เครือรัตนไพบูรณ์, 2550 : 26) ได้สรุปความ
มุ่งหมายของการนิเทศการศึกษาไว้ 6 ประการ ดังนี้
1. เพอส่งเสริมความเจริญงอกงามให้แก่ครู ซึ่งได้แก่ การส่งเสริมให้ครูได้มีโอกาสศึกษาหาความรู้
ื่
ิ่
เพมเติมอยู่เสมอ เปิดโอกาสให้ครูได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของสมาคมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับอาชีพ ส่งเสริมให้ครูได้ใช้
เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ในการศึกษาหาความรู้หรืองานที่สนใจ
2. เพื่อช่วยให้ครูได้รู้ถึงปัญหาที่ก าลังเผชิญอยู่และค้นหาวิธีการที่จะแก้ปัญหาเหล่านั้น
3. เป็นการส่งเสริมแนะน าครูและส่งเสริมความสัมพนธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชน นักเรียนและ
ั
ผู้ปกครอง
4. เพื่อช่วยให้ครูได้คุ้นเคยกับแหล่งวิทยาการและสามารถน าไปใช้ในการเรียนการสอน
5. เพื่อควบคุมมาตรฐานและพัฒนางานในด้านการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
6. เพื่อให้ครูได้จัดประสบการณ์ให้กับเด็กได้ถูกต้องตามจุดหมายที่วางไว้
ความมุ่งหมายการนิเทศการศึกษาที่กล่าวมาแล้วนั้นเป็นหลักแนวคิดทฤษฎี ส่วนหลักปฏิบัติหน่วย
ศึกษานิเทศก์กรมสามัญศึกษา ได้ก าหนดความมุ่งหมายของการนิเทศ ดังนี้
7
1. เพื่อช่วยครูให้ด าเนินการสอนตามหลักสูตรและให้ได้ผลตามจุดมุ่งหมายที่กาหนดไว้ในหลักสูตร
2. เพอช่วยให้ครูได้ตระหนักถึงปัญหาเกี่ยวกับการเรียนการสอนและการจัดการศึกษา ทั้งให้สามารถ
ื่
แก้ปัญหาเหล่านั้นได้ เพื่อให้เกิดผลดีต่อการศึกษาของนักเรียน
3. เพอให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาหลักสูตรและการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพสอดคล้องกับ
ื่
ความต้องการจ าเป็น
4. เพื่อรักษาและควบคุมคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาในทุกระดับ
ื่
5. เพอให้ความช่วยเหลือและประสานงานในทางวิชาการแก่สถานศึกษาหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนงานขององค์การระหว่างประเทศ
วิจิตร วรุตบางกูร (2542 : 10) กล่าวว่า ความจ าเป็นที่ต้องมีการนิเทศการศึกษาในระบบการศึกษา
เนื่องจากเหตุผล ดังนี้
1. สภาพสังคมเปลี่ยนไปทุกขณะ การศึกษาจ าเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับการ
เปลี่ยนแปลงของสังคมด้วย การนิเทศการศึกษาจะช่วยท าให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในองค์การที่เกี่ยวข้อง
กับการศึกษา
ิ่
2. ความรู้ในสาขาวิชาต่าง ๆ เพมขึ้นโดยไม่หยุดยั้ง แม้แนวคิดในเรื่องการเรียนการสอนเกิดขึ้นมาใหม่
ตลอดเวลา การนิเทศการศึกษาจะช่วยท าให้ครูมีความรู้ทันสมัยอยู่เสมอ
3. การแก้ไขปัญหาและอปสรรคต่าง ๆ เพอให้การเรียนการสอนพฒนาขึ้นจ าเป็นต้องได้รับการชี้แนะ
ุ
ื่
ั
หรือนิเทศการศึกษาจากผู้ช านาญการโดยเฉพาะจึงจะท าให้แก้ไขปัญหาได้ส าเร็จลุล่วง
4. การศึกษาของประเทศไม่อาจรักษามาตรฐานไว้ได้จะต้องมีการควบคุมดูแลด้วย
สรุปความมุ่งหมายของการนิเทศการศกษานั้น เป้าหมายหลักอยู่ที่การพัฒนาครูทั้งด้านวิชาชีพ คือ ฝึก
ึ
ให้มีประสบการณ์ตรง เช่น การประชุมอบรมสัมมนา การทดลองหลักสูตร วิธีการสอน และประสบการณ์โดย
้
ออม เช่น การจัดกิจกรรมต่างๆ ให้ครูมีโอกาสพบปะทางวิชาการ เป็นต้น นอกจากนั้นยังช่วยสร้างครูให้มี
ื่
ลักษณะความเป็นผู้น า การท างานร่วมกับผู้อนอนจะส่งผลให้เพมประสิทธิภาพการเรียนการสอนที่ดียิ่งขึ้น
ิ่
ั
กล่าวโดยย่อก็คือ มุ่งพัฒนาคนและพัฒนางาน
2.2 หลักการนิเทศการศึกษา และกระบวนการนิเทศการศึกษา
หลักการนิเทศการศึกษา
หลักการนิเทศการศึกษาเป็นแนวทางในการปฏิบัติให้ผู้บริหารการศึกษาได้ด าเนินการเพอให้การศึกษา
ื่
ด าเนินไปด้วยดีและประสบผลส าเร็จ ได้มีนักการศึกษาหลายท่านได้ให้หลักการส าคัญของการนิเทศการศึกษา
ไว้ ดังนี้
Wiles (1967 อางถึงใน ไสว เครือรัตนไพบูรณ์, 2550 : 32) ได้ให้ความหมายของหลักการนิเทศ
้
การศึกษาว่าเป็นความช่วยเหลือในการปรับปรุงกระบวนการท างานให้ดีขึ้น
Carl D. Glickman (1990 อ้างถึงใน ทัสนี วงศ์ยืน, 2550 : 41) กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า การนิเทศการศึกษา
เป็นแนวคิดเกี่ยวกับงานในหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงการเรียนการสอน การพฒนาหลักสูตร
ั
8
การให้บริการเสริมวิชาการ การจัดครูเข้าสอน การจัดท าสื่อการสอน การประเมินผลการเรียนการสอน
ตลอดจนจัดสิ่งอ านวยความสะดวกต่างๆ
ชารี มณีศรี (2547 : 27) ได้กล่าวถึงพื้นฐานความส าคัญของการนิเทศการศึกษาไว้ ดังนี้
1. การนิเทศเป็นการกระตุ้นเตือน การประสานงานและแนะน าให้เกิดความเจริญงอกงามแก่ครู อาจ
ท าได้โดยการฝึกอบรมพัฒนาด้านวิชาชีพ ตลอดจนเทคนิควิธีการจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ
2. การนิเทศตั้งอยู่บนรากฐานของประชาธิปไตย เปิดโอกาสให้ครูได้คิดและตัดสินใจโดยใช้
ความสามารถของตนในการปรับปรุงการเรียนการสอน
3. การนิเทศเป็นกระบวนการส่งเสริมสร้างสรรค์ หลีกเลี่ยงการบังคับและสร้างบรรยากาศให้ครูได้เกิด
ความริเริ่มสร้างสรรค์หาวิธีการใหม่ๆ ในการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
4. การนิเทศกับการปรับปรุงหลักสูตรเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการนิเทศ เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้
หลักสูตรและการวางแผนพัฒนาหลักสูตร
5. การนิเทศเป็นงานที่ต้องร่วมมือช่วยเหลือผู้อน จึงต้องสร้างมนุษยสัมพนธ์ให้เกิดขึ้น มีการยอมรับ
ื่
ั
นับถือซึ่งกันและกน
ั
6. การนิเทศมุ่งเสริมบ ารุงขวัญ มีการยกย่องชมเชยซึ่งหากขวัญก าลังใจของครูดีก็จะท าให้การสอนดี
ตามไปด้วย
7. การนิเทศมีวัตถุประสงค์ที่จะให้โรงเรียนจัดการศึกษาสอดคล้องกับชุมชน การนิเทศจะช่วยให้มีการ
วางแผนสอดคล้องกับความต้องการและปัญหาในชุมชน ช่วยให้ครูได้พฒนาหลักสูตรให้เหมาะสมกับสภาพ
ั
ชุมชนและส่งเสริมให้ครูได้ประโยชน์จากแหล่งทรัพยากรธรรมชาติในชุมชน
อเนก ส่องแสง (2540 : 6) ได้กล่าวถึงพื้นฐานความส าคัญของการนิเทศการศึกษาไว้ ดังนี้
1. การนิเทศต้องมีความถูกต้องตามหลักวิชาการ มีการก าหนดกฎ นโยบาย จุดมุ่งหมาย แนวปฏิบัติที่
ชัดเจนเป็นไปตามสภาพปัญหาที่แท้จริง มีวิวัฒนาการทั้งเนื้อหาสาระ วัสดุอปกรณ์และกลวิธีในการนิเทศ
ุ
ตลอดจนมีการนิเทศติดตามและประเมินผลอย่างเป็นระบบ
2. การนิเทศเป็นการกระตุ้นประสาทและแนะน าให้เกิดความเจริญงอกงามแก่ผู้เรียนและผู้สอนมีการ
ฝึกอบรมวิชาชีพครู ปรับปรุงแผนการสอน ฝึกทักษะการใช้อุปกรณ์รวมทั้งพัฒนาเจตคติและเทคนิควิธีการสอน
ให้มีประสิทธิภาพ
3. การนิเทศตั้งอยู่บนพนฐานของประชาธิปไตยโดยผู้นิเทศต้องยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล
ื้
ส่งเสริมให้ผู้ได้รับการนิเทศได้แสดงความคิดเห็นและตัดสินใจร่วมกัน
4. การนิเทศเป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์โดยต้องด าเนินการอย่างเป็นขั้นตอน มีการรวบรวม
ข้อมูลและสรุปผลมาใช้ในการนิเทศตลอดจนมีการประเมินและติดตามผล
Burton and Bruecker (1995 อางถึงใน อลัยพร เรืองไชย, 2552 : 72) ได้ก าหนดหลักการนิเทศ
้
ุ
การศึกษา ไว้ว่า
9
1. การนิเทศการศึกษาควรดูความถูกต้องตามหลักวิชา (Theoretically Sound) เป็นไปตามความจริง
ค่านิยม วัตถุประสงค์และนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นและยังจ าเป็นต้องมีวิวัฒนาการทั้งด้านเครื่องมือและ
วิธีการโดยมีวัตถุประสงค์และนโยบายที่แน่นอน
2. การนิเทศการศึกษาควรเป็นวิทยาศาสตร์ (Scientific) นั่นคือต้องมีล าดับระเบียบและมีวิธีการใน
การศึกษาที่ถูกต้องเชื่อถือได้
3. การนิเทศการศึกษาควรเป็นประชาธิปไตย (Democratic) เปิดโอกาสให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการ
ปฏิบัติงานเพื่อน าไปสู่เป้าหมายเดียวกัน
ึ
4. การนิเทศการศกษาควรเป็นการสร้างสรรค์ให้ทุกคนได้มีโอกาสพัฒนาความสามารถของตนได้อย่าง
เต็มที่
้
นอกจากนี้ Mark and Atoop (1985 อางถึงใน สิทธิชัย เวศสุวรรณ, 2541 : 13) ได้กล่าวถึงหลักการ
นิเทศการศึกษาไว้ ดังนี้
1. การนิเทศการศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมการศึกษา เป็นบริการที่ท าเป็นทีมซึ่งครูทุกคน
มุ่งหวังได้รับการช่วยเหลือในด้านการนิเทศโดยอยู่ในความรับผิดชอบของครูใหญ่
2. การนิเทศการศึกษาต้องสอดคล้องกับความต้องการของคนแต่ละคน
3. การนิเทศการศึกษาช่วยให้เป้าหมายและวัตถุประสงค์ทางการศึกษามีความชัดเจนและบุคลากรใน
โรงเรียนเกิดทัศนคติที่ดีต่อชุมชน
4. การนิเทศการศึกษาช่วยให้การบริหารการจัดการกิจกรรมนักเรียนปรับโครงการนิเทศและให้
ผู้เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการวางแผนระยะสั้นและระยะยาวมีการจัดงบประมาณไว้ในงบประมาณประจ าปี
5. การนิเทศการศึกษาช่วยให้การแปลเอกสารและผลการวิจัยถูกน ามาใช้ ตลอดจนการวัด
ประสิทธิภาพของการศึกษา ควรให้ผู้เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการประเมินและให้ความช่วยเหลือ
สมคิด บางโม (2544 : 242) ได้กล่าวว่า การนิเทศการศึกษา มีความละเอยดออนซับซ้อนกว่าการ
่
ี
นิเทศในโรงงานอุตสาหกรรมเป็นเรื่องของการพัฒนามนุษย์ โดยเฉพาะครูอาจารย์มีบทบาทส าคัญในการพฒนา
ั
ให้เกิดประสิทธิภาพอย่างสูงสุด วัตถุประสงค์ของการนิเทศการศึกษาในโรงเรียน มีดังต่อไปนี้
ั
ื่
1. เพอให้ครูได้พฒนาการสอนของตนเอง ครูที่ดีย่อมต้องพฒนาการสอนอยู่เสมอ ปรับปรุง
ั
ิ
เปลี่ยนแปลงวิธีสอนที่น่าสนใจและมีประสิทธิภาพช่วยให้ครูได้พจารณาวิธีสอนและกิจกรรมต่าง ๆ
ที่ใช้อยู่ว่ามีข้อดี ข้อเสียอย่างไรบ้าง เสนอแนะวิธีสอนและกิจกรรมใหม่ ๆ ได้
2. เพอส่งเสริมขวัญของครูให้อยู่ในสภาพที่ดีและเข้มแข็งสามารถท างานเป็นคณะได้อย่างดี ร่วมกัน
ื่
ท างานด้วยสติปัญญา สร้างความสัมพันธ์กลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจะท าให้งานบรรลุเป้าหมาย
3. เพื่อช่วยครูใหม่ให้เขาใจงานของโรงเรียน ครูใหม่แม้จะได้ศึกษาเล่าเรียนจนได้ปริญญาศึกษามาแล้ว
้
ก็ตามก็ไม่แตกต่างอะไรกับนักขับรถใหม่ที่เพงได้รับใบขับขี่ ดังนั้นการนิเทศครูใหม่ในด้านงานวิชาการของ
ิ่
โรงเรียนย่อมมีความจ าเป็นอย่างยิ่ง
4. เพื่อให้ครู อาจารย์ เข้าใจอย่างถ่องแท้ในวัตถุประสงค์ของการศึกษา โดยเฉพาะหน้าที่ของโรงเรียน
และหน้าที่ของครูผู้สอนเพื่อที่จะได้ช่วยพัฒนาเด็กนักเรียนให้เจริญงอกงามในทุกด้าน
10
5. เพอช่วยสร้างครูให้มีลักษณะแห่งความเป็นผู้น า โดยช่วยปรับปรุงโรงเรียนทั้งด้านบริหารและ
ื่
วิชาการช่วยส่งเสริมครูให้ก้าวหน้าในวิชาการสามารถท างานร่วมกับผู้อื่นได้
6. เพอช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้แก่ครูทั้งด้านการบริหารวิชาการ ธุรการ กิจกรรมและสวัสดิการเป็น
ื่
การส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างเพื่อนครู
จากที่มีผู้ให้หลักการและความหมายดังกล่าวสามารถสรุปได้ว่า หลักการนิเทศการศึกษา เป็นการให้
ค าปรึกษาแนะน าแก่ครูในการปรับปรุงการนิเทศการสอนให้ดียิ่งขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยมีความ
สอดคล้องกับความต้องการของครู กระบวนการนิเทศการศึกษาภายในโรงเรียน การนิเทศการศึกษาที่จะ
ก่อให้เกิดประสิทธิภาพน าไปสู่ความส าเร็จตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายของการจัดการศึกษาได้นั้น
จ าเป็นต้องมีการด าเนินงานตามล าดับขั้นตอนอย่างต่อเนื่องเป็นระบบที่เรียกว่า กระบวนการนิเทศการศึกษา
ส าหรับกระบวนการนิเทศการศึกษาภายในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดส านักงานคณะกรรมการการ
ประถมศึกษาแห่งชาติถือเป็นแนวปฏิบัติตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ มี 5 ขั้นตอน ด้วยกัน (สังกัดส านักงาน
คณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ, 2541 : 7-8)
ขั้นที่ 1 การศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการ เพื่อให้ทราบสภาพที่แท้จริงในขณะนั้นว่ามี
ปัญหาหรือข้อจ ากัดอะไร มีความต้องการอย่างไร เพื่อจะได้ด าเนินการวางแผนแก้ไขได้ตรงจุด
ขั้นที่ 2 การวางแผนและก าหนดทางเลือก ในขั้นตอนนี้ต้องอาศัยข้อมูลทั้งหมดที่ได้จากการศึกษา
ั
สภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการอนจะเป็นข้อก าหนดให้เกิดการวางแผน การก าหนดทางเลือกในการ
แก้ปัญหาและปรับปรุงส่งเสริมการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพตามวัตถุประสงค์ที่หลักสูตรก าหนดไว้
ขั้นที่ 3 การสร้างสื่อ เครื่องมือและพัฒนาวิธีการ เป็นการค้นหาสื่อที่จะช่วยในการปฏิบัติงานการนิเทศ
การศึกษา เพื่อให้ทราบที่มาของปัญหา เพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาการท างานของครูให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การ
สร้างสื่อ เครื่องมือจะต้องสอดคล้องกับสภาพปัญหา ความต้องการและสามารถน าไปใช้ได้จริง
ขั้นที่ 4 การปฏิบัติการนิเทศการศึกษา เป็นขั้นตอนที่จะต้องน าผลจากขั้นตอนที่ 1-3 มาปฏิบัติการ
นิเทศให้เกิดผลส าเร็จตามจุดประสงค์และเป้าหมายที่ก าหนดไว้
ขั้นที่ 5 การประเมินผลและการรายงานผล เป็นขั้นตอนในการจัดหารวบรวมข้อมูลมาวิเคราะห์
พิจารณาเพื่อสะท้อนภาพงานที่ได้ด าเนินการไป ทั้งนี้เพื่อการปรับปรุงแก้ไขการปฏิบัติงานในครั้งต่อไป
จากขั้นตอนดังกล่าวพอจะสรุปได้ว่า กระบวนการนิเทศการศึกษา เป็นกระบวนการศึกษาสภาพ
ปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการในการวางแผนและก าหนดทางเลือกในการแก้ปัญหาให้เกิดประสิทธิภาพมาก
ยิ่งขึ้น
กระบวนการนิเทศการศึกษา
กระบวนการนิเทศการศึกษา หมายถึง แบบแผนการนิเทศที่มีระดับขั้นตอนชัดเจน ต่อเนื่องกันเป็น
ระบบ ซึ่งจะสามารถช่วยให้การนิเทศประสบผลส าเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ
ส านักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2534) ได้ก าหนดกระบวนการนิเทศการศึกษาไว้
5 ขั้นตอน ดังนี้
1. การศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา และความต้องการ
11
2. การวางแผนและก าหนดทางเลือก
3. การสร้างสื่อ เครื่องมือ และพัฒนาวิธีการนิเทศ
4. การปฏิบัติการนิเทศ
5. การประเมินผลและรายงานผล
แผนภูมิภาพที่ 2.1 กระบวนการนิเทศการศึกษา
1
ศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา
5
2.
ประเมินผลและรายงานผล
วางแผนและก าหนด
ทางเลือก
4 3
ื
ปฎิบัติการนิเทศ สร้างสื่อและเครื่องมอ
รัชนี พรรฒพานิช (2532) กล่าวไว้ว่า กระบวนการนิเทศที่ก าลังแพร่หลายและมีแนวโน้มที่จะได้รับ
การยอมรับอย่างจริงจัง มีอยู่ 3 รูปแบบ คือ
1. กระบวนการนิเทศแบบประชาธิปไตย
การนิเทศแบบประชาธิปไตย เป็นการนิเทศโดยอาศัยผลงานของการวิจัยในทางจิตวิทยาแห่งการ
เรียนรู้เป็นหลัก โดยค านึงถึงหลักมนุษยสัมพนธ์และการท างานร่วมกันเป็นหมู่คณะเพอร่วมกันปรับปรุงแก้ไข
ื่
ั
การสอนให้มีประสิทธิภาพเกิดประโยชน์แก่นักเรียนและตรงตามเป้าหมายของการศกษาให้มากที่สุด
ึ
วิธีการนิเทศแบบประชาธิปไตยโดยใช้วิธีการประเมินผลตนเอง โดยครูและผู้นิเทศร่วมกัน (Self-
Evaluation) ทุกคนในกลุ่มจะร่วมกันศึกษางานที่เกี่ยวข้องกับสภาพการสอน สภาพการเรียน ด าเนินการและ
ประเมินผลร่วมกัน เป้าหมายของกลุ่มคือการปรับปรุงสภาพการเรียนการสอนให้ดีขึ้น
2. กระบวนการนิเทศแบบวิทยาศาสตร์
เป็นการนิเทศที่น ากระบวนการแสวงหาความจริงและกระบวนการแก้ปัญหาตามวิธีการทาง
วิทยาศาสตร์มาใช้ในกระบวนการนิเทศ ซึ่งมี 6 ขั้นตอน คือ
ขั้นตอนที่ 1 การส ารวจปัญหาและวิเคราะห์หาสาเหตุ
ขั้นตอนที่ 2 ล าดับความส าคัญ โดยค านึงถึงจุดมุ่งหมายและผลที่เกิดขึ้น
ขั้นตอนที่ 3 ตั้งจุดมุ่งหมายในการแก้ปัญหาที่เลือกให้มีความชัดเจน
ขั้นตอนที่ 4 ระดมสมองหาวิธีแก้ไขและเลือกวิธีที่สมาชิกส่วนใหญ่เห็นว่าได้ผล
12
ขั้นตอนที่ 5 ทดลองน าวิธีที่เลือกแล้วไปวางแผนและทดลอง แล้วสรุปการทดลองเพื่อตัดสินใจ
ขั้นตอนที่ 6 น าไปใช้และประเมินผลเพื่อจะได้ข้อมูลป้อนกลับไปสู่การด าเนินงานครั้งต่อไป
3. กระบวนการนิเทศแบบคลินิก (Clinical Supervision)
เป็นการนิเทศเพอปรับปรุงพฤติกรรมการสอนของครูในห้องเรียนซึ่งจะเป็นผลต่อการเรียนของ
ื่
ื่
นักเรียนด้วย โดยอาศัยกระบวนสังเกตในห้องเรียนแล้วให้ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) เพอปรับปรุงการสอน
ของตนเองและปรับปรุงการนิเทศ การนิเทศแบบนี้ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลและความสัมพนธ์ระหว่างครูกับผู้
ั
นิเทศเป็นฐาน
สิร์ปราณี วาสุเทพรังสรรค์ (2532) ได้น าเอากระบวนการนิเทศการศึกษาที่มีชื่อเรียกว่า PIDRE เข้ามา
ใช้ในระบบการนิเทศการศึกษาของไทย ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนที่ต้องด าเนินการอย่างต่อเนื่อง 5 ขั้นตอน
ดังต่อไปนี้
ื่
ขั้นที่ 1 วางแผนการนิเทศ (P = Planning) ขั้นนี้ผู้นิเทศจะประชุมปรึกษาหารือเพอให้ได้ซึ่งปัญหา
ความต้องการจ าเป็นของสิ่งที่จ าเป็นต้องมการนิเทศ รวมทั้งวางแผนถึงขั้นตอนการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการนิเทศ
ี
ที่จัดขึ้นด้วย
ขั้นที่ 2 ให้ความรู้ในสิ่งที่จัดท า (I = Informing) เป็นขั้นตอนของการให้ความรู้ ความเข้าใจถึงสิ่งที่จะ
ด าเนินการว่าจะต้องอาศัยความสามารถอย่างไรบ้าง จะมีขั้นตอนในการด าเนินการอย่างไรและจะท าอย่างไรจึง
จะให้ผลงานออกมาอย่างมีประสิทธิภาพ ขั้นนี้จ าเป็นทุกครั้งส าหรับการรับการนิเทศที่จัดขึ้นใหม่ไม่ว่าจะเรื่อง
ใดก็ตามและมีความจ าเป็นส าหรับงานนิเทศที่เป็นไปอย่างไม่เป็นผล หรือได้ผลยังไม่ถึงขั้นที่พอใจซึ่งจ าเป็น
จะต้องท าการทบทวนให้ความรู้ในการปฏิบัติงานที่ถูกต้องอีกครั้งหนึ่ง
ขั้นที่ 3 การปฏิบัติงาน (D = Doing) การปฏิบัติงานประกอบด้วย 3 ลักษณะ คือ
3.1 การปฏิบัติของผู้รับการนิเทศ เป็นขั้นที่ผู้รับการนิเทศลงมือปฏิบัติงานตามความสามารถทได้รับมา
ี่
จากการด าเนินการในขั้นที่ 2
3.2 การปฏิบัติงานของผู้ให้การนิเทศ ขั้นนี้ผู้ให้การนิเทศจะท าการนิเทศและควบคุมคุณภาพให้งาน
ส าเร็จออกมาทันตามก าหนดเวลาและมีคุณภาพสูง
ุ
3.3 การปฏิบัติงานของผู้สนับสนุนการนิเทศ ผู้บริหารก็จะให้บริการสนับสนุนในเรื่องวัสดุอปกรณ์
ตลอดจนเครื่องใช้ต่างๆ ที่จะช่วยให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างได้ผล
ขั้นที่ 4 การเสริมขวัญและก าลังใจ (R = Reinforcing) ขั้นนี้เป็นขั้นของการเสริมแรงของผู้บริหาร
ึ
เพอให้ผู้รับการนิเทศมีความมั่นใจและบังเกิดความพงพอใจในการปฏิบัติงาน ขั้นนี้อาจด าเนินการไปพร้อมๆ
ื่
กัน ขณะที่ผู้รับการนิเทศก าลังปฏิบัติงานหรือการปฏิบัติงานได้เสร็จสิ้นลงไปแล้วก็ได้
ขั้นที่ 5 ประเมินผลผลิต และกระบวนการด าเนินงาน (E = Evaluation) ผู้นิเทศจะท าการประเมินผล
งานและประเมินผลการด าเนินงานที่ผ่านไปแล้วว่าเป็นอย่างไรหลังจากการประเมินผลการนิเทศได้พบว่า มี
ปัญหาหรืออปสรรคอย่างหนึ่งอย่างใดที่ท าให้การด าเนินงานไม่ได้ผลก็สมควรจะต้องท าการปรับปรุงแก้ไขโดย
ุ
ให้ความรู้ในสิ่งที่ท ามาอีกครั้งหนึ่ง ถ้าผลงานที่ออกมาไม่ถึงขั้นที่พอใจหรือด าเนินการปรับปรุงวิธีการด าเนินการ
ทั้งหมด
13
็
เบน เอม แฮร์ริส (Ben M. Harris : 1963) ได้กล่าวถึงกระบวนการนิเทศที่เป็นกระบวนการด้วย
รหัสตัวอักษร POLCA ซึ่งประกอบด้วย
1. P มาจาก Planning Processes หมายถึง การวางแผนในการปฏิบัติงานโดยคิดว่าจะท าอย่างไร
ก าหนดจุดมุ่งหมายของงาน พฒนาวิธีการด าเนินการ คาดคะเนผลที่จะได้รับจากงานหรือโครงการที่วางแผน
ั
ด าเนินการไว้
2. O มาจาก Organizing Processes หมายถึง การจัดโครงสร้างของงานว่าประกอบด้วยองค์ประกอบ
ย่อยๆ อะไร มีความสัมพนธ์ต่องานแต่ละส่วนอย่างไร มีการแบ่งงานบทบาทขององค์ประกอบที่เป็นโครงสร้าง
ั
งาน แบ่งหน้าที่ปฏิบัติและพัฒนานโยบายต่างๆ
3. L มาจาก Leading Processes หมายถึง บทบาทผู้น า โดยมีการวินิจฉัยสั่งการ กระตุ้นบุคลากรให้
ท างาน การให้ค าแนะน าช่วยเหลือผู้ปฏิบัติ ให้ก าลังใจแลดงและอธิบายเกี่ยวกับกระบวนการด าเนินงาน
4. C มาจาก Controlling Processes หมายถึง ติดตาม ควบคุม ก ากับงาน ด าเนินการมอบหมาย
อ านวยการให้ความสะดวกจนถึงการสั่งการ แก้ไข ลงโทษ ก าหนดระเบียบในการปฏิบัติ
5. A มาจาก Assessing Processes หมายถึง การตรวจสอบผลงานโดยการประเมินผล วิจัยผลของ
งาน
Glickman et al. (1995 : 324-328) ได้น าเสนอกระบวนการนิเทศการสอน ประกอบด้วย 5
ขั้นตอน คือ
1. การประชุมร่วมกับครูก่อนการสังเกตการสอน (Preconference with teacher) ผู้นิเทศเข้าร่วม
ประชุมกับครูเพอพจารณารายละเอยดก่อนการสังเกตการสอนของครูเกี่ยวกับจุดมุ่งหมาย ของการสังเกตต้องการ
ี
ื่
ิ
ให้เน้นการสังเกตในประเด็นใดเป็นพเศษวิธีการและรูปแบบการสังเกตที่จะน าไปใช้ เวลาที่ใช้ในการสังเกต และ
ิ
ก าหนดเวลาที่ใช้ในการประชุมหลังการสังเกต
2. การสังเกตการสอนในชั้นเรียน (Observation of Classroom) เป็นการติดตามพฤติกรรมการ
สอนของครูในชั้นเรียน เพอให้เกิดความเข้าใจสอดคล้องกับหลักการและรายละเอยด ต่างๆที่ก าหนด ผู้สังเกต
ื่
ี
อาจใช้วิธีสังเกตเพียงวิธีใดวิธีหนึ่งหรือหลายวิธีก็ได้
ิ
3. การวิเคราะห์และติดตามผลการสังเกตการสอน และพจารณาวางแผนการประชุมร่วมกับครู
(Analyzing and interpreting observation and determining conference approach) ผู้นิเทศหลังจากได้
สังเกตการสอนและได้รับข้อมูลของครูมาแล้ว ให้วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้การนับความถี่ตัวแปรบางตัวที่ได้
ก าหนดไว้ จ าแนกตัวแปรหลักที่เกิดขึ้น รวมทั้งค้นหาตัวแปรบางตัวที่เกิดขึ้นใหม่จากการปฏิบัติหรือบางตัวที่ไม่
เกิดขึ้น ในการวิเคราะห์ข้อมูลให้ผู้นิเทศวางตัวเป็นกลาง และ ให้ด าเนินการแปลความหมายของข้อมูล
4. ประชุมร่วมกับครูภายหลังการสังเกตการสอน (Post conference with teacher) ผู้นิเทศจัด
ื่
ประชุมครูเพอเป็นการให้ข้อมูลย้อนกลับและร่วมกันอภิปราย ซึ่งผลที่ได้รับจากการอภิปรายร่วมกัน ครูผู้สอน
สามารถน าไปใช้ในการวางแผนปรับปรุงการสอนได้
5. การวิพากษ์วิจารณ์ผลที่ได้รับจากขั้นตอนทั้ง 4 ขั้นตอน (Critique of previous four steps) ซึ่ง
กระบวนการนิเทศการสอนที่สอดคล้องกับกระบวนการนิเทศของ Copeland and Boyan (1978 : 23) ได้เสนอการ
14
นิเทศการสอนไว้ 4 ขั้นตอน คือ 1) การประชุมก่อนการสังเกตการสอน 2) การสังเกตการสอน 3) การวิเคราะห์ข้อมูล
จากการสังเกตการสอน และ 4) การประชุมหลังการสังเกตการสอน
การน าวงจรคุณภาพ (PDCA) หรือโดยทั่วไปนิยมเรียกกันว่า PDCA มาใช้เป็นกระบวนการนิเทศการสอน
ซึ่งสมศักดิ์ สินธุระเวชญ์ (2542 : 188) กล่าวถึง จุดหมายที่แท้จริงของวงจรคุณภาพ (PDCA) ว่าเป็นกิจกรรม
ี
่
้
พนฐานในการบริหารคุณภาพนั่นมิใช่เพยงแคการปรับแกผลลัพธ์ที่เบี่ยงเบนออกไปจากเกณฑ์มาตรฐานให้กลับมา
ื้
ื่
อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องการเท่านั้น แต่เพอก่อให้เกิดการปรับปรุงในแต่ละรอบของ PDCA อย่างต่อเนื่องเป็นระบบและมี
การวางแผน PDCA ที่ม้วนไต่สูงขึ้นเรื่อยๆ 4 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 การวางแผน (Plan-P) ขั้นที่ 2 การด าเนินตามแผน
(Do-D) ขั้นที่ 3 การตรวจสอบ (Check-C) ขั้นที่ 4 การแก้ไขปัญหา (Act-A)
ิ
แผนภูมภาพที่ 2.2 กระบวนการ PDCA
อะไร ก าหนดปัญหา
วิเคราะห์ปัญหา
วางแผน(Plan-P)
ท าไม หาสาเหตุ
อย่างไร วางแผนร่วมกัน
ปฏิบัติ (Do-D) น าไปปฏิบัติ
ตรวจสอบ (Check-C) ยืนยันผลลัพธ ์
แก้ไข (Act-A) ท ามาตรฐาน
ที่มา : สมศักดิ์ สินธุระเวชญ์ (2542 : 188)
ั
ขั้นตอนที่ 1 การวางแผน (Plan) การวางแผนงานจะช่วยพฒนาความคิดต่าง ๆ เพอน าไปสู่รูปแบบที่เป็นจริง
ื่
ขึ้นมาในรายละเอยดให้พร้อมในการเริ่มต้นลงมือปฏิบัติ แผนที่ดีควรมีลักษณะ 5 ประการ ซึ่งสรุปได้ดังนี้
ี
ื้
1. อยู่บนพนฐานของความเป็นจริง (realistic)
2. สามารถเข้าใจได้ (understandable)
3. สามารถวัดได้ (measurable)
4. สามารถปฏิบัติได้ (behavioral)
15
5. สามารถบรรลุผลส าเร็จได้ (achievable)
วางแผนที่ดีควรมีองค์ประกอบ ดังนี้
1. ก าหนดขอบเขตปัญหาให้ชัดเจน
2. ก าหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมาย
3. ก าหนดวิธีการที่จะบรรลุถึงวัตถุประสงค์และเป้าหมายให้ชัดเจนและถูกต้องแม่นย า
ที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
ขั้นตอนที่ 2 ปฏิบัติ (Do) ประกอบด้วยการท างาน 3 ระยะ
1. การวางแผนก าหนดการ
1.1 การแยกกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องการกระท า
1.2 ก าหนดเวลาที่คาดว่าต้องใช้ในกิจกรรมแต่ละอย่าง
1.3 การจัดสรรทรัพยากรต่างๆ
2. การจัดการแบบแมทริกซ์ (matrix management) การจัดการแบบนี้สามารถช่วยดึงเอา
ผู้เชี่ยวชาญหลายแขนงจากแหล่งต่าง ๆ มาได้ และเป็นวิธีช่วยประสานระหว่างฝ่ายต่างๆ
3. การพฒนาขีดความสามารถในการท างานของผู้ร่วมงาน
ั
3.1 ให้ผู้ร่วมงานเข้าใจถึงงานทั้งหมดและทราบเหตุผลที่ต้องกระท า
3.2 ให้ผู้ร่วมงานพร้อมในการใช้ดุลพนิจที่เหมาะสม
ิ
ั
3.3 พฒนาจิตใจให้รักการร่วมมือ
ขั้นตอนที่ 3 การตรวจสอบ (Check) การตรวจสอบท าให้รับรู้สภาพการณ์ของงานที่เป็นอยู่
เปรียบเทียบกับสิ่งที่วางแผน ซึ่งมีกระบวนการ ดังนี้
1. ก าหนดวัตถุประสงค์ของการตรวจสอบ
2. รวบรวมข้อมูล
3. การท างานเป็นตอนๆ เพอแสดงจ านวน และคุณภาพของผลงานที่ได้รับในแต่ละขั้นตอน
ื่
ี่
เปรียบเทียบกับทได้วางแผนไว้
4. การรายงานจะเสนอผลการประเมิน รวมทั้งมาตรการป้องกันความผิดพลาดหรือ ความ
ล้มเหลว
4.1 รายงานเป็นทางการอย่างสมบูรณ์
4.2 รายงานแบบอย่างไม่เป็นทางการ
ขั้นตอนที่ 4 การแก้ไขปัญหา (Act) ผลของการตรวจสอบหากพบว่าเกิดข้อบกพร่องขึ้นท าให้งานที่ได้
ไม่ตรงตามเป้าหมายหรือผลงานไม่ได้มาตรฐาน ให้ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาตามลักษณะปัญหาที่ค้นพบ
1. ถ้าผลงานเบี่ยงเบนไปจากเป้าหมายต้องแก้ไขที่ต้นเหตุ
2. ถ้าพบความผิดปกติใดๆ ให้สอบสวนค้นหาสาเหตุแล้วท าการป้องกัน เพื่อมิให้ความผิดปกตินั้น
เกิดขึ้นซ้ าอีก
ในการแก้ไขปัญหาเพอให้ผลงานได้มาตรฐานอาจใช้มาตรการดังต่อไปนี้
ื่
16
1. การย้ านโยบาย
2. การปรับปรุงระบบหรือวิธีการท างาน
3. การประชุมเกี่ยวกับกระบวนการท างาน
จะเห็นได้ว่าวงจรคุณภาพ (PDCA) ประกอบด้วย การวางแผน (Plan) การด าเนินตามแผน (Do)
การตรวจสอบ (Check) และการปรับปรุงแก้ไข (Act) โดยการวางแผน การลงมือปฏิบัติตามแผน
การตรวจสอบผลลัพธ์ที่ได้ และหากไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหมายไว้ จะต้องท าการทบทวนแผนการโดยเริ่มต้น
ใหม่และท าตามวงจรคุณภาพซ้ าอก เมื่อวงจรคุณภาพหมุนซ้ าไปเรื่อยๆ จะท าให้เกิดการปรับปรุงงานและระดับ
ี
ผลลัพธ์ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งหลักการดังกล่าวหากน ามาปรับใช้ให้สอดคล้องกับบริบทของสถานศึกษาจะช่วย
พัฒนาบุคลากรและนักเรียนให้มีคุณภาพ
สรุปกระบวนการนิเทศดังกล่าวข้างต้นได้ว่า กระบวนการนิเทศการศึกษาทั้งในระดับประถมศึกษา
และระดับก่อนประถมศึกษาจะต้องด าเนินการต่อเนื่องใน 5 ขั้นตอน คือ 1. A (Assessing Need) การศึกษา
สภาพและความต้องการ 2. P (Planning) การวางแผนการนิเทศ 3. I (Informing) การให้ความรู้ก่อนการ
นิเทศ 4. C (Coaching) การนิเทศแบบโค้ช และ 5. E (Evaluating) การประเมินผลการนิเทศ เรียกว่า
กระบวนการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model) โดยมี 5 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสภาพ และความต้องการ (Assessing Need = A)
การศึกษาสภาพ และความต้องการเป็นสิ่งที่มีความส าคัญเป็นอย่างมาก เพราะจะได้ทราบสภาพจริง
และความต้องการในการรับการนิเทศของครูผู้สอนในเรื่องต่าง ๆ เนื่องจากบริบทของแต่ละโรงเรียนไม่
เหมือนกัน มีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องของการจัดการเรียนการสอน ความพร้อมของครูและนักเรียน ดังนั้น
ในขั้นตอนนี้จึงมีความส าคัญที่ผู้นิเทศจะต้องมีการศึกษาสภาพจริงที่ครูผู้สอนปฏิบัติ และความต้องการในการ
ช่วยเหลือในการแก้ปัญหาการเรียนการสอน ผู้นิเทศน าแนวคิดมาจากรูปแบบจ าลองการออกแบบการสอน
The ADDIE Model ของ : Kevin Kruse (2007 : 1) ที่กล่าวว่า ขั้นตอนที่ 1 เป็นขั้นของการวิเคราะห์ความ
ต้องการจ าเป็น และแนวคิดแบบจ าลองการออกแบบการสอนเชิงระบบของ Dick et al. (2005 : 1-8) ในการ
วิเคราะห์ ความต้องการจ าเป็น การวิเคราะห์การเรียนการสอน การวิเคราะห์นักเรียนและบริบทซึ่งผู้วิจัยได้
ศึกษากระบวนการนิเทศของ Harris et al. (1985 : 13-15) ที่กล่าวว่า การนิเทศการสอนต้องมีการศึกษา
ข้อมูลเบื้องต้น วิเคราะห์ความสัมพันธ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในองค์กร เพื่อพิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลง และเป็นไปตาม
แนวคิดของ Acheson, Keith A. and Gall, Meredith D. (1997 : 90), วัชรา เล่าเรียนดี (2550 : 527-528)
ที่กล่าวว่า ผู้นิเทศต้องวิเคราะห์การสอนของครูผู้สอนและการเรียนของนักเรียน เปิดโอกาสให้ผู้รับการนิเทศ
ั
น าเสนอความต้องการ ประเด็นที่สนใจจะปรับปรุงและพฒนาและสอดคล้องรูปแบบการนิเทศของเกรียงศักดิ์
สังข์ชัย (2552 : 37)
ขั้นตอนที่ 2 วางแผนการนิเทศ (Planning = P)
การวางแผนการนิเทศเป็นขั้นของการเตรียมการในการก าหนดตัวชี้วัดความส าเร็จ สื่อการนิเทศ
่
เครื่องมือการนิเทศ และปฏิทินการนิเทศการจัดกิจกรรมและประเมินการอาน และเขียน ผู้นิเทศได้ศึกษา
แนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการนิเทศของ Harris et al. (1985 : 23 อางถึงใน วไลรัตน์ บุญสวัสดิ์, 2538 : 40)
้
17
ที่กล่าวว่าการนิเทศภายในโรงเรียนต้องมีการวางแผน (Planning) ได้แก่ การคิดและการตั้งวัตถุประสงค์
ขั้นตอนการด าเนินงาน วางแผนโครงการ และสอดคล้องกับแนวคิดของ Lucio, William H., and McNiel,
John D (1979 : 24) ที่กล่าวว่าผู้นิเทศต้องรู้จักการวางแผน และต้องมีการวางแผนการปฏิบัติงานของตนเอง
นอกจากนี้ในกระบวนการนิเทศการสอนของ Glatthorn, Allan A. (1984 : 2), วัชรา เล่าเรียนดี (2550 :
27), สงัด อุทรานันท์ (2530 : 84-85), เกรียงศักดิ์ สังข์ชัย (2552 : 37), ธัญพร ชื่นกลิ่น (2553 : 28) ยังได้ให้
ความส าคัญเกี่ยวกับการวางแผน และได้น าขั้นตอนการวางแผนการนิเทศ เป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบการนิเทศ
และกระบวนการนิเทศการสอนที่ได้พัฒนาขึ้น
ขั้นตอนที่ 3 การให้ความรู้ก่อนการนิเทศ (Informing = I)
่
การให้ความรู้ก่อนการนิเทศ เป็นขั้นการให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมและประเมินการอาน
และการเขียน ผู้นิเทศได้ศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับรูปแบบและกระบวนการนิเทศการสอนของนักวิชาการในศาสตร์
ุ
การนิเทศ เช่น Glatthorn et al. (1984 : 2),วัชรา เล่าเรียนดี (2550 : 27), สงัด อทรานันท์ (2530 : 86)
พบว่า นักวิชาการดังกล่าวมีความคิดเห็นสอดคล้องตรงกันว่าในการนิเทศการสอนนั้นมีความจ าเป็นต้องให้
ความรู้ที่ส าคัญ เพื่อเป็นพื้นฐานในการพัฒนาด้วยการประชุม สัมมนาเชิงปฏิบัติการต่างๆ การสื่อสารทั้งการพด
ู
และการเขียน ตลอดจนการแสวงหาความรู้จากเอกสาร
ขั้นตอนที่ 4 ปฏิบัติการโค้ช (Coaching = C)
การปฏิบัติการนิเทศแบบโค้ช (Coaching) ผู้นิเทศได้ศึกษาแนวคิด รูปแบบและกระบวนการนิเทศ
ของวัชรา เล่าเรียนดี (2556 : 313-317), Sandvold, A (2008 อางถึงใน วัชรา เล่าเรียนดี, 2556 : 314),
้
Sweeney, Diane (2011 : 9) ธัญพร ชื่นกลิ่น (2553 : 28-29) เนื่องจากแนวคิดของนักวิชาการที่กล่าวถึง
่
มุ่งเน้น การแก้ปัญหาการรู้หนังสือและการอานการคิดอย่างเป็นระบบ เน้นให้ครูผู้สอนน าความรู้และทักษะที่
ส าคัญของการจัดการเรียนการสอนไปจัดกิจกรรมที่เน้นนักเรียนเป็นส าคัญ มีขั้นตอนที่ส าคัญ คือ 1) ระบุ
ั
จุดประสงค์การเรียนรู้ของนักเรียนที่สัมพนธ์กับมาตรฐานการเรียนรู้ 2) วัดและประเมินผลนักเรียนก่อนเรียน
3) จัดการเรียนการสอนที่ตอบสนองความต้องการของนักเรียน 4) วัดและประเมินผลหลังเรียน นอกจากนี้การ
นิเทศแบบโค้ช ผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศมีความใกล้ชิดกัน ร่วมกันคิดใน เชิงสร้างสรรค์ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ร่วมกันอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
ขั้นตอน ที่ 5 การประเมินผลการนิเทศ (Evaluating = E)
ื่
การประเมินผลการนิเทศ เป็นขั้นที่ผู้นิเทศน ามาใช้เป็นขั้นตอนสุดท้าย เพอสรุปผลการนิเทศในแต่
ละขั้นตอนที่ได้ด าเนินการไป เพอให้เห็นผลการด าเนินงานทุกขั้นตอนอย่างเป็นระบบ ซึ่งสอดคล้องกับ
ื่
ุ
กระบวนการนิเทศของสงัด อทรานันท์ (2530 : 87-88) , วัชรา เล่าเรียนดี (2550 : 28) เกรียงศักดิ์ สังข์ชัย
(2552 : 37-38), ยุพิน ยืนยง (2553 : 25-26), ธัญพร ชื่นกลิ่น (2553 : 29)
2.3 การนิเทศแบบโค้ช (Coaching)
การนิเทศแบบโค้ช เป็นกระบวนการหนึ่งที่มีความส าคัญในการช่วยเหลือให้ การจัดการเรียนรู้เป็นไป
อย่างมีคุณภาพ ผู้ที่มีบทบาทส าคัญ คือ ศึกษานิเทศก์ รวมทั้งเครือข่ายการนิเทศที่เข้ามามีส่วนร่วมในการนิเทศ
18
ิ่
การสอน การด าเนินการเพอเพมศักยภาพในการจัดการเรียนรู้ให้แก่ครูและผู้บริหารสถานศึกษา ให้สามารถ
ื่
ั
จัดการเรียนรู้ได้อย่างมีคุณภาพและได้มาตรฐาน ตลอดจนสามารถเสริมสร้างการพฒนาระบบการประกัน
คุณภาพภายในของสถานศึกษาให้เข้มแข็ง การน าเทคนิคการนิเทศแบบโค้ช (Coaching) มาใช้ในการนิเทศ
การสอน จึงเป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยในการพฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ั
ได้
การนิเทศแบบโค้ช (Coaching) เป็นวิธีการพฒนาสมรรถภาพการท างานของครู โดยเน้นไปที่การ
ั
ท างานให้ได้ตามเป้าหมายของงาน หรือการช่วยให้สามารถน าความรู้ความเข้าใจที่มีอยู่และหรือได้รับการอบรม
มา ไปสู่การปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ การโค้ชมีลักษณะเป็นกระบวนการ มีเป้าหมายที่ต้องการไปให้ถึง 3
ประการ คือ การแก้ปัญหาในการท างาน การพฒนาความรู้ ทักษะ หรือความสามารถในการท างาน และการ
ั
ประยุกต์ใช้ทักษะหรือความรู้ในการท างาน ที่ตั้งอยู่บนหลักการของการเรียนรู้ร่วมกัน (Co-Construction) โดยยึด
หลักว่าไม่มีใครรู้มากกว่าใคร จึงต้องเรียนไปพร้อมกันเพอให้ค้นพบวิธีการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง (ส านักทดสอบ
ื่
ทางการศึกษา ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2553 : 2-7)
(1) การโค้ชเพื่อการรู้หนังสือและการอ่าน (Literacy Coaching or Reading Coaching)
ค าว่า Literacy Coaching หมายถึง การโค้ชเพอช่วยให้มีความรู้ มีความสามารถในด้านใดด้านหนึ่ง
ื่
่
เช่น การโค้ชเพอพฒนาทักษะการอาน (Reading Coaching) ซึ่งค า 2 ค านี้มีการน าไปใช้แพร่หลายในโรงเรียนต่าง ๆ
ื่
ั
ซึ่งในด้านการศึกษา Literacy Coaching อาจหมายถึง การปฏิบัติงานหลายอย่าง เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาหรือ
เพื่อการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนในหลายวิชาๆ เป็นต้น
ั
ื่
การโค้ชเพอช่วยครูพฒนาทักษะการอานแก่นักเรียน ผู้ท าหน้าที่โค้ชอาจจะท าหน้าที่สอนครูเกี่ยวกับ
่
่
่
ยุทธวิธีการอาน การใช้แผนภูมิ แผนภาพ หรือกิจกรรมการสอนที่ช่วยให้นักเรียนเข้าใจในบทอานมากขึ้น ถ้า
ผู้ท าหน้าที่โค้ชเพอพฒนาการรู้หนังสือ อาจะมีความรับผิดชอบ โดยการช่วยนักเรียนพฒนาทักษะการเขียน และ
ั
ั
ื่
่
ทักษะการอานในทุกวิชา อาจท าหน้าที่โดยโค้ชครูบ่อยครั้งหรือไม่ท า การโค้ชเลยก็ได้ โค้ชเพื่อการพัฒนาการ
่
อาน (Reading Coaching) อาจท าหน้าที่ครูปฏิบัติด้านการสอนแก่นักเรียนหรือประเมินผลการเรียนของ
นักเรียน การโค้ชทั้ง Literacy Coaching และ Reading Coaching อาจจะใช้สลับกันท าหน้าที่โค้ช แต่
ื่
บทบาทของโค้ชเพอพฒนาการรู้หนังสือกับโค้ชเพอพฒนาการอ่านค่อนข้างชัดเจนทั้งตัวครู บทบาทและหน้าที่
ั
ื่
ั
ั
เช่น ในยุคศตวรรษที่ 21 Literacy Coaching คือ โค้ชที่มาหน้าที่ช่วยพฒนาความรู้จะต้องมีทั้งความรู้
ความสามารถด้านการอ่าน และการอ่านออกเขียนได้ด้วยวิธีต่างๆ เป็นต้น (วัชรา เล่าเรียนดี, 2556 : 111-112)
ั
ื่
่
นอกจากนี้ การโค้ชเพอพฒนาความสามารถด้านการอานออกเขียนได้ (Literacy Coaching) หรือ
การรู้หนังสือด าเนินการ ดังนี้
1. การแลกเปลี่ยนข้อมูล (Sharing Information) ระหว่างโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ
2. การเตรียมความพร้อม ส าหรับการโค้ช คือ ผู้ท าหน้าที่โค้ช ครูผู้รับการโค้ช จุดประสงค์ส าคัญจาก
่
การโค้ช ก็คือ ผลการเรียนรู้ด้านการอานของนักเรียนที่มาจากการสอนที่มีประสิทธิภาพ (Expert Teaching) ของครูที่
ได้รับการโค้ช การโค้ชจึงมีจุดประสงค์เพอพฒนา ความเชี่ยวชาญด้านการสอน โดยมีแนวคิดเชิงระบบง่ายๆ ดังนี้
ื่
ั
Literacy Coaching Expert Teaching Student Achievement
19
3. การเลือกโค้ชที่เหมาะสม โค้ชต้องมีความรู้ความสามารถสูง โดยเฉพาะถ้าจะต้องพัฒนาทักษะด้าน
ื่
่
ใดด้านหนึ่ง วิธีใดวิธีหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น โค้ชที่จะท าการโค้ช เพอพฒนาสมรรถนะการสอนอานให้เป็น
ั
ผู้เชี่ยวชาญการอ่านให้แก่ครูจะต้องมีความเชี่ยวชาญด้านการอ่านจริงและเป็นที่ยอมรับ
ั
4. พฒนาความรู้สึกเป็นเจ้าของ การพฒนาในวิชาชีพระหว่างผู้ร่วมโครงการ ถ้าผู้มีส่วนร่วมมีความเต็ม
ั
ใจ ตั้งใจ กระตือรือร้น ในการเริ่มต้นในการพัฒนาอย่างจริงจัง เป็นการเริ่มต้นบนรากฐานที่ดีในการพัฒนาต่อไป
5. ก าหนดความรับผิดชอบและความสัมพนธ์ต่อกันที่ชัดเจน เพราะเมื่อใดที่ผู้บริหาร ครู และโค้ช
ั
ท างานร่วมกัน ผลการเรียนของนักเรียนต้องมีการพัฒนาขึ้น
ู
6. โค้ชต้องติดต่อปฏิสัมพนธ์กับโรงเรียนตลอดเวลา การพบปะพดคุยกันระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้อง ทุก
ั
สัปดาห์ หรือ สองสัปดาห์ต่อครั้งอย่างต่อเนื่อง
7. โค้ชต้องรู้ว่าแหล่งความรู้มีอะไรบ้าง และเข้าถึงได้อย่างไร เช่น เว็บไซต์ต่างๆศูนย์สื่อต่าง ๆ ที่
โรงเรียนจะเข้าถึงได้
8. การพูดจาภาษาเดียวกัน ผู้มีส่วนร่วมทุกคนต้องพูดอธิบายในเรื่องเดียวกันได้เข้าใจ
9. การประเมินความก้าวหน้า (Assess Progress) การติดตามดูแลช่วยเหลือ ความก้าวหน้าของครู
ในการใช้หลักสูตรการส่งเสริมการอาน หรือยุทธวิธีสอนจะต้องมีการเก็บบันทึกข้อมูล ครูผู้สอนและโค้ช ก็ต้อง
่
ได้รับการฝึกอบรม และมีการประเมินผลความก้าวหน้า
10. มีการวางแผนเพื่อพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
(2) การโค้ชที่เน้นนักเรียนเป็นส าคัญ (Student Centered Coaching)
1. แนวคิด
ี
การโค้ชที่เน้นนักเรียนเป็นส าคัญ (Student Centered Coaching) เป็นอกแนวคิดหนึ่งในการ
ั
ื่
พฒนาการจัดการเรียนการสอนของครู เพอให้ความส าคัญกับนักเรียนและยึดนักเรียนเป็นส าคัญก่อนเป็น
อันดับแรก ถึงแม้ว่าเป้าหมายหลักส าคัญของการนิเทศในปัจจุบันหรือการโค้ชทุกรูปแบบจะเน้นพัฒนาการของ
การเรียนรู้ของนักเรียนก็ตาม การโค้ชที่เน้นนักเรียนเป็นส าคัญเป็นแนวคิดและงานของ Diane Sweeney
(2011 อางถึงใน วัชรา เล่าเรียนดี, 2556 : 323) จุดเด่นและลักษณะส าคัญของการโค้ชที่เน้นนักเรียนเป็น
้
ื่
ั
ส าคัญ คือ เป็นการด าเนินการโค้ชที่โรงเรียน โดยความร่วมมือของโค้ชผู้บริหาร และครู เพอพฒนาผลการ
เรียนรู้ของนักเรียนเป็นส าคัญ เป็นโค้ชที่มีวัตถุประสงค์ คือ ผลการเรียนรู้ของนักเรียนมากกว่าการมุ่งปรับปรุง
การปฏิบัติการสอนของครู การโค้ช แนวทางการโค้ช มุ่งสู่พัฒนาการของผลการเรียนรู้ของนักเรียนที่เกิดขึ้น ซึ่ง
ต้องวัดได้และประเมินได้ชัดเจน
2. สาระส าคัญของการโค้ชที่เน้นนักเรียนเป็นส าคัญ
2.1 การโค้ชที่เน้นนักเรียนเป็นส าคัญ ก าหนดเป้าหมายเฉพาะ คือ พฒนานักเรียน เป็นการร่วมมอ
ื
ั
กันของโค้ช ผู้บริหาร และครูผู้สอน
ั
2.2 ผู้บริหารมีบทบาทส าคัญยิ่งในการพฒนาผลการเรียนรู้ของนักเรียนในโรงเรียน ซึ่งต้องมีส่วนร่วม
อย่างจริงจังในการโค้ชและการพัฒนาคุณภาพของนักเรียน
2.3 เป็นการวัดและประเมินผลกระทบโดยตรงที่เกิดขึ้นกับนักเรียนอันเนื่องมาจากการโค้ช
20
ั
2.4 การพฒนาวิชาชีพด้วยการโค้ชภายในโรงเรียนมีหลายรูปแบบ หลายวิธีการปฏิบัติใช้กัน
แพร่หลายต่อเนื่อง และประสบผลส าเร็จ แต่การโค้ชที่เน้นนักเรียนเป็นส าคัญจะช่วยยืนยันได้ว่าการโค้ชเป็นการ
พัฒนาวิชาชีพอย่างต่อเนื่องของครูและบุคลากรในโรงเรียน ส่งผลถึงพัฒนาการของผลการเรียนรู้ของนักเรียนจริง
2.5 การโค้ชที่เน้นนักเรียนเป็นส าคัญ มีลักษณะและการปฏิบัติที่ชัดเจนของการโค้ชในโรงเรียน
โดยบุคลากรในโรงเรียน เนื่องจากผู้บริหารต้องให้ความส าคัญและให้ความร่วมมือ เพอการพฒนาคุณภาพของ
ื่
ั
นักเรียน โดยตรง
3. บทบาทของผู้บริหารในการโค้ชที่เน้นนักเรียนเป็นส าคัญ
3.1 ท าความเข้าใจหลักการ แนวคิด แนวปฏิบัติ ของการโค้ชที่เน้นนักเรียนเป็นส าคัญ พร้อมกับ
โค้ชหรือผู้ท าหน้าที่โค้ช เพราะผู้บริหารเป็นบุคคลที่จะสร้างความร่วมมอให้เกิดขึ้นกับคณะครูในโรงเรียน ไม่ใช่
ื
โค้ช
3.2 ผู้บริหารต้องสร้างวัฒนธรรมของการเรียนรู้ร่วมกันให้เกิดขึ้นในโรงเรียนบุคลากรทุกคนใน
โรงเรียนหรือครูทุกคน และผู้บริหาร เป็นนักเรียนที่ต้องเรียนรู้ตลอดเวลา เพอตอบสนองต่อความต้องการของ
ื่
นักเรียน
3.3 ผู้บริหารต้องมีส่วนร่วมในการโค้ชทุกขั้นตอนของการโค้ช ค าถาม และการอภิปรายร่วมกัน
ั
ระหว่างผู้บริหาร โค้ช และครู คือ เราต้องการให้นักเรียนของเราเรียนรู้และพฒนาเรื่องใด เราจะรู้ได้อย่างไรว่า
นักเรียนของเราเกิดการเรียนรู้และพฒนาตามเป้าหมาย เราจะช่วยนักเรียนที่มีปัญหาในการเรียนด้วยวิธีใหม่ ๆ
ั
ั
อย่างไร การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์และจุดเน้น การโค้ชจากการปรับปรุงพฒนาครูให้ได้ตามมาตรฐานการ
ั
ั
จัดการเรียนรู้ ให้เป็นการปรับปรุงพฒนานักเรียนเป็นส าคัญเป็นเรื่องใหม่ โค้ชท าหน้าที่โค้ชโดยล าพงไม่ได้
ื
โรงเรียนต้องมีผู้น าเคียงข้างร่วมมอตลอดเวลา จึงจะทาให้การพฒนาผลการเรียนของนักเรียนเพื่อนักเรียนโดย
ั
โรงเรียนประสบผลส าเร็จ
4. ขั้นตอนการโค้ชที่เน้นนักเรียนเป็นส าคัญ
4.1 ร่วมกันระบุจุดประสงค์การเรียนรู้ หรือวิเคราะห์ข้อมูลการเรียนรู้ของนักเรียนที่สัมพนธ์กับ
ั
มาตรฐานการเรียนรู้
4.2 วัดและประเมินผลนักเรียนก่อนเรียน โดยเปรียบเทียบกับจุดประสงค์การเรียนรู้
4.3 จัดการเรียนการสอนที่ตอบสนองต้องความต้องการของนักเรียน
ื่
4.4 วัดและประเมินผลหลังเรียน เพอตรวจสอบตัดสินว่านักเรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์การ
เรียนรู้ที่ก าหนดหรือไม่
การนิเทศแบบโค้ช ซึ่งเป็นการนิเทศที่ผู้วิจัยได้น ามาใช้ในการพัฒนารูปแบบการนิเทศการจัดกิจกรรม
่
และประเมินการอาน คิดวิเคราะห์ และเขียน เนื่องจากว่าการนิเทศแบบโค้ช ผู้ที่ท าการนิเทศและผู้รับการ
ู
นิเทศได้มีโอกาสใกล้ชิดกันมากกว่าการนิเทศในรูปแบบอนๆ ผู้รับการนิเทศได้มีโอกาสพดแสดงความคิดเห็น
ื่
อย่างเต็มที่ ส่วนใหญ่ผู้นิเทศจะเป็นฝ่ายรับฟังมากกว่าพูด มีการแลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็น ซักถามพูดคุยใน
ื่
ั
ประเด็นที่นิเทศ นอกจากนี้ในเรื่องของการอานคิดวิเคราะห์ และเขียน เพอพฒนาความสามารถการจัด
่
21
กิจกรรมและประเมินของครูผู้สอน ส่งเสริมความสามารถทางด้านภาษา (literacy) ความสามารถทางด้าน
เหตุผล (Reasoning Abilities) โดยเน้นนักเรียนเป็นส าคัญ การนิเทศที่เหมาะสมที่สุด คือ การนิเทศแบบโค้ช
2.4 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
2.4.1 ท าไมต้องเรียนภาษาไทย
ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอนก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพและ
ั
ื่
เสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเพอสร้างความเข้าใจ
ั
และความสัมพนธ์ที่ดีต่อกัน ท าให้สามารถประกอบกิจธุระ การงาน และด ารงชีวิตร่วมกันในสังคม
ประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จากแหล่งข้อมูลสารสนเทศ
ต่างๆ เพื่อพัฒนาความรู้ พัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทาง
สังคม และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนน าไปใช้ในการพัฒนาอาชีพให้มีความมั่นคงทาง
เศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเป็นสื่อแสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษด้านวัฒนธรรม ประเพณี และสุนทรียภาพ
เป็นสมบัติล้ าค่าควรแก่การเรียนรู้ อนุรักษ์ และสืบสานให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป
2.4.2 เรียนรู้อะไรในภาษาไทย
ื่
ภาษาไทยเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนจนเกิดความช านาญในการใช้ภาษาเพอการสื่อสาร การเรียนรู้อย่างมี
ประสิทธิภาพ และเพื่อน าไปใช้ในชีวิตจริง
ั
่
่
่
่
• การอาน » การอานออกเสียงค า ประโยค การอานบทร้อยแก้ว ค าประพนธ์ชนิดต่างๆ การอาน
ในใจเพอสร้างความเข้าใจ และการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ความรู้จากสิ่งที่อาน เพอน าไปปรับใช้
ื่
่
ื่
ในชีวิตประจ าวัน
ั
• การเขียน » การเขียนสะกดตามอกขรวิธี การเขียนสื่อสาร โดยใช้ถ้อยค าและรูปแบบต่างๆ ของการ
เขียน ซึ่งรวมถึงการเขียนเรียงความ ย่อความ รายงานชนิดต่างๆ การเขียนตามจินตนาการ
วิเคราะห์วิจารณ์ และเขียนเชิงสร้างสรรค์
• การฟง การดู และการพด » การฟงและดูอย่างมีวิจารณญาณ การพดแสดงความคิดเห็น
ู
ั
ู
ั
ความรู้สึก พดล าดับเรื่องราวต่างๆ อย่างเป็นเหตุเป็นผล การพดในโอกาสต่างๆ ทั้งเป็นทางการ
ู
ู
และไม่เป็นทางการ และการพูดเพื่อโน้มน้าวใจ
• หลักการใช้ภาษาไทย » ธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของภาษาไทย การใช้ภาษาให้ถูกต้องเหมาะสม
กับโอกาสและบุคคล การแต่งบทประพนธ์ประเภทต่างๆ และอทธิพลของภาษาต่างประเทศใน
ั
ิ
ภาษาไทย
• วรรณคดีและวรรณกรรม » วิเคราะห์วรรณคดีและวรรณกรรมเพื่อศึกษาข้อมูล แนวความคิด คุณค่า
ั
ของงานประพนธ์ และความเพลิดเพลิน การเรียนรู้และท าความเข้าใจบทเห่ บทร้องเล่นของเด็ก
ื้
เพลงพนบ้านที่เป็นภูมิปัญญาที่มีคุณค่าของไทย ซึ่งได้ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ค่านิยม
22
ื่
ขนบธรรมเนียมประเพณี เรื่องราวของสังคมในอดีต และความงดงามของภาษา เพอให้เกิดความ
ซาบซึ้งและภูมิใจ ในบรรพบุรุษที่ได้สั่งสมสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
2.4.3 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
สาระที่ ๑ การอ่าน
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอานสร้างความรู้และความคิดเพอน าไปใช้ตัดสินใจ
ื่
่
แก้ปัญหาในการด าเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน
สาระที่ ๒ การเขียน
มาตรฐาน ท ๒.๑ ใช้กระบวนการเขียนเขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเรื่องราว
ในรูปแบบต่างๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่าง มีประสิทธิภาพ
สาระที่ ๓ การฟัง การดู และการพูด
มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลือกฟงและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพดแสดงความรู้ ความคิด
ั
ู
และความรู้สึกในโอกาสต่างๆ อย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์
สาระที่ ๔ หลักการใช้ภาษาไทย
มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและ
พลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ
สาระที่ ๕ วรรณคดีและวรรณกรรม
มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่าง
เห็นคุณค่าและน ามาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง
2.4.4 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง
สาระที่ 1 การอ่าน
่
มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอานสร้างความรู้และความคิดเพอน าไปใช้ตัดสินใจ
ื่
แก้ปัญหาในการด าเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน
ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง
่
่
ป.1 - อานออกเสียงค า ค าคล้องจอง ∆ การอานออกเสียงและบอกความหมายของค า ค าคล้อง
ื้
และข้อความสั้นๆ จอง และข้อความที่ประกอบด้วยค าพนฐาน คือ ค าที่ใช้ใน
- บอกความหมายของค า และ ชีวิตประจ าวันไม่น้อยกว่า 600 ค า รวมทั้งค าที่ใช้เรียนรู้ใน
ข้อความที่อ่าน กลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น ประกอบด้วย
- ค าที่มีรูปวรรณยุกต์และไม่มีรูปวรรณยุกต์
- ค าที่มีตัวสะกดตรงตามมาตราและไม่ตรงตามมาตรา
- ค าที่มีพยัญชนะควบกล้ า
- ค าที่มีอักษรน า
- ตอบค าถามเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน ∆ การอ่านจับใจความจากสื่อต่างๆ เช่น
- เล่าเรื่องย่อจากเรื่องที่อ่าน - นิทาน
23
- คาดคะเนเหตุการณ์จากเรื่องที่ - เรื่องสั้นๆ
อ่าน - บทร้องเล่นและบทเพลง
- เรื่องราวจากบทเรียนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
และกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น
- อานหนังสือตามความสนใจอย่าง ∆ การอ่านหนังสือตามความสนใจ เช่น
่
สม่ าเสมอและน าเสนอเรื่องที่อ่าน - หนังสือที่นักเรียนสนใจและเหมาะสมกับวัย
- หนังสือที่ครูและนักเรียนก าหนดร่วมกัน
- บอกความหมายของเครื่องหมาย ∆ การอ่านเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ ประกอบด้วย
หรือสัญลักษณ์ส าคัญที่มักพบเห็น - เครื่องหมายสัญลักษณ์ต่างๆ ที่พบเห็นในชีวิตประจ าวัน
ในชีวิตประจ าวัน - เครื่องหมายแสดงความปลอดภัยและแสดงอันตราย
- มีมารยาทในการอ่าน ∆ มารยาทในการอ่าน เช่น
- ไม่อ่านเสียงดังรบกวนผู้อื่น
- ไม่เล่นกันขณะที่อ่าน
- ไม่ท าลายหนังสือ
สาระที่ 2 การเขียน
มาตรฐาน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียน เขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียน
เรื่องราวในรูปแบบต่างๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมีประสิทธิภาพ
ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง
ป.1 - คัดลายมือตัวบรรจงเต็มบรรทัด ∆ การคัดลายมือตัวบรรจงเต็มบรรทัดตามรูปแบบการเขียน
ตัวอักษรไทย
- เขียนสื่อสารด้วยค าและประโยค ∆ การเขียนสื่อสาร
ง่ายๆ - ค าที่ใช้ในชีวิตประจ าวัน
- ค าพื้นฐานในบทเรียน
- ค าคล้องจอง
- ประโยคง่ายๆ
- มีมารยาทในการเขียน ∆ มารยาทในการเขียน เช่น
- เขียนให้อ่านง่าย สะอาด ไม่ขีดฆ่า
- ไม่ขีดเขียนในที่สาธารณะ
- ใช้ภาษาเขียนเหมาะสมกับเวลา สถานที่ และบุคคล
24
สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด
มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟงและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพดแสดงความรู้ ความคิด
ู
ั
และความรู้สึกในโอกาสต่างๆ อย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์
ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง
ั
ป.1 - ฟงค าแนะน า ค าสั่งต่างๆและ ∆ การฟังและปฏิบัติตามค าแนะน า ค าสั่งต่างๆ
ปฏิบัติตาม
ู
ั
- ตอบค าถามและเล่าเรื่องที่ฟง ∆ การจับใจความและพดแสดงความคิดเห็นความรู้สึกจาก
และดูทั้งที่เป็นความรู้และความ เรื่องที่ฟังและดู ทั้งที่เป็นความรู้และความบันเทิง เช่น
บันเทิง - เรื่องเล่าและสารคดีส าหรับเด็ก
ู
- พดแสดงความคิดเห็นและ - นิทาน
ความรู้สึกจากเรื่องที่ฟังและด ู - การ์ตูน
- เรื่องขบขัน
- พูดสื่อสารได้ตามวัตถุประสงค์ ∆ การพูดสื่อสารในชีวิตประจ าวัน เช่น
- การแนะน าตนเอง
- การขอความช่วยเหลือ
- การกล่าวค าขอบคุณ
- การกล่าวค าขอโทษ
ั
- มีมารยาทในการฟง การดู และ ∆ มารยาทในการฟัง เช่น
การพูด - ตั้งใจฟัง ตามองผู้พูด
- ไม่รบกวนผู้อื่นขณะที่ฟัง
- ไม่ควรน าอาหารหรือเครื่องดื่มไปรับประทานขณะที่ฟัง
- ให้เกียรติผู้พูดด้วยการปรบมือ
- ไม่พูดสอดแทรกขณะที่ฟัง
∆ มารยาทในการดู เช่น
- ตั้งใจดู
- ไม่ส่งเสียงดังหรือแสดงอาการรบกวนสมาธิของผู้อื่น
∆ มารยาทในการพูด เช่น
- ใช้ถ้อยค าและกิริยาที่สุภาพ เหมาะสมกับกาลเทศะ
- ใช้น้ าเสียงนุ่มนวล
- ไม่พูดสอดแทรกในขณะที่ผู้อื่นก าลังพูด
25
สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย
มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษา
และพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ
ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง
ป.1 - บอกและเขียนพยัญชนะ สระ ∆ พยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์
วรรณยุกต์และเลขไทย ∆ เลขไทย
่
- เขีย นส ะกดค าแล ะบ อ ก ∆ การสะกดค า การแจกลูก และการอาน
ความหมายของค า เป็นค า
∆ มาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตราและไม่
ตรงตามมาตรา
∆ การผันค า
∆ ความหมายของค า
- เรียบเรียงค าเป็นประโยคง่ายๆ ∆ การแต่งประโยค
- ต่อค าคล้องจองง่ายๆ ∆ ค าคล้องจอง
สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม
มาตรฐาน ท 5.1 เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่าง
เห็นคุณค่าและน ามาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง
ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง
่
ป.1 - บอกข้อคิดที่ได้จากการอานหรือ ∆ วรรณกรรมร้อยแก้วและร้อยกรองส าหรับ
การฟงวรรณกรรมร้อยแก้วและ เด็ก เช่น
ั
ร้อยกรองส าหรับเด็ก - นิทาน
- เรื่องสั้นง่ายๆ
- ปริศนาค าทาย
- บทร้องเล่น
- บทอาขยาน
- บทร้อยกรอง
- วรรณคดีและวรรณกรรมในบทเรียน
- ท่องจ าบทอาขยานตามที่ก าหนด ∆ บทอาขยานและบทร้อยกรอง
และบทร้อยกรองตามความสนใจ - บทอาขยานตามที่ก าหนด
- บทร้อยกรองตามความสนใจ
26
2.5 การเรียนการสอนภาษาไทย
2.5.1 แนวการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนภาษาไทย
วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ ( 2549) ได้ให้แนวการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนภาษาไทยไว้ดังนี้
่
1. ฝึกทักษะการฟง พด อานและเขียนให้ถูกต้อง คล่องแคล่ว โดยการฝึกทักษะแต่ละอย่างให้
ั
ู
แม่นย าแล้วจึงฝึกทักษะทั้ง 5 ให้สัมพันธ์กันและส่งเสริมการคิด ตลอดจนความคิดสร้างสรรค์
2. ฝึกทักษะทางภาษาซ้ าๆและบ่อยๆ จนเกิดความช านาญ และหมั่นฝึกฝนทบทวนอยู่เสมอ
ครูผู้สอนต้องส่งเสริมให้นักเรียนฝึกทักษะเป็นรายบุคลอย่างทั่วถึง
3. ฝึกให้ผู้เรียนรู้หลักเกณฑ์ทางภาษาควบคู่ไปกับการใช้ภาษาและรู้จักวัฒนธรรมทางภาษา
4. ส่งเสริมให้ผู้เรียนน าความรู้ และทักษะที่ได้จากการเรียนภาษาไทยไปใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารใน
ชีวิตประจ าวัน และใช้เป็นพื้นฐานในการเรียนกลุ่มประสบการณ์อื่นๆ
5. ปลูกฝังเจตคติที่ดีต่อการเรียนภาษาไทย โดยสอนให้เห็นคุณค่าและตระหนักในความส าคัญของ
ื่
ภาษาไทย ทั้งในส่วนที่จ าเป็นต้องใช้เพอการสื่อสาร และในด้านการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมที่ส าคัญของ
ชาติ
ื่
ึ
6. ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดความพงพอใจความงดงามของภาษาเพอให้เกิดความจรรโลงใจ โดยใช้
ธรรมชาติ บทร้อยแก้ว และร้อยกรองที่เหมาะสมกับวัยและระดับชั้นมาเป็นสื่อการเรียนการสอน
7. ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีนิสัยรักการอ่าน ใฝ่หาความรู้จากแหล่งต่างๆ เพื่อประโยชน์ในการด ารงชีวิต
8. สอดแทรกคุณธรรมต่างๆ เช่น ความมีระเบียบวินัย ความขยัน ความอดทน ความรับผิดชอบ
ื่
9. ฝึกให้ผู้เรียนเป็นคนช่างสังเกต จดจ า และจดบันทึกสิ่งต่างๆ เพอเสริมสร้างประสบการณ์ทาง
ภาษาได้รับความรู้ ความเพลิดเพลิน และเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
10. น าภาษาที่ใช้ในสังคมแวดล้อมมาเป็นสื่อประกอบการเรียนการสอนเพอให้สัมพนธ์กับการ
ั
ื่
เรียนและสามารถน าไปใช้ประโยชน์ได้จริงในชีวิตประจ าวัน
11. ให้แบบอย่างที่ดีแก่นักเรียน โดยเฉพาะเรื่องการใช้ภาษาและการสื่อสารของครูผู้สอน
12. วัดและประเมินผล โดยค านึงถึงวัย ระดับชั้น และพัฒนาการทางภาษาของนักเรียน
ั
ื่
13. ส่งเสริมให้นักเรียนประเมินผลการเรียนภาษาของตน เพอให้นักเรียนพฒนาให้ดียิ่งขึ้น
ตามล าดับ
14. ศึกษา ติดตาม และแก้ไขข้อบกพร่องทางภาษาของนักเรียนอย่างสม่ าเสมอและต่อเนื่อง
15. จัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนได้เรียนภาษาไทยด้วยความสนุกสนานน่าสนใจ โดยใช้
โปรแกรม เพลง รูปแบบการสอนอนๆ และสื่อการสอนที่หลากหลายเพอให้นักเรียนเกิดความรักในการเรียน
ื่
ื่
ภาษาไทย
่
16. จัดท าหนังสือที่เหมาะสมให้ผู้เรียนอานมากๆ หรือส่งเสริมการอ่านหนังสือในห้องสมุด เพื่อให้
นักเรียนมีความรู้กว้างขวางขึ้น
27
2.5.2 หลักในการเลือกกิจกรรมการเรียนการสอนภาษาไทย
กิจกรรมการเรียนการสอนมีมากมาย เราสามารถจัดได้ทุกระยะของการเรียนการสอนตั้งแต่ขั้น
น าเข้าสู่บทเรียน ขั้นสอน ขั้นสรุป และขั้นประเมินผล ครูเป็นผู้เลือกกิจกรรมให้เหมาะสมกับบทเรียน โดยยึด
หลักดังนี้
1. เลือกให้เหมาะสมกับจุดประสงค์ของบทเรียน
2. เลือกให้เหมาะสมกับผู้เรียน เช่น ความยุ่งยาก ระดับความรู้
3. เลือกโดยพจารณาความสามารถของผู้สอนด้วย เช่น ครูที่ร้องเพลงไม่เก่งก็จะใช้เครื่อง
ิ
บันทึกเสียงแทน
ิ
4. เลือกโดยพจารณาสภาพแวดล้อมในการเรียนการสอน เช่น ถ้าห้องเรียนแคบ การจัดให้
ื่
ื่
เล่นเกมแข่งขันก็อาจจะเกิดเสียงดังไปรบกวนห้องอน และการเคลื่อนไหวก็ไม่สะดวก ครูใช้กิจกรรมอนแทน
หรือพานักเรียนไปสนามหญ้าแทน
5. เลือกกิจกรรมให้ความสนุกสนาน ปฏิบัติง่าย ไม่ซับซ้อน และยึดหยุ่นได้
6. เลือกกิจกรรมที่ให้แนวคิดริเริ่มสร้างสรรค์และทุกคนมีส่วนร่วม
วรรณี โสมประยูร ( 2544 ) ได้อธิบายถึงการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นการจัดกิจกรรมการ
เรียนการสอนภาษาไทยในระดับประถมศึกษาควรค านึงถึงจุดประสงค์ความพร้อมของผู้เรียนควรให้ผู้เรียนมี
ั
ั
ื่
่
พฒนาการทั้ง 4 ทักษะ คือ ฟง พด อาน เขียน และมีการฝึกฝนทางภาษา มีการบูรณาการสอนกับวิชาอนๆ
ู
ตามความเหมาะสม เปิดโอกาสให้นักเรียนร่วมกิจกรรมการเรียนการสอนมากที่สุด เน้นให้ผู้เรียนรู้จักคิด
ตัดสินใจเอง รู้จักแก้ปัญหาด้วยตนเองอยู่เสมอ ควรใช้การสอนหลายๆวิธี นอกจากนี้ครูควรสอดแทรกคุณธรรม
ื่
และให้รู้จักการท างานร่วมกับคนอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเรียนการสอนนอกจากจะมีความส าคัญในตัว
มันเองแล้วยังเป็นปัจจัยส าคัญที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนวิชาอนๆ ได้อก ดังนั้นการเรียนการสอนภาษาไทย
ี
ื่
จึงไม่น่าจ ากัดอยู่ในชั่วโมงภาษาไทยเท่านั้น ซึ่งการสอนภาษาไทยควรยึดหลักดังนี้
ด้านตัวผู้สอน ควรสอนให้สอดคล้องกับธรรมชาติของผู้เรียน ผู้สอนควรเป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้
ั
ื่
ภาษาในการท ากิจกรรมการเรียนการสอนควรสอนเรื่องใกล้ตัวผู้เรียนและสอนให้สัมพนธ์กับวิชาอนๆ
นอกจากนี้แล้วควรมีการประเมินผลเป็นระยะ เพื่อผู้เรียนจะได้ทราบความก้าวหน้าทางการเรียนของตัวเอง
ด้านผู้เรียน ควรมีความพร้อมในการเรียนมีการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองและมีการฝึกฝนอยู่เสมอด้าน
สื่อการเรียนการสอนควรมีการใช้สื่อการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนรู้ค า
2.5.3 สื่อการเรียนการสอนภาษาไทย
สื่อการเรียนการสอนภาษาไทยมีความส าคัญต่อการเรียนการสอนมาก เพราะสื่อเป็นตัวกลางที่จะ
ช่วยให้การสื่อสารระหว่างครูกับนักเรียนให้เข้าใจตรงกัน และนักเรียนก็สามารถท าความเข้าใจกับบทเรียนได้
ง่ายขึ้น ท าให้นักเรียนมีความสนใจบทเรียนมากกว่าการสอนที่มีแต่ครูอธิบายเพยงอย่างเดียว สื่อการเรียนการ
ี
สอนจะช่วยน าความมีประสิทธิภาพมาสู่การเรียนการสอนและน าความส าเร็จมาสู่วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
28
ุ
สื่อการสอน หมายถึง วัสดุ อปกรณ์ เครื่องมือ วิธีการ และกิจกรรมต่างๆ ที่ครูผู้สอนใช้ถ่ายทอด
ื่
ความรู้และประมวลประสบการณ์ไปสู่ผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพ เพอให้บรรลุตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ พอ
จ าแนกสื่อการสอนออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1. สื่อประเภทวัสดุ ( Materials) หรือบางทีเรียกว่าสื่อประเภทเบา (software) หมายถึง สื่อ
ที่เก็บความรู้อยู่ในตัวเอง ซึ่งจ าแนกย่อยออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
ุ
ก. สื่อประเภทที่สามารถถ่ายทอดความรู้ได้ด้วยตนเองไม่จ าเป็นต้องอาศัยอปกรณ์อื่นช่วย
เช่น แผนที่ ลูกโลก รูปภาพ หุ่นจ าลอง ฯลฯ
ข. วัสดุที่ไม่สามารถถ่ายทอดความรู้ได้โดยตัวเองจ าเป็นต้องอาศัยอปกรณ์อนช่วย เช่น
ุ
ื่
แผ่นเสียง ฟิล์มภาพยนตร์ สไลด์ ฯลฯ
ุ
2. สื่อประเภทอปกรณ์หรือเครื่องมือ (Equipment) หมายถึง ส่วนที่เป็นตัวกลางหรือตัวผ่าน
ท าให้ข้อมูลหรือความรู้ที่บันทึกไว้ในวัสดุ สามารถถ่ายทอดออกมาให้เห็นหรือได้ยิน เช่น เครื่องฉายแผ่นภาพ
โปร่งใส เครื่องฉายสไลด์ เครื่องฉายภาพยนตร์ เครื่องรับโทรทัศน์ เครื่องเล่นแผ่นเสียง เป็นต้น
3. สื่อประเภทเทคนิคหรือวิธีการ (Techniques or methods) หมายถึง สื่อที่มีลักษณะเป็น
ุ
แนวคิดหรือรูปแบบขั้นตอนในการเรียนการสอน โดยสามารถน าสื่อวัสดุและอปกรณ์มาช่วยในการสอนได้ เช่น
เกมและสถานการณ์จ าลอง การสอนแบบจุลภาค การสาธิต เป็นต้น
2.6 การอ่าน
การอานเป็นทักษะทางภาษาที่ส าคัญและจ าเป็นมากในการด ารงชีวิตของมนุษย์ในชีวิตประจ าวันต้อง
่
อาศัยการอ่านจึงจะสามารถเข้าใจและสื่อความหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2.6.1 ความหมายของการอ่าน
่
่
นิรันดร์ สุขปรีดี (2550) ได้ให้ความหมายของการอานว่า การอาน คือ การเข้าใจความหมายของ
ตัวละคร หรือสัญลักษณ์ ซึ่งจะต้องอาศัยความสามารถในการแปลความ การตีความ การขยายความ การจับ
ใจความส าคัญและการสรุปความ
เรวดี อาษานาม (2550) ได้ให้ความหมายของการอ่าน ดังนี้
การอาน หมายถึง กระบวนการในการแบ่งความหมายของตัวอกษร หรือสัญลักษณ์ที่มีการจัด
่
ั
ิ
บันทึกอย่างมีเหตุผผผลและเข้าใจความหมายของสิ่งที่อาน ตลอดจนการพจารณาเลือกความหมายที่ดีที่สุดขึ้น
่
่
่
่
ไปใช้เป็นประโยชน์ด้วย จะเห็นได้ว่าการอานไม่ใช่การรับเอาความคิดจากหนังสือที่อานเฉยๆ ผู้อานไม่ใช่ผู้รับ
แต่เป็นผู้กระท า สรุปได้ว่าเป็นผู้ใช้ความคิดไตร่ตรองเรื่องราวที่ตนเองอานเสียก่อน แล้วจึงรับเอาใจความของ
่
เรื่องที่ตนอานไปเก็บไว้หรือน าไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อไป ดังนั้นหัวใจของการอานจึงอยู่ที่การเข้าใจ
่
่
ความหมายของค า
ประทีป วาทิกทินกร (2551) ได้ให้ความหมายของการอาน คือ การรับรู้ข้อความในข้อเขียนของ
่
ตนเอง และของผู้อื่น รวมทั้งการรับรู้เครื่องหมายสื่อสารต่างๆ เช่น เครื่องหมายจราจร และเครื่องหมายที่แสดง
ในแผนภูมิต่างๆ
29
สุนันทา มั่นเศรษฐวิทย์ (2550) ได้ให้ความหมายของการอ่านว่า การอ่านเป็นล าดับขั้นที่เกี่ยวข้อง
ื่
กับการท าความเข้าใจความหมายของค า กลุ่มค า ประโยค ข้อความและเรื่องราวของสารที่ผู้อนสามารถบอก
ความหมายได ้
่
วรรณี โสมประยูร (2544) ได้ให้ความหมายของการอ่านว่า การอานเป็นกระบวนการทางสมองที่
ั
ิ
ื่
์
ใช้สายตาสัมผัสตัวอกษรหรือสิ่งพมพอนๆ รับรู้และเข้าใจความหมายของค าหรือสัญลักษณ์โดยแปลออกเป็น
ความหมายที่ใช้สื่อความความคิดและความรู้ระหว่างผู้เขียนกับผู้อานให้เข้าใจตรงกันและผู้อานสามารถน า
่
่
ความหมายนั้นๆ ไปใช้ประโยชน์ได้
่
ฉวีวรรณ คูหาภินันท์ (2545) ได้ให้ความหมายของการอาน คือ ความเข้าใจในสัญลักษณ์
เครื่องหมาย รูปภาพ ตัวอักษร ค าและข้อความที่พิมพหรือเขียนขึ้นมา
์
่
ราชบัณฑิตยสถาน (2546) ได้ให้ความหมายของการอานไว้ว่า หมายถึง การอานตามตัวหนังสือ
่
ื่
การออกเสียงตามตัวหนังสือ การดูหรือเข้าใจความหมายจากหนังสือ สังเกตหรือพจารณาดูเพอให้เข้าใจ การ
ิ
คิด การนับ
่
ฉวีลักษณ์ บุญกาญจน (2547) ได้ให้ความหมายของการอาน คือการบริโภคค าที่ถูกเขียนออกมา
เป็นตัวหนังสือหรือสัญลักษณ์ โดยมีกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่เริ่มจาก “แสง” ที่ถูกสะท้อนมาจาก
ตัวหนังสือ ผ่านเลนส์นัยน์ตาและประสาทตา เข้าสู่เซลสมองไปเป็นความคิด (Idea) ความรับรู้ (Perception)
และความจ า ทั้งระยะสั้นและระยะยาว
วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2549) ได้ให้ความหมายของการอ่านไว้หลายส่วน ดังนี้
- ส่วนที่เกี่ยวข้องกับลักษณะของกระบวนการ หมายถึง ล าดับขั้นที่เกี่ยวข้องกับการท าความเข้าใจ
ความหมายของค า กลุ่มค า ประโยค ข้อความและเรื่องราวข่าวสารที่ผู้อ่านสามารถบอกความหมายได้
ั
- ส่วนที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาพฒนาการ หมายถึง การสอนอานจะต้องเข้าใจหลักจิตวิทยา
่
พัฒนาการทางภาษาของเด็กแต่ละวัย จัดสื่อการสอนให้สอดคล้องกับความต้องการและความสนใจของเด็ก
่
- ส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาษาศาสตร์ หมายถึง การสอนอานจะต้องเข้าใจเสียงฐานที่เกิดเสียงของ
่
ื่
พยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ เข้าใจหลักภาษาและการใช้ภาษาเพอน าหลักการเหล่านั้นมาสอนอานและเข้าใจ
ความหมายได้ถูกต้อง
-ส่วนที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาทางการศึกษา หมายถึง การน าหลักจิตวิทยามาใช้ทางการศึกษา เช่น
ื่
ื้
่
ความพร้อมของการอาน ความสนใจ แรงจูงใจ การเสริมแรง และทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง เพอใช้เป็นพนฐานในการ
พิจารณาการจัดกิจกรรมการอ่าน
่
- ส่วนที่เกี่ยวข้องกับวิชาการศึกษา หมายถึง การรู้จักเลือกวิธีสอนอานที่เหมาะสมกับวัย และ
ระดับความสามารถในการอานของนักเรียน ทั้งนี้ให้เป็นไปตามขั้นพฒนาการ เพอให้นักเรียนประสบ
่
ั
ื่
ความส าเร็จในการอ่าน
- ส่วนที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาด้านการจ าและการลืม หมายถึง การที่ผู้อ่านสามารถจ าเรื่องและเก็บ
่
ื่
ไว้ในสมอง ถ้ามีโอกาสเล่าให้ผู้อนฟงก็สามารถเล่าได้ถูกต้อง แต่การที่ผู้อานจะจ าข้อความที่อานได้ก็จะต้อง
่
ั
เข้าใจความหมายของค า รู้หน้าที่ของค า อีกทั้งสามารถแยกพยัญชนะ สระ ตัวสะกด และวรรณยุกต์ ออกจาก
30
กันได้ อีกประการหนึ่งที่ผู้อ่านจะจ าเรื่องได้มากหรือน้อยนั้นยังขึ้นอยู่กับความสนใจของผู้อ่านที่มีต่อเรื่องนั้นอก
ี
ด้วย
่
สรุปได้ว่า การอานเป็นกระบวนการทางสมองที่ต้องใช้สายตาสัมผัสตัวหนังสือหรือสิ่งพมพอนๆ รับรู้
ิ
ื่
์
และเข้าใจความหมายของค า ที่ใช้สื่อความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่านให้เข้าใจตรงกันและ
ผู้อ่านสามารถน าเอาความหมายนั้นๆ ไปใช้ประโยชน์ได้
2.6.2 ความส าคัญของการอ่าน
่
วรรณี โสมประยูร (2544) ได้อธิบายถึงความส าคัญของการอานหนังสือมีผลต่อผู้อาน 2 ประการ
่
คือ ประการแรก อานแล้วได้ “อรรถ” ประการที่สอง อานแล้วได้ “รส”ถ้าผู้อานส านึกอยู่ตลอดเวลาถึงผล
่
่
่
ส าคัญของสองประการนี้ ย่อมจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากหนังสือตรงตามเจตนารมณ์ของผู้เขียนเสมอ
การอ่านมีความส าคัญต่อทุกคน ทุกเพศ ทุกวัยและทุกสาขาอาชีพ ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้
1) การอ่านเป็นเครื่องมือที่ส าคัญยิ่งในการศึกษาเล่าเรียนทุกระดับ ผู้เรียนจ าเป็นต้องอาศัยทักษะ
่
การอานท าความเข้าใจเนื้อหาสาระของวิชาการต่างๆ เพอให้ตนเองได้รับความรู้ และประสบการณ์ตามที่
ื่
ต้องการ
2) ในชีวิตประจ าวันโดยทั่วไป คนเราต้องอาศัยการอาน ติดต่อสื่อสาร เพอท าความเข้าใจกับ
่
ื่
ู
บุคคลอนร่วมไปกับทักษะการฟง การพด การเขียน ทั้งในด้านภารกิจส่วนตัวและการประกอบอาชีพการงาน
ื่
ั
ต่างๆ ในสังคม
3) การอานสามารถช่วยให้บุคคลสามารถน าความรู้และประสบการณ์จากสิ่งที่อานไปปรับปรุง
่
่
และพัฒนาอาชีพหรือธุรกิจการงานที่ตัวเองกระท าอยู่ให้เจริญก้าวหน้าและประสบความส าเร็จได้ในที่สุด
4) การอ่านสามารถสนองความต้องการพื้นฐานของบุคคลในด้านต่างๆ ได้เป็นอย่างดี เช่น ช่วยให้
ความมั่นคงปลอดภัย ช่วยให้ได้รับประสบการณ์ใหม่ ช่วยให้เป็นที่ยอมรับของสังคม ช่วยให้มีเกียรติยศและ
ชื่อเสียง ฯลฯ
ิ่
5) การอานทั้งหลายจะส่งเสริมให้บุคคลได้ขยายความรู้และประสบการณ์เพมขึ้นอย่างลึกซึ้งและ
่
ู
กว้างขวาง ท าให้เป็นผู้รอบรู้ เกิดความมั่นใจในการพดปราศรัย การบรรยายหรืออภิปรายปัญหาต่างๆ นับว่า
เป็นการเพิ่มบุคลิกภาพและความน่าเชื่อถือให้แก่ตัวเอง
6) การอานหนังสือหรือสิ่งพมพหลายชนิดนับว่าเป็นกิจกรรมนันทนาการที่น่าสนใจมาก เช่น อาน
่
์
ิ
่
ิ
หนังสือพมพ นิตยสาร วารสาร นวนิยาย การ์ตูน ฯลฯ เป็นการช่วยให้บุคคล รู้จักใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์
์
และเกิดความเพลิดเพลินสนุกสนานได้เป็นอย่างดี
7) การอานเรื่องราวต่าง ๆ ในอดีต เช่น อ่านศิลาจารึก ประวัติศาสตร์ เอกสารส าคัญ วรรณคดี
่
ฯลฯ จะช่วยอนุชนรุ่นหลังรู้จักอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของคนไทยเอาไว้และสามารถพัฒนาให้เจริญรุ่งเรือง
ต่อไปได้
สรุปความส าคัญของการอ่านว่า เป็นเครื่องมือที่ส าคัญยิ่งในการแสวงหาความรู้ การเรียนรู้ และพัฒนา
สติปัญญาของคนในสังคม พัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต
31
2.6.3 การอ่านแจกลูกสะกดค า
วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2549) ได้อธิบายความหมายของการแจกลูกมีความหมาย 2 นัย ดังนี้
นัยแรก หมายถึง การแจกลูกในมาตราตัวสะกดแม่ ก กา กง กน กม เกย เกอว กก กด และ
กบ การแจกลูกจะเริ่มต้นการสอนให้จ า และออกเสียงพยัญชนะและสระให้ได้ก่อน จากนั้นจะเริ่มแจกลูกใน
มาตราแม่ ก กา จะใช้การสะกดค าไปทีละค าไล่ไปตามล าดับของสระ แล้วจึงอานโดยไม่สะกดค า จึงเรียกว่า
่
่
แจกลูกสะกดค า แล้วอานค าในมาตราตัวสะกดทุกมาตราจนคล่องจากนั้นจะอานเป็นเรื่องเพอประยุกต์
ื่
่
หลักการอ่านน าไปสู่การอ่านค าที่เป็นเรื่องอย่างหลากหลาย
นัยสอง หมายถึง การเทียบเสียง เป็นการแจกลูกวิธีหนึ่ง เมื่อนักเรียนอานค าได้แล้วให้น ารูป
่
ค ามาแจกลูกโดยการเปลี่ยนพยัญชนะต้นหรือพยัญชนะท้าย เช่น บ้าน สูตรของค า คือ ให้เปลี่ยนพยัญชนะต้น
เช่น ก้าน ป้าน ร้าน ล้าน ค้าน เป็นต้น หลักการเทียบเสียง มีดังนี้
1. อ่านสระเสียงยาวก่อนสระเสียงสั้น
2. น าค าที่มีความหมายมาสอนก่อน
3. เปลี่ยนพยัญชนะที่เป็นพยัญชนะต้นและพยัญชนะเสียงท้าย
่
่
4. น าค าที่อานมาจัดท าแผนภูมิการอาน เช่น กา มา พา ลา ยา ค้า ม้า ข้า ล้า น้า บ้าน ก้าน
่
่
่
ป้าน ร้าน ค้าน วิธีอานจะไม่สะกดค าให้อานเป็นค าตามสูตรของค า เช่น อาน กา สูตรของค าคือ -า น า
พยัญชนะมาเติมและอ่านเป็นค า เช่น ยา ทา หา นา ตา อา
การสอนแบบแจกลูกส าหรับนักเรียนแรกอ่าน (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และ 2 ) มีหลักการสอน ดังนี้
1. เริ่มจากสระที่ง่ายที่สุด คือ สระ -า
2. ใช้แผนผังความคิดแจกลูก โดยเลือกค าที่มีความหมายก่อน
3. ผู้เรียนอ่านออกเสียงค าและท าความเข้าใจความหมาย
4. น าค าจากแผนผังความคิดมาแต่งประโยค
5. อ่านประโยคที่แต่ง
6. เขียนประโยคที่แต่ง
่
เรวดี อาษานาม (2537) ได้อธิบายถึงการอานส าหรับเด็กที่ยังไม่เรียนหนังสือ ให้สามารถอานและ
่
ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดหรือค าพดออกมาเป็นตัวหนังสือ นับตั้งแต่เริ่มมีการสอนหนังสือไทยจนถึงปัจจุบัน ได้
ู
่
กล่าวถึง การอานแบบแจกลูกสะกดค า ดังนี้ คือการสอนที่ถือว่าค าประกอบด้วยรูปและเสียงของพยัญชนะ
สระ วรรณยุกต์ ตัวสะกด ฯลฯ เวลาสอนอ่านแทนที่จะอ่านเป็นค าๆ มีความหมายเลยทีเดียว ก็ต้องไล่พยัญชนะ
่
สระ ฯลฯ ให้ออกเสียงได้ถูกต้องเป็นค าๆ อกทีหนึ่ง เป็นการช่วยให้อ่านค าได้ เพราะผู้อานรู้จัก พยัญชนะ สระ
ี
ตัวสะกด แล้วช่วยพาไป เช่น จาม นักเรียนสะกดค าว่า จอ -า -จา -จา -นอ -จาน หรือ จ -า -น -จาน
บ้าน นักเรียนสะกดค าว่า บอ -า -บา -บา -นอ -บาน หรือ บาน - -บ้าน วิธีนี้ช่วยให้เด็กรู้จักหลักเกณฑ์
ของการเรียงล าดับอักษรภายในค าหนึ่งๆ เพื่อจะได้ออกเสียงได้ชัดเจน และเขียนค านั้นได้ถูกต้อง
่
กรมวิชาการ (2546) ได้อธิบายการอานแจกลูกและการสะกดค าเป็นกระบวนการขั้นพนฐานของการ
ื้
น าเสียงพยัญชนะต้น สระ วรรณยุกต์และตัวสะกด มาประสมเสียงกัน ท าให้ออกเสียงค าต่างๆ ที่มีความหมาย
32
ในภาษาไทย การแจกลูกและสะกดค าบางครั้งรวมเรียกว่าการแจกลูกสะกดค า จะด าเนินไปด้วยกันอย่าง
่
ื่
ประสมกลมกลืน เพอให้นักเรียนได้หลักเกณฑ์ทางภาษาทั้งการอานและการเขียนไปพร้อมกัน และยังได้
กล่าวถึงความส าคัญของการแจกลูกสะกดค า เป็นเรื่องที่จ าเป็นมากส าหรับผู้เริ่มเรียน หากครูไม่ได้สอนการ
่
แจกลูกสะกดค าแก่นักเรียนในระยะเริ่มเรียนการอาน นักเรียนจะขาดหลักเกณฑ์การประสมค า ท าให้เมื่ออาน
่
หนังสือมากขึ้นจะสับสน อ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือผิด ซึ่งเป็นปัญหามากของเด็กนักเรียนไทยในปัจจุบัน
ผลจากการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ย่อมส่งผลกระทบต่อการเรียนวิชาอื่นๆ ด้วย
ี
สรุป การแจกลูก ในรูปแบบนี้ สามารถที่จะแจกต่อไปได้อก เช่น แจกสระ เ- แ- โ- ไ- ใ- เ-า ฯลฯ
ื่
และน ามาแต่งประโยค โดยการบูรณาการกับค าที่ประสมกับสระอน ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ และ
สามารถน าไปแต่งประโยคที่ยากและซับซ้อนขึ้นได้ เพราะเป็นการเรียนจากเรื่องที่ง่ายไปสู่เรื่องที่ยากและยังได้
ให้ความหมายของการสะกดคา ดังนี้ การสะกดค า หมายถึง การอ่าน โดยน าเสียงพยัญชนะต้น สระ วรรณยุกต์
่
่
่
และตัวสะกดมาประสมเป็นค าอาน การอานสะกดมาประสมเป็นค าอาน การอานสะกดค าจะต้องให้นักเรียน
่
สังเกตรูปค าพร้อมกับการอ่าน การสอนอ่านสะกดค าพร้อมกับการเขียน ครูต้องให้อ่านสะกดค าแล้วเขียนค าไป
พร้อมกัน การสอนสะกดค าโดยการน าค าที่มีความหมายมาสอนก่อน เมื่อสะกดค าจนจ าได้แล้วจึงแจกค า
่
เพราะการสะกดค าจะเป็นเครื่องมือการอ่านค าใหม่โดยเริ่มจากค างายๆ แล้วบอกทิศทางการออกเสียงแล้วแจก
ค าโดยเปลี่ยนพยัญชนะ
2.7 การเขียน
ื่
การสอนเขียนในระดับประถมศึกษาชั้นปีที่ 1- 6 มีจุดมุ่งหมายเพอให้มีทักษะในการเขียน เขียนได้
ถูกต้องสวยงาม สื่อความหมายได้ สามารถคิดล าดับเหตุการณ์เกี่ยวกับเรื่องที่เขียน มีนิสัยที่ดีในการเขียน รัก
การเขียนและน าการเขียนไปใช้ในชีวิตประจ าวัน
ส านักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2550) ได้ให้ความหมายการเขียน หมายถึง การสื่อสารด้วย
ตัวอกษรเพอถ่ายทอดความรู้ ความคิด อารมณ์ ความรู้สึก ประสบการณ์ ข่าวสาร และจินตนาการ โดยการใช้
ั
ื่
ภาษาที่ถูกต้องเหมาะสมตามหลักการใช้ภาษาและตรงตามเจตนาของผู้เขียน
วรรณี โสมประยูร (2544) ให้ความหมายของการเขียนว่าเป็นเครื่องมือการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด
และความต้องการของบุคคลออกมาเป็นสัญลักษณ์หรือตัวอกษร เพอสื่อความหมายให้ผู้อนได้เข้าใจได้ เพราะ
ื่
ื่
ั
การเขียนเป็นทักษะการส่งออกตามหลักของภาษาศิลป์จากความหมายของการเขียนดังกล่าว ท าให้มองเห็น
ความส าคัญของการเขียนว่ามีความจ าเป็นอย่างยิ่งต่อการสื่อสารในชีวิตประจ าวัน เช่น นักเรียนใช้การเขียน
ื่
บันทึกความรู้ ท าแบบฝึกหัดและตอบข้อสอบ บุคคลทั่วไปใช้การเขียนเพอเขียนจดหมาย ท าสัญญา พินัยกรรม
การค าประกัน เป็นต้น
การสะกดค าเป็นสาขาหนึ่งของการเขียนและเป็นทักษะที่ส าคัญทางภาษาที่มีอทธิพลต่อการใช้ภาษา
ิ
ของมนุษย์ซึ่ง ไพทูลย์ มูลดี ( 2546) ได้อธิบายความหมายของการเขียนสะกดคาคือ การจัดเรียงพยัญชนะ สระ
วรรณยุกต์ ให้เป็นค าที่มีความหมายและถูกต้องตามหลักพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน และสามารถน าค า
ดังกล่าวไปใช้ในการสื่อสารในชีวิตประจ าวันได้
33
นงเยาว์ เลี่ยมขุนทด (2547) ได้ให้ความหมายของการเขียน คือ กระบวนการคิดที่ถ่ายทอดออกมา
เป็นลายลักษณ์อักษรและถูกต้องตามหลักเกณฑทางภาษาสามารถสื่อสารกันได้
์
การเขียนสะกดค ามีความส าคัญต่อการด ารงชีวิตประจ าวัน และความเป็นอยู่ของบุคคลในปัจจุบัน
ู
เพราะการเขียนสะกดค าที่ถกจะช่วยให้ผู้เขียน อ่านและเขียนหนังสือได้ถูกต้อง สื่อความหมายได้แจ่มชดและมี
ความมั่นใจในการเขียนท าให้ผลงานที่เขียนมีคุณค่าเพมขึ้น นอกจากนี้ยังอาจจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงคุณภาพ
ิ่
การศึกษาของบุคคลนั้นด้วย
2.7.1 ความส าคัญของการสอนเขียน
การเขียนนับว่าเป็นสิ่งจ าเป็นอย่างยิ่งในการสื่อความหมาย อย่างหนึ่งของมนุษย์ สามารถ
ตรวจสอบได้และคงทนถาวร ซึ่งมีนักการศึกษาได้ให้ความส าคัญของการเขียนไว้ ดังนี้
เรวดี อาษานาม (2537) ได้สรุปความส าคัญของการเขียนไว้ ดังนี้ คือเด็กที่มีความสามารถในการ
อ่านและประสบความส าเร็จในการเขียนมาก จะมีจินตนาการในการใช้ภาษษได้ดี เพราะได้มีโอกาสเรียนรู้แนว
่
ทางการใช้ค าต่างๆ จากส านวนภาษาไทยในหนังสือต่างๆที่อ่านพบ โดยปกติครูมักสอนให้เด็กอานได้ก่อนจึงให้
่
เขียนค าที่ตนอานได้ แต่ทักษะในการเขียนเป็นทักษะที่สลับซับซ้อนกว่าทักษะอน เด็กจึงจ าเป็นต้องมีความ
ื่
ั
พร้อมโดยฝึกทกษะการฟง การพูดและการอ่านได้ก่อนแล้วจึงเริ่มทักษะการเขียน ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่
ั
1-2 มุ่งเน้นทักษะพนฐานในการเขียนยั่วยุให้เขียนด้วยความสนุกสนานไม่เบื่อ โดยจัดกิจกรรมต่างๆ ให้ฝึกจาก
ื้
่
ง่ายไปหายากและให้สัมพันธ์กับการพูดและการอาน
2.7.2 จุดมุ่งหมายของการเขียน
วรรณี โสมประยูร (2549) ได้อธิบาย จุดมุ่งหมายการสอนภาษาไทย ดังนี้
้
1. เพื่อคัดลายมือหรือเขียนให้ถูกต้องตามลักษณะตัวอักษรให้เป็นระเบียบชัดเจนหรือเขาใจง่าย
2. เพื่อเป็นการฝึกทักษะการเขียนให้พัฒนางอกงามขึ้นตามควรแก่วัย
3. เพื่อให้การเขียนสะกดค าถูกต้องตามอักขรวิธี เขียนวรรคตอนถูกต้อง
4. เพื่อให้รู้จักภาษาเขียนที่ดี มีคุณภาพเหมาะสมกับบุคคลและโอกาส
ื่
่
5. เพอให้สามารถรวบรวมและล าดับความคิด แล้วจดบันทึก สรุปและย่อใจความเรื่องที่อานหรือ
ฟังได้
6. เพื่อให้สามารถสังเกตจดจ าและเลือกเฟ้นถ้อยค าหรือส านวนโวหารให้ถูกต้อง
7. เพื่อให้มีทักษะการเขียนประเภทต่างๆ
8. เพื่อเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์
9. เพื่อให้เห็นความส าคัญและคุณคาของการเขียนว่ามีประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพ การศกษา
่
ึ
หาความรู้และอื่นๆ
34
ส่วนที่ 3
แนวทางการนิเทศ ติดตามการพัฒนาการอ่านออกเขียนได้
่
การนิเทศ ติดตามการพฒนาการอานออกเขียนได้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เป็นปัจจัย
ั
ั
่
ความส าเร็จที่ส าคัญมากที่สุดในการพฒนาการอานและการเขียนของนักเรียน และเป็นเครื่องมือที่สามารถ
น าไปใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงกระบวนการท างานและขยายผลการพฒนาการอานออกเขียนได้ ซึ่งกลุ่ม
ั
่
นิเทศ ติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา ส านักงานเขตพนที่การศึกษาประถมศึกษาล าปาง เขต 1
ื้
ด าเนินการ โดยใช้กระบวนการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model) ดังแผนภาพที่ 1 และแผนภาพที่ 2 ดังนี้
แผนภาพที่ 1 การนิเทศ ติดตาม เพื่อพัฒนาการอ่านออกเขียนได้
โดยใช้กระบวนการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model)
ศึกษาสภาพ และความต้องการ
(Assessing Needs: A)
การวางแผนการนิเทศ
(Planning : P)
การให้ความรู้ก่อนการนิเทศ
(Informing: I)
การนิเทศแบบโค้ช
(Coaching: C)
การประเมินผลการนิเทศ
(Evaluating: E)
35
แผนภาพที่ 2 กรอบแนวคิดการนิเทศ ติดตาม การพัฒนาการอ่านออกเขียนได้
โดยใช้กระบวนการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model)
กรอบแนวคิดการนิเทศ ติดตามเพื่อพัฒนาการอ่านออกเขียนได้ โดยใช้กระบวนการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model)
ศึกษาสภาพ และความต้องการ ศึกษาสภาพปัจจุบัน/ปัญหา และความต้องการ
(Assessing Needs : A)
ก าหนดตัวชี้วัดความส าเร็จ (KPI)
การวางแผนการนิเทศ
(Planning : P) สร้างสื่อ/นวัตกรรม และเครื่องมือการนิเทศ
ก าหนดกิจกรรมและปฏิทินการนิเทศ
การให้ความรู้ก่อนการนิเทศ
ส่งเสริม/พัฒนาความรู้ที่เกี่ยวข้องงานนโยบายส าคัญต่างๆ
(Informing : I)
ปฏิบัติการนิเทศ Coaching เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริหารสถานศกษา
ึ
การนิเทศแบบโค้ช ครูผู้สอน และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ปัญหา/เลือกแนว/
(Coaching: C) ก าหนดแนวทางการแก้ปัญหา/ วางแผน/ ด าเนินการแก้ปัญหา/
วิเคราะห์ และสรุปผล/ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ /ชื่นชม
รวบรวม วิเคราะห์ และสังเคราะห์ผลการนิเทศ
ไม่มีคุณภาพ
ตรวจสอบ และประเมินผลการนิเทศ ปรับปรุง/
พัฒนา
มีคุณภาพ
สรุปและจัดท ารายงานผลการนิเทศ
การประเมินผลการนิเทศ
(Evaluating : E)
ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสภาพ น าเสนอและเผยแพร่ผลการนิเทศ (จัดนิทรรศการ
แลกเปลี่ยนเรียนรู้/ยกย่องเชิดชูเกียรต/Website ฯลฯ)
ิ
36
การนิเทศ ติดตามการพัฒนาการอ่านออกเขียนได้
โดยใช้กระบวนการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model)
การนิเทศ ติดตามการพัฒนาการอ่านออกเขียนได้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1ส าหรับครูผู้สอน
ภาษาไทย สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาล าปาง เขต 1 โดยใช้กระบวนการนิเทศ เอ พี ไอ ซี
อี (APICE Model) ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสภาพ และความต้องการ (Assessing Needs : A)
ศึกษาสภาพปัจจุบัน/ปัญหา และความต้องการของศึกษานิเทศก์ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน
และบุคลากรที่เกี่ยวข้องการพัฒนาการอ่านการเขียนภาษาไทย
ขั้นตอนที่ 2 การวางแผนการนิเทศ (Planning : P)
ด าเนินการวางแผนการนิเทศ ติดตามร่วมกันระหว่างศึกษานิเทศก์ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน
และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
2.1 ก าหนดตัวชี้วัด (KPI)
สถานศึกษาร้อยละ 80 มีการพัฒนาการอ่านออกเขียนได้ ที่เป็นระบบ และมีประสิทธิภาพ
2.2 จัดท าสื่อและเครื่องมือการนิเทศ ติดตาม
1) แนวทางการพัฒนาการอ่านออก เขียนได้
2) จัดท า/จัดหา/พัฒนาสื่อการพัฒนาการอ่านออก เขียนได้
3) จัดท าเครื่องมือนิเทศ ติดตามการพัฒนาการอ่านออก เขียนได้
2.3 จัดท าปฏิทินการนิเทศ ติดตามการพัฒนาการอ่านออก เขียนได้
ขั้นตอนที่ 3 การให้ความรู้ก่อนการนิเทศ (Informing : I)
ประชุมเชิงปฏิบัติการให้ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาการอ่านออก เขียนได้ในประเด็นต่างๆ ดังนี้
3.1 แนวปฏิบัติ/มาตรการในการพัฒนาการอ่านออกเขียนได้
3.2 การคัดกรองนักเรียน (จัดกลุ่มอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้)
3.3 การจัดท าระบบข้อมูลสารสนเทศนักเรียนตามกลุ่มปัญหา/ระดับปัญหา
3.4 แนวทางการพัฒนาการอ่านออกเขียนได้
ขั้นตอนที่ 4 การนิเทศแบบโค้ช (Coaching : C)
ด าเนินการนิเทศการพัฒนาการอ่านออกเขียนได้ แบบโค้ช ทั้งนี้ศึกษานิเทศก์ ได้ด าเนินการร่วมกับ
ื่
ทีมบริหาร คณะอนุกรรมการ ก.ต.ป.น. ผู้บริหารสถานศึกษา และครูวิชาการ เพอกระตุ้นให้ผู้บริหาร
สถานศึกษา ครูผู้สอน และบุคลากรทางการศึกษาด าเนินการพัฒนาคุณธรรม สพฐ. อย่างเป็นระบบ ดังนี้
4.1 ส ารวจปัญหาต่างๆ ในการพัฒนาการอ่านออกเขียนได้ พร้อมกับวิเคราะห์สาเหตุ
4.2 เลือกแนวทางในการแก้ปัญหา
4.3 ก าหนดเป้าหมายความส าเร็จ
4.4 วางแผนการแก้ปัญหา
37
4.5 ด าเนินการแก้ปัญหาตามแผนที่วางไว้ ในแต่ละกิจกรรมที่ได้ก าหนดไว้
4.6 วิเคราะห์ และสรุปผลการด าเนินงาน
4.7 แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ชื่นชมความส าเร็จ และข้อเสนอแนะในการด าเนินงาน
ขั้นตอนที่ 5 การประเมินผลการนิเทศ (Evaluating : E)
การประเมินผลการนิเทศ ด าเนินการ ดังนี้
5.1 รวบรวม วิเคราะห์ สังเคราะห์ผลการนิเทศการพัฒนาการอ่านออกเขียนได้
5.2 ตรวจสอบ และประเมินผลการนิเทศการพัฒนาการอ่านออกเขียนได้
่
ั
5.3 สรุปและจัดท ารายงานผลการนิเทศการพฒนาการอานออกเขียนได้ของสถานศึกษาใน
สังกัด
5.4 จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนรู้ และชื่นชมความส าเร็จในการพัฒนาการอ่านออกเขียนได้
5.5 ยกย่องเชิดชูเกียรติแก่สถานศึกษาที่มีการพัฒนาการอ่านออกเขียนได้ที่เป็นแบบอย่างที่ดี
่
5.6 เผยแพร่ผลงานการปฏิบัติงานของสถานศึกษาที่มีการพฒนาการอานออกเขียนได้ที่ดีสู่
ั
ื้
สาธารณชนผ่าน Website ระบบ ICT และสารสนเทศของส านักงานเขตพนที่การศึกษาประถมศึกษาล าปาง
เขต 1
38
บรรณานุกรม
กรองทอง จิรเดชากุล. (2550). คู่มือการนิเทศภายในโรงเรียน. กรุงเทพฯ : ธารอักษร.
