1 ประวัติความเป็นมาของบุญ บั้งไฟและบุญบั้งไฟ เรื่อง ประวัติความเป็นมาของบั้งไฟและบุญบั้งไฟ นั้นมีนักปราชญ์ชาวอีสานหลายท่านