The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พงศาวดารเมืองยโสธร-ฉบับพระสุนทรราชเดช-แข้-ประทุมชาติ333

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

พงศาวดารเมืองยโสธร-ฉบับพระสุนทรราชเดช-แข้-ประทุมชาติ333

พงศาวดารเมืองยโสธร-ฉบับพระสุนทรราชเดช-แข้-ประทุมชาติ333



พงศาวดารเมอื งยโสธร
ฉบบั พระสนุ ทรราชเดช (แข้ ประทุมชาติ)

จดั พมิ พเ์ ผยแพร่
เน่อื งในโอกาสฉลอง ๒๐๙ ปี เมืองยโสธร

โดย หน่วยอนรุ ักษ์ส่ิงแวดล้อมธรรมชาติและศลิ ปกรรมท้องถ่ินจังหวัดยโสธร
โรงเรยี นยโสธรพิทยาคม จงั หวัดยโสธร







คานา

พงศาวดารเมืองยโสธร ฉบับ พระสุนทรราชเดช
(แข้ ประทุมชาติ) เปน็ เอกสารสาคญั อย่างหน่งึ ท่ีทรงคณุ ค่า ชว่ ยให้
รับรู้เรื่องราวความเป็นมาของบ้านเมืองในอดีต และเป็นมรดก
ตกทอดของชาวจังหวัดยโสธร จากที่มีการตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรก
ในงานปลงศพ หม่อมทรัพย์ ศรีธวัช ณ อยุธยา เมื่อวันท่ี ๘
กันยายน พ.ศ.๒๔๗๒ นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นที่ต้องการของบุคคล
เพื่อใช้ในการศึกษาอ้างอิง ซ่ึงในปัจจุบันนี้หนังสือพงศาวดาร
เมืองยโสธรนับเป็นเอกสารหายากอย่างหน่ึง ประกอบกับในปี
พ.ศ. ๒๕๖๔ น้ี เมืองยโสธร มีอายุครบรอบ ๒๐๙ ปี (พุทธศักราช
๒๓๕๕ – ๒๕๖๔) อันจะเป็นโอกาสอันดีในการจัดทาหนังสือ
พงศาวดารเมอื งยโสธรขึน้

หน่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมธรรมชาติและศิลปกรรมท้องถ่ิน
จังหวดั ยโสธร โรงเรียนยโสธรพิทยาคม ยังมีจุดมุ่งหมายที่สาคัญ
ในการจัดพมิ พ์เผยแพรห่ นังสือเล่มน้อี ีกหลายประการ กล่าวคือ

๑. เพ่ือเสริมสร้างสานกึ รกั ทอ้ งถ่ินของชาวยโสธร
๒.เพ่ือรักษาเอกสารอันเป็นมรดกความทรงจาของชาวยโสธร
ใหค้ งอยู่สบื ไป



๓. เพ่ือส่งเสริมการศึกษาค้นคว้า วิเคราะห์และวิจัยผลงาน
ทางดา้ นประวตั ศิ าสตร์ทอ้ งถนิ่ เมอื งยโสธรใหก้ วา้ งขวางยิง่ ข้ึน

๔. เพ่ือร่วมเฉลิมฉลองในวาระที่เมืองยโสธร มีอายุครบ
๒๐๙ ปี ในปีพุทธศกั ราช ๒๕๖๔ น้ี

ขอขอบคุณพิพิธภัณฑ์เมืองสกลนคร งานวิชาการ
และวิจัย สถาบันภาษา ศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏ
สกลนคร ในการศึกษาเปรียบเทียบเนื้อหากับเอกสารต้นฉบับ
และทาการเรียบเรียงพิมพ์ และขอขอบคุณผู้มีอุปการคุณทุกท่าน
ที่ให้การสนับสนุนงบประมาณในการจัดพิมพ์หนังสือพงศาวดาร
เมืองยโสธรฉบับน้ี

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือพงศาวดารเมืองยโสธร ฉบับ
พระสุนทรราชเดช (แข้ ประทุมชาติ) เล่มน้ี จะอานวยประโยชน์
ให้เกิดความรัก ความเข้าใจ และตระหนักในการศึกษาเรื่องราว
ของท้องถ่ินยิ่งขึ้น อีกท้ังยังมีส่วนช่วยเสริมสร้างสิ่งท่ีทาให้เกิด
สานกึ รักท้องถน่ิ และประเทศชาติอยา่ งมน่ั คงสืบไป.

หน่วยอนุรักษ์ฯ จังหวัดยโสธร
โรงเรียนยโสธรพิทยาคม

ค ก

สารบัญ ง

คานา
สารบญั ๓๘
บทนา
พงศาวดารเมืองยโสธร ๔๑
ฉบบั พระสุนทรราชเดช (แข้ ประทุมชาต)ิ
รายนามผปู้ กครอง เจ้าเมือง ผูว้ า่ ราชการเมือง
และผู้วา่ ราชการจังหวดั ยโสธร จากอดตี ถงึ ปจั จบุ นั
บรรณานกุ รม



บทนา

พงศาวดารเมืองยโสธร ฉบับนี้เรียบเรียงขึ้นเม่ือ พ.ศ. ๒๔๔๐
โดยพระสุนทรราชเดช (แข้ ประทมุ ชาติ) ผู้ว่าราชการเมืองยโสธร
เม่ือครั้งเป็นหลวงศรีวรราช ผู้ช่วยพิเศษเมืองยโสธร ตามคาสั่ง
ของนายร้อยโทสอน (ขุนราญนฤพล) ข้าหลวงท่ีได้รับมอบหมาย
ให้มาจัดราชการ ณ เมืองยโสธร โดยพิมพ์รวมอยู่ในประชุม
พงศาวดาร ภาคที่ ๗๐ ของหอพระสมุดวชิรญาณ ในส่วนเน้ือหา
พงศาวดารเมืองยโสธร ท่ีปรากฏในเล่มนี้พิมพ์เผยแพร่คร้ังแรก
ในงานปลงศพ หม่อมทรัพย์ ศรีธวัช ณ อยุธยา เม่ือวันที่ ๘
กนั ยายน พ.ศ.๒๔๗๒ ในชอื่ “พงศาวดารภาคอีสาน”

โดยพงศาวดารฉบับนี้ธวัช ปุณโณทก ศาสตราจารย์
ภาษาไทย (สาขาภาษาและอักษรโบราณ) คณะมนุษยศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยรามคาแหงได้ให้ความเห็นดังน้ี

๑. การเรียบเรียงพงศ าวดารเมืองยโสธรฉบับน้ี
ไม่ปรากฏเน้ือหาของนิทานหรือเร่ืองเล่าปรัมปรา อยู่ในลักษณะ
ของการเรียบเรียงประวัติศาสตร์สมัยใหม่ มุ่งบันทึกข้อเท็จจริง
และเหตุการณ์สาคัญของบ้านเมือง รวมท้ังเหตุการณ์อื่น ๆ
ทีเ่ กี่ยวข้องกับหวั เมืองใกล้เคียงและส่วนกลาง



๒. ในการเรียบเรียงพงศาวดารฉบับนี้ ได้อ้างถึงหลักฐาน
ที่ได้บันทึกไว้ก่อนหน้าสมัยเรียบเรียง เช่น ศิลาเลข (ศิลาจารึก)
และพงศาวดาร (คงเปน็ บันทกึ ประวตั ิเมอื งและราชวงศ์)

๓. ศักราชที่ปรากฏในพงศาวดารเมืองยโสธรฉบับนี้
ค่อนข้างตรงกับเอกสารของทางราชการฉบับอ่ืน ๆ รวมท้ัง
เ ห ตุ ก า ร ณ์ ส า คั ญ มี ค ว า ม ส อ ด ค ล้ อ ง กั บ เ ห ตุ ก า ร ณ์
ทางประวัติศาสตร์ของหวั เมอื งใกลเ้ คยี งและในภูมิภาค

๔. กา รแสดงรา ยละเอียดเหตุการ ณ์ใ นบา ง ต อ น
มีรายละเอียดมากกว่าเอกสารประวัติศาสตร์อ่ืน ๆ เฉพาะเน้ือหา
ตอนต้นท่ีว่าด้วยการอพยพโยกย้ายของกลุ่มพระวอ พระตา
จากบ้านหนองบัวลุ่มภู (หนองบัวลาภู) มาตั้งบ้านเรือนบริเวณ
แขวงเมืองนครจาปาศักด์ิ และการย้ายกองครัวของท้าวฝ่ายหน้า
ท้าวคาผง ท้าวทิดพรม และท้าวก่า จากบ้านดู่ บ้านแก มายัง
บา้ นสิงห์ทา่ (เมืองยโสธร) บา้ นห้วยแจะละแม (เมืองอุบลราชธานี)
โดยมีรายละเอียดสาคัญอีกตอนหน่ึงกล่าวถึงตอนท่ีกองทัพ
ของเจ้าพระยาจักรี ยกข้ึนไปตีเมืองเวียงจันทน์ และหลวงพระบาง
น้ัน พงศาวดารเมืองยโสธรให้รายละเอียดเนื้อหามากเหมือนอยู่
ในเหตุการณ์ ระบุวา่ ท้าวฝ่ายหน้า (หัวหน้ากองครัวบ้านสิงห์ท่า)



เป็นผู้นากองทัพเจ้าพระยาจักรี (สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก)
ขึ้นไปเมอื งนครเวยี งจันทน์ และเมอื งนครหลวงพระบางดว้ ย

ครั้นเมื่อต่อมาหลังจากเกิดเหตุการณ์จลาจลกรณีกบฏ
อ้ายเชยี งแกว้ เขาโอง ท่ีเมอื งนครจาปาศกั ด์ิ เมอ่ื พุทธศักราช ๒๓๓๔
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ รัชกาลที่ ๑ ได้โปรดเกล้าฯ
ให้ท้าวฝ่ายหน้า ข้ึนเป็น “พระวิชัยราชสุริยวงษาขัตติยราช”
เจ้าเมืองนครจาปาศักดิ์

โดยหากพิจารณาความสาคัญของกลุ่มบ้านห้วยแจะระแม
กับบ้านสิงห์ท่า แล้วจะเห็นว่า บ้านห้วยแจะระแมนั้น เป็นชุมชน
ใหญ่กว่า และหัวหน้าสาคัญ ๆ ก็อยู่ที่บ้านห้วยแจะระแม
แต่การที่ทรงโปรดเกล้าฯ ต้ังให้ท้าวฝ่ายหน้า เป็นเจ้าเมือง
นครจาปาศักดิ์ ก่อนเมืองอุบลราชธานี (พุทธศักราช ๒๓๓๕) น้ัน
แสดงให้เห็นว่า ท้าวฝ่ายหน้าเองมีความใกล้ชิดกับพระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้าฯ รัชกาลที่ ๑ ดังท่ีปรากฏในพงศาวดาร
เมอื งยโสธรฉบับนรี้ ะบุไว้

ด้วยเหตุน้ีจึงอาจนับวา่ เอกสารพงศาวดารเมืองยโสธรฉบบั นี้
เป็นเอกสารสาคัญท่ีแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางประวัติศาสตร์
การตั้งถิ่นฐาน การเมือง การปกครองของเมืองยโสธร
และหัวเมอื งอื่น ๆ ในภมู ภิ าคตะวันออกเฉยี งเหนอื ได้เปน็ อยา่ งดี.



