คูม่ ือ
การบรหิ ารการจัดการขยะแบบมีส่วนรว่ ม 5 ร ในโรงเรียนแม่ก๋งวิทยา
ปีการศกึ ษา 2564
โรงเรยี นแม่ก๋งวิทยา
สานกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษา ลาปาง เขต 1
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
ก
คานา
คู่มือการบริหารจัดการขยะแบบมีส่วนร่วม 5 ร ในโรงเรียนแม่ก๋งวิทยา สานักงานเขตพื้นท่ี
การศึกษาประถมศึกษาลาปาง เขต 1 ได้กาแนวทางในการบริหารการจัดการขยะท่ีสอดคล้องกับ
บริบทของสถานศึกษา ซ่ึงเป็นเรื่องที่มีความจาเป็นที่ผู้บริหาร คณะครู บุคลากรทางการศึกษา และ
นักเรียน รวมถึงผู้มีส่วนเก่ียวข้องต้องให้ความสาคัญในการบริหารจัดการขยะตามแนวทางในการมี
ส่วนร่วม โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือสร้างคู่มือการบริหารจัดการขยะแบบมีส่วนร่วม 5 ร ของโรงเรียน
แม่ก๋งวิทยา เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจและจิตสานึก ให้ทราบถึงปัญหาและแนวทางการแก้ไข
ปัญหาขยะ การนาขยะกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ พร้อมท้ังสนับสนุนการมีส่วนร่วมของโรงเรียนในการ
ลดและแยกขยะอยา่ งเป็นรูปธรรมจึงถอื ได้ว่าเปน็ ภารกิจที่สาคญั ที่จะต้องดาเนินการให้สาเร็จลลุ ่วง
นางพรณชิ า ขดั ฝน้ั
โรงเรยี นแม่ก๋งวทิ ยา
สารบัญ ข
คานา หน้า
สารบญั
ส่วนท่ี 1 บทนา ก
ข
1.1 ความเปน็ มาและความสาคัญของปัญหา 1
1.2 วตั ถุประสงค์ 1
1.3 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รบั 3
ส่วนที่ 2 แนวคิดทฤษฎแี นวคิดและทฤษฎีการบริหารจดั การขยะ 3
2.1 แนวคิดและทฤษฎีท่เี กี่ยวข้องกบั การบรหิ ารจดั การ 4
2.2 แนวคดิ และทฤษฎีท่เี ก่ียวข้องกับขยะในโรงเรยี น 5
2.3 แนวคิดและทฤษฎที เ่ี กยี่ วข้องกบั การพฒั นาหรือสร้างคมู่ ือ 15
ส่วนท่ี 3 รปู แบบการบรหิ ารจัดการขยะท่วั ไป 27
ส่วนท่ี 4 กิจกรรมการแกป้ ัญหาขยะ.ในโรงเรยี น 33
4.1 กจิ กรรมขยะอนิ ทรีย์จากเศษอาหาร 36
4.2 กิจกรรมเสวียนยอ่ ยสลาย 36
4.3 กลอ่ งนม/ถงุ นมเพ่ือถุงดา 37
4.4 กิจกรรมขยะจากขวดพลาสติก 41
4.5 กิจกรรมการกาจดั ขยะท่ัวไป 44
บรรณานกุ รม 50
คณะผู้จัดทา 52
54
1
ส่วนท่ี 1
บทนา
1.1 ความเปน็ มาและสภาพปจั จบุ ันปญั หา
สภาพปัญหาขยะกาลังเป็นปัญหาสาคัญระดับโลกหลายประเทศให้ความสนใจกับการ
แก้ปัญหาขยะที่กาลงั ก่อให้เกิดผลกระทบกับ ระบบต่าง ๆ อกี มากมายท้งั เศรษฐกิจ สังคม สงิ่ แวดลอ้ ม
และผลกระทบโดยตรงกบั ส่งิ มชี ีวิตทุกชวี ิตทด่ี ารงอยูบ่ นโลกใบน้ี สยามรฐั (24 กนั ยายน 2561) ซึ่งจาก
การสรุปสถานการณ์มลพิษของประเทศไทย ปี 2561 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(2562 : 35) พบว่า ปริมาณ ขยะมูลฝอยท่ีเกิดข้ึนทั่วประเทศในปี 2560 ประมาณ 27.40 ล้านตัน
หรือ 75,046 ตันต่อวัน เพ่ิมข้ึนร้อยละ 1.26 จากสภาพปัญหาข้างต้นรัฐบาลไทย มุ่งการจัดการกับ
ปญั หาขยะมูลฝอยท่ีสะสมอยู่เป็นจานวนมากอันส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและอาจเป็นอันตรายต่อ
สขุ ภาพของประชาชน จึงควรกาหนดระเบียบการปฏบิ ัติราชการเพื่อกาหนดข้ันตอนการดาเนินการใน
การแก้ปญั หาการจดั การ ขยะมูลฝอยใหเ้ ป็นระบบและมีประสทิ ธภิ าพ แผนพฒั นาสงั คมและเศรษฐกิจ
แห่งชาติ ฉบับที่ 12 (2560-2564) ได้กล่าวถึงการนา ขยะท่ีเกิดขึ้นมาใช้ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 75 และ
สัดส่วนของขยะอันตรายจะต้องถูกกาจัดอย่างถูกต้องไม่น้อยกว่า ร้อยละ 30 กรอบยุทธศาสตร์ชาติ
ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) ในยทุ ธศาสตร์ชาติท่ี 5 ดา้ นการสร้างการเติบโตบนคณุ ภาพชวี ิตท่เี ป็น
มิตรกับ ส่ิงแวดล้อม สู่แผนแม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศ (พ.ศ.2559-2564) ระบุ
มาตรการกาจัดขยะมูลฝอยและของ เสียอันตราย ประกอบด้วย 3 มาตรการ ได้แก่ (1) มาตรการลด
การเกิดขยะมูลฝอยและของเสียอันตรายท่ีแหล่งกาเนิด (2) มาตรการเพ่ิมศักยภาพการกาจัดขยะมูล
ฝอยและของเสียอันตราย (3) มาตรฐานส่งเสริมการบริหารจัดการขยะและของเสีย อันตราย ในการ
นาหลักการด้าน 3R มาประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและ
สง่ิ แวดล้อม ของประเทศ (กรมควบคมุ มลพิษ,2561)
การบริหารจัดการขยะเพ่ือลดขยะมูลฝอยเป็นการช่วยลดการเพ่ิมข้ึนของปริมาณขยะ ซ่ึง
มวี ิธีการในการคัดแยกขยะ โดยขยะย่อยสลาย (ขยะอินทรีย์) เป็นของที่เน่าเสียและย่อยสลายได้ง่าย
ตามธรรมชาติ ได้แก่ เศษอาหาร เศษผัก เปลือกผลไม้ ใบไมแ้ หง้ ซากสตั ว์ ฯลฯ สามารถบริหารจัดการ
โดยการจัดทาภาชนะกาจัดขยะเปียกของโรงเรียน ขุดหลุมฝัง หรือนาไปแปรรูปเป็นปุ๋ยอินทรีย์ หรือ
น้าหมักอินทรีย์ นาไปเลี้ยงสัตว์ และขยะรีไซเคิล เป็นขยะท่ีสามารถคัดแยกเพ่ือนาไปรีไซเคิลใหม่ได้
(นาไปขายได้) ได้แก่ แก้ว กระดาษ พลาสติก โลหะ/อโลหะ และยาง ฯลฯ ประชาชนคัดแยกและ
รวบรวมนาไปจาหน่าย ณ ธนาคารขยะของโรงเรียน ขยะมูลฝอยท่ีเป็นพิษหรือขยะอันตรายชุมชน
เปน็ ขยะทีม่ คี วามเปน็ อันตราย หรือมีสว่ นประกอบที่ เปน็ สารทเ่ี ป็นอนั ตราย ได้แก่ ขวดหรือภาชนะใส่
เคมีภัณฑ์ ถ่านไฟฉายใช้แล้ว แบตเตอร่ี กระป๋องสเปรย์บรรจุ สารเคมี ตลับหมึกใช้แล้ว หลอดไฟ
2
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ ให้นาไปรวบรวมไว้ ณ ท่ีท้ิงขยะของโรงเรียน เพ่ือองค์การบริหารส่วน
ตาบลบ้านเป้าจะได้ดาเนินการต่อไป ส่วนขยะท่ัวไปเป็นขยะท่ีไม่มีคุณสมบัติตามขยะ ๓ ประเภท
ข้างต้น โดยย่อยสลายยาก นาไป รีไซเคิลไม่ได้ หรือนาไปรีไซเคิลไม่คุ้มทุน และไมเ่ ป็นอันตราย ได้แก่
ซอง/ถุงขนมขบเคี้ยว ถุงบะหม่ีกึ่งสาเร็จรูป ถุงพลาสติก/กล่องโฟมเปื้อนอาหาร หลอดกาแฟ ซอง
กาแฟ ฯลฯ ให้กาจัดตามความเหมาะสมโดยไม่กระทบต่อสง่ิ แวดลอ้ ม ประการสุดทา้ ยคือการปฏิเสธ
และลดการใช้ถุงพลาสติกและโฟม ร่วมกันใช้ถุงผ้า หรือถุงขนาดใหญ่ที่ย่อยสลายได้แทนการใช้
ถงุ พลาสตกิ และโฟม
โรงเรยี นแมก่ ง๋ วทิ ยาเป็นโรงเรียนขยายโอกาสสังกัดสานักงานเขตพน้ื ทกี่ ารศึกษาประถมศกึ ษา
ลาปาง เขต 1 สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ มีจานวนนักเรียน
151 คน บุคลากรทางการศึกษาจานวน 20 คน รวม 171 คน ในปีการศึกษา 2564 โรงเรียนได้
ดาเนินการศึกษาปัญหาท่ีเกิดข้ึนจากการจัดการขยะในโรงเรียน พบว่าขยะท่ีเกิดข้ึนภายในโรงเรียน
คือ ขยะอินทรีย์ จาพวก เศษอาหาร เศษใบไม้ กิ่งไม้ ขยะรีไซเคิล จาพวก ขวดน้าพลาสติกกล่องนม
ถุงนม และขยะขยะท่ัวไป จาพวกเศษพลาสติก ซึ่งมีจานวนของปริมาณขยะเพ่ิมขึ้นอย่างต่อเนื่องจึง
ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมของโรงเรียนโรงเรียนแม่ก๋งวิทยา ดังนั้น การจัดกิจกรรมในการ
เสริมสร้างทักษะให้แก่คณะครู นักเรียน จึงเป็นแนวทาง ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมในการนาขยะ
จากการเหลือใชก้ ลับมาใช้ประโยชน์ไดอ้ ยา่ งมีคุณค่าและควรพัฒนาการจดั การขยะ ที่กาลงั เป็นปัญหา
ระดับโรงเรียน และส่งผลต่อภาพลักษณ์ รวมถึงการคัดแยกขยะ การลดการใช้ให้เหมาะสมกับการ
ปฏิบัติงาน การบริการชุมชน ชุมชนที่เกิดสภาวะขาดความเชื่อม่ันในการบริหารจัดการ การส่งเสริม
พฤติกรรมการจัดการขยะ และสืบเนื่องต่อพฤติกรรมของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาใน
การเป็นต้นแบบที่ดีในการพัฒนาพฤติกรรม ซึ่งเน้นการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วม 5 ร จานวน 5
ขั้นตอน คือ ข้ันตอนที่ 1 ร่วมศึกษา ขั้นตอนที่ 2 ร่วมวางแผน ขั้นตอนท่ี 3 ร่วมปฏิบัติ ขั้นตอนที่ 4
ร่วมสรปุ และขั้นตอนท่ี 5 ร่วมแลกเปลย่ี นเรียนรู้
ด้วยเหตผุ ลดงั ได้กล่าวมาข้างต้น จึงทาใหค้ ณะผูว้ ิจัยการบรหิ ารการจดั การขยะในโรงเรียนแม่
กง๋ วิทยา โดยใชร้ ูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วม 5 ร จานวน 5 ขั้นตอน คอื ข้ันตอนที่ 1 ร่วมศึกษา
ขั้นตอนที่ 2 ร่วมวางแผน ข้ันตอนท่ี 3 ร่วมปฏิบัติ ข้ันตอนที่ 4 ร่วมสรุป และขั้นตอนที่ 5 ร่วม
แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ในการสร้างความตระหนักรู้ในการจัดการขยะเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์และการ
จัดการบริหารขยะ ในโรงเรียนแมก่ ๋งวทิ ยา เพือ่ ใหท้ ราบถึงกระบวนการในการดาเนนิ งานอย่างมีส่วน
ร่วมในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการบรหิ ารจัดการขยะอินทรีย์ท่ีทาให้โรงเรียนแม่ก๋งวิทยาได้
นามาใช้ประโยชน์ อาทิ การทาป๋ยุ หมกั จากเศษใบไม้ เศษหญ้า และการบรหิ ารการจัดการขยะรีไซเคิล
3
สามารถนามาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ อาทิ นามาขวดน้าพลาสติกมาประดิษฐ์เป็นกระถางต้นไม้ ส่วน
การบริหารจัดการขยะท่ัวไป ทาให้โรงเรียนเกิดความสะอาดและมีบรรยากาศท่ีดีต่อการเรียนรู้
นอกจากนี้ยงั เป็นการดาเนินกิจกรรมทเี่ สรมิ สร้างทักษะอาชพี ที่สามารถสรา้ งรายได้ให้แก่นกั เรยี นและ
โรงเรยี นไดอ้ ย่างยง่ั ยนื
1.2 วัตถปุ ระสงค์
เพ่ือสร้างคูม่ ือการบรหิ ารจดั การขยะแบบมสี ่วนรว่ ม 5 ร ของโรงเรียนแม่กง๋ วทิ ยา
1.3 ประโยชน์ที่คาดว่าจะไดร้ บั
ได้รูปแบบการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมในการการบริหารการจัดการขยะในโรงเรียนแม่
ก๋งวิทยาเหมาะสมกับสภาพบริบทของโรงเรียนแม่ก๋งวิทยาส่งผลให้โรงเรียนมีทัศนียภาพและ
สง่ิ แวดลอ้ มท้ังในห้องเรยี นและนอกโรงเรียนสวยงามร่มรนื่ เออ้ื ต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
4
ส่วนที่ 2
แนวคิดทฤษฎแี นวคิดและทฤษฎีการบริหารจดั การขยะ
การบรหิ ารจัดการขยะของโรงเรียนแม่ก๋งวทิ ยา สังกดั สานักงานเขตพ้ืนท่กี ารศึกษา
ประถมศกึ ษาลาปาง เขต 1 ได้ศึกษาเอกสารหลกั การและแนวทางการบรหิ ารจัดการขยะ ดงั น้ี
2.1. แนวคดิ และทฤษฎีที่เกี่ยวขอ้ งการบรหิ ารจัดการ
2.1.1 ความหมายของการบริหารจดั การ
2.1.2 แนวคิดในการบรหิ ารจัดการ (management concepts)
2.1.3 องค์ประกอบของการบริหารจัดการ
2.1.4 แนวคดิ ด้านการมีส่วนร่วม
2.2. แนวคิดและทฤษฎที ี่เกี่ยวขอ้ งกับขยะในโรงเรยี น
2.2.1 ความหมายของขยะ
2.2.2 ประเภทของขยะ
2.2.3 สาเหตทุ ท่ี าให้เกิดปญั หาขยะในโรงเรียน
2.2.4 ผลกระทบทเี่ กดิ จากขยะในโรงเรยี น
2.2.5 นโยบายสง่ เสรมิ และสนบั สนนุ การจดั การขยะของ สพฐ. สู่โรงเรยี นปลอดขยะ
2.2.6 หลักการบรหิ ารจัดการขยะในโรงเรยี น
2.3 แนวคดิ และทฤษฎที ่เี กี่ยวขอ้ งกับการพัฒนาหรอื สร้างค่มู ือ
2.1.1 แนวคิดในการบริหารจัดการ (management concepts)
2.3.2 ประเภทของคมู่ ือ
2.3.3 องค์ประกอบของคู่มอื
2.3.4 ประโยชนข์ องคู่มือ
5
2.1. แนวคิดและทฤษฎีท่เี กย่ี วข้องกับการบรหิ ารจัดการ
2.1.1 แนวคิดในการบรหิ ารจัดการ (management concepts)
การบริหารจัดการที่มีประสิทธภิ าพจะต้องมีการแบ่งงานกันทาตามความเหมาะสมและ
ความจาเปน็ เพื่อให้การทางานของหนว่ ยงานบรรลตุ ามวตั ถุประสงค์ไดม้ ผี ู้กล่าวถงึ แนวคิด ในการ
บรหิ ารไว้ต่างๆ ดังน้ี
สาคร สขุ ศรวี งศ์ (2550 : 45) กลา่ วถงึ แนวคดิ การจดั การสามารถแบง่ ได้ ดงั นี้
1) แนวคดิ การจดั การเชงิ วทิ ยาศาสตร์
2) แนวคิดการจดั การเชงิ บรหิ าร
3) แนวคดิ การจัดการเชิงพฤติกรรม
4) แนวคิดการจดั การเชิงปรมิ าณ
5) แนวคดิ การจัดการรว่ มสมัย
ศรวิ รรณ เสรรี ัตน์และคณะ (2552 : 19) ได้กล่าวไว้ถงึ แนวคิดในการบริหารจดั การโดย
แบง่ ตามหนา้ ทขี่ องการบริหารจดั การออกเป็น 4 หน้าทีค่ ือ
1) การวางแผนเป็นขนั้ ตอนในการกาหนดวัตถปุ ระสงค์และพิจารณาถึงวิธกี ารท่คี วร
ปฏิบัติเพื่อให้บรรลวุ ตั ถุประสงคน์ นั้ ดงั นั้นผู้บรหิ ารจึงต้องตดั สินใจวา่ องคก์ รมวี ตั ถปุ ระสงคอ์ ะไรในอนาคต
และจะต้องดาเนนิ การอย่างไรเพอ่ื ให้บรรลุผลสาเร็จตามวตั ถปุ ระสงคน์ ั้น ลกั ษณะการวางแผนมีดงั นี้
1.1) การดาเนินการตรวจสอบตวั เอง เพื่อกาหนดสถานภาพในปัจจบุ ันขององค์การ
1.2) การสารวจสภาพแวดล้อม
1.3) การกาหนดวตั ถุประสงค์
1.4) การพยากรณสถานการณ์ในอนาคต
1.5) การกาหนดแนวทางปฏิบัติงานและความจาเปน็ ในการใชท้ รพั ยากร
1.6) การประเมินแนวทางการปฏิบัติงานที่วางไว้
1.7) การทบทวนและปรบั แผนเมื่อสถานการณ์เปลีย่ นแปลงและผลลัพธ์ของการควบคุม
ไมเ่ ปน็ ไปตามทีก่ าหนด
1.8) การติดต่อสือ่ สารในกระบวนการของการวางแผนเปน็ ไปอยา่ งท่ัวถงึ
2) การจัดองค์การ เป็นขน้ั ตอนในการจัดหาบุคคลและทรพั ยากรทใ่ี ช้สาหรบั การทางานเพอื่ ให้
บรรลุจุดมุ่งหมายในการทางานนน้ั หรือเป็นการจดั แบ่งงานและจัดสรรทรพั ยากรสาหรบั งานเพือ่ ให้
งานเหล่านน้ั สาเร็จ การจัดองค์ประกอบด้วย
2.1) การระบุและอธบิ ายงานทีจ่ ะถูกนาไปดาเนินการ
2.2) การกระจายงานออกเป็นหนา้ ท่ี
2.3) การรวมหน้าท่ีต่างๆ เข้าเป็นตาแหน่งงาน
6
2.4) การอธิบายส่ิงที่จาเป็นหรอื ความต้องการของตาแหน่งงาน
2.5) การรวมตาแหน่งงานต่าง ๆ เป็นหน่วยงานทม่ี ีความสัมพนั ธ์อย่างเหมาะสมและ
สามารถบริหารจัดการได้
2.6) การมอบหมายงาน ความรบั ผิดชอบและอานาจหน้าที่
2.7) การทบทวนและปรบั โครงสร้างขององค์กรเมอ่ื สถานการณ์เปลีย่ นแปลงและ
ผลลัพธ์ของการควบคุมไม่เปน็ ไปตามท่ีกาหนด
2.8) การตดิ ต่อสอื่ สารในกระบวนการของการจัดองค์เป็นไปอย่างท่ัวถึง
2.9) การกาหนดความจาเป็นของทรัพยากรมนุษย์
2.10) การสรรหาผู้ปฏบิ ตั ิงานทม่ี ปี ระสิทธิภาพ
2.11) การคดั เลือกจากบุคคลทสี่ รรหามา
2.12) การฝึกอบรมและพัฒนาทรพั ยากรมนุษย์ต่าง ๆ
2.13) การทบทวนปรับคุณภาพและปริมาณของทรพั ยากรมนษุ ย์เมอ่ื สถานการณ์
เปล่ียนแปลงและผลลพั ธ์ของการควบคมุ ไม่เป็นไปตามทก่ี าหนด
2.14) การตดิ ตอ่ ส่ือสารในกระบวนการของการจัดคนเข้าทางานเป็นไปอย่างท่ัวถึง
3) การจูงใจเปน็ ขนั้ ตอนในการกระตุ้นให้เกดิ ความกระตอื รือรน้ และชักนาความพยายาม
ของพนักงานใหบ้ รรลเุ ป้าหมายองค์การซง่ึ จะเกี่ยวข้องกับการใชค้ วามพยายามของผู้จดั การท่จี ะกระตุ้น
ให้พนักงานมีศักยภาพในการทางานสูง ดงั นนั้ การนาจะช่วยให้งานบรรลผุ ลสาเร็จเสริมสรา้ งขวญั และ
จูงใจผใู้ ต้บังคับบัญชาการนาประกอบด้วย
3.1) การติดต่อส่ือสารและอธิบายวตั ถุประสงค์ให้แกผ่ ู้ใต้บังคับบัญชาได้ทราบ
3.2) การมอบหมายมาตรฐานของการปฏิบัติงานตา่ ง ๆ
3.3) ให้คาแนะนาและให้คาปรึกษาแกผ่ ู้ใตบ้ ังคบั บัญชาใหส้ อดคล้องกับมาตรฐานของ
การปฏิบัตงิ าน
3.4) การใหร้ างวลั แกผ่ ใู้ ต้บงั คับบญั ชาบนพนื้ ฐานของผลการปฏบิ ัตงิ าน
3.5) การยกย่องและสรรเสรญิ และการตาหนติ ิเตียนอย่างยุติธรรมและถูกต้องเหมาะสม
3.6) การจัดหาสภาพแวดล้อมมากระตุ้นการจูงใจโดยการตดิ ตอส่ือสารเพ่ือสารวจความต้องการ
และสถานการณ์การเปลี่ยนแปลง
3.7) การทบทวน และปรับวธิ ีการของภาวะความเป็นผู้นา เมื่อสถานการณ์เปลีย่ นแปลงและ
ผลลัพธข์ องงาน
4) การควบคุมเป็นการติดตามผลการทางาน และแก้ไขปรบั ปรุงสง่ิ ท่จี าเป็นหรือเป็นข้ันตอน
ของการวัดผลการทางานและดาเนนิ การแกไ้ ขเพื่อให้บรรลุผลทต่ี ้องการซึ่งการควบคมุ ประกอบด้วย
1) การกาหนดมาตรฐาน
7
2) การเปรยี บเทยี บและติดตามผลการปฏิบตั ิงานกับมาตรฐาน
3) การแก้ไขความบกพร่อง
4) การทบทวนและปรบั วิธกี ารควบคมุ เม่อื สถานการณ์เปล่ียนแปลงและผลลัพธ์ของ
การควบคมุ ไมเ่ ป็นไปตามทกี่ าหนด
5) การติดต่อสอ่ื สารในกระบวนการของการควบคมุ เปน็ ไปอย่างท่ัวถงึ
โชติ บดีรัฐ (2558 : 43 - 50) ได้กล่าวถึง แนวคิดทางการบริหารโดยใช้หลักเกณฑ์ของ Taylor
มีพ้ืนฐานอยบู่ นหลกั การทีส่ าคัญ 4 ประการ ไดแ้ ก่ (1) การคดิ ค้นและกาหนดส่ิงทดี่ ที ่ีสุด (2) การคดั เลือก
และพฒั นาคนงาน (3) การพิจารณาอย่างรอบคอบเกีย่ วกบั วธิ ีทางานควบคกู่ บั การพจิ ารณาคนงานและ (4)
การประสานงานอย่างใกลช้ ิดระหว่างผบู้ รหิ ารและคนงาน ซึ่งผู้บรหิ ารตามแนวคิดของ Taylor จะมีความ
เปน็ ผนู้ าอยา่ งแทจ้ ริง ต้องรับภาระหนักกว่าคนงาน ต้องใชส้ มองคดิ วิเคราะห์ปญั หาของกลุ่ม จดั เตรียม
และกาหนดวธิ กี ารทางานท่ดี ีกวา่ งา่ ยกว่า และไดผ้ ลมากกวา่ ใหก้ บั กลุ่ม
สรุปไดว้ า่ แนวคิดดงั กลา่ วขา้ งต้นจะพบว่าการบรหิ ารองค์กรจะครอบคลมุ เรอ่ื งการทางาน
เป็นทมี การมสี ว่ นรว่ มในการตัดสินใจรว่ มกัน ซง่ึ แตล่ ะแนวคิดจะมเี ป้าหมายไปในทิศทางเดยี วกัน
คอื การทางานใหส้ าเร็จตามวัตถปุ ระสงค์ขององค์กรแตล่ ะแนวคดิ ต่าง ๆ เหลา่ น้ีมจี ุดมงุ่ เน้นหรือ
วิธกี ารจัดการเพื่อไปใหถ้ งึ เป้าหมายแตกต่างกันไป
2.1.2 แนวคิดในการบรหิ ารจดั การ (management concepts)
การบริหารจดั การที่มีประสิทธิภาพจะตอ้ งมีการแบง่ งานกันทาตามความเหมาะสมและ
ความจาเป็นเพ่ือให้การทางานของหน่วยงานบรรลตุ ามวัตถปุ ระสงค์ไดม้ ีผู้กลา่ วถงึ แนวคิด ในการ
บรหิ ารไว้ตา่ งๆ ดงั น้ี
สาคร สขุ ศรีวงศ์ (2550 : 45) กลา่ วถงึ แนวคดิ การจดั การสามารถแบง่ ได้ ดังนี้
1) แนวคดิ การจัดการเชิงวทิ ยาศาสตร์
2) แนวคดิ การจดั การเชงิ บรหิ าร
3) แนวคดิ การจัดการเชิงพฤติกรรม
4) แนวคิดการจัดการเชิงปริมาณ
5) แนวคิดการจัดการรว่ มสมัย
ศริวรรณ เสรีรัตน์และคณะ (2552 : 19) ไดก้ ล่าวไว้ถงึ แนวคิดในการบริหารจัดการโดย
แบ่งตามหนา้ ท่ขี องการบริหารจัดการออกเป็น 4 หน้าทค่ี ือ
1) การวางแผนเปน็ ขัน้ ตอนในการกาหนดวัตถปุ ระสงค์และพจิ ารณาถงึ วธิ กี ารที่ควร
ปฏบิ ัตเิ พือ่ ให้บรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์นัน้ ดังนัน้ ผู้บรหิ ารจงึ ต้องตัดสินใจวา่ องคก์ รมีวตั ถุประสงคอ์ ะไรในอนาคต
และจะต้องดาเนนิ การอย่างไรเพ่ือให้บรรลุผลสาเร็จตามวัตถปุ ระสงคน์ น้ั ลกั ษณะการวางแผนมดี ังนี้
1.1) การดาเนินการตรวจสอบตวั เอง เพ่อื กาหนดสถานภาพในปัจจบุ ันขององค์การ
8
1.2) การสารวจสภาพแวดล้อม
1.3) การกาหนดวัตถุประสงค์
1.4) การพยากรณสถานการณ์ในอนาคต
1.5) การกาหนดแนวทางปฏิบตั ิงานและความจาเปน็ ในการใช้ทรพั ยากร
1.6) การประเมินแนวทางการปฏบิ ตั งิ านท่ีวางไว้
1.7) การทบทวนและปรับแผนเมื่อสถานการณ์เปลีย่ นแปลงและผลลัพธ์ของการควบคุม
ไมเ่ ป็นไปตามท่ีกาหนด
1.8) การติดต่อสอ่ื สารในกระบวนการของการวางแผนเป็นไปอยา่ งทว่ั ถึง
2) การจัดองค์การ เป็นขน้ั ตอนในการจดั หาบุคคลและทรัพยากรทีใ่ ช้สาหรบั การทางานเพอ่ื ให้
บรรลุจุดมุ่งหมายในการทางานนัน้ หรอื เป็นการจัดแบ่งงานและจดั สรรทรัพยากรสาหรับงานเพ่ือให้
งานเหล่านั้นสาเรจ็ การจัดองค์ประกอบด้วย
2.1) การระบุและอธบิ ายงานที่จะถูกนาไปดาเนินการ
2.2) การกระจายงานออกเป็นหนา้ ท่ี
2.3) การรวมหน้าทีต่ า่ งๆ เขา้ เป็นตาแหน่งงาน
2.4) การอธบิ ายสิง่ ที่จาเป็นหรือความต้องการของตาแหน่งงาน
2.5) การรวมตาแหน่งงานต่าง ๆ เป็นหน่วยงานทีม่ ีความสัมพนั ธ์อย่างเหมาะสมและ
สามารถบริหารจัดการได้
2.6) การมอบหมายงาน ความรบั ผิดชอบและอานาจหน้าที่
2.7) การทบทวนและปรับโครงสร้างขององคก์ รเมอื่ สถานการณ์เปล่ยี นแปลงและ
ผลลพั ธ์ของการควบคมุ ไม่เป็นไปตามท่ีกาหนด
2.8) การติดต่อสือ่ สารในกระบวนการของการจัดองค์เปน็ ไปอย่างทัว่ ถึง
2.9) การกาหนดความจาเป็นของทรพั ยากรมนุษย์
2.10) การสรรหาผู้ปฏบิ ัตงิ านทมี่ ีประสิทธภิ าพ
2.11) การคดั เลือกจากบุคคลทส่ี รรหามา
2.12) การฝึกอบรมและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ต่าง ๆ
2.13) การทบทวนปรบั คณุ ภาพและปริมาณของทรัพยากรมนุษย์เมอื่ สถานการณ์
เปล่ยี นแปลงและผลลัพธ์ของการควบคุมไม่เป็นไปตามทก่ี าหนด
2.14) การตดิ ตอ่ สอื่ สารในกระบวนการของการจัดคนเข้าทางานเป็นไปอย่างทว่ั ถึง
3) การจูงใจเป็นข้ันตอนในการกระตุ้นให้เกิดความกระตอื รือรน้ และชักนาความพยายาม
ของพนักงานให้บรรลุเป้าหมายองค์การซ่ึงจะเก่ียวข้องกับการใช้ความพยายามของผู้จัดการที่จะกระตุ้น
9
ให้พนักงานมีศักยภาพในการทางานสูง ดังน้ันการนาจะช่วยให้งานบรรลุผลสาเร็จเสริมสร้างขวัญและ
จงู ใจผู้ใตบ้ ังคบั บัญชาการนาประกอบด้วย
3.1) การติดต่อส่ือสารและอธิบายวตั ถุประสงค์ให้แกผ่ ูใ้ ตบ้ ังคบั บัญชาได้ทราบ
3.2) การมอบหมายมาตรฐานของการปฏบิ ัติงานตา่ ง ๆ
3.3) ให้คาแนะนาและให้คาปรึกษาแกผ่ ู้ใตบ้ ังคับบัญชาใหส้ อดคล้องกับมาตรฐานของ
การปฏิบตั งิ าน
3.4) การใหร้ างวลั แกผ่ ใู้ ต้บังคับบญั ชาบนพื้นฐานของผลการปฏิบตั ิงาน
3.5) การยกย่องและสรรเสริญและการตาหนิติเตยี นอย่างยุติธรรมและถูกต้องเหมาะสม
3.6) การจัดหาสภาพแวดล้อมมากระตุ้นการจูงใจโดยการติดตอส่ือสารเพื่อสารวจความต้องการ
และสถานการณ์การเปลี่ยนแปลง
3.7) การทบทวน และปรบั วิธกี ารของภาวะความเป็นผู้นา เมื่อสถานการณ์เปลยี่ นแปลงและ
ผลลพั ธข์ องงาน
4) การควบคุมเป็นการติดตามผลการทางาน และแก้ไขปรบั ปรงุ สง่ิ ทจ่ี าเป็นหรือเป็นข้ันตอน
ของการวัดผลการทางานและดาเนินการแกไ้ ขเพื่อให้บรรลุผลท่ีต้องการซ่ึงการควบคมุ ประกอบด้วย
1) การกาหนดมาตรฐาน
2) การเปรียบเทียบและติดตามผลการปฏิบัติงานกับมาตรฐาน
3) การแก้ไขความบกพร่อง
4) การทบทวนและปรบั วธิ กี ารควบคุม เมอ่ื สถานการณ์เปล่ียนแปลงและผลลัพธ์ของ
การควบคุมไมเ่ ป็นไปตามท่กี าหนด
5) การตดิ ต่อสื่อสารในกระบวนการของการควบคมุ เปน็ ไปอย่างทว่ั ถึง
โชติ บดีรัฐ (2558 : 43 - 50) ได้กล่าวถึง แนวคิดทางการบริหารโดยใช้หลักเกณฑ์ของ Taylor
มีพื้นฐานอยู่บนหลักการท่ีสาคัญ 4 ประการ ได้แก่ (1) การคิดค้นและกาหนดส่ิงที่ดีท่ีสุด (2) การคัดเลือก
และพัฒนาคนงาน (3) การพิจารณาอย่างรอบคอบเกี่ยวกับวิธีทางานควบคู่กับการพิจารณาคนงานและ (4)
การประสานงานอย่างใกลช้ ิดระหว่างผู้บริหารและคนงาน ซึ่งผู้บริหารตามแนวคดิ ของ Taylor จะมีความ
เป็นผู้นาอย่างแท้จริง ต้องรับภาระหนักกว่าคนงาน ต้องใช้สมองคิดวิเคราะห์ปัญหาของกลุ่ม จัดเตรียม
และกาหนดวธิ กี ารทางานทด่ี ีกว่า ง่ายกวา่ และไดผ้ ลมากกว่าใหก้ บั กลุ่ม
สรุปได้ว่าแนวคิดดังกลา่ วข้างต้นจะพบว่าการบริหารองค์กรจะครอบคลุม เร่ืองการทางาน
เป็นทีมการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจร่วมกัน ซ่ึงแต่ละแนวคิดจะมีเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน
คือ การทางานให้สาเร็จตามวัตถุประสงค์ขององค์กรแต่ละแนวคิดต่าง ๆ เหล่าน้ีมีจุดมุ่งเน้นหรือ
วธิ กี ารจัดการเพ่ือไปให้ถงึ เปา้ หมายแตกต่างกนั ไป
10
2.1.3 องค์ประกอบของการบริหารจดั การ
ศจี อนันต์นพคุณ (2552 : 2 - 3) กล่าวถึง องค์ประกอบของการบรหิ ารวา่ ประกอบด้วย
3 ส่วน ได้แก่ ทรัพยากรการบริหารหรือปัจจัยการบรหิ าร (administrative resources) กระบวนการ
บรหิ าร (administration process) และวตั ถปุ ระสงค์ของการบริหาร (objective) ซึ่งเขยี นความสมั พนั ธ์
ได้ดังภาพที่ 2.1 วัตถุประสงค์ กระบวนการ
ปัจจยั การบรหิ าร (objective) บริหาร
(input)
4 M’s PODC (process)
Man Planning 4 E’s
Money Organizing Economic
Material Directing Efficiency
Management Controlling Effectiveness
Equity
feed back
ภาพท่ี 2.1 องคป์ ระกอบของการบริหาร
ท่มี า: ศจี อนันตน์ พคุณ (2552 : 3)
วิรัช วิรัชนิภาวรรณ (2552 : 11 - 14) ได้กล่าวถึง ตัวช้ีวัดในการบริหารจัดการว่าแบ่ง
ออกเป็น 3 ส่วนได้แก่ ปัจจัยนาเข้า (input) ปัจจัยกระบวนการ (process) และปัจจัยผลผลิต (output)
ตามรายละเอยี ดดงั นี้
1. ปัจจัยนาเข้า หมายถึง ตัวชี้วัดการบริหารจัดการที่เป็นปัจจัยที่มีส่วนสาคัญต่อการบริหาร
จัดการหรือประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ หรือทรัพยากรการจัดการ (management resources)
โดยวิรชั วิรัชนภิ าวรรณ ได้รวบรวมตวั ชีว้ ัดทเี่ ปน็ ปัจจัยนาเข้าไว้ 9 กลุ่ม เร่ิมจาก 3M ถงึ 11M เชน่ 3M
ประกอบด้วย คนหรือการบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Man) เงินหรือการบริหารงบประมาณ (Money)
และการบริหารงานท่ัวไป (Management) ท่ีถูกนาเขา้ ไปในระบบการบรหิ ารจัดการ
2. กระบวนการ หมายถึง ตัวช้ีวดั การบริหารจัดการที่ประกอบดว้ ยการดาเนนิ งานหลายข้นั ตอน
ท่หี น่วยงานของรฐั และเจ้าหน้าท่ีของรฐั พงึ ดาเนินการ หรือหมายถงึ ตัวชว้ี ัดทป่ี ระกอบด้วยหลายขั้นตอน
ท่ีอยู่ในระบบการบรหิ ารจัดการ โดยนาแตล่ ะขัน้ ตอนมาใชเ้ ป็นเคร่ืองมือในการปรับเปลย่ี นปัจจยั นาเข้า
ใหเ้ ป็นปัจจัยนาออกหรือผลผลติ ตามเปา้ หมายหรือวัตถปุ ระสงคข์ องหนว่ ยงานต่อไป
3. ปัจจัยนาออก หมายถึง ตัวชี้วัดการบริหารจัดการท่ีเป็นผลลัพธ์ ผลผลิต ผลการดาเนินงาน
หรือเป็นจุดหมายปลายทาง (end(s)) เป้าหมาย (goal(s)) หรือวัตถุประสงค์(objective(s)) ของหน่วยงานท่ี
11
ออกมาจากกระบวนการในขั้นตอนที่สอง ตัวช้ีวัดที่เป็นปัจจัยนาออกหรือเป็นเป้าหมายของหน่วยงานนี้
อาจแบง่ ออกเป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่ ตวั ชวี้ ดั ท่ีมเี ปา้ หมายท่มี ุ่งแสวงหากาไร (profit) และตัวช้ีวดั ที่มเี ป้าหมาย
ไม่มุ่งแสวงหากาไร (non-profit) หรือแบ่งเป็นตัวช้ีวัดที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการผลิตสินค้าหรือผลผลิต
(products) และตวั ชี้วดั ทมี่ วี ัตถุประสงค์เพื่อใหบ้ ริการ(services) กไ็ ด้
ศิริพงษ์ เศาภายน (2552 : 44 - 46) ได้กล่าวไว้ว่าการท่ีจะมีระบบใดระบบหนึ่งขึ้นมาได้
จะต้องมีส่วนประกอบหรือส่ิงต่าง ๆ เป็นตัวป้อน โดยเรียกว่า“ข้อมูล” เพื่อดาเนินงานสัมพันธ์กันเป็น
“กระบวนการ” เพ่ือให้ได้ “ผลลัพธ์” ออกมาตามวัตถุประสงค์ท่ีตั้งไว้ ดังน้ัน ภายในระบบหนึ่งจะสามารถ
แบ่งองคป์ ระกอบและหนา้ ท่ี ได้ดังน้ี
1. ข้อมูล (Input) เป็นการตงั้ ปัญหาและวเิ คราะหป์ ัญหา การตั้งวตั ถุประสงค์ หรือเปน็ การ
ปอ้ นวัตถดุ บิ ตลอดจนข้อมลู ต่าง ๆ เพอื่ การแกป้ ัญหานัน้
2. กระบวนการ (Process) เปน็ การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลที่ป้อนเข้ามาเพื่อดาเนนิ การ
ตามวัตถุประสงค์ทตี่ ั้งไว้
3. ผลลัพธ์ (Output) เป็นผลผลติ ท่ีได้ออกมาภายหลังจากการดาเนินงานในขั้นของ
กระบวนการสนิ้ สดุ ลง รวมถงึ การประเมนิ ดว้ ย
สรุปได้ว่าองค์ประกอบของการบริหารจัดการไว้ประกอบด้วย ปัจจัยด้านการบริหารหรือปัจจัย
นาเข้า (input) กระบวนการบริหารหรือกระบวนการ (process) และปัจจยั นาออกหรือปัจจยั ผลผลิต
(output)
2.1.4 แนวคดิ ดา้ นการมสี ่วนร่วม
แนวคิดด้านการมีส่วนร่วม การมีส่วนร่วมของประชาชน หมายถึงกระบวนการที่
ประชาชนหรือผู้มีส่วนได้เสีย มีโอกาสแสดงทัศนะแลกเปล่ียนข้อมูลและความคิดเห็น หาทางเลือก
และการตัดสินใจต่างๆ เกี่ยวกบั โครงการทเี่ หมาะสมและเป็นที่ยอมรับร่วมกัน
ดวงใจ ปินตามูล (2555) กล่าวว่าการมีส่วนร่วมของประชาชน คือกระบวนการสื่อสาร สอง
ทางระหว่างบุคคลกลุ่มบุคคล ชุมชน หรือประชาชน กับเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ดาเนินโครงการ หรือ
นโยบายสาธารณะ หรือการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ซ่ึงการมีส่วนร่วมของประชาชนจะเก่ียวข้อง
กับการร่วมในกระบวนการตัดสินใจ การร่วมในกระบวนการดาเนินการ และร่วมรับผลประโยชน์โดย
มีเป้าหมายของการมีส่วนร่วมของประชาชน คือการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหวา่ งประชาชนและ
ผู้ดาเนินโครงการ โดยการให้ข้อมูลต่อประชาชน และประชาชนแสดงความคิดเห็นต่อโครงการหรือ
นโยบายเพอ่ื ประโยชน์ต่อการดารงชพี ทางเศรษฐกิจและสงั คม
แนวคิด ทฤษฎเี กีย่ วกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการมูลฝอยการมีส่วนร่วม ของ
ทุกภาคส่วนน้ัน เป็นส่วนหน่ึงของการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การเมืองประเทศชาติไปในทิศทาง ท่ีดี
ขึ้น แนวคิดการมีส่วนร่วมนั้นเกิด และอยู่เคียงคู่กับการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย เน่ืองจาก
12
อานาจอธิปไตย เป็นอานาจสูงสุด ในการปกครองประเทศ มาจากประชาชน และประชาชนเป็นผู้ให้
ฉันทานุมัติต่าง ๆ กับภาครัฐ ในการบริหารจัดการ เพื่อให้เกิดความ โปร่งใส และเป็นไปตามความ
ต้องการแท้จริงของประชาชน ซึ่งถือว่าเป็นการเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง (Authentic
participation) ดังกล่าวข้างต้น จึงได้นามาเป็นแนวทางในการกาหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนา
ประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ.2555 - 2559) ซึ่งมีเป้าหมาย
การพัฒนาภายใต้กระบวนการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้อง จากทุกภาคส่วนในสังคมไทย ท่ีได้รวมพลัง
กนั ระดมความคิดกาหนดวิสัยทัศน์ร่วมกนั ของสงั คมไทย มุ่งพัฒนาสู่ “สังคมเข้มแข็ง และมีดุลยภาพ”
ใน 3 ด้าน คือ สังคมคุณภาพ สังคมแห่งภูมิปัญญา การรับรู้ สังคมสมานฉันท์ และเอื้ออาทรต่อกัน
เพ่ือเสริมสร้างระบบการบริหารจัดการท่ีดีในทุกภาคส่วนของสังคมไทย สนับสนุนกระบวนการ
กระจายอานาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินและชุมชน มีบทบาทในการพัฒนาท้องถ่ินของตนเอง
ภายใต้ระบบบริหารจัดการภาครัฐทม่ี ีประสิทธิภาพ ยดึ หลักการมีส่วนร่วม โปร่งใส และพร้อมท่ีจะรับ
การตรวจสอบจากสังคมโดยรวมการพัฒนาประเทศในอนาคต เพ่ือสร้างโอกาสให้คนไทยคิดเป็นทา
เป็น มเี หตุผล สามารถรบั รู้ได้ตลอดชวี ติ พร้อมรบั การเปลยี่ นแปลง สังคมสมานฉันท์ และเอ้อื อาทรต่อ
กันที่ดารงไว้ซง่ึ คุณธรรม คณุ ค่าของเอกลักษณ์ที่ พึ่งพาเก้ือกูลกัน ตลอดจนมีจารีตประเพณีท่ีดงี าม ใน
การพัฒนาอย่างต่อเน่ือง และการทางานแบบพหุภาคี สามารถประยุกต์ใช้ในการทางานเชิงรุก เพื่อ
เสริมสร้างความเข้มแข็ง ได้อย่างมีประสิทธิผลทั่วถึงใน ทุกพื้นที่ การมีส่วนร่วมถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่
สาคัญเพ่ือจุดมุ่งหมายในการพัฒนาที่ย่ังยืนมีบทบาทอย่างมากเป็นหัวใจสาคัญเพื่อตอบสนองความ
ต้องการไดต้ รงจดุ มากทสี่ ดุ อย่างเปน็ รปู ธรรม อนั จะนาไปสู่ความอยู่ดีมีสุขของคนไทยทุกคน
ความหมายของการมสี ่วนร่วม การมีส่วนร่วมเป็นเป้าหมายของการพฒั นาสงั คม เพื่อสืบทอด
ความยั่งยืนให้เกิดข้ึนอย่างต่อเนอื่ ง เป็นองค์ประกอบสาคัญในกจิ กรรมท่ีจะสร้างความเจริญ ก้าวหน้า
ให้เกิดขน้ึ สาหรับความหมายของการมสี ่วนร่วมนน้ั มนี กั วิชาการหลายท่านนาเสนอไว้ ดังนี้
อาภรณ์พันธ์ จันทร์สว่าง (2552 : 19) ให้ความหมายว่าการมีส่วนร่วมน้ันก่อให้เกิดการ
รวมตัวทส่ี ามารถจะกระทาการตัดสินใจใช้ทรพั ยากร และมีความรับผิดชอบในกจิ กรรมทจี่ ะกระทา ใน
กลุ่มเป็นการเปิดโอกาสให้ได้ร่วมในการคิดริเริ่ม การตัดสินใจ ร่วมลงมือปฏิบัติและร่วมรับผิดชอบใน
เร่ืองราวต่างๆ เพ่ือแก้ไขปัญหาและนามาซึ่งความเป็นอยู่ท่ีดีขึ้น เพ่ือตอบสนองความ ต้องการของ
ประชาชนท่ีจะช่วยให้ประสบความสาเร็จตามเป้าหมายได้ การมีส่วน่วมเป็นผลมาจากการเห็นพ้อง
ต้องกันในเรื่องราวของความต้องการและทิศทางของการเปล่ียนแปลง จนเกิดความคิดริเร่ิม เพื่อการ
ปฏบิ ัตกิ ารนนั้ ๆ เหตุผลเบอ้ื งแรกทีค่ นเรามารวมตัวกันได้ จะตอ้ งมีการตระหนักว่าการกระทาทง้ั หมดที่
ทา โดยกลุ่ม หรือโดยนามของกลุ่มนั้นกระทาผ่านกลุ่มซึ่งเป นเสมือนตัวนาให้บรรลุถึงความ
เปลย่ี นแปลงได้
13
สาหรับทวีทอง หงส์วิวัฒน์ (2553 : 2) ได้ขยายความหมายของการมีส่วนร่วมว่าเป็นการ
พัฒนา ขีดความสามารถของคนในการจัดการควบคุมการใช้การกระจายทรัพยากรท่ีมีอยู่อย่างจากัด
เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการดารงชีพ ทางเศรษฐกิจ และสังคมตามความจาเป็นอย่างสมศักดิ์ศรี
แสดงออกในการตดั สนิ ใจกาหนดชีวิตของตนเอง เพ่ิมความสามารถในการควบคุมทรัพยากร ทั้งนี้ต้อง
เป็นส่ิงที่ทุกฝ่ายได้ริเร่ิมข้ึนมาเอง มิใช่พฤติกรรมที่ถูกกาหนดข้ึนมาหรือชี้นา โดยฝ่ายรัฐบาลใน
กิจกรรมซง่ึ มุ่งสู่การพัฒนาตามนโยบายของภาครฐั การจะเกิดพลัง ความสามารถของกลุ่มท่ผี นกึ กาลัง
ในการพัฒนา ทาให้มีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของงานพัฒนา และเป็นเจ้าของ ผลิตผลของการพัฒนา
นน้ั นอกจากนั้น
นิรนั ดร์ จงวฒุ เิ วศน์ (2553 : 183) ยงั กล่าวเพิม่ เตมิ ว่าการมสี ่วนร่วมมคี วามเกยี่ วข้อง
ทางด้านจิตใจ และอารมณ์ (Mental and Emotional Involvement) ซึง่ ผลดังกล่าวเป็นเหตุเร้า ให้
กระทา (contribution) บรรลุจุดมุ่งหมายของกลุ่มน้ัน กับทาให้เกิดความรู้สึกร่วมรับผิดชอบกับ
เป้าหมายดังกล่าวด้วย เป็นองค์ประกอบสาคัญเพ่ือให้เกิดประสิทธิภาพในการวางแผนและการ
ดาเนินการให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดในการมีส่วนร่วม การมีส่วนร่วมคือ การท่ีทุกฝ่ายได้เข้าไปจัดการ
ควบคุมการใช้ และการกระจายทรัพยากรท่ี มีอยู่เพ่ือประโยชน์ต่อการดาเนินการทางเศรษฐกิจ และ
สังคม ร่วมกันคิดค้นหาสาเหตุของปัญหา และมีความเห็นพ้องต้องกันในการท่ีจะดาเนินการแก้ไข
ปญั หาให้บรรลุตามวตั ถุประสงค์หรอื นโยบายท่วี างไว้ เปน็ การมีส่วนช่วยเหลือโดยสมคั รใจ เข้าร่วมกับ
กระบวนการตัดสินใจ ตลอดจน ร่วมรับผลประโยชน์ และมีจุดสาคัญที่จะให้การมีส่วนร่วมเป็นการ
ปฏิบัติอย่างแข็งขัน มีอานาจในการตัดสินใจ (Share Decision Making) เป็นผู้กาหนดนโยบาย
(Policy Formulation) กาหนดเป้าหมายแผนงาน (Participating on Formulating Objective
and Plan) รว่ มดาเนนิ การในกระบวนการจัดการ (Participating on Management) รว่ มรบั ผดิ ชอบ
ในเร่ืองต่าง ๆ อันมีผลกระทบถึงทุกคนเพ่ือประโยชน์ต่อการดารงชีพทางเศรษฐกิจและสังคม ที่
ก่อให้เกดิ สิง่ ตา่ ง ๆ รว่ มกนั น่นั เองจากที่กล่าวมา
การมีสว่ นร่วมมีความหมายเป็น 2 นัย ด้วยกนั คอื
1.ความหมายอย่างกว่าง หมายถึงการท่ีประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการกาหนดนโยบาย
ของประเทศ การบริหารโดยผ่านกระบวนการหรือการเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารท้องถ่ิน และการ
เป็น สมาชิกสภาท้องถ่ินด้วย
2. ความหมายอย่างแคบ คือ การที่ประชาชนเข้าไปช่วยสนับสนุนงานซ่ึงเป็นหน้าท่ีของ
เจ้าหน้าที่ภาครัฐโดยกระทาการภายในกรอบของกฎหมายหรือนโยบายของรัฐ ดังน้ันจากที่กล่าวมา
จุดเริ่มต้นที่มีความสาคัญประการหน่ึง ท่ีจะทาให้ เกิดการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย ได้ อย่างกว้างขวาง
และมีประสิทธิภาพ คือ นโยบาย กฎ ระเบียบ วิธีการส่งเสริมจากภาครัฐ หน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องใน
14
งานวิจัย คร้ังนี้ถือว่าเป็นส่วนหน่ึงในปัจจัยที่จะส่งผลหรือมีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมการจัดการมูล
ฝอยในประเทศไทย ให้เกิดประสิทธผิ ล ซึง่ ผู้วจิ ยั จะทาการหาความจริงในเรอ่ื งนีต้ ่อไป
รูปแบบการมีส่วนร่วม Cohen and Uphoff (2010 : 213 - 218) ได้อธิบายและวิเคราะห์
การมสี ว่ นร่วมโดยแบ่ง ออกเปน็ 4 รปู แบบ คือ
1.การมีสว่ นร่วมในการตัดสนิ ใจ ตั้งแต่ ในระยะเรมิ่ ของกิจกรรมจนกระทั่งการดาเนนิ
กจิ กรรมน้นั เสร็จสิ้นลง
2. การมีสว่ นร่วมในการดาเนินกจิ กรรมซึ่งอาจเป็นไปในรูปแบบของการเข้าร่วมโดยการให้มี
การสนบั สนุนทางด้านทรัพยากร การเข้าร่วมในการบรหิ าร และการเข้าร่วมในการร่วมแรงร่วมใจ
3. การมีสว่ นร่วมในผลประโยชน์ ทั้งทางวัตถุ ทางสังคมหรือโดยส่วนตวั
4. การมีสว่ นร่วมในการประเมินผล ซ่งึ นบั เป็นการควบคมุ และตรวจสอบการดาเนิน
กจิ กรรมทัง้ หมด
สรุ สั วดี หุ้นพยนต์ (2549 : 17) ได้ เสนอรูปแบบหรอื ชนิดการมีส่วนร่วมทีก่ ่อให้เกิด
ผลดตี ่อ กระบวนการพัฒนาไว้ 4 รูปแบบ ซ่ึงได้แก่
การมสี ว่ นร่วมในการตดั สินใจ (Decision making) ประกอบไปดว้ ย 3 ขนั้ ตอนคือ
1. รเิ ร่ิม ตดั สินใจ ดาเนนิ การตดั สนิ ใจ และตัดสนิ ใจปฏบิ ตั ิการ
2. การมีส่วนร่วมในการปฏิบัติการ (Implementation) ประกอบด้วยการสนับสนุน
ด้านทรัพยากร การบรหิ าร และการประสานขอความร่วมมอื
3. การมีส่วนร่วมในผลประโยชน์ (Benefits) ไม่ว่าจะเป็นทางด้านวัตถุผล ทางสังคม หรือ
ผลประโยชน์ส่วนตัว
4. การมีส่วนร่วมในการประเมินผล (Evaluation) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ ต่อพฤติกรรมการ
มีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้อง พฤติกรรมการเข้ามามีส่วนร่วม เป็นปรากฏการณ์ที่สลับซับซ่อน ข้ึนอยู่กับ
ปจั จัยหลายอยา่ ง ท่ีมนี ้าหนักความสาคญั มากน้อยต่างกัน
ซง่ึ Mcclosky (2008:12) ไดอ้ ธิบายไว้ ดงั นี้คือ
1. ปัจจัยทางด้านส่ิงแวดล้อมสังคม เช่น ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ เช้ือชาติ เพศ
ระยะเวลาที่อยู่อาศัย การเปล่ียนแปลงทางสังคม ส่ิงเหล่านีม้ ีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วม
ด้วยความสมคั รใจของทกุ คน
2. ปัจจัยทางด้านจิตวิทยา ของการเข้ามามีส่วนร่วม ท่ีขึ้นอยู่กับว่า มีการให้ผลประโยชน์
หรือผลตอบแทนอย่างไรบ้าง ท่ีสามารถตอบสนองความต้องการ เช่น การมีอานาจ การแข็งขัน
ความสาเรจ็ ความสมั พันธ์กับผู้อนื่ สถานภาพทีส่ งู ข้นึ การยอมรับจากสงั คม เป็นต้น
3. ปจั จัยด้านสิ่งแวดล้อมภายนอก เช่น นโยบายของแต่ละรัฐบาล มกั มคี วามแตกตา่ ง ในด้าน
ความต้องการท่ีมีบทบาทมากหรือน้อย ไม้เท่ากัน การท่ีประชาชนจะตัดสินใจเข้ามาร่วมรับผิดชอบใน
15
โครงการหรือกิจกรรมต่างๆ ขึ้นอยู่กับปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยทางเศรษฐกิจ และสังคม ได้แก่ อายุ
เพศ สถานภาพในครอบครวั ระดบั การศกึ ษา สถานภาพทางสงั คม ชัน้ ทางสงั คม ศาสนา อาชพี รายได้
และทรัพย์สิน สถานภาพทางเศรษฐกิจ ความเช่ียวชาญ ความเช่ือ ค่านิยม นิสัย ประเพณีในชมุ ชน ท่ี
มีผลต่อการมสี ว่ นร่วม เช่นเดียวกัน แนวทางในการจดั การแบบมีส่วนร่วม
การมสี ่วนรว่ มของประชาชน หมายถึงกระบวนการทปี่ ระชาชนหรอื ผู้มสี ว่ นเกี่ยวข้องได้แสดง
ความคิดเหน็ แลกเปลยี่ นข้อมูลและเสนอแนะเทคนคิ วธิ กี าร หาทางเลอื กและการตัดสินใจต่าง ๆ
เก่ียวกบั โครงการการบริหารจัดการขยะในโรงเรยี นและโครงการ/ กิจกรรมอนื่ ๆทเี่ หมาะสมและเป็นที่
ยอมรับร่วมกัน
2.2 แนวคิดและทฤษฎีที่เกย่ี วข้องกับขยะในโรงเรยี น
2.2.1 ความหมายของขยะ
ขยะหรือขยะมูลฝอย เป็นคาท่ีมักจะใช้ในความหมายเดียวกัน เป็นปัญหาที่สาคัญของ
ชมุ ชนและสังคม โดยปริมาณของขยะจะเพ่มิ ขึ้นตามการขยายตัวของประชากรและเศรษฐกจิ ถ้ามกี าร
จัดการที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ถูกหลักสุขาภิบาลก็จะเป็นสาเหตุที่ทาให้เกิดปัญหาสุขภาพอนามัยของ
ประชาชน ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหา ความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยของชุมชนซ่ึงมีผู้ให้ความหมาย
ของขยะต่างๆดังน้ี
ราชบณั ฑิตยสถาน (2552 : ) ได้ใหค้ วามหมาย ขยะ ว่าหมายถงึ หยากเยื่อ หรือเศษสิง่ ของท่ที ิ้งแล้ว
รวมทัง้ เศษกระดาษ เศษอาหาร ถงุ พลาสติก ภาชนะท่ีใส่อาหาร มลู สัตว์ ซากสตั ว์ หรือส่ิงใดๆ ทไ่ี ม่ต้องการ
มักใช้ร่วมกับคาว่า มูลฝอย ซึ่งหมายถึง เศษกระดาษ เศษผ้า เศษอาหาร เศษสินค้า ถุงพลาสติก ภาชนะ
ที่ใส่อาหาร เถ้า มูลสัตว์ หรือซากสัตว์ รวมท้ังสิ่งอ่ืนใดที่เก็บกวาดจากถนน ตลาด ท่ีเล้ียงสัตว์ หรือที่อ่ืน
คาว่า ขยะ จึงมีความหมายเช่นเดียวกับคาว่า มูลฝอย และมักจะใช้ร่วมกันเป็น ขยะมูลฝอย คาว่า
ขยะ และ ขยะมูลฝอย
กรมควบคุมมลพิษ (2555 : 8) ได้กล่าวไว้ว่า ขยะ ตามความหมายของกรมควบคุมมลพิษ
หมายถงึ สิ่งต่าง ๆ ท่ไี ม่ตอ้ งการใช้ หรอื วัสดุทีใ่ ชแ้ ล้วซ่งึ เกิดจากกจิ กรรมต่างๆในชมุ ชน การดาเนนิ ชวี ิต
ทั้งในครัวเรือน และจากการประกอบอาชีพ ได้แก่ เศษอาหาร เศษไม้ กระดาษ พลาสติก เศษแก้ว
ขวด กระป๋อง รวมถงึ วัสดุของใชท้ ี่ชารุด และสงิ่ ของทตี่ ้องการทงิ้
ยุพดี เสตพรรณ (2544) ได้กล่าวถึงขยะมูลฝอยว่า หมายถึง เศษสิ่งของท่ีไม่ต้องการแล้ว
สิ่งของท่ีชารุดเสียหายใช้ไม่ได้หรือเส่ือมคุณภาพ ต้องกาจัดทาลายหรือสิ่งของที่ต้องท้ิงหรือแจกจ่าย
ให้แก่ผอู้ ่นื เช่น เศษกระดาษ เศษอาหาร ขวดแก้ว พลาสติก ซากสัตว์ ซากรถยนต์ เป็นต้น
16
2.2.2 ประเภทของขยะ
1.2.1 การจาแนกประเภทตามคุณลักษณะและองค์ประกอบซึ่งอาณัติ ต๊ะปินตา (2553 :)
ได้จาแนก ดงั น้ี
1) การจาแนกตามลักษณะทางกายภาพ เป็นการจาแนกขยะมูลฝอยตามลักษณะท่ี
ปรากฏและมองเห็นจากภายนอก ซง่ึ สามารถจาแนกออกไดด้ ังนี้
1.1) ขยะเปียก (garbage) หมายถึง ขยะมูลฝอยทีเ่ ป็นสารอินทรยี ์ชนิดต่างๆและมี
ความชื้นสูงสามารถย่อยสลายได้ง่ายโดยกระบวนการทางชีวภาพ เช่น เศษอาหาร เศษพืชผักและ
ผลไม้ เศษหญ้า เป็นต้น ดังนั้นจึงจาเป็นต้องทาการเก็บขนและนาไปกาจัดทาลายหลายอย่างรวดเร็ว
เพ่อื ป้องกันกล่นิ เหม็นจากการเน่าเสยี ของขยะประเภทน้ี
1.2) ขยะแห้ง (rubbish and trash) หมายถึง ขยะมูลฝอยที่เกิดข้ึนในรูปของสารอินทรีย์
และสารอนนิ ทรีย์ ซึ่งมีความช้นื ตา่ ยอ่ ยสลายด้วยกระบวนการทางชีวภาพได้ยาก เช่น กระดาษ กล่องกระดาษ
เศษก่ิงไม้ใบไม้ เศษยาง เศษผ้า เศษแก้วหรือขวดแก้ว เศษหนังหรือผลิตภัณฑ์หนัง เศษพลาสติกเศษ
กระป๋องโลหะ เป็นตน้
1.3) เถ้า (ash) หมายถึง ซากของแข็งที่เหลือจากการเผาไหม้ของเช้ือเพลิงประเภทฟืน
หรือถา่ นหินท่ีใหพ้ ลงั งานความร้อนท้งั ในบา้ นพักอาศยั ในอาคาร หรอื ในโรงงานต่างๆ ฯลฯ
1.4) เศษส่ิงก่อสร้าง (demolition and construction waste) หมายถึง ขยะมูล
ฝอยที่เกิดจากการก่อสร้างหรือการร้อื ถอน อาคาร เช่น เศษเหล็ก เศษอิฐ เศษปูนซีเมนต์ เศษกระเบ้ืองเซรามิก
เศษทอ่ พีวซี ี เศษสายไฟ เศษหินและเศษไม้ เป็นตน้
1.5) ซากสัตว์ต่างๆ (dead animal) หมายถึงซากสัตว์ต่างๆท้ังท่ีเกิดข้ึนในชุมชน
เช่น สตั วเ์ ล้ียงตามบ้านเรือนทีต่ ายลงจากภาคเกษตรกรรม เช่น ซากสตั วใ์ นฟาร์มปศุสัตวต์ ่างๆ ท่ีอาจตายลง
จากการเกิดโรคระบาดและจากภาคอุตสาหกรรม เช่น เศษช้ินส่วนของสัตว์ที่เหลือจากโรงงานผลิต
อาหารสาเรจ็ รปู หรอื อาหารกระปอ๋ ง เปน็ ต้น
1.6) ตะกอนจากระบบบาบัดน้าเสีย (sludge) หมายถึง กากตะกอนทีเ่ กิดจากการ
บาบัดน้าเสียในระบบบาบัดน้าเสียของชุมชนหรือภายในโรงงานทั้งหลาย โดยอาจมีลักษณะเป็นของแข็ง
หรือกึ่งของแข็งมีท้ังส่วนที่สามารถย่อยสลายได้และย่อยสลายไม่ได้ด้วยขบวนการทางชีวภาพ กากตะกอน
เหลา่ น้ีหากปลอ่ ยท้ิงไว้โดยไมก่ าจัดอาจถกู ชะล้างลงสู่แหลง่ นา้ หรือไหลซึมลงสชู่ ัน้ นา้ ใต้ดนิ ได้
1.7) ซากผลิตภัณฑเ์ ครื่องใช้ไฟฟ้าและอปุ กรณอ์ ิเล็กทรอนกิ ส์ (Waste from Electronic
Equipment,WFEE) หมายถึง ขยะท่ีเกิดข้ึนจากภาคธุรกิจซึ่งผลิตสินค้าประเภทผลิตภัณฑ์เคร่ืองใช้ไฟฟ้า
และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ออกมาจาหน่ายในตลาด และเมื่อสินค้าเหล่านั้นเสื่อมสภาพหรือหมดอายุ
การใช้งานลงก็กลายเป็นขยะท่ีต้องนาไปกาจัดทาลาย ซ่ึงส่วนใหญ่มักจะมีขนาดใหญ่ละมีน้าหนักมาก
17
ขยะประเภทนี้ ได้แก่ ซากตู้เย็น เคร่ืองรับโทรทัศน์ เคร่ืองเสียง เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ เคร่ือง
คอมพิวเตอรแ์ ละอปุ กรณ์คอมพวิ เตอร์ เป็นต้น
2) การจาแนกตามองค์ประกอบ เป็นการจาแนกตามลักษณะของขยะมูลฝอยว่าประกอบ
ไปด้วยวัตถุใดบ้าง และวัตถุนน้ั มีประโยชน์ทจี่ ะนากลับมาใช้ใหม่ได้อีกหรอื ไม่โดยอาจจาแนกออกเป็น
ประเภทต่างๆได้ดังนคี้ ือ
2.1) ขยะอินทรีย์ (Organic Waste) ได้แก่ ขยะมูลฝอยทีส่ ามารถย่อยสลายได้ดว้ ย
ขบวนการทางชีวภาพโดยมีจุลินทรีย์ทาหน้าท่ีย่อยสลาย เช่น เศษอาหาร เศษพืชผักและผลไม้ เศษ
หญา้ เศษใบไม้และก่ิงไม้ รวมทั้งซากสตั ว์และมูลสัตว์ต่างๆเป็นต้น ขยะประเภทนี้สามารถนากลับมาใช้
ประโยชนไ์ ด้ในรูปของการนามาทาปุ๋ยหมัก
2.2) ขยะที่นากลับมาใช้ประโยชน์ได้ (recycle waste) ได้แก่ ขยะมูลฝอยท่ีมี
นามาแปรรูปเพ่ือใช้ประโยชน์ได้อีก เช่น แก้ว กระดาษ โลหะ เหล็ก พลาสติก อะลูมิเนียม หนังและยาง
เป็นต้น ขยะประเภทนเี้ มือ่ นามาทาการคัดแยกผา่ นกระบวนการแปรรูปแลว้ สามารถนามาเป็นวัตถุดิบ
เพ่ือใช้ในการผลิตสินค้า หรืออาจนาไปเป็นส่วนผสมกับวัตถุดิบใหม่เพ่ือลดปริมาณการใช้
ทรพั ยากรธรรมชาติลงได้
2.3) ขยะท่ีนากลับมาใช้ประโยชน์ไม่ได้ (non recycle waste) ได้แก่ ขยะมูลฝอย
ท่ีไม่สามารถนากลับมาใช้ประโยชน์ได้อีก เช่น เศษผ้า เศษอิฐและเศษปูนจากการก่อสร้าง เศษวัสดุ
ต่างๆจากการร้ือถอนอาคาร เถ้าจากการเผาไหม้เช้ือเพลิงตลอดจนเศษช้ินส่วนของผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและ
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บางชนิด เป็นต้น ขยะเหล่านี้ไม่มีศักยภาพในการนากลับมาใช้ได้อีกจึงต้อง
นาไปฝังกลบทาลายยงั สถานท่ีฝงั กลบเท่านัน้
2.4) ขยะติดเช้ือ (infectious waste) ได้แก่ ขยะมูลฝอยที่มีเช้อื โรคปนเป้อื นอยูซ่ ึ่ง
จะทาให้เกิดอนั ตรายต่อสขุ ภาพอนามยั ของมนษุ ย์ได้ เช่น เน้ือเยือ่ หรือชน้ิ ส่วนอวัยวะต่างๆรวมทง้ั วสั ดุ
ท่ีสมั ผัสกับผปู้ ่วย เช่น สาลี ผา้ พันแผล เขม็ ฉีดยา มดี ผา่ ตัด และเส้ือผ้าผู้ป่วย เปน็ ต้น
1.2.2 การจาแนกตามแนวทางการจัดการซ่ึงกรมควบคุมมลพิษ (2558 : 21 - 22) ได้จาแนก
ออกเปน็ 4 ประเภท ไดแ้ ก่
1) ขยะย่อยสลาย (compostable waste) คือ ขยะที่เน่าเสียและย่อยสลายได้เร็ว
สามารถนามาหมักทาปุ๋ยได้ เช่น เศษผกั เปลอื กผลไม้ เศษอาหาร ใบไม้ เศษเน้อื สตั ว์ เป็นตน้
2) ขยะรีไซเคิล (recyclable waste) คือ บรรจุภัณฑ์ หรือวัสดุเหลือใช้ ซ่ึงสามารถ
นากลับมาใชป้ ระโยชน์ใหมไ่ ด้ เช่น แก้ว กระดาษ เศษพลาสตกิ กล่องเคร่ืองด่ืมแบบยู เอช ที กระป๋อง
เคร่ืองด่มื เศษโลหะ อะลมู ิเนยี ม เปน็ ต้น
3) ขยะอันตราย (hazardous waste) คือ ขยะท่ีมีองค์ประกอบหรือปนเปื้อนวัตถุ
อันตรายชนิดต่างๆ ได้แก่ วัตถุระเบิด วัตถุไวไฟ วัตถุออกซิไดซ์ วัตถุมีพิษ วัตถุที่ทาให้เกิดโรค วัตถุ
18
กรรมมันตรังสี วัตถุที่ทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม วัตถุกัดกร่อน วัตถุท่ีก่อให้เกิดการ
ระคายเคือง วัตถุอย่างอื่นไม่ว่าจะเป็นเคมีภัณฑ์หรือส่ิงอื่นใดท่ีอาจทาให้เกิดอันตรายแก่บุคคล สัตว์
พืช ทรัพย์สินหรือส่ิงแวดล้อม เช่น ถ่านไฟฉาย หลอดฟลูออเรสเซนต์ แบตเตอรี่โทรศัพท์เคลื่อนที่
ภาชนะบรรจสุ ารกาจดั ศัตรูพืช กระปอ๋ งสเปรย์บรรจสุ หี รือสารเคมี เปน็ ต้น
4) ขยะทั่วไป (general waste) คือ ขยะประเภทอ่ืนนอกเหนือจากขยะย่อยสลาย
ขยะรีไซเคิลและขยะอันตราย มีลักษณะที่ย่อยสลายยากและไม่คุ้มค่าสาหรับการนากลับมาใช้ประโยชน์ใหม่
เช่น ห่อพลาสติกใส่ขนม ถุงพลาสติกบรรจุผงซักฟอก พลาสติกห่อลูกอม ซองบะหมี่กึ่งสาเร็จรูป
ถุงพลาสตกิ เปอื้ นเศษอาหาร โฟมเปอื้ นอาหาร ฟอยล์เปื้อนอาหาร เป็นต้น
2.2.3 สาเหตุที่ทาใหเ้ กิดปัญหาขยะในโรงเรียน
ปัญหาขยะเป็นปัญหาท่ีสาคัญของโรงเรียน แม้ว่าในโรงเรียนต่างๆ จะมีการรณรงค์ให้แยก
ขยะเพื่อท้ิงลงในถังแต่ละประเภท ซึ่งทางโรงเรียนได้จัดเตรียมถังขยะแยกประเภทไว้แล้ว แต่ก็ยัง
พบวา่ มอี กี หลายปัญหาทย่ี งั เกดิ ขน้ึ อยู่ ซง่ึ สาเหตุสาคญั ท่ที าให้เกดิ ปัญหาขยะในโรงเรยี นมีดงั น้ี
1. ขยะเป็นสิ่งต่างๆที่ไม่ต้องการใช้ ซึ่งขยะในโรงเรียนเป็นปัญหาสาคัญต่อสิ่งแวดล้อมและ
สุขภาพท้ังทางตรง และทางอ้อมของนักเรียน ท้ังน้ีข้ึนอยู่กับ ปริมาณของขยะ และการจัดการขยะ
ซง่ึ สุนยี ์ มลั ลกิ ะมาลย์ (2553 : 34) ไดก้ ลา่ วถงึ สาเหตุที่ทาให้เกิดปัญหาขยะในโรงเรยี นมดี งั นี้
1.1 ความมกั งา่ ยและขาดความสานกึ ถงึ ผลเสยี ทจี่ ะเกิดข้ึนเป็นสาเหตทุ ่ีพบบอ่ ยมากซึ่งจะเห็น
ได้จากการท้ิงขยะลงตามพนื้ หรือแหล่งน้าโดยไม่ทิ้งลงในถังรองรับท่ีจัดไว้ให้และโรงงานอุตสาหกรรม
บางแห่งลักลอบนาส่ิงปฏิกลู ไปท้งิ ตามท่วี ่างเปลา่
1.2 การผลิตหรือใช้ส่ิงของมากเกินความจาเป็น เช่น การผลิตสินค้าที่มีกระดาษหรือ
พลาสติกหุ้มหลายๆช้นั และการซือ้ ส้นิ คา้ โดยห่อแยกหรือใส่ถงุ พลาสติกหลายถุง ทาใหม้ ขี ยะปรมิ าณมาก
1.3 การเก็บและทาลาย หรือนาขยะไปใช้ประโยชน์ไม่มีประสิทธิภาพ จึงมีขยะตกค้าง
กองหมกั หมมและสง่ กล่นิ เหมน็ ไปทัว่ บริเวณจนก่อปญั หามลพษิ ให้กบั สิง่ แวดล้อม
นอกจากน้ีสมไทย วงษ์เจริญ (2561 : 24) ได้กล่าวว่าสาเหตุที่ทาให้เกิดปัญหาขยะในโรงเรียน
เกิดจากการดาเนินกิจวัตรของนักเรียนในโรงเรียนมักก่อให้เกิดส่ิงของท่ีไม่ต้องการใช้ หรือวัสดุที่ใช้
แล้วซ่ึงเกิดจากกิจกรรมต่างๆ ในโรงเรียน ซึ่งปริมาณของขยะในโรงเรียนจะมากน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัย
ดงั น้ี
1) ปริมาณขยะมูลฝอยท่ีเกดิ ข้ึนในแต่ละวันมีมากกว่าความสามารถทจ่ี ะจัดเก็บ และขยะ
มูลฝอยที่เก็บได้ ก็จะนาไปกองไว้กลางแจ้ง ให้ย่อยสลายตามธรรมชาติ ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมมี
ขยะมูลฝอยเพียงส่วนน้อยที่ถูกนาไปกาจัดอย่างถูกหลักสุขาภิบาล โดยการถมที่ลุ่มนาไปทาปุ๋ยหมัก
และเผาในเตาเผาขยะ สว่ นขยะท่ตี กคา้ งไม่สามารถจัดเก็บไดย้ ังก่อให้เกิดความสกปรกและส่งกลิน่ เหมน็
19
2) การทิ้งขยะมลู ฝอยไม่ถกู ท่ี คือ ไม่ทงิ้ ขยะมูลฝอยลงในภาชนะทจ่ี ัดเตรียมไว้รองรับขยะ แต่
ทิ้งตามความสะดวก เช่น ตามถนนหนทาง ห้องเรียน หรือสนามเด็กเล่น เป็นต้น ซึ่งก่อให้เกิดความ
สกปรกของสถานที่น้นั ๆ ทาใหท้ ่อระบายน้าอดุ ตนั
3) การท้งิ ขยะมลู ฝอยโดยไม่แยกประเภทขยะมูลฝอย เช่น เศษอาหาร เศษกระดาษ ขยะ
มูลฝอยท่ีย่อยสลายยาก โฟม ถุงพลาสติก โลหะ หรือขยะมูลฝอยท่ีเป็นอันตราย เช่น ของมีคม เศษ
แกว้ และขยะมลู ฝอยตดิ เช้อื มาทิง้ รวมกนั ทาใหเ้ กิดปญั หาในการแยกขยะมูลฝอย และการทาลาย
สรุปได้ว่ากิจกรรมต่างๆ ในโรงเรียนส่งผลให้เกิดสิ่งของที่ไม่ต้องการใช้และขยะในโรงเรียน
สาเหตุเนื่องมาจากการขาดความสานึก การผลิตหรือใช้ส่ิงของมากเกินความจาเป็น การทิ้งขยะมูล
ฝอยไม่ถูกที่ การทิ้งขยะมูลฝอยโดยไม่แยกประเภทขยะมูลฝอย ซง่ึ สาเหตุสาคัญทท่ี าให้เกิดปญั หาขยะ
ในโรงเรียน
2.2.4 ผลกระทบที่เกิดจากขยะในโรงเรียน
จากการทบทวนวรรณกรรมพบว่า ขยะในโรงเรียนมีผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมและสุขภาพ
ทัง้ ทางตรงและทางออ้ มของนกั เรยี นได้ ซึ่งสรุปผลกระทบได้ดังน้ี สานักระบาดวิทยา (2557 : 22)
1. ผลกระทบต่อสขุ ภาพร่างกายโดยตรง ทาให้เกิดการเจ็บป่วย เกิดโรคทางเดินหายใจ โรค
ภูมิแพท้ างดา้ นผวิ หนงั โพรงจมูก และตา โรคระบบทางเดินอาหาร โรคทางระบบประสาทและกลา้ มเนอ้ื เช่น
ปวดศรี ษะ คลน่ื ไส้
2. ผลกระทบต่อสุขภาพทางออ้ ม ขยะเป็นแหล่งสะสมเพาะพันธขุ์ องสัตว์และพาหะนาโรค
ดังนี้ แมลงวันเป็นพาหะนาโรคระบบทางเดินอาหาร อหิวาตกโรค บิด ไทฟอยด์ นอกจากนี้แมลงวัน
ยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของไข่หนอนพยาธิ และเชื้อโปรโตซัว สัตว์กัดแทะ เช่น หนูเป็นพาหะนาโรคสู่คน
เช่น โรคฉ่ีหนู หรือโรคเลปโตสไปโรซิส นอกจากน้ีหนูยังเป็นแหล่งอาศัยของปรสิตภายนอกร่างกาย
เชน่ หมัด ไร โลน เหา และสามารถแพร่ส่คู นได้
3. ผลกระทบต่อจิตใจ เช่น เกิดความราคาญ ความเครียด จากความสกปรก ฝุ่นละอองต่างๆ
และขาดสมาธิ
4. ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ทาให้เกิดมลพิษของน้า มลพิษของดิน และมลพิษของอากาศ
เนื่องจากขยะส่วนท่ีขาดการเก็บรวบรวม หรือไม่นามากาจัดให้ถูกวิธี ปล่อยทิ้งค้างไว้ เม่ือมีฝนตกลง
มาจะไหลชะนาความสกปรก เชื้อโรค สารพิษจากขยะไหลลงสู่แหล่งน้า ทาให้แหล่งน้าเน่าเสีย และ
นอกจากน้ีขยะยังส่งผลกระทบต่อคุณภาพดนิ โดยเฉพาะขยะอนั ตราย เชน่ ถ่านไฟฉาย ซากแบตเตอร่ี
หลอดฟลอู อเรสเซนต์ ซึง่ มีปริมาณโลหะหนกั ประเภทปรอท แคดเมยี ม ตะก่วั จานวนมาก สารอนิ ทรีย์
ในขยะเม่ือมีการย่อยสลาย จะทาให้เกิดสภาพความเป็นกรดในดิน เม่ือฝนตกชะกองขยะจะทาให้น้า
เสียจากกองขยะไหลปนเปื้อนดินทาให้เกิดมลพิษของดิน ถ้ามีการเผาขยะกลางแจ้งจะเกิดควันท่ีมี
20
สารพิษทาให้คุณภาพของอากาศเสยี สว่ นมลพษิ ทางอากาศจากขยะอาจเกิดขึน้ ได้ท้ังจากมลสารทมี่ ีอยู่
ในขยะและแก๊สหรอื ไอระเหยท่มี ีกล่ินเหมน็ จากการเนา่ เป่ือยและสลายตัวของอินทรีย์สาร
5. ทาให้เสียภาพลักษณ์ของโรงเรียน การจัดการขยะท่ีดี มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย
ย่อมแสดงถึงความเจริญและวัฒนธรรมของโรงเรียน หากการจัดการขยะไม่ดีย่อมก่อให้เกิดความไม่
นา่ ดูขาดความสวยงาม สกปรก และไม่เป็นระเบยี บ ส่งผลกระทบตอ่ ภาพรวมของโรงเรียน
นอกจากน้ีพัชรพล ไตรทิพย์ (2559 : 41) กล่าวว่า ปัญหาท่ีเกิดข้ึนจากการมีปริมาณขยะ
มูลฝอยและของเสียอันตรายมากขึ้นในชุมชนและโรงเรียนไม่สามารถเก็บรวบรวมและนาไปกาจัด
อย่างมีประสิทธิภาพได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมในด้านต่างๆมากมายหากไม่มกี ารจัดการขยะ
ให้ถูกต้องเหมาะสมย่อมจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมและสุขภาพและอาจเกิดเป็นสาเหตุของ
การเกดิ โรคระบาดได้
จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าขยะในโรงเรียนเป็นปัญหาสาคัญต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
ท้ังทางตรงและทางอ้อมของนักเรียน ทั้งน้ีข้ึนอยู่กับปริมาณของขยะและการจัดการขยะดังนั้นการบริหาร
จดั การขยะในโรงเรยี นจงึ มีความสาคัญเพ่ือลดปัญหาที่อาจสง่ ผลกระทบต่อสุขภาพนกั เรียนในโรงเรยี น
2.2.5 นโยบายสง่ เสริมและสนับสนุนการจดั การขยะของ สพฐ. สโู่ รงเรยี นปลอดขยะ
นโยบายรฐั บาลและแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ.2560 - 2564)
ได้กาหนดให้การบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ ประเด็นการบริหารจัดการขยะและส่ิงแวดล้อมจึงได้มี
การบูรณาการหน่วยงานที่เก่ียวขอ้ งด้านการบริหารจัดการขยะ โดยสานักงานคณะกรรมการการศกึ ษา
ข้นั พื้นฐานเปน็ หน่วยงานหลักทเี่ ก่ียวข้องในการสร้างพลเมืองทม่ี ีคณุ ภาพในการใหค้ วามรู้ สร้างเจตคติ
นาไปสู่การมีความตระหนักและมีจิตสานึกท่ีดีในด้านการจัดการขยะ โดยมุ่งเน้นการสร้างจิตสานึก
ทีส่ าคญั ใน 2 ประเดน็ หลกั คอื การสรา้ งจิตสานึกลดปริมาณขยะ ให้เหลอื เฉลย่ี 1 กิโลกรมั ต่อคน ตอ่
วันและการใช้ประโยชน์จากขยะ สร้างจิตสานึกและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยส่งเสริมสนับสนุน ให้
สานักงานเขตพ้ืนที่ สานักงานคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด และสถานศึกษาดาเนินการ ตาม
แนวทางดังน้ี
1. การดาเนินการตามแนวทางการจัดการขยะ Zero Waste school ซ่ึงเป็นปรัชญาที่สง่ เสริม
การหมุนเวียนทรัพยากรกลับมาใชใ้ หม่ เพื่อเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นการลด
ปริมาณของเสียท่ีเกิดข้ึนให้น้อยท่ีสุด โดยใช้หลักการของ 3 Rs (Reduce, Reuse, Recycle) รวมท้ัง
การออกแบบผลิตภณั ฑ์ให้สามารถนากลับมาใช้ใหมไ่ ด้เกือบท้ังหมด เพื่อเป็นการลดปริมาณของเสียที่
สง่ ไปกาจดั โดยวิธกี ารฝงั กลบและเตาเผาทาลายใหม้ ปี ริมาณน้อยทีส่ ดุ รายละเอียดดังแผนภาพที่ 2.1
21
แผนภาพท่ี 2.1 แนวคดิ การจัดการขยะ Zero Waste
ทมี่ า: Zero Waste แนวทางการลดขยะให้เหลือศนู ย์
การลดปริมาณขยะรปู แบบของ 3 Rs ในสถานศกึ ษามีดังนี้
1. กาหนดนโยบายด้านการจัดการขยะตามรูปแบบของโรงเรียน ZERO WASTE
2. สง่ เสรมิ การจดั กิจกรรมการคัดแยก ขยะ4 ประเภท ได้ขยะท่วั ไป ขยะย่อย สลาย ขยะรี
ไซเคิล และขยะอันตราย
3. ส่งเสริมกจิ กรรม 1A3R ลดขยะในสถานศกึ ษา 1A3R คอื กลยทุ ธใ์ นการจดั การกบั ขยะมูล
ฝอยท่ีเรมิ่ ตน้ ท่ีจะมีขยะเกดิ ข้ึน ประกอบดว้ ยข้นั ตอนตั้งแต่การงด - เลิก ลด ใช้ซ้าและหมุนเวยี นกลับมา
ใช้ใหม่เป็นหลักการแกป้ ญั หาขยะแบบประหยัด ท่ีไมต่ ้องอาศัยงบประมาณทางราชการใดๆ แตต่ อ้ ง
อาศัยความต้งั ใจ เสียสละเวลา รวมทั้งงบประมาณสว่ นตัว โดยมคี วามหมาย ดังน้ี
3.1 Avoid หรืองด – เลิก เปน็ การงดหรอื เลิกการบรโิ ภคท่ีเปน็ อันตรายต่อผ้บู รโิ ภค
โดยตรงการบรโิ ภคทีเ่ ปน็ อนั ตรายต่อผู้อืน่ และต่อระบบนิเวศ โดยจะตอ้ งงดหรอื เลิกบรโิ ภค
3.1.1 ผลิตภัณฑท์ ใี่ ช้แล้วทง้ิ เลย
3.1.2 ผลิตภัณฑ์ทเ่ี ป็นอนั ตรายตอ่ ผใู้ ชแ้ ละระบบนิเวศ
3.1.3 ผลิตภณั ฑ์ท่ีทาจากสัตว์ปา่ หรือชนิ้ สว่ นของสัตวป์ ่าทุกชนิด
3.1.4 กิจกรรมท่ีทาใหเ้ กิดอันตรายต่อชวี ติ มนษุ ย์และสภาพแวดลอ้ ม
3.2 Reduce หรือลดการบรโิ ภคท่จี ะทาให้เกิดการรอ่ ยหรอของทรพั ยากรท่มี ีอยู่
อยา่ งจากัด ทรพั ยากรท่ีใชแ้ ล้วหมดไป รวมท้ังทรัพยากรที่ทดแทนใหม่ไดบ้ างชนิดกต็ ้องลดการใช้
เนอ่ื งจากทาใหเ้ กดิ การเสียสมดลุ ของระบบนิเวศ โดยการลดการใชท้ รพั ยากร ดังนี้
3.2.1 ทรพั ยากรท่ีใช้แลว้ หมดไป
3.2.2 ทรพั ยากรที่ทดแทนใหม่ได้
22
3.2.3 ผลิตภณั ฑ์ท่เี มอ่ื นามาใช้ จะทาใหเ้ กิดความเสียหายต่อระบบนิเวศ
3.2.4 ผลิตภัณฑท์ ไ่ี ด้จากขบวนการผลติ ทีต่ อ้ งใช้พลังงานมาก
3.3 Reuse หรือใช้ซ้า - ใช้แลว้ ใช้อีกเป็นอีกทางเลือกหน่ึงของการบริโภคอย่างเหมาะสม
เพ่ือลดการร่อยหรอของทรัพยากรท่ีมีอยู่ และลดการปล่อยมลพิษสู่สภาพแวดล้อม โดยการนาผลิตภัณฑ์
และทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ในลักษณะท่ีเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนรูปทรงด้วยการหลอม บด แยก
ใดๆ เพือ่ หลกี เลย่ี งการสญู เสยี พลงั งาน เช่น
3.3.1 เส้อื ผา้ ทุกชนดิ
3.3.2 ภาชนะบรรจุทที่ าดว้ ยแก้วทุกชนดิ
3.3.3 ภาชนะบรรจอุ น่ื ๆ เชน่ ลงั กระดาษ ลังพลาสติก ฯลฯ
3.3.4 กระดาษ
3.4 Recycle หรือหมนุ เวียนกลับมาใหม่ผลิตภัณฑ์บางชนดิ แม้จะมีความคงทนแต่กลับ
มอี ายุการใชง้ านสั้น มปี ริมาณการใช้มากทาให้หมดเปลืองทรัพยากรและพลงั งานอย่างรวดเร็ว จึงควร
ใช้ผลิตภัณฑ์หรือบรรจุภัณฑ์ประเภทน้ีอย่างระมัดระวังและให้เกิดประโยชน์คุ้มค่ามากท่ีสุดเพ่ือลด
ปริมาณของเสียท่ีจะถ่ายเทสู่สภาพแวดล้อม และเมื่อเลิกใช้แล้วควรจะจัดการเพ่ือนาเอาทรัพยากรที่
คร้ังหนึ่งถูกแปรเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ดังกล่าว หมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ ซ่ึงจะต้องผ่านกระบวนการ
หลอมละลาย บด อัด ฯลฯ ผลติ ภัณฑท์ ส่ี ามารถนามาหมนุ เวยี นกลบั มาใชใ้ หม่ได้ มีดงั น้ี
3.4.1 แกว้ ไดแ้ ก่ ขวดแก้วตา่ งๆ ทง้ั ทม่ี ีสใี ส สนี ้าตาลและสเี ขียว
3.4.2 กระดาษ ไดแ้ ก่ กระดาษหนงั สือพมิ พ์ กลอ่ งกระดาษ ถงุ กระดาษ สมุด
กระดาษสานกั งาน หนงั สือต่างๆ
3.4.3 โลหะ ไดแ้ ก่ วสั ดหุ รอื เศษเหล็กทกุ ชนิด กระปอ๋ งอลูมิเนียม ทองแดง ทองเหลือง
3.4.4 พลาสตกิ ได้แก่ ขวดน้าพลาสตกิ ใส ขวดนา้ พลาสติกสีขาวขุ่น ถุงพลาสติก
เหนยี วภาชนะพลาสตกิ ต่างๆ (กะละมงั ถงั นา้ ขวดแชมพ)ู รวมถงึ บรรจุภัณฑท์ ี่มีสญั ลักษณร์ ีไซเคลิ
นอกจากน้ีเนื้อหาเกี่ยวกับการจัดการขยะมูลฝอยในหลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พ.ศ. 2551
ซึ่งเปน็ หลักสูตรแกนกลางของประเทศ มีจดุ ประสงค์ท่จี ะพฒั นาผูเ้ รียนใหเ้ ป็นคนดี มปี ญั ญา มคี ณุ ภาพ
ชีวิตท่ีดีสามารถดารงชีวิตอย่างมีความสุขได้บนพื้นฐานของความถนัดและความสามารถของแต่ละ
บุคคลซ่ึงปัญหาขยะมูลฝอยเป็นปัญหาหนึ่งด้านส่ิงแวดล้อมท่ีอยู่รอบตัวเราและสังคม ปัจจุบันการเรียน
การสอนของครูจะต้องปรับเปล่ียนในหลายด้าน เพื่อทาให้เด็กเกิดทักษะ ความคิดรวบยอด และเจต
คติท่ีดีต่อการอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อม สามารถนาปัญหาสิ่งแวดล้อมมาแก้ไขด้วยตนเอง เพ่ือประโยชน์สุข
ของตนเองและสังคม เกษม จันทร์แก้ว (2558 : 142 – 143) ได้กล่าวถึงการจัดการเรียนการสอนเพ่ือสร้างความรู้
พ้ืนฐานไปสู่กระบวนการสิ่งแวดล้อม และกระบวนการวิทยาศาสตร์ควบคู่กันไปเพ่ือสร้างจิตสานึก
23
สิง่ แวดล้อม โดยมขี ั้นตอนในการสอดแทรก 5 ขน้ั เพอ่ื ให้ให้ผเู้ รียนเกดิ ความรู้ เจตคติ ความสานึก การตอบโต้
และทักษะทางสิง่ แวดลอ้ มท่ถี กู ต้อง ดังนี้
1. ความรู้ (Knowledge) ทางสิ่งแวดล้อมน้ันต้องเป็นความรู้ในแนวกว้าง ซ่ึงเป็นฐานสาคัญ
ของจิตสานึกทางสิ่งแวดล้อม หมายความว่า รู้หลายสาขาหรือเรื่องท่ีเกี่ยวข้องกับความรู้ เฉพาะทาง
ส่ิงแวดล้อมน้ันๆ นอกจากน้ีการรู้จักผสมผสาน (Integration) ก็เป็นอีกเร่ืองหน่ึงท่ีสาคัญเช่นกันที่จะ
ก่อให้เกิดความรู้ทางส่ิงแวดล้อมในแนวกว้าง ซ่ึงหมายถึงการท่ีความรู้เฉพาะด้านน้ันมีการเช่ือมโยงกับ
ความรู้ทางด้านอื่นๆ ในลักษณะและทิศทางอันเป็นสิ่งสาคัญของจิตสานึกท่ีต้องปลูกฝัง ทั้งนี้เพื่อจะเป็น
ความรู้อย่างมีเหตุผล สามารถสร้างมโนภาพที่เป็นธรรมชาติของสิ่งนั้น ปัญหาและเหตุของปัญหาแนวทางแก้ไข
แผนการแกไ้ ขและอื่นๆได้
2. เจตคติ (Attitudes) เป็นระดับความเข้มข้นของเน้ือหาสาระของจิตสานึกทางส่ิงแวดล้อม
ต่อจากความรู้ หมายความว่า ต้องมีความรู้อย่างถูกต้องตามหลักการ คือ รู้กว้างและรู้การผสมผสาน
ซึ่งตอ้ งมกี ารได้เห็น หรอื สมั ผัสของจรงิ และร่วมกิจกรรมกับกิจกรรมเสริมทีผ่ บู้ ริหารวางแผนไว้โดยเชอื่ ว่า
การได้เห็นความเป็นจริง ปรากฏการณ์ พฤติกรรมในสิ่งเหล่าน้ัน รวมทั้งได้มีการร่วมกิจกรรมก็สามารถ
มีเจตคตทิ ่ถี กู ตอ้ งและมน่ั คงตลอดไป
3. ความสานึก (Awareness) เป็นระดับความเข้มข้นของเน้ือหาสาระในระดับท่ีสามของการ
สร้างจิตสานึกทางสิ่งแวดล้อมโดยการกาหนดกระบวนรายวิชา รายละเอียดรายวิชาให้มีเน้ือหาถึงขั้นละเอียด
ผูเ้ รียนจะมีความรอู้ ย่างลึกซึ้ง เข้าใจอย่างฝังแน่น อีกทั้งต้องสร้างบทปฏิบตั ิการ อาจทดลองในหอ้ งปฏบิ ัติการ
ทดลองในพ้ืนทีจ่ รงิ ทากิจกรรมรว่ ม เขียนรายงานบทปฏิบตั กิ าร ทารายงาน เสนอผลงานต่อหนา้ กลุ่มผเู้ รียน เปน็ ตน้
4. การตอบโต้ (Sensitivity) ในทางส่งิ แวดล้อม หมายความวา่ เม่ือเกิดเหตุการณ์ใด หรือส่ิงใดบงั เกิดข้ึน
ประสาทหรือความรู้ท่ีได้สะสมไว้จะมีการตอบโต้โดยอัตโนมัติ แต่ถ้าไม่มีการตอบโต้เลย หมายถึงว่า การสร้าง
ความสานึกหรือจิตสานึกยังไม่อยู่ในเกณฑ์ท่ีใช้ได้ วิธีการสร้างให้เกิดอาการตอบโต้ หรือเกิดความรู้สึกก็คือ
การสร้างพัฒนาการโดยการฝึกหัดทา หรือฝึกให้ทา อาจเป็นการบังคับจากกฎหมาย การให้ความรู้ ฝึก
โดยการสมคั รใจและเตม็ ใจรบั การฝกึ หดั
5. ทักษะ (Skills) เป็นระดบั สูงสดุ ในเนื้อหาสาระของการสร้างจิตสานกึ ทางสงิ่ แวดล้อมเป็นระดับ
ท่ีสร้างทักษะการทาได้อย่างถูกต้องและชานาญการ วิธีการสร้างทักษะท่ีมีประสิทธิภาพ คือการฝึกทา
ฝึกหัดทา ฝึกการเขียน ฝึกบรรยาย ฝึกการเสนอผลงานฝึกสอน และฝึกเป็นผู้ดาเนินการในเฉพาะเร่ือง
นั้นๆ ตามเวลาทเี่ หมาะสม การทดสอบปริมาณและคุณภาพจากผทู้ รงคณุ วุฒกิ ็สามารถทราบได้
สรุปได้ว่าปัญหาขยะมูลฝอยเป็นปัญหาหน่ึงด้านส่ิงแวดล้อมท่ีอยู่รอบตัวเราและสังคม
ในปจั จุบนั ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี ไม่หยุดน่ิง ทาให้มนษุ ย์ตอ้ งปรับตัวเองให้เข้ากับสภาพที่เปล่ียนไป
การเรียนการสอนของครูจะต้องปรับเปลี่ยนในหลายด้าน เพื่อทาให้เด็กเกิดทักษะ ความคิดรวบยอด
และเจตคติที่ดีต่อการอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อม สามารถนาปัญหาสิ่งแวดล้อมมาแก้ไขด้วยตนเอง โดยสอดแทรก
24
เนื้อหาเกี่ยวกับส่ิงแวดล้อมเพ่ือสร้างจิตสานึกทางสิ่งแวดล้อมเพ่ือให้ให้ผู้เรียนเกิดความรู้ เจตคติและทักษะ
ทางสิ่งแวดลอ้ มทถ่ี กู ต้อง
2.2.6 หลักการบริหารจดั การขยะในโรงเรียน
กรมส่งเสริมคณุ ภาพส่ิงแวดล้อม (2554 : 22 - 23) ระบวุ า่ การบริหารจดั การขยะ คือ การท่ีลด
ปรมิ าณขยะมลู ฝอยที่ต้องทาลายดว้ ยระบบต่าง ๆ ให้เหลือน้อยที่สุด และนาขยะมลู ฝอยมาใช้ประโยชน์
ได้ไม่ว่าจะเป็นการใชซ้ ้า และแปรรูปนามาใช้ใหม่ (Reuse & Recycle) รวมถงึ การกาจัด ทเี่ กดิ ผลพลอยได้
เชน่ ปยุ๋ หมกั หรือพลังงาน โดยสรปุ วธิ ีการดาเนนิ การตามแนวทางของกรมสง่ เสรมิ คุณภาพสง่ิ แวดล้อม ดงั น้ี
1. การลดปริมาณขยะมลู ฝอย (Reduce) สามารถทาได้ดังต่อไปน้ี
1.1 การลดปริมาณขยะมลู ฝอยท่เี กดิ จากการใช้สินคา้ ควรเลอื กใช้สินคา้ ท่ีมีความ
คงทนถาวร หรือมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน และเลอื กใชส้ นิ คา้ ชนิดเดมิ
1.2 การลดปริมาณวสั ดเุ ลือกใชว้ สั ดุที่มีบรรจภุ ณั ฑ์ขนาดใหญ่ แทนบรรจภุ ณั ฑ์ขนาด
เล็ก เพอ่ื ลดปริมาณของบรรจุภัณฑท์ ี่จะกลายเปน็ ขยะมูลฝอย
2. การนากลับมาใช้ (Reuse) คอื การนาขยะมลู ฝอยทเ่ี ปน็ เศษวสั ดุนากลบั มาใชซ้ า้ อกี ครง้ั
เปน็ การนามาใช้ประโยชน์ใหม่ เช่น การนาขวดน้าดื่ม การนาขวดน้าหวาน การนาขวดตา่ ง ๆ นากลับมาใสน่ ้าตาล
เป็นการนาสิ่งของต่าง ๆ เหลา่ นี้มาใชซ้ า้ หลาย ๆ ครง้ั ก่อนจะนาไปท้งิ
3. การนากลบั มาแกไ้ ข (Repair) เปน็ การนาวัสดอุ ุปกรณ์ที่ชารุดเสียหาย ซงึ่ จะทง้ิ เปน็ มลู
ฝอยมาซ่อมแซมใชใ้ หม่ เชน่ เกา้ อี้
4. การแปรสภาพ หรอื นากลบั มาใชใ้ หม่ (Recycle) เป็นการนาวสั ดุทเ่ี หลือใชม้ าผลติ
ให้เป็นสนิ ค้าใหม่ โดยนาขยะมูลฝอยมาแปรรูปตามท่ตี ้องการ และนากลบั มาใช้ประโยชนอ์ ีกครั้ง
อย่างเช่น พลาสตกิ กระดาษ ขวด โลหะตา่ ง ๆ นากลับมาหลอมใหม่
5. การหลีกเลี่ยงการใช้วัสดุท่ีก่อให้เกิดมลพิษ เป็นการหลีกเลี่ยงการใช้วัสดุท่ีย่อยสลาย
ทาลายยาก หรอื วสั ดทุ ีใ่ ช้เพยี งครงั้ เดยี วแลว้ ทิง้ เชน่ โฟม โดยปฏิเสธการใชผ้ ลิตภณั ฑ์ท่ผี ดิ วัตถุประสงค์
นอกจากน้ี กรมส่งเสรมิ คุณภาพสิ่งแวดล้อม (2555 : 11) ได้กาหนดยทุ ธศาสตร์ท่ีเก่ียวข้อง
กับการจัดการขยะตามโครงการ Clean Land โดยมีเป้าหมายเพ่ือให้มีการจัดการขยะท่ีดีตั้งแต่การ
เก็บรวบรวมกาจัดขยะท่ัวไปและขยะอันตรายมีการลดปริมาณขยะและการนาขยะกลับมาใช้ใหม่
(Recycle) และการเพิ่มพ้ืนท่ีสีเขียวในเขตเมืองโดยนาหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays
Principle: PPP) มาใช้อย่างเหมาะสมยุทธศาสตร์การจัดการขยะมีวัตถุประสงคข์ องการดาเนินการ 6
ประการคือ
1. มกี ารจดั การขยะอยา่ งถกู สขุ ลักษณะ
2. มกี ารจัดการขยะอันตรายอย่างถูกสุขลกั ษณะ
3. ลดการผลิตขยะและการกาจัดขยะ
25
4. เพ่ิมพน้ื ท่ีสีเขยี วในเขตเมือง
5. สรา้ งความรับผิดชอบและความเปน็ เจ้าของต่อสิ่งแวดลอ้ ม
6. มีการพฒั นาบคุ ลากรท่ีเกย่ี วขอ้ ง
พูนสุข อุดม (2552 : 23) กล่าวว่า หลักการบริหารจัดการขยะในโรงเรียนให้ย่ังยืนโดยใช้
กระบวนการสอนสิ่งแวดล้อมศึกษาซึ่งเป็นกระบวนการทางการศึกษาเพื่อพัฒนาประชากรให้เกิด
ความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับส่ิงแวดล้อมให้มีความตระหนักต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมและสานึกในคุณค่า
ของทรัพยากรธรรมชาติ มุ่งพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ให้มีความชานาญเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหา
พร้อมที่จะมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาส่ิงแวดล้อม สามารถดารงชีวิตอยู่อย่างประสานสอดคล้องกับ
ธรรมชาติได้ดังน้ันส่ิงแวดล้อมศึกษาจึงครอบคลุมหลายมิติ ท้ังมิติทางทรัพยากรธรรมชาติ มิติทางสังคม
และวัฒนธรรม มิติทางความเชื่อ และจิตวิญญาณ มิติทางเศรษฐกิจ และมิติทางเทคโนโลยี เนื่องจาก
ธรรมชาติของเน้ือหาสิ่งแวดล้อมศึกษาสอดแทรกและเกี่ยวข้องอยู่กับทุกรายวิชา สาคัญอยู่ท่ีผู้สอน
จะต้องเข้าใจ และตระหนัก ในความสาคัญ ของส่ิงแวดล้อมศึกษา แล้วนามาสอนแบบบูรณาการ
สอดแทรกเข้าไปในเนื้อหาและกิจกรรมสิ่งแวดล้อมศึกษาให้สอดคล้องและเหมาะสมโดยมุ่งเป้าหมาย
หลัก 5 ประการ ได้แก่ สร้างความรู้ความเข้าใจ ความตระหนักเจตคติ ทักษะ และการมีส่วนร่วม
เก่ียวกับสิ่งแวดล้อมและปัญหาส่ิงแวดล้อม โดยกาหนดแนวปฏิบตั ิเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมสงิ่ แวดล้อม
ศกึ ษาในสถานศึกษา ดงั น้ี
1. กาหนดนโยบายและแผนปฏิบตั ิทสี่ ่งเสรมิ การอนุรักษส์ ง่ิ แวดล้อมบุคลากรในสถานศึกษา
นกั เรยี นและชุมชนมสี ่วนร่วมในการกาหนดนโยบายและรว่ มจัดทาแผนพัฒนาสิ่งแวดล้อมของ
สถานศึกษา
2. จัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่บูรณาการส่ิงแวดล้อมศึกษา มีการบูรณาการส่ิงแวดล้อม
ศึกษาในแต่ละกลุ่มประสบการณ์ และครูผู้สอนจะต้องเขียนแผนการสอนที่ระบุ วัตถุประสงค์ เนื้อหา
และกิจกรรมทางส่ิงแวดล้อมไปพร้อม ๆ กับวัตถุประสงค์ เนื้อหาและกิจกรรมที่มีอยู่แล้วในหลักสูตร
สาหรับแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยการบูรณาการน้ันครูต้องเกี่ยวกับสง่ิ แวดล้อม
โดยให้ผเู้ รียนมีความรู้และเข้าใจเก่ยี วกบั ปญั หา สาเหตุและผลกระทบของปญั หา สิ่งแวดล้อม สอนใน
สง่ิ แวดล้อม โดยนาผู้เรียนเข้าไปศึกษาในสภาพแวดล้อมจริง เช่น ในชุมชน ในป่า เพ่ือให้นักเรียนเกิด
ความซาบซ้ึงและทัศนคติทด่ี ีต่อการอนรุ ักษ์ และสอนเพื่อส่ิงแวดล้อมโดยใหผ้ ู้เรียน ไดน้ าไปปฏบิ ัติจริง
เพ่อื ให้เกดิ การอนุรักษส์ ่งิ แวดลอ้ ม ซ่งึ กิจกรรมการเรียนการสอนต้องเน้นให้ผเู้ รียนเปน็ ศนู ย์กลาง
3.การจัดการอาคารเรียน บริเวณสถานศึกษา และห้องเรียนที่เอ้ือต่อการเรียนการสอน
สิ่งแวดล้อมศึกษา มีการวางแผนผังของสถานศึกษา จัดหอ้ งเรียน อาคารเรียนและบรเิ วณสถานศึกษา
ใหส้ ะอาด ร่มร่นื สวยงาม จัดใหม้ ีสถานท่พี ักผอ่ นหยอ่ นใจ มกี ารทาเกษตรกรรมผสมผสาน
26
4. บุคลากรในสถานศึกษา และนักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางส่ิงแวดล้อม สถานศึกษา
ควรเปิดโอกาสให้บุคลากร และนักเรียนมีส่วนร่วมในการวางแผนการดาเนินกิจกรรมและการ
ประเมินผลการดาเนินงานดา้ นส่งิ แวดล้อมของสถานศกึ ษา
5. ชมุ ชน องค์กรและหนว่ ยงานที่เกี่ยวข้อง มสี ่วนร่วมในการจัดกิจกรรมทางส่งิ แวดล้อมของ
สถานศึกษา สถานศึกษาเปิดโอกาสให้ชมุ ชน และหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องมสี ่วนร่วมในการวางแผน และ
พฒั นาการจดั กจิ กรรมทางส่งิ แวดล้อมรวมทัง้ การจัดการเรยี นการสอนของสถานศึกษา
6. มีการจัดการและการกาจัดขยะ มีนโยบายและมาตรการเกี่ยวกับการจัดการและการ
กาจัด ขยะ และสามารถนาไปปฏิบัติจริง เช่น ลดการซื้อสนิ ค้าท่ีก่อให้เกิดขยะ จัดหาถงั ขยะ จัดหาถัง
แยก ประเภทขยะ นาขยะที่ใช้แลว้ กลับมาใช้ใหม่ หรือนาไปกาจดั อย่างถกู วธิ ี
7. มีการประหยัดพลังงาน กาหนดมาตรการในการประหยัดพลังงานในสถานศึกษาและ
ดาเนินการอยา่ งจริงจงั เช่น เลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ประหยัดพลังงาน และตรวจสอบบารงุ รักษาให้ใช้
การไดด้ ีอย่เู สมอ จัดสภาพแวดล้อมท่เี อ้ือต่อการประหยัดพลังงาน เช่น ตัดแตง่ ตน้ ไมร้ อบอาคารต่าง ๆ
ให้โปร่งเพ่ือให้อาคารได้รับแสงจากภายนอก ภายในอาคารควรใช้สีที่สว่าง เพ่ือลดการใช้พลังงาน
ไฟฟ้า รณรงค์ให้นักเรียนและบุคลากรในสถานศึกษาช่วยกันประหยัดพลังงาน ท้ังในสถานศึกษาและ
ชมุ ชน
8. มีการประหยัดน้า กาหนดมาตรการในการประหยัดน้า และดาเนินการอย่างจริงจัง เช่น
มี การบาบัดน้าเสีย นาน้าท่ีผ่านการใช้หรือบาบดั แล้วมาใช้อย่างเหมาะสม กักเก็บน้าจากธรรมชาติไว้
อุปโภคและบรโิ ภค สารวจ ซอ่ ม บารงุ รักษาอปุ กรณ์ต่าง ๆ ให้ใช้การได้ดอี ยเู่ สมอ
9. มีการจัดกิจกรรมส่ิงแวดล้อมศึกษาเพื่อส่งเสรมิ หลักสูตร สถานศึกษาสนับสนุนให้มี การจัดกิจกรรม
สิ่งแวดล้อมศึกษาเพ่ือเสริมหลักสูตร เช่น การจัดตั้งชมรมส่ิงแวดล้อมการศึกษานอก สถานที่ การจัด
นทิ รรศการ การแสดงละคร การใชเ้ สยี งตามสาย และการประกวดต่าง ๆ ทางส่ิงแวดลอ้ ม
10. มีการประเมินผลการดาเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมศึกษา บุคลากรในสถานศึกษา นักเรียน
และชุมชน มีส่วนร่วมในการติดตามประเมินผล และนาผลการประเมินไปปรับปรุงการดาเนินงาน
ทางด้านส่งิ แวดลอ้ มศึกษา
สรุปได้ว่าหลักการบริหารจัดการขยะในโรงเรียนควรเลือกวิธีการท่ีเหมาะสมของในแต่ละพ้ืนท่ี
โดยกระทาควบคู่กันไป ทั้งการลดปริมาณขยะมูลฝอย การนากลับไปใช้ใหม่ และการกาจัดขยะมูลฝอย
การสร้างจิตสานึก ซึ่งสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษาในสังกัด การดาเนินงานด้านการ
ลด และคัดแยกขยะมูลฝอยในอาคารและพื้นท่ีของหน่วยงานเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดตี ่อภาคเอกชนและ
ประชาชนให้มีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอย ขยะพลาสติกและโฟมในภาพรวม
ของประเทศอย่างต่อเน่ือง โดยใช้หลักการ 3R คือ ใช้น้อยหรือลดการใช้ (Reduce) ใช้ซ้า (Reuse)
และแปรรปู ใช้ใหม่ (Recycle) ในการจดั การขยะทเ่ี กดิ ข้นึ
27
2.3 แนวคิดทฤษฎที ่ีเกีย่ วข้องกับการพฒั นาหรือสร้างคูม่ ือ
2.3.1 หลักการ แนวคดิ และทฤษฎกี ารพัฒนาคมู่ ือ
นักวชิ าการหลายทา่ นไดใ้ หค้ วามหมายของคู่มอื ดังนี้
ปรีชา ช้างขวัญยืน และคนอ่ืน ๆ (2542 : 153) ให้ความหมายของคู่มือไว้ว่าคู่มือเป็น
หนังสือท่ีใช้ควบคู่กับการกระทาสิ่งใดส่ิงหนึ่ง บ่งบอกแนวทางในการปฏิบัติแก่ผู้ใช้ ให้สามารถกระทา
สิ่งนัน้ ๆ ใหบ้ รรลุสาเร็จตามเป้าหมาย
สมมารถ ปรุงสุวรรณ (2544 : 76) ให้ความหมายของคู่มือไว้ว่าคู่มือ หมายถึงหนังสือ
ตา รา เอกสารแนะนาหรือเป็นสื่อที่ใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานที่มีเนื้อหาสาระน้ันๆ ซึ่งผู้อ่าน
หรือผู้ใช้สามารถ นาไปปฏบิ ตั ไิ ด้ทนั ที จนบรรลผุ ลสาเรจ็ ตามเป้าหมาย
อนุชิต เชิงจาเนียร (2545 : 22) ให้ความหมายของคู่มือไว้ว่าคู่มือ หมายถึง หนังสือท่ีเขียน
ขน้ึ เพ่ือใช้เปน็ แนวทางใหผ้ ู้ใชค้ ู่มือได้ศกึ ษา ทาความเข้าใจ และง่ายตอ่ การปฏิบัติงานอยา่ งได้อยา่ งหน่ึง
ให้ได้มาตรฐานใกล้เคียงกันมากที่สุด และทาให้นักเรียนนักศึกษามีความรู้ความสามารถ และทักษะที่
ใกลเ้ คยี งกัน
ณิชาภา เจริญรุ่งเรืองชัย (2547 : 28) กล่าว่า คู่มือ หมายถึง หนังสือหรือเอกสารที่ใช้เป็น
แนวปฏบิ ตั งิ าน เพื่อใหผ้ ูใ้ ชส้ ามารถดาเนินงานในเรอ่ื งนัน้ ด้วยตนเอง ได้ อย่างถูกต้อง
ศักรินทร์ สุวรรณโรจน์ และคนอื่น ๆ (2535 : 77 - 89) แบง่ ประเภทของคมู่ อื ออกเปน็ 2
ประเภท ได้แก่คู่มือการสอนหรือคู่มือจัดกิจกรรม เป็นคู่มือที่ให้ความรู้และข้อเสนอแนะ เกี่ยวกับ
หลกั สูตรการสอนและการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ โดยมอี งค์ประกอบการจัดทาคู่มอื ดงั น้ี
1. คาชี้แจงการใช้คู่มือ
2. เนอื้ หาสาระและกระบวนการหรือข้ันตอน
3. คาชแี้ จงเกยี่ วกบั การเตรยี มการทีจ่ าเปน็ ตา่ งๆ เชน่ วัสดอุ ปุ กรณส์ ื่อ
4. ความรู้เสรมิ หรอื แบบฝึกหัด หรอื แบบฝึกปฏบิ ัติเพือ่ ชว่ ยในการฝกึ ฝน
5. ปญั หาและคา แนะนา เกีย่ วกบั การป้องกนั และแก้ไขปัญหา
6. แหล่งข้อมลู และแหล่งอ้างอิงต่าง ๆ
สมพร พตุ ตาล เบ็ทซ์ (2539 : 93) กล่าวว่าคมู่ อื ในการปฏิบตั ิงานมีองค์ประกอบดังนี้
1. สว่ นประกอบตอนต้น ได้แก่ ปก หน้าแสดงรายงานนามคณะผ้จู ัดทาและปที พี่ ิมพ์
คานา สารบัญ และแผนภูมโิ ครงสรา้ งของหน่วยงาน
2. ส่วนที่เป็นเนื้อหาหรือวิธีปฏิบัติงาน ได้แก่คา อธิบายลักษณะงาน แผนภูมิแสดง สายการ
ปฏิบัติงานข้ันตอนและวิธีการปฏิบัติงาน และภาพประกอบ 3. ส่วนประกอบตอนท้าย ได้แก่
คาอธิบายศพั ท์ และดรรชนี
เอกวุฒิ ไกรมาก (2541 : 54) กล่าวว่าคูม่ ือครูควรมีองค์ประกอบสาคญั ดังนี้
28
1. คาชีแ้ จงการใช้คู่มอื ประกอบดว้ ย วตั ถปุ ระสงคข์ องคู่มือ ความรู้พ้ืนฐานทจ่ี า เปน็ ในการใช้
คมู่ อื การใชค้ ู่มอื และคา แนะนา การใช้คู่มือ
2. เน้อื หาสาระทจี่ ะสอน โดยมีคาช้แี จงหรอื คา อธบิ ายประกอบและอาจมีการวิเคราะห์
เนือ้ หาสาระให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจทีจ่ ะอา่ น
3. การเตรยี มการสอน ประกอบดว้ ย การเตรยี มสถานท่ี วัสดุ สอ่ื อปุ กรณ์ และ เคร่อื งมือที่
จาเป็นการเตรยี มวัสดเุ อกสารประกอบการสอน แบบฝกึ หดั และแบบปฏบิ ัติ ข้อสอบ คาเฉลย ตลอดจน
การตดิ ต่อประสานงานท่จี าเป็น
4. กระบวนการวิธีการกิจกรรมการเรียนการสอน ซ่ึงต้องให้ข้อมูลหรือรายละเอียด ไดแ้ ก่คา
แนะนา เกย่ี วกบั ข้นั ตอนและวิธกี ารดาเนินงาน คาแนะนา และตวั อยา่ ง เกย่ี วกบั กิจกรรม การสอนท่จี ะ
ใหก้ ารสอนบรรลคุ าถาม ตัวอย่าง แบบฝึกปฏิบัตแิ ละสอื่ ต่างๆ ท่ีใชใ้ นการสอนข้อเสนอแนะเกีย่ วกับสิง่
ทคี่ วรทาไม่ควรทา
5. การวดั ผลและประเมนิ ผล ประกอบด้วย รายละเอียดต่าง ๆ เช่น เครื่องมือวดั วธิ ีวดั ผล
เกณฑ์การประเมิน
6. ความร้เู สรมิ
7. ปัญหาและคาแนะนา เกย่ี วกับการป้องกนั และแก้ไขปัญหาอาจเกดิ ขนึ้ กับผู้ใชค้ ่มู ือ
โดยเขียนจากประสบการณ์
8. แหล่งข้อมลู และแหล่งอ้างองิ ต่างๆ เพ่ือเปน็ ประโยชน์ต่อผ้ใู ช้คมู่ อื ในการศึกษาค้นคว้า
ตอ่ ไป
ปรชี า สัจจากลุ (2550 : 44) กล่าววา่ คมู่ ือปฏบิ ัตงิ านท่ีจดั ทาขนึ้ จะตอ้ งเป็นประโยชน์ ตอ่
ผปู้ ฏิบตั งิ านและต่อองคก์ ร ดังนี้
1. เป็นบรรทัดฐานสาหรับการปฏบิ ตั งิ าน เพ่ือชว่ ยใหก้ ารปฏิบัตงิ านเป็นไปอยา่ งมีเกณฑโ์ ดย
ไมว่ ่า ใครเป็นผปู้ ฏิบตั กิ ็ตามทาให้เกดิ แบบแผนทด่ี ี
2. ชว่ ยใหผ้ ปู้ ฏิบัติงานตระหนกั ในหน้าท่แี ละความรบั ผิดชอบอยา่ งชัดเจน
3. ใชส้ าหรับการฝึกบุคลากรใหม่ ให้สามารถปฏบิ ตั งิ านไดถ้ ูกตอ้ งและรวดเร็ว
4. ชว่ ยลดเวลาลดความบกพร่องและความผิดพลาดในการปฏบิ ัติงาน
5. ชว่ ยลดค่าใช้จา่ ยในการดาเนนิ งาน
6. ช่วยเพิม่ ประสทิ ธิภาพในการดาเนนิ งาน
จากการศึกษาองค์ประกอบของคู่มือสามารถ สรุปได้ดังนี้ การจัดทาคู่มือจะต้อง
ประกอบด้วยองค์ประกอบท่ีสาคัญคือวิธีการใช้คู่มือหรือคาแนะนา ในการใช้คู่มือเน้ือหาสาระ คา
ช้ีแจงเก่ียวกับการจัดเตรียมวัสดุ - อุปกรณ์การจัดกิจกรรม แหล่งข้อมูลอ้างอิง เพ่ือเป็นการอานวย
29
ความสะดวกแก่ผู้ใช้คู่มือให้สามารถดาเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังพัฒนาความสามารถ
พัฒนาผลงานให้มีคุณภาพตามเป้าหมายคณุ ลักษณะคู่มอื การบรหิ ารจดั การงานวชิ าการที่ดี
ครี ีบนู จงวฒุ ิเวศย์ และมาเรียม นิลพนั ธ์ุ (อา้ งถงึ ใน ปทุมทิพยด์ ีบุกคา, (2551 : 62-63)
กลา่ วถึงลักษณะของคูม่ ือทีด่ ี 3 ด้าน คอื
1. ดา้ นเน้อื หา
1.1 เน้ือหาสาระหรือรายละเอียดในคู่มือควรตรงกับเรื่องท่ีศึกษาและไม่ยากจน
เกินไปจนทาใหไ้ มม่ ผี สู้ นใจหยบิ อา่ น
1.2 การนาเสนอเน้ือหา ควรให้เหมาะสม กับพ้นื ความร้ขู องผู้ที่จะศึกษา
1.3 ขอ้ มลู ที่มีในคู่มอื ผู้อา่ นสามารถประยุกตใ์ ชไ้ ด้
1.4 เน้อื หาควรเหมาะสมทจี่ ะนาไปอา้ งองิ ได้
1.5 ควรมีกรณีตัวอยา่ งประกอบในบางเรื่อง เพือ่ จะได้ทาความเขา้ ใจงา่ ย
1.6 ควรมีการปรับปรุงเนื้อหาของคมู่ ือใหท้ นั สมยั เสมอ
2. ดา้ นรูปแบบ
2.1 ตัวอักษรที่ใช้ควรมีตัวโต และมีรูปแบบทชี่ ัดเจนอ่านงา่ ยเหมาะกบั ผู้ใชค้ ู่มือ
2.2 ควรมภี าพหรอื ตวั อย่าง ประกอบเน้ือหา
2.3 ลักษณะการจดั รปู เล่ม ควรทาให้นา่ สนใจ
2.4 การใช้ภาษาควรใหเ้ ข้าใจงา่ ยเหมาะสมกบั ผ้ใู ชค้ ู่มอื
2.5 ระบบการนา เสนอควรเป็นระบบจากง่ายไปยาก หรือเป็นเร่อื งๆ ให้ชดั เจน
3. ดา้ นการนาไปใช้
3.1 ควรระบุขัน้ ตอนวธิ ีการใช้คมู่ ือให้ชัดเจน
3.2 มีแผนภมู ติ าราง ตวั อยา่ งประกอบใหส้ ามารถนาไปปฏบิ ตั ิได้จริง
3.3 บอกสทิ ธิประโยชนแ์ ละข้อควรปฏิบตั ิ ใหเ้ ขา้ ใจงา่ ย
นดุ ี ร่งุ สวา่ ง (2543 : 24) กลา่ วว่าคมู่ อื ท่ดี ีควรมลี กั ษณะ ดงั น้ี
1. ด้านรูปแบบ มีขนาดรูปเล่มเหมาะสม ตัวอักษรอ่านง่าย ชัดเจน มีรูปภาพประกอบ
เหมาะสมกับเนอ้ื หาและการน า เสนอกจิ กรรมแต่ละขน้ั ตอนมีความชัดเจน
2. ด้านเน้ือหา วัตถุประสงค์ของคู่มือกาหนดไว้ชัดเจน เหมาะสม ระบุขอบข่ายเนื้อหา คู่มือ
ครอบคลุมตามวัตถุประสงค์ คาแนะนาการศึกษาคมู่ อื เขยี นไวช้ ัดเจน เขา้ ใจงา่ ย
3. ด้านการนาไปใช้ กาหนดขั้นตอนการศึกษาคู่มือไว้ชัดเจน กาหนดกิจกรรม เน้ือหา และ
แบบฝึกได้สัมพันธ์กัน และมีกิจกรรมประเมินผลเหมาะสมกับเน้ือหาของคู่มือ สรุปจากความหมาย
และลักษณะคู่มือที่ได้ท่ีได้กล่าวมา ผู้วิจัยสามารถศึกษานามาเป็น แนวทางในการสร้างคู่มือ
ปฏบิ ัตงิ าน
30
สรุปได้ว่า จากคุณลักษณะคู่มือ มีองค์ประกอบสาคัญ 3 ด้าน คือ ด้านเนื้อหา ด้านรูปแบบ
ด้านการนาไปใช้ท้ังน้ีเพื่อให้มีความชัดเจนและเกิดความสะดวกราบร่ืนในการนาไปใช้ปฏิบัติจริง
เพอ่ื ก่อใหเ้ กิดประโยชน์ในการพัฒนางานทเ่ี ป็นระบบต่อไป
2.3.2 ประเภทของคูม่ อื
ประดบั เรอื งมาลยั (2542: 98) อธิบายเก่ยี วกับประเภทของคมู่ ือว่า คูม่ อื แบง่ ออกเป็น
3 ประเภท ดงั น้ี
1) คู่มือการสอนหรือค่มู ือการจดั กจิ กรรม เป็นคู่มอื ท่ใี หเ้ นื้อหาสาระความรู้และ
คณุ ธรรมในโรงเรยี น คู่มือการอบรมหนา้ เสาธง ค่มู ือการจัดกจิ กรรมประชาธปิ ไตยในโรงเรยี น เปน็ ต้น
2) คมู่ ือหนงั สอื เรยี น เปน็ คู่มือทจ่ี ดั ทาข้ึนควบคู่กบั หนังสอื เรียน
3) คู่มือการใช้ส่ือ หรือนวตั กรรมเป็นการเผยแพรผ่ ลงานของครู เพ่ือให้ผู้อนื่ นาไปใช้
ใหถ้ ูกต้องจงึ ต้องจัดทาคมู่ ือการใช้ การจดั ทาสอ่ื ชดุ การสอนกลุ่มสร้างเสรมิ ประสบการณ์ชีวิต เป็นตน้
ปราณี รุณวงษ์ (2546: 11) อธบิ ายเกย่ี วกบั ประเภทของคมู่ ือว่า คมู่ ือแบ่งออกเป็น 3
ประเภท ดังนี้
1) คู่มือเก่ียวกับการเรียนการสอนตามหลักสูตร เป็นคู่มือที่เสนอแนะแนวทางเทคนิควิธีการ
สอน การใช้สื่อหรือนวัตกรรมที่สัมพันธ์กับวิชาใดวิชาหนึ่ง หรือระดับชั้นเรียนต่าง ๆ ท่ีกาหนดไว้ใน
หลักสูตรน้นั ๆ
2) คู่มือการจัดกิจกรรมการสอนทั่วไป เป็นคู่มือท่ีเสนอแนะแนวทางหรือเทคนิควิธีการ
ดาเนินกิจกรรมต่าง ๆ เพ่ือส่งเสริมให้การจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรบรรลุวัตถุประสงค์ท่ี
กาหนดไว้
3) คมู่ ือโดยตรง เช่น คู่มอื การจัดกิจกรรมประชาธปิ ไตยในโรงเรยี น คูม่ อื การจัดกจิ กรรม
โครงการอาหารกลางวันในโรงเรยี น
จากแนวคิดเกย่ี วกบั “ประเภทของคมู่ ือ” สรุปไดว้ า่ คู่มือแบง่ เป็น 2 ประเภท ดงั น้ี
1) คู่มอื ทใี่ ช้กับการเรียนการสอนโดยตรงตามหลกั สตู ร เปน็ คมู่ อื ที่แนะนาแนวทาง
การสอน หรือเทคนิคการสอน วิธีการสอน วิธีการใช้ส่ือนวัตกรรม ท่ีสัมพันธ์และตรงตามรายวิชาใน
หลักสูตร
2) คู่มือท่ีใช้กับกิจกรรมเฉพาะกิจ เป็นคู่มือที่แนะนาแนวทางการจัดกิจกรรมเฉพาะ
กิจ การใหค้ วามรูเ้ ฉพาะเรอ่ื ง วิธปี ฏิบตั ิงานเฉพาะเรือ่ ง
2.3.3 องคป์ ระกอบของคมู่ ือ
ศกั รนิ ทร์ สุวรรณโรจน์; และ คนอน่ื ๆ (2535: 89) ได้สรปุ องค์ประกอบของการจัดทาคู่มือไว้
6 ส่วน ดงั นี้
1. คาชแ้ี จงการใช้คู่มอื
31
2. เนอ้ื หาสาระ และกระบวนการหรอื ข้ันตอน
3. คาชแ้ี จงเก่ียวกบั การเตรียมการท่จี าเป็นต่าง ๆ เชน่ วัตดุอุปกรณ์ สอื่
4. ความรเู้ สริมหรือแบบฝึกหัด หรอื แบบฝึกปฏบิ ัตเิ พือ่ ช่วยในการฝกึ ฝน
5. ปญั หาและคาแนะนาเกยี่ วกบั การป้องกนั และแก้ไขปญั หา
6. แหล่งขอ้ มูลและแหล่งอ้างองิ ต่าง ๆ
มนตรี ชมชน่ื (2548: 61) ได้สรุปแนวคดิ องคป์ ระกอบของคมู่ อื ไว้วา่ คมู่ ือที่ดนี ้ัน
ตอ้ งมีแหลง่ ข้อมลู และแหลง่ อ้างอิงท่ีถูกต้อง เปน็ ประโยชน์ตอ่ ผู้อ่านหรือผใู้ ชใ้ นการค้นคว้าเรอ่ื งตา่ ง ๆ
อยา่ งลกึ ซ้ึงและง่ายตอ่ ความเขา้ ใจโดยประกอบไปดว้ ย
1. คาชีแ้ จงในการใช้คู่มอื
2. เน้ือหาของเรื่องท่ีจะค้นคว้าในทุกด้าน
3. วธิ กี ารนาไปใช้
4. การแนะนาแหล่งความรู้อ้างอิงต่าง ๆ
จากแนวคิดเกี่ยวกับ “องค์ประกอบของคู่มือ” สรุปไดว้ ่า องคป์ ระกอบทดี่ ขี องคู่มอื ต้องมี
องคป์ ระกอบ ดงั น้ี
1) คาแนะนาในการใช้คู่มือ
2) เน้อื หาสาระเกย่ี วกับเร่ืองที่จะปฏบิ ัติตามคู่มอื
3) ข้อแนะนาเกี่ยวกับการเตรียมวสั ดุ อปุ กรณ์ ทีจ่ าเป็น
4) แนะนาแหลง่ ความรู้อา้ งองิ ทเ่ี ปน็ ประโยชน์
2.3.4 ลกั ษณะทีด่ ีของคมู่ ือ
วัฒนา ฉิมประเสรฐิ (2554) กล่าววา่ ลกั ษณะที่ดีของคู่มือจะตอ้ งมกี ารเรยี งลาดบั ขั้นตอน
การใช้ให้ชัดเจนและง่ายตอ่ การทาความเข้าใจ เมื่ออา่ นแลว้ ต้องสามารถนาไปปฏบิ ัติไดถ้ ูกต้อง ต้อง
เนน้ แนวปฏิบัติทส่ี าคญั ควรแสดงแผนภาพ แผนภูมิ แผนผงั เพ่ือชว่ ยให้ปฏบิ ัตติ ามขนั้ ตอนต่าง ๆ ได้
ง่าย และรปู แบบของคมู่ ือควรจะมรี ปู แบบทีน่ า่ สนใจ สวยงาม นา่ อา่ น และทนทานต่อการใชง้ าน
สิริกร ประสพสขุ (2555) กลา่ วว่า ลักษณะของคูม่ ือทดี่ ีควรมีลกั ษณะ ดังนี้
1. ด้านรปู แบบ มีขนาดรูปเลม่ เหมาะสม ตัวอกั ษรอ่านง่าย ชัดเจน รูปประกอบเหมาะสม
กับเนอื้ หาและการนา เสนอกิจกรรมแต่ละขนั้ ตอนมคี วามชัดเจน
2. ดา้ นเนอื้ หา วัตถปุ ระสงค์ของคู่มอื กาหนดไวช้ ัดเจน เหมาะสมระบุขอบข่ายเนื้อหา
เนอ้ื หาครอบคลุมตามวตั ถปุ ระสงค์ คา แนะนา การศกึ ษาคู่มือเขยี นไดช้ ดั เจน เขา้ ใจง่ายเนอื้ หาความรู้
มคี วามเหมาะสมตรงกับความตอ้ งการและความจาเปน็
3. ดา้ นการนา ไปใช้ กาหนดข้ันตอนการศกึ ษาคู่มือไวช้ ดั เจน กาหนดกิจกรรมเนือ้ หาและ
แบบฝกึ ไดส้ ัมพันธ์ มีกจิ กรรมประเมนิ ผลเหมาะสมกับเน้ือหา
32
2.3.4 ประโยชนข์ องคู่มือ
ประโยชน์ของเครื่องมือและอุปกรณ์มีดังนี้
1. ช่วยให้การปฏิบัตงิ านของช่างเกิดผลสา เร็จและมีคณุ ภาพ
2. ทา ให้กระบวนการทา งานของชา่ งมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึน้ และเกิดประโยชน์
สงู สุดงานช่างสามารถแบ่งเครื่องมือทใ่ี ช้ออกไดเ้ ป็น 3 ประเภทใหญๆ่ ดังนี้
1. เคร่ืองมือท่ีไม่มเี ครอื่ งยนต์กลไก (Hand Tools)
2. เครือ่ งมือวดั (Measuring Tools)
3. เคร่อื งมือกล (Machine Tools)
33
สว่ นท่ี 3
รูปแบบการบริหารจัดการขยะทั่วไป
. โรงเรียนแม่ก๋งวิทยา ได้ดาเนินการบริหารจัดการขยะในโรงเรียนโรงเรียนแม่ก๋งวิทยา สังกัด
สานกั งานเขตพนื้ ท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษาลาปาง เขต 1 โดยใชห้ ลกั การแบบมีส่วนรว่ ม 5 ร
(สานกั งานเขตพ้นื ทกี่ ารศกึ ษาประถมศึกษาลาปางเขต 1 , 2562 : 14-15)
ตามแผนภาพท่ี 1 และแผนภาพท่ี 2 ดงั นี้
แผนภาพที่ 1 รูปแบบการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วม 5 ร การบริหารจัดการขยะของ
โรงเรียนแมก่ ง๋ วทิ ยา สานกั งานเขตพืน้ ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาลาปาง เขต 1
รว่ มศกึ ษา
รว่ มวางแผน
รว่ มปฏิบัติ
รว่ มสรุป
รว่ มแลกเปลย่ี นเรียนรู้
34
แผนภาพที่ 2 กรอบแนวคิดการบรหิ ารจัดการแบบมีสว่ นร่วม 5 ร การบริหารจัดการแบบ
มีส่วนร่วม 5 ร การบริหารจัดการขยะของโรงเรียนแม่ก๋งวิทยา สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา
ประถมศกึ ษาลาปาง เขต 1
ขั้นตอนท่ี 1 กรอบแนวคิดการบรหิ ารจัดการขยะแบบมสี ่วนร่วม 5 ร
ร่วมศกึ ษา
ศกึ ษาสภาพปัจจบุ นั /ปญั หาของขยะในโรงเรียน
ขน้ั ตอนท่ี 2 - กาหนดตวั ชว้ี ัดความสาเร็จ (KPI)
รว่ มวางแผน - สร้าง/พฒั นาคมู่ ือ/ส่อื / ชุดกจิ กรรมการแกป้ ญั หาขยะ ในโรงเรยี น/
ขนั้ ตอนที่ 3 เคร่อื งมอื ตดิ ตามการแก้ปญั หาขยะ
รว่ มปฏิบตั ิ
- กาหนดกจิ กรรมและปฏทิ นิ การนเิ ทศ
ร่วมปฏบิ ตั ิ การแก้ปัญหาขยะตามค่มู อื /ชุดกจิ กรรม
ขนั้ ตอนท่ี 4 รวบรวม วิเคราะห์ และสงั เคราะหผ์ ลการดาเนนิ งานและ
ร่วมสรุป ผลการติดตาม ตรวจสอบ ประเมนิ ผลและนเิ ทศการศึกษา
ไมม่ คี ณุ ภาพ ปรับปรุง/
ตรวจสอบ และประเมนิ ผล พัฒนา
การดาเนินงาน และการติดตาม
ฯ มคี ณุ ภาพ
สรปุ และรายงานผลการตดิ ตาม ตรวจสอบ ประเมินผลและนิเทศการศึกษา
ขั้นตอนที่ 5 นาเสนอและเผยแพรผ่ ลการติดตาม ตรวจสอบ
รว่ มแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ประเมนิ ผลและนิเทศการศกึ ษา ( แลกเปล่ียนเรียนร/ู้
ยกยอ่ งเชิดชูเกียรต/ิ Website ฯลฯ)
35
การบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมของโรงเรียนแม่ก๋งวิทยา ในการบริหารจัดการขยะ
โรงเรียนแม่กง๋ วิทยา เนน้ การมสี ่วนรว่ มของบุคลากรในโรงเรียน และการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วม
5 ร จานวน 5 ข้นั ตอน คอื ขนั้ ตอนท่ี 1 ร่วมศึกษา ข้ันตอนที่ 2 รว่ มวางแผน ขั้นตอนที่ 3 ร่วมปฏบิ ตั ิ
ขนั้ ตอน ท่ี 4 ร่วมสรปุ และข้ันตอนท่ี 5 รว่ มแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ขั้นตอนที่ 1 ร่วมศึกษา ผู้บริหารโรงเรียน ครูผู้สอน และนักเรียนร่วมกันศึกษาสภาพ
ปจั จบุ ันปัญหาของขยะในโรงเรียน ว่ามีขยะประเภทใดบา้ งที่เป็นปัญหา และสาเหตุของปญั หาเกิดจาก
อะไร พร้อมกบั ศกึ ษาความต้องการของครูผู้สอนและนักเรยี นในการที่จะแกป้ ัญหาขยะในโรงเรียน
ขั้นตอนที่ 2 ร่วมวางแผน ผู้บริหารโรงเรียน ครูผู้สอน และนักเรียน ร่วมวางแผน เม่ือ
พบปญั หาหาวิธีแก้ปัญหาเรยี งปัญหาจากมากมาหานอ้ ย การทางานที่คาดว่าจะประสบความสาเร็จ
ตามกรอบในการวิจัยด้านการอนุรกั ษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ( การบริหารจัดการขยะ
ในโรงเรียน ) 1) การจัดการขยะมูลฝอยประเภทต่างๆ ได้แก่ มูลฝอยติดเชื้อ ขยะพลาสติก ขยะ
อินทรีย์ ขยะอันตรายขยะอิเล็กทรอนิกส์ 2) การจัดการในเชิงนโยบาย เช่นการสร้างกลไกให้เกิด
ความร่วมมือระหว่างสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา โรงเรียนและชุมชน 3) การสร้างความรู้ความ
เข้าใจโดยเน้นการสร้างจิตสานึกในการจัดการขยะให้กับนักเรียนและบุคลากรทุกระดับ โดยนา
ข้อมลู ทีไ่ ด้จากการศกึ ษา มารว่ มวางแผนการทางานให้เหมาะสมกบั สภาพบริบทของสถานศกึ ษา
ขั้นตอนที่ 3 ร่วมปฏิบัติ ผู้บริหารโรงเรียน ครูผู้สอน และนักเรียนร่วมกัน มีส่วนร่วม
ปฏิบัติงาน ลงมือปฏิบัติงานตามท่ีไดว้ างแผนหรือออกแบบไว้ ประเมนิ ผล และสะท้อนผล การปฏิบัติงาน
เปน็ ระยะ ในการอนรุ ักษท์ รัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล้อม การบริหารจัดการขยะในโรงเรียน การจัดการ
ขยะมูลฝอยประเภทต่างๆ ได้แก่ มูลฝอยติดเชื้อ ขยะพลาสติก ขยะอินทรีย์ ขยะอันตรายขยะ
อิเล็กทรอนิกส์
ขั้นตอนท่ี 4 ร่วมสรุป ผู้บริหารโรงเรียน ครูผู้สอน และนักเรียนร่วมกัน ต่างๆ ร่วมกัน
สรปุ ผลการดาเนินงาน มีส่วนร่วมในวเิ คราะห์ข้อมูล สงั เคราะห์ข้อมูล และสรุปผลการบรหิ ารจัดการขยะ
ในโรงเรียน การปฏิบัตงิ านในแต่ละข้นั ตอนวา่ บรรลุวัตถุประสงค์หรือเปน็ ไปตามทว่ี างแผนหรือไม่ เพื่อจะได้
นามาปรับปรุง/แก้ไข/พัฒนาให้ดีขึ้นต่อไป ถ้าไม่สาเร็จก็วางแผนและออกแบบวิธีการ/นวัตกรรมใหม่
จบกระบวนการ PDCA
ข้ันตอนท่ี 5 ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ คือ ผู้บริหารโรงเรียน ครูผู้สอน และนักเรียนร่วมกัน
แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ช่ืนชมความสาเร็จของการบริหารจัดการขยะในโรงเรียน และ ตามกรอบภารกิจ
งานประสบความสาเร็จ พร้อมกับยกยอ่ งเชิดชเู กียรติ และเผยแพร่การปฏิบตั งิ านท่ีดี (Best practice)
สู่สาธารณชน ผา่ น Website ระบบ ICT และสารสนเทศของสานักงานเขตพืน้ ที่การศึกษาประถมศึกษาลาปาง เขต 1
36
ส่วนที่ 4
กิจกรรมการแก้ไขปัญหาขยะในโรงเรยี น
กจิ กรรมการจัดการขยะในโรงเรยี นแม่ก๋งวิทยา
โรงเรียนแม่ก๋งวิทยาได้ดาเนินงานการบริหารจัดการขยะภายในโรงเรียนอย่างจริงจัง โดยได้
วางจุดทิ้งขยะตามอาคารต่าง ๆ ครบตามประเภทของขยะยกเว้นขยะอันตรายซ่ึงทางโรงเรียนแม่ก๋ง
วิทยาไม่มีขยะประเภทน้ีในสถานศึกษา ส่วนการวางถังขยะตามอาคารต่าง ๆ คือ อาคารทานตะวัน
อาคารอินทนิล อาคารราชพฤกษ์ และอาคารบ๊ิกซี ได้วางจุดทิ้งขยะ คือ ขยะท่ัวไป 2 ถัง เนื่องจากมี
ปริมาณของขยะค่อนข้างเยอะ ขยะอินทรีย์ 1 ถัง และขยะรีไซเคิล 1 ถัง ซึ่งตามจุดต่าง ๆ จะมีคณะ
ครูตามแต่ละจุดและคณะกรรมการที่รับผิดชอบคอยจัดเก็บขยะทุกวัน อีกทั้งทางโรงเรียนแม่ก๋งวิทยา
ไดม้ วี ธิ กี ารจัดการขยะแต่ละประเภททแ่ี ตกต่างกนั ดงั น้ี
4.1 กิจกรรมขยะอนิ ทรียจ์ ากเศษอาหาร
เศษอาหารที่เกดิ จากการรับประทานเหลือจากอาหารกลางวันของนักเรียน เม่ือปล่อยทิ้งไว้ก็
จะเกิดปัญหาเน่าเสีย และส่งกล่ินเหม็น ดังนั้นจงึ มีการจัดการบริหารขยะประเภทน้ี โดยนาเศษอาหาร
ไปเป็นอาหารไก่ของทางโรงเรียน ซึ่งช่วยทาให้ทางโรงเรียนลดต้นทุนในการซื้ออาหารไก่ได้อย่างมาก
ซึง่ มีวิธกี ารจดั การขยะเศษอาหารดังน้ี
1) ใหน้ ักเรยี นนาพาชนะไปใสเ่ ศษอาหารกลางวนั ของนักเรยี นที่โรงอาหาร
2) นาเศษอาหารทนี่ ักเรียนรบั ประทานเหลอื มาเทลงในพาชนะท่ีเตรียมไว้
37
3) ให้นักเรยี นนาเศษอาหารท่ีได้ไปใส่ในจานอาหารไก่ไข่ของทางโรงเรยี น
4.2 กิจกรรมเสวียนยอ่ ยสลาย
เนอ่ื งจากทางโรงเรยี นแม่ก๋งวิทยามีจานวนของพ้นื ท่ีบรเิ วณโรงเรียน 40 กว่าไร่ จงึ ทาใหเ้ กดิ
ปัญหาขยะจากเศษใบไม้ เศษหญา้ และก่ิงไม้ ที่มีปรมิ าณมาก ซ่ึงหากไม่รีบกาจัดจะทาใหเ้ กิดการทับถม
และเป็นที่อยู่อาศัยของแมลงมีพษิ อาทิ แมงป่อง ตะขาบ อนั จะเปน็ อันตรายต่อเด็กนกั เรยี น ดงั นนั้ จึง
มีวธิ กี ารกาจดั ขยะประเภทนี้โดยการทาเสวยี น ซงึ่ เสวยี นเปน็ ภูมปิ ัญญาท้องถิ่นทางภาคเหนอื แตล่ ะ
ครวั เรือน จะมีการทาเสวยี นไมไ้ ผ่ ไว้รอบต้นไม้ เพื่อใสเ่ ศษพชื และเศษใบไม้ที่รว่ งหลน่ จากต้นไม้ และ
สามารถใสเ่ ศษอาหารลงไปหมักเปน็ ปุ๋ยหมักชวี ภาพได้และรดนา้ ใหเ้ กิดความชนื้ ดงั นี้
38
วสั ดุอุปกรณ์สาหรบั ทาเสวียน
1) ลาไม้ไผ่ (ไผ่รวก)
2) มดี ตดั ไม้
3) ค้อน
39
4) ตลบั เมตร
วธิ กี ารทาเสวยี น
1) ตดั ไม้ไผ่รวก ความยาวประมาณ 1 เมตรเพ่ือใช้เป็นเสาหลัก ปักลงดนิ ตัดแต่ง
ส่วนท่ีจะปักลงดินให้แหลมหรอื เปน็ ลิม่ เพอื่ งา่ ยต่อการตอก ลงดิน
2) ตดั ไม้ไผท่ าเป็นหลัก ตอกลงดนิ ใหส้ งู ขึ้นจากพน้ื ประมาณ 50 เซนตเิ มตร หรอื ตาม
ต้องการประมาณ 10-13 อันต่อหนง่ึ วงรอบต้นไม้และนาเส้นไมไ้ ผ่มาสานขัดสลบั กบั หลักไม้ไผ่
ท่ตี อกไว้หากความยาวของเส้นไมไ้ ผ่ไม่สามารถวนครบรอบได้ สามารถนาเส้นไม้ไผ่ใหม่มา
สานต่อได้ และใช้ลวดมาต่อเส้นไมไ้ ผ่ทาการสานขดั สลบั เส้นไมไ้ ผ่ทบั เปน็ ชั้น ใหไ้ ด้ความสงู
ตามทตี่ ้องการ
40
วิธีการทาปุ๋ยหมกั จากเสวยี น
1) นาเศษใบไม้มารวมกนั ในเสวยี นใหเ้ ต็ม
2) เตรยี มนา้ หมัก EM ผสมน้าจานวน 2 ลติ รมาราดลงบนเศษหญ้า ใบไม้และกง่ิ ไม้
เพ่อื ใหเ้ กิดการย่อยสลายที่เร็วขน้ึ และลดการเกิดกลน่ิ เหม็นเน่า
3) นานา้ EM ท่ีผสมน้าเปล่าไว้มาราดลงบนเศษหญ้า ใบไม้และกิ่งไม้ เพ่อื ใหเ้ กิดการ
ยอ่ ยสลายทเ่ี ร็วข้ึน
การเกดิ กลน่ิ เหมน็ เน่า
41
4) รดน้าในเสวยี นอย่างน้อย 3-5 วนั ตอ่ สัปดาห์ (ปริมาณน้า 6 ลิตร/ครง้ั )
5) จะได้ปุ๋ยอินทรียจ์ ากธรรมชาตแิ ละนาไปใชใ้ นประโยชน์ต่อไป
4.3 กลอ่ งนม/ถุงนมเพ่อื ถุงดา
เน่ืองจากโรงเรียนแม่ก๋งวิทยาได้ให้นักเรียน ในระดับช้ันอนุบาลจนถึงช้ันประถมศึกษาปีที่ 6
มีการดืม่ นมในทุกวันในเวลา 15.30 น. ดังน้ันจึงมจี านวนกล่องนม/ถุงนม เปน็ จานวนมาก ดังน้ันคณะ
ครูจึงมีการจัดกิจกรรมการจัดการกล่องนม/ถุงนม โดยการนากลับมาทาให้เกิดประโยชน์เพ่ือลดการ
เกิดขยะ โดยการนากล่องนม/ถุงนมนามาทาความสะอาดเพ่ือจาหน่ายท่ีสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา
ประถมศึกษาลาปางเขต 1 ซึง่ มวี ธิ กี ารจัดการบริหารดังน้ี
42
1) เม่อื นักเรียนดืม่ นมแล้ว จะมีเวรทาความสะอาดห้องเรียนในแตล่ ะวันเป็นผู้รบั ผดิ ชอบ
2) แกะกล่องนมออกทงั้ 4 มุม พับกลอ่ งนมหรอื ถงุ นมให้แบน แกะออกเปน็ แผน่ และตัดหวั
ท้าย ดา้ นข้างของกล่องนมหรือถุงนม
43
3) เมื่อลา้ งทาความสะอาด และนาไปตากใหแ้ ห้ง
4) เวรประจาวันถัดไปก็จะทาหน้าท่ีเก็บกล่องนม/ถุงนมท่ีแห้งแล้วพับเก็บไว้ในที่เก็บของ
ห้องเรียน
44
5) นากล่องนม/ถุงนม ไปจาหน่ายให้กับสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษา
ลาปางเขต 1
4.4 กจิ กรรมขยะจากขวดพลาสติก
พลาสติกท่ีเกิดจากขวดนา้ ท่นี ักเรียนนามาด่ืมในโรงเรยี น เป็นขยะที่ย่อยสลายยากและมคี วาม
หลากหลายชนิด ทั้งความหนา สีสัน และมีคุณสมบตั ิแตกต่างกันไป ดังน้ันการคัดแยกขยะหลงั การใช้
ด้วยวิธีท่ีเหมาะสม จึงเป็นขั้นตอนท่ีสาคัญในการคัดแยกขยะ และเพิ่มโอกาสในการนาพลาสติกมารี
ไซเคลิ ซึ่งมวี ิธรการบรหิ ารจัดการขยะ ดงั นี้
45
4.4.1นาขวดพลาสตกิ ในตามจดุ อาคารต่าง ๆ ทีม่ ีการวางถังขยะไว้
4.4.2 เม่อื นาขวดพลาสตกิ ท่ีเกบ็ มาจากอาคารตา่ ง ๆ มารวบรวมไว้ ณ จดุ คดั แยก
ขยะของโรงเรียน ซง่ึ ไดจ้ ัดทาทเี่ ก็บขยะขวดพลาสติกในรปู แบบตะแกรง เน่ืองด้วยสามารถ
ระบายนา้ ได้ดี
4.4.3 ขยะบางส่วนนาไปประดิษฐ์เปน็ ของใชต้ า่ ง ๆ ตวั อยา่ ง การทากระถางดอกไม้
จากขวดพลาสติก ซึง่ มวี ิธีการดงั นี้
วสั ดุอุปกรณ์
- ขวดน้าพลาสตกิ -หัวแร้ง
- แม็กเย็บกระดาษ -ปนื กาว
- เชอื กรดั ของคละสี -เชือกขาว
46
วิธกี ารทา
1) นาขวดพลาสตกิ มาตดั ออกเปน็ สองสว่ น
47
2) นาฝาขวดพลาสติกและบริเวณส่วนบนและล่างของขวดพลาสติกที่ตัดออกเป็น
สองส่วนแล้วมาเจาะรู โดยใช้หัวแร้ง เพื่อทาเป็นท่ีระบายน้าและอากาศให้กับ
พืชทจ่ี ะปลกู
3) นาส่วนของขวดน้าสามส่วนมาติดกันโดยใช้แม็กเย็บกระดาษในการติดส่วน
ต่าง ๆ ของสว่ นขวดพลาสติก