กระทรวงศึกษาธิการ. (2552). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ :
์
โรงพิมพชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.
กิติมา ปรีดีดิลก. (2532). การบริหารและการนิเทศการศึกษาเบื้องต้น. กรุงเทพฯ : อักษราพิฒน์.
เกรียงศักดิ์ สังข์ชัย. (2552). การพัฒนารูปแบบการนิเทศการสอนครูวทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาศักยภาพ
ิ
นักเรียนที่มแววความสามารถพิเศษทางวทยาศาสตร์. วิทยานิพนธ์ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต
ิ
ี
สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน ภาควิชาหลักสูตรและการนิเทศบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย
ศิลปากร.
ฉวีวรรณ คูหาภินันทน์. (2545). วรรณกรรมส าหรับเด็ก. กรุงเทพฯ : ศิลปะบรรณาคาร
ชาญชัย อาจินสมาจาร. (ม.ป.ป.). การนิเทศการศึกษา. ปัตตานี : สถาบันเพื่อความก้าวหน้าทางวิชาการ.
ี
์
ทิศนา แขมมณี. (2545). ศาสตร์การสอน-องค์ความรู้เพื่อจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มประสิทธิภาพ. พมพครั้ง
ิ
ที่ 2 กรุงเทพฯ : ด่านสุทธาการพิมพ์.
. (2550). ศาสตร์การสอน : องค์ความรู้เพื่อการการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มประสิทธิภาพ.
ี
กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์. (2548.) การนิเทศการสอน. กรุงเทพฯ : ศูนย์สื่อกรุงเทพฯ.
ิ
ิ
ยุพน ยืนยง. (2553). การพัฒนารูปแบบการนนิเทศแบบหลากหลายวธีการ เพื่อส่งเสริมสมรรถภาพการ
ิ
ิ
วจัยในชั้นเรียนของครู เขตการศึกษา 5 อครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ.ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑต
ั
มหาวิทยาลัยศิลปากร.
วัชรา เล่าเรียนดี. (2550). การนิเทศการสอน. นครปฐม : มหาวิทยาลัยศิลปากร.
ิ
. (2556). ศาสตร์การนิเทศการสอนและการโค้ช การพัฒนาวชาชีพ : ทฤษฎี กลยุทธ์สู่การ
ปฏิบัติ. นครปฐม : มหาวิทยาลัยศิลปากร.
วิชัย วงษ์ใหญ่. (2537). กระบวนการพัฒนาหลักสูตรและการเรียนการสอนภาคปฏิบัติ. กรุงเทพฯ :
สุวีริยสาส์น.
วิจิตรา ปัญญาชัย. การน าเสนอรูปแบบการพัฒนาอาชีพส าหรับอาจารย์พยาบาล สังกัดกระทรวง
สาธารณสุข. วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
วไลรัตน์ บุญสวัสดิ์. (2538). หลักการนิเทศการศึกษา. กรุงเทพฯ : พรศิวการพิมพ์.
ิ
่
ิ
ศิลาทิพย์ ค าใจ. (2556). การสร้างแบบประเมนความสามารถในการอาน คิดวเคราะห์และเขียนส าหรับ
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต การวัดและประเมินผลการศึกษา
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
ิ
ุ
์
สงัด อมรานันท์. (2530). การนิเทศการศึกษา หลักการ ทฤษฎีและปฏิบัติ. พมพครั้งที่ 2.กรุงเทพฯ :
มิตรสยาม.
39
บรรณานุกรม (ต่อ)
สมศักดิ์ สินธุระเวชญ์. (2542). มุ่งสู่ครูคุณภาพการศึกษา. กรุงเทพฯ ; วัฒนาพานิช.
ส านักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ. (2547). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542.
กรุงเทพฯ : คุรุสภา ลาดพร้าว.
ื้
ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพนฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. (2554). แนวทางการบริหารจัดการ
เรียนรู้. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมชนสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จ ากัด.
ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. (2545). พระราชบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และ
ที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545. กรุงเทพฯ : ส านักงานคณะกรรมการแห่งชาติ.
ื้
ส านักทดสอบทางการศึกษา ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพนฐาน. (2556). นิยามความสามารถของผู้เรียน
ด้านภาษา ด้านค านวณ และด้านเหตุผล (Literacy, Numeracy & Reasoning Abilities). กรุงเทพฯ
: ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.
. (2553). การเสริมสร้างประสิทธิภาพการจัดการเรียนการสอนเพื่อการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนการ
นิเทศแบบให้ค าชี้แนะ (Coaching). กรุงเทพฯ : ส านักทดสอบทางการศึกษา.
ส านักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา, ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. (2554). แนวทางการ
พัฒนาและประเมนการอาน คิดวเคราะห์ และเขียน ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น
ิ
ิ
่
พื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ : ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.
ภาษาอังกฤษ
Burton, W.H. and L.J. Bruckner. (1955). Supervision : A Social Process. 3 .ed. New York :
rd
Appleton Century – Croft.
Copleland, wills D. and Norman J.Boyan. Instructional Supervision Training Pregame. Ohio :
Charles E, Merrill Pubishing Company, 1978.
rd
Costa, Arthur L. Developing Minds A Resource Book for Thecching Thinking. 3 ed. The United
States of America : Association for Supervision and Cumicum Development, 1703 N.
Beauregard St. 2002.
Dick, Walter, Lou Carey, and Jame O, Carey. (2005). The Systematic Design of Instruction.
th
6 ed. Boston : Pearson.
Glickman, Card. D., Stephen P. Gordon and Jovita M. Ross-Gordon. (1995). Supervision and
Instruction : A Development Approach. 3 ed. Massachusetts : Allyn and Bacon,
rd
Inc.
. (2004). Supervision and Instructional Leadership : A Developmental Approach.
6 ed. Boston : Allyn and Bacon, Inc.
th
40
บรรณานุกรม (ต่อ)
Harris, Ben M. (1985). Supervisory Behavior in Education. 3 ed. Englewood. Cliffs, New
rd
Jersey : Prentice-Hall, Inc.
Kruse, Kevin. Instruction to Instructional Design and the ADDIE Model. (Online). Accessed 19 June
2007. Available from http : ww.elearninggurn.com/articles/art1_1.htm.
th
Oliva, Peer F. (1989). Supervision for Today’s School. 3 ed. New York : Longman.
Sandvold, A. (2008). Literacy Coaching. ASCD.
Stoner, Jame Arthur Finch, C Wankle. (1986). Management. New jersey : prentice – Hall.
Spears,Harold. (1967). Curriculum Planning Through In-Service Programs. Englewood Cliffs, N.J. :
Prentice-Hall.
Sweeney, D. (2011). Student Centered Coaching. Thousand Oaks, California : Corwin Press
Company.
Webster. (1970). Webster’s New world Dictionary. New York : Compact School the world Publishing.
41
ภาคผนวก
42
แบบนิเทศ ติดตามและประเมินผลการอ่านออกเขียนได้ของนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ – ๖ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562
ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาล าปาง เขต 1
-------------------------------
ค าชี้แจง
แบบนิเทศ ติดตามและประเมินผลการอ่านออกเขียนได้ ฉบับนี้ แบ่งออกเป็น 3 ตอน ดังนี้
ตอนที่ 1 ข้อมูลเบื้องต้น
ตอนที่ 2 การด าเนินงานอ่านออกเขียนได้อานคล่องเขียนคล่อง
่
ตอนที่ 3 วิธีการพัฒนาอ่านออกเขียนได้อานคล่องเขียนคล่อง
่
ตอนที่ 1 โรงเรียน…………………………….....................กลุ่มเครือข่าย………………………..................
ระดับชั้น จ านวน จ านวน จ านวนนักเรียน จ านวนนักเรียน หมายเหตุ
นักเรียน นักเรียน อ่านไม่ออก/ เขียนไม่ได้/เขียน
(ทั้งหมด) ปกติ อ่านไม่คล่อง ไม่คล่อง
ป. 1
ป. 2
ป. 3
ป. 4
ป. 5
ป. 6
่
่
หมายเหตุ จ านวนนักเรียนอานไมออกเขียนไม่ได้ใช้ข้อมูลปีการศึกษา 2562 (จากผลการประเมิน
รายงานภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2562)
43
ตอนที่ 2 การด าเนินงานอ่านออกเขียนได้
รายการปฏิบัติ / ระดับปฏิบัติ ข้อเสนอแนะ
ที่ ปัญหา
ด าเนินการ 2 1 0 แนวทางแก้ปัญหา
การวางแผน (PLAN)
1 มีการประกาศนโยบาย
ปี 2558 เป็นปีปลอด
นักเรียนอ่านไม่ออก
เขียนไม่ได้ ให้ครูและ
ผู้ปกครองทราบและมี
ส่วนร่วมด าเนินการ
ต่อเนื่อง
2 มีโครงการและ
ผู้รับผิดชอบแก้ปัญหา
การอ่านการเขียนของ
นักเรียนโดยตรง
3 จัดท าแผนพัฒนาและ
ซ่อมเสริมที่เหมาะสมกับ
สภาพปัญหาของ
นักเรียนเป็นรายบุคคล
4 วิเคราะห์สภาพปัญหา
สาเหตุ เพื่อเป็นข้อมูล
นักเรียนทีมีปัญหา
การอ่านการเขียน
ของนักเรียนทุกระดับชั้น
เป็นรายบุคคล
5 มีการคัดเลือกครูผู้สอน
ึ
ชั้นประถมศกษาปีที่ 1
ด้วยความสมัครใจและ
เหมาะสม
6 มีข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับ
ความรู้ความสามารถ
ด้านภาษาไทยของครูทุก
คน
7 โรงเรียนก าหนดให้มี
ข้อสอบแบบเขียนตอบ
ในการทดสอบแต่ละครั้ง
44
รายการปฏิบัติ / ระดับปฏิบัติ ข้อเสนอแนะ
ที่ ปัญหา
ด าเนินการ 2 1 0 แนวทางแก้ปัญหา
การปฏิบัติตามแผน (DO)
8 ด าเนินการประเมิน
การอ่านการเขียน
ของนักเรียนทุกระดับชั้น
9 มีการส่งต่อข้อมูลการ
อ่านการเขียนของ
นักเรียนทุกระดับชั้น
ื
10 ประสานความร่วมมอ
ระหว่างครูภาษาไทย
และครูสอนกลุ่มสาระอื่น
เพื่อแก้ปัญหาการอ่าน
การเขียนของนักเรียน
ทุกระดับชั้น
11 ประสานความร่วมมอกับ
ื
ผู้ปกครองและชุมชน
ให้มีส่วนร่วมแก้ปัญหา
การอ่านการเขียน
ของนักเรียนอย่างจริงจัง
12 ครูจัดการเรียนการสอน
ภาษาไทย ให้นักเรียน
ได้ฝึกทักษะทั้งฟัง พูด
อ่าน เขียนและคิด
ด้วยเทคนิควิธีสอนและ
สื่อที่เหมาะสมสอดคล้อง
กับการพัฒนานักเรียน
แต่ละกลุ่มเป้าหมาย
13 ครูเสริมสร้างนิสัย
รักการอ่าน การเขียน
และการแสวงหาความรู้
อย่างสม่ าเสมอ
14 มีการน าข้อมูลการอ่าน
การเขียนส่งเสริม
ความสามารถพิเศษ
ด้านภาษาไทยของ
นักเรียนทั้งเป็นกลุ่มและ
รายบุคคล
45
รายการปฏิบัติ / ระดับปฏิบัติ ข้อเสนอแนะ
ที่ ปัญหา
ด าเนินการ 2 1 0 แนวทางแก้ปัญหา
1๕ มีการจัดกิจกรรม
ภาษาไทยบูรณาการ
กับนโยบายลดเวลาเรียน
เพิ่มเวลารู้
1๖ โรงเรียนมีวิธีปฏิบัติที่
เป็นเลิศ(Best Practice)
แก้ปัญหาอ่านไม่ออก
เขียนไม่ได้
1๗ โรงเรียนมีข้อมูลผล
จากการพัฒนาและ
รายงานไปยังส านักงาน
เขตพื้นที่การศึกษา
การตรวจสอบการปฏิบัติตามแผน (CHECK)
1๘ โรงเรียนมีการประเมิน
ตนเองจากผลการ
ด าเนินงานพัฒนาการ
อ่านการเขียน
การปรับปรุงแก้ไข (ACT)
๑๙ โรงเรียนมีการทบทวน
ภาพความส าเร็จและ
ปัญหาเพื่อน าไปพัฒนา
รวมคะแนน
รวมเฉลี่ย (น าช่องรวมคะแนนมาบวกกันหารด้วย 1๙) ได้เท่ากับ .................................
เกณฑ์การพิจารณาระดับปฏิบัติ
ระดับปฏิบัติ การแปลผล
2 มีการปฏิบัติท าได้ดี
1 มีการปฏิบัติท าได้ปานกลาง
0 ไม่มการปฏิบัติ
ี
ระดับคะแนนรวมเฉลี่ย การแปลผล
3๐ – ๓๘ ดีเยี่ยม
2๓ – ๒๙ ดีมาก
1๕ – 2๘ ดี
๖ – 1๔ ปานกลาง
0 – ๖ พอใช้
46
่
ตอนที่ 3 วิธีการพัฒนาอานออกเขียนได้
1. วิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ของโรงเรียนได้แก ่
........................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................
2. การด าเนินการตามนโยบายเรียนซ้ าชั้นส าหรับนักเรียนที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้
มีนักเรียนซ้ าชั้น จ านวน....................คน ดังนี้
ระดับชั้น ป. 1 ป. 2 ป. 3 ป. 4 ป. 5 ป. 6
จ านวน
ไม่มีนักเรียนซ้ าชั้น
3. นวัตกรรมที่ครูน ามาพัฒนาการอ่านเขียน ได้แก ่
........................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................
4. ผลการด าเนินการแก้ปัญหา/การพัฒนา
........................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................
5. ปัจจัยสนับสนุนส่งเสริมความส าเร็จ
........................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................
6. ปัญหา/อุปสรรค/ข้อจ ากัด
ระหว่างการพัฒนา..........................................................................................................................
........................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................
ระหว่างการประเมิน..........................................................................................................................
........................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................
ึ
7. น าผลการได้รับพัฒนาจากส านักงานเขตพื้นที่การศกษาสู่การปฏิบัติ
........................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................
8. แนวทางในการพัฒนาการอ่านการเขียนภาษาไทย
........................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................