42
๓) หาความแตกตางหรือจุดเดนของผลิตภัณฑทางการทองเที่ยวนั้นๆ โดยผานการทุก
คนในชุมชน โดยคํานึงถึงความเปนเอกลักษณเฉพาะของทองถ่ินหรือชุมชนนั้นๆ บริการและ
ประสบการณท่นี กั ทองเทย่ี วจะไดรับจากผลิตภณั ฑทางการทองเทย่ี วดงั กลาว
๔) เพิ่มเติมความคิดสรางสรรคโดยใชนวัตกรรมเขามาจัดการผลิตภัณฑทางการ
ทองเที่ยวน้ันๆ เพื่อใหสรางความไดเปรยี บทางการแขงขันและกอใหเกดิ การสรางรายได
๕) การกระจายผลประโยชนทางเศรษฐกิจแกชุมชนอยางเปนธรรมซ่ึงกลาวไดวาการ
ทองเท่ียวเชิงสรางสรรคน้ันเปนเครื่องมือที่จะสามารถกอใหเกิดการบูรณาการการใชทรัพยากรท่ีมีใน
ทองถิน่ หรือชุมชนอยางคํานึงถึงการรักษาใหคงอยู และเพอื่ พัฒนาทองถนิ่ หรอื ชุมชนท่ีตนเองอยูใหเกิด
รายไดและสามารถดํารงอยูไดน้ัน นับเปนแนวคิดท่ีพัฒนามาจากรูปแบบการทองเท่ียวอยางย่ังยืน
(Sutsan S., ๒๐๑๓)
นอกจากนใ้ี นบทความวชิ าการเรื่อง การสรางและการธํารงรักษาความยั่งยืนของชุมชนผาน
การทองเที่ยวเชิงสรางสรรค: กรณีตอยอด เพม่ิ คา หาจุดตางสรางสรรค แบงปนชมุ ชนประเทศไทย
บุญเลิศ จิตต้ังวัฒนา. (๒๕๔๒). ไดใหความหมายการทองเที่ยวแบบย่ังยืน (Sustainable
Tourism) วาหมายถึง การทองเที่ยวกลมุ ใหญหรือกลุมเล็กที่มีการจัดการอยางดีเย่ียม เพราะสามารถ
ดํารงไวซึ่งทรพั ยากรทองเที่ยวใหมีความดึงดดู ใจอยางไมเสื่อมคลาย และธุรกจิ ทองเที่ยวมีการปรับปรุง
คุณภาพใหไดผลกําไรอยางเปนธรรม โดยมีนกั ทองเท่ยี วเขามาเยีย่ มเยือนสมํ่าเสมออยางเพียงพอ แตมี
ผลกระทบทางลบตอสิ่งแวดลอมที่สุดอยางยืนยาว และ ไดอธิบายลักษณะการทองเที่ยวแบบยั่งยืน มี
ลกั ษณะสําคัญอยู ๖ ประการดังนี้ คือ
๑. เปนการทองเทยี่ วในแหลงทองเท่ยี วทกุ ประเภท ทุกแหง
๒. เปนการทองเท่ยี วท่ีเนนคุณคาและความเปนเอกลักษณของแตละแหลงทองเท่ยี ว
๓. เปนการทองเท่ยี วทร่ี บั ผดิ ชอบตอทรัพยากรการทองเทย่ี วและสงิ่ แวดลอม
๔. เปนการทองเที่ยวที่ใหนักทองเท่ียวไดรับความรูและประสบการณเก่ียวของกับ
ธรรมชาตแิ ละวฒั นธรรม
๕. เปนการทองเทย่ี วท่ใี หผลตอบแทนแกผูประกอบธุรกิจทองเทยี่ วอยางยืนยาว
๖. เปนการทองเที่ยวที่ใหผลประโยชนตอชุมชนทองถ่ิน และคืนผลประโยชนกลับสู
ทรัพยากรทองเทย่ี วและสิ่งแวดลอมของทองถ่ิน
อุษาวดี พูลพิพัฒน. (๒๕๔๕). ไดอธิบายวา หลักการการทองเท่ียวแบบย่ังยืน มีหลักการ
ดงั นี้ (อษุ าวดี พูลพิพฒั น, ๒๕๔๕)
๑. การอนุรกั ษและการใชทรัพยากรอยางพอดี (Using Resource Sustainable ) ท้ังใน
สวนทีเ่ ปนทรัพยากรธรรมชาติ สังคม และวัฒนธรรมเปนส่งิ สาํ คัญและเนนการทําธรุ กจิ ในระยะยาว
๒. การลดการบริโภคที่เกินความจําเปนและการลดของเสีย (Reducing Over-
consumption and Waste) จะชวยลดคาใชจายในการทํานุบํารุงสิ่งแวดลอมท่ีถูกทําลายในระยะ
ยาว และเปนการเพ่มิ คุณภาพของการทองเที่ยวดวย
๓. การรักษาและสงเสริมความหลากหลายของทรัพยากรธรรมชาติ (Maintaining
Diversity ) สงั คม และวัฒนธรรม จะชวยขยายฐานของอุตสาหกรรมการทองเที่ยวในอนาคต
43
๔. การประสานการพัฒนาการทองเท่ียว (Integrating Tourism into Planning) เขา
กับกรอบแผนกลยุทธการพัฒนาแหงชาติ การพัฒนาทองถ่ิน และการประเมินผลกระทบส่ิงแวดลอม
จะชวยขยายศักยภาพการทองเทีย่ ว
๕. การทองเที่ยวที่รองรับกิจกรรมในทองถ่ิน (Supporting Local Economic) โดย
คํานึงถึงราคาและพัฒนาคุณคาของส่ิงแวดลอมไว ไมเพียงแตทําใหเกิดการประหยัด แตยังปองกัน
สิ่งแวดลอมไมใหถูกทําลายอีกดวย
๖. เนนการมีสวนรวมของชมุ ชนทองถนิ่ (Involving Local Communities) ในดานการ
จัดการผลตอบแทนของประชาชน และส่ิงแวดลอมเพื่อชวยยกระดับคุณภาพชีวิตและการจัดการการ
ทองเทย่ี ว
๗. การประสานความรวมมือระหวางผูประกอบการ ประชาชนทองถิ่น องคกรและ
สถาบันท่ีเกี่ยวของ (Consulting Stakeholders and the Public) เพื่อลดขอขัดแยงและรวม
แกปญหา
๘. เปนการฝกอบรมบุคลากร (Training Staff ) โดยสอดแทรกแนวคิดและวิธีปฏิบัติใน
การพัฒนาแบบย่ังยนื แกบคุ ลากรทองถิ่นทุกๆระดบั เพ่ือยกระดับการบริการการทองเทยี่ ว
๙. ขอมูลขาวสารที่สื่อใหกับนักทองเท่ียว โดยมุงสรางความเขาใจในการเคารพตอ
ธรรมชาติ สังคม และวัฒนธรรมท่ีเปนแหลงทองเที่ยว (Marketing Tourism Responsibly) อีกทั้ง
เปนการชวยยกระดับความพึงพอใจของนักทองเทยี่ วอีกทางหนึ่ง
๑๐. การวิจัยและติดตามผล (Undertaking Research) เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพใน
การดําเนินงาน รวมท้ังปญหาและอุปสรรคตางๆ เพื่อนําไปสูแนวทางการแกไขที่เปนประโยชนตอ
ผูเกีย่ วของทุกฝาย
นอกจากน้ัน ยังแยงลักษณะของการทองเท่ียวแบบย่ังยืน ควรมีลักษณะดังตอไปน้ี (อุษาวดี
พูลพิพฒั นผล, ๒๕๔๕)
๑. เปนการทองเที่ยวที่มีความตอเน่ือง (Continuity) หมายถึง ความตอเนื่องของ
ทรัพยากรธรรมชาติ และความตอเน่ืองของวัฒนธรรมซึ่งจัดเปนทรัพยากรหลักในการทองเท่ียว และ
สามารถมอบประสบการณนันทนาการที่ดีใหแกนกั ทองเท่ยี ว
๒. เปนการทองเท่ียวท่ีมีคุณภาพ (Quality) หมายถึงการเนนคุณภาพของสามสวนหลัก
คอื คณุ ภาพของสิ่งแวดลอม คณุ ภาพของประสบการณ นันทนาการท่ีนักทองเที่ยวไดรับ และคุณภาพ
ชีวติ ของคนในชุมชน
๓. เปนการทองเที่ยวที่มีความสมดุล (Balance) หมายถึงความสมดุลระหวางความ
ตองการอุตสาหกรรมการทองเที่ยว ความตองการของชุมชนทองถิ่นและขีดความสามารถของ
ท รั พ ย า ก ร ( ที่ ม า http: / / www. sara-
dd. com/ index. php?option= com_content&view= article&id= ๒ ๑ ๙ : sustainable-
tourism&catid=๒๕:the-project&Itemid=๗๒ สืบคนเม่ือ ๗ มถิ นุ ายน ๒๕๖๐)
ธีระ อนิ ทรเรอื ง. (๒๕๕๙). ไดอธบิ ายไววา แนวคิดการพฒั นาการทองเท่ียวท่ีย่ังยืน สามารถ
พิจารณาไดจากองคประกอบ ๔ ประการคือ
44
๑. การดําเนินกิจกรรมการทองเท่ียวในขอบเขตของความสามารถของธรรมชาติชุมชน
ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมและวิถชี วี ิตความเปนอยูของชุมชนตอกจิ กรรมการทองเท่ยี ว
๒. การตระหนักในกิจกรรมการทองเท่ียวที่มีผลกระทบตอชุมชนขนบธรรมเนียม
ประเพณี วัฒนธรรมและวิถชี วี ติ ความเปนอยขู องชมุ ชน
๓. การมีสวนรวมของประชาชนในกิจกรรมการทองเท่ียวที่มีผลกระทบตอระบบนิเวศ
ชมุ ชน ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี วัฒนธรรม และวิถชี วี ติ ท่มี ีตอการทองเท่ยี ว
๔. การประสานความตองการทางเศรษฐกิจ การคงอยูของสังคม และการอนุรักษ
ส่งิ แวดลอมอยางยัง่ ยนื
นอกจากน้นั ยงั อธิบายการทองเท่ยี วแบบยั่งยนื ควรมีลักษณะดงั ตอไปน้ี
๑. เปนการทองเท่ียวที่มีความตอเนื่อง (Continuity) หมายถึง ความตอเน่ืองของ
ทรพั ยากรธรรมชาติ และความตอเน่ืองของวัฒนธรรม ซึ่งจัดเปนทรัพยากรหลักในการทองเที่ยว และ
สามารถมอบประสบการณนันทนาการที่ดใี หแกนักทองเทย่ี ว
๒. เปนการทองเท่ียวที่มีคุณภาพ (Quality) หมายถึงการเนนคุณภาพของสามสวนหลัก
คือ คุณภาพของส่ิงแวดลอม คณุ ภาพของประสบการณ นันทนาการท่ีนักทองเท่ียวไดรับ และคุณภาพ
ชีวติ ของคนในชมุ ชน
๓. เปนการทองเที่ยวที่มีความสมดุล (Balance) หมายถึงความสมดุลระหวางความ
ตองการอุตสาหกรรมการทองเที่ยว ความตองการของชุมชนทองถิ่นและขีดความสามารถของ
ทรพั ยากร
World Tourism Organization. (๑๙๙๗). การจัดการการทองเท่ียวอยางย่ังยืน หมายถึง
“ การทองเที่ยวที่ตอบสนองความตองการของนักทองเที่ยวและผูเปนเจาของแหลงทองเที่ยวโดยเนน
การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เพ่ือใหสามารถรักษาความม่ันคงของระบบนิเวศ ตลอดจนวัฒนธรรม
และวถิ ชี ีวติ ของชุมชน เพอ่ื ประโยชนทั้งในปจจบุ นั และอนาคต ”
ดังนน้ั จึงสรุปไดวา การทองเทย่ี วเชงิ สรางสรรคแบบย่งั ยืน หมายถงึ การทองเท่ียวที่สามารถ
กลายเปนกลไกสาํ คญั ในการสรางความตอเนอ่ื งยัง่ ยืนใหแกชุมชนของประเทศไทยและธํารงรักษาไวซึ่ง
ประเพณีวัฒนธรรมและภูมิปญญาทองถ่ินที่ไดรับการถายทอดจาดรุนสูรุนสืบตอไป ไมทําใหแหลง
ทองเท่ียวหรือวัฒนธรรมเส่ือมโทรมลดคุณคา แตเปนการทองเท่ียวท่ีตองสรางและการธํารงรักษา
ความย่ังยืนของชุมชนผานการทองเที่ยวเชิงสรางสรรค ตอยอด เพ่ิมคา หาจุดตางสรางสรรค แบงปน
ชุมชนประเทศไทยอยางมคี ุณภาพและมีความสมดุล ซง่ึ มหี ลักเกณฑดงั ตอไปนี้ คือ ตองเนนคุณคาและ
ความเปนเอกลักษณของวัฒนธรรมแตละแหลงทองเที่ยว รับผิดชอบตอทรัพยากรการทองเที่ยวและ
ส่ิงแวดลอม การทองเที่ยวที่ใหผลประโยชนตอชุมชนทองถ่ิน และคืนผลประโยชนกลับสูทรัพยากร
ทองเทยี่ ว สิ่งแวดลอมและวัฒนธรรมของทองถ่นิ ใหผลทางธุรกิจที่ยืนยาว ตลอดท้ังเนนการมีสวนรวม
ของชุมชนทองถ่ิน
45
๒.๗ แนวทางการยกระดบั สินคาทางวัฒนธรรมหรอื ทนุ ทางวัฒธรรม
ในเรอ่ื งน้มี ีนกั วชิ าการอธิบายไว พอสรุปไดดังน้ี
บุญฑวรรณ วิงวอน, อัจฉราภรณ วรรณมะกอกและอัจฉรา เมฆสุวรรณ. (๒๕๕๗ : ๑๐๗-
๑๐๘). แนวทางการยกระดบั ภูมิปญญาทองถน่ิ ดวยนวตั กรรมผลติ ภณั ฑเชงิ สรางสรรคดวยการเนนการ
เรยี นรูจากธุรกิจอ่ืนที่ประสบความสําเร็จผานการนําความเชื่อ ศาสนา วัฒนธรรม รูปแบบการดําเนิน
ชีวิตและพิธีกรรมตางๆ ดวยการออกแบบรูปลักษณใหมๆ บนผลิตภัณฑหรือตํานานและเรื่องราวของ
ผลิตภัณฑเนนการสรางความแตกตางบนบรรจภุ ัณฑหรือตราสนิ คาเพอื่ สรางอตั ลักษณเฉพาะ
นายวีระ โรจนพจนรัตน รัฐมนตรีวาการกระทรวงวัฒนธรรม กลาวในการประชุมสัมมนา
เรื่องการขับเคลื่อนการดําเนินงานตามนโยบายประเทศไทย ๔.๐ ดานวัฒนธรรม วา ประเทศไทยถือ
เปนประเทศท่ีมีทุนวัฒนธรรมหลากหลายสามารถนําไปตอยอดเชิงเศรษฐกิจสรางสรรคสรางรายได
ใหกับประเทศเหมือนกับที่ท่ัวโลกทั้งประเทศในแถบเอเชียและยุโรป โดยกระทรวงวัฒนธรรมจะ
รวมกบั หนวยงานตางๆ ซ่งึ เรมิ่ จากสินคาและบริการทางวัฒนธรรมที่มีศักยภาพ ๕ ดาน ไดแก อาหาร
ภาพยนตรและวิดีทัศน ผาไทยแฟชั่น มวยไทย และเทศกาลในระดับโลก ทางดานนายสุวิทย เมษินท
รยี รฐั มนตรีชวยวาการกระทรวงพาณชิ ย กลาววา วัฒนธรรมเปนหัวใจและกลไกหลักในการขบั เคลื่อน
เศรษฐกิจ โดยไทยสามารถนําทุนดังกลาวไปสรางมูลคาแลกเปลี่ยนกับตางชาติพรอมกับการนํา
เทคโนโลยีมาใชเสริมกับการพัฒนาสินคา และบริการ พรอมเสนอใหกระทรวงวัฒนธรรมรวมมือกับ
กระทรวงศึกษาธิการ สรางบุคลากรท่ีมีความสามารถ มีจิตสาธารณะ รวมทั้งจัดเวทีภาครัฐเอกชนเพื่อ
เ ช่ื อ ม โ ย ง อุ ต ส า ห ก ร ร ม สิ น ค า แ ล ะ บ ริ ก า ร ใ ห ม ๆ ( จ า ก
http://www.aseanthai.net/ewt_news.php?nid=๖๐๗๗&filename=index.)
นิสวันต พิชญดํารง. (๒๕๕๓ : ๑๔). กลาววา การพัฒนาเปนอุตสาหกรรมวัฒนธรรมท้ัง
ผลิตภัณฑที่เปนสินคาและการทองเท่ียวหลายประเทศในยุโรปและเอเชียใชแนวความคิดน้ีในการ
พัฒนาและสรางช่ือเสียงใหแกประเทศใหความสําคัญกับวัฒนธรรมการตอยอดสินคาและบริการที่มา
จากทุนวฒั นธรรม เปนการศึกษาวิเคราะหสินคาเพ่อื ดึงจดุ เดนดานวัฒนธรรมและภูมิปญญาท่ีนาสนใจ
มาปรับปรุงโดยอาศัยความคิดสรางสรรค องคความรู และเทคโนโลยีท่ีเหมาะกับสินคา แลวสราง
คานยิ มเสริมเขาไป ผานกลยุทธการตลาดท่ีเหมาะกับสถานการณ มีหลักการสําคัญ ๓ ประการ ไดแก
(๑) การปรับปรุงรูปแบบของสินคาใหเหมาะสม มีความทันสมัย หรือออกแบบใหเกิดความแปลกใหม
นาสนใจ แตยังคงเอกลักษณทางวัฒนธรรม จะตองศึกษาจุดเดนของวัฒนธรรมและนํามาปรับให
กลมกลืนสอดคลองกบั กลมุ เปาหมาย คานิยมและวิถีชีวิตของสังคม (๒) การสรางตราสินคา โดยสราง
นวัตกรรมทมี่ เี อกลกั ษณและเร่อื งราว เปนการหยิบยกเร่ืองราวทางวัฒนธรรมที่สอดคลองกับสินคามา
นาํ เสนอ และ (๓) ความตั้งใจ และทักษะดานการบริหารจัดการเปนสิ่งสําคัญที่จะทําใหธุรกิจประสบ
ความสาํ เรจ็ ไดวรวิทย อวิรุทธวรกุล. (๒๕๕๓ : ๒๑-๒๔). กลาววา ภาครัฐ ไดมีการสงเสริม สนับสนุน
การทองเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่สําคัญ เชน การสงเสริมหมูบานทองเท่ียว OTOP ของสํานักงาน
พัฒนาการทองเท่ียว กระทรวงการทองเที่ยวและกีฬา และการใชยุทธศาสตร “๗ Wonder
Products” ของการทองเท่ียวแหงประเทศไทย โดยนําจุดเดนของวิถีชีวิตความเปนอยูและวัฒนธรรม
ของไทยท่ีสําคัญ ๓ ประการ ไดแก ความเปนไทย/วิถีชีวิตไทย มรดกทางวัฒนธรรม/ประวัติศาสตร
46
และ กิจกรรมการทองเที่ยวเชิงวัฒนธรรม มาบูรณาการเขากับการทองเท่ียวแบบดั้งเดิม เพ่ือ
ตอบสนองความตองการและรสนยิ มของนักทองเท่ียวทีเ่ ปลยี่ นแปลงไป
ปจจยั ความสาํ เรจ็ ที่สําคญั การพฒั นาการทองเทย่ี วเชิงวฒั นธรรมใหแขงขันกับประเทศตางๆ
ได ประเทศไทยจะตองมกี ารพฒั นาและเสริมสรางปจจัยตางๆ เพ่ือเอื้อตอการขับเคล่ือนการทองเที่ยว
เชงิ วัฒนธรรมอยางจรงิ จังใน ๓ เรอื่ งหลกั ดงั น้ี
๑. การพัฒนาระดบั มหภาค ประกอบดวย
๑) พฒั นาเศรษฐกิจสรางสรรคควบคไู ปกับการพฒั นาเศรษฐกิจฐานความรู
๒) กําหนดนโยบายบูรณาการการดําเนินงานของหนวยงาน และ
๓) ปรับโครงสรางการผลิตและบริการของประเทศอยางตอเนื่อง
๒. การพัฒนาโครงสรางพ้นื ฐานและสภาพแวดลอม โดย
๑) พัฒนาปจจยั แวดลอมท่กี ระตนุ ใหภาคเอกชนลงทนุ ผลติ สนิ คาเชิงสรางสรรค
๒) พฒั นาระบบฐานขอมลู สือ่ สาร และคมนาคมท่มี ีประสิทธิภาพ
๓) ใหคุณคาตอทรัพยสนิ ทางปญญาจากความคิดสรางสรรค
๔) ศึกษาวิจัยและพฒั นาเชงิ ลกึ ในสาขาเศรษฐกิจสรางสรรคและทุนวัฒนธรรม และ
๕) จดั และพฒั นาพน้ื ท่ีทีเ่ ปนแหลงเรียนรนู อกหองเรียน รวมทัง้ สรางเมอื งสรางสรรค
๓. การพัฒนาผปู ระกอบการธุรกิจและบคุ ลากรดานสรางสรรคในดาน
๑) ขับเคล่ือนและสรางโอกาสใหกบั ผปู ระกอบการ และ
๒) พัฒนาบุคลากรวชิ าชีพเชงิ สรางสรรค
สําหรับการพัฒนาการทองเท่ียวเชิงวัฒนธรรมในระดับชุมชน/ทองถ่ิน สามารถนําเร่ือง
วฒั นธรรม วถิ ชี วี ติ และภมู ิปญญาทองถ่นิ มาเปนปจจัยหลักในการสรางความแตกตาง และสรางคุณคา
เพิ่มใหแกนักทองเท่ียวเพื่อหลีกหนีปญหาการแขงขันเชิงราคา และการแขงขันดานการทองเท่ียวจาก
ประเทศคูแขง ประเทศไทยจะตองมีการพัฒนาปจจัยที่สําคัญๆ ๔ ประการอยางจริงจังและตอเนื่อง
ดงั นี้
๑) การสอดแทรกวัฒนธรรมและความคิดสรางสรรคเขาสูสินคาและบริการดานการ
ทองเท่ียว
๒) การวางแผนเชิงพ้ืนที่ใหครอบคลุมและเชื่อมโยงสถานที่ทองเที่ยว สินคาและบริการ
ของทองถ่ินหรือการประยุกตสรางสรรคผลิตภัณฑ/กิจกรรมใหมๆ รวมถึงความเปนอยูของประชาชน
ในพื้นที่ใหสอดคลองกัน
๓) การสงเสริมการพัฒนาตอยอดภูมปิ ญญาทองถิ่น/องคความรูชมุ ชนในพ้ืนที่ และ
๔) การสนบั สนุนโครงสรางพ้ืนฐานทเ่ี ก่ียวของ เชน การคุมครองทรัพยสินทางปญญา การ
ตอยอดเชิงพาณิชยและการตลาด ระบบขนสง รวมถึงความชวยเหลือทางดานการเงินแก
ผปู ระกอบการในทองถน่ิ
ชาญณรงค ทิยานันท. (๒๕๕๕). กลาววา เพ่ือใหมีการนําทุนทางวัฒนธรรมไปใชประโยชน
อยางมีประสิทธิภาพ และเปนการ เสริมสรางทุนทางสังคม จึงกําหนดแนวทางในการพัฒนาทุนทาง
วัฒนธรรม ดงั น้ี
47
๑. การฟนฟู ถอดคุณคา พัฒนา และตอยอดทุนทางวัฒนธรรมและภูมิปญญาอยางเปน
ระบบ โดย
๑) สงเสริม สนับสนุนการวิจัย พัฒนาและสรางนวัตกรรมถายทอดองคความรูและ
ภูมปิ ญญาทองถน่ิ ทงั้ ทีอ่ ยใู นวิถชี ุมชนใหออกมาอยางเปนระบบ
๒) พัฒนาตอยอดผลิตภัณฑทุนทางวัฒนธรรมและภูมิปญญากับนโยบายหรือ
โครงการสําคญั ของประเทศ
๓) ใชประโยชนจากเทคโนโลยีสารสนเทศในการเชื่อมตอภมู ปิ ญญา
๔) สนับสนุนกระบวนการขยายผลนําภูมิปญญาไปใชในทางปฏิบัติและพัฒนาอยาง
ตอเนือ่ ง
๕) สงเสรมิ เศรษฐกิจชุมชนหรือเศรษฐกิจของชาวบานท่ีเกิดจากใชความรูภูมิปญญา
ทองถิ่นใหมีความเขมแข็งและพฒั นาไปสเู ครือขายวสิ าหกจิ ชมชน
๖) สงเสริมคุณภาพ มาตรฐาน และสรางผลิตภัณฑใหมีจุดเดนท่ีเปนเอกลักษณ
เฉพาะทองถิน่ และความตองการของตลาด
๗) ใหมีการเผยแพรความรูเก่ยี วกบั สิทธปิ ระโยชน วธิ ีการ ข้นั ตอนการจดทะเบียนลิข
สิทธและสทิ ธบิ ัตรทางปญญาแกชมุ ชนอยางกวางขวาง
๘) สรางความสัมพนั ธและความรวมมอื ทด่ี กี นั นานาประเทศ
๒. การจัดการองคความรูและสรางภูมิคุมกันทางวัฒนธรรมและภูมิปญญาแกประชาชน
ยางทั่วถงึ และตอเนือ่ ง ดวยวิธกี าร
๑) สรางและพัฒนาแหลงและกระบวนการเรียนรูทางวัฒนธรรม ใหประชาชนทุก
กลุมสามารถเขาถึงและใชประโยชนไดงาย โดยสนับสนุนใหมีพิพิธภัณฑ หองสมุด หอศิลป อุทยาน
แหงการเรียนรใู นรปู แบบตางๆ ทม่ี ชี ีวติ ชีวา เปนตน
๒) จัดทําฐานขอมูล แผนท่ีนําทางหรือทําเนียบทุนทางวัฒนธรรมและภูมิปญญา
ทองถ่ินในแตละพ้ืนท่ีใหมีความชัดเจน ถูกตอง ครบถวนที่สามารถเขาถึงและนําไปใชประโยชนได
สะดวก
๓) จัดใหมีหลักสูตรวัฒนธรรมศึกษาในสถานศึกษาทุกระดับทั้งในและนอกระบบ
โรงเรยี น
๔) สงเสริมการเสริมสรางคานิยมและพฤติกรรมท่ีพึงประสงคแกประชาชนโดยใหมี
การอนุรักษและพัฒนาวฒั นธรรมและจารตี ประเพณีทดี่ งี ามอยางเปนระบบ
๕) รณรงคฟนฟูระบบคุณคา คานิยม และความเชื่อที่ดีงามใหมีความเขมแข็งใน
สงั คมไทย เชน การประหยดั อดออม การกตัญ ตู อผูมีพระคณุ ความสามคั คี ฯลฯ
๖) สงเสริมใหมีการใชวัฒนธรรมของชุมชนมาสรางความเขมแข็งของชุมชนอยาง
ตอเนอื่ ง เชน การใชภาษาถนิ่ การลงแขก การเคารพผีปูตา การจัดการแหลงน้ําผานระบบเหมืองฝาย
ประเพณสี ืบชะตาปาและลุมนา้ํ ฯลฯ
๗) ฟนฟู อนุรักษ สืบสานและพัฒนาทุนทางวัฒนธรรมท่ีเปนศิลปวัฒนธรรม
ขนบธรรมเนยี ม จารตี ประเพณี เอกลักษณ และอัตลักษณความเปนไทยที่เปนมรดกและมีคุณคาของ
ทองถ่นิ และชาตอิ ยางเปนระบบ
48
๘) ใชส่ือสารมวลชลและเทคโนโลยีสารสนเทศทุกรูปแบบท่ีมีอยูในการเผยแพร
ขาวสาร และความรดู านวฒั นธรรมอยางตอเน่ืองและกวางขวาง
๙) ปรับสถาบนั และกลไกทเี่ ก่ียวของกับการพัฒนา อนุรักษ ฟนฟู ตอยอดวัฒนธรรม
และภูมปิ ญญาใหมปี ระสทิ ธิภาพในการบรหิ ารจดั การมากขึน้
สวุ รรณฤทธ์ิ วงศชะอุม. (๒๕๕๓). ทุนทางวัฒนธรรมเพ่ือการทองเทีย่ วอยางยั่งยืนของชุมชน
ทาคา อําเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม วารสารวิจัยและพัฒนา ปท่ี ๒ ๒๕๕๓ Research and
Development Journal.
Pierre Bourdieu. (๑๙๘๖: ๔๗-๕๐) กลาววา ทุนวัฒนธรรมท่ีปรากฏอยูมี ๓ รูปแบบ
กลาวคือ ๑) ส่ิงท่ีฝงอยูในตัวคนและกลุมคนมาอยางยาวนาน (embodies state) ไดแก ความคิด
จินตนาการ ความคิดริเริ่มและความเชื่อ ๒) สิ่งท่ีเปนรูปธรรม (objectified state) ในรูปแบบของ
สินคาวัฒนธรรม เชน รูปภาพ หนังสือ ส่ิงกอสรางสถานที่ท่ีเปนมรดกโลก ๓) ความเปนสถาบัน
(institutionalization state) ซ่งึ สามารถทําใหเกิดความเปนรปู ธรรม เชน กติกาการยอมรับที่หลายๆ
คนเหน็ รวมกนั เชน การยอมรับในสถาบันพระมหากษัตริย วดั และโรงเรียน
รังสรรค ธนะพรพันธ. (๒๕๔๖ : ๑๗-๑๘). ไดวิเคราะหทุนวัฒนธรรมเปนทุนสําคัญในสังคม
เศรษฐกิจ ซึ่งในยุคทุนอุตสาหกรรมเปนทุนหลักโดยมีการบริการเขามาเปนทุนกวาก่ึงระหวางทุน
ภาคอุตสาหกรรมและวัฒนธรรม ทุนวัฒนธรรม มีความสัมพันธกับความเติบโตระหวางอุตสาหกรรม
กบั ภาคบรกิ ารโดยมีสนิ คาวฒั นธรรม (cultural products) แสดงความเจริญเติบโตของทุนวัฒนธรรม
การศึกษาในเรื่องน้ีใหศึกษาไดจากสินคา หรือบริการท่ีสัมพันธกับวัฒนธรรม (embodied culture)
เปนผลผลิตท่ี การวิเคราะหการเติบโตของทุนวัฒนธรรมมิอาจแยกตางหากจากการศึกษาการ
เปลยี่ นแปลงโครงสรางการผลิตและพฒั นาการของทนุ หลักในระบบทุนนยิ มโลก
ICOMOS, (๑๙๙๙: ๒๓-๔) ไดกลาววา ทรัพยากรทางวัฒนธรรม คือ มรดกทางวัฒนธรรม
แบงเปน ๑) มรดกทางวฒั นธรรมทเี่ ปนรปู ธรรม (tangible cultural heritage) คือสิ่งที่มนุษยไดสราง
ข้ึน เชน สถานท่ี อาทิ ที่อยูอาศัย ชุมชนอาคาร รวมถึง งานฝมือ วัสดุ อุปกรณ เคร่ืองมือ เปนตน ๒)
มรดกทางวัฒนธรรมท่ีเปนนามธรรม (intangible cultural heritage) รวมถึง ประเพณี
ขนบธรรมเนยี ม ภาษา เพลงพธิ ีกรรม เทศกาล ทกั ษะพเิ ศษ เปนตน ICOMOS
สรุปไดวา แนวทางการยกระดับสินคาทางวัฒนธรรมหรือการพัฒนาทุนทางวัฒนธรรม
หมายถึง การพัฒนาสินคาหรือทุนทางวัฒนธรรมใหเปนอุตสาหกรรมทางสินคาทองเที่ยว นําทุนทาง
วฒั นธรรมไปใชประโยชนอยางมปี ระสทิ ธภิ าพ และเปนการ เสริมสรางทุนทางสังคม คนหาปจจัยหลัก
ในการสรางความแตกตาง และสรางคุณคาเพิ่มใหแกนักทองเที่ยวเพื่อหลีกหนีปญหาการแขงขันเชิง
ราคา และการแขงขันดานการทองเที่ยวจากประเทศคูแขง ภาครัฐ ไดมีการสงเสริม สนับสนุนการ
ทองเท่ียวเชิงวัฒนธรรมที่สําคัญ ตอยอดสินคาและบริการที่มาจากทุนวัฒนธรรม เปนการศึกษา
วิเคราะหสินคาเพ่ือดึงจุดเดนดานวัฒนธรรมและภูมิปญญาที่นาสนใจมาปรับปรุงโดยอาศัยความคิด
สรางสรรค องคความรู และเทคโนโลยีที่เหมาะกับสินคา แลวสรางคานิยมเสริมเขาไป ผานกลยุทธ
การตลาดที่เหมาะกับสถานการณ มีหลักการสําคัญ ๓ ประการ ไดแก (๑) การปรับปรุงรูปแบบของ
สินคาใหเหมาะสม มีความทันสมัย หรือออกแบบใหเกิดความแปลกใหม นาสนใจ แตยังคงเอกลักษณ
ทางวัฒนธรรม จะตองศึกษาจุดเดนของวัฒนธรรมและนํามาปรับใหกลมกลืนสอดคลองกับ
49
กลุมเปาหมาย คานิยมและวิถีชีวิตของสังคม (๒) การสรางตราสินคา โดยสรางนวัตกรรมที่มี
เอกลักษณและเรือ่ งราว เปนการหยิบยกเรอื่ งราวทางวฒั นธรรมทส่ี อดคลองกับสินคามานํา เสนอ และ
(๓) ความตั้งใจ และทักษะดานการบริหารจดั การเปนส่ิงสําคญั ที่จะทาํ ใหธรุ กจิ ประสบความสาํ เรจ็ ได
๒.๘ แนวคดิ เก่ยี วกับบญุ บงั้ ไฟ
เกย่ี วกบั ประเพณบี ุญบั้งไฟนน้ั ไดมผี ูรวบรวมไวไดแก
ประวัติความเปนมาของประเพณีบุญบั้งไฟ จากพงศาวดารเมืองยโสธรไดบันทึกไววา เม่ือ
ราวๆ ป พ.ศ. ๒๓๔๐ พระเจาวรวงศา (พระวอ) เสนาบดีเกาเมืองเวียงจันทนกับสมัครพรรคพวก
เดินทางอพยพจะไปอาศัยอยูกับเจานครจําปาศักดิ์ เมื่อเดินทางถึงดงผีสิงหเห็นเปนทําเลดี จึงไดต้ัง
หลักฐานและสรางเมืองที่น่ีเรียกวา “บานสิงหทา” หรือ “เมืองสิงหทา” ตอมาใน พ.ศ. ๒๓๕๗
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลานภาลัยไดทรงพระกรุณาโปรดเกลาฯใหยกฐานะบานสิงหทาแหงนี้
ขึ้นเปน “เมืองยโสธร” ขึ้นตรงตอกรุงเทพฯ มีเจาเมืองดํารงบรรดาศักด์ิเปนพระสุนทรราชวงศา ในป
พ.ศ. ๒๕๑๕ ไดยกฐานะขึ้นเปนจังหวัดยโสธร โดยประกาศคณะปฏิวัติฉบับท่ี ๗๐ ลงวันท่ี ๖
กมุ ภาพันธ ๒๕๑๕ ไดแยกอําเภอยโสธร อําเภอคําเขื่อนแกว อําเภอมหาชนะชัย อําเภอปาติ้ว อําเภอ
เลงิ นกทา และอาํ เภอกุดชมุ ออกจากจังหวัดอุบลราชธานี และรวมกันเปนจังหวัดยโสธร ต้ังแตวันท่ี ๑
มีนาคม ๒๕๑๕
จงั หวัดยโสธรมีเนอ้ื ทป่ี ระมาณ ๔,๑๖๑ ตารางกโิ ลเมตร เปนจงั หวัดทีม่ ขี นาดเล็กท่ีสุดในเขต
อีสานตอนลาง จังหวัดยโสธรแบงการปกครองออกเปน ๙ อาํ เภอ คือ อําเภอเมืองยโสธร คําเข่ือนแกว
มหาชนะชัย ปาต้วิ เลิงนกทา กดุ ชมุ คอวัง ทรายมูล และไทยเจรญิ
บุญบ้ังไฟ นิยมทํากันในเดือนหก ถือเปนประเพณีสําคัญที่จะขาดไมได เพราะตั้งแตโบราณ
จนถึงปจจุบัน ชาวอีสานมีความเช่ือวา ถาปใดไมจัดงานบุญบั้งไฟ ฟาฝนก็จะไมตกตองตามฤดูกาล
เกิดความแหงแลง ไมมีนํ้าทํานา แตถาปใดจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ ฟาฝนก็จะตกตองตามฤดูกาล
เกิดความอุดมสมบูรณ ปราศจากโรคภัย งานบุญบ้ังไฟจึงถือเปนงานประเพณี ประจําปท่ีสําคัญของ
ชาวอสี าน พอใกลถึงวันงานชาวอีสานไมวาจะอยูที่ไหนก็จะกลับบานไปรวมงานบุญบั้งไฟซ่ึงเปนงานท่ี
ส ร า ง ค ว า ม รั ก ค ว า ม ส า มั ค คี ข อ ง ค น ท อ ง ถ่ิ น เ ป น อ ย า ง ดี ( จ า ก
http://jamsai987.blogspot.com/2013/09/1.html)
พัชรี วิไล. (๒๕๕๖). ไดอธิบายไววา ประเพณีบุญบ้ังไฟ เปนประเพณีหนึ่งของภาคอีสาน
ของไทยรวมไปถึงลาว โดยมีตํานานมาจากนิทานพ้ืนบานของภาคอีสานเรื่องพระยาคันคาก เรื่องผา
แดงนางไอ ซ่ึงในนิทางพ้ืนบานดังกลาวไดกลาวถึง การที่ชาวบานไดจัดงานบุญบ้ังไฟขึ้นเพื่อเปนการ
บูชา พระยาแถน หรือเทพวัสสกาลเทพบุตร ซึ่ง ชาวบานมีความเชื่อวา พระยาแถนมีหนาที่คอยดูแล
ใหฝนตกถูกตองตามฤดูกาล และมีความช่ืนชอบไฟเปนอยางมาก หากหมูบานใดไมจัดทําการจัดงาน
บุญบ้ังไฟบูชา ฝนก็จะไมตกถูกตองตามฤดูกาล อาจกอใหเกิดภัยพิบัติกับหมูบานได ชวงเวลาของ
ประเพณีบุญบัง้ ไฟคือเดอื นหกหรือพฤษภาคมของทุกป
ประเพณีบุญบ้ังไฟมีมาแตคร้ังไหนยังหาหลักฐานที่แนชัด มีขอสันนิษฐานเก่ียวกับความ
เปนมาของประเพณีบญุ บงั้ ไฟในแงตางๆ ไวดงั น้ี
๑. ความเช่ือของชาวบานกับประเพณบี ญุ บั้งไฟ
50
ชาวบานเชื่อวามีโลกมนุษย โลกเทวดา และโลกเทวดา มนุษยอยูใตอิทธิพลของ
เทวดา การราํ ผีฟาเปนตัวอยางที่แสดงออกทางดานการนับถือเทวดา และเรียกเทวดาวา “แถน” เมื่อ
ถอื วามแี ถนก็ถอื วา ฝน ฟา ลม เปนอิทธิพลของแถน หากทําใหแถนโปรดปราน มนุษยก็จะมีความสุข
ดังน้นั จึงมีพธิ บี ูชาแถน การจุดบ้งั ไฟกอ็ าจเปนอกี วิธหี น่งึ ที่แสดงความเคารพหรือสงสัญญาณความภักดี
ไปยังแถน ชาวอีสานจํานวนมากเชอ่ื วาการจดุ บ้ังไฟเปนการขอฝนจากพญาแถน และมีนิทานปรัมปรา
เชนน้อี ยูทัว่ ไป แตความเชื่อนยี้ ังไมพบหลักฐานทแี่ นนอน นอกจากน้ีในวรรณกรรมอีสานยังมีความเช่ือ
อยางหน่ึงคือ เรื่องพญาคันคาก หรือคางคก พญาคันคากไดรบกับพญาแถนจนชนะแลวใหพญาแถน
บันดาลฝนลงมาตกยงั โลกมนษุ ย
๒. ความหมายของบงั้ ไฟ
คําวา “บั้งไฟ” ในภาษาถ่ินอีสานมักจะสับสนกับคําวา “บองไฟ” แตท่ีถูกนั้นควร
เรยี กวา”บั้งไฟ”ดงั ที่ เจริญชัย ดงไพโรจน ไดอธิบายความแตกตางของคําทั้งสองไววา บ้ังหมายถึง ส่ิง
ทเี่ ปนกระบอก เชน บง้ั ทงิ สําหรบั ใสนํ้าดม่ื หรอื บั้งขาวหลาม เปนตน
๓. ประเพณบี ญุ บ้ังไฟในทางศาสนาพุทธกับประเพณบี ญุ บัง้ ไฟ
มีการฉลองและบูชาในวันวิสาขบูชากลางเดือนหก มีการทําดอกไมไฟในแบบตางๆ
ทง้ั ไฟนา้ํ มนั ไฟธูปเทียนและดนิ ประสวิ มกี ารทําทาน รักษาศีล เจรญิ ภาวนา
๔. ประเภทของบัง้ ไฟ ประกอบดวย
๑) บั้งไฟโหวด บ้ังไฟโบดหรือโหวดเปนบ้ังไฟขนาดเล็กตัวกระบอกจะยาวขึ้น
ประมาณ ๔-๑๐ นิ้ว บรรจุหม่ือหนักประมาณ ๑ สวน ๘ ถึง ๑ สวน ๒ กิโลกรัม ใชหางยาวประมาณ
๑-๔ เมตร มีกระบอกไมไผเล็กๆ มัดวางรอบตัวบ้ังไฟ นิยมทําประกอบกันในบั้งไฟใหญ (บั้งไฟหมื่น,
บ้งั ไฟแสน) ปจจุบันไมคอยนยิ มทาํ เพราะไมมีชาง
๒) บั้งไฟมา บ้ังไฟชนิดน้ีเปนบั้งไฟขนาดเล็กจุดไปตามทิศทางที่กําหนดใชเสนลวด
เปนวิถีตรึงไปยังเปาหมายที่ตองการ ลักษณะท่ัวไปเปนบั้งไฟที่ทําจากกระบอกไมไผ ๑ ปลอง ขนาด
แลวแตตองการ โดยท่ัวไปเสนผาศูนยกลางประมาณ ๒ นิ้ว ยาวประมาณ ๑ ฟุตทางภาคกลางและ
ภาคอีสานเรียกวา “ลกู หนู” คลายมาท่ีกําลังวิ่ง ถาติดรูปอะไรก็เรียกชื่อไปตามนั้น เปนคนขี่มา รูปวัว
แลวแตจะทาํ รปู อะไร บางคร้งั ภาคเหนอื เรียกวา บอกไฟยิง
๓) บ้ังไฟชาง บั้งไฟชนิดน้ีไมมีหาง มีชื่ออีกอยางหนึ่งวากระโพกหรือตะโพก เวลาจุด
ไมตองการใหพงุ ขน้ึ ไปแตตองการมีเสียงรองคลายกับชางรอง วิธีทําบ้ังไฟใหใชกระบอกไมไผที่มีขนาด
ใหญที่สุดยาวเพยี งปองเดยี วใหมีขอปดทั้ง ๓ ดาน ทุบไมไผใหแตกเล็กนอย เจาะรู เพ่ือบรรจุหม่ือแลว
ตอชนวนเขารูแทงหม่ือทาํ จากหมื่อถาน ๓-๔ อัดลงในไมไผขนาดเล็กใหแนน แลวผาเอาแทงหม่ือออก
มาคลายขาวหลาม ใหไดแทงประมาณ ๓ นว้ิ การจุดนน้ั นิยมตอพวงชนวนบง้ั ไฟใหญ เวลาจุดชนวนผา
จะเกิดเสียงดังเหมือนเสียงชางรอง นิยมวางตอกันเปนชวงๆ กระบอก ถาตองการจะใหมีเสียงดั ง
อยางไรกจ็ ะมเี ทคนิคในการทาํ ใหเกิดเสียงนัน้ ๆ
๔) บั้งไฟแสน บงั้ ไฟชนิดน้ีเปนบั้งไฟขนาดใหญที่สุด บรรจดุ ินปนหนัก ๑๒๐ กิโลกรัม
ขนึ้ ไป บ้ังไฟขนาดนท้ี ํายากท่ีสุดจะตองอาศัยความชํานาญเปนพิเศษ เพราะบ้ังไฟขนาดนี้หากแตกแลว
จะเปนอันตรายมาก เพราะฉะน้ันกอนทําบั้งไฟจะตองมีพิธีกรรมบวงสรวงใหถูกตองตามหลักการทํา
บ้ังไฟแสนเสยี กอนจึงจะลงมอื ทาํ เมอ่ื ตกบ้งั ไฟเสร็จเรยี บรอยแลวจะมกี ารตกแตงประดับประดาบัง้ ไฟ
51
๕) บ้ังไฟตะไล บ้ังไฟชนิดนี้ก็คือบ้ังไฟจินายขนาดใหญน่ันเอง มีความยาวประมาณ
๙-๑๒ น้วิ รปู รางกลมมีไมบางๆ แบนๆ เปนวงกลมครอบหวั ทายบ้ังไฟเมอ่ื พงุ ข้ึนสฟู าไปโดยทางขวาง
๖) บัง้ ไฟต้อื บั้งไฟตอ้ื หรอื บ้ังไฟกระแตน่ังตอ เปนบ้ังไฟขนาดเล็กมีหางส้ัน วิธีทํา ตัด
กระบอกไมไผขนาด ๑ นิ้วครึ่งยาวประมาณ ๓ น้ิว อัดหม่ือใหแนนประมาณ ๒ นิ้ว ใชหม่ือถานสาม
หรอื ถานสี่อัดดวยเถียดไมใหแนน ตอหางซ่ึงทําจากไมไผ เหลาเปนแทงเล็กๆ ใชเล่ือยตัดมุมขอออกจน
เห็นหมื่อ เจาะใหเปนรูเล็กๆ แลวติดชนวน เวลาจะจุดเอาหางเสียบลงในแทนท่ีต้ังพอใหตั้งได
จดุ ชนวนจากดานบน บ้ังไฟจะพุงและหมุนข้ึนสูอากาศ เกิดเสียงดังตือๆ เวลาหมุนจะไมคอยมีทิศทาง
ใชจดุ ในงานศพ เวลาจดุ มอี ันตรายมากไมคอยนยิ มทํากนั
๗) บั้งไฟพลุ บั้งไฟพลุ เปนบั้งไฟที่นิยมจุดในเทศกาลตางๆ เชน งานกฐิน งานบุญ
มหาชาติ หรือ งานเปดกฬี า ฯลฯ เปนบ้ังไฟทีจ่ ุดแลวทาํ ใหเกิดเสียงดัง ในอดีตนิยมจุดในงานกฐิน เพ่ือ
เปนการบอกขาวไปยังพน่ี องประชาชนท่ัวไปใหทราบ
สุเมธ สมสวน. (๒๕๕๖). ความหมายของบ้ังไฟ คําวา “บ้ังไฟ” ในภาษาถ่ินอีสานมักจะ
สับสนกับคําวา “บองไฟ” แตที่ถูกนั้นควรเรียกวา”บั้งไฟ”ดังท่ี เจริญชัย ดงไพโรจน ไดอธิบายความ
แตกตางของคําทั้งสองไววา บ้ังหมายถึง ส่ิงที่เปนกระบอก เชน บั้งทิง สําหรับใสนํ้าดื่ม หรือบั้งขาว
หลาม เปนตน
สวนคําวา บอง หมายถึง สิ่งของใดๆ ก็ไดท่ีมี ๒ ช้ิน มาสวมหรือประกอบเขากันได สวน
นอกเรียกวา บอง สวนในหรือส่ิงที่เอาไปสอดใสจะเปนส่ิงใดก็ได เชน บองมีด บองขวาน บองเสียม
บองวัว บองควาย ดังน้ัน คําวา บั้งไฟ ในภาษาถิ่นอีสานจึงเรียกวา บ้ังไฟ ซึ่งหมายถึงดอกไมไฟชนิด
หนึ่ง มีหางยาวเอาดินประสิวมาค่ัวกับถานไมตําใหเขากันจนละเอียดเรียกวา หม่ือ (ดินปน) และเอา
หมื่อนั้นใสกระบอกไมไผตําใหแนนเจาะรูตอนทายของบ้ังไฟ เอาไผทอนอื่นมัดติดกับกระบอกใหใส
หม่ือโดยรอบ เอาไมไผยาวลําหน่ึงมามัดประกบตอออกไปเปนหางยาว สําหรับใชถวงหัวใหสมดุลกัน
เรียกวา “บั้งไฟ” ในทัศนะของผูวิจัย บั้งไฟ คือการนําเอากระบอกไมไผ เลาเหล็ก ทอเอสลอน หรือ
เลาไมอยางใดอยางหน่ึงมาบรรจุหม่ือ (ดินปน) ตามอัตราสวนที่ชางกําหนดไวแลวประกอบทอนหัว
และทอนหางเปนรูปตางๆ ตามท่ีตองการ เพื่อนําไปจุดพุงข้ึนสูอากาศ จะมีควันและเสียงดัง บ้ังไฟมี
ห ล า ย ป ร ะ เ ภ ท ต า ม จุ ด มุ ง ห ม า ย ข อ ง ป ร ะ โ ย ช น ใ น ก า ร ใ ช ส อ ย ( จ า ก
http://202.183.204.137/km/?p=3254).
เว็ปไซดกะปุกดอทคอม. (๒๕๕๗). ไดอธิบายเกี่ยว ตํานานเรื่อง พญาคันคากกับพญาแถน
ไววา
ตาํ นานพญาแถน
พญาแถนเทพผูเปนใหญในสวรรคผูดลบันดาลใหฝนตก เกิดไมพอใจชาวโลกจึงบันดาล
ใหฝนไมตกเลยตลอด ๗ ป ๗ เดอื น ๗ วัน ชาวเมืองทนไมไหวจึงคิดทําสงครามกับพญาแถน แตสูพญา
แถนกับกองทัพเทวดาไมได ถูกไลลาหนีมาถึงตนไมใหญที่พระโพธิสัตวเสวยชาติเปนพญาคันคาก
(คางคก) อาศัยอยู และพญาคันคากตกลงใจเปนจอมทัพของชาวโลกตอสูกับพญาแถน พญาคันคากให
พญาปลวกกอจอมปลวกข้ึนไปจนถึงสวรรค ใหพญามอดไมไปทําลายดามอาวุธของทหารและอาวุธ
พญาแถน และใหพญาผึ้ง ตอ แตนไปตอยทหารและพญาแถนฝายเทวดาพายแพ พญาแถนจึงใหคํามั่น
วา หากมนุษยยิงบั้งไฟข้ึนไปเตือนเมื่อไรจะรีบบันดาลใหฝนตกลงมาใหทันทีและถากบเขียดรองก็ถือ
52
เปนสัญญาณวาฝนไดตกลงถงึ พืน้ แลว และเม่ือใดทชี่ าวเมอื งเลนวาวก็เปนสัญญาณแหงการหมดส้ินฤดู
ฝน
ตํานานเร่ืองทาวผาแดงนางไอ
นางไอเปนธิดาพระยาขอมผูครองเมืองชะธีตา นางไอเปนสตรีท่ีมีสิริโฉมงดงามเปนที่เลื่อง
ลือไปในนครตาง ๆ ทั้งโลกมนุษยและบาดาล มีชายหนุมหมายปองจะไดอภิเษกกับนางมากมาย ใน
จํานวนผูทมี่ าหลงรกั นางไอ มีทาวผาแดงและทาวพังคี โอรสสุทโธนาค เจาผูครองนครบาดาล ทาวทั้ง
สองตางเคยมีความผูกพันกับนางไอมาแตอดีตชาติ จึงตางชวงชิงจะไดเคียงคูกับนาง แตก็พลาดหวัง
จึงมไิ ดอภิเษกทง้ั คเู พราะแขงขันบงั้ ไฟแพ
ทาวพังคีนาคไมยอมลดละ แปลงกายเปนกระรอกเผือกคอยติดตามนางไอ สุดทายถูกฆา
ตาย พญานาคผูเปนพอจงึ ข้ึนมาถลมเมืองลมไป กลายเปนหนองนํ้าใหญ คือ หนองหาน หนองหานใน
ตาํ นานทาวผาแดงนางไอ ที่เปนท่ีถกเถียงกันวาท่ีไหนกันแน มีอยูถึง ๓ ที่ ไดแก หนองหาน ที่ อําเภอ
หนองหาน จังหวัดอุดรธานี และหนองหาน อําเภอกุมภวาป ซึ่งก็ไมไกลจากท่ีแรกมากนัก และอีกที่
หนง่ึ กค็ อื หนองหาร จงั หวดั สกลนคร
ในตําราอางอิงถึงเร่ืองผาแดงนางไอจบลงดวยการเกิดเปนหนองนํ้า ขนาดใหญจากการ
ตอสูของพญานาคกับทาวผาแดง ตางก็มีขอมูลอางอิงถึง หนองนํ้าที่ช่ือหนองหาน แตกลาวตางกันไป
ในตาํ ราแตละเลมถงึ หนองน้าํ ทง้ั ๓ แหง
ความเชอ่ื ของชาวบานกบั ประเพณบี ญุ บ้งั ไฟ
ชาวบานเช่ือวามีโลกมนุษย โลกเทวดา และโลกเทวดา มนุษยอยูใตอิทธิพลของเทวดา
การรําผีฟาเปนตัวอยางที่แสดงออกทางดานการนับถือเทวดา และเรียกเทวดาวา "แถน" เมื่อถือวามี
แถนก็ถือวา ฝน ฟา ลม เปนอิทธิพลของแถน หากทําใหแถนโปรดปราน มนุษยก็จะมีความสุข ดังน้ัน
จงึ มพี ิธีบชู าแถน การจดุ บั้งไฟก็อาจเปนอีกวิธีหน่ึงท่ีแสดงความเคารพหรือสงสัญญาณความภักดีไปยัง
แถน ชาวอีสานจํานวนมากเชือ่ วาการจุดบ้ังไฟเปนการขอฝนจากพญาแถน และมีนิทานปรัมปราเชนน้ี
อยูท่วั ไป แตความเช่อื นี้ยังไมพบหลักฐานท่แี นนอน
การจัดประเพณีบุญบ้งั ไฟ
กอนจะถึงวันงานหรือวนั เอาบญุ ชาวบานก็จะชวยกันเตรยี มงานกันอยางสามัคคี ชาวบาน
ท่ไี ดรับมอบหมายจะสรางปะราํ หรอื "ผาม" หรอื "ตบู บุญ” ฝายแมครัวกเ็ ตรียมขาวปลาอาหารไวเลี้ยง
แขกเลย้ี งคน ฝายชางฟอนกเ็ ตรียมขบวนรําไวสําหรบั แหบง้ั ไฟ ฝายผูชายที่เปนชางฝมือก็ชวยกันทําบ้ัง
ไฟและตกแตงใหสวยงาม งานบุญบั้งไฟสวนใหญจะไมคอยมีพิธีกรรมทางศาสนาเทาใดนักแตบางแหง
กม็ ีพิธที ําบญุ เลย้ี งพระบาง
วันโฮม เปนชาวบานก็จะมาต้ังขบวนเพื่อแหบ้ังไฟไปรอบ ๆ หมูบาน เปนงานบุญที่เนน
ความสนกุ สนานร่ืนเริง ในขบวนจะมีการรําเซ้ิงตามบ้ังไฟ ประกวดการเอ(ประดับ) บั้งไฟสวยงามและ
บรรดาขี้เหลาท้ังหลายกจ็ ะรองเพลงเซิ้งไปขอเหลาตามบานตาง ๆ กาพยเซิ้งอาจจะหยาบคายแตก็ไมมี
ใครถือสากัน แตกาพยเซิ้งทีใ่ ชแหในขบวนมักจะเปนประวตั แิ ละความเปนมาของพธิ บี ุญบงั้ ไฟ
วนั จดุ บง้ั ไฟ เปนอกี วันหนง่ึ คือเปนวันที่ชาวบานจะเอาบ้ังไฟของแตละคุมแตละหมูบานมา
จุดแขงกัน ถาของใครทํามาดีจุดขึ้นไดสูงสุดก็จะชนะแตถาของใครแตกหรือซุก็ถือวาแพ ตองโดน
53
ลงโทษโดยการจับโยนลงโคลนหรือตมซึ่งเปนท่ีสนุกสนานอยางยิ่ง การจุดบั้งไฟเปนการเสี่ยงทาย ถา
บง้ั ไฟข้ึนสงู กท็ าํ นายวาฝนจะตกดี ขาวปลาอาหารอดุ มสมบูรณ
การทําบง้ั ไฟ
ในสมัยกอนการทําบ้ังไฟจะใชไมไผลําขนาดใหญท่ีสุด ทะลวงปลองใหถึงกัน ภายนอกจะ
ใชตอกไมไผถักเปนเชือกมัดรอบลําไผใหแนนเพื่อไมใหลําไผแตก สวนหัวปลองสุดทายจะถูกอุดดวย
แผนไมหนาพอควร แลวทําการอัดบรรจุหมื่อ (ดินปน) ใหแนนดวยการตํา หรือใชคานดีดคานงัด (ใน
ปจจบุ นั ใชแมแรงยกลอรถบรรทกุ แทนสะดวกกวากันดังภาพซายมอื ) ยุคสมัยเปล่ียนไปจากลําไผกลาย
มาเปนทอเหล็กหรือทอประปา (ซ่ึงอันตรายมากเม่ือมีการระเบิดใสผูคนอยางท่ีเปนขาว) ตอนหลังหัน
มาใชทอพีวีซีแทนซึ่งก็ยังเปนอันตรายอยูดี จากการบูชาแถนมาเปนการพนันขันตอเพ่ือการเดิมพัน
จํานวนบั้งไฟที่จุดในแตละที่จึงมีจํานวนมาก และสรางความเสียหายตอชุมชนในทิศที่บ้ังไฟถูกจุด
ออกไป (เพราะสามารถไปไกลไดหลายสิบกิโลเมตร)
สวนประกอบของบ้งั ไฟ
๑. เลาบั้งไฟ เลาบ้ังไฟคือสวนประกอบท่ีทําหนาท่ีบรรจุดินปน มีลักษณะเปนรูป
ทรงกระบอกกลมยาว มีความยาวประมาณ ๑.๕-๗ เมตร ทําดวยลําไมไผเเลวใชรั้วไมไผ (ตอก) ปด
เปนเกลียวเชือกพันรอบเลาบัง้ ไฟอีกครงั้ หนง่ึ ใหแนน และใชดินปนทช่ี าวบานเรยี กวา"หมื่อ" อัดใหแนน
ลงไปในเลาบ้ังไฟ ดวยวธิ ใี ชสากตําแลวเจาะรูสายชนวน เสรจ็ แลวนาํ เลาบ้งั ไฟ ไปมัดเขากบั สวนหางบ้ัง
ไฟ ในสมัยตอมานิยมนําวัสดุอ่ืนมาใชเปนเลาบั้งไฟแทนไมไผ ไดแก ทอเหล็ก ทอพลาสติก เปนตน
เรยี กวาเลาเหลก็ ซ่งึ สามารถอดั ดินปนไดแนนและมปี ระสทิ ธิภาพในการยิงไดสงู กวา
๒. หางบั้งไฟ หางบ้ังไฟถือเปนสวนสําคัญทําหนาท่ีคลายหางเสือ ของเรือคือสรางความ
สมดุลใหกบั บง้ั ไฟคอยบังคบั ทศิ ทางบั้งไฟใหยิงขน้ึ ไปในทศิ ทางตรงและสูง บัง้ ไฟแบบเดิมนั้น ทําจากไม
ไผทั้งลํา ตอมาพัฒนาเปนหางทอนเหล็กและหางทอนไมไผติดกันหางทอนเหล็กมีลักษณะเปนทอน
กลม ทรงกระบอกมคี วามยาวประมาณ ๘-๑๒ เมตร ทาํ หนาท่เี ปนคานงัดยกลําตัวบั้งไฟชูโดงชี้เอียงไป
ขางหนาทํามมุ ประมาณ ๓๐-๔๐ องศากับพ้ืนดิน โดยบ้ังไฟจะย่ืนไปขางหนายาวประมาณ ๗-๘ เมตร
ปลายหางดานหนึง่ ตั้งอยบู นฐานท่ีตง้ั บงั้ ไฟ
๓. ลูกบ้ังไฟ เปนลําไมไผที่นํามาประกอบเลาบั้งไฟโดยมัดรอบลําบ้ังไฟ บั้งไฟลําหนึ่งจะ
ประกอบดวยลูกบั้งไฟประมาณ ๘-๑๕ ลูก ข้ึนอยูกับขนาดของบ้ังไฟ เดิมลูกบ้ังไฟมีแปดลูกมีชื่อเรียก
เรยี งตามลําดับคูขนาดใหญไปหาคทู มี่ ีขนาดเล็กกวาไดแก ลกู โอ ลกู กลาง ลูกนางและลูกกอย ลูกบ้ังไฟ
ชวยใหรูปทรงของบั้งไฟกลมเรียวสวยงาม นอกจากน้ีลูกบั้งไฟยังเปนพ้ืนผิวรองรับการเอหรือการ
ตกแตงลวดลายปะตดิ กระดาษ
ประเพณีบุญบ้ังไฟยโสธร
จังหวัดหนึ่งในภาคอีสานที่จัดงานบุญบ้ังไฟจนกลายเปนงานประเพณีระดับชาติคือ
จังหวัดยโสธร โดยไดจดั เทศกาลงานประเพณบี ญุ บั้งไฟ ณ สวนสาธารณะพญาแถน ในชวงอาทิตยที่ 2
ของเดือนพฤษภาคมกอนที่จะถึงฤดูลงมือทํานา โดยงานนี้ไดรับความสนใจอยางมากเนื่องจากบุญบั้ง
ไฟของชาวยโสธรเปนบุญบัง้ ไฟนานาชาติโดยมีบ้ังไฟจากประเทศญี่ปุน และประเทศเพ่ือนบานมารวม
งานทกุ ป ทมี่ ีชื่อเสียงไปทัว่ โลก และดงึ ดูดชาวตางชาติเขามาเทีย่ วชมจาํ นวนมาก มีการประกวดแหเซ้ิง
บ้ังไฟ บ้ังไฟสวยงาม ประกวดกองเชียร การประกวดธิดาบั้งไฟโก ฯลฯ ซึ่งตลอดสัปดาหท่ีมีงาน
54
ประเพณีดังกลาวจังหวัดยโสธรในเวลาค่ําคืนจะไมเงียบสงัดเหมือนทุกเดือนท่ีผานมา เพราะจะไดยิน
แตเสียงกลองตุม ผาง ผสานเสียงกับการขับขานกลอนเซ้ิง ท่ีบอกเลาถึงตํานานบ้ังไฟดวยจังหวะแบบ
พนื้ เมอื ง
ประเพณบี ญุ บั้งไฟเรียกไดวาเปนประเพณีท่ีมีการสืบทอดมาอยางยาวนาน แตสําหรับผูท่ีจะ
ไปรวมงานบุญบั้งไฟกร็ ะมดั ระวงั อุบัตเิ หตุกนั ดวย
สรปุ ไดวา บุญบัง้ ไฟ หมายถึง เปนประเพณีหนึ่งของภาคอีสานของไทยรวมไปถึงลาว โดยมี
ตํานานมาจากนทิ านพื้นบานของภาคอสี านเรอื่ งพระยาคันคาก เรื่องผาแดงนางไอ ซ่ึงในนิทางพื้นบาน
ดังกลาวไดกลาวถึง การท่ีชาวบานไดจัดงานบุญบ้ังไฟข้ึนเพื่อเปนการบูชา พระยาแถน หรือเทพวัส
สกาลเทพบุตร ซ่ึง ชาวบานมีความเช่ือวา พระยาแถนมีหนาท่ีคอยดูแลใหฝนตกถูกตองตามฤดูกาล
และมีความช่ืนชอบไฟเปนอยางมาก หากหมูบานใดไมจัดทําการจัดงานบุญบ้ังไฟบูชา ฝนก็จะไมตก
ถูกตองตามฤดูกาล อาจกอใหเกิดภัยพิบัติกับหมูบานได ชวงเวลาของประเพณีบุญบ้ังไฟคือเดือนหก
หรือพฤษภาคมของทุกป นอกจากนั้นก็จะมีการรําผีฟาเปนตัวอยางที่แสดงออกทางดานการนับถือ
เทวดา และเรียกเทวดาวา "แถน" เมื่อถือวามีแถนก็ถือวา ฝน ฟา ลม เปนอิทธิพลของแถน หากทําให
แถนโปรดปราน มนุษยก็จะมคี วามสุข งานบุญบง้ั ไฟสวนใหญจะไมคอยมีพิธีกรรมทางศาสนาเทาใดนัก
สวนใหญจะนยิ มจัดกนั ๒ วนั คอื วนั โฮม เปนชาวบานกจ็ ะมาตั้งขบวนเพ่ือแหบั้งไฟไปรอบ ๆ หมูบาน
เปนงานบุญที่เนนความสนุกสนานร่ืนเริง ในขบวนจะมีการรําเซิ้งตามบ้ังไฟ ประกวดการเอ(ประดับ)
บั้งไฟสวยงามและบรรดาข้ีเหลาท้ังหลายก็จะรองเพลงเซ้ิงไปของเหลาตามบานตาง ๆ กาพยเซิ้ง
อาจจะหยาบคายแตก็ไมมีใครถือสากัน แตกาพยเซ้ิงที่ใชแหในขบวนมักจะเปนประวัติและความ
เปนมาของพิธบี ุญบง้ั ไฟ และวันจดุ บงั้ ไฟ เปนอกี วันหนึ่งคือเปนวันท่ีชาวบานจะเอาบ้ังไฟของแตละคุม
แตละหมูบานมาจุดแขงกัน ถาของใครทํามาดีจุดข้ึนไดสูงสุดก็จะชนะแตถาของใครแตกหรือซุก็ถือวา
แพ ตองโดนลงโทษโดยการจับโยนลงโคลนหรือตมซ่ึงเปนท่ีสนุกสนานอยางยิ่ง การจุดบ้ังไฟเปนการ
เสยี่ งทาย ถาบ้งั ไฟขึ้นสูง กท็ ํานายวาฝนจะตกดี ขาวปลาอาหารอุดมสมบูรณ
2.๙ สภาพทัว่ ไปและขอมลู พน้ื ฐานพ้นื ทใ่ี นการวิจัย
สภาพท่ัวไปและขอมูลพ้ืนฐานของอํานาจปกครองของจังหวัดยโสธร จังหวัดยโสธร นั้น มี
รายละเอียดดงั ตอไปน้ี
1. ประวตั แิ ละความเปนมา
ยโสธร เปนจงั หวดั ซึ่งแยกออกจากจงั หวัดอุบลราชธานี เม่อื พ.ศ. 2515 ตั้งอยูในภาคอิ
สานตอนลางดานทิศเหนือติดกับแนวเทือกเขาภูพานสวนทางใต เปนที่ราบลุมมีแมน้ําชีไหลผานเปน
ระยะทางถึง 110 ก.ม. จังหวัดยโสธรมีระยะทางหางจากกรุงเทพฯ 531 ก.ม. และเปนจังหวัดที่มี
งานประเพณี เซิ้งบั้งไฟ โดยจัดอยางใหญโตทุกป ประมาณกลางเดือน 6 ดวยความรวมมือ สนับสนุน
ของการทองเที่ยว แหงประเทศไทย มีช่ือเสียงในการเปนแหลงปลูกขาวหอมมะลิพันธุดี มีพ้ืนท่ี
41,61.7 ตร.ก.ม. แบงการปกครองออกเปน 9 อําเภอ คือ อําเภอเมืองยโสธร อําเภอมหาชนะชัย
อําเภอคําเขื่อนแกว อําเภอเลิงนกทา อําเภอกุดชุม อําเภอปาติ้ว อําเภอคอวัง อําเภอทรายมูลและ
อําเภอไทยเจริญ
55
ประวัติความเปนมาขององคการบริหารสวนจังหวัด การจัดรูปองคการบริหารสวนจังหวัด
ซึ่งเปนการปกครองสวนทองถิ่นรูปหน่ึงที่ใชอยูในปจจุบันน้ี ไดมีการปรับปรุงแกไขและวิวัฒนาการมา
ตามลําดับ โดยจัดใหมีสภาจังหวัดข้ึนเปน คร้ังแรก ในปพ.ศ.2476 ตามความในพระราชบัญญัติจัด
ระเบยี บเทศบาล พ.ศ. 2476 ฐานะของสภาจังหวัดตามพระราชบัญญัติน้ีมีลักษณะเปนองคกร ท่ีทํา
หนาท่ีใหคําปรึกษาหารือแนะนําแกกรรมการจังหวัด โดยยังไมไดมีฐานะเปนนิติบุคคลที่แยกตางหาก
จากราชการบริหารสวนภมู ิภาค ตอมาในป พ.ศ.2481 ไดมีการตราพระราชบัญญัติสภาจังหวัด พ.ศ.
2481 ขึ้น โดยมีความประสงคทจ่ี ะแยกกฎหมายท่เี กี่ยวกบั สภาจงั หวัดไวโดยเฉพาะแตสภาจังหวัดยัง
ทําหนาทเี่ ปนสภาท่ปี รกึ ษาของกรรมการจังหวัดเชนเดิม จนกระทั่งไดมีการประกาศใหพระราชบัญญัติ
ระเบียบบริหารราชการแผนดิน พ.ศ.2495 ซ่ึงกําหนดใหผูวาราชการจังหวัดเปนหัวหนาปกครอง
บงั คับบัญชาขาราชการ และรับผดิ ชอบการบริหารราชการในจังหวัดของกระทรวง ทบวง กรม ตาง ๆ
ทําใหอํานาจของกรรมการจังหวัดเปนอํานาจของผูวาราชการจังห วัด ดังน้ัน โดยผลแหง
พระราชบัญญตั ฉิ บบั นีท้ าํ ใหสภาจงั หวัดมฐี านะเปนสภาที่ปรึกษาของผูวาราชการจังหวัดดวย ตอมาได
เกิดแนวความคิดท่ีจะปรับปรุงบทบาทของสภาท่ีปรึกษาของสภาจังหวัดใหมีประสิทธิภาพและให
ประชาชนไดเขามามีสวนในการปกครองตนเองยิ่งขึ้นอันมีผลใหเกิด "องคการบริหารสวนจังหวัด" ข้ึน
ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการสวนจังหวัด พ.ศ. 2498 ซ่ึงกําหนดใหองคการบริหาร
สวนจงั หวดั มฐี านะเปนนติ บิ คุ คล แยกจากจังหวัดซงึ่ เปนราชการบริหารสวนภูมิภาคและประกาศคณะ
ปฏิวตั ิ ฉบับท่ี 218 ลงวันที่29 กนั ยายน 2515 ซง่ึ เปนกฎหมายแมบทวาดวยการจัดระเบียบบริหาร
ราชการแผนดนิ ไดกําหนดใหองคการบรหิ ารสวนจังหวัดมฐี านะเปนหนวยการปกครองทองถ่ินรูปหนึ่ง
จนกระท่งั ปจจบุ นั
2. อาณาเขตและพนื้ ท่ตี ิดตอ
จังหวัดยโสธร ต้ังอยูท่ีทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ระหวางเสนแวงที่
104 และ 105 องศาตะวันออก และเสนรุงที่ 15 และ 16 องศาเหนือ หางจากกรุงเทพฯ 552
กม. มีเน้ือที่ประมาณ 4,161.664 ตร.กม. หรือ ประมาณ 2,601,040 ไรมีอาณาเขตติดตอกับ
จงั หวดั ใกลเคียง
อาณาเขต
ทศิ เหนอื ตดิ ตอกบั จงั หวัดมกุ ดาหาร จังหวดั รอยเอด็
ทศิ ใต ตดิ ตอกบั จงั หวดั ศรสี ะเกษ
ทิศตะวนั ออก ติดตอกับ จงั หวดั อบุ ลราชธานี อาํ นาจเจริญ
ทิศตะวนั ตก ตดิ ตอกับ จงั หวดั รอยเอ็ด
ระยะทางระหวางอําเภอเมอื งไปอาํ เภอตางๆ
อาํ เภอคําเข่ือนแกว 23 กิโลเมตร
อําเภอมหาชนะชัย 41 กิโลเมตร
อาํ เภอคอวัง 70 กโิ ลเมตร
อําเภอปาตวิ้ 28 กิโลเมตร
อาํ เภอเลงิ นกทา 69 กิโลเมตร
อําเภอกดุ ชมุ 37 กิโลเมตร
56
อาํ เภอทรายมูล 18 กิโลเมตร
3. เขตการปกครอง
การปกครองและประชาชนมีการปกครองทั้งหมด 9 อําเภอ รวม 78 ตําบล 862
หมบู าน ดังนี้
1. อําเภอเมอื งยโสธร 17 ตําบล 183 หมบู าน
2. อําเภอกดุ ชุม 9 ตําบล 123 หมูบาน
3. อาํ เภอคําเขื่อนแกว 13 ตาํ บล 112 หมบู าน
4. อําเภอปาตว้ิ 5 ตําบล 57 หมูบาน
5. อาํ เภอมหาชนะชัย 10 ตําบล 102 หมบู าน
6. อาํ เภอเลงิ นกทา 10 ตาํ บล 139 หมบู าน
7. อาํ เภอทรายมูล 5 ตําบล 53หมบู าน
8. อาํ เภอคอวัง 4 ตําบล 45 หมูบาน
9. อําเภอไทยเจรญิ 5 ตาํ บล 48 หมบู าน
ประชากรจํานวนประชากรท้ังสิ้น 552,714 คน เปนชาย 277,538 คน เปนหญิง
275,176 คน
4. ขอมลู ทางกายภาพ
ลักษณะภูมิประเทศ จังหวัดยโสธรมีพื้นท่ีเปนรูปพระจันทรเสี้ยวมีแมน้ําชีไหลผานตอน
ใตของจังหวัดสภาพพ้ืนที่โดยท่ัวไปเปนท่ีราบสูงอยูเหนือระดับนํ้าทะเลประมาณ 227 ฟุตมีพ้ืนท่ีเปน
ภูเขาบางสวนทางตอนเหนือของจังหวัดอยูใน เทือกเขาภูพาน เขต อ.เลิงนกทา อ.กุดชุมสภาพดิน
ทว่ั ไปเปนดนิ ทรายไมอุมน้าํ ทําการ เกษตรไมคอยดนี กั
ลักษณะภูมิอากาศ สภาพโดยท่ัวไปเปนท่ีราบสูงและปาโปรงอากาศรอนจัดในฤดูรอน
และหนาวจดั ในฤดหู นาว มีอณุ หภูมิอยูระหวาง 12.1 - 41.1 C
ทรัพยากรธรรมชาติ จากการสํารวจพบแรโปแตส และเกลือหิน ในเขตทองท่ีอําเภอ
เมืองยโสธร และอําเภอคําเขื่อนแกวแตมีปริมาณนอยไมพอที่จะนํามาจัดการในเชิงพาณิชยไดสภาพ
ของดินประกอบดวยดินที่มีชื่อทางธรณีวิทยาวา ดินโคราช ดินรอยเอ็ดดินยโสธรมีลักษณะเปนดิน
ทรายไมอุมน้ํา และ สภาพบางแหงมีสภาพดิน เค็มปนอยูดวย
แหลงนํ้าธรรมชาติ แหลงนํ้าธรรมชาติท่ีสําคัญคือ แมน้ําชี ตนน้ําเกิดจากเทือกเขา
เพชรบรู ณ ไหลผานจังหวดั ชัยภมู ิ ขอนแกนมหาสารคาม รอยเอด็ และยโสธร สําหรับ จ.ยโสธร แมนํ้า
ชีไหลผานทองท่ี อ.เมืองยโสธร อําเภอมหาชนะชัยแลวไปบรรจบกับแมนํ้ามูลในเขต อ.เข่ืองใน จ.
อบุ ลราชธานี และไหลลง สแู มน้ําโขง ตอไป
แมนํ้าชีจะมนี ้าํ ไหลอยตู ลอดปและยังมนี ํ้าอื่นอกี คือ
ลําเซบาย ไหลผาน อ.เลิงนกทา อ.ปาติ้ว ไหลลงสูแมนํ้ามูล ในเขตจั งหวัด
อบุ ลราชธานี
ลาํ โพง ไหลผานอําเภอกุดชุม อําเภอปาต้วิ มีเฉพาะฤดูฝน
ลําทวน เปนบงึ ขนาดใหญ อยูในเขต อ.เมืองยโสธร
หวยตบั เตา เปนลาํ หวย มีนํา้ ขังเฉพาะฤดฝู น อยูในเขต อ.เมืองยโสธร
57
ลาํ ยงั เปนแหลงนา้ํ ขนาดเลก็ มี เฉพาะฤดฝู น อยูในเขต อ.เมอื งยโสธร
2.๑๐ งานวิจยั ทเ่ี กย่ี วของ
พระคงศักดิ์ สิริคุตโต (หมั่นวิชา).(๒ค๖๐). ศึกษาเรื่อง ความเช่ือและพิธีกรรมที่มีตอ
ประเพณีงานบุญบั้งไฟของชุมชนบานธาตุตําบลบานธาตุ อําเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานีผลจากการวิจัย
พบวา แนวคิดเกี่ยวกับความเช่ือและพิธีกรรมในพระพุทธศาสนา ชาวพุทธสวนใหญ ยังคงมีความเช่ือ
ในเรอื่ งพธิ ีกรรมตาง ๆ และสกั การะสง่ิ ศักดิส์ ิทธิ์ หรอื วดั วาอาราม รวมถึงวัตถุมงคลท่ีมีความเช่ือวาจะ
เปนสงิ่ ที่ทําใหมกี าํ ลังใจ จะทําใหเกิดสริ มิ งคลแกชวี ติ และผลทีเ่ กิดจากการปฏิบัติยอมมีแกผูปฏิบัติเอง
ความเชื่อและพิธีกรรมตอประเพณีงานบุญบั้งไฟของชุมชนบานธาตุ ตําบลบานธาตุ อําเภอเพ็ญ
จังหวัดอุดรธานี เกิดจากความเช่ือและพิธีกรรมที่มีตอประเพณีบุญบ้ังไฟเพ่ือบูชาองคพระศรีมหาธาตุ
และบูชาปมู าคําไหล มีการบนบานศาลกลาว เพื่อใหชีวิตของชุมชนมีความสุขความเจริญในหนาที่การ
งาน ความสงบสุขของครอบครัว เมื่อประสบความสําเรจ็ กจ็ ะจุดบั้งไฟเพ่ือเปนการถวายแดองคพระศรี
มหาธาตุ หรือบางกลุมก็มีความเชื่อวา เพื่อบูชาพระยาแถนเพื่อใหฟาฝนตกตามฤดูกาลในชุมชนน้ัน ๆ
ทําใหเกิดคุณคาของประเพณีงานบุญบ้ังไฟที่มีตอวิถีชีวิตของชุมชนบานธาตุ ตําบลบานธาตุ อําเภอ
เพ็ญ จังหวัดอุดรธานี ท้ัง ๕ ดาน คือ ๑) ดานจิตใจ คุณคาทางดานจิตใจของชุมชนบานธาตุ มีความ
เชอื่ และศรทั ธาวาการจุดบ้งั ไฟเพอ่ื บชู าในสิง่ ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ทิ ีป่ กปกรกั ษาบรเิ วณชมุ ชนนั้นๆ เพ่ือความสบาย
ใจ เพ่ือความสุขความเจริญของตนเองและครอบครัว ไมเกิดภัยพิบัติหรือความเจ็บไขไดปวยในชุมชน
นั้น ๒) ดานเศรษฐกิจ งานบุญบ้ังไฟในปจจุบันเปนเทศกาลประจําปที่ไดรับการสนับสนุนสงเสริมจาก
ทางราชการ เพื่อดึงดูดนักทองเท่ียวจากที่ตางๆ ใหมาเท่ียวชมงานขบวนแหบ้ังไฟ และยังเปนการ
สงเสริมการทองเท่ยี วเพ่อื ดงึ ดูดนักทองเที่ยวใหเขามาในชุมชน เพ่ือเปนการสรางรายไดใหกับชุมชนได
เปนอยางดี ๓) ดานสงั คม ถาหากประชาชนคนใดไมปฏบิ ตั ติ ามกรอบประเพณี จะไมเปนท่ียอมรับของ
คนในชมุ ชนเปนการอนรุ กั ษรักษาไวซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณี บุคคลนั้นก็จะถูกมองในแงที่ไมคอยดี
เทาทค่ี วรอาจจะกลายเปนคนท่ีถูกมองวาเปนคนทีผ่ ิดทาํ นองคลองธรรมก็เปนได ๔) ดานการเมืองการ
ปกครองทองถ่ิน การปฏิบัติตนของคนในหมูบานท่ีมารวมงานและประชาชนทั่วไปท่ีเขามาเท่ียวชมมี
ความเปนระเบียบเรียบรอย จึงมีความมั่นใจในความปลอดภัยและเก็บเกี่ยวความสนุกและความ
ประทับใจจากการเทย่ี วงานบุญบ้ังไฟไดอยางเต็มที่ ๕) ดานการสืบทอดประเพณี และวัฒนธรรม งาน
บุญบั้งไฟมีอิทธิพลคือ ทําใหชาวบานธาตุเปนคนสนุกสนาน ชอบทําบุญสุนทาน สะทอนวัฒนธรรม
และความเชื่อของชาวอีสานวายังเคารพบูชาศรัทธาในสิ่งท่ีบอกตอ ๆ กันมาจากรุนสูรุนจนกลายเปน
ประเพณี
พระพรี ะพงษ พิชาลี และ ชุลีรัตนเจริญพร.(๒๕๖๑) ไดศึกษาเร่ือง อัตลักษณของประเพณี
บุญเดือนหก (บญุ บ้ังไฟ) กรณีศึกษา ตําบลบานถอน อาํ เภอทาบอ จังหวัดหนองคายผลการวิจัย พบวา
ประเพณีบุญบั้งไฟของชาวบานถอน แบงการเปลี่ยนแปลงไดเป น 4 ชวง คือ ชวงแรกต้ังแตป พ.ศ.
2500 ถึงป พ.ศ. 2517 ชวงที่สอง ต้ังแตป พ.ศ.2518 ถึงป พ.ศ. 2524 ชวงที่สาม ตั้งแตป พ.ศ.
2525 ถึงป พ.ศ. 2553 ชวงท่ีส่ี ตั้งแตป พ.ศ. 2554 ถึงป พ.ศ. 2561 โดยดานความเช่ือคงดํารง
อยูในประเพณีบุญบ้ังไฟโดยการจุดบั้งไฟเพื่อเปนการขอฝนจากพญาแถน และจุดบ้ังไฟถวายหลวงปู
ใหญ เพ่ือเปนสิริ มงคลในการเร่ิมทําการเกษตรกรรมสําหรับการเปล่ียนแปลงพบในดานรูปแบบของ
58
บั้งไฟจากขนาดเล็กจะมีขนาดใหญข้ึนและจํานวนมากข้ึน ดานเปาหมายมีการรักษา สืบทอดประเพณี
จากรุนสูรุน ปจจุบันเพ่ิมเติมเพ่ือสงเสริมการทองเท่ียว และดานการมีสวนไดรับการสนับสนุนจาก
องคกรภายในทองถิ่นมากขึ้นเงอ่ื นไขสาํ คัญท่ที าํ ใหประเพณีบญุ บ้ังไฟของชาวบานถอนคงดํารงอยู เปน
เง่ือนไขปจจัยภายในดานความเช่ือ ซึ่งไดสืบทอดและซึมซับ ปลูกฝง สําหรับเงื่อนไขภายนอกนั้น
เทคโนโลยีมีผลกับการเปล่ียนแปลงท้ังในดานรูปแบบท่ีใชในการจัดทําบ้ังไฟที่มีขนาดใหญขึ้น มี
ประสิทธิภาพยง่ิ ข้ึน และมีบทบาทสําคัญในดานเปาหมาย และดานการเขารวม โดยนาํ เทคโนโลยีมาใช
ในการการติดตอ ส่ือสาร ประชาสัมพันธ บทบาทของผูนํามีปราชญชาวบานและผูเฒาผูแกเปนผูนํา
ถายทอดความรูทางดานพิธีกรรมตามแบบด้ังเดิม ผูนําชุมชนจะเปนผูจัดการ ประสานงาน และ
ประชาสัมพันธการจัดงานประเพณีบั้งไฟมีขอบเขตใหอยูในจุดประสงคหลักและเปนไปตามแนวทาง
ของแบบประเพณีดง้ั เดมิ
ปนวดี ศรีสุพรรณและคณะ.(ออนไลน: ๔ต)ประเพณีบุญบ้ังไฟ : วัฒนธรรมเสี่ยงภัยในยุค
สมัยใหม. ไดอธิบายวาผูเขียนแบงออกเปนสี่สวน สวนแรก ช้ีใหเห็นวาบุญบ้ังไฟไดเปลี่ยนจาก
วฒั นธรรมเพอื่ ลดความเสี่ยงสูการเปนวัฒนธรรมที่สรางความเส่ียงไดอยางไร สวนท่ีสอง นําเสนอการ
จดั การความเสี่ยงในกรณีของบุญบ้ังไฟยโสธรซ่ึงถือเปนงานบุญท่ียิ่งใหญระดับชาติที่ถือวามีมาตรฐาน
การจดั งาน สวนท่สี าม นาํ เสนอธุรกิจประกันภัยบั้งไฟซ่ึงเปนระบบการจัดการความเส่ียงในสมัยใหมที่
เขามาเปนสวนหนง่ึ ของวัฒนธรรมประเพณี และสวนทส่ี ี่ นําเสนอการวเิ คราะหบุญบ้ังไฟในฐานะที่เปน
วฒั นธรรมท่ีกาํ ลังสรางและเผชิญกบั ความเสี่ยงในยคุ โลกาภวิ ัตน
59
2.1 กรอบแนวคิดในการวิจยั
ผูวิจัยไดศึกษาแนวคิด ทฤษฎี งานวิจัยท่ีเก่ียวของ และจากการสัมภาษณบุคคลที่เกี่ยวของ
เพ่ือสรางการสรางการรับรูและแนวทางการนําทุนทางวัฒนธรรมมาสรางคุณคาทางสังคมและเพิ่ม
มูลคาทางเศรษฐกิจในชุมชนทองถ่ิน : การรับรูเกี่ยวกับการจัดงานประเพณีบุญบ้ังไฟจังหวัดยโสธร
แลวดําเนนิ การสรางกรอบแนวคดิ การวจิ ัย ดังตอไปน้ี
การสงั เคราะหแนวทางสรางคุณคาทางสงั คมและเพิ่มมูลคาทางเศรษฐกิจ
สรางแหลงอาชพี และรายไดใหกบั คนในชมุ ชนทองถ่ิน
แนวทางการสงเสริมสนบั สนนุ การนาํ ทุนทางวฒั นธรรม
เกีย่ วกบั การจดั งานประเพณีบุญบั้งไฟ
การรับรเู ก่ยี วกบั ความตองการไดรบั
การจดั งาน การสงเสรมิ สนบั สนนุ
ประเพณีบุญบ้งั ไฟ การนําทุนทาง
วัฒนธรรมบุญบ้ังไฟ
ความพึงพอใจตอ ขอเสนอเกี่ยวกับการนาํ
กจิ กรรมการสรางการ ทนุ ทางวัฒนธรรม
รับรูเกย่ี วกบั การจดั งาน เกี่ยวกับการจัดงาน
ประเพณบี ุญบ้ังไฟ ประเพณบี ุญบ้ังไฟ
ภาพท่ี 2.1 กรอบแนวคดิ ที่ใชในการวิจยั
บทท่ี 3
วธิ ีดําเนนิ การวิจยั
การศึกษาวิจัยเรื่อง “การรับรูเก่ียวกับการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟจังหวัดยโสธร” น้ี เปนการ
วิจัยเชิงสํารวจโดยคณะผูวิจัยไดทําการศึกษาคนควาจากหนังสือ ตํารา เอกสาร วิทยานิพนธ และงานวิจัยท่ี
เกย่ี วของ ซ่ึงมีขนั้ ตอนและวิธีการดาํ เนินการวิจัย ดังนี้
1. ประชากรและกลมุ ตัวอยาง
2. ตัวแปรทใ่ี ชในการวจิ ยั
3. เครือ่ งมอื ทใี่ ชในการเกบ็ รวบรวมขอมลู
4. การสรางและตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมอื
5. การเกบ็ รวบรวมขอมลู
6. การวเิ คราะหขอมูล
7. สถิตทิ ่ีใชในการวิจยั
8. การตรวจแบบวดั และการใหคะแนน
1. ประชากรและกลุมตวั อยาง
1.1 ประชากร ไดแก ประชาชนทเ่ี ปนท้ังเด็ก เยาวชน ประชาชน และเครอื ขายทางวัฒนธรรมที่มี
ภูมลิ ําเนาในพน้ื ที่จังหวัดยโสธร ในป พ.ศ. 2562 จาํ นวน 538,411 คน (กรมการปกครอง,2562: ไมมี
เลขหนา)
1.2 กลุมตัวอยาง ไดจากการสุมประชากรในขอ 1.1 โดยใชวิธีการคํานวณจากสูตรคํานวณของ
ทาโร ยามาเน (Taro Yamane) ไดขนาดกลุมตัวอยาง จํานวน 400 คน ผูวิจัยไดทําการเก็บขอมูลกลุม
ตวั อยางจํานวน 450 ตัวอยาง ซงึ่ จะทาํ ใหผลการศึกษามีความนาเชื่อถือมากยิง่ ขน้ึ
2. ตัวแปรท่ใี ชในการวิจยั
ตัวแปรทใี่ ชในการศึกษาครง้ั น้ี คือ
๒.๑ การวิจยั เชงิ ปริมาณ มีดงั นี้
๒.๑.1. ตัวแปรอสิ ระ คือ ปจจยั สวนบุคคลของผูทต่ี อบแบบสอบถาม ซึง่ ประกอบไปดวย (1)
เพศ (2) อายุ (3) ระดับการศึกษา (4) อาชพี (5) รายไดตอเดือน (๖)รายจายตอเดือน (๗) ตําแหนงหนาท่ี
และ (๘) ภมู ิลําเนา
๒.๑.2. ตัวแปรตาม คือ การรับรูเกี่ยวกับการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟจังหวัดยโสธร
ประจาํ ปงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ประกอบดวย
61
๒.๑.๒.๑ ดานความรูความเขาใจในงานประเพณีบุญบงั้ ไฟ
๒.๑.๒.๒ ดานทัศนคติตองานประเพณีบญุ บง้ั ไฟ
๒.๑.๒.๓ ดานความตองการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ
๒.๒ การวจิ ัยเชงิ คณุ ภาพ มีดังน้ี
๒.๒.๑ แนวทางการนําทุนทางวัฒนธรรมมาสรางคุณคาทางสังคมและเพิ่มมูลคาทาง
เศรษฐกจิ ในชมุ ชนทองถิน่ : กรณีการจดั งานประเพณีบุญบั้งไฟจงั หวดั ยโสธร
๒.๒.๒ ขอเสนอแนะเก่ยี วกับการจดั งานประเพณีบุญบ้งั ไฟจังหวดั ยโสธร
3. เคร่ืองมือทใี่ ชในการเก็บรวบรวมขอมูล
เครื่องมือที่ใชในการวิจัยในครั้งนี้ เปนแบบสอบถาม (Questionnaire) เกี่ยวกับการรับรูเกี่ยวกับ
การจัดงานประเพณบี ญุ บ้ังไฟจงั หวัดยโสธร ทีผ่ วู จิ ัยสรางขึ้นจากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวของ
แบงออกไดเปน ๒ สวน ดังน้ี
สวนที่ ๑ การวิจัยเชิงปรมิ าณ
ในการวิจัยเชิงปรมิ าณนั้นผูวิจัยไดกาํ หนดเครื่องมือที่ใชเก็บรวบรวมขอมูลเปนแบบสอบถาม
ซง่ึ แบงออกไดเปน ๕ ตอน ดงั ตอไปน้ี
ตอนที่ 1 สอบถามขอมูลท่ัวไปเก่ียวกับปจจัยสวนบุคคลของผูตอบแบบสอบถาม ไดแก (1)
เพศ (2) อายุ (3) ระดบั การศึกษา (4) อาชพี (5) รายไดตอเดอื น (๖)รายจายตอเดือน (๗) ตําแหนงหนาที่
และ (๘) ภูมิลาํ เนาเปนแบบตรวจสอบรายการ (Check list)
ตอนที่ ๒ แบบสอบถามเกี่ยวกับความรูความเขาใจเก่ียวกับการจัดงานประเพณีบุญบ้ังไฟ
จงั หวัดยโสธร
ตอนที่ ๓ แบบสอบถามเก่ยี วกบั ทศั นคติตอการจดั งานประเพณีบุญบั้งไฟจงั หวัดยโสธร
ตอนท่ี ๔ แบบสอบถามเกย่ี วกับความตองการการจดั งานประเพณบี ุญบัง้ ไฟจังหวดั ยโสธร
ตอนท่ี ๕ แบบสอบถามเกี่ยวกับความพึงพอใจตอการจัดโครงการจัดประชุมเพ่ือสรางการ
รบั รเู ก่ียวกบั การจัดงานประเพณีบญุ บ้ังไฟจังหวดั ยโสธร ซง่ึ มีลักษณะแบบมาตราสวนประมาณคา (Rating
Scale) โดยแบงระดบั ของการวดั ออกเปน 5 ระดบั
คะแนน 5 = มคี วามคิดเห็น อยูในระดับพอใจมากทสี่ ดุ
คะแนน 4 = มีความคดิ เห็น อยใู นระดบั พอใจมาก
คะแนน 3 = มคี วามคิดเหน็ อยูในระดับพอใจปานกลาง
คะแนน 2 = มีความคดิ เห็น อยูในระดับพอใจนอย
คะแนน 1 = มคี วามคิดเหน็ อยูในระดบั พอใจนอยที่สดุ
สวนที่ ๒ การวิจัยเชิงคณุ ภาพ
ในการวจิ ยั เชงิ คุณภาพนน้ั คณะผวู ิจัยไดใชเครือ่ งมือในการรวบรวมขอมูล ดังนี้
62
๑) ใชตอนทตี่ อนท่ี ๖ ของแบบสอบถามซึ่งคําถามเกี่ยวกับขอเสนอแนะและแนวทางการนํา
ทนุ ทางวฒั นธรรมมาสรางคณุ คาทางสังคมและเพิ่มมูลคาทางเศรษฐกิจในชุมชนทองถิ่น : กรณีการจัดงาน
ประเพณีบญุ บ้งั ไฟจังหวัดยโสธร ลักษณะเปนคําถามปลายเปด (Open-ended)
๒) การจัดเวทีเสวนาภายใตโครงจัดการประชุมสรางการรับรูเก่ียวกับการจัดงานประเพณี
บุญบ้ังไฟจังหวัดยโสธร พรอมทั้งรับฟงขอเสนอแนะและแนวทางการนําทุนทางวัฒนธรรมมาสรางคุณคา
ทางสังคมและเพิ่มมลู คาทางเศรษฐกจิ ในชมุ ชนทองถิน่
4. การสรางและตรวจสอบคุณภาพเครอ่ื งมอื
คณะผูวิจัยดําเนินการสรางตรวจคุณภาพเคร่ืองมือท่ีใชในการวิจัย ไดดําเนินการตามลําดับ
ขน้ั ตอน ดังนี้
1. ศึกษาคนควา เอกสาร ตํารา และงานวิจยั ท่เี ก่ียวของเพ่อื เปนแนวทางในการกําหนดขอบเขต
ของเนือ้ หาในการวิจัย และขอบเขตเนอ้ื หาของแบบสอบถาม
2. ศึกษาวิธีการสรางแบบสอบถามมาตราสวนประมาณคา เพ่ือเปนแนวทางในการกําหนด
รปู แบบเครือ่ งมอื ทเ่ี หมาะสมในการเก็บรวบรวมขอมลู
3. จัดทําเครื่องมือในการวิจัยแลวนําแบบสอบถามท่ีสรางข้ึนตามเนื้อหา และวัตถุประสงคของ
การวิจัย เสนอท่ีปรึกษาตรวจสอบความถูกตอง เพื่อปรับปรุงแกไขความเที่ยงตรงท้ังดานโครงสราง ดาน
เนือ้ หา และสํานวนภาษา
4. นาํ แบบสอบถามท่ผี านการแกไขปรับปรุงจากท่ีปรึกษาตรวจสอบแลว มาดําเนินการจัดพิมพ
และนาํ ไปใชเพอ่ื เก็บรวบรวมขอมลู
5. การเกบ็ รวบรวมขอมูล
การวจิ ยั ครง้ั นี้ มขี ัน้ ตอนการเก็บรวบรวมขอมูลตามข้ันตอน ดังนี้
5.1 คณะผูวิจัยและผูชวยวิจัยทําการเก็บรวบรวมขอมูลจากประชาชนกลุมตัวอยางเปาหมายที่
เขารวมกิจกรรมโครงการจดั การประชมุ สราง การรับรูเกี่ยวกับการจัดงานประเพณีบุญบ้ังไฟจังหวัดยโสธร
ประจาํ ป พ.ศ.๒๕๖๓ วันท่ี ๑๙ กันยายน ๒๕๖๓ ณ โรงแรมเดอะกรีนปารคแกรนดยโสธร
5.2 กอนแจกแบบสอบถามผูวิจัยไดขออนุญาตพรอมท้ังช้ีแจงถึงจุดประสงคของการวิจัยใหผูตอบ
แบบสอบถามไดรับทราบ
5.3 แจกแบบสอบถามใหกับผูตอบตอบแบบสอบถามเสร็จ ผูวิจัยเก็บแบบสอบถามชุดน้ัน
เพราะผูวจิ ยั จะไดตรวจสอบความสมบูรณของการตอบแบบสอบถาม หากพบวากลุมตัวอยางทานใดท่ีตอบ
คาํ ถามไมครบทุกขอ คณะผูวิจัยจะไดถามคําตอบขอน้นั ไดทันทีกอนรบั คืน
5.4 ในกรณีที่ผูรับบริการที่ถูกเลือกเปนกลุมตัวอยางไมสะดวก หรือไมสามารถตอบ
แบบสอบถามดวยตัวเองไดครบถวน ผูเก็บรวบรวมขอมูลก็จะอานขอคําถามทุกตอนใหผูตอบฟงและ
บนั ทกึ คําตอบลงในแบบสอบถามอยางครบถวนถูกตองตามท่ผี ูตอบแบบสอบถามตอบมา
63
5.5 ตรวจสอบความสมบรู ณของแบบสอบถามอีกคร้งั และเก็บแบบสอบถามโดยเรยี งตามเลขท่ี
แบบสอบถาม จากเลขท่ี 1 ถงึ เลขท่ี 450
5.6 เตรยี มแบบสอบถามทเ่ี รยี งเลขแลวไววิเคราะหขอมูลตอไป
๕.๗ ในการเก็บรวบรวมขอมูลเชิงคุณภาพจากเวทีสัมมนา ผูวิจัยและคณะรวบรวมโดยใช
เครอื่ งมอื สาํ หรบั การวิจัยดงั ตอไปน้ี
5.7.1แบบสมั ภาษณในเวทีการเสวนา
5.7.๒เครื่องบนั ทึกเสยี งและภาพวดี โี อเวทกี ารเสวนา
5.7.4กลองถายรปู เวทีการเสวนา
โดยมีคณะผวู จิ ัยและผูชวยวจิ ยั ประกอบดวย
๑. รองศาสตราจารย ดร.สัญญา เคณาภมู ิ หัวหนาคณะ
๒. รอยตาํ รวจตรี ดร.สนกุ สงิ หมาตร ผรู วมวจิ ยั
๓. ดร.พิกลุ มมี านะ ผูรวมวิจัย
๔. ดร.เกวลี ออนเรอื ง ผูชวยนักวจิ ยั
๕. ดร.ไมตรี บญุ ทศ ผูชวยนักวิจัย
๖. ดร.ดวงตา ราชอาษา ผูชวยนกั วิจยั
๗. นายทองหมุน นอยนนท ผชู วยนกั วจิ ยั
๘. นางสาวพลอยชนกวรรณ หวังผล ผชู วยนกั วิจยั
6. การวเิ คราะหขอมูล
๖.๑ การวิจัยเชิงปริมาณ
คณะผูวิจัยนําขอมูลที่ไดจากการตอบแบบสอบถาม มาประมวลผลขอมูลวิเคราะหโดยใช
โปรแกรมสถิติคอมพิวเตอร สถิติสําเร็จรูปทางการวิจัยทางสังคมศาสตร (SPSS) มาประมวลผลขอมูล
วิเคราะหโดยใชสถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) ไดแก คาสถิติความถ่ี (Frequency) คารอย
ละ (Percentage) คาเฉลีย่ (Mean) เพอ่ื นาํ ไปใชวิเคราะหกับแบบสอบถามโดยมขี ัน้ ตอน ดงั ตอไปน้ี
ตอนท่ี 1 วิเคราะหปจจัยสวนบุคคลของผูที่ตอบแบบสอบถาม โดยใชสถิติพ้ืนฐานหา
คาความถี่ (Frequency) และคารอยละ (Percentage) แลวเสนอในรูปแบบกราฟแลวอธิบายแบบความ
เรียง
ตอนที่ 2 วเิ คราะหขอมูลท่ีไดจากแบบสอบถาม เก่ียวกับความรูความเขาใจ/ทัศนคติ/ความ
ตองการเก่ียวกับการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟจังหวัดยโสธร ใชสถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics)
โดยใชสถิติพื้นฐาน ไดแก การหาคาเฉล่ีย (Mean) และสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) แลว
เสนอในรูปตารางแลวอธิบายแบบความเรยี ง
ตอนที่ 3 วิเคราะหขอมูลท่ีไดจากแบบสอบถาม เก่ียวกับความพึงพอใจตอการจัดโครงการ
สรางการรับรูเกี่ยวกับการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟจังหวัดยโสธร ใชสถิติเชิงพรรณนา (Descriptive
64
Statistics) โดยใชสถิติพ้ืนฐาน ไดแก การหาคาเฉลี่ย (Mean) และสวนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard
Deviation) แลวเสนอในรปู ตารางแลวอธบิ ายแบบความเรยี ง
๖.๒ การวิจยั เชงิ คณุ ภาพ
ตอนที่ 4 ขอมูลท่ีไดจากแบบสอบถามเกี่ยวกับขอเสนอแนะและแนวทางการนําทุนทาง
วัฒนธรรมมาสรางคุณคาทางสังคมและเพิ่มมูลคาทางเศรษฐกิจในชุมชนทองถิ่น : กรณีการจัดงาน
ประเพณีบญุ บัง้ ไฟจงั หวดั ยโสธรและขอมูลท่ีไดจากเวทีสัมนา แลวรวบรวมขอมูลตามประเด็น นํามาเรียบ
เรยี งนาํ เสนอในรูปแบบการบรรยาย
7. สถิตทิ ีใ่ ชในการวจิ ัย
๗.๑ การวิจยั เชิงปริมาณ
การวิจยั เชงิ ปริมาณเร่อื งนี้ มสี ถิตทิ ่ใี ชในการทําวจิ ยั ๒ ประเภท ไดแก
7.1.๑ ขอมูลท่ัวไปของผูตอบแบบสอบถาม ไดแก คาความถ่ี (Frequency) รอยละ
(Percentage)
7.๑.2 ขอมูลระดับความคิดเห็นดานตางๆดวยสถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) ไดแก
คาเฉลีย่ ( X ) สวนเบย่ี งเบนมาตรฐาน (S.D.) เพื่อวิเคราะหตวั แปร
๗.๒ การวิจยั เชงิ คณุ ภาพ
ขอมูลจากการเสนอแนะและแนวทางการนําทุนทางวัฒนธรรมมาสรางคุณคาทางสังคมและเพิ่ม
มูลคาทางเศรษฐกิจในชุมชนทองถ่ิน ดวยการวิเคราะหเนื้อหา (Content Analysis) แลวนําเสนอเน้ือหา
แบบบรรยายเน้ือหา
8. การแปลผลและการใหคะแนน
1.แบบสอบถามเกี่ยวกับขอคุณสมบัติของผูตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับ (1) เพศ (2) อายุ (3)
ระดับการศึกษา (4) อาชีพ (5) รายไดตอเดือน (๖)รายจายตอเดือน (๗) ตําแหนงหนาที่ และ (๘)
ภูมิลําเนา ไดกําหนดเปนคาความถ่ี (Frequency) และคารอยละ (Percentage)
2. แบบสอบถามเก่ียวความคิดเห็นของประชาชนที่ตอบแบบสอบถาม ไดกําหนดเกณฑระดับ
ความคดิ เห็น (บญุ ชม ศรีสะอาด, 2548 : 99) ดังตอไปนี้
ระดับความคิดเหน็ ระดบั มากทส่ี ดุ ไดคะแนน 5
ระดับความคิดเห็น ระดับมาก ไดคะแนน 4
ระดบั ความคิดเหน็ ระดับปานกลาง ไดคะแนน 3
ระดับความคิดเหน็ ระดบั นอย ไดคะแนน 2
ระดับความคดิ เห็น ระดบั นอยท่สี ุด ไดคะแนน 1
65
3. การคาํ นวณคาเฉล่ียความคิดเห็นเปนน้ําหนักคะแนนตามมาตราสวนประมาณคา โดยมีเกณฑ
การแปรความหมายการวิเคราะหจากนอยไปหามาก โดยมีการใหคะแนนระดับความคิดเห็นของผูตอบ
แบบสอบถาม ตามหลกั เกณฑการใหคะแนน ดังน้ี
เกณฑการแปลความหมายคาเฉลี่ยของกลุม (บุญชม ศรีสะอาด, 2535 : 100) ดังนี้
คาเฉลย่ี 4.51 – 5.00 แปลความหมายวา มคี วามคิดเห็นทร่ี ะดับมากที่สดุ
คาเฉล่ีย 3.51 – 4.50 แปลความหมายวา มีความคดิ เหน็ ทร่ี ะดบั มาก
คาเฉลีย่ 2.51 – 3.50 แปลความหมายวา มคี วามคิดเห็นท่รี ะดับปานกลาง
คาเฉลีย่ 1.51 – 2.50 แปลความหมายวา มีความคดิ เหน็ ทีร่ ะดับพอใจนอย
คาเฉลยี่ 1.00 – 1.50 แปลความหมายวา มีความคดิ เหน็ ทร่ี ะดบั นอยทีส่ ดุ
๙.การนําเสนอขอมูล
๙.๑ การวจิ ัยเชิงปรมิ าณ
การวิจยั เชิงปรมิ าณเร่อื งน้ี มสี ถิตทิ ใี่ ชในการทาํ วิจยั ประเภท ไดแก
๙.1.๑ ขอมูลทั่วไปของผูตอบแบบสอบถาม ไดแก คาความถ่ี (Frequency) รอยละ
(Percentage)
๙.๑.2 ขอมูลระดับความคิดเห็นดานตางๆดวยสถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics)
ไดแก คาเฉลี่ย ( X ) สวนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) เพ่ือวิเคราะหตัวแปร โดยนําเสนอผลการวิจัยและ
บรรยายเนอื้ หาประกอบตาราง
๙.๒ การวจิ ยั เชิงคณุ ภาพ
ประกอบดวยขอมูลที่ไดจากการเสนอแนะและการจัดเวทีสัมมนาแนวทางการนําทุนทาง
วฒั นธรรมมาสรางคุณคาทางสังคมและเพิ่มมูลคาทางเศรษฐกิจในชุมชนทองถิ่น ดวยการวิเคราะหเนื้อหา
(Content Analysis) แลวนําเสนอเนอ้ื หาแบบบรรยายเนอ้ื หาประกอบรปู แบบแนวทางทางการนําทุนทาง
วัฒนธรรมมาสรางคณุ คาทางสังคมและเพิ่มมูลคาทางเศรษฐกิจในชุมชนทองถ่ินนําเสนอในรูปแบบผังมโน
ทศั น (Model)
บทท่ี 4
ผลการวเิ คราะหขอมลู
การวิจัยเรอ่ื ง “การรบั รูเกี่ยวกบั การจัดงานประเพณบี ุญบ้ังไฟจังหวัดยโสธร” ผลการวิเคราะห
ขอมลู ไดเสนอรายละเอยี ดตามลําดับ ดงั น้ี
1. สญั ลกั ษณท่ีใชในการเสนอผลการวเิ คราะหขอมูล
2. ลาํ ดบั ข้ันตอนการนาํ เสนอผลการวเิ คราะหขอมูล
3. ผลการวิเคราะหขอมลู
1. สญั ลักษณท่ีใชในการเสนอผลการวเิ คราะหขอมลู
สญั ลกั ษณทใ่ี ชในการเสนอผลการวิเคราะหขอมลู ดังนี้ ผูวิจัยไดใหความหมายไวดังน้ี
X แทน คาเฉลยี่ (Mean)
S.D. แทน สวนเบย่ี งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
2. ลาํ ดบั ขัน้ ตอนการนาํ เสนอผลการวิเคราะหขอมูล
ตอนท่ี 1 การวิเคราะหขอมลู ทวั่ ไปของผูตอบแบบสอบถาม
ตอนที่ 2 การวิเคราะหขอมูลเก่ียวกับความรูความเขาใจเก่ียวกับการจัดงานประเพณีบุญบั้ง
ไฟจังหวดั ยโสธร ดงั น้ี
2.1 ผลการวิเคราะหความรูความเขาใจเกี่ยวกับการจัดงานประเพณีบุญบ้ังไฟโดยรวม
และรายดาน
2.2 ผลการวเิ คราะหความรูความเขาใจเก่ียวกับการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ รายดาน
และรายขอ
ตอนที่ 3 ขอเสนอแนะเกย่ี วกบั การสรางการรับรูและแนวทางการนําทุนทางวัฒนธรรมมาสราง
คุณคาทางสังคมและเพ่ิมมูลคาทางเศรษฐกิจในชุมชนทองถ่ิน : กรณีการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ
จังหวัดยโสธร
67
3. ผลการวเิ คราะหขอมลู
ตอนที่ 1 การวเิ คราะหขอมลู ทั่วไปของผตู อบแบบสอบถาม
การวิเคราะหขอมลู ทวั่ ไปของกลมุ ตัวอยางเปาหมาย ดังแสดงในตารางที่ 4.1
ตารางที่ 4.1 ขอมูลทั่วไปของผูตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับเพศ อายุ การศึกษา อาชีพ รายได
รายจาย ตําแหนง และภมู ิลาํ เนา
ขอมูลทั่วไป จํานวน รอยละ
1. เพศ
ชาย 286 63.56
หญิง 164 36.44
รวม 450 100.00
2. อายุ
ไมเกนิ 25 55 4.8
26-30 271 23.6
31-40 380 33.0
41-50 276 24.0
51-60 130 11.3
มากกวา 60 38 3.3
รวม 450 100.00
3.การศกึ ษา
ประถมศึกษา 168 37.33
มธั ยมศกึ ษาตน 157 34.89
มธั ยมศึกษาตอนปลายหรือเทยี บเทา 44 9.78
อนุปริญญา 30 6.67
ปริญญาตรี 32 7.11
สงู กวาปรญิ ญาตรี 19 4.22
รวม 450 100.00
4.อาชพี
เกษตรกร 287 63.78
รับจาง/ลกู จาง 65 14.44
รบั ราชการ 60 13.33
คาขาย 29 6.44
พระสงฆ 9 2.00
รวม 450 100.00
5.รายได
ไมเกนิ 10,000 บาท 145 32.22
68
ขอมูลท่ัวไป จาํ นวน รอยละ
251 55.78
10,001-20,000 54 12.00
มากกวา 20,000 450 100.00
รวม 138 30.67
207 46.00
6.รายจาย 105 23.33
450 100.00
ไมเกนิ 10,000 บาท
10,001-20,000 74 16.44
มากกวา 20,000 174 38.67
202 44.89
รวม 450 100.00
7.ตําแหนง 43 9.56
148 32.89
ตัวแทนเจาหนาท่ีรับสวนทองถิน่ 259 57.56
ตัวแทนเจาหนาทรี่ ฐั สวนทองท่ี 450 100.00
ประชาชนท่วั ไป
รวม
8. ภูมิลําเนา
ในเขตเทศบาลเมอื ง
ในเขตเทศบาลตําบล
ในเขต อบต.
รวม
จากตารางท่ี 4.1 พบวา ผตู อบแบบสอบถามสวนใหญเปนเพศชาย จาํ นวน 286 คน คิดเปน
รอยละ 63.56 อายุของผูตอบแบบสอบถามสวนใหญมีอายุระหวาง 21 - 40 ป จํานวน ๓๘๐ คน
คิดเปนรอยละ ๓๓.๐๐ ระดับการศึกษาของผูตอบแบบสอบถามสวนใหญสําเร็จการศึกษาในระดับ
ประถมศึกษา จํานวน 168 คน คิดเปนรอยละ 37.33 อาชีพของผูตอบแบบสอบถามสวนใหญมี
อาชีพเกษตรกร จํานวน 287 คน คิดเปนรอยละ 63.78 รายไดของผูตอบแบบสอบถามสวนใหญมี
รายไดตอประหวาง 10,001 – 20,000 บาท จํานวน 251 คน คิดเปนรอยละ 55.78 รายจาย
ของผตู อบแบบสอบถามสวนใหญมีรายจาย จาํ นวน 207 คน คิดเปนรอยละ 46.00 ตําแหนงหนาท่ี
ของผูตอบแบบสอบถามสวนใหญเปนประชาชนท่ัวไป จํานวน 202 คน คิดเปนรอยละ 44.89 และ
ภูมิลําเนาผูตอบแบบสอบถามสวนใหญมีภูมิลําเนาอยูในเขตองคการบริหารสวนตําบล จํานวน 259
คน คิดเปนรอยละ 57.56
69
ตอนที่ 2 การวเิ คราะหขอมูลความคดิ เหน็ เกยี่ วกับการจัดงานประเพณบี ญุ บัง้ ไฟจังหวดั
ยโสธร
2.1 ผลการวิเคราะหขอมูลความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดงานประเพณีบุญบ้ังไฟโดยรวมและ
รายดาน ดงั เสนอในตารางท่ี 4.2
ตารางที่ 4.2 คาเฉล่ีย สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับความคิดเห็นเก่ียวกับการจัดงานประเพณีบุญ
บัง้ ไฟจังหวัดยโสธร โดยรวมและรายดาน
ตัวแปรทีใ่ ชในการศกึ ษา X S.D. ระดบั ความคิดเหน็
1. ความรูความเขาใจเกยี่ วกบั การจดั งาน 4.18 0.61 ระดับมาก
ประเพณีบญุ บ้ังไฟจังหวดั ยโสธร
2. ทศั นคตติ อการจัดงานประเพณีบุญบ้ังไฟ 4.18 0.64 ระดับมาก
จังหวัดยโสธร
3. ความตองการในการจัดงานประเพณบี ุญบง้ั 4.15 0.69 ระดบั มาก
ไฟจังหวดั ยโสธร
รวม 4.17 0.65 ระดับมาก
จากตารางท่ี 4.2 พบวา คาเฉลี่ย สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับความคิดเห็นเก่ียวกับ
การจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟจังหวัดยโสธร มีคาเฉลี่ยท่ีระดับมาก ( X = ๔.17, S.D. = 0.65) เม่ือ
พิจารณาเปนรายดานปรากฏวา อยูในระดับมาก เรียงลําดับจากมากไปหานอยดังนี้ อันดับแรกคือ ดาน
ความรูความเขาใจเกี่ยวกับการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟจังหวัดยโส มีคาเฉลี่ยที่ระดับมาก ( X =
4.18, S.D. = 0.61) รองลงมาคือ ทศั นคติตอการจัดงานประเพณีบุญบ้ังไฟจังหวัดยโสธรมีคาเฉล่ียท่ี
ระดับมาก ( X = 4.18, S.D. =0.64) ดานที่มีระดับความคิดเห็นนอยที่สุด คือ ความตองการในการ
จดั งานประเพณีบญุ บัง้ ไฟจังหวัดยโสธรมีคาเฉลี่ยทร่ี ะดบั มาก ( X = 4.15, S.D. = 0.69)
2.2 ผลการวิเคราะหขอมูลความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟรายดานและ
รายขอ ดังเสนอในตารางท่ี 4.3-4.5 ดงั น้ี
2.2.1 ผลการวเิ คราะหความคดิ เห็นดานความรคู วามเขาใจเกี่ยวกับการจัดงานประเพณีบุญ
บ้ังไฟจงั หวัดยโสธร รายดานและรายขอ นาํ เสนอในตารางท่ี 4.3
70
ตารางท่ี 4.3 คาเฉล่ีย สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับความรูความเขาใจเก่ียวกับการจัดงาน
ประเพณบี ุญบ้ังไฟจังหวัดยโสธร รายดานและรายขอ
ความรูความเขาใจเกี่ยวกบั การจัดงาน X S.D. แปลผล
ประเพณบี ุญบง้ั ไฟจังหวดั ยโสธร
1. บุญบ้ังไฟ คือวัฒนธรรมท่ีโดดเดนและเปนเอกลักษณของ 4.33 0.99 ระดบั มาก
จังหวดั ยโสธร
2. จากอดีตถึงปจจุบันจังหวัดยโสธรผูคนตางพ้ืนที่รูจักยโสธร 4.20 0.98 ระดบั มาก
เพราะประเพณบี ญุ บั้งไฟ
3. ความเช่ือของชาวบานเกี่ยวกับการจัดงานบุญบั้งไฟวาเปน 4.21 0.98 ระดับมาก
การขอฝนใหตกถูกตองตามฤดูกาลเปนวันธรรมท่ีดี
4. ประเพณีบุญบั้งไฟทําใหเกิดความสามัคคี เกิดการมีสวนรวม 4.25 0.96 ระดบั มาก
และสรางรายไดทางเศรษฐกจิ ตอประชาชนในชุมชนพนื้ ที่
5. ความเช่อื ของชุมชนเชื่อวาหากหมบู านใดไมจัดทําการจัดงาน 4.06 0.99 ระดบั มาก
บุญบ้ังไฟบูชา ฝนก็จะไมตกถูกตองตามฤดูกาล อาจกอใหเกิด
ภัยพบิ ัตกิ บั หมบู านไดเชน เกดิ ภัยแลง เปนตน
6. เพ่ือเปนการสงเสริมประเพณีบุญบั้งไฟ การจัดงานบุญบ้ังไฟ 4.22 0.98 ระดบั มาก
จึงสามารถจัดไดระหวางเดือนหกหรือพฤษภาคมถึงเขาพรรษา
ของของทกุ ปเร่ือยไปจนสนิ้ ฤดทู ํานา
7. ปจจุบันการจัดงานประเพณีบุญบ้ังไฟมีลักษณะแตกตางไป 4.01 1.04 ระดบั มาก
จากในอดตี
8. ในหวงระยะหลายปท่ีผานมาการจัดงานบุญบ้ังไฟในพื้นที่ 3.93 1.06 ระดับมาก
ยโสธรถูกลดความย่ิงใหญลงเปนอยางมาก ผูคนไมไดให
ความสําคัญเหมือนจังหวดั อื่นท่อี ยูใกลเคยี ง
9. บุญบั้งไฟสามารถสรางเปนสินคาทางวัฒนธรรมท่ีสงเสริม 4.29 0.91 ระดับมาก
อาชีพและรายไดใหกบั คนในพ้ืนท่ี
10. บุญบั้งไฟกอใหเกิดความรัก สามัคคี เกิดความรวมมือของ 4.26 0.95 ระดับมาก
ผูคนในชุมชน
11. บญุ บ้ังไฟกอใหเกิดรายได เกิดอาชพี เกดิ ผลดที างเศรษฐกิจ 4.27 1.00 ระดบั มาก
ของชุมชน
รวมคาเฉล่ียความรูความเขาใจเกย่ี วกับการจัดงาน 4.18 0.61 ระดับมาก
จากตารางที่ 4.3 พบวา ประชาชนจังหวัดยโสธรมีระดับความคิดเห็นดานความรูความเขาใจ
เกี่ยวกับการจัดงานประเพณีบุญบ้ังไฟจังหวัดยโสธร โดยรวมอยูในระดับมาก คาเฉล่ียที่ระดับ ( X =
4.18, S.D. = 0.61) เมื่อพิจารณาเปนรายขอพบวา อยูในระดับมากทั้ง 11 ขอ เรียงลําดับจากมาก
ไปหานอยดังนี้ อันดับแรกคือ ขอท่ี 1 ท่ีถามวา “บุญบ้ังไฟคือวัฒนธรรมท่ีโดดเดนและเปนเอกลักษณ
71
ของจังหวัดยโสธร” มีคาเฉล่ียที่ ( X = 4.33, S.D. = 0.99) รองลงมาคือขอที่ 9 ท่ีถามวา “บุญบั้ง
ไฟสามารถสรางเปนสินคาทางวัฒนธรรมท่ีสงเสริมอาชีพและรายไดใหกับคนในพื้นท่ี” มีคาเฉล่ียท่ี (
X = 4.29, S.D. = 0.91) อนั ดับท่ี 3 คอื ขอที่ 11 ที่ถามวา “บุญบ้ังไฟกอใหเกิดรายได เกิดอาชีพ
เกิดผลดีทางเศรษฐกิจของชุมชน” มีคาเฉลี่ยท่ี ( X = 4.27, S.D. = 1.00) สวนขอท่ีมีระดับความ
คิดเห็นนอยที่สุดคือขอท่ี 8. ที่ถามวา “ในหวงระยะหลายปท่ีผานมาการจัดงานบุญบ้ังไฟในพ้ืนที่
ยโสธรถูกลดความยิ่งใหญลงเปนอยางมาก ผูคนไมไดใหความสําคัญเหมือนจังหวัดอื่นที่อยูใกลเคียง”
มีคาเฉล่ียที่ ( X = 3.93, S.D. = 1.06)
2.2.2 ผลการวิเคราะหทัศนคติตอการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟจังหวัดยโสธร รายดานและ
รายขอ นาํ เสนอในตารางท่ี 4.4
ตารางที่ 4.4 คาเฉลี่ย สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับทัศนคติตอการจัดงานประเพณีบุญบ้ังไฟ
จังหวัดยโสธร รายดานและรายขอ
ทศั นคติตอการจัดงานประเพณีบญุ บั้งไฟจงั หวดั ยโสธร X S.D. ระดับความคดิ เหน็
1.การเท่ียวงานบุญบั้งไฟทําใหไดพักผอนรางกายจากการ 3.91 1.00 ระดับมาก
ทํางานหนกั ระดบั มาก
2.การเทย่ี วงานบญุ บัง้ ไฟทาํ ใหไดรบั รขู อมูลขาวสารตางๆ 3.93 0.98
3.การจัดงานบญุ ประเพณบี ญุ บ้ังไฟถอื วามีคุณคาทางวัฒนธรรม 4.29 0.92 ระดบั มาก
4.การจัดงานบุญประเพณีบุญบั้งไฟจะสามารถจัดกิจกรรมที่ 4.24 0.93 ระดบั มาก
หลากหลาย นาสนใจ ระดับมาก
5.การจัดงานบุญประเพณีบุญบ้ังไฟเปนสิ่งสะทอนเรื่องราว 4.29 0.91 ระดบั มาก
ตางๆในอดตี ไดดี ระดับมาก
6.ขาพเจาคดิ วาไดรบั รถู ึงประวตั ิ เรอื่ งราว วิถีชีวิตตางๆ ในอดีต 4.18 0.95 ระดับมาก
จากการจดั งานบญุ ประเพณีบญุ บงั้ ไฟ ระดบั มาก
7.การจัดงานบุญประเพณีบุญบ้ังไฟสามารถถายทอดเรื่องราว 4.30 0.90
วถิ ชี ีวติ ในอดตี ไดอยางสมบรู ณ
8.การจัดงานบุญประเพณีบุญบั้งไฟจะทําใหเกิดความเขาใจใน 4.27 0.90
ขนบธรรมเนยี มประเพณไี ดมากข้นึ
9.การจัดงานบุญประเพณีบุญบั้งไฟถือวาเปนการรําลึกเชิงถวิล 4.26 0.83
หาอดตี
รวมคาเฉลีย่ ทศั นคตติ อการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ 4.18 0.64 ระดับมาก
จากตารางที่ 4.4 พบวา ประชาชนจังหวัดยโสธรมีระดบั ทัศนคติตอการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ
จังหวัดยโสธร โดยพิจารณาเปนรายดานและรายขอ พบวา โดยรวมคาเฉล่ียทัศนคติตอการจัดงาน
ประเพณบี ญุ บงั้ ไฟอยใู นระดับมาก มีคาเฉล่ียท่ีระดับ ( X = 4.18, S.D. = 0.64) เมื่อพิจารรณาเปน
รายขอพบวาอยูในระดบั มากท้งั 9 ขอ โดยเรียงลําดบั จากมากไปหานอยไดดงั นี้ อันดับแรก คือขอที่ 7
72
ที่ถามวา “การจัดงานบุญประเพณีบุญบ้ังไฟสามารถถายทอดเร่ืองราววิถีชีวิต ในอดีตไดอยาง
สมบูรณ”อยใู นระดับมาก มคี าเฉลย่ี ท่รี ะดบั ( X = 4.30, S.D. = 0.90) รองลงมาคือ ขอที่ 5 ที่ถาม
วา “การจัดงานบุญประเพณีบุญบ้ังไฟเปนส่ิงสะทอนเรื่องราวตางๆในอดีตไดดี” อยูในระดับมาก มี
คาเฉลี่ยที่ระดับ ( X = 4.29, S.D. = 0.91) อันดับท่ี 3 คือขอที่ 3 ท่ีถามวา “การจัดงานบุญ
ประเพณีบุญบั้งไฟถือวามีคุณคาทางวัฒนธรรม” อยูในระดับมาก มีคาเฉล่ียท่ีระดับ ( X = 4.29,
S.D. = 0.92) สวนขอท่ีมรี ะดบั ความคดิ เหน็ นอยท่ีสดุ คือขอท่ี 1 ท่ถี ามวา “การเท่ียวงานบุญบ้ังไฟทํา
ใหไดพักผอนรางกายจากการทํางานหนัก” อยูในระดับมาก มีคาเฉล่ียที่ระดับ ( X = 3.91, S.D. =
1.00)
2.2.๓ ผลการวิเคราะหความตองการเกี่ยวกับการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟจังหวัดยโสธร ราย
ดานและรายขอ นําเสนอในตารางที่ 4.๕
ตารางท่ี 4.5 คาเฉลี่ย สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับความตองการการจัดงานประเพณีบุญบ้ังไฟ
จงั หวัดยโสธร รายดาน
ความตองการการจดั งานประเพณีบญุ บ้ังไฟจังหวัดยโสธร X S.D. ระดับความคิดเห็น
1.จังหวัดยโสธรควรจัดงานบุญบั้งไฟเปนไปตามแบบเดิมท่ีเคย 4.19 1.02 ระดบั มาก
จัดมาในอดตี
2.จังหวัดยโสธรควรมีพิพิธภัณฑมีชีวิตเกี่ยวกับบุญบั้งไฟเพื่อ 4.30 0.92 ระดับมาก
สงเสริมการทองเที่ยวของจังหวัด ถายทอดวัฒนธรรมโดยคน
ยโสธร
3.การจัดงานบุญบั้งไฟเปนตอบสนองทางเศรษฐกิจในกับคนใน 4.18 0.97 ระดับมาก
จงั หวดั ยโสธร
4.ตองการใหคนยโสธรเปนผูกําหนดการจัดการวัฒนธรรม 4.10 0.99 ระดับมาก
ทองถ่นิ น้นั ดวยตนเอง ภาคราชการเพยี งฝายสนับสนุนเทานน้ั
5.ทานตองการยกเลิกคําสั่งจังหวัดยโสธร เร่ือง มาตรการ 4.04 1.11 ระดับมาก
ปองกันและรักษาความปลอดภัยและการดูแลความสงบ
เรียบรอยของประชาชนในการจุดและปลอยหรือกระทําการ
อยางใดเพื่อใหบ้งั ไฟ ตะไลหรือวัสดุที่คลายคลึงกันข้ึนสูอากาศที่
ออกมาบังคับใชน้ัน สงผลกระทบตอการจัดงานบุญบั้งไฟให
เปล่ยี นแปลงไปจากเดิม
6.ทานเหน็ ดวยวาควรจะยกเลิกประกาศจังหวัดยโสธรท่ีหามจัด 4.10 1.13 ระดบั มาก
งานบุญบั้งไฟ
รวมคาเฉลย่ี ความตองการการจดั งานประเพณีบญุ บ้ังไฟ 4.15 0.69 ระดบั มาก
จากตารางท่ี 4.5 พบวา ประชาชนจังหวัดยโสธรมีระดับความตองการการจัดงานประเพณีบุญ
บงั้ ไฟจงั หวัดยโสธร โดยพิจารณาเปนรายดาน ไดดังน้ี โดยรวมประชาชนมีความคิดเห็นความตองการ
73
การจัดงานประเพณีบุญบ้ังไฟ อยูในระดับมาก มีคาเฉลี่ยที่ระดับ ( X = 4.15, S.D. = 0.69) เม่ือ
พิจารณาเปนรายขอพบวาอยูในระดับมากทุกขอ และเมื่อเรียงลําดับมากไปหานอยไดลําดับดังน้ี
อันดับแรกคือ ขอท่ี 2 ที่ถามวา “จังหวัดยโสธรควรมีพิพิธภัณฑมีชีวิตเก่ียวกับบุญบ้ังไฟเพ่ือสงเสริม
การทองเที่ยวของจังหวัด ถายทอดวัฒนธรรมโดยคนยโสธร” อยูในระดับมาก มีคาเฉล่ียท่ีระดับ ( X
= 4.30, S.D. = 0.92) รองลงมาคอื ขอ 1. ท่ีถามวา “จงั หวดั ยโสธรควรจัดงานบุญบั้งไฟเปนไปตาม
แบบเดิมท่ีเคยจัดมาในอดีต” อยูในระดับมาก มีคาเฉล่ียที่ระดับ ( X = 4.1๙, S.D. = ๑.๐2) ตอมา
คือขอท่ี 3.ทถ่ี ามวา “การจัดงานบุญบัง้ ไฟเปนตอบสนองทางเศรษฐกิจในกับคนในจังหวัดยโสธร” อยู
ในระดับมาก มีคาเฉลี่ยที่ระดับ ( X = 4.1๘, S.D. = ๐.๙๗) สวนขอคําถามท่ีมีคาเฉลี่ยนอยที่สุดคือ
ขอ 5. ท่ีถามวา “ทานตองการยกเลิกคําส่ังจังหวัดยโสธร เร่ือง มาตรการปองกันและรักษาความ
ปลอดภัยและการดูแลความสงบเรียบรอยของประชาชนในการจุดและปลอยหรือกระทําการอยางใด
เพื่อใหบั้งไฟ ตะไลหรือวัสดุที่คลายคลึงกันขึ้นสูอากาศที่ออกมาบังคับใชนั้น สงผลกระทบตอการจัด
งานบุญบั้งไฟใหเปล่ียนแปลงไปจากเดิม” อยูในระดับมาก มีคาเฉลี่ยท่ีระดับ ( X = 4.๐๔, S.D. =
๑.๑๑) ตามลาํ ดับ
ตอนท่ี 3 การวิเคราะหความพึงพอใจตอการจัดโครงการจัดประชุมเพ่ือสรางการรับรู
เก่ยี วกับการจดั งานประเพณบี ญุ บั้งไฟจงั หวดั ยโสธร
ผลการวเิ คราะหความพึงพอใจตอการจัดโครงการจัดประชุมเพื่อสรางการรับรูเก่ียวกับการจัด
งานประเพณบี ญุ บัง้ ไฟจงั หวดั ยโสธร ดงั แสดงในตาราง 4.6
ตารางที่ 4.6 คาเฉล่ีย สวนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และระดับความพึงพอใจตอการจัดโครงการจัดประชุม
เพ่อื สรางการรบั รเู ก่ยี วกบั การจัดงานประเพณีบุญบ้ังไฟจังหวัดยโสธร
ความพึงพอใจตอการจัดโครงการจัดประชมุ X S.D. ระดบั ความพงึ
1. ความพงึ พอใจตอชื่อโครงการ พอใจ
1.1 ความถกู ตองในการต้ังช่ือโครงการ 4.08 0.96 ระดบั มาก
1.2 ความเหมาะสมในการต้งั ชือ่ โครงการ 4.02 0.94 ระดบั มาก
1.3 ความเปนไปไดในการตั้งชอื่ โครงการ 2.98 0.96 ระดบั ปานกลาง
1.4 อรรถประโยชนทีเ่ กิดขน้ึ จากการตั้งชอื่ โครงการ 4.09 0.93 ระดบั มาก
รวมคาเฉลย่ี ความพึงพอใจตอชื่อโครงการ 4.04 0.72 ระดับมาก
2. ความพึงพอใจตอเนื้อหา/วทิ ยากร
2.1 วทิ ยากรนาํ เสนอสงิ่ ท่ีถูกตองในเนอ้ื หา 4.02 0.96 ระดบั มาก
2.2 วทิ ยากรนําเสนอเนอื้ หาอยางเหมาะสม 4.22 0.85 ระดับมาก
2.3 ส่ิงท่ีวทิ ยากรนาํ เสนอมีความเปนไปได 4.17 0.86 ระดับมาก
74
ความพึงพอใจตอการจดั โครงการจัดประชมุ X S.D. ระดบั ความพงึ
4.26 0.84 พอใจ
2.4 ส่งิ ที่วทิ ยากรนําเสนอมีประโยชน 4.17 0.68
รวมคาเฉลย่ี ความพึงพอใจตอเนอื้ หา/วิทยากร ระดับมาก
3. ความพงึ พอใจตอกระบวนการจัดโครงการ 4.11 0.87 ระดับมาก
3.1 ความถูกตองหลกั การวชิ าการ 4.06 0.90
3.2 ความเหมาะสมในระยะเวลาในการจัดโครงการ 4.12 0.82 ระดบั มาก
3.3 ความเปนไปไดหลงั จากการจัดทาํ โครงการเสรจ็ ส้นิ 4.38 0.77 ระดบั มาก
3.4 โครงการมปี ระโยชนตอผูเขารวมกจิ กรรม 4.17 0.66 ระดบั มาก
รวมคาเฉลีย่ ความพึงพอใจตอกระบวนการจัดโครงการ ระดบั มาก
ระดบั มาก
จากตารางท่ี 4.6 พบวา ประชาชนมีความพึงพอใจตอการจัดโครงการจัดประชุมเพ่ือสราง
การรับรูเกี่ยวกับการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟจังหวัดยโสธร มีคาเฉลี่ย สวนเบี่ยงเบนมาตรฐานและ
ระดับความคิดเห็นของประชาชนเก่ียวกับความพึงพอใจตอชื่อโครงการ ความพึงพอใจตอเน้ือหา/
วิทยากรและความพึงพอใจตอกระบวนการจดั โครงการโดยพจิ ารณาเปนรายดาน แยกไดดงั นี้
ความพึงพอใจตอชื่อโครงการ พบวา โดยรวมผูเขารวมประชุมมีระดับความพึงพอใจที่ระดับ
มาก มคี าเฉลี่ยที่ระดับ ( X = 4.04, S.D. = 0.72) เม่ือพิจารณาเปนรายขอ พบวา อยูในระดับมาก
จํานวน 3 ขอ ระดบั ปานกลาง จํานวน 1 ขอ เรียงลาํ ดบั จากคามากไปหานอยดังนี้ อันดับแรก คือ ขอ
3.4 โครงการมีประโยชนตอผูเขารวมกิจกรรม มีคาเฉลี่ยท่ีระดับ ( X = 4.09, S.D. = 0.93) รอลง
มาคือ ขอ 1.1 ความถูกตองในการต้ังชื่อโครงการ มีคาเฉล่ียที่ระดับ ( X = 4.08, S.D. = 0.96)
ตอมาคือ ขอ 1.2 ความเหมาะสมในการตั้งช่ือโครงการ มีคาเฉลี่ยที่ระดับ ( X = 4.08, S.D. =
0.96) อันดับสุดทาย คือ ขอ 1.3 ความเปนไปไดในการต้ังชื่อโครงการ อยูในระดับปานกลาง มี
คาเฉลยี่ ทร่ี ะดับ ( X = 2.98, S.D. = 0.96)
ความพึงพอใจตอเนื้อหา/วิทยากร พบวา โดยรวมผูเขารวมประชุมมีระดับความพึงพอใจท่ี
ระดบั มาก มีคาเฉล่ียท่รี ะดบั ( X = 4.17, S.D. = 0.68) เมอ่ื พจิ ารณาเปนรายขอ พบวา อยูในระดับ
มาก ทัง้ จาํ นวน 4 ขอ เรยี งลําดบั จากคามากไปหานอยดังนี้ อนั ดับแรก คือ 2.4 สิ่งท่ีวิทยากรนําเสนอ
มีประโยชน มีคาเฉล่ียที่ระดับ ( X = 4.26, S.D. = 0.84) รองลงมาคือ ขอ 2.2 วิทยากรนําเสนอ
เน้ือหาอยางเหมาะสม มีคาเฉล่ียท่ีระดับ ( X = 4.22, S.D. = 0.85) ตอมาคือ ขอ 2.3 สิ่งท่ี
วิทยากรนําเสนอมีความเปนไปได มีคาเฉลี่ยท่ีระดับ ( X = 4.17, S.D. = 0.86) อันดับสุดทายคือ
ขอ 2.1 วทิ ยากรนําเสนอส่งิ ที่ถกู ตองในเน้อื หา มคี าเฉลี่ยทีร่ ะดับ ( X = 4.02, S.D. = 0.96)
ความพึงพอใจตอกระบวนการจัดโครงการ พบวา โดยรวมผูเขารวมประชุมมีระดับความพึง
พอใจที่ระดับมาก มีคาเฉล่ยี ท่ีระดับ ( X = 4.17, S.D. = 0.66) เม่ือพิจารณาเปนรายขอ พบวา อยู
ในระดับมาก ท้ังจํานวน 4 ขอ เรียงลําดับจากคามากไปหานอยดังน้ี อันดับแรก คือ 3.4 โครงการมี
75
ประโยชนตอผูเขารวมกิจกรรมคาเฉลี่ยที่ระดับ ( X = 4.38, S.D. = 0.77) รองลงมาคือ ขอ 3.3
ความเปนไปไดหลังจากการจัดทําโครงการเสร็จสิ้น มีคาเฉล่ียท่ีระดับ ( X = 4.12, S.D. = 0.82)
ตอมาคือ ขอ 3.1 ความถูกตองหลักการวิชาการ มีคาเฉลี่ยที่ระดับ ( X = 4.11, S.D. = 0.87)
อันดับสุดทายคือ ขอ 3.2 ความเหมาะสมในระยะเวลาในการจัดโครงการ มีคาเฉล่ียที่ระดับ ( X =
4.06, S.D. = 0.90)
ตอนท่ี 4 ผลการวิเคราะหขอมูลเชิงคุณภาพเกี่ยวกับขอเสนอแนะและแนวทางการนํา
ทุนทางวฒั นธรรมมาสรางคณุ คาทางสังคมและเพิม่ มูลคาทางเศรษฐกจิ ในชุมชนทองถ่ิน
: กรณศี ึกษาการจดั งานประเพณีบุญบั้งไฟจงั หวัดยโสธร
ในข้ันตอนนี้ ผูวิจัยนํานําผลที่ไดรับจากแบบสอบถามปลายเปดและการถอดคําพูดจากเวที
การเสวนาและขอเสนอแนะจากวิทยากรและประชาชนท่ีเขารวมประชุมโครงการจัดประชุมเพ่ือสราง
การรับรูเกี่ยวกับการจัดงานประเพณีบุญบ้ังไฟจังหวัดยโสธร เม่ือวันที่ 19 กันยายน 2563 เวลา
09.00-16.00 น. ณ โรงแรมเดอะกรีนปารคแกรนดยโสธร ซง่ึ ไดสรปุ ผลการวเิ คราะห ไดดังน้ี
ดร. พิกิฏ ศรีชนะ กลาววา “........ผมเองในฐานะเปนคนยโสธรเคยคิดถึงจังหวัดบุรีรัมย ท่ีเขา
จัดจังหวัดบุรีรัมย เปนจังหวัดทองเที่ยวกีฬา มามองจังหวัดยโสธรที่เรามีชื่อเสียงเร่ืองบุญบั้งไฟแตเรา
ทําไมไมทาํ อะไรเกีย่ วกับวัฒนธรรมและจังหวัดยโสธรเราควรสงเสริมการทองเทย่ี วเชิงวฒั นธรรมใหโดง
ดัง โดยพื้นประเพณีใหนักทองเที่ยวเขามามีสวนรวมดวยเพราะบุญบั้งไฟไดมีแคจังหวัดยโสธรแตมี
เกอื บทุกภาคหรอื มีอีกหลายประเทศ ผมจึงขอนําเอาประเพณีบุญบั้งไฟไปสูการขึ้นทะเบียนเปนมรดก
โลก คนทั่วโลกจะรูจักบุญบ้ังไฟ............ผมเปนคนยโสธรเกิดจนตายอยูท่ีน่ี ดวยความเปนคนยโ สธร
และไดคุยกับผูนําฝายตางๆตลอด เก่ียวกับวัฒนธรรมบุญบั้งไฟ ดวยปจจุบันการจัดงานท่ีเปลี่ยนไป
โดยเฉพาะการใชตัวบทกฎหมายที่กาํ หนดขึ้นภายหลงั มาเปนตัวบังคับใหวัฒนธรรมเปลี่ยนไป ซ่ึงความ
เปนจริงแลวกฎหมายจารีตประเพณีมันมากอนและย่ิงใหญกวากฎหมายลายลักษรณอักษรหรือ
ระเบยี บอยางอ่นื เหมอื นกรณีบุญบ้ังไฟทผี่ านโรคระบาดโควิดไดทําใหเราฉุกคิดท่ีจะทําอยางไรที่จะทํา
ใหการจัดงานบุญบ้ังไฟจะย่ิงใหญตอไปและเปนหลักสากล สูความเปนมรดกของโลกตอไป โดย
กระทรวงวฒั นธรรม เหมือนจงั หวัดเลยขอใหกระทรวงวัฒนธรรมนาํ วัฒนธรรมผีตาโขนขนึ้ มรดกโลก
อนง่ึ การจดั งานบุญบงั้ ไฟตองไมทําโดยไมมีหลกั ที่แนนอนตองมีกรอบการทํางานที่ชัดเจน โดย
กระทรวงวัฒนธรรมจะคอยสนับสนุนและผลักดันเพราะบุญบ้ังไฟนั้นจัดกันหลายพื้นที่ทั้งภาคอีสาน
และแมแตทญี่ ป่ี ุนกม็ กี ารจัดบญุ บง้ั ไฟเชนกัน กนิ เท่ยี ว สนุกสนาน แลวเราตองมีรายไดไปดวย ควรจัด
ใหมีพิพธิ ภณั ฑมชี วี ิต.........”
นายเพ็ชรทาย วงศคําเหลาหรือหมํ่า จกมก กลาววา “........ตั้งแตอดีตสมัยตัวเองเปนเด็กมี
บุญบ้งั ไฟมาแตอดีตแตรูปแบบเปล่ยี นไป งานบุญบานเรายังใหญตองรักษาไวอยาใหสูญหายและผมยัง
เช่ือวาการจัดงานตลอด 3 เดือนตอเนื่องจะทําใหเปนวัฒนธรรมเชิงทองเที่ยวคลายงานวินเทจ จะทํา
ใหมีเศรฐกิจท่ีดีข้ึน มีเงินไหลเขามาในจังหวัดเรา เศรษฐกิจท่ีดีข้ึนจะดีกับคนยโสธรอยางตอเน่ือง
........”
76
ดร.สามารถ จันทรสูรย กลาววา “....บ้ังไฟไดรับการขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปญญาทาง
วฒั นธรรมระดบั ชาติแลวแต 2556 ซ่ึงก็ดีท่ีผูหลักผูใหญท่ีจะมีแนวคิดที่จะนําบุญบั้งไฟเปนมรดกโลก
แตชาวยโสธรตองยินยอมดวยทุกประเพณีมาจากเร่ืองเลาและความเช่ือทั้งนั้นหรือที่เรียกกวา นิทาน
ผมคงไมอธิบายเพราพ่ีนองชาวยโสธรทราบกันดีคือ บุญบั้งไฟคือสัญญาสงบศึกและทําขอตกลงไววา
ถาถงึ ฤดทู าํ นาใหจุดบ้ังไฟขึ้นไปเพื่อสงสัญญาณขอฝน พอไมอยากไดฝนแลวใหสงเสียงสนูหรือโหวตขึ้น
ไป ซงึ่ ตอนนจี้ งั หวัดรอยเอ็ดทําไปกอนเราแลว และบุญบั้งไฟคือประเพณีที่สรางความรักความสามัคคี
สรางขวัญและกําลังใจแกผูคนตลอดท้ังบุญบั้งไฟมีคุณคาทางศิลปะเกือบทุกๆสาขา ท้ังวรรณศิลป
(การเซ้งิ ) ทศั นศิลป (การวาดเขียนลายบ้ังไฟ) ศิลปะการแสดง(การฟอนรํา/การเซิ้ง) หรือสาขาดุริยาง
ศิลป (ดนตรี/กลองยาว/กลอนแห) ศิลปะการตกแตง รวมทั้งมีคุณคาทางศาสนา คุณคาทาง
เศรษฐศาสตร สวนจุดออนมีเพียงเล็กนอย เชนการจุดหรือการตกของบ้ังไฟ ซึ่งเราสามารถแกไขได
หรืออาจจะใชวิธีนาใครบ้ังไฟตกใสนามารับคาชดเชย และบุญบ้ังไฟน้ันมีมูลคาทางเศรษฐกิจถึง 6
หมื่นลาน เราจะนําเอา 6 หมื่นลานมาเปนรายไดกับคนในจังหวัดเรา สวนแนวทางการตอยอด
เศรษฐกิจสรางสรรค ผมขอเสนอแบงการจัดการออกเปน 4 กลมุ
1. ความเปนเจาของที่เปนเร่ืองของคนยโสธรทุกคนรวมกันเพื่อหาขอตกลงรวมกันวาจะยึด
หลักการใด เชน ตํานานจะใชตํานานใด บั้งไฟจะเอาแบบไหน เชน ย้ังไฟโบราณหรือบ้ังไฟสมัยใหม
การจดั กิจกรรม ศลิ ปกรรมเก่ยี วกับบุญบ้ังไฟ จะเอาอยางไรตองหาจุดรวมคนยโสธรรวมกัน รวมไปถึง
หาแหลงชมุ ชนบัง้ ไฟจะใชจดุ ใหคนพ้ืนทีอ่ ื่นไดอยากมาเท่ียวชม
2. ทําเมืองยโสธรใหเปนเมืองบั้งไฟ อยางเชนทุกมุมมองประดับประดาดวยบั้งไฟใหเปนท่ี
สนใจของนักทองเท่ียว จัดกิจกรรมประชาสัมพันธเมืองใหย่ิงใหญ เชน การทําหอบ้ังไฟ หรือ ถนนบั้ง
ไฟเปนตน
3. สรางพิพิธภัณฑบั้งไฟที่รวบรวมเอาบ้ังไฟท่ัวโลกมารวบรวมไวท่ีพิพิธภัณฑ การทําบ้ังไฟ
ตั้งแตอดีตถึงปจจุบันวาเปนมาอยางไร บั้งไฟแตละประเภทมีรูปรางลักษณะอยางไร เพราะ
ตางประเทศก็มีบ้ังไฟ รวมถึงการสรางสถาบันบั้งไฟขึ้นในจังหวัดเพ่ือศึกษาบั้งไฟและในมุมมองของผม
เร่อื งการทาํ เศรษฐกิจสรางสรรค แบงเปน
1. มรดก เพราะวฒั นธรรมเปนมรดก ขาวปลาอาหาร วิถีชีวิตเปนมรดก เสื้อผา อาภรณ
การแสดง ศลิ ปะตางๆ เปนมรดกของชาวยโสธร ซ่ึงเรามอี ยูแลวเพยี งแตวาเราตองหาจุดนําเสนอมรดก
เหลานี้
2. ศิลปะ ซึง่ มีหลากหลายสาขา อาทิ การแสดง ภาพยนตร เลขศิลป ทัศนศิลป สิ่งเหาน้ี
นาํ มาสรางสรรค
3. ส่ือ เชน โทรทศั น วิทยุ สิ่งพิมพ สื่อผสม ตองทําใหมีเพื่อเสนองานบุญบ้ังไฟจะสราง
คณุ คาเศรษฐกิจสรางสรรคไดอยางมีคุณคา
4. ออกแบบผลิตภัณฑ ทั้ง 3 กลุมขางตนเพ่ือนําเสนอตอสาธารณะและนําเอาไป
เผยแพรตอสาธารณชนท่ัวไปและตางประเทศ พรอมสงเสริมขับเคล่ือนสูการเปนมรดกโลกหรือ
วัฒนธรรมตอไป...”
77
ดร.ประยงค แกนลา กลาววา “......บุญบั้งไฟยโสธรปจจุบันเปนท่ีรูจักไปทั่วโลก แลวแต
มุมมองผมคือ 1. อนุรักษใหไดและ 2. ทําอยางไรจะสรางคุณคาไดซ่ึงผมมองวามีความหลากหลาย
วธิ กี ารแลวแตมหี ลกั การเพยี งวาพัฒนาอยางไรจะยงั คงความเปนวฒั นธรรมอยูเหมือนเดมิ ”
ดร.ประยงค กลาววาอีกคร้ังวา “ทําอยางไรจะทําใหวัฒนธรรมขายไดในโอกาสน้ีขอนําเสนอ 2 แงคิด
คือ 1. การจัดงานคนยโสธรตองเห็นพองตองกันท่ีจะอนุรักษ และ 2. ทําอยางไรจะทําใหเมืองยโสธร
เปนเมืองแหงบ้งั ไฟจรงิ ๆ หาแหลงทจี่ ุดบ้ังไฟทีช่ ดั เจนและปลอดภยั .......”
ดร.อวยชัย มะทา กลาววา “........จังหวัดยโสธรเปนศูนยกลางภาคอีสานและยโสธรจะไมมี
เพียงวัฒนธรรมบุญบ้ังไฟเทาน้ันยังมีวัฒนธรรมปลาสม วัฒนธรรมลอดชอง และอ่ืนๆอีกมาก โดยใช
บญุ บงั้ ไฟเปนตวั นาํ ใหวฒั นธรรมอืน่ สรางคณุ คาได.........”
นายวีระวัฒน ภัทตรนิกร กลาววา “.........ในการจัดงานบุญบ้ังไฟที่ผมเคยรับผิดชอบในการ
จัดงาน ยอมรับวามีความเปล่ียนแปลงไปจากอดีตอยางมากตามสถานการณ ตามยุคสมัย แตเราตอง
พิจารณาหลายสวน เชน บ้ังไฟญี่ปุนมีการกางรม เพ่ือความปลอดภัยของคนดู รักษาความปลอดภัย
ดวยการประกันภยั ผเู ขารวมงาน เราเองก็ตองพฒั นาของเรา เชน หาสถานท่ีจัดงานบุญบ้ังไฟที่มีความ
ปลอดภยั สงู สดุ หรือจัดใหมบี งั้ ไฟกางรมดวย เปนตน.........”
นายพงษเทพ เพียรทํา คร้ังที่ 1 กลาววา “.......ปจจุบันเรื่ององคความรูท่ีมีความขัดแยง
เก่ียวกบั บงั้ ไฟยโสธร อาทิ การยึดตํานานท่ีแตกตางกัน หรือแมแตการสรางพิพิธภัณฑพญาคันคากกับ
หนังทฉ่ี ายยงั ขดั แยงกันเลย ดังนั้นเราตองหาจดุ รวมกนั ในการยึดเอาองคความรไู ดเปนอันดับแรก..... ”
นายพงษเทพ เพียรทํา ใหขอเสนอแนะอกี ครั้งวา “........ขอยอนเหตุการณ สักเล็กนอยในการ
ขับเคลื่อนการจัดงานบุญบ้ังไฟวาจังหวัดเราไมไดดําเนินการตามขอเสนอแนะสภาวัฒนธรรมในการ
ออกประกาศใหจาํ กัดการจุดบง้ั ไฟที่วันนีเ้ ราตองแกไขประกาศดังกลาวใหจังหวัดรับรูดวย ซึ่งบุญบั้งไฟ
มีการขับเคลื่อนมูลคาเพิ่มใหกับเศรษฐกิจเชิงทองเที่ยวใหกับเราเชน บั้งไฟจําลอง เส้ือผา อ่ืนๆ และ
เราควนทําพพิ ิธภัณฑบั้งไฟขึ้นดวย สําหรับการอนุรักษนั้นตองมีการศึกษาขอมูลท่ีถูกตองตรงกัน ไมใช
คนหนึ่งบอกมาอยางหนึ่งหรืออยางเชนการเซิ้ง การประกวดกาบเซิ้งนั้นกรรมการตองพิจารณาให
ถูกตองเกี่ยวกับบุญบ้ังไฟหรืออยางกรณีตํานานบั้งไฟตองสรางองคความรูใหถูกตองตรงกันรวมไปถึง
ลายบ้งั ไฟเอดวย เราตองสรางองคความรูทถ่ี ูกตองใหกับประชาชน.......”
นายเทิดเกียรติ บุญทศ กลาวใหขอเสนอวา “.........เราตองแกไขประกาศจังหวัดยโสธรเปน
อันดบั แรก ที่ทาํ ใหงานบญุ บั้งไฟเปลีย่ นไป ขอใหชาวยโสธรไดจัดงานตั้งแต ขึ้น 1 ค่ํา เดือน 6 เปนตน
ไป ผมเห็นดวยกับทานพิกิฏ เสนอมาวาเมื่อพนฤดูจัดงาน 3 เดือนแลวนอกนั้นควรจัดงานไดในจุดท่ี
กาํ หนดดวยความเหมาะสมของพ้ืนท่ี..... ”
ดร.ไมตรี บุญทศ กลาววา “.......ต้ังแต พ.ศ.2557 เปนตนมา ประกาศจังหวัดยโสธร เร่ือง
มาตรการปองกันและรักษาความปลอดภัยและการดูแลความสงบเรียบรอยของประชาชนในการจุด
และปลอยหรือกระทําการอยางใดเพ่ือใหบั้งไฟ ตะไลหรือวัสดุที่คลายคลึงกันขึ้นสูอากาศไดสงผลตอ
การจัดงานประเพณบี ุญบง้ั ไฟเปนอยางมาก โดยเฉพาะอยางยิ่งการกาํ หนดใหการจัดงานเหลือเพียงแค
เดือนเดียว พรอมทั้งการจํากัดจํานวนบั้งไฟในการจุดแตละงาน สําหรับความคิดกระผมในแนว
ทางการยกระดับวฒั นธรรมบญุ บัง้ ไฟน้นั ผมเห็นดวยอยางยิ่ง อาทิ การขยายเวลาการจัดงานจาก เดือน
78
เดียวเปน 3 เดือนเปนอยางนอย เพราะจะทําใหผูมีสวนเก่ียวของกับบุญบั้งไฟน้ีมีรายไดจากการจัด
งานมากขนึ้ .......”
นายสมชาย แผนศิลา กลาววา “จากการวิจัยมหาวิทยาลัยพิษณุโลกถึงความปลอดภัยเม่ือ
วันที่ 12 มีนาคม 2563 สมาคมควบคุมจุดบ้ังไฟรวมกับองคการการบินระหวางประเทศมาศึกษา
ระหวางป 2557- 2559 การบนิ ของสายการบินลดลงในชวงฤดกู ารจุดบั้งไฟของจังหวัดภาคอีสานที่
มีการจุดบ้ังไฟ จึงเปนที่มาของการออกคําสั่ง คสช. ท่ี 27/59 และประกาศจังหวัดยโสธร เรื่ อง
มาตรการปองกันและรักษาความปลอดภัยและการดูแลความสงบเรียบรอยของประชาชนในการจุด
และปลอยหรือกระทําการอยางใดเพ่ือใหบั้งไฟ ตะไลหรือวัสดุที่คลายคลึงกันขึ้นสูอากาศ เปนเหตุให
การจัดงานบุญบั้งไฟเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเราก็ตองพยายามขอเสนอใหมีการยกเลิกหรือแกไขคําสั่งหรือ
ประกาศดังกลาวแตยงั ไมไดรบั การพิจารณา ดงั น้นั กระผมจงึ มขี อเสนอแนะดังน้ี
1. ขอยกเลิกหรือประกาศจังหวัดที่เก่ียวของกับเรอ่ื งนเี้ พ่อื ขยายการจัดงานบุญบ้ังไฟเปน
3 เดอื น
2. จัดพิพิธภัณฑท่ีมีชีวิตเก่ียวกับบั้งไฟ หมูบานบ้ังไฟ เพ่ือสงเสริมการทองเที่ยวตอไป
เน่ืองจากมหาวิทยาลัยพิษณุโลกไดมาทําการวิจัยเร่ืองการจุดบั้งไฟแลววา การจุดบั้งไฟไมเกิน 3
กโิ ลเมตร แตเครอ่ื งบนิ บนิ สงู จากระดบั พ้ืนดนิ 5 กิโลเมตรจะมปี ญหาเพียงการ ขึ้น-ลง เทานั้น จังหวัด
ยโสธรเรากไ็ มมีเครอื่ งบินขึ้น – ลง จึงไมมผี ลกระทบใดๆ......”
นายสุบรรณ กลาววา “.........บุญบั้งไฟมีมาแตอดีตเปนวัฒนธรรมท่ีสืบทอดตอกันมาจาก
โบราณกาลที่สรางความรกั ความสามัคคใี หกับคนในชุมชน แตทเ่ี ราประสบปญญาหาการจัดงานบั้งไฟ
ไมไดเพราะคําส่ัง ประกาศจังหวัดนี้ทําใหเราจัดงานไมไดแบบเดิม ผมจึงเสนอใหยกเลิกประกาศ
จงั หวดั ฉบบั น้เี ปนอันดับแรกแลวเรากจ็ ะสามารถจดั งานบุญบัง้ ไฟไดเหมือนเดิมตอไป.......”
รศ.ดร.สัญญา เคณาภูมิ กลาววา “…ผมขออนญุ าตสรปุ ประเดน็ ที่หลายทานไดนําเรียนมาเพ่ือ
นําเสนอในรูปแบบเชิงวิชาการภายใตโครงการจัดประชุมเพ่ือสรางการรับรูเก่ียวกับการจัดงาน
ประเพณบี ุญบง้ั ไฟจงั หวดั ยโสธรดังน้ี
วัฒนธรรมถือเปนวิถีการดําเนินชีวิตของกลุมคนนั้นท่ีมีคุณคาทางดานจิตใจ ความรูสึกนึกคิด
แกผูคนและคุณคาแกการดํารงรักษาตอไป ดังนั้นบุญบั้งไฟยังถือเปนวัฒนธรรมท่ีสําคัญกับผูคนชาว
ยโสธร ในมุมมองของนักวิชาการแลวจึงถือวามีความสําคัญตอการดํารงชีวิตตอชาวยโสธรเปนอยาง
มาก และหากจะทําอยางไรหรือมีแนวทางใดที่จะทําใหบุญบ้ังไฟกอเกิดคุณคาทางจิตใจแกชุมชมชาว
ยโสธร จึงขอแตกประเดน็ ออกไดดงั นี้ 4 ประเดน็
1. ประเด็นดานวัตถุทางวัฒนธรรม ท่ีเกิดข้ึนกับบุญบ้ังไฟแบงเปนตัวบ้ังไฟ การเอบั้งไฟ
กิจกรรมท่ีเก่ียวกับ เชน การฟอน กิจกรรมที่สงเสริมความเชื่อ ที่สรางคุณคา สรางศรัทธา ตอผูคน
เชน ความเชอ่ื อาจอยใู นรูปพญาแถนท่ีเปนกายเทวดาเพื่อเปนทีเ่ คารพสักการะของผูคน
2. ประเด็นภาคประชาชน ตองมีความสมัครสมาน สามัคคี รวมกลุมเชิงธุรกิจเพื่อ
สงั คม/ชมุ ชน
3. ประเด็นภาครฐั ตองคอยสนับสนนุ สงเรมิ ภาคประชาชน รวมท้งั การกํากับดแู ล
79
4. ประเดน็ ที่เปนระบบหรือกลไกลการจดั การ ซึ่งอาจแบงได 2 ประการตอไปคือ
4.1 ควรอนุรักษตอไปและควรยกเลกิ ประกาศจงั หวัดตามขอเสนอ
4.2 ควรจดั ทาํ แผนแมบทโดยสภาวัฒนธรรมจังหวัดยโสธรเพื่อจะหาแนวทางในการ
จัดการยกระดับการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟออกมาในรูปแบบใดท่ีจะสามารถสงเสริมการยกระดับ
ทุนวัฒนธรรมบุญบง้ั ไฟนี้นําไปสูการพัฒนาใหเปนวัฒนธรรมสงออกในระดับชาติหรือระดับโลก(มรดก
โลก) ไดอยางไร...........”
จากการรวบรวมขอเสนอแนะจึงไดผลการสรุปผลการวิเคราะหขอมูลที่ไดจากขอเสนอแนะ
และจากเวทีเสวนาแนวทางการนําทุนทางวัฒนธรรมมาสรางคุณคาทางสังคมและเพ่ิมมูลคาทาง
เศรษฐกิจในชมุ ชนทองถน่ิ ประกอบดวยประเดน็ หลกั 4 ประเดน็ ดังน้ี ประเด็นที่ ๑. ประเด็นดานวัตถุ
ทางวัฒนธรรม ท่ีเกิดขึ้นกับบุญบั้งไฟแบงเปนตัวบ้ังไฟ การเอบ้ังไฟ กิจกรรมท่ีเกี่ยวกับ เชน การฟอน
กิจกรรมท่สี งเสริมความเช่อื ท่สี รางคณุ คา สรางศรัทธา ตอผูคน เชน ความเชื่ออาจอยูในรูปพญาแถน
ท่ีเปนกายเทวดาเพื่อเปนท่ีเคารพสักการะ ประเด็นท่ี ๒.ประเด็นภาคประชาชน ตองมีความสมัคร
สมาน สามคั คี ประเด็นที่ ๓. ประเด็นภาครัฐตองคอยสนับสนุน สงเริมภาคประชาชน กํากับดูแล และ
ประเด็นที่ ๔. ประเด็นที่เปนระบบหรือกลไกลการจัดการ ซ่ึงในประเด็นน้ีอาจแบงออกไดอีกเปน 2
แนวทางตอไปคือ (๑) ยกเลิกประกาศจังหวัด และ (๒) ควรจัดทําแผนแมบทโดยสภาวัฒนธรรมจะมี
แนวทางในการจัดการยกระดับการจัดงานประเพณีบุญบ้ังไฟพัฒนาสูการเปนวัฒนธรรมสงออกใน
ระดบั ชาตหิ รอื ระดบั โลก สามารถเขยี นเปนแผนภาพผังมโนทศั นที่ ๔.๑ ดงั ตอไปไปน้ี
ภาพท่ี 4.1 แนวทางการนาํ ทุนทางวฒั นธรรมมาสรางคุณคาทางสงั คมและเพม่ิ มูลคาทางเศรษฐกจิ ใน
ชมุ ชนทองถ่นิ
80
ตอนที่ 5 วเิ คราะหขอเสนอแนะ
ในการวิเคราะหขอมูลขอเสนอแนะที่ไดจากแบบสอบถามแบบปลายเปดและถอดคําพูดจาก
วิทยากรและประชาชนท่เี ขารวมกจิ กรรมแลว ผลการวิเคราะหขอมูลผูวิจัยจึงสรุปขอเสนอแนะไดเปน
ประเดน็ ดงั ตอไปน้ี
ประเด็นท่ี ๑ ความคิดเห็นตอประเพณีวัฒนธรรมทองถิ่นวาทรงคุณคาควรท่ีจะอนุรักษสืบ
สานตอไปหรอื จะปลอยใหเลอื นหายไปหรือไม มขี อสรุปดงั นี้
๑.ประชาชนมีความเห็นวาประเพณีบุญบ้ังไฟเปนวัฒนธรรมที่ทรงคุณคาตอชุมชน
ทองถนิ่ เปนอยางมาก เห็นควรอนรุ กั ษสบื ตอไวตอไป
๒.ประเพณีบุญบ้ังไฟเปนวัฒนธรรมทองถิ่นท่ีเกิดประโยชนตอสังคมและชุมชน ควรให
คนในชุมชนเปนเจาของและชวยกันดูแลสืบสานดวยชุมชนเอง รัฐควรเปนฝายสนบั สนุน
๓.ประชาชนมีขอเสนอควรยกเลิกหรือแกไขประกาศจังหวัดยโสธรเร่ือง มาตรการ
ปองกันและรักษาความปลอดภัยและการดูแลความสงบเรียบรอยของประชาชนในการจุดและปลอย
หรอื กระทาํ การอยางใดเพ่ือใหบั้งไฟ ตะไลหรือวัสดุที่คลายคลึงกันข้ึนสูอากาศ เนื่องจากสงผลกระทบ
ตอการจัดงานประเพณบี ญุ บ้งั ไฟเปนอยางมาก
ประเด็นที่ ๒ การยกระดับคุณคาทางวัฒนธรรมใหเกิดผลดีตอเศรษฐกิจ สังคมน้ัน ควรมี
วธิ ีการหรือแนวทางอยางไรบาง
๑.ควรยกเลิกหรือแกไขประกาศจังหวัดยโสธรเรื่อง มาตรการปองกันและรักษาความ
ปลอดภัยและการดูแลความสงบเรียบรอยของประชาชนในการจุดและปลอยหรือกระทําการอยางใด
เพ่ือใหบ้ังไฟ ตะไลหรือวัสดุที่คลายคลึงกันขึ้นสูอากาศ เพราะจะทําใหชุมชนสามารถจัดงานประเพณี
ไดแบบเดมิ
๒.ภาคประชาชนควรรวมตัวกันจัดต้ังกลุมหรือเครือขายที่เก่ียวกับบุญบ้ังไฟเพื่อสราง
ความเขมแข็ง อาจอยูในรูปแบบกลุมวิสาหกิจชุมชนท่ีเก่ียวของกับประเพณีบุญบ้ังไฟ เชน กลุม
ผปู ระกอบการผผู ลิตบ้ังไฟ กลุมผูประกอบการคาในงานบุญบั้งไฟ เปนตน
๓.สภาวฒั นธรรมและสํานกั งานวัฒนธรรมจังหวัดหรือหนวยงานราชการที่เกี่ยวของควร
จัดทําแผนแมบทเกีย่ วกบั แนวทางการนําทนุ ทางวฒั นธรรมมาสรางคุณคาทางสังคมและเพิ่มมูลคาทาง
เศรษฐกจิ ในชมุ ชนทองถ่ิน
๔.หนวยงานระดับจงั หวดั หรอื ระดับกระทรวงควรมีแนวทางในการจัดสรางพิพิธภัณฑบ้ัง
ไฟ พิพิธภัณฑมีชีวิตเพื่อสงเสริมการทองเที่ยวเชิงวัฒนธรรมขึ้นในจังหวัด ตลอดทั้งจัดหาหมูบาน ชุม
ชุนบงั้ ไฟขึ้น
บทท่ี 5
สรุปผล อภปิ รายผล และขอเสนอแนะ
การวิจยั เรือ่ ง “การรับรูเก่ียวกับการจัดงานประเพณีบุญบ้ังไฟจังหวัดยโสธร” ในครั้งนี้เปนการ
วิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ซ่ึงในเชิงปริมาณใชวิธีการวิจัยเชิงสํารวจและเก็บรวบรวมขอมูลดวย
แบบสอบถาม มีวัตถุประสงคเพ่ือ ๑) เพ่ือศึกษาการรับรูเกี่ยวกับการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟจังหวัด
ยโสธร ๒) เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของผูเขารวมโครงการเพื่อสรางการรับรูเกี่ยวกับการจัดงาน
ประเพณีบุญบ้ังไฟจังหวัดยโสธร ๓) เพ่ือศึกษาความตองการของประชาชนเก่ียวกับการจัดงาน
ประเพณีบุญบ้ังไฟจังหวัดยโสธร และการวิจัยเชิงคุณภาพโดยมีวัตถุประสงคเพื่อศึกษาแนวทางการ
การสงเสรมิ สนับสนุนการนําทุนทางวัฒนธรรมเกี่ยวกับการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟจังหวัดยโสธรมา
สรางคุณคาทางสังคมและเพ่ิมมูลคาทางเศรษฐกิจ สรางแหลงอาชีพและรายไดใหกับคนในชุมชน
ทองถ่ินและเพื่อศึกษาขอเสนอแนะเก่ียวกับการจัดงานประเพณีบุญบ้ังไฟจังหวัดยโสธร ซึ่งประชากรที่
ใชในการสํารวจครั้งนี้ ไดแก กลุมตัวอยางเปาหมายในการศึกษา ประชาชนท่ีเขากิจกรรมโครงการ
จัดการประชุมเพื่อสรางการรับรูเก่ียวกับการจัดงานประเพณีบุญบ้ังไฟจังหวัดยโสธร ประจําป พ.ศ.
๒๕๖๓ จํานวน ๔๕๐ คน เครื่องมือที่ใชในการวิจัยในคร้ังน้ี เปนแบบสอบถาม (Questionnaire)
เก่ียวกับการรับรูเกี่ยวกับการจัดงานประเพณีบุญบ้ังไฟจังหวัดยโสธร ที่ผูวิจัยสรางขึ้นจากการศึกษา
เอกสารและงานวจิ ัยทีเ่ กีย่ วของ แบงออกไดเปน 3 ตอน ดงั น้ี
ตอนที่ 1 สอบถามขอมูลท่ัวไปเกี่ยวกับปจจัยสวนบุคคลของผูตอบแบบสอบถาม ไดแก (1)
เพศ (2) อายุ (3) ระดับการศึกษา (4) อาชีพ (5) รายไดตอเดือน (๖) รายจายตอเดือน (๗) ตําแหนง
หนาที่ และ (๘) ภมู ิลําเนาเปนแบบตรวจสอบรายการ (Check list)
ตอนท่ี ๒ แบบสอบถามเกี่ยวกับความรูความเขาใจเก่ียวกับการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ
จังหวดั ยโสธร
ตอนท่ี ๓ แบบสอบถามเก่ยี วกับทศั นคตติ อการจดั งานประเพณบี ุญบ้งั ไฟจังหวดั ยโสธร
ตอนที่ ๔ แบบสอบถามเก่ียวกบั ความตองการการจัดงานประเพณีบุญบง้ั ไฟจงั หวัดยโสธร
ตอนที่ ๕ แบบสอบถามเกย่ี วกับความพึงพอใจตอการจดั โครงการจัดประชุมเพื่อสรางการรับรู
เกี่ยวกับการจัดงานประเพณบี ุญบั้งไฟจงั หวดั ยโสธร ซ่งึ มลี ักษณะแบบมาตราสวนประมาณคา (Rating
Scale) โดยแบงระดบั ของการวดั ออกเปน 5 ระดับ
คะแนน 5 = มคี วามคิดเหน็ อยใู นระดับพอใจมากทีส่ ดุ
คะแนน 4 = มีความคดิ เห็น อยูในระดบั พอใจมาก
คะแนน 3 = มคี วามคิดเหน็ อยูในระดบั พอใจปานกลาง
คะแนน 2 = มีความคดิ เหน็ อยใู นระดับพอใจนอย
คะแนน 1 = มคี วามคิดเห็น อยูในระดับพอใจนอยที่สุด
ตอนท่ี ๖ เปนแบบสอบถามเก่ียวกับขอเสนอแนะและแนวทางการนําทุนทางวัฒนธรรมมา
สรางคุณคาทางสังคมและเพิ่มมูลคาทางเศรษฐกิจในชุมชนทองถ่ิน : กรณีการจัดงานประเพณีบุญบั้ง
ไฟจังหวัดยโสธร ลักษณะเปนคําถามปลายเปด (Open-ended) และการจัดเวทีสัมมนาจากวิทยากร
ผูทรงคณุ วุฒิ ดาํ เนนิ การวเิ คราะหขอมูลดงั น้ี
82
1. เกบ็ รวบรวมขอมูลและบันทึกขอมูลแลวตรวจสอบความถูกตองและความสอดคลองของ
ขอมลู ดวยโปรแกรมคอมพวิ เตอร SPSS แลวนาํ เสนอขอมลู ในรปู แบบของตารางพรอมอธิบาย
2. คํานวณคาเฉลี่ยของความพึงพอใจเปนนําหนักคะแนนตามมาตราสวนประมาณคา 5
ระดับแลวกาํ หนดคาเฉลยี่ ความพึงพอใจจากน้าํ หนักตามขอตกลงท่ตี งั้ ไวกอนนําไปวิเคราะห ดงั นี้
คาเฉลยี่ 4.51 – 5.00 แปลความหมายวา มีความคิดเหน็ ทรี่ ะดบั มากท่สี ุด
คาเฉลย่ี 3.51 – 4.50 แปลความหมายวา มคี วามคดิ เหน็ ท่ีระดับมาก
คาเฉล่ยี 2.51 – 3.50 แปลความหมาย มคี วามคดิ เห็นท่ีระดับปานกลาง
คาเฉลย่ี 1.51 – 2.50 แปลความหมายวา มคี วามคิดเห็นทรี่ ะดบั นอย
คาเฉล่ยี 1.00 – 1.50 แปลความหมายวา มคี วามคิดเหน็ ทร่ี ะดับนอยท่ีสดุ
๓. การวเิ คราะหขอมูลโดยใชสถิติในการวิเคราะหขอมูลเพ่ือหาคารอยละ คาเฉลี่ยและสวน
เบ่ียงเบนมาตรฐาน ผลการวเิ คราะหขอมูลสรปุ ผลในลําดับตอไป
1. สรุปผล
1. คุณสมบัติท่ัวไปของผูตอบแบบสอบถาม
ผูตอบแบบสอบถามสวนใหญเปนเพศชาย จํานวน 286 คน คิดเปนรอยละ 63.56 อายุ
ของผูตอบแบบสอบถามสวนใหญมีอายุระหวาง 21 - 40 ป จํานวน ๓๘๐ คน คิดเปนรอยละ
๓๓.๐๐ ระดับการศึกษาของผูตอบแบบสอบถามสวนใหญสําเร็จการศึกษาในระดับประถมศึกษา
จํานวน 168 คน คิดเปนรอยละ 37.33 อาชีพของผูตอบแบบสอบถามสวนใหญมีอาชีพเกษตรกร
จํานวน 287 คน คิดเปนรอยละ 63.78 รายไดของผูตอบแบบสอบถามสวนใหญมีรายไดตอป
ระหวาง 10,001 – 20,000 บาท จํานวน 251 คน คิดเปนรอยละ 55.78 รายจายของผูตอบ
แบบสอบถามสวนใหญมรี ายจาย จาํ นวน 207 คน คิดเปนรอยละ 46.00 ตําแหนงหนาที่ของผูตอบ
แบบสอบถามสวนใหญเปนประชาชนทั่วไป จํานวน 202 คน คิดเปนรอยละ 44.89 และภูมิลําเนา
ผูตอบแบบสอบถามสวนใหญมีภูมิลําเนาอยูในเขตองคการบริหารสวนตําบล จํานวน 259 คน คิด
เปนรอยละ 57.56
2. ผลการสํารวจขอมลู
2.1 ผลการวิเคราะหขอมูลความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับโดยรวมการจัดงาน
ประเพณีบญุ บ้ังไฟจงั หวดั ยโสธร
ระดบั ความคดิ เห็นเกี่ยวกับการการจัดงานประเพณีบุญบ้ังไฟจังหวัดยโสธร มีคาเฉลี่ย
ที่ระดับมาก ( X = ๔.17, S.D. = 0.65) เม่ือพิจารณาเปนรายดานปรากฏวา อยูในระดับมากท่ีดาน
เรียงลําดับจากมากไปหานอยดังนี้ อันดับแรกคือ ดานความรูความเขาใจเกี่ยวกับการจัดงานประเพณี
บุญบ้ังไฟจังหวัดยโสธร มีคาเฉล่ียท่ีระดับมาก ( X = 4.18, S.D. = 0.61) รองลงมาคือ ทัศนคติตอ
การจัดงานประเพณบี ญุ บง้ั ไฟจงั หวัดยโสธรมีคาเฉลี่ยทีร่ ะดบั มาก ( X = 4.18, S.D. =0.64) ดานที่มี
ระดับความคดิ เหน็ นอยท่ีสุด คือ ความตองการในการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟจังหวัดยโสธรมีคาเฉลี่ย
ท่รี ะดบั มาก ( X = 4.15, S.D. = 0.69)
2.2 ผลการวิเคราะหขอมูลความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดงานประเพณีบุญบ้ังไฟรายดาน
และรายขอโดยแยกไดดงั ตอไปน้ี
83
1) ดานความรูความเขาใจ พบวา ประชาชนจังหวัดยโสธรมีระดับความคิดเห็นดาน
ความรคู วามเขาใจเกย่ี วกับการจัดงานประเพณีบญุ บั้งไฟจังหวดั ยโสธร โดยรวมอยูในระดับมาก คาเฉล่ียท่ี
ระดับ ( X = 4.18, S.D. = 0.61) เม่ือพิจารณาเปนรายขอพบวา อยูในระดับมากท้ัง 11 ขอ
เรยี งลําดับจากมากไปหานอยดังนี้ อันดับแรกคือ ขอที่ 1 ท่ีถามวา “บุญบ้ังไฟคือวัฒนธรรมที่โดดเดน
และเปนเอกลักษณของจังหวัดยโสธร” มีคาเฉลี่ยท่ี ( X = 4.33, S.D. = 0.99) รองลงมาคือขอที่ 9
ที่ถามวา “บุญบั้งไฟสามารถสรางเปนสินคาทางวัฒนธรรมที่สงเสริมอาชีพและรายไดใหกับคนใน
พ้ืนท่ี” มีคาเฉลี่ยที่ ( X = 4.29, S.D. = 0.91) อันดับที่ 3 คือ ขอที่ 11 ที่ถามวา “บุญบั้งไฟ
กอใหเกิดรายได เกิดอาชีพ เกิดผลดีทางเศรษฐกิจของชุมชน” มีคาเฉล่ียท่ี ( X = 4.27, S.D. =
1.00) สวนขอทม่ี รี ะดับความคิดเหน็ นอยที่สดุ คือขอที่ 8. ท่ีถามวา “ในหวงระยะหลายปที่ผานมาการ
จัดงานบุญบ้ังไฟในพ้ืนท่ียโสธรถูกลดความยิ่งใหญลงเปนอยางมาก ผูคนไมไดใหความสําคัญเหมือน
จงั หวดั อน่ื ที่อยูใกลเคียง” มีคาเฉล่ยี ท่ี ( X = 3.93, S.D. = 1.06)
2) ดานทัศนคตติ อการจดั งานประเพณบี ญุ บั้งไฟ พบวา ประชาชนจังหวัดยโสธรมีระดับ
ทัศนคติตอการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟจังหวัดยโสธร โดยพิจารณาเปนรายดานและรายขอ พบวา
โดยรวมคาเฉลี่ยทัศนคติตอการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟอยูในระดับมาก มีคาเฉล่ียท่ีระดับ ( X =
4.18, S.D. = 0.64) เมื่อพิจารรณาเปนรายขอพบวาอยูในระดับมากท้ัง 9 ขอ โดยเรียงลําดับจาก
มากไปหานอยไดดังน้ี อันดับแรก คือขอท่ี 7 ท่ีถามวา “การจัดงานบุญประเพณีบุญบั้งไฟสามารถ
ถายทอดเรื่องราววิถีชีวิต ในอดีตไดอยางสมบูรณ”อยูในระดับมาก มีคาเฉลี่ยที่ระดับ ( X = 4.30,
S.D. = 0.90) รองลงมาคือ ขอที่ 5 ที่ถามวา “การจัดงานบุญประเพณีบุญบั้งไฟเปนส่ิงสะทอน
เรื่องราวตางๆในอดีตไดดี” อยูในระดับมาก มีคาเฉลี่ยท่ีระดับ ( X = 4.29, S.D. = 0.91) อันดับที่
3 คือขอที่ 3 ท่ีถามวา “การจัดงานบุญประเพณีบุญบ้ังไฟถือวามีคุณคาทางวัฒนธรรม” อยูในระดับ
มาก มีคาเฉล่ียที่ระดับ ( X = 4.29, S.D. = 0.92) สวนขอท่ีมีระดับความคิดเห็นนอยที่สุดคือขอท่ี
1 ทีถ่ ามวา “การเท่ียวงานบุญบ้ังไฟทําใหไดพักผอนรางกายจากการทํางานหนัก” อยูในระดับมาก มี
คาเฉลย่ี ทรี่ ะดบั ( X = 3.91, S.D. = 1.00)
3) ดานความตองการเก่ียวกับการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ พบวา ประชาชนจังหวัด
ยโสธรมีระดับความตองการการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟจังหวัดยโสธร โดยพิจารณาเปนรายดาน ได
ดังนี้ โดยรวมประชาชนมีความคิดเห็นความตองการการจัดงานประเพณีบุญบ้ังไฟ อยูในระดับมาก มี
คาเฉล่ียที่ระดับ ( X = 4.15, S.D. = 0.69) เมื่อพิจารณาเปนรายขอพบวาอยูในระดับมากทุกขอ
และเม่ือเรียงลําดับมากไปหานอยไดลําดับดังน้ี อันดับแรกคือ ขอท่ี 2 ท่ีถามวา “จังหวัดยโสธรควรมี
พิพิธภัณฑมีชีวิตเก่ียวกับบุญบ้ังไฟเพ่ือสงเสริมการทองเที่ยวของจังหวัด ถายทอดวัฒนธรรมโดยคน
ยโสธร” อยูในระดับมาก มีคาเฉล่ียที่ระดับ ( X = 4.30, S.D. = 0.92) รองลงมาคือ ขอ 1. ที่ถาม
วา “จังหวัดยโสธรควรจัดงานบุญบั้งไฟเปนไปตามแบบเดิมที่เคยจัดมาในอดีต” อยูในระดับมาก มี
คาเฉลี่ยท่ีระดับ ( X = 4.1๙, S.D. = ๑.๐2) ตอมา คือขอท่ี 3.ท่ีถามวา “การจัดงานบุญบั้งไฟเปน
ตอบสนองทางเศรษฐกิจในกับคนในจังหวัดยโสธร” อยูในระดับมาก มีคาเฉลี่ยที่ระดับ ( X = 4.1๘,
S.D. = ๐.๙๗) สวนขอคําถามที่มีคาเฉลี่ยนอยที่สุดคือ ขอ 5. ท่ีถามวา “ทานตองการยกเลิกคําส่ัง
จังหวัดยโสธร เรื่อง มาตรการปองกันและรักษาความปลอดภัยและการดูแลความสงบเรียบรอยของ
84
ประชาชนในการจดุ และปลอยหรือกระทําการอยางใดเพื่อใหบ้ังไฟ ตะไลหรือวัสดุที่คลายคลึงกันขึ้นสู
อากาศที่ออกมาบังคับใชน้ัน สงผลกระทบตอการจัดงานบุญบ้ังไฟใหเปล่ียนแปลงไปจากเดิม” อยูใน
ระดบั มาก มคี าเฉล่ียทีร่ ะดับ ( X = 4.๐๔, S.D. = ๑.๑๑) ตามลําดับ
4) ดานความพึงพอใจตอการจัดโครงการจัดประชุมเพื่อสรางการรับรู พบวา
ประชาชนมคี วามพึงพอใจตอการจัดโครงการจัดประชุมเพ่ือสรางการรับรูเก่ียวกับการจัดงานประเพณี
บุญบ้ังไฟจังหวัดยโสธร มีคาเฉล่ีย สวนเบ่ียงเบนมาตรฐานและระดับความคิดเห็นของประชาชน
เก่ียวกับความพึงพอใจตอช่ือโครงการ ความพึงพอใจตอเนื้อหา/วิทยากรและความพึงพอใจตอ
กระบวนการจดั โครงการโดยพิจารณาเปนรายดาน แยกไดดังน้ี
ความพึงพอใจตอช่ือโครงการ พบวา โดยรวมผูเขารวมประชุมมีระดับความพึง
พอใจท่รี ะดบั มาก มคี าเฉลี่ยที่ระดับ ( X = 4.04, S.D. = 0.72) เมื่อพิจารณาเปนรายขอ พบวา อยู
ในระดับมาก จํานวน 3 ขอ ระดับปานกลาง จํานวน 1 ขอ เรียงลําดับจากคามากไปหานอยดังน้ี
อันดับแรก คือ ขอ 3.4 โครงการมีประโยชนตอผูเขารวมกิจกรรม มีคาเฉล่ียที่ระดับ ( X = 4.09,
S.D. = 0.93) รอลงมาคือ ขอ 1.1 ความถูกตองในการตงั้ ช่อื โครงการ มีคาเฉลี่ยท่ีระดับ ( X = 4.08,
S.D. = 0.96) ตอมาคือ ขอ 1.2 ความเหมาะสมในการตั้งช่ือโครงการ มีคาเฉล่ียที่ระดับ ( X =
4.08, S.D. = 0.96) อันดับสุดทาย คือ ขอ 1.3 ความเปนไปไดในการต้ังชื่อโครงการ อยูในระดับ
ปานกลาง มคี าเฉลีย่ ทีร่ ะดบั ( X = 2.98, S.D. = 0.96)
ความพึงพอใจตอเนื้อหา/วิทยากร พบวา โดยรวมผูเขารวมประชุมมีระดับความ
พึงพอใจที่ระดับมาก มีคาเฉล่ียที่ระดับ ( X = 4.17, S.D. = 0.68) เมื่อพิจารณาเปนรายขอ พบวา
อยูในระดับมาก ทั้งจํานวน 4 ขอ เรียงลําดับจากคามากไปหานอยดังนี้ อันดับแรก คือ 2.4 ส่ิงที่
วิทยากรนําเสนอมีประโยชน มีคาเฉล่ียที่ระดับ ( X = 4.26, S.D. = 0.84) รองลงมาคือ ขอ 2.2
วิทยากรนําเสนอเนื้อหาอยางเหมาะสม มีคาเฉล่ียท่ีระดับ ( X = 4.22, S.D. = 0.85) ตอมาคือ ขอ
2.3 สิ่งที่วิทยากรนําเสนอมีความเปนไปได มีคาเฉล่ียท่ีระดับ ( X = 4.17, S.D. = 0.86) อันดับ
สุดทายคือ ขอ 2.1 วิทยากรนําเสนอสิ่งท่ีถูกตองในเน้ือหา มีคาเฉล่ียท่ีระดับ ( X = 4.02, S.D. =
0.96)
ความพึงพอใจตอกระบวนการจัดโครงการ พบวา โดยรวมผูเขารวมประชุมมี
ระดบั ความพงึ พอใจทร่ี ะดับมาก มคี าเฉลยี่ ท่ีระดบั ( X = 4.17, S.D. = 0.66) เม่ือพิจารณาเปนราย
ขอ พบวา อยูในระดบั มาก ทงั้ จาํ นวน 4 ขอ เรยี งลาํ ดับจากคามากไปหานอยดังนี้ อันดับแรก คือ 3.4
โครงการมีประโยชนตอผูเขารวมกิจกรรมคาเฉล่ียที่ระดับ ( X = 4.38, S.D. = 0.77) รองลงมาคือ
ขอ 3.3 ความเปนไปไดหลังจากการจัดทําโครงการเสร็จส้ิน มีคาเฉล่ียท่ีระดับ ( X = 4.12, S.D. =
0.82) ตอมาคือ ขอ 3.1 ความถูกตองหลักการวิชาการ มีคาเฉลี่ยท่ีระดับ ( X = 4.11, S.D. =
0.87) อันดับสุดทายคือ ขอ 3.2 ความเหมาะสมในระยะเวลาในการจัดโครงการ มีคาเฉล่ียที่ระดับ
( X = 4.06, S.D. = 0.90)
5) แนวทางการนําทุนทางวัฒนธรรมมาสรางคุณคาทางสังคมและเพ่ิมมูลคาทาง
เศรษฐกิจในชุมชนทองถ่ิน พบวา แนวทางการนําทุนทางวัฒนธรรมมาสรางคุณคาทางสังคมและเพิ่ม
85
มูลคาทางเศรษฐกิจในชุมชนทองถ่ินประกอบดวยประเด็นหลัก 4 ประเด็น ดังนี้ ๑. ประเด็นดานวัตถุ
ทางวัฒนธรรม ท่ีเกิดข้ึนกับบุญบั้งไฟแบงเปนตัวบ้ังไฟ การเอบ้ังไฟ กิจกรรมท่ีเก่ียวกับ เชน การฟอน
กิจกรรมที่สงเสริมคววามเช่ือ ท่ีสรางคุณคา สรางศรัทธา ตอผูคน เชน ความเชื่ออาจอยูในรูปพญา
แถนท่ีเปนกายเทวดาเพ่ือเปนที่เคารพสักการะ ๒. ประเด็นภาคประชาชน ตองมีความสมัครสมาน
สามัคคี ๓. ประเด็นภาครัฐตองคอยสนันสนุน สงเริมภาคประชาชน กํากับดูแล ๔. ประเด็นท่ีเปน
ระบบหรือกลไกลการจัดการ ซ่ึงอาจแบงได 2 ประการตอไปคือ (๑) ยกเลิกประกาศจังหวัด และ (๒)
ควรจัดทําแผนแมบทโดยสภาวัฒนธรรมจะมีแนวทางในการจัดการยกระดับการจัดงานประเพณีบุญ
บัง้ ไฟพัฒนาสกู ารเปนวฒั นธรรมสงออกในระดับชาติหรอื ระดบั โลก
2. อภิปรายผลการวิจัย
การศึกษาวิจัยเรื่อง การรับรูเกี่ยวกับการจัดงานประเพณีบุญบ้ังไฟจังหวัดยโสธร น้ันมี
ผลการวิจัยพบวา ระดบั ความคดิ เหน็ เกย่ี วกบั การรบั รใู นการจดั งานประเพณีบุญบ้ังไฟจังหวัดยโสธร มี
คาเฉล่ียทร่ี ะดับนอย ( X = 2.17, S.D. = 0.65) เม่อื พิจารณาเปนรายดานปรากฏวา อยูในระดับมากที่
ดาน เรียงลําดับจากมากไปหานอยดังน้ี อันดับแรกคือ ดานความรูความเขาใจเก่ียวกับการจัดงาน
ประเพณีบุญบ้ังไฟจังหวัดยโสธร มีคาเฉล่ียท่ีระดับมาก ( X = 4.18, S.D. = 0.61) รองลงมาคือ
ทัศนคติตอการจัดงานประเพณีบุญบ้ังไฟจังหวัดยโสธรมีคาเฉล่ียที่ระดับมาก ( X = 4.18, S.D.
=0.64) ดานทมี่ รี ะดับความคิดเหน็ นอยท่ีสดุ คือ ความตองการในการจัดงานประเพณีบุญบ้ังไฟจังหวัด
ยโสธรมีคาเฉลี่ยที่ระดับมาก ( X = 4.15, S.D. = 0.69) ที่เปนเชนน้ีแสดงใหเห็นวา ประชาชนใน
จังหวัดยโสธรสวนใหญแลวมีการรับรูในการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟโดยเฉพาะ ดานความรูความ
เขาใจเกี่ยวกับการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟจังหวัดยโสธร มีคาเฉล่ียที่ระดับมากเปนอันดับแรกอาจ
เปนเพราะประเพณีบุญบงั้ ไฟน้ันเปนวัฒนธรรมท่ีสืบทอดตอเน่ืองกันมาเปนระยะเวลานานจึงทําใหคน
ไดมีความรูเกี่ยวกับประเพณีน้ีเปนอยางดีซึ่งอาจรวมไปถึงเปนประเพณีท่ีเกี่ยวเนื่องตอวิถีชีวิต การ
ประกอบชีพของผูคนตามความเชื่อในการดํารงชีวิตวาหากปใดที่ทําการจุดบ้ังไฟเพื่อบูชาพญาแถนจะ
ทําใหฝนฟาตกตองตามฤดูกาล สวนดานทัศนคติท่ีมีตอประเพณีบุญบั้งไฟน้ัน พบวาอยูในระดับมาก
( X = 4.18, S.D. =0.64) เชนเดียวกัน ท่ีเปนเชนน้ีแสดงใหเห็นวา ประชาชาวยโสธรมี
แนวความคิดเห็น, ความรูสึกนึกคิดท่ีบุคคลมีตอส่ิงตาง ๆ รวมทั้งตนเอง โดยมีเหตุผลประกอบในท่ีดี
ตอการจัดงานบุญประเพณีบุญบ้ังไฟอาจเพราะเช่ือวามีคุณคาทางวัฒนธรรมและการจัดงานบุญ
ประเพณีบุญบ้ังไฟจะสามารถจัดกิจกรรมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม รวมท้ังการจัดงานบุญ
ประเพณีบุญบั้งไฟสามารถถายทอดเร่ืองราววิถีชีวิต ในอดีตไดอยางสมบูรณการจัดงานบุญประเพณี
บญุ บ้ังไฟจะทําใหเกิดความเขาใจในขนบธรรมเนียมประเพณีไดมากขึ้นการจัดงานบุญประเพณีบุญบั้ง
ไฟถือวาเปนการรําลึกเชิงถวิลหาอดีตมาจนปจจุบัน ในสวนดานความตองการเก่ียวกับการจัดงาน
ประเพณีบุญบ้ังไฟจังหวัดยโสธร พบวา มีคาเฉล่ียที่ระดับมาก ( X = 4.15, S.D. = 0.69)
เชนเดยี วกัน ที่เปนเชนนีแ้ สดงใหเหน็ วา ประชาชนชาวยโสธรมีความตองการเปนผูกําหนดการจัดการ
วฒั นธรรมทองถ่ินน้ันดวยตนเอง ภาคราชการเพียงฝายสนับสนุนเทานั้นจังหวัดยโสธรควรจัดงานบุญ
บง้ั ไฟเปนไปตามแบบเดมิ ท่ีเคยจดั มาในอดตี รวมไปถึงจงั หวัดยโสธรควรมพี ิพิธภณั ฑมีชีวิตเกี่ยวกับบุญ
86
บัง้ ไฟเพ่ือสงเสริมการทองเที่ยวของจังหวัด ถายทอดวัฒนธรรมโดยคนยโสธรการจัดงานบุญบั้งไฟเปน
ตอบสนองทางเศรษฐกจิ ในกับคนในจังหวดั ยโสธรความตองการของคนยโสธรเปนผูกําหนดการจัดการ
วัฒนธรรมทองถิ่นนั้นดวยตนเอง เชนตองการยกเลิกประกาศจังหวัดยโสธรเร่ือง เรื่อง มาตรการ
ปองกันและรักษาความปลอดภัยและการดูแลความสงบเรียบรอยของประชาชนในการจุดและปลอย
หรือกระทําการอยางใดเพ่ือใหบั้งไฟ ตะไลหรือวัสดุที่คลายคลึงกันข้ึนสูอากาศ ซ่ึงสงผลกระทบตอการ
จดั งานประเพณีบุยบั้งไฟเปนอยางมากนัน่ เอง
3. ขอเสนอแนะ
ผลการวิเคราะหขอมูลสรุปไดดังตอไปนี้
1. ขอเสนอแนะเชิงนโยบาย
๑.๑ ควรยกเลิกหรือแกไขประกาศจังหวัดยโสธรเร่ือง มาตรการปองกันและรักษาความ
ปลอดภัยและการดูแลความสงบเรียบรอยของประชาชนในการจุดและปลอยหรือกระทําการอยางใด
เพ่ือใหบ้ังไฟ ตะไลหรือวัสดุท่ีคลายคลึงกันข้ึนสูอากาศ เพราะจะทําใหชุมชนสามารถจัดงานประเพณี
ไดแบบเดิม
๑.๒ ภาคประชาชนควรรวมตัวกันจัดต้ังกลุมหรือเครือขายที่เกี่ยวกับบุญบ้ังไฟเพ่ือสราง
ความเขมแข็ง อาจอยูในรูปแบบกลุมวิสาหกิจชุมชนท่ีเก่ียวของกับประเพณีบุญบั้งไฟ เชน กลุม
ผปู ระกอบการผผู ลติ บั้งไฟ กลุมผูประกอบการคาในงานบญุ บ้งั ไฟ เปนตน
๑.๓ สภาวัฒนธรรมและสํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดหรือหนวยงานราชการท่ีเก่ียวของ
ควรจัดทําแผนแมบทแนวทางการนําทุนทางวัฒนธรรมมาสรางคุณคาทางสังคมและเพิ่มมูลคาทาง
เศรษฐกจิ ในชุมชนทองถิ่น
๑.๔ หนวยงานระดบั จงั หวัดหรอื ระดับกระทรวงควรมีแนวทางในการจัดสรางพิพิธภัณฑ
บ้ังไฟในรูปแบบพิพิธภัณฑมีชีวิต ตลอดท้ังทําสรางหมูบาน/ชุมชุนบ้ังไฟขึ้นเพ่ือสงเสริมการทองเที่ยว
เชิงวัฒนธรรม
2. ขอเสนอแนะในการวจิ ยั ครง้ั ตอไป
๒.๑ ควรทําการศึกษาวจิ ัยเรื่องผลกระทบตอการจัดงานประเพณีบญุ บง้ั ไฟจังหวัดยโสธร
๒.๒ ควรทาํ การวจิ ยั เรอ่ื งแนวทางการยกระดบั สนิ คาทางวฒั นธรรมสูเศรษฐกิจทองเท่ียว
เชงิ สรางสรรคแบบย่ังยืนบบยงั ยืน : กรณศี กึ ษาบุญบง้ั ไฟจังหวดั ยโสธร
บรรณานกุ รม
กรมประชาสัมพนั ธ. (๒๕๕๙ สงิ หาคม ๒). เดินหนายกระดับสินคามรดกภูมปิ ญญาและวัฒนธรรม
ไทยสรางมูลคาทางเศรษฐกจิ ขานรับนโยบายไทย ๔.๐, สืบคนเม่ือ ๑๓ มิถุนายน
๒๕๖๐ จาก http://www.aseanthai.net/ewt_news.php?nid=
๖๐๗๗&filename=index.
กระทรวงวัฒนธรรม. (๒๕๕๓). วิสัยทัศน พันธกิจ และยุทธศาสตร., จาก http:// www.m-
culture.go.th/about.php?sub_id=๑๐๓๗. สบื คนเม่ือ ๑๕ ม.ิ ย.๒๕๖๐.
กรุงเทพธรุ กิจ. (๒๕๕๘). จาก : www.m-culture.go.th/ewtadmin/ewt/.../article_fileattach_
๒๐๑๗๐๑๑๙๑๔๔๗๐๘.doc). สบื คนเม่ือ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๐.
กรุงเทพธรุ กิจ. (๒๕๕๘). วัฒนธรรมรกุ งานวจิ ยั ทนุ ทางวัฒนธรรม ตอยอดสูการพัฒนาประเทศ.
(ออนไลน). ฉบับวันที่ ๒๕ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๘. สบื คนเมือ่ ๘ มถิ นุ ายน ๒๕๖๐.
การประชุมเตรียมการสําหรับการประชุมนานาชาติ. (UNESCO. (๒๕๕๔). เศรษฐกิจสรางสรรค.
TAT Tourism Journal ฉบับที่ ๒. (เมษายน-มิถนุ ายน ๒๕๕๔).
กิตติ ยกเทพ. (๒๕๕๗). การแบงประเภทวัฒนธรรม. ที่มา https://www.gotoknow.org/posts/
๕๖๐๑๔๓. (๒๖ มกราคม ๒๕๕๗) สืบคนเมื่อ ๑๐ มถิ ุนายน ๒๕๖๐.
จรี ะนนั ท ทองสมคั ร และคณะ. (๒๕๕๖). การทองเที่ยวเชิง สรางสรรค: ทิศทางของการพัฒนาการ
ทองเทีย่ วอยางยั่งยืน. วารสารบริการและการ ทองเท่ยี วไทย. ๘(๒), ๙๑.
ชยั อนันต สมุทรวณิช. (๒๕๔๐). วัฒนธรรมคอื ทนุ . กรงุ เทพฯ : พ.ี เพรส.
ชาญณรงค ทิยานันท. (๒๕๕๕). ทุนทางวัฒนาธรรม, (ออนไลน) https://channarongs๒๒.
wordpress.com, เมอ่ื ๒๗ มกราคม ๒๕๕๕, สืบคนเม่อื ๑๓ ม.ิ ย. ๒๕๖๐.
ดิเรก ปทมสริ วิ ัฒนและคนอ่ืนๆ. ๒๕๔๗). การสํารวจสถานะองคความรูและแนวทางการพัฒนาทุน
วัฒนธรรมและภูมิปญญาทองถิ่นเพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย: รายงาน
ความกาวหนาการวิจัย ครั้งที่ ๑. พิษณุโลก:คณะวิทยาการจัดการและสารสนเทศ
ศาสตรมหาวทิ ยาลัยนเรศวร.
ธีระ อนิ ทรเรอื ง. (๒๕๕๙). เอกสารประกอบการสอนรายวิชา การวางแผนพัฒนาและการจดั การ
ทองเที่ยวอยางย่ังยืน. มหาวิทยาลยั ราชภัฏสวนสนุ นั ทา.
นิสวนั ต พชิ ญดํารง. (๒๕๕๓). ทุนวฒั นธรรมขุมทรัพยของเศรษฐกจิ สรางสรรค. วารสารเศรษฐกจิ
และสงั คม, ปที่ ๔๗ ฉบบั ท่ี ๔ (ต.ค.-ธ.ค. ๕๓).
บญุ ชม ศรีสะอาด. (2535). หลักการวิจยั เบอ้ื งตน. พิมพคร้งั ที่ 3 กรงุ เทพ ฯ : สวุ รี ยิ าสาสน
บญุ ฑวรรณ วงิ วอน, อจั ฉราภรณ วรรณมะกอกและอจั ฉรา เมฆสวุ รรณ. (๒๕๕๗). แนวทางการ
ยกระดับภมู ิปญญาทองถนิ่ ดวยนวัตกรรมผลติ ภัณฑเชิงสรางสรรคเพอื่ เพิ่มมลู คา
กจิ การวสิ าหกิจขนาดยอม อาํ เภอหางฉัตร จงั หวัดลาํ ปาง. วารสารวทิ ยาการจัดการ
มหาวิทยาลยั ราชภัฎเชียงราย ปที่ ๙ ฉบบั ท๑่ี (มกราคม – มิถนุ ายน ๒๕๕๗).
บุญเลิศ จิตตั้งวัฒนา. (๒๕๔๒). การวางแผนพัฒนาการทองเท่ียวแบบย่ังยืน. พิมพคร้ังที่ ๑. คณะ
มนุษยศาสตร, มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม.
88
ปนวดี ศรสี ุพรรณและคณะ.()ประเพณบี ญุ บ้ังไฟ : วฒั นธรรมเสีย่ งภยั ในยคุ สมัยใหม.วารสารศิลป
ศาสตร,มหาวิทยาลยั อุบลราชธานีปท่ี ๘ ฉบับที่ ๑.ที่มา
///C:/Users/hitechcom/Downloads/94551-ไฟลบทความ-235127-1-10-
20170729.pdf
พระธรรมปฎก (ประยุทธ ปยุตฺโต). (๒๕๓๘). การพัฒนาท่ียังยืน. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพมูลนิธิ
โกมลคมี ทอง, 2538.
พระราชบญั ญตั วิ ัฒนธรรมแหงชาติ พุทธศักราช ๒๔๘๕ แกไขเพิ่มเตมิ (ฉบับท่ี๒) พุทธศักราช 2486.
กรงุ เทพฯ : สาํ นกั นายกรัฐมนตรี, 2535.
พระพีระพงษ พิชาลี และ ชุลีรัตนเจริญพร.(๒๕๖๑) อัตลักษณของประเพณีบุญเดือนหก (บุญบ้ังไฟ)
กรณีศึกษา ตําบลบานถอน อําเภอทาบอ จังหวัดหนองคาย.การประชุมนําเสนอ
ผลงานวจิ ยั ระดับบณั ฑติ ศึกษาครง้ั ท่ี ๑๓ ปการศกึ ษา ๒๕๖๑
พลอย มัลลิกะมาส. (๒๕๕๔ ๒๒ มิถุนายน). แปรรูปวัฒนธรรมทองถิ่นอยางใหไดเงินลาน. จาก
www.tcdcconnect.com. สืบคนเมอ่ื ๑๓ มิถนุ ายน ๒๕๖๐.
พัชรี วิไล. (๒๕๕๖ ๑๘ กนั ยายน). ประเพณบี ญุ บ้ังไฟ. จาก
http://jamsai987.blogspot.com/2013/09/1.html. สืบคนเม่อื ๑๓ มิถนุ ายน
๒๕๖๐.
พิริยะ ผลพิรุฬห. (2556). [วารสารออนไลน]. เศรษฐกิจสรางสรรคกับการพัฒนาประเทศไทย.
วารสารเศรษฐศาสตรปริทรรศน สถาบันพัฒนศาสตรฉบับที่ 1 ปที่ 7 มกราคม 2556
จาก http://tci-thaijo.org/index.php/NER/article/viewFile/22675/19396.
[สืบคนวนั ที่ ๑๕ มถิ ุนายน ๒๕๖๐]
พระคงศักดิ์ สิริคุตโต (หม่ันวิชา).(๒ค๖๐). ความเช่ือและพิธีกรรมท่ีมีตอประเพณีงานบุญบั้งไฟของ
ชุมชนบานธาตุตําบลบานธาตุ อําเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี.วิทยานิพนธน้ีเปนสวนหน่ึง
ของการศึกษาตามหลักสูตรปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต,สาขาวิชาพระพุทธศาสนา
บณั ฑิตวทิ ยาลยั ,มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย
มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร. คณะสังคมวทิ ยาและมานุษยวิทยา. “องคความรเู กี่ยวกบั การทองเท่ียว
เชิงสรางสรรค (Creative Tourism)” [ออนไลน] จาก
:http://www.dasta.or.th/creativetourism/attachments/article/๑๑๒/๒๐_
๙๒๗๑.pdf สบื คน ๑๐ มถิ ุนายน ๒๕๖๐.
มาลนิ ี มาลีคลาย. (2554). การรับรกู ารสื่อสารของผบู ริโภคท่มี ผี ลตอภาพลักษณตราสนิ คาอิชิตนั ใน
เขตกรงุ เทพมหานคร. วทิ ยานิพนธปรญิ ญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าช
มงคลธญั บุรี.
ลักขณา สรวิ ัฒน. (2549). การคิด. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร.
รงั สรรค ธนะพรพันธ. (๒๕๔๖). ทุนวัฒนธรรม: วัฒนธรรมในระบบทุนนิยมโลก เลม ๑. กรุงเทพฯ:
สํานักพมิ พมตชิ น.
รังสรรค ธนะพรพันธ. (๒๕๓๙). ปาฐกถาทุนวัฒนธรรม. (พิมพคร้ังที่ ๒). กรุงเทพฯ: มูลนิธิไชยง ลิ้ม
ทองกุล.
89
รัชนีกร เศรษโฐ. (๒๕๓๒). โครงสรางสงั คมและวฒั นธรรมไทย. กรงุ เทพฯ :ไทยวัฒนาพานชิ
ราชบัณฑิตยสถาน. (๒๕๒๕). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕. กรุงเทพฯ: อักษร
เจริญทศั น
วรวทิ ย อวริ ุทธวรกุล. (๒๕๕๓). เศรษฐกจิ สรางสรรคและเศรษฐกิจพอเพียง : ขัดแยงหรือ
สอดคลอง?. วารสารเศรษฐกิจและสงั คม ปที่ ๔๗ ฉบับท่ี ๔ ตลุ าคม-ธนั วาคม ๒๕๕๓.
เวป็ ไซดกะปกุ ดอทคอม. (๒๕๕๗ ๙ พฤษภาคม). ประเพณีบญุ บง้ั ไฟ กบั ตาํ นานบชู าพญาแถนขอ
ฝน. (ออนไลน) จาก https://hilight.kapook.com/view/101828, สบื คนเมอื่ ๑๓
มถิ ุนายน ๒๕๖๐.
ศลิษา ธรี านนท และ ประกาศิต โสภณจรสั กลุ . (๒๕๕๙). การทองเท่ียวเชิงสรางสรรค: ทางเลอื ก-
ทางรอดของการทองเทีย่ วไทย. วารสารวิชาการมหาวทิ ยาลยั ปทุมธานี ปที่ ๘, ฉบับท่ี
๒ (กรกฎาคม – ธันวาคม ๒๕๕๙), ๒๐๖.
สิทธิโชค วรานุสันตกิ ูล.(2546). จิตวิทยาสังคม : ทฤษฎแี ละการประยกุ ต. กรุงเทพมหานคร :ซีเอด็
ยูเคชัน่
สํานกั งานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกิจและสงั คมแหงชาต.ิ (๒๕๕๔). แผนพัฒนาเศรษฐกิจและ
สังคม แหงชาตฉิ บับท่ี ๑๐ (พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๔). กรงุ เทพฯ: สาํ นักนายกรัฐมนตร.ี
สํานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแหงชาติ. (๒๕๓๕). วัฒนธรรมกับการเปล่ียนแปลง. กรุงเทพฯ:
อัมรินทรพรนิ้ ติ้งกรพุ .
สํานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแหงชาติ. (๒๕๓๕) ความหมายเเละขอบขายงานวัฒนธรรม.
กรงุ เทพฯ: ครุ ุสภาลาดพราั ว.
สาํ นกั งานปลดั กระทรวงการทองเที่ยวและกีฬา. (๒๕๕๘). รายงานภาวะเศรษฐกิจทองเทยี่ ว. ฉบบั ที่
๑ กรกฎาคม - กนั ยายน ๒๕๕๘ หนาที่ ๔.
สสุ ธุ รรม รตั นโชต.ิ (2548). การจัดการธรุ กิจทัว่ ไป.กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร.
สําราญ ผลดี, ประเสริฐ บุญมา. (๒๕๕๘). การมีสวนรวมของนักศึกษาตอกิจกรรมดานการทํานุ
บํารุงศิลปะและวัฒนธรรมของมหาวิทยาลัยธนบุรี. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัย
ธนบุรี, ปท่ี ๙ ฉบบั ท่ี ๑๘ เดอื น มกราคม – เมษายน ๒๕๕๘.
สปิ ปนนท เกตทุ ัต. (๒๕๔๒). การพัฒนาการวิจยั : สรางสรรคปญญาเพ่ือพัฒนาประเทศ. ประชาคม
วิจยั , ๒๗ กันยายน), 23-26.
สุเมธ สมสวน. (๒๕๕๖ ๑๐ กนั ยายน). ประเพณบี ุญบั้งไฟ. จาก
ttp://202.183.204.137/km/?p=3254 สบื คนเมอื่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๐.
สุวรรณฤทธิ์ วงศชะอุม.(๒๕๕๓). การบูรณาการทุนทางวัฒนธรรมสูการสรางเสนทางทองเที่ยวท่ีมี
คณุ คาของตาบลทาคา อาเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม. สถาบันวิจัยและพัฒนา
: มหาวิทยาลยั ราชภฏั สวนสนุ ันทา
สุวรรณฤทธิ์ วงศชะอุม. (๒๕๕๓). ทนุ ทางวัฒนธรรมเพ่ือการทองเที่ยวอยางยัง่ ยืนของชุมชนทาคา
อําเภออมั พวา จงั หวัดสมุทรสงคราม วารสารวจิ ยั และพัฒนา ปท่ี ๒ ๒๕๕๓
Research and Development Journal.
90
อรอุมา เตพละสกุล และ นาฬิก อติภัค. (๒๕๕๕). การสรางและธารงรักษาความยั่งยืนของชุมชน
ผานทองเท่ียวเชิงสรางสรรค: กรณีประเทศไทย. สืบคนเมื่อวันท่ี ๒๗ พฤษภาคม
๒๕๕๗ จาก htpp://www.dasta.or.th.
อานนท อาภาภิรมย. ๒๕๑๘. สังคมวิทยา. พมิ พครั้งที่ 2. กรงุ เทพฯ: แพรวิทยา อินเตอรเนซนั เเนล
อบุ ลวรรณา ภวกานันทและคณะผูเขยี น.(2554).จิตวิทยาทั่วไป.(พิมพครงท7่ี ).สาํ นกั พิมพ
มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร
อุษาวดี พูลพิพฒั น. (๒๕๔๕). การทองเทย่ี วแบบยัง่ ยนื : กรณศี ึกษาการทองเที่ยวเชิงนิเวศโดย
ชุมชนในประเทศไทย. จุลสารการทองเที่ยว ๒๑, ๔ ( ตุลาคม- ธนั วาคม ) : ๓๘-๔๘.
Barry, Berian. Culture and Equality : An Egalitarian Critique of Multiculturalism. S.
I.Harvard University,
Throsby, C.D. (2001). Economics and culture. Cambridge: Cambridge University
Press. 2001.
Bourdieu, P. (1986). The form of capital. In J. G. Richardson (Ed.), Handbook of
theory and research for the sociology of education (๖๔-๗๕). New York,NY
: Greenwood Press.
Bourdieu, Pierre. (1984). Distinction: Social Critique of the Judgement of Taste. Nice,
Richard,trans. London : Routledge and Kegan.
ICOMOS Australia. (1999). The Burra Charter: The Australia ICOMOS Charter for Places
of Cultural Significance. Australia: ICOMOS.
Pierre Bourdieu. (1989). “Social Space and Symbolic Power,”Sociological Theory,
Vol 7 No. 3 (Spring 1989). pp. 14-25.
UNESCO (2005), 1993-2003.International Flows of Selected Cultural Goods and
Services. World Intellectual Property Organization. 22/10/2008 :
[Online] Available from
http://www.wipo.int/treaties/en/ShowResults.jsp?lang=en&treaty_id=15
World Tourism Organization UNWTO. (1997). Tourism Development. New York :
Van Nastrand Reinhoid.
ภาคผนวก