1 บทที่ 1 ความหมายกลองตุ้ม กลองตุ้ม เป็นกลองสองหน้าขนาดเล็ก มีสําเนียงเสียงดัง “ตุ้มๆ” จึงมีชื่อเรียกเช่นนั้น ชื่ออื่นๆ ของกลองตุ้มคือ กลองตุ๊บ กลองตุ้มซุบ เป็นต้น ซึ่งกลองตุ้ม เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องกระทบ ขึงหนัง เช่นเดียวกับกลองชนิดอื่นๆ ชาวอีสานใช้กลองตุ้มใน 2 กรณี คือ 1. ผู้ใหญ่บ้านตีกลองตุ้มเป็นเครื่องส่งสัญญาณแบบเดียวกันกับการใช้ขอลอ 2. ชาวบ้านใช้กลองตุ้มทํากระสวนจังหวะประกอบการเซิ้งต่างๆ เช่น เซิ้งบั้งไฟ ซึ่งมีกระสวนจังหวะ เท่าเท้าก้าวเดิน “ซ้ายขวา ซ้ายขวา” เสียงกลองตุ้มดังว่า ตุ้ม ตุ๊บ ตุ้ม ตุ๊บ หรือ “ต้มซุบ ต้มซุบ” อันเป็นที่มา ของชื่อเรียกกลองชนิดนี้กลองตุ้มมีใช้ในสังคมชาวอีสานมาตั้งแต่ครั้งโบราณ ดังปรากฏในวรรณคดีพื้นบ้าน จากหนังสือผูกโบราณ เรื่อง “ผาแดงนางไอ่” กล่าวถึงการใช้กลองตุ้มร่วมกับกลองอื่นๆ ว่า “...เอากันฮิว โห่งัน ตีฆ้อง กลองชัยพร้อม กลองโทน กลองแป่ม...” (กลองแป่มเป็นกลองเสียงแหลม ในที่นี้หมายถึงกลองตุ้ม) (สุภน สมจิตรศรีปัญญา ปริวรรต พ.ศ.2524:241) ล าตัวของกลองตุ้ม ทําจากไม้ขนุน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของลําตัวประมาณ 2 คืบ (ราว 40 เซนติเมตร) มีความยาวของลําตัวประมาณ 2 - 3 คืบ ขุดท่อนไม้ให้กลวงเป็นท่อกระบอกหุ้มหน้ากลองด้วยแผ่นหนัง รูปวงกลมทั้งสองหน้า ดึงหนังหน้ากลองเข้าหากันด้วยการร้อยเชือกหนังเข้ารูร้อยที่เจาะไว้รอบๆ หนังหน้า กลอง โยงไปมาหากันในแนวซิกแซ็ก มีไม้ขัดเป็นกลไกตรึงหน้ากลองขัดอยู่ที่คู่เส้นเชือกหนังแต่ละคู่รอบลําตัว กลองตุ้ม และการตีกลองตุ้มอาจตีด้วยฝ่ามือ หรือตีด้วยค้อนไม้ หุ้มปลายด้วยผ้าเคียนรอบเป็นรูปกําปั้น ปัจจุบันกลองตุ้ม ยังมีใช้อยู่ทั่วไปในทุกจังหวัดของภาคอีสาน ในกรณีที่ตีประกอบจังหวะเซิ้งบั้งไฟ ส่วนผู้ใหญ่บ้านได้เลิกใช้สัญญาณกลองตุ้มไปแล้วพร้อมสัญญาณขอลอ โดยหันมาใช้สัญญาณเสียงพูดผ่านเครื่อง ขยายเสียงแทน ผู้เรียบเรียง สําเร็จ คําโมง ที่มา หนังสือสารานุกรมไทยภาคอีสาน เล่ม 1
2 บทที่ 2 ประเภทของกลองตุ้ม กลองตุ้มเอกลักษณ์การเรียนรู้ วัฒนธรรมทางดนตรีกลองตุ้ม เป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งของชาวอีสาน ที่ชุมชนชาวภูไท บ้านกุดแข้ด่อน ตําบลกุดเชียงหมีอําเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร ได้สืบสานตํานานทางวัฒนธรรมมาโดยตลอด ลักษณะกลองตุ้ม เป็นกลองสองหน้า ขนาดยาว 30 – 50 เซนติเมตร กว้าง 30 –50เซนติเมตร หรือตามความเหมาะสมและนิยม ตัวกลองทําจากไม้เนื้อแข็งเจาะให้กลวงทะลุทั้งสองด้านปิดหน้ากลอง ด้วยหนังควาย ขึงหรือตึงให้แน่นด้วยเส้นหนังที่เหลือเศษจากหน้ากลอง ประเภทของกลองตุ้ม 1. กลองตุ้มโบราณ มีอุปกรณ์ คือ กลองตุ้มและผางฮาด นิยมนํามาแสดงในงานเทศกาลต่างๆ เพื่อเพิ่มความสนุกสนานและถ่ายทอดทางวัฒนธรรมซึ่งของชุมชนชาวภูไท บ้านกุดแข้ด่อน นํามาแสดงในงาน บุญเดือนหก หรือบุญบวชนาค ตามประเพณีชาวบ้านจะตั้งกองบุญเพื่อบวชลูกหลาน ญาติพี่น้องก็มา 2.กลองตุ้มประยุกต์ มีดนตรีพื้นเมือง อื่นมาเสริม เช่น พิณ แคน โหวด โปงลาง ฉิ่งฉาบ กลองเทิ้ง กลองยาว กับแกบและมีเครื่องเสียงมาเกี่ยวข้อง เป็นต้น ช่วยงาน เมื่อถึงวันรวมบุญชาวบ้านจะนํากองบุญมา รวมกัน โดยมีกลองตุ้มโบราณ เป็นสัญญาณนัดหมายมารวมกันที่ลานวัด ผู้ตีกลองตุ้มโบราณใช้สองคนหาม หันหน้าเข้าหากันคนหนึ่งตีกลองตุ้ม อีกคนตีผางฮาด ทํานอง ตุ้ม ผ่าง ตุ้ม ผ่าง โดยมีลีลาประกอบตามจังหวะ ประเภทการแสดง เป็นการ นําดนตรีพื้นเมืองเข้ามาเสริม เพื่อเพิ่มความสนุกสนานเร้าใจ และตื่นเต้นมากกว่า กลองตุ้มโบราณ โดยนํา พิณ แคน โหวด โปงลาง ฉิ่ง ฉาบ กลองเทิ้ง กลองยาว กับแกบหรือแล้วแต่ละท้องถิ่น จะเสริมเข้ามา ผู้แสดงทางดนตรีจะเพิ่มจํานวนตามชิ้นของดนตรีและขบวนฟ้อนที่สวยงาม จังหวะและลีลาการแสดง 1. แสดงจังหวะช้า เป็นการเน้นการแสดงโชว์ลีลา โชว์วัฒนธรรมอันเก่าแก่กลองตุ้มโบราณและ ประยุกต์สามารถเล่นจังหวะช้าได้ อ่อนช้อยสวยงาม ตามจังหวะของดนตรี ผู้แสดงจะแต่งตัวตามรูปแบบสมัย โบราณ มีภาชนะเช่นกระบุงกระต่า (ตะกร้า) มาด้วย บางคนก็ถืออุปกรณ์การทํามาหากินเพื่อทําเป็นรีวิวประกอบ เช่น แห ข้อง หรือ คาด ไถ เป็นต้น 2. แสดงจังหวะเร็ว ลีลาทางดนตรีจะหนักแน่น ฮึกเหิม เร้าใจเร็วขึ้นกลองตุ้มผสมผสานกับดนตรี พื้นเมืองเป็นเรื่องที่น่าทึ่งในความสามารถในการถ่ายทอดทางวัฒนธรรม ประกอบกับผู้แสดงแต่งตัวชุดภูไท ที่สวยสดงดงามร่ายรําตามจังหวะดนตรีลีลางดงาม
3 การแต่งกายของชาวภูไท ผู้ชาย จะแต่งกายสวมใสเสื้อผ้าตามคําบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ นุ่งโสร่งผ้าที่ทอขึ้นมา มีผ้าฝ้าย ผ้าขาวม้า ผ้าลายคาดศีรษะ คาดเอว ตามที่คณะจะตกลงกัน ผู้หญิง นุ่งผ้าซิ่นต่อตีนลายภูไท เสื้อผ้าที่ชุมชนจัดทําขึ้น ประดับประดาให้สวยงามมีผ้าขาวม้า ผ้าลาย ทําเป็นผ้าสไบคาดหรือคล้องคอ กลองตุ้ม จึงเป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมที่ชาวภูไท บ้านกุดแข้ด่อน ได้สืบสานมาโดยตลอดทุกๆปี จะมีการแสดงกลองตุ้ม ทั้งหมู่บ้านยิ่งใหญ่ตระการตา ลูกหลานชาวภูไท ที่อยู่ต่างถิ่นจะกลับมาร่วมงานแสดง ปัจจุบัน ศูนย์วัฒนธรรมภูไท บ้านกุดแข้ด่อน เป็นศูนย์กลางในการจัดเก็บข้อมูล ทุกด้าน เพื่อการศึกษา และธํารงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ทางภาษา ภูมิปัญญาภูไท กลองตุ้มประยุกต์ การแต่งกายสาวภูไท รวบรวมโดย นายศรีปทุม สุวะศรี ศูนย์วัฒนธรรมภูไท บ้านกุดแข้ด่อน ประสานงานที่ 083 1459601
4 การแต่งกาพย์เซิ้งบั้งไฟ การเซิ้งบั้งไฟ เป็นนาฏศิลป์ในการฟ้อนรําที่สืบเนื่องมาจากประเพณีบุญบั้งไฟ ซึ่งเป็นประเพณีบุญเดือนหก ที่เก่าแก่ของชาวอีสาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จังหวัดยโสธร ที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน กาพย์เซิ้งเป็นบทร้อยกรอง ที่บอกกล่าวเรื่องราวความเป็นมา ตํานานบุญบั้งไฟ ซึ่งมีการเซิ้งบอกบุญในช่วงเตรียมงาน เซิ้งในวันรวม เซิ้งใน วันจุดบั้งไฟและเซิ้งหลังวันจุดบั้งไฟ กาพย์เซิ้งบั้งไฟ เป็นบทขับร้องประกอบท่ารําเพื่อบรรยายถึงประเพณีบุญบั้งไฟ ประกอบด้วยบทไหว้ครู ถวายสักการะเทพยดาพญาแถน หรือพระรัตนตรัย บทบรรยายสภาพท้องถิ่นตน เช่น ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม อาชีพที่เกี่ยวข้องกับประเพณีบุญบั้งไฟ และบทอําลา ลักษณะของกาพย์เซิ้ง การร้องเซิ้ง จะมีพ่อเพลงหรือแม่เพลงเป็นผู้นําบอกบทตามทํานอง แล้วมีลูกคู่ร้องตามทํานองและ จังหวะของพ่อเพลงแม่เพลง (จารุวรรณ ธรรมวัตร. ม.ป.ป. : 70) ๑. ความเป็นมาของบุญบั้งไฟ เป็นประเพณีบุญเดือนหกของชาวอีสานที่เก่าแก่สืบทอดมาหลายชั่วอายุ คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จังหวัดยโสธร ได้กําหนดเป็นงานประเพณี สําคัญของจังหวัด ซึ่งจะจัดขึ้นในสัปดาห์ ที่สองของเดือนพฤษภาคมของทุกปี ด้วยมีความเชื่อมาแต่บรรพบุรุษว่าก่อนถึงฤดูกาลทํานาประชาชนชาว อีสานรวมทั้งจังหวัดยโสธร จะร่วมกันจัดประเพณีบุญบั้งไฟขึ้นในชุมชน ทั้งนี้เพื่อเป็นการบอกกล่าวทวยเทพ ทวยแถนที่เป็นผู้บันดาลให้ฝนตกลงมายังโลกมนุษย์ ดังนั้นเมื่อถึงเดือนหกชาวชุมชน ชาวคุ้มจะจัดงานประเพณีบุญ บั้งไฟขึ้น จัดให้มีขบวนเซิ้ง มีบั้งไฟโบราณ บั้งไฟสวยงาม บั้งไฟจุดขึ้นสูง โดยจะจัดเซิ้งบั้งไฟในวันเสาร์ และจุด บั้งไฟขึ้นสูงในวันอาทิตย์ ที่จังหวัดยโสธร จะจัดเซิ้งบั้งไฟเพื่อถวายศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ศาลเจ้าปู่ ซึ่งถือว่าเป็น สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวยโสธร และเซิ้งตามถนนแจ้งสนิท เพื่อให้ผู้มาเที่ยวชมได้ชมความสวยงามของขบวน เซิ้งและบั้งไฟสวยงาม ๒. การเซิ้งบั้งไฟ เป็นกิริยาอาการของการฟ้อนในประเพณีบุญบั้งไฟ โดยจะมีผู้นําร้องกาพย์เซิ้ง เป็นต้นเสียง จํานวน 1 คน แล้วร้องตามด้วยลูกคู่ร้องรับกี่คนก็ได้ มีขบวนนางรํา เซิ้งบั้งไฟเป็นขบวน ที่สวยงาม รําออกหน้าบั้งไฟและมีคณะกลองยาวตีทํานองหลักและให้จังหวะ เครื่องดนตรีประกอบด้วย พิณ แคน กลองยาว โหม่ง กลองเทิ่ง ฉิ่ง ฉาบ และกั๊บแก้บ เสียงกลองยาวเร้าใจและเป็นที่จดจําของคนอีสาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จังหวัดยโสธร เพียงได้ยินเสียงไม่ว่าที่ใดก็รู้ทันทีว่าเป็นเสียงกลองของคนเมืองยโสธร (คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุจังหวัดยโสธร 2542 : 131) 3. ขบวนเซิ้งบั้งไฟ จะมีนางรําคณะละไม่น้อยกว่า 40 คน แบ่งเป็นขบวนรําเซิ้งสวยงามขบวนกลองยาว ขบวนแฟนซี ซึ่งท่ารําจะดัดแปลงมาจากท่าทางในการประกอบกิจวัตรประจําวันของชาวอีสาน เช่น ท่าถอน กล้า ท่าดํานา ท่าล้างมือ ท่าสลัดมือ ท่าปั้นข้าวเหนียว ท่าเช็ดมือ ท่าช้อนสวิง ท่าแหย่ไข่มดแดง เป็นต้น 4. การเซิ้งบั้งไฟโบราณ เป็นการฟ้อนรําในประเพณีบุญบั้งไฟ โดยจะมีผู้นําร้องกาพย์เซิ้ง เป็นต้น เสียง จํานวน 1 คน แล้วร้องตามด้วยลูกคู่ร้องรับกี่คนก็ได้ เช่นเดียวกับการเซิ้งบั้งไฟสวยงาม มีขบวนนางรําเซิ้ง บั้งไฟเป็นขบวนที่สวยงาม รําออกหน้าบั้งไฟและมีคณะกลองตุ้มตีทํานองหลักและให้จังหวะ เครื่องดนตรี ประกอบด้วย กลองตุ้ม และผางฮาด ต่อมาก็ประยุกต์ โดยเพิ่มอุปกรณ์ดนตรีเข้ามาอีหลายชนิด เช่น แคน พิณ โหวด และโปงลาง เสียงกลองจะให้ทํานอง ตุ้มผ่าง ตุ้มผ่าง (กลุ่มกิจการพิเศษ สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดยโสธร. 2566) ๕. รูปแบบของกาพย์เซิ้ง กาพย์เซิ้งบั้งไฟ มีรูปแบบทางฉันทลักษณ์ กลอนร่าย คือ มีสัมผัสต่อเนื่อง เหมือนร่าย โดยมีการส่งสัมผัส จากวรรคที่ 1 ส่งไปวรรคที่ 2 ส่งจากวรรคที่ 2 ไปวรรคที่ 3 ส่งจากวรรคที่ 3
5 ไปวรรคที่ 4 ต่อเนื่องกันไปจนจบบท โดยไม่ได้กําหนดจํานวนวรรค เพียงแต่ให้เหมาะสมกับเนื้อหาและเวลา วรรคละประมาณ 6 – 7 - 8 คํา ดังตัวอย่าง “...สาวบ้านใด๋กระโปงใหม่ใหม่ ท้ายใหญ่ใหญ่เจ้าอยู่บ้านใด๋ มากับไผจักคนพวกหมู่ เจ้ามีคู่นอนซ้อนหรือยัง เจ้าอย่าบังบอกมาเด้ออุ่น แก้มจู่นพู่นบอกพี่โดยดี เจ้าอย่ามีความตี๋ความหลอก ให้เจ้าบอกตั้งแต่ความจริง เจ้าเป็นหญิงวาจาให้เที่ยง อย่าได้เลี่ยงไปหน้ามาหลัง...” ตัวอย่างกาพย์เซิ้งเผ่าภูไทย
6 ตัวอย่างกาพย์เซิ้งอ าเภอไทยเจริญ โอ้เฮาโอพวกเซิ้งเฮาโอ มาฮอดหนี้ถึงที่กรรมการ ผู้จัดงานประชันขันแข่ง ได้จัดแต่งจัดแบ่งรางวัล พวกฉันมาประชันขันแห่ มาตั้งแต่อําเภอไทยเจริญ โนนเขาเขินเทิงภูกอยตั้ง บ่เคยพลั้งทําแต่ความดี ภูกอยมีฮอยพุทธบาท ขอประกาศและกล่าวชวนเชิญ อําเภอไทยเจริญเลื่องลือโบสถ์ไม้ ลําเซใหญ่ไหลผ่านลานหิน บ่ได้จินตนาเติมแต่ง ยังเป็นแหล่งทอผ้าด้วยมือ เชิญท่านถือแพรวาผืนใหญ่ ย้อมสีใส่เปลือกไม้ส้มมอ งานลออสมสีหลายชั้น เชิญทุกท่านผินหน้ามาหา ชมพูผาลานดินหินซ้อน ตั้งเป็นก้อนเอิ้นว่าภูฮัง ค้อยตามหลังคือภูหินแตก มีฮอยแยกเป็นอัศจรรย์ ยังมีฝันตํานานหลายหลาก ฉันขอฝากก่อนจบบทกลอน ขออวยพรพี่น้องพ่อแม่ ให้มีแต่ความสุขสมหวัง ปีหน้ายังจั่งพ้อกันใหม่ เด้อผู้ใหญ่เจ้านายยายตา ฉันอําลาไปเพียงท้อนี้ ให้สุขขีอย่ามีเดือดฮ้อน ลาไปก่อนเด้อท่านทั้งหลาย โอ้เฮาโอเฮาโอ้เฮาโอ (อุษณี เวชกามา 2566 แต่งสดในวันประชุมเตรียมงาน) ประเภทกาพย์เซิ้งบั้งไฟ แบ่งเป็น 4 ช่วง ดังนี้ 1. กาพย์เซิ้งบั้งไฟบอกบุญในช่วงเตรียมงาน ดังตัวอย่าง “...โอเฮาโอพวกเซิ้งเฮาโอ มาฮอดนี่เฮาขอสาก่อน มาฮอดบ่อนเฮือนเจ้าศรัทธา ขอเงินตราไปซื้อเหล้ากิน ขอนําเจ้าผู้เพิ่นใจบุญ จั่งเป็นคุณลูกหลานมาจอด ย่างมาฮอดเฮือนเจ้าศรัทธา เอามาสาเอาเร็วถ่อน...” “...โอเฮาโอศรัทธาเฮาโอ ขอเหล้าเด็ดนําเจ้าจักโอ ขอเหล้าโทนําเจ้าจักถ้วย หวานจ้วยจ้วยใส่ปากหลานซาย ตักมายายหลานซายให้คู่ คันบ่คู่ข้อยกะบ่หนี ตายเป็นผีกะสินํามาหลอก ออกจากบ้านกะสิหว่านดินนํา...” (คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุจังหวัดยโสธร 2542 : 132) “...มาฮอดนี่แม่นที่เฮือนไผ เฮือนผู้ใดหลังใหญ่อาดหลาด บ่ได้ห้าบาทหลานน้อยบ่หนี ตายเป็นผีสินํามาหลอก ออกจากบ้านกะสิหว่านดินนํา โอเฮาโอพวกเซิ้งเฮาโอ... ...ลาวให้แล้วแถมพรลาวแน่ ให้ลูกลาวแผ่คือกะปูยามนา” 2. กาพย์เซิ้งบั้งไฟในวันรวมหรือมื้อโฮม ดังตัวอย่าง “โอเฮาโอบ้านใต้เฮาโอ โอมพุทโธ นโมเป็นเจ้า ข้อยสิเว้าเรื่องบุญบั้งไฟ แม่นคนใด๋ผู้ใด๋เป็นเค้า แม่นพระเจ้าหรือพญามาร คึดทําการเฮ็ดบั้งไฟมาแห่
7 เพื่อถวายแก่องค์พญาแถน ในเมืองแมนดินแดนเมืองฟ้า ตามวาจาที่ว่าต่อกัน ทางโลกลั่นคึดสร้างสัญญาณ ถึงเวลาสังขารปีใหม่ มีบั้งไฟใหญ่เบิกบ้านเบิกเมือง จั่งฮูงเฮืองบ่เจ็บบ่ไข้ เทพพะไท้ซมซื่นยินดี ถึงขวบปีทําไปอย่าขาด อย่าประมาทขาดบุญบั้งไฟ ทํากันไปทุกปีตลอด มาจนฮอดเดียวนี้อีสาน เป็นตํานานยโสสืบต่อ ฟังเด้อพ่อหลานสิว่าไป โอเฮาโอพวกเซิ้งเฮาโอ” กาพย์เซิ้งขอฝน “โอ้เฮาโอเฮ้าโอ้เฮาโอ โอมพุทโธ นโมเป็นเจ้า หลานสิเว้าเรื่องบุญบั้งไฟ แต่สมัยโบราณกาลก่อน เพื่อสิย้อนฮู้กันทุกคน เรื่องขอฝนทํานาทําไฮ ขอท่านได้สดับรับฟัง เมื่อก่อนครั้งพระพุทธองค์ ได้ตกลงเสวยชาติใหม่ ให้ยิ่งใหญ่เป็นพญาคันคาก มีหมู่มากเต็มห่มโพธิ์ศรี เมืองไพสาลีกะบ่มีทุกข์ฮ้อน ราษฎรอยู่ซุ่มอยู่เย็น ได้เกิดทุกข์เข็ญกันทุกหมู่บ้าน ฝนบ่ผ่านเจ็ดปีเจ็ดเดือน ทุกครัวเฮือนเกิดความเดือดฮ้อน พากันไปอ้อนต่อพญาแถน อยู่เมืองแมนผู้เป็นพระเจ้า ขอให้ฝ้าวปล่อยฝนลงมา ให้ซาวนาได้มีน้ําไซ้ ให้ซาวไฮปลูกป่านหว่านปอ แต่ว่าพ่อพญาแถนบ่ให้ จึงชวนกันได้ไปต่อไปตี องค์ภูมีเป็นจอมทัพหน้า มีทหารกล้าพวกต่อพวกแตน จนพญาแถนยอธงยอมแพ้ เลยให้แต่คํามั่นสัญญา ให้ฝนตกมาทํานาทําไฮ เฮ็ดจังใด๋สิให้แถนฮู้ พวกเฮาอยู่บนภาคพื้นดิน บ่ได้ขีนเฮ็ดตามคลองฮีต ฝ้าวเร่งรีบเอาบุญบั้งไฟ จุดขึ้นไปเพื่อให้แถนฮู้ ผู้เพิ่นอยู่เทิงฟ้าเบื้องบน สิปล่อยฝนลงมาทางลุ่ม แผ่นดินซุ่มชาวบ้านอยู่เย็น ดับทุกข์เข็ญโพยภัยหายสิ้น ทั้งทุกถิ่นได้ทําไฮ่ทํานา ทั้งข้าวปลาบริบูรณ์ทุกบ้าน ลูกขอผ่านเรื่องบุญบั้งไฟ ให้เข้าใจหล่ะกันทุกถ้วนหน้า ขออําลากลอนเซิ้งไว้ก่อน โอ้เฮาโอเฮ้าโอ้เฮาโอ” (สมเดช รัตนะบงกชเวช : 2549) 3. กาพย์เซิ้งบั้งไฟในวันจุดบั้งไฟ ดังตัวอย่าง “...สาวบ้านใด๋กระโปงใหม่ใหม่ ท้ายใหญ่ใหญ่เจ้าอยู่บ้านใด๋ มากับไผจักคนพวกหมู่ เจ้ามีคู่นอนซ้อนหรือยัง เจ้าอย่าบังบอกมาเด้ออุ่น แก้มจู่นพู่นบอกพี่โดยดี เจ้าอย่ามีความตี๋ความหลอก ให้เจ้าบอกตั้งแต่ความจริง
8 เจ้าเป็นหญิงวาจาให้เที่ยง อย่าได้เลี่ยงไปหน้ามาหลัง เจ้ามีหวังกับไผหรือบ่ แม่กับพ่อพี่น้องทั้งหลาย ยังซําบายสู่คนตี้หล้า ให้เจ้าว่าบอกพี่โดยดี แต่งโตฟรีกะดักกะด้อ พี่มาพ้อนึกชอบขอบใจ มาจุดบั้งไฟนําอ้ายเด้อน้อง เจ้านี้ต้องใจพี่หลายหลาย โอ้เฮาโอพวกเซิ้งเฮาโอ...” 4. กาพย์เซิ้งบั้งไฟหลังวันจุดบั้งไฟ หรือวันนําฮอยไฟ ดังตัวอย่าง “...นี่ละนาบุญบั้งไฟหมื่น ไท เฮาม่วนซื่นขอฟ้าขอฝน ขอทุกคนเจริญยอยิ่ง ขอทุกสิ่งเจริญเกินตา ขออําลาจบกลอนไว้ก่อน ขอไปพักผ่อนก่อนสวัสดี” คุณค่าของกาพย์เซิ้ง 1. คุณค่าด้านความบันเทิง ให้ความสนุกสนาน ก่อนที่จะเข้าสู่ฤดูกาลทํานาของชาวอีสาน 2. คุณค่าด้านภาษาและวรรณกรรม บทกาพย์ที่ใช้เซิ้งประกอบ แสดงให้เห็นถึงการเลือกใช้ ถ้อยคําที่ลึกซึ้งกินใจ บรรยายหรือพรรณนาด้วยความไพเราะงดงาม 3. คุณค่าทางสังคม สร้างความสมัครสามัคคีในชุมชน 4. คุณค่าด้านศิลปวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณี เป็นการสืบสานให้ดํารงคงอยู่ ตราบนานเท่านาน รวบรวมโดย ดร.สมปอง จันทคง
9 ฟ้อนกลองตุ้ม ฟ้อนกลองตุ้ม เป็นศิลปะการแสดงที่ท่วงท่าการร่ายรําไม่ได้มีอะไรมากมาย ที่มีเพียงไม่กี่ท่วงท่า ผู้ฟ้อน หัดฟ้อนไม่นานก็สามารถฟ้อนได้ ซ้ํายังไม่ต้องฟ้อนสวยงามแบบนักศึกษานาฏศิลป์ด้วยซ้ําฟ้อนรําไปตาม ธรรมชาติอย่างที่ความรู้สึกอยากจะฟ้อนนําพาไป และฟ้อนได้พร้อมเพรียงกับผู้ฟ้อนคนอื่น ๆ เพียงเท่านี้ เมื่อรวมกับท่วงทํานองจังหวะประกอบช้า ๆ เนิบๆ และเครื่องแต่งกายเครื่องประดับของผู้แสดง ที่แปลกตา ยิ่งถ้าได้บวกกับการมีบทบรรยายบอกเล่าถึงความเป็นมา ความเก่าแก่ของ "ฟ้อนกลองตุ้ม” ที่อยู่คู่กับแผ่นดิน อีสานมาเนิ่นนานเพียงไร เท่านี้การฟ้อนรํากระบวนนี้ ก็จะดูสวยงามเพริศแพร้ว ขรึมขลัง น่าประทับใจ ผู้ได้รับชมเป็นอย่างยิ่ง เป็นเกียรติยศเป็นศักดิ์ศรีของชาวอีสาน สามารถใช้เป็นการแสดงต้อนรับแขกบ้านแขก เมืองได้อย่างน่าภาคภูมิใจ การฟ้อนกลองตุ้ม ในอดีตจะนิยมฟ้อนกันแต่ในหมู่ผู้ชาย มีอยู่ ๒ แบบด้วยกัน แบบที่หนึ่ง คือการ ฟ้อนเป็นจังหวะในรูปแบบการฟ้อนแห่เป็นขบวน และแบบที่สอง คือการฟ้อนประกอบทํานองกาพย์เซิ้ง เพื่อขอเหล้าหรือปัจจัยไทยทาน เมื่อพิจารณาที่มาของการฟ้อนกลองตุ้มในแบบที่สอง จะเห็นได้ว่า มีความเกี่ยวเนื่องกับประเพณีบุญบั้งไฟ เพราะมีทํานองเป็นเช่นเดียวกันกับทํานองเซิ้งบั้งไฟ แต่มีช่วงจังหวะ ที่ช้าเนิบนาบกว่า เครื่องดนตรีที่ใช้เล่นร่วมกับการฟ้อนกลองตุ้ม อย่างที่กล่าวมาแล้วว่า มีเพียงกลองตุ้มและ ผางฮาด หากแต่ในวันนี้ เมื่อการแสดงของภาคอีสานทั้งหมดมีการขยายตัว เนื่องจากกระแสนิยมไทยและ การท่องเที่ยว จึงอาจมีการเพิ่มเติมชนิดของเครื่องดนตรีขึ้นอีก เช่น เพิ่ม สะไน หรือ เขาควาย หรือ งาช้าง สําหรับเป่า อาจจะมีฉิ่งและฉาบเป็นตัวร่วมสร้างจังหวะประกอบด้วย ฟ้อนกลองตุ้ม อยู่ร่วมมากับสังคมอีสานมาเนิ่นนาน นานจนไม่อาจจําความได้ว่ามีมาเมื่อไร ในวันนี้ เมื่อมีการรื้อฟื้นการแสดงของอีสานหลากหลายรายการขึ้นมาใหม่ ด้วยกระแสวิวัฒน์วัฒนธรรมและ การท่องเที่ยว โดยหน่วยงานรัฐต่าง ๆ หรือเอกชนเจ้าของทุนใหม่ ๆ จึงมีพื้นที่หลายแห่ง ที่มีวงกลองตุ้มและ มีการเล่นฟ้อนกลองตุ้มเป็นของตนเอง มีการประกาศความเป็นเจ้าของฟ้อนกลองตุ้ม หรือประกาศรูปแบบ การพัฒนาการฟ้อนกลองตุ้มขึ้นมา จนมีการประกาศที่ทับซ้อนกันหลากหลายพื้นที่ ซึ่งก็คือความที่ต่างคนต่างมี วัฒนธรรมฟ้อนกลองตุ้ม เช่นนี้อยู่ในพื้นที่อยู่แล้วนั่นเอง ต่อมาจึงมีหลายพื้นที่มีการสร้างเอกลักษณ์ฟ้อนกลองตุ้มรูปแบบเฉพาะของพื้นที่ตนขึ้นมา เช่น จังหวัดศรีสะเกษ จะมีเครื่องประดับเฉพาะที่ใช้ในการฟ้อนกลองตุ้ม คือกระจกบานเล็กห้อยเป็นสร้อย แล้วใช้ใบตาลสานเป็น สร้อยสังวาลแทนฝ้ายขาว และสวมแว่นตาดํา จังหวัดอุบลราชธานีใช้ฝ้ายขาวทํามาจากเส้นฝ้ายหรือไหมพรมสีขาว มัดแล้วตัดเป็นข้อ ๆ ใช้พาดไหล่ ทั้งสองข้างคล้ายกับการใส่สร้อยสังวาล
10 จังหวัดยโสธร ได้มีข้อมูลของการร ากลองตุ้มที่มีเอกลักษณ์ อยู่ ๒ ที่คือ ๑. ฟ้อนกลองตุ้มบ้านศรีฐาน อําเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร เป็นการฟ้อนที่มีเครื่องดนตรี ที่ดําเนินทํานอง เช่น พิณ และแคน นํามาบรรเลงร่วมในการประสมวง มีการขับร้องประกอบ ส่วนท่าฟ้อนได้รับ การสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ รวมทั้งมีการคิดประดิษฐ์ท่าฟ้อนขึ้นใหม่ ในการรําแทนที่จะเป็นการให้จังหวะ จากกลองตุ้ม เท่านั้น (ข้อมูลจาก : กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม) ๒.ฟ้อนกลองตุ้มผู้ไทบ้านกุดแข้ด่อน ตําบลกุดเชียงหมี อําเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร เป็น การฟ้อนกลองตุ้มประยุกต์ ที่มีเครื่องดนตรีที่ดําเนินทํานอง แบบใส่ พิณ แคน ฉิ่ง ฉาบ ผสมผสานกับกลองตุ้ม และพังฮาดได้อย่างลงตัว ท่ารําที่ใช้จะเป็นท่ารําประดิษย์สร้างสรรค์ขึ้นมา เพื่อสื่อสารให้เข้าในใน ศิลปวัฒนธรรมที่แสดงออก หรือ สร้างสรรค์มาจากท่าธรรมชาติอย่างมีความหมาย รวบรวมข้อมูลโดย ดร.วราพร แก้วใสและคณะ