พระสุนทรราชวงษา (สงิ ) เจ้าเมืองยโสธร
(พทุ ธศกั ราช ๒๓๕๕ ถึง พุทธศกั ราช ๒๓๖๖)





พงศาวดารเมอื งยโสธร

ฉบบั พระสุนทรราชเดช (แข้ ประทมุ ชาติ)

เร่ื อ ง พง ศา วด า ร แ ล ะแ ผ่นศิล า เล ข ท่ีท่า นไ ด้ จ ารึก
ไว้แต่ก่อนได้ความว่า เดิมตระกูลท่ีจะได้มาตั้งเป็นเมืองยโสธร
มีพ่อตาแม่ยายชื่อว่า พระตา พระวอ ตั้งอยู่บ้านหนองบัวลุ่มภู
แขวงเวียงจันทนบุรี มีบุตรเจ้าล้านช้าง๑คนหนึ่งออกมาแต่
เวียงจันทนบุรี มาอาศัยอยู่กับพระตา พระวอ ในขณะนั้น
ข้างเวียงจันทนบุรี หามีคนใดจะน่ังเสวยเมืองจันทนบุรีมิได้ จึงมา
เชิญเอากษัตริย์บุตรเจ้าจันทนบุรี ท่ีมาอาศัยอยู่กับพระตา พระวอ
บ้านหนองบัวลุ่มภูข้ึนไปเป็นเจ้าจันทนบุรี ในขณะนั้นเจ้าจันทนบุรี
จึงแต่งให้กรมการออกมาขอเอาบุตรหลานของพระตา พระวอ
ไปเป็นห้าม๒ ทางพระตา พระวอ ไม่ยอมให้บุตรหลาน
เป็นห้าม ข้างเจ้าเมืองเวียงจันทนบุรีจึงจัดเอากาลังออกมาจับ

๑ “อาณาจักรล้านช้าง” เป็นอาณาจักรของชนชาติลาวซึ่งตั้งอยู่ในแถบลุ่มแม่น้าโขง
มี อ า ณ า เ ข ต อ ยู่ ใ น บ ริ เ ว ณ ป ร ะ เ ท ศ ล า ว ท้ั ง ห ม ด ต ล อ ด จ น พื้ น ท่ี บ า ง ส่ ว น
ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ภายหลังเสื่อมอานาจลงแตกเป็น ๓ อาณาจักร
ประกอบด้วย อาณาจักรหลวงพระบาง เวียงจันทน์ และจาปาศักด์ิ และในปี พ.ศ. ๒๓๒๑
ท้งั ๓ อาณาจกั รก็ไดส้ ญู เสยี เอกราชแก่ราชอาณาจกั รสยามในทสี่ ดุ
๒ สันนิษฐานว่า หมายถึง หม่อม หรือ “หม่อมห้าม” เป็นสตรีผู้ที่เนื่องในพระราชวงศ์
หรอื สตรีสามัญทเี่ ปน็ ภรรยาของเจา้ นาย



ได้ตัวพระตาไปฆ่า แล้วท้าวพระวอ ท้าวฝ่ายหน้า๓ ท้าวก่า๔
ท้าวคาผง๕ และท้าวมุม จึงพาพวกพันธ์ุพี่น้องอพยพหนี
จะไปนครจาปาศกั ดิ์๖

คร้ันมาถึงดงสิงห์โคก สิงห์ท่า ทา้ วมุมบุตรหลานทา้ วพระวอ
จงึ พาครวั หนง่ึ พักอยดู่ งสิงห์โคก สงิ ห์ท่า ท้าวมุมเป็นคนครอบครอง
บ้านสิงห์โคก สิงห์ท่า ท้าวพระวอ ท้าวฝ่ายหน้า ท้าวก่า
ท้าวคาผง ท้าวทิดพรม๗ ไปต้ังอยู่บ้านดู่ บ้านแก เจ้าเมือง
เวียงจันทนบรุ ี

๓ ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เป็น “พระวิชัยราชสุริยวงษาขัตยิ ราช” หรือ “เจ้าพระ
วไิ ชยราชสรุ ยิ วงษาขัตยิ ราช” เจา้ เมืองนครจาปาศกั ดิ์ องค์ท่ี ๓ (พ.ศ.๒๓๓๔ – ๒๓๕๔)
๔ ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เป็น “อุปฮาด” เมืองอุบลราชธานีศรีวนาลัย
ประเทศราช ครั้นต่อมาได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็น “พระเทพวงษา” เจ้าเมืองเขมราษฎร์
ธานี (พ.ศ.๒๓๕๗ – ๒๓๖๙)
๕ ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เป็น “พระประทุมวรราชสุริยวงศ์” หรือ “เจ้าพระ
ประทุมวรราชสุริยวงศ์” เจ้าเมอื งอุบลราชธานีศรวี นาลยั ประเทศราช องค์ท่ี ๑ (พ.ศ.๒๓๓๕
– ๒๓๓๘)
๖ สมเด็จพระพุทธเจ้าองค์หลวงไชยกุมาร เจ้าผู้ครองนครจาปาศักด์ิ (พ.ศ. ๒๒๘๐
– ๒๓๓๔)
๗ ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ “ท้าวทิดพรม” เป็น “พระพรหมวรราชสุริยวงศ์”
หรอื “เจา้ พระพรหมวรราชสุริยวงศ์” เจ้าเมอื งอุบลราชธานีศรีวนาลัยประเทศราช องค์ที่ ๒
(พ.ศ.๒๓๓๘ – ๒๓๘๘)



จึงแต่งให้เพ้ียสุโภ๘ กับอัครฮาต (หาทอง) เอาไพร่พลลงไปขอเอา
ครัวพระตา พระวอ ท้าวคาผง บ้านดู่ บ้านแก ริมห้วยพรึง
แขวงเมืองนครจาปาศักด์ิ จึงบอกให้เพี้ยสุโภ อัครฮาต (หาทอง)
ว่า ให้ไปเกลี้ยกล่อมเล้าโลมเอาเทอญ ข้างเพี้ยสุโภ อัครฮาต
(หาทอง) วา่ ได้คาส่ังของเจ้านครจาปาศักดิ์๙ แล้วก็ทาตัวมีอานาจ
ออกมาว่าจะจับผูกมัดเอาท้าวพระวอ และท้าวฝ่ายหน้า บ้านดู่
บ้านแก ไม่ยอมกลับคืนไปเมืองเวียงจันทนบุรีนา๑๐ เพ้ียสุโภ
อัครฮาต (หาทอง) ข้างเพ้ียสุโภ และอัครฮาต (หาทอง)
ก็เลยโกรธขึ้งข้ึนว่า จะจับเอาตัวพระวอและท้าวฝ่ายหน้า ท้าวก่า
แต่พระวอ ท้าวฝ่ายหน้าและท้าวก่า ไม่ยอมให้จับก็เลยเกิด
ความวิวาทกันที่บ้านดู่ บ้านแก ข้างพระวอ ท้าวฝ่ายหน้า
และทา้ วกา่ จงึ แต่งใหท้ ้าวคาผงไปขอเอากาลังกับนครจาปาศกั ดิ์ ๆ
หาให้กาลังไม่ ท้าวคาผง จึงกลับคืนมาหาพระวอ ท้าวฝ่ายหน้า
ท้าวก่า ข้างเพี้ยสุโภ อัครฮาต (หาทอง) รู้กระแสว่า พระวอ
ท้าวฝ่ายหน้า และท้าวก่า แต่งให้ท้าวคาผง ไปขอเอากาลัง

๘ “เพี้ยสุโภ” หรือ “พระยาสุโภ” เป็นชื่อตาแหน่งข้าราชการระดับสูงของราชสานัก
เวียงจนั ทน์ อาทิ พญาชานนท์ พญาอปุ ราชา พญานานนุง เปน็ ต้น
๙ นา่ จะเป็นเจ้าเวียงจันทนบุรี
๑๐ คาวา่ “นา” หมายถงึ ดว้ ย,กบั



กับเจ้านครจาปาศักด์ิ จึงแต่งให้เพ้ียแก้วอาสา ข้ึนไปขอเอากาลัง
กับเจ้าจันทนบุรี ข้างพระวอ ท้าวฝ่ายหน้า และท้าวก่า รู้กระแส
จึงได้แต่งให้ท้าวเพ้ียแก้วโยธา เพ้ียแก้วท้ายช้าง ลงไปทูลขอเอา
กาลังกับพระเจ้าตาก๑๑ ณ กรุงเทพฯ พระเจ้าตากจึงโปรดให้
เจ้าพระยาจักรี๑๒ เจ้าพระยาสุรสีห์๑๓ คุมเอากองทัพข้ึนมา
เมืองนครจาปาศักดิ์ ก็ยังหามาถึงเมืองนครจาปาศักด์ิไม่
ฝ่ายข้างเพี้ยสุโภ อัครฮาต (หาทอง) รู้กระแสว่า กองทัพใหญ่
จะข้ึนมาแต่กรุงเทพฯ จึงพากันลอบมอง๑๔เอาพระวอไปได้แล้ว
ก็เลยเอาพระวอไปฆ่าเสียริมน้าห้วยพรึงในคืนน้ัน ยังแต่
ท้าวฝ่ายหน้า ท้าวคาผง ท้าวก่า และท้าวทิดพรม รักษาควบคุม
เอาไพร่พลไว้ที่บ้านดู่ บ้านแก คร้ันเจ้าแม่ทัพใหญ่มาถึงกลางทาง

๑๑ “สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” หรือ “สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี” (ครองราชย์ พ.ศ.
๒๓๑๐ – ๒๓๒๕)
๑๒ เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) ต่อมาปราบดาภิเษกเป็น “พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า
จุฬาโลกมหาราช” พระมหากษัตริย์รัชกาลท่ี ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (ครองราชย์ พ.ศ.
๒๓๒๕ – ๒๓๕๒)
๑๓ เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช (บุญมา) ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็น “สมเด็จพระบวร
ราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท” กรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) พระองค์แรกแห่งกรุง
รัตนโกสินทร์ โดยทรงเป็นพระอนุชาธิราชร่วมพระชนกชนนีกับพระบาทสมเด็จพระพุทธ
ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
๑๔ ลกั ลอบจบั กมุ



จึงใช้ราชทูตถือราชสาส์นขึ้นมาถึงพระวอ ท้าวฝ่ายหน้า ท้าวก่า
ท้าวคาผง และท้าวทิดพรม ฝ่ายข้างเพี้ยสุโภ อัครฮาต (หาทอง)
แจ้งกระแสข้อความว่า กองทัพใหญ่กรุงเทพฯ จะมาถึงแล้ว
เพี้ยสุโภ อัครฮาต (หาทอง) ก็เลยพากาลังหลบตัว หนีขึ้นไป
ทางเมืองเวียงจนั ทนบุรี

คร้ันเจ้าพระยาจักรี เจ้าพระยาสุรสีห์ แม่ทัพใหญ่
ขึ้นมาถึงเมืองนครจาปาศักดิ์ จึงเรียกหาตัวพระวอ ท้าวฝ่ายหน้า
ท้าวก่า ท้าวคาผง และท้าวทิดพรม เข้าไปถามดูพวกพลทหาร
เมืองเวียงจันทน์อยู่ท่ีไหน พวกท้าวฝ่ายหน้าจึงกราบเรียน
เจ้าพระยาจักรี เจ้าพระยาสุรสีห์ ว่า เมื่อข้าพเจ้ามีใบบอกลงไป
ขอกองทัพ ณ กรุงเทพฯ ในขณะนั้นเพี้ยสุโภ อัครฮาต (หาทอง)
รู้ ก็ลอบมองเข้ามาจับเอาตัวท้าวพระวอได้ตัวท้าวพระวอไปแล้ว
กเ็ ลยเอาทา้ วพระวอฆ่ารมิ หว้ ยพรึง

คร้ันเจ้าพระยาจักรี เจ้าพระยาสุรสีห์ แม่ทัพใหญ่มีราชสาส์น
ขึ้นมาถึงข้าพเจ้า ฝ่ายข้างเพี้ยสุโภ อัครฮาต (หาทอง) รู้ว่า
พณหัวเจ้าท่านจะมาถึงแล้ว เพี้ยสุโภ อัครฮาต (หาทอง)
กลัวบารมีของพณหัวเจ้าท่านก็หลบตัว พากาลังหนีข้ึนไป
เมืองเวียงจันทน์ พณหัวเจ้าท่านตรัสถามคนไหนเป็นเจ้านคร
จาปาศักดิ์ ข้าศึกเกิดมีในท้องแขวงเมืองนครจาปาศักดิ์ทาไม



จึงไม่เอากาลังมาช่วยมีใจเพิกเฉยเสีย ท้าวฝ่ายหน้า ท้าวคาผง
และท้าวทิดพรม จึงเรียนว่า เมื่อเพี้ยสุโภ อัครฮาต (หาทอง)
มาสู้รบกับพวกข้าพเจ้า พวกข้าพเจ้าก็ไสให้ท้าวคาผงไปขอกาลัง
เจ้านครจาปาศักด์ิมาช่วยแรงพวกข้าพเจ้า เจ้านครจาปาศักดิ์
ก็หาให้กาลังไม่ ฝ่ายเพี้ยสุโภ อัครฮาต (หาทอง) รู้กระแสว่า
พวกข้าพเจ้าไปขอเอากาลังกับเจ้านครจาปาศักดิ์ ก็เลยมีใบบอก
ข้ึนไปขอกาลังกับเจ้าเมืองเวียงจันทน์ พวกข้าพเจ้าก็น้อยตัว
เห็นจะค้ากาลังเมืองเวียงจันทนบุรีไม่ได้ จึงได้มีใบบอกลงไป
กราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัว ณ กรุงเทพฯ จึงโปรดให้
พณหัวเจ้าท่านขึ้นมา เจ้านครจาปาศักด์ิก็หาได้ดูแลไม่
พณหัวเจ้าท่านจึงมีบัญชาต่อท้าวฝ่ายหน้า ท้าวก่า ท้าวคาผง
ท้าวทิดพรมว่า ถ้ามีคาจริงดังน้ัน ก็พาเราไปหาเจ้านครจาปาศักด์ิ
เทอญ เราจะได้เรียกเอาตัวมาถามดู ท้าวฝ่ายหน้า ท้าวคาผง
และท้าวทิดพรม จึงพาพณหัวเจ้าท่านไปหาเจ้านครจาปาศักดิ์
พักอยทู่ ว่ี ัดศรเี กดิ

ขณะนั้นเจ้านครจาปาศักด์ิรู้ว่า พณหัวเจ้าท่านพักอยู่ท่ี
วั ด ศ รี เ กิ ด เ จ้ า น ค ร จ า ป า ศั ก ดิ์ ก็ เ ล ย ล ง เ รื อ ล่ อ ง ไ ป
พักอยู่ท่ีบ้านหัวดอนชัย พณหัวเจ้าท่านจึงใช้คนไปตามเอาตัว
เจ้านครจาปาศักด์ิ ได้ตัวเจ้านครจาปาศักดิ์มาแล้ว พณหัวเจ้าท่าน



จึงตรัสถามว่า ข้าศึกเกิดในท้องแขวงเมืองนครจาปาศักด์ิ
เจ้านครจา ปาศักดิ์ทาไม่จึงไม่ช่วย เจ้านคร จาปาศักดิ์
จึงกราบเรียนว่า เม่ือเพ้ียสุโภ อัครฮาต (หาทอง) ถือเอา
ตราเจ้ากรุงจันทนบุรีมาถึงข้าพเจ้า ขอเอาครอบครัวท้าวฝ่ายหน้า
ท้าวก่า ท้าวคาผง และท้าวทิดพรม ท่ีมาต้ังอยู่บ้านดู่ บ้านแก
ข้ึนไปจันทนบุรีตามเดิม ข้าพเจ้าก็ได้ให้เพี้ยสุโภ อัครฮาต
(หาทอง) เกล้ียกล่อมเอาตามใจไพร่สมัคร เพี้ยสุโภ อัครฮาต
(หาทอง) ไปถึงบ้านดู่ บ้านแก ก็ทาตัวมีอานาจจะผูกมัด
ข้างฝ่ายพระวอ ท้าวฝ่ายหน้า ท้าวก่า ท้าวคาผง และทา้ วทิดพรม
ไม่ยอมข้ึนไปเลยไม่ยอมใหผ้ ูกมัด กเ็ ลยเกิดความววิ าทรบกนั

ครั้นทีหลังท้าวพระวอ ท้าวก่า ท้าวฝ่ายหน้า จึงใช้ให้
ท้าวคาผง มาขอเอากาลังกับข้าพเจ้า ๆ ไม่รู้จักท่ีจะให้กาลัง
ไปเผานายบ่าวเป็นข้าศึกแก่กัน คร้ันข้าพเจ้าจะให้กาลังไป
กลัวเมืองเวียงจันทนบุรี จะว่าข้าพเจ้าเอาใจช่วยพวกท้าวพระวอ
พณหัวเจ้าท่านจึงมีบัญชาว่า เจ้าเมืองนครจาปาศักด์ิ มีความผิด
เป็นอันมาก จะคุมเอาตัวลงไปกรุงเทพฯ ขณะน้ัน พณหัวเจ้าท่าน
จึงภาคโทษเจ้านครจาปาศักด์ิไว้คร้ังหน่ึง พณหัวเจ้าท่าน
จึงมีบัญชาถามท้าวทิดพรมว่า คร้ังนี้พระเจ้าอยู่หัวโปรดให้เรา
มารบข้าศึกเมืองเวียงจันทนบุรี ที่มาต้ังแต่อยู่บ้านดู่ บ้านแก



คร้ันเราขึ้นมาถึงแล้ว หาได้รบกับข้าศึกตามที่ท่านโปรดมาไม่
ใหท้ า่ นท้งั ปวงพาเราไปดเู มืองเวยี งจันทนบรุ ีเทอญ

ขณะน้ันท้าวฝ่ายหน้า ท้าวคาผง และท้าวทิดพรม
ก็ เ ล ย พ า พ ณ หั ว เ จ้ า ท่ า น ข้ึ น ไ ป ถึ ง พั น พ ร้ า ว ๑๕ท่ี ริ ม แ ม่ น้ า โ ข ง
ใกล้เคียงกับเมืองเวียงจันทนบุรี ขณะนั้นเจ้าอันผู้เป็นเจ้าเมือง
เวียงจนั ทนบรุ ี๑๖หลบตวั หนขี ึ้นไปพึง่ เจ้านครหลวงพระบาง๑๗

ครั้นพณหัวเจ้าท่านมีราชสาส์นไปถึงเจ้าเมืองเวียงจันทนบุรี
ยังแต่เจ้าอุปราช ดวงหน้า ดวงหลัง นาเอาราชสาส์นออกมาหา
พณหัวเจ้าท่านอยู่ที่พันพร้าว พณหัวเจ้าท่านจึงถามเจ้าอุปราช
ดวงหน้า ดวงหลังว่า เจ้าเมืองเวียงจันทนบุรีหนีไปแห่งใด
เจ้าอุปราชบอกว่า เจ้าเมืองเวียงจันทนบุรีหนีตัวข้ึนไป
เมืองนครหลวงพระบาง

ข ณ ะ น้ั น พ ณ หั ว เ จ้ า ท่ า น ใ ห้ เ จ้ า อุ ป ร า ช พ า ข้ึ น ไ ป ต า ม ตั ว
เจ้าเมืองเวียงจันทนบุรีที่เมืองนครหลวงพระบาง พณหัวเจ้าท่าน

๑๕ เมืองพานพร้าว เป็นตาบลที่ต้ังอาเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคายปัจจุบัน ซึ่งตั้งแต่
เดมิ เปน็ สว่ นหน่งึ ของเมืองเวยี งจนั ทน์
๑๖ พระเจ้าไชยเชษฐาธริ าชท่ี ๓ หรือ พระเจ้าศิริบญุ สาร เป็นเจ้าผู้ครองอาณาจักรลา้ นช้าง
เวยี งจนั ทน์ ลาดบั ที่ ๔ (พ.ศ.๒๒๙๔ - พ.ศ.๒๓๒๒)
๑๗ เจ้าสุริยวงศ์ เป็นเจ้าผู้ครองอาณาจักรหลวงพระบาง ลาดับที่ ๖ (พ.ศ.๒๓๑๔ - พ.ศ.
๒๓๓๔)



จึงให้เจ้าอุปราชไปเชิญเอาเจ้านครหลวงพระบางออกมาหา
พณหัวเจ้าทา่ น แล้วพณหัวเจ้าท่านจึงถามเจ้านครหลวงพระบางว่า
เจ้าเมืองเวียงจันทนบุรี หนีตัวข้ึนมาอยู่กับเมืองของท่านที่น้ีแล้ว
หนีไปแห่งใด เจ้านครหลวงพระบางกราบเรียนว่า เจ้าเมือง
เวียงจันทนบุรียังอยู่ที่นี้ ขณะน้ัน พณหัวเจ้าท่านจึงให้เจ้านคร
หลวงพระบางส่งตัวเจ้าเมืองเวียงจันทนบุรีออกมาหา พณหัวเจ้า
ทา่ น จึงถามเจ้าเมืองเวยี งจันทนบุรีว่า เหตุใดทา่ นจึงแต่งเพี้ยสุโภ
อัครฮาต (หาทอง) ไปก่อการกองทัพท่ีแขวงเมืองจาปาศักด์ิ
เจ้าเมืองเวียงจนั ทนบุรีจงึ ว่า ไดแ้ ต่งให้เพ้ยี สโุ ภ อัครฮาต (หาทอง)
ไปเกลี้ยกล่อมซอมซุบเอาท้าวพระวอ ท้าวฝ่ายหน้า ท้าวคาผง
คืนมาบ้านเมอื งตามเดิม หาได้ให้คดิ ก่อการกองทัพไม่

พณหัวเจ้าท่านจึงมีบัญชาว่า ท้าวพระวอ ท้าวฝ่ายหน้า
ท้าวคาผง อยู่บ้านดู่ บ้านแก แขวงเมืองนครจาปาศักด์ิ
เหตุใด จึงได้ให้เพ้ียสุโภ อัครฮาต (หาทอง) ไปเกลี้ยกล่อม
เอาขึ้นมาเมืองเวียงจันทนบุรี แล้วเจ้าเมืองเวียงจันทนบุรีจึงว่า
แต่ก่อนท้าวพระวอ ท้าวคาผง ท้าวฝ่ายหน้า พาครอบครัว
ต้ัง บ้า น เรื อ นอ ยู่ บ้า น หน อ งบั ว ลุ่ ม ภู ข้ึ น กั บเ มื อ ง เ วีย ง จั น ทนบุรี
แล้วพากันหลบตัวหนีไปต้ังบ้านเรือนอยู่ บ้านดู่ บ้านแก

๑๐

แขวงเมืองนครจาปาศักดิ์ แต่ปีมะโรง ตรีนิศก ศักราช ๑๑๓๓๑๘
หาได้บอกกบั ขา้ พเจา้ ไม่

พณหัวเจ้าท่านจึงว่า เจ้าเมืองเวียงจันทนบุรีหามีเหตุ
จับเอาตัวท้าวพระตาผไู้ ม่มีผิดมาผลาญชีวิต ท้าวพระวอ ท้าวคาผง
ท้าวฝ่ายหน้า และท้าวก่า กลัวอานาจเจ้าจันทนบุรี จึงได้พากัน
อพยพไปพึ่งเจ้านครจาปาศักด์ิ แล้วเจ้าเมืองเวียงจันทนบุรีก็รับว่า
ได้ฆ่าท้าวพระตาจริง ด้วยท้าวพระตาขัดไม่ให้บุตรีแก่ข้าพเจ้า
ไปเป็นภรรยา แล้วพณหัวเจ้าท่านจึงว่า เจ้าเมืองเวียงจันทนบุรี
เ ป็ น ก ษั ต ริ ย์ ค ร อ บ ง า ป ก ค ร อ ง บ้ า น เ มื อ ง ไ ม่ อ ยู่ ใ น ยุ ติ ธ ร ร ม
กดข่ีข่มเหงแม่ป้า น้าสาว เอาท้าวพระตาไปฆ่า เจ้าเมือง
เวียงจันทนบุรีต้องตกไปตามกัน พณหัวเจ้าท่านเลยฆ่า
เจ้าเมืองเวียงจันทนบุรี ตกไปตามกันอยู่เมืองนครหลวงพระบาง
แล้วพณหัวเจ้าท่านจึงให้เจ้าอุปราช๑๙เป็นเจ้าเมืองเวียงจันทนบุรี
แล้วเจ้าเมืองเวียงจันทนบุรีคนใหม่กับเจ้านครหลวงพระบางเห็นว่า
พณหัวเจ้าท่านมีอานาจฆ่าเจ้าเมืองจันทนบุรีได้ เจ้าเมือง
เวียงจันทนบุรี เจ้านครหลวงพระบางจึงยอมถวายดอกไม้เงินทอง

๑๘ จ.ศ.๑๑๓๓ ตรงกบั พ.ศ.๒๓๑๔
๑๙ พระเจา้ นันทเสน เป็นเจา้ ผคู้ รองอาณาจกั รลา้ นชา้ งเวียงจนั ทน์ ลาดับท่ี ๕ (พ.ศ.๒๓๒๕
- พ.ศ.๒๓๓๗) เปน็ พระราชโอรส ในพระเจา้ ศริ บิ ญุ สาร

๑๑

ข้ึนกับกรุงเทพฯ แล้วเจ้าเวียงจันทนบุรี จึงจัดเอานางเขียวค่อม
บุตรีเจ้าเมืองเวียงจันทนบุรีคนเก่า ออกมาถวาย พณหัวเจ้าท่าน
จึ ง แ ต่ ง ใ ห้ พ ร ะ ห ล ว ง ขุ น ห ม่ื น พ า เ อ า น า ง เ ขี ย ว ค่ อ ม ล ง ไ ป ถ ว า ย
พระเจ้าตาก ณ กรุงเทพฯ แล้วพณหัวเจ้าท่านเลยกลับลงไป
เ มื อ ง น ค ร จ า ป า ศั ก ดิ์ แ ล้ ว บ อ ก เ จ้ า น ค ร จ า ป า ศั ก ด์ิ ว่ า
แต่ครัวท้าวคาผง ท้าวทิดพรม ท้าวฝ่ายหน้า ท้าวก่า ท้าวสิง๒๐
และท้าวกุลบุตร จะได้ให้ยกขึ้นไปต้ังอยู่ตามลาน้าพระมูล
ลาน้าพระชี เจ้านครจาปาศักด์ิ ก็ยอมให้ท้าวฝ่ายหน้าข้ึนมา
ต า ม ค า ส่ั ง พ ณ หั ว เ จ้ า ท่ า น ท้ า ว ค า ผ ง ท้ า ว ทิ ด พ ร ม
ท้าวกุลบุตร และท้าวก่า ข้ึนมาตั้งอยู่บ้านแจะละแม ริมลาน้า
พระมูล ท้าวฝ่ายหน้า ท้าวสิง ต้ังอยู่บ้านสิงห์ท่า ริมลาน้าพระชี
พากนั เปน็ หมวดเปน็ กองอยไู่ ดป้ ระมาณ ๒๐ ปี

คร้ันปีขาล๒๑ ตรีนิศก ศักราช ๑๑๔๓๒๒ เกิดทัพเมืองปะทาย
เพ็ชร์๒๓ พระเจ้าอยู่หัวโปรดให้เจ้าพระยาจักรี เจ้าพระยาสุรสีห์
เป็นแม่ทัพขึ้นมาปราบปรามกองทัพเมืองปะทายเพ็ชร์ เจ้าพระยา

๒๐ “ท้าวสิง” เป็นบุตรของ “ท้าวหน้า” ต่อมาท้าวสิง ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เป็น
“พระสนุ ทรราชวงษา” เจ้าเมอื งยโสธรคนแรก (พ.ศ.๒๓๕๕ – ๒๓๖๖)
๒๑ ตามหลักตอ้ งเปน็ “ปีฉลู”
๒๒ จ.ศ.๑๑๔๓ ตรงกบั พ.ศ.๑๓๒๔
๒๓ เมอื งบนั ทายมาศ อาเภอบันทายมาศ จังหวัดกาปอต ประเทศกัมพชู า

๑๒

จักรี เจ้าพระยาสุรสีห์ จึงมีตราข้ึนมาถึงท้าวฝ่ายหน้า ท้าวคาผง
ท้าวทิดพรม และท้าวก่า ท่ียกมาจากบ้านดู่ บ้านแก ข้ึนมาต้ังอยู่
บ้านสิงห์ท่า บ้านแจะละแมน้ัน ให้คุมกาลังลงไปรบกองทัพ
บรรจบกับเจ้าพระยาจักรี เจ้าพระยาสุรสีห์ ที่พระตะบอง๒๔ แล้ว
เจ้าพระยาจักรี เจ้าพระยาสุรสีห์ แม่ทัพใหญ่ พร้อมด้วย
พระยาคฑาธร เจ้าเมืองพระตะบอง ท้าวฝ่ายหน้า ท้าวคาผง
ท้าวทิดพรม ท้าวก่า และท้าวสิง บ้านสิงห์ท่า บ้านแจะละแม
คุมกาลังไปรบเมืองปะทายเพ็ชร์มีชัยชนะแล้ว เจ้าพระยาจักรี
เจ้าพระยาสุรสีห์ เลยกลับเข้าไปกรุงเทพฯ พวกท้าวฝ่ายหน้า
ก็พากันกลบั มาบ้านสงิ ห์ท่า บ้านแจะละแม

คร้ันอยู่มากองทัพจามสมมุติเชียงแก้วเขาโอง๒๕ยกมารบ
เมืองนครจาปาศักด์ิ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรุงเทพฯ โปรดเกล้าฯ
ให้ท้าวฝ่ายหน้า ท้าวคาผง ท้าวสิง เป็นแม่ทัพใหญ่คุมกาลัง
หัวเมืองฝ่ายตะวันออกไปรบจามสมมุติเชียงแก้วเขาโองมีชัยชนะ
แล้ว ท้าวฝ่ายหน้า จึงตามมาจับได้ตัวเจ้านครจาปาศักด์ิ
ทห่ี นีกองทพั จามสมมุติเชียงแก้วเขาโอง คมุ ลงไปส่ง ณ กรุงเทพฯ

๒๔ เมอื งพระตะบอง จังหวัดพระตะบอง ประเทศกมั พชู า
๒๕ กล่าวกันว่า “เชียงแก้ว” เป็นคนบ้านเขาโอง แขวงเมืองสีทันดร ฝั่งโขงตะวันออก
แสดงตนเป็นผวู้ ิเศษมคี นนับถอื มาก

๑๓

โปรดเกล้าฯ ให้ท้าวฝ่ายหน้า เป็นเจ้านครจาปาศักด์ิ ให้ท้าวสิง
เป็นที่เจ้าราชวงศ์ ขึ้นมาครอบครองอยู่เมืองนครจาปาศักด์ิ
แลว้ เจา้ นครจาปาศกั ดใ์ิ ห้เจ้าราชวงศไ์ ปอย่เู มอื งเชยี งของ

ครั้นถึงปีขาล๒๖ ศักราช ๑๑๔๗๒๗ เจ้านครจาปาศักดิ์
จึงมีใบบอกรับพระราชทานท้าวทิดพรม เป็นเจ้าเมือง ท้าวก่า
เ ป็ น อุ ป ฮ า ด โ ป ร ด เ ก ล้ า ฯ พ ร ะ ร า ช ท า น สั ญ ญ า บั ต ร
ต้ังท้าวทิดพรมเป็นที่พระพรหมวงษ าเจ้าเมือง ท้าวก่า
เป็นอุปฮาด ยกบ้านแจะละแมข้ึนเป็นเมืองอุบลฯ๒๘ เป็นข้าหลวงเดิม
ผูกสว่ ยนา้ รัก ๒ เลขต่อเบีย้ ปา่ น ๒ เลขต่อขอด

ครั้นถึงปีมะโรง๒๙ นพศก ศักราช ๑๑๖๙๓๐ อุปฮาด (ก่า)
ออกจากเมืองอุบลฯ ไปตั้งอยู่บ้านโคกกงดงพะเนียง ริมแม่น้าโขง
แล้วพระพรหมวงษา เจ้าเมืองอุบลฯ พระสุนทรราชวงษา
เมืองยโสธร บอกขอรับพระราชทานให้อุปฮาด (ก่า) เป็นเจ้าเมือง
โปรดเกล้าฯ พระราชทานสญั ญาบัตร ตง้ั อุปฮาด (กา่ ) เมอื งอบุ ลฯ
เป็นที่พระเทพวงษา เจ้าเมือง ยกบ้านโคกกงดงพะเนียง

๒๖ ตามหลักตอ้ งเปน็ “ปีมะเสง็ ”
๒๗ จ.ศ.๑๑๔๗ ตรงกบั พ.ศ.๒๓๒๘
๒๘ พบว่า โปรดเกลา้ ฯ พระราชทานยกเป็นเมือง เมื่อ พ.ศ.๒๓๓๕
๒๙ ตามหลักตอ้ งเป็น “ปีเถาะ”
๓๐ จ.ศ.๑๑๖๙ ตรงกบั พ.ศ.๒๓๕๐

๑๔

ข้ึนเป็นเมืองเขมราฐ ผูกส่วยน้ารัก ๒ เลขต่อเบี้ย ป่าน ๒ เลข
ต่อขอด ด้วยความชอบรบข้าศึกศัตรูได้ชัยชนะ จึงได้เป็นเมือง
ข้าหลวงเดิม

ครั้นถึงปีวอก จัตวาศก ศักราช ๑๑๗๔๓๑ เจ้านคร
จาปาศักด์ิ บอกขอรับพระราชทานให้ท้าวสิง ผู้เป็นท่ีราชวงศ์
เมืองเชียงโขง เป็นเจ้าเมือง ขอท้าวสีชาบุตรเจ้านครจาปาศักด์ิ
เป็นที่อุปฮาด ยกบ้านสิงห์ท่าเป็นเมืองยโสธร แล้วทรงพระมหา
กรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตรต้ังราชวงศ์ (สิง) เป็น
ที่พระสุนทรราชวงษา เจ้าเมือง ตั้งท้าวสีชาเป็นอุปฮาด
ตั้งท้าวบุตร บุตรพระสุนทรฯ เป็นราชวงศ์ ต้ังท้าวเสน
บุตรท้าวพระวอ เป็นราชบุตร ยกบ้านสิงห์ทา่ ข้ึนเป็นเมืองยโสธร๓๒
ผูกสว่ ยนา้ รัก ๒ เลขต่อเบยี้ ปา่ น ๒ เลขต่อขอด

ครั้นอยู่มาได้ประมาณ ๘ – ๙ ปี พระสุนทรราชวงษา (สิง)
เลยถึงแก่กรรม แล้วโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตร
ต้ังอุปฮาด (สีชา) เป็นที่พระสุนทรราชวงษ า เจ้าเมือง
ราชวงศ์ (บุตร) เป็นที่อุปฮาด ราชบุตรเป็นที่ราชวงศ์ ท้าวสุตตา

๓๑ จ.ศ.๑๑๗๔ ตรงกบั พ.ศ.๒๓๕๕
๓๒ พบวา่ โปรดเกลา้ ฯ พระราชทานยกเป็นเมือง เมือ่ พ.ศ.๒๓๕๗ ตรงกับสมัยรชั กาลที่ ๒

๑๕

บุตรเจ้านครจาปาศักด์ิ ท้าวหน้า เป็นราชบุตร อยู่ได้ประมาณ
๓ เดอื น พระสนุ ทรราชวงษา เลยถึงแก่กรรมบ้านเมอื งกย็ ังว่างอยู่

ครั้นปีจอ๓๓ สัปตศก ศักราช ๑๑๘๗๓๔ เจ้าอนุฯ๓๕ ผู้เป็นท่ี
เจ้าเวียงจันทน์ ครอบงาเมืองเวียงจันทนบุรี คิดก่อการกองทัพ
รบกับกรุงเทพฯ๓๖ แล้วเจ้าอนุฯ แต่งให้เจ้าราชวงศ์ เจ้าราชบุตร

๓๓ ตามหลักตอ้ งเป็น “ปรี ะกา”
๓๔ จ.ศ.๑๑๘๗ ตรงกบั พ.ศ.๒๓๖๘
๓๕ “เจ้าอนุ” หรือ “พระเจ้าอนุวงศ์” ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสิรบิ ุญสาร ผู้ครอง
นครเวียงจันทน์ เคยประทับอยู่ ณ วังบางยี่ขัน ในฐานะองค์ประกันได้รับการเลยี้ งดูอย่าง
เจ้านายในราชสานักสยาม ในปี พ.ศ. ๒๓๒๒ เมื่ออายุได้ ๑๒ ชันษา ได้รับการโปรด
เกล้าฯ เป็นเจ้าผ้คู รองนครเวียงจันทน์ ในปี พ.ศ.๒๓๔๗ เฉลิมพระนามตามประวัติศาสตร์
ว่า “พระเจ้าอนุรุธราช” หรือ “พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ ๕” (ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.
๒๓๔๗ – ๒๓๗๐)
๓๖ เจ้าอนุวงศ์ก่อการกบฏต่อราชสานักสยามโดยรวบรวมกาลังจากเมืองต่าง ๆ
ใช้ ๒ เส้นทางหลัก ประกอบด้วย เส้นทางแรก แยกเป็น ๒ ทัพ คือ ทัพแรกเคล่ือนจาก
เวียงจันทน์ หนองบัวลาภู ไปโคราช ทัพที่สองเคล่ือนจากเวียงจันทน์ มาสกลนคร
กาฬสินธ์ุ ร้อยเอ็ด ไปบรรจบกับทัพแรก ณ เมืองนครราชสีมา เส้นทางที่สอง เคล่ือนจาก
จาปาศกั ด์ิ แยกเป็น ๒ ทพั ทัพแรกไปทางเมอื งสุวรรณภูมิ ทัพทสี่ องไปทางเมอื งศรีสะเกษ
ขุขันธ์ สังขะ สุรินทร์ บุรีรัมย์ นางรอง เข้ายึดเมืองตา่ ง ๆ ในภาคอีสาน มีการส่งทพั หน้า
มากวาดต้อนผู้คนถึงเมืองสระบุรีกลับไปยังนครเวียงจันทน์ ท้ังนี้ สยามส่งทัพหลวง
ยกข้ึนมาปราบโดยโปรดเกล้าฯ ให้กรมพระราชวังบวรมหาศักดิ์พลเสพ (วังหน้า)
เป็นจอมทัพ ส่งผลให้นครเวียงจันทน์ถูกทาลายอย่างย่อยยับไม่สามารถต้ังเป็นเมืองไดอ้ กี
สว่ นเจา้ อนุวงศถ์ กู ส่งมายังกรุงเทพฯ และสิ้นพระชนมใ์ นปพี ทุ ธศกั ราช ๒๓๗๒

๑๖

และเจ้าสุทธิสารเป็นแม่ทัพ คุมกาลังออกจากเวียงจันทนบุรี
เจ้าราชวงศ์คุมกาลังมารบเมืองรอ้ ยเอ็ด เมืองกาฬสินธ์ุ เมืองยโสธร
และหัวเมืองต่าง ๆ ลงไปจนถึงเมืองนครราชสีมา เจ้าราชบุตร
คุมกาลังลงมารบเมืองเขมราฐ เมืองนครจาปาศักด์ิ และหัวเมือง
ต่าง ๆ ไปจนถึงเมืองพระตะบอง เมืองนครเสียมราฐ เจ้าสุทธิสาร
คุมกาลังไปรบเมืองหล่มศกั ดิ์ และหัวเมืองต่าง ๆ ไปจนถึงเมืองเลย
ขณะน้ันข้อความ ความล ายกองทัพ ๓๗ขุ่นเคืองไปจ นถึง
ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ณ กรุงเทพฯ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว๓๘
มิได้ไว้พระทัยแก่ข้าศึกศตั รู จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
ให้เจ้าพระยาราชสุภาวดี๓๙ เป็นแม่ทัพ คุมทหาร ณ กรุงเทพฯ
และไพร่หัวเมืองยกออกจากกรุงเทพฯ มาปราบปรามกองทัพ
ราชวงศใ์ นปีนั้น

ครนั้ เจ้าพระยาราชสุภาวดีคุมกาลังขึ้นมาแก่งคอย พบราชวงศ์
กับพวกกาลังอยู่ที่นั้น เจ้าพระยาบดินทร์เดชาแต่ยังเป็น
เจ้าพระยาราชสุภาวดีพากาลังและนายทัพ นายกองเข้าสู้รบ

๓๗ เสน้ ทางการเดินทัพ
๓๘ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ.๒๓๖๗
– ๒๓๙๔)
๓๙ เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) อัครมหาเสนาบดีสมุหนายกและแม่ทัพใหญ่
(พ.ศ.๒๓๗๐ – ๒๓๙๒)

๑๗

กับกองทัพราชวงศ์ ๆ กับนายทัพ นายกองและไพร่ กาลังสู้ทน
เจ้าพระยาราชสุภาวดีไม่ได้ เลยพากาลังหักทัพหลบตัวขึ้นมาถึง
มูลเค็ง แขวงเมืองนครราชสีมา เจ้าพระยาราชสุภาวดีคุมกาลัง
ตามกองทัพราชวงศ์ข้ึนมาถึงมูลเค็ง พบราชวงศ์กาลังอยู่ที่นั้น
เ จ้ า พ ร ะ ย า ร า ช สุ ภ า ว ดี คุ ม ก า ลั ง เ ข้ า สู้ ร บ กั บ ก อ ง ทั พ ร า ช ว ง ศ์
อยู่ที่มูลเค็ง แล้วพวกครอบครัวเมืองนครราชสีมาที่ราชวงศ์สู้รบได้
ว่าจะคุมข้ึนไปเมืองเวียงจันทนบุรีนั้น ก็กลับสวามิภักดิ์
กับเจ้าพระยาราชสุภาวดีเข้าสู้รบกับกองทัพราชวงศ์ ๆ ทนไม่ได้
ก็เลยพากาลังหักจากกองทัพเจ้าพระยาราชสุภาวดี ขึ้นมาถึง
ค่ายส้มป่อย๔๐ แขวงเมืองศีร์ษะเกตุ แล้วเจ้าพระยาราชสุภาวดี
พากาลังเข้าสู้รบกองทัพราชวงศ์ด้วยอาวุธส้ันยาว ราชวงศ์
และหมวดนายกองสู้รบทนกองทัพเจ้าพระยาราชสุภาวดีไม่ได้
เลยพากาลังหักจากกองทัพเจ้าพระยาราชสุภาวดี กลับคืนไป
เมืองเวียงจันทนบุรี แล้วเจ้าพระยาราชสุภาวดี จึงขึ้นมาต้ังอยู่
เมืองยโสธร จัดเอานายหมวด นายกอง และไพร่กาลังเมืองอุบลฯ
ได้อุปฮาดเมืองเขมราฐ คุมกาลังเมืองยโสธร ได้อุปฮาด ราชบุตร
ทา้ วฝา่ ย ทา้ วคา ทา้ วสวุ อ และทา้ วจนั สสี รุ าช เปน็ แมท่ พั คมุ กาลัง

๔๐ ต้ังอยู่ในบริเวณท้องที่บ้านส้มป่อย ตา บลนาด่าน อาเภอสุวรรณคูหา
จังหวดั หนองบัวลาภู

๑๘

ค ร้ั น เ จ้ า พ ร ะ ย า ร า ช สุ ภ า ว ดี จั ด ไ ด้ น า ย ห ม ว ด น า ย ก อ ง
และไพร่กาลังสิ้นเชิงแล้ว ถึงฤกษ์ยามก็เลยพานายหมวด นายกอง
แ ล ะ ไ พ ร่ ย ก จ า ก เ มื อ ง ย โ ส ธ ร ต า ม ก อ ง ทั พ ร า ช ว ง ศ์
ขึ้ น ไ ป เ มื อ ง เ วี ย ง จัน ท น บุ รี ค รั้ น ไ ป ถึ ง บ้ า น ผั กหวาน ๔๑
แขวงเมืองหนองคาย ราชวงศ์ต้ังคา่ ยอยู่ทน่ี ้ัน เจา้ พระยาราชสุภาวดี
ราชวงศ์ ข่ีม้าเข้าสู้รบ อุปฮาด (บุตร) ท้าวฝ่าย ท้าวคา ท้าวสุวอ
ต า ม ห ลั ง ม้ า เ จ้ า พ ร ะ ย า ร า ช สุ ภ า ว ดี ก า ลั ง เ ข้ า สู้ ร บ
กั บ ก อ ง ทั พ ร า ช ว ง ศ์ ๆ ท น ก า ลั ง ก อ ง ทั พ เ จ้ า พ ร ะ ย า
ราชสุภาวดีมิได้ ก็เลยพากาลังข้ามโขงไปพึ่งอยู่เมืองญวน
ขณะน้ันเจ้าอนุผู้เป็นเจ้าเมืองเวียงจันทน์หนีไปพึ่งอยู่เมือง ญ วน
เจ้าพระยาราชสุภาวดี พานายทัพ นายกอง ตามเจ้าอนุ
และราชวงศ์ไปเมืองเวียงจันทน์ อีก หาเห็นราชวงศ์ไม่
เมืองเวยี งจันทนบุรีกเ็ งยี บงอมอยู่

ข ณ ะ น้ั น เ จ้ า น้ อ ย บุ ต ร เ ข ย เ จ้ า อ นุ ผู้ เ ป็ น เ จ้ า เ มื อ ง
เชียงขวาง จงึ สวามภิ ักด์ิตอ่ เจ้าพระยาราชสุภาวดี ยอมถวายดอกไม้
ท อ ง เ งิ น เ ป็ น ท า ง พ ร ะ ร า ช ไ ม ต รี ข้ึ น กั บ ก รุ ง เ ท พ ฯ
แล้วเจ้าพระยาราชสุภาวดี จึงบังคับให้เจ้าน้อยเมืองเชียงขวาง

๔๑ ต้ังอยู่ในบริเวณท้องท่ีบ้านบกหวาน ตาบลค่ายบกหวาน อาเภอเมืองหนองคาย
จังหวัดหนองคาย

๑๙

ส่งตัวเจ้าอนุ กับราชวงศ์ที่หนีตัวไปอยู่เมืองญวน คร้ันเจ้าน้อย
เมืองเชียงขวางตามไปได้เจ้าอนุมาส่งให้เจ้าพระยาราชสุภาวดีแล้ว
เจ้าพระยาราชสุภาวดเี ลยคมุ เอาตัวเจา้ อนเุ ขา้ ไปกรุงเทพฯ

ข ณ ะ น้ั น เ จ้ า พ ร ะ ย า ร า ช สุ ภ า ว ดี จึ ง ต ร ว จ ดู ค ร อ บ ค รั ว
เมืองเวียงจันทนบุรี จะคุมลงไปกรุงเทพฯ แล้วท้าวบุตร
จึงกราบเรียนเจ้าพระยาราชสุภาวดีว่า ท้าวคา น้องชายอุปฮาด
(บุตร) ปิดบังครอบครัวไว้ ครั้นเจ้าพระยาราชสุภาวดีไต่สวน
ก็ได้ความจริงว่า ท้าวคา ปิดบังครอบครัวเมืองเวียงจันทนบุรี
ไว้จริง เจ้าพระยาราชสุภาวดีจะเอาท้าวคามอดชีวิต แล้วอุปฮาด
(บุตร) จึงกราบเรยี นเจ้าพระยาราชสภุ าวดีว่า ท้าวคา เปน็ นอ้ งชาย
ข้าพเจ้า ไปรบข้าศึกศัตรูมาด้วย ก็มีชัยชนะแก่ข้าศึกศัตรูมาแล้ว
ถ้าจะเอาตัวท้าวคาไปผลาญชีวิต ก็ขอให้เอาตัวข้าพเจ้า
มาผลาญเสียด้วยกัน ว่าดังนั้นแล้ว เจ้าพระยาราชสุภาวดี
เลยสั่งให้พลทหาร ทาคอกริมน้าพระชีหัวนอน๔๒เมืองยโสธร
เสร็จแล้วเอาดินปืนเข้าใส่ไว้ในคอก ครั้นถึงกาหนดแล้ว เจ้าพระยา
ราชสุภาวดี ให้เพ็ชฌฆาตเอาอุปฮาดผู้พ่ี ท้าวคาผู้น้อง และบุตร
ภรรยา ญาติพ่ีน้อง ของอุปฮาด (บุตร) ท้าวคาเข้าใส่ในคอก

๔๒ หมายถงึ “ทิศหัวนอน” คือ “ทศิ ใต้”

๒๐

ถึงกาหนดแล้วเอาเพลิงจุด อุปฮาด (บุตร) ท้าวคา ภรรยา
ญาติพน่ี อ้ งเลยพร้อมกันสน้ิ ชวี ิตไป

คร้ัน ณ ปีเถาะ๔๓ โทศก ศักราช ๑๑๙๒๔๔ เจ้าพระยา
ราชสุภาวดี จึงโปรดให้ท้าวฝ่าย บุตรเจ้านครจาปาศักดิ์
เป็นท่ีพระสุนทรราชวงษา เจ้าเมือง ให้ท้าวแพง บุตรพระปทุมฯ
เป็นที่อุปฮาด ท้าวสุตตา เป็นราชวงศ์ ท้าวอิน เป็นราชบุตร
คุ้มครองเมืองยโสธร แล้วเห็นว่า พระสุนทรราชวงษา
มีความชอบมาก โปรดประทานครัวที่รบมาได้ให้พระสุนทรฯ
๕๐๐ ครัว และให้เป็นเจ้าเมืองทั้งสอง คือ เมืองยโสธร
และเมืองนครพนม คร้ันเจ้าพระยาราชสุภาวดีกลับเข้าไปกรุงเทพฯ
พระสุนทรฯ จึงให้อุปฮาด (แพง) เป็นผู้ว่าราชการแทน
อยู่ ณ เมืองยโสธร พระสุนทรราชวงษาเลยขึ้นไปจัดราชการ
อยู่ ณ เมืองนครพนม ประมาณ ๖ – ๗ ปี พระสุนทรราชวงษา
จึงบอกขอรับพระราชทานที่ดินที่ควรในเมืองนครพนม สร้างวัด
และพระอาราม พระเจดีย์หนึ่งหลังไว้กับเมืองนครพนม
ก็เป็นทีส่ ะอาดภาคภูมิแกบา้ นเมอื งมาเท่าทุกวันนี้ แต่อปุ ฮาด (แพง)
ผู้ว่าราชการแทนพระสุนทรราชวงษาอยู่ ณ เมืองยโสธร

๔๓ ตามหลักตอ้ งเปน็ “ปขี าล”
๔๔ จ.ศ.๑๑๙๒ ตรงกบั พ.ศ.๒๓๗๓

๒๑

ก็พร้อมด้วยท้าวเพ้ียกรมการ ขอรับพระราชทานที่ดิน ที่ควร
ในเมืองยโสธร ๒ แห่ง ท่ีบ้านขัว แขวงเมืองยโสธรแห่ง ๑
สร้างวัดและสร้างพระอาราม พระเจดีย์ ท่ีเมืองยโสธร ๒ วัด ๆ
หนึ่งช่ือวา่ วัดศรีเมืองคุณ วัดหนึ่งชื่อวา่ วัดบัวระพานุทิศ และสร้าง
อุปมุงใส่พระพุทธรูปมหากระจายหลัง ๑ และสร้างพระพุทธรูป
ใหญ่ปิดทองก็หลายองค์ เป็นที่สะอาดแก่บ้านเมืองเท่าทุกวันนี้
และอุปฮาด (แพง) ได้ไปตีทพั เมืองพระตะบอง ขณะเม่ือพระสุนทร
ราชวงษา ข้ึนไปเป็นเจ้าเมืองนครพนมน้ัน ก็ได้รับราชการฉลอง
พระเดชพระคุณต่อใต้ ฝ่าละอองธุลีพระบาทมาช้านาน
ก็หามีความผิดไม่ แล้วพระสุนทรราชวงษา จึงไปเกลี้ยกล่อม
ซ่องสุมเอาครอบครัวเมืองตะโปน เมืองวัง เมืองมหาชัย
กองแก้ว ได้ครอบครัวนอกพระราชอาณาเขตต์ มาข้ึนกับกรงุ เทพฯ
เป็นครอบครัวหลายร้อยพัน แต่ครัวเมืองพิน เมืองตะโปน
ย ก ม า ต้ั ง ห้ ว ย แ ซ ง ขึ้ น เ ป็ น บ้ า น ฮ อ ง แ ซ ง ๔๕ค รั ว เ มื อ ง ม ห า ชั ย
กองแก้ว พระสุนทรฯ มีใบบอกขอรับพระราชทานให้เป็นเมือง
สกลนคร ครัวเมืองวัง พระสุนทรฯ บอกขอรับพระราชทาน

๔๕ ภายหลงั ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ยกขน้ึ เป็นเมืองแซงบาดาล เมื่อพุทธศักราช ๒๓๘๘
ยุบลงเปน็ ตาบลแซงบาดาล อาเภอสมเดจ็ จงั หวดั กาฬสินธ์ุ

๒๒

ข้ึนเป็นเมืองเว๔๖ ครัวเมืองนอง พระสุนทรฯ บอกขอรับ
พระราชทานขึ้นเป็นเมืองท่าอุเทน ขึ้นแก่เมืองนครพนม
แ ต่ เ มื อ ง ว า น ร นิ ว า ศ พ ร ะ สุ น ท ร ฯ บ อ ก ใ ห้ เ ป็ น เ มื อ ง
ข้ึนกับเมอื งสกลนคร

คร้ันต่อมาได้ ๕ – ๖ ปี พระสุนทรราชวงษา แต่งให้ช้างต่อ
หมอควาญ คุมเอาชา้ งพงั พลาย เขา้ ไปโพนแซกคล้องตามเถอ่ื นป่า
หมอควาญไพร่เมืองยโสธรได้ช้างสีประหลาดมาให้พระสุนทรฯ
พระสุนทรฯ จึงมีใบบอกถวายช้างสีประหลาดลงไปกรุงเทพฯ
สมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัว เสด็จออกพระราชดาเนิรออกมาทอดพระเนตร
รับช้างสีประหลาดแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน
นามสัญญาบัตรเล่ือนยศช้างสีประหลาดเป็นพระพิมลฯ ช้าง ๑
เป็นพระวิสุทธฯ ช้าง ๑ แล้วโปรดพระราชทานตราความชอบ
ให้แก่พระสุนทรฯ และโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตร
ตง้ั หมอควาญ

๔๖ ภายหลังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกขึ้นเป็นเมืองเรณูนคร เมื่อพุทธศักราช ๒๓๘๗
ตาบลเรณูนคร อาเภอเรณนู คร จังหวดั นครพนม

๒๓

ต่อมาจนปีชวด จัตวาศก ศักราช ๑๒๑๔๔๗ พระสุนทรฯ
จึงมอบเมืองนครพนมคืนให้แก่อุปฮาด๔๘ และกรมการเมือง
น ค ร พ น ม แ ล้ ว พ ร ะ สุ น ท ร ฯ จึ ง ก ร า บ ถ ว า ย บั ง ค ม ล า
มาอยู่เมืองยโสธรตามเดิม แล้วก็สร้างวัดข้ึนที่เมืองยโสธรอีก
แหง่ หนง่ึ

คร้ันถึงปีมะเส็ง นพศก ศักราช ๑๒๑๙๔๙ พระสุนทรฯ
เจ้าเมืองยโสธร เมืองนครพนมถึงแก่กรรม อุปฮาด ราชวงศ์
ราชบุตรก็เลยถึงแก่กรรมไปด้วยกัน ยังแต่พระศรีวรราช
เฝา้ ศพบิดารักษาราชการบ้านเมอื งอยู่หามเี จา้ เมอื ง อุปฮาด ราชวงศ์
ราชบตุ รไม่ บ้านเมืองก็วา่ งเปลา่ อยู่

คร้ันถึง ณ ปีมะเมีย สัมฤทธิศก ศักราช ๑๒๒๐๕๐
พระศรีวรราชผู้ช่วย จึงมีใบบอกขอรับพระราชทานหีบศิลา
หนา้ เพลิงเผาศพพระสนุ ทรฯ บิดาเสร็จ

๔๗ จ.ศ.๑๒๑๔ ตรงกับ พ.ศ.๒๓๙๕
๔๘ อุปฮาด (จันโท) ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งต้ังเป็นพระพนมนครานุรักษ์
เจ้าเมอื งนครพนม (พ.ศ.๒๓๙จ – ๒๔๑๐)
๔๙ จ.ศ.๑๒๑๙ ตรงกบั พ.ศ.๒๔๐๐
๕๐ จ.ศ.๑๒๒๐ ตรงกับ พ.ศ.๒๔๐๑

๒๔

ครั้นถึงปีมะแม สัปตศก ศักราช ๑๒๒๑๕๑ จึงมีตราราชสีห์
โปรดเกล้าฯ ให้พระยายมราชแต่ยังเป็นที่พระยากาแหงสงคราม
เจ้าเมืองนครราชสีมา ข้ึนมาเป็นข้าหลวงแม่กองสัก ต้ังสักเลก๕๒
หวั เมอื งท้ังปวงฝ่ายตะวนั ออกอยู่ ณ เมืองยโสธร

คร้ันถึง ณ ปีวอก โทศก ศักราช ๑๒๒๒๕๓ เมืองแสน
เมืองจันทร์ ท้าวเพ้ียกรมการเมืองยโสธรเห็นว่า พระศรีวรราช
บุตรพระสุนทรฯ ท้าวแข้เป็นบุตรอุปฮาด ท้าวอ้นเป็นบุตร
ท้าวจนั สีสรุ าช ทา้ วพมิ เปน็ หลานอปุ ฮาด (แพง) ทา้ วสพุ รมเป็นบุตร
พระสุนทรฯ และมีความชอบมาด้วย ได้ตีทัพและได้ช้างเผือก
และเมื่อยังมีชวี ิตอยู่นั้น กพ็ ากนั รับราชการมั่นคงแข็งแรง เมอื งแสน
เมืองจันทร์ ท้าวเพ้ียกรมการ ญาติพี่น้อง จึงพร้อมกันมีใบบอก
ล ง ไ ป ก ร า บ บั ง ค ม ทู ล พ ร ะ ก รุ ณ า ใ ต้ ฝ่ า ล ะ อ อ ง ธุ ลี พ ร ะ บ า ท
ขอรับพระราชทานให้พระศรีวรราช (เหม็น) เป็นพระสุนทรฯ
ท้าวแข้เป็นอุปฮาด ท้าวอ้นเป็นราชวงศ์ ท้าวพิมเป็นราชบุตร

๕๑ จ.ศ.๑๒๒๑ ตรงกบั พ.ศ.๒๔๐๒
๕๒ การสักเลก หมายถึง เลก หมายถึง ชายฉกรรจ์ท่ีมีความสูงเสมอไหล่ ๒.๕ ศอกขึ้นไป
จนถึงอายุ ๗๐ ปี การสักคือการเอาเหล็กแหลม แทงตามเส้นหมึกท่ีเขียนไว้เป็นตัวอักษร
บอกชื่อเมือง ช่ือมูลนายท่ีสังกดั โดยสักที่ข้อมือด้านหน้า หรือด้านหลังมือ ท้ังน้ีการสักเลก
เป็นการควบคมุ ไพร่พลให้มลู นายดูแล ตามพระราชกาหนดสักเลก
๕๓ จ.ศ.๑๒๒๒ ตรงกับ พ.ศ.๒๔๐๓

๒๕

ท้าวสุพรมเป็นพระศรีวรราช ผู้ช่วยราชการ จึงทรงพระมหากรุณา
โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามสัญญาบัตรต้ังพระศรีวรราช
เป็นที่พระสุนทรฯ ผู้ว่าราชการเมืองยโสธร ท้าวแข้เป็นอุปฮาด
ท้าวอ้นเป็นราชวงศ์ ท้าวพิมเป็นราชบุตร ท้าวสุพรมเป็นพระศรี
วรราชผชู้ ่วย ข้นึ มาครอบครองแม่ป้า นา้ สาว บา่ วไพรเ่ มืองยโสธร

ครั้นอยู่มาได้ประมาณ ๓ – ๔ ปี อุปฮาด (แข้) ถึงแก่กรรม
ครั้นมาอยู่ประมาณ ๒ – ๓ ปี พระสุนทรฯ แต่งให้ช้างต่อ
หมอควาญไปแซกโพน ได้ช้างสีประหลาดช้างหนึ่ง ได้บอกลงไป
นาถวายชื่อเสวก

คร้ันอยู่มาช้านาน ๒ – ๓ ปี พระสุนทรฯ ราชวงศ์ ราชบุตร
พ ร ะ ศ รี ว ร ร า ชแ ล ะ บุ ต ร ภ ร ร ย า ส ร้ า ง วั ด ส ร้ า ง อ า ร า ม
สร้างพระพุทธรูป และสร้างพระเจดีย์ ได้ประมาณ ๒ – ๓ ปี
ราชวงศ์ กับราชบุตรถงึ แก่กรรม

ครั้นปีระกา เบญจศก ศักราช ๑๒๓๕๕๔ พระสุนทรราชวงษา
เจ้าเมืองยโสธร ขอรับพระราชทานพระศรีวรราช (สุพรม) เป็นท่ี
อุปฮาด ขอท้าวบาเป็นราชบุตร ท้าวแก่เป็นพระศรีวรราช
ผู้ช่วยราชการเมืองยโสธร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามสัญญาบัตร ตั้งพระศรีวรราช

๕๔ จ.ศ.๑๒๓๕ ตรงกบั พ.ศ.๒๔๑๖

๒๖

(สุพรม) เป็นท่ีอุปฮาด ต้ังท้าวบาเป็นราชบุตร ตั้งท้าวแก่
เป็นพระศรวี รราช ขึน้ มารบั ราชการช่วยพระสนุ ทรฯ

ครั้นต่อมาถึงปีจอ๕๕ สัปตศก ศักราช ๑๒๓๖๕๖ เกิดทัพ
อ้ายฮ่อ๕๗ที่ค่ายสมดี ค่ายวัดจันทน์ แขวงเมืองหนองคาย จึงมีตรา
โปรดเกล้าฯ ให้พระยามหาอามาตย์๕๘ข้าหลวงเป็นแม่ทัพ
ข้ึนไปตีทัพอ้ายฮ่อ ณ เมืองหนองคาย พระยามหาอามาตย์
จึงเกณฑ์เอากาลังเมืองยโสธร ๕๐๐ คน พระสุนทรฯ (เหม็น)
ผู้ว่าราชการเมืองยโสธร จึงแต่งให้อุปฮาด (บา) แต่ยังเป็นท่ี
ราชบุตร ท้าวกันยาแต่ยังเป็นท่ีท้าวสุทธิสม เป็นนายหมวด

๕๕ ตามหลักตอ้ งเป็น “ปีกุน”
๕๖ จ.ศ.๑๒๓๖ ตรงกบั พ.ศ.๒๔๑๗
๕๗ “ฮ่อ” ในท่ีน้ีหมายถึง กองกาลังชาวจีน ท่ีต่อต้านราชวงศ์แมนจู เรียกอย่างหน่ึงว่า
“กบฏไท่ผิงเทียนกั๋ว” เกิดการรบพุ่งกันกับทหารแมนจูเป็นการใหญ่ เมื่อปีพุทธศักราช
๒๔๐๕ พวกฮ่อพ่ายแพ้ต้องหลบหนีไปซุ่มซ่อนตัวตามป่าเขาในมณฑลต่าง ๆ ของจีน
ส่วนหนึ่งหลบหนีมายังทางใต้ตอนเหนือของเวียดนามและลาว พวกฮ่อใช้ธงสีต่าง ๆ
เป็นสัญลักษณ์ ทาการซ่องสุมกาลังท่ีทุ่งไหหิน ประพฤติตนเป็นโจรเท่ียวปล้นบ้านเมือง
ในดินแดนสิบสองจุไทและเมืองพวน ซ่ึงขณะน้ันถือเป็นอาณาเขตของสยาม
ราวปีพุทธศักราช ๒๔๑๗ กองกาลังฮ่อได้ เตรียมกาลังลงมาเมืองเวียงจันทร์และข้ามมา
เมืองหนองคาย สยามส่งทหารข้ึนไปปราบและสามารถปราบโจรฮ่อได้อย่างราบคาบ
ในปพี ุทธศกั ราช ๒๔๒๙
๕๘ พระยามหาอามาตย์ (ช่นื กลั ยานมิตร) สมุหมหาดไทยฝา่ ยเหนอื

๒๗

นายกองคุมเอากาลังทัพ ๕๐๐ คน ข้ึนไปตีทัพอ้ายฮ่อ พร้อมทัพ
พระยามหาอามาตย์ ณ เมอื งหนองคาย คร้นั เสร็จราชการแล้ว

คร้ันต่อมาถึงปีฉลู นพศก ศักราช ๑๒๓๙๕๙ พระสุนทรฯ
ถงึ แก่กรรม

ครั้งถึง ณ ปีขาล สัมฤทธิศก ศักราช ๑๒๔๐๖๐ อุปฮาด
(สุพรม) ราชบุตร (บา) พระศรีวรราช (แก่) บอกขอรับ
พระราชทานหีบศิลาหน้าเพลิง ข้ึนมาเผาศพพระสุนทรฯ อุปฮาด
(แก่) ราชวงศ์ (อ้น) ราชบุตร (พิม) ครั้นเสร็จแล้ว เมืองแสน
เมืองจันทร์ ท้าวเพี้ยกรมการพร้อมกันเห็นว่า อุปฮาด (สุพรม)
ราชบุตร (บา) พระศรีวรราช (แก่) ท้าวกันยาบุตรอุปฮาด (แพง)
ท้าวอ้นบุตรราชวงศ์ (สุตตา)๖๑ เป็นคนสัตย์ซ่ือมั่นคงรับราชการ
สนองพระเดชพระคุณโดยทางสุจริต จึงได้บอกให้อุปฮาด
(สุพรม) ลงไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท แล้วพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตร ตั้งอุปฮาด
(สุพรม) เป็นที่พระสุนทรฯ ราชบุตร (บา) เป็นอุปฮาด
พระศรีวรราช (แก่) เป็นราชวงศ์ ท้าวกันยาเป็นราชบุตร

๕๙ จ.ศ.๑๒๓๙ ตรงกับ พ.ศ.๒๔๒๐
๖๐ จ.ศ.๑๒๔๐ ตรงกบั พ.ศ.๒๔๒๑
๖๑ ราชวงศ์ (สดุ ตา) เปน็ ปู่ของทา้ วกลั ยา บตุ รอปุ ฮาด (แพง)

๒๘

ท้าวอ้นเป็นพระศรีวรราช ผู้ช่วยราชการ ข้ึนมารับราชการ
ครอบครองเมอื งยโสธร

ในปีขาล สัมฤทธิศก ศักราช ๑๒๔๐๖๒ เมื่อเวลาพระสุนทรฯ
จะลงไปรับสัญญาบัตรนั้น หลวงจุมพลภักดี๖๓ นายกอง
บุตรพระปทุมฯ ซ่ึงพระสุนทรฯ (เหม็น) ต้ังให้เป็นกรมการ
มีความทะเลาะวิวาทอยากทาส่วยผลเร่วเป็นแผนกขึ้นกับกรุงเทพฯ
ตา่ งหาก อปุ ฮาด (สพุ รม) ไมย่ อมใหห้ ลวงจมุ พลภกั ดีทาส่วยผลเรว่
เป็นแผนก จะทาให้ส่วยผลเร่วข้ึนกับเมืองยโสธรตามเดิม
หลวงจุมพลภักดี นายกอง หายอมขึ้นเมืองยโสธรไม่ จึงทาเอา
บัญชีรายชื่อตัวเลขเมืองยโสธรไปขึ้นเมืองกมลาสัย๖๔ แล้ว
พระราษฎรบริหาร๖๕ ผู้ว่าราชการเมืองกมลาสัย จึงบอกขอรับ
พระราชทานหลวงจุมพลภักดีเป็นท่ีเจ้าเมือง ขอบ้านเขาดินบึงโดน
ในเขตต์แขวงเมืองยโสธรขึน้ เป็นเมืองเสลภมู ิ๖๖

๖๒ จ.ศ.๑๒๔๐ ตรงกบั พ.ศ.๒๔๒๑
๖๓ หลวงจุมพลภักดี (เสน) ต่อมาได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เป็น “พระนิคมบริรักษ์”
เจ้าเมอื งเสลภมู ิ
๖๔ ตาบลกมลาไสย อาเภอกมลาไสย จงั หวดั กาฬสนิ ธุ์
๖๕ พระราษฎรบริหาร (ทอง)
๖๖ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกข้ึนเป็นเมือง เมื่อพุทธศักราช ๒๔๒๒ ปัจจุบัน คือ
ตาบลเสลภมู ิ อาเภอเสลภมู ิ จังหวดั รอ้ ยเอ็ด

๒๙

คร้ันถึง ณ ปีเถาะ เอกศก ศักราช ๑๒๔๑๖๗ มีท้องตรา
พระราชสีห์โปรดเกล้าฯ ข้ึนมาถึงพระสุนทรฯ (สุพรม) ราชวงศ์
และราชบุตรว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ
พระราชทานนามสญั ญาบตั ร ตง้ั หลวงจมุ พลภกั ดีข้นึ เป็นที่พระนิคม
บริรักษ์ ผู้ว่าราชการเมืองเสลภูมิ ยกบ้านเขาดินบึงโดน
เขตต์แขวงเมืองยโสธรขึ้นเป็นเมืองเสลภูมิ แล้วโปรดเกล้าฯ
ให้แบ่งเขตต์แขวงเมืองยโสธร แต่ห้วยยัง ฝ่ายเหนือให้เป็นเขตต์
เมืองเสลภูมิ ฝ่ายใต้เป็นเขตต์แขวงเมืองยโสธร เม่ือโปรดเกล้าฯ
ดงั นพ้ี ระสุนทรฯ ยังหายอมแบง่ ปันไม่

คร้ันต่อมาประมาณ ๔ – ๕ ปี พระศรีวรราช (อ้น)
ถึงแก่กรรม พระสุนทรฯ เห็นว่า ท้าวสุยบุตรราชบุตร
เป็นคนสัตย์ซื่อ มั่นคง พระสุนทรฯ จึงบอกขอรับพระราชทาน
ให้ท้าวสุยเป็นที่พระศรีวรราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามสัญญาบัตร ตั้งให้ท้าวสุย
เป็นท่ีพระศรีวรราช ข้ึนมารับราชการกับพระสุนทรฯ เจ้าเมือง
อยู่ได้ประมาณ ๔ – ๕ ปี ราชบุตร (กันยา) พระศรีวรราช (สุย)
ถงึ แก่กรรม ยังหาทันได้เผาศพไม่

๖๗ จ.ศ.๑๒๔๑ ตรงกบั พ.ศ.๒๔๒๒

๓๐

ครั้นถึงปีมะเส็ง ตรีนิศก ศักราช ๑๒๔๓๖๘ อุปฮาด (บา)
ถงึ แก่กรรมไปอีก จงึ บอกขอรบั พระราชทานหบี ศิลาหนา้ เพลิงข้ึนมา
เผาศพอุปฮาด (บา) เสร็จแลว้

คร้ันต่อมาถึง ณ ปีมะแม เบญจศก ศักราช ๑๒๔๕๖๙ อ้ายฮ่อ
ยกกองทัพมาต้ังอยู่ทุ่งเชียงคา๗๐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
กรุงเทพฯ มีตราพระราชสีห์โปรดเกล้าฯ ให้พระยาราช
วรานุกูล๗๑เป็นแม่ทัพ ขึ้นมาตีทัพอ้ายฮ่ออยู่ ณ ทุ่งเชียงคา
พระยาราชวรานุกูล จึงมีหนังสือแต่งให้หลวงอภัยพิพิธ
เป็นข้าหลวงมาเกณฑ์เอาช้าง ม้า โคต่าง เมืองยโสธรบรรทุก
ข้าว น้า ลาเลียงไปเลี้ยงกองทพั พระยาราชวรานุกุล อยู่ทุ่งเชียงคา
พระสุนทรฯ (สุพรม) จึงแต่งให้ราชวงศ์ (ฮู่) แต่ยังเป็นท้าวสุริยะ
เป็นนายคุมเอาช้าง ม้า โคต่าง บรรทุกข้าวลาเลียงขึ้นไปเล้ียง
กองทัพ ณ ทุ่งเชียงคา ยังหาทันเสร็จไม่ พระยาราชวรานุกูล
จงึ พาแมท่ พั นายกองกลบั คนื มาตงั้ อยู่ ณ เมืองหนองคาย

๖๘ จ.ศ.๑๒๔๓ ตรงกบั พ.ศ.๒๔๒๔
๖๙ จ.ศ.๑๒๔๕ ตรงกบั พ.ศ.๒๔๒๖
๗๐ ทุ่งเชียงคา อยู่ในแขวงเชียงขวาง ประเทศลาว
๗๑ พระยาราชวรานกุ ลู (เวก บุญยรัตนพันธ์)ุ

๓๑

คร้ันต่อมามีตราโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ
กรมหม่ืนประจักษ์ศิลปาคม เป็นแม่ทัพใหญ่คุ มนายทัพ
นายกองขึ้นมาตีทัพ ต้ังกองอยู่ ณ เมืองหนองคาย พระเจ้า
น้องยาเธอ กรมหม่ืนประจักษ์ศิลปาคม ข้าหลวงต่างพระองค์
ผู้สาเร็จราชการมณฑลลาวพวน จึงมีตราเกณฑ์เอา ช้าง ม้า
โคต่าง เมืองยโสธรไปเข้ากระบวนทัพ ณ เมืองหนองคาย
พระสุนทรฯ เจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงศ์ ราชบุตร พระศรีวรราช
ท้าวเพ้ีย กรรมการ จึงจัดช้างแต่งให้ท้าวโพธิสาร (เพ็ด)
บุตรพระสุนทรฯ คนเก่า เป็นนายคุมเอาช้างไปเข้ากองทัพ
พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ข้าหลวง
ต่างพระองค์ ผู้สาเร็จราชการมณฑลลาวพวน ณ เมืองหนองคาย
พระเจา้ น้องยาเธอ กรมหม่ืนประจกั ษ์ศลิ ปาคม และแมท่ ัพ นายกอง
ปราบปรามอา้ ยฮ่อมีชยั ชนะเสรจ็ แลว้

คร้ันถึงปีจอ อัฏฐศก ศักราช ๑๒๔๘๗๒ พระสุนทรฯ เห็นว่า
ราชวงศ์ (แก่) เป็นผู้ใหญ่ และควรได้สัญญาบัตร ทั้งมีความชอบ
กับได้ให้ท้าวฮู่ผู้บุตรอุปฮาด (แข้) ไปส่งข้าวน้าลาเลียงกองทัพฮ่อ
ครั้งพระยาราชวรานุกุล พระสุนทรฯ จึงบอกขอพระราชทาน

๗๒ จ.ศ.๑๒๔๘ ตรงกบั พ.ศ.๒๔๒๙

๓๒

ให้ราชวงศ์ (แก่) เป็นอุปฮาด ท้าวฮู่เป็นราชวงศ์ ขึ้นมารับราชการ
ฉลองพระเดชพระคณุ อยกู่ ับพระสนุ ทรฯ เจา้ เมอื ง

คร้ันปีรัตนโกสินทรศก ๑๐๙ ตรงกับปีขาล โทศก
ศักราช ๑๒๕๒๗๓ พระสุนทรราชวงษา (สุพรม) เจ้าเมืองพร้อมดว้ ย
ท้าวเพ้ียกรมการ คุมเอาเงินแทนผลเร่วส่วยของหลวงไปทูลเกล้า
ถวาย ณ กรุงเทพฯ และไปในงานพระราชพิธีโสกัณต์
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมงกุฎราชกุมาร๗๔ แล้ว
พระสุนทรฯ ท้าวเพี้ยเมืองยโสธรท่คี ุมเงินส่วย จึงพร้อมกันทาฎีกา
น้อมเกล้าฯ ถวายพระราชทานท้าววรบุตร (หุน) เป็นท่ีราชบุตร
ท้าวจันสีสุราชเป็นหลวงศรีวรราชแล้ว พระสุนทรฯ จึงกราบถวาย
บังคมลาขึน้ มารบั ราชการเมอื งยโสธร

ครั้นถึง ณ ปีรัตนโกสินทรศก ๑๑๐ ตรงกับปีเถาะ ตรีนิศก
ศกั ราช ๑๒๕๓๗๕ ราชบตุ ร (หุน) หลวงศรวี รราช (ทา้ วจันศรสี รุ าช)
ผู้ช่วย เชิญเอาสัญญาบัตรท่ีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

๗๓ จ.ศ.๑๒๕๒ ตรงกบั พ.ศ.๒๔๓๓
๗๔ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร พระราชโอรส
พระองคใ์ หญใ่ นพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจา้ อย่หู ัว ได้รบั การสถาปนาขึน้ เปน็ สยาม
มกุฎราชกุมารพระองค์แรกของประเทศไทย แต่หลังจากดารงตาแหน่งสยามกุฎราชกุมาร
ไดเ้ พยี ง ๘ ปี ก็เสดจ็ สวรรคต ขณะมีพระชนมายุ ๑๕ พรรษา
๗๕ จ.ศ.๑๒๕๓ ตรงกับ พ.ศ.๒๔๓๔

๓๓

โปรดพระราชทานขึ้นไปรับราชการอยู่กับพระสุนทรฯ คร้ันอยู่
มาถึงเดือนพฤศจิกายน ในปีเดียวกันน้ัน พระสุนทรฯ เจ้าเมือง
ราชวงศ์ (ฮู่) ถงึ แกก่ รรม

ในปลายปี ร.ศ.๑๑๐๗๖ มีพระบรมราชโองการดารัส
เหนือเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร
เ ส ด็ จ ข้ึ น ม า ป ร ะ ทั บ อ ยู่ ณ เ มื อ ง อุ บ ล ฯ เ ป็ น ข้ า ห ล ว ง
ต่างพระองค์ ผู้สาเร็จราชการมณฑลลาวกาว แล้วโปรดเกล้าฯ
มีลายพระราชหัตถ์ให้ท้าวสุทธิกุมาร (ทองดี) อุปฮาด (บา)
รบั ราชการตาแหน่งราชวงศ์

คร้ันถึงปี ร.ศ.๑๑๑๗๗ อุปฮาด (แก่) ราชวงศ์ (หุน)
ห ล ว ง ศ รี ว ร ร า ช ผู้ ช่ ว ย พ ร้ อ ม ด้ ว ย ท้ า ว เ พี้ ย ก ร ม ก า ร
บอกขอพระราชทานหีบศิลาหน้าเพลิง ข้ึนมาเผาศพพระสุนทรฯ
(สุพรม) เจ้าเมือง แต่หาทนั ไดเ้ ผาไม่

ครนั้ ณ ปี ร.ศ.๑๑๒๗๘ พระเจา้ นอ้ งยาเธอ กรมพิชติ ปรีชากร
ข้าหลวงต่างพระองค์ ผู้สาเร็จราชการมณฑลลาวกาว

๗๖ ร.ศ.๑๑๐ ตรงกบั พ.ศ.๒๔๓๔
๗๗ ร.ศ.๑๑๑ ตรงกบั พ.ศ.๒๔๓๕
๗๘ ร.ศ.๑๑๒ ตรงกับ พ.ศ.๒๔๓๖

๓๔

โปรดเกล้าฯ ให้หลวงพิทักษ์สุเทพ ข้าหลวง ท้าวไชยกุมาร๗๙
กรมการเมืองอุบลฯ ข้ึนมาจัดราชการอยู่เมืองยโสธร แล้วอุปฮาด
ราชบุตร หลวงศรีวรราช ท้าวสุทธิกุมาร ผู้รับท่ีราชวงศ์
จึงพร้อมด้วยหลวงพิทักษ์สุเทพข้าหลวง เผาศพพระสุนทรฯ
(สุพรม) เจ้าเมืองยโสธรเสร็จแล้ว บ้านเมืองก็ว่างเปล่าอยู่
มีแต่อุปฮาด (แก่) ราชบุตร (หุน) หลวงศรีวรราช รับราชการ
เมอื งอยกู่ ับหลวงพิทักษ์สเุ ทพ

ต่อมาในปีเดียวกันน้ัน เกิดทัพฝรั่งเศสข้ึนทางเมืองเขมราฐ
แห่ง ๑ เมืองเสียมโบกแห่ง ๑ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวง
พิ ชิ ต ป รี ช า ก ร ข้ า ห ล ว ง ต่ า ง พ ร ะ อ ง ค์ ส า เ ร็ จ ร า ช ก า ร
มณฑลลาวกาว โปรดเกล้าฯ เกณฑ์เอากาลังเมืองยโสธร
ได้ ๑,๐๐๐ คน ให้หลวงพิทักษ์สุเทพ เป็นแม่ทัพคุมไป
ข้างเมืองเขมราฐ ๑,๕๐๐ คน อุปฮาด ราชบุตร หลวงศรีวรราช
กรมการ แต่งให้ราชวงศ์ ราชบุตร คุมไปเข้ากองทัพ
ข้างเมืองเสียมโบก ๕๐๐ คน คร้ันเสร็จราชการทัพแล้ว
พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากรเสด็จกลับเข้าไป
กรงุ เทพฯ

๗๙ ท้าวไชยกุมาร (กุคา สุวรรณกูฏ) ต่อมาได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เป็น “พระอุบล
ศกั ดป์ิ ระชาบาล” ยกกระบตั รเมอื งอบุ ลราชธานี

๓๕

ครั้งถึงปี ร.ศ.๑๑๓๘๐ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสรรพสิทธิ
ประสงค์ เสด็จขึ้นมาประทับอยู่เมืองอุบลฯ เป็นข้าหลวง
ต่างพระองค์ผู้สาเร็จราชการมณฑลลาวกาว แล้วโปรดเกล้าฯ
ให้นายร้อยโทสอน๘๑ เป็นข้าหลวงขึ้นมาจัดราชการเมืองยโสธร
แล้วโปรดเกล้าฯ ให้อุปฮาด รับราชการตาแหน่งพระสุนทรฯ
ให้ราชบุตร รับราชการในตาแหน่งอุปฮาด ให้หลวงศรีวรราช
ผชู้ ว่ ยพิเศษ รบั ราชการตาแหน่งราชบตุ ร

คร้ันถึงปี ร.ศ. ๑๑๗๘๒ โปรดเกล้าฯ พระราชทานนาม
สัญญาบัตรให้หลวงศรีวรราช ผู้ว่าราชการเมืองยโสธร
เป็นพระสุนทรราชเดช ผู้วา่ ราชการเมืองยโสธร

ครั้นถึงปี ร.ศ. ๑๑๘๘๓ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวง
สรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงต่างพระองค์ สาเร็จราชการมณฑล
อิสาณ เสด็จมาประทับที่เมืองยโสธร โปรดประทานประทวน
ต้ังราชวงศ์ (ทองดี) เป็นหลวงยศไกรเกรียงเดช ทาการตาแหน่ง
ยกกรบัตร ให้ท้าวโพธิสาร (ตา) รับประทวนเป็นหลวงยศเยศ

๘๐ ร.ศ.๑๑๓ ตรงกบั พ.ศ.๒๔๓๗
๘๑ ตอ่ มาทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ เปน็ “ขุนราญอรพิ ล”
๘๒ ร.ศ.๑๑๗ ตรงกบั พ.ศ.๒๔๔๑
๘๓ ร.ศ.๑๑๘ ตรงกับ พ.ศ.๒๔๔๒

๓๖

สุรามฤต ผู้ช่วย เป็นผู้แทนนายอาเภออุทัยยโสธร๘๔ โปรดเกล้าฯ
ให้ท้าวสิทธิสาร (สมเพศ) รับประทวนเป็นหลวงยศวิทยธารง
ผู้ช่วย โปรดเกล้าฯ ให้เมืองจันทร์ (ฉิม) รับประทวน
เป็นหลวงยศเขตรวิมลคุณ ทาการตาแหน่งมหาดไทย เป็นผู้แทน
นายอาเภอประจิมยโสธร๘๕

คร้ันถึงปี ร.ศ. ๑๒๕๘๖ โปรดให้ซานนท์ (ชาย) รับประทวน
เปน็ หลวงยศอดลุ ผฤตเดช ทาการตาแหน่งพล

ครั้นปี ร.ศ. ๑๓๑๘๗มณฑลอุบลฯ แต่งให้เจ้าเหลี่ยม
บุตรเจ้าอุปราชเมืองนครจาปาศักด์ิ เป็นผู้แทนนายอาเภออุทัย
ยโสธร ณ บ้านลุมพุก ให้นายพัน เมืองอุบลฯ เป็นผู้แทน
นายอาเภอประจมิ ยโสธร

ครั้นเดือนกุมภาพันธ์ในปีเดียวกันน้ัน นายพลตรี
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นอดิศรอุดมเดช ผู้บัญชาการกองพลที่
๑๐ มณฑลอุบลฯ มณฑลอุดร และมณฑลร้อยเอ็ด เสด็จมาตรวจ
ราชการและเสด็จมาท่เี มอื งยโสธร

๘๔ อาเภอคาเข่ือนแกว้ ในปจั จุบนั
๘๕ อาเภอเมอื งยโสธรในปจั จุบัน
๘๖ ร.ศ.๑๒๕ ตรงกับ พ.ศ.๒๔๔๙
๘๗ ร.ศ.๑๓๑ ตรงกบั พ.ศ.๒๔๕๕

๓๗

ค รั้ น พ . ศ . ๒ ๔ ๕ ๖ ท ร ง พ ร ะ ก รุ ณ า โ ป ร ด เ ก ล้ า ฯ
ให้เปลี่ยนนามอาเภออุทัยยโสธร เป็นอาเภอคาเข่ื อนแก้ว
และเปลีย่ นนามอาเภอประจมิ ยโสธร เปน็ อาเภอยโสธร.

๓๘

รายนามผปู้ กครอง เจ้าเมือง ผวู้ ่าราชการเมือง
และผู้ว่าราชการจงั หวดั ยโสธร จากอดตี ถงึ ปัจจุบนั

ผ้ปู กครองบา้ นสงิ ห์ท่า พ.ศ.๒๓๑๔ – ๒๓๒๙
๑. ทา้ วคาสู พ.ศ.๒๓๒๙ – ๒๓๓๕
๒. ทา้ วฝา่ ยหนา้ พ.ศ.๒๓๓๕ – ๒๓๕๔
๓. ทา้ วคามว่ ง
พ.ศ.๒๓๕๕ – ๒๓๖๖
เจา้ เมอื งยโสธร พ.ศ.๒๓๖๖ (๓ เดอื น)
๑. พระสุนทรราชวงศา (สิง) พ.ศ.๒๓๗๐ – ๒๔๐๐
๒. พระสนุ ทรราชวงศา (สีชา) พ.ศ.๒๔๐๐ – ๒๔๑๒
๓. พระสนุ ทรราชวงศาฯ (ฝ่าย) พ.ศ.๒๔๒๐ – ๒๔๒๙
๔. พระสุนทรราชวงศาฯ (เหมน็ )
๕. พระสุนทรราชวงศา (สพุ รม) พ.ศ.๒๔๓๐ – ๒๔๓๘
พ.ศ.๒๔๓๘ – ๒๔๔๐
ผ้ดู ารงตาแหน่งผูว้ ่าราชการเมอื งยโสธร พ.ศ.๒๔๔๐ – ๒๔๕๖
๖. พระสนุ ทรราชเดช (แก)่
๗. ขุนราญนฤพล (รอ้ ยโทสอน)
๘. พระสนุ ทรราชเดช (แข)้


Click to View FlipBook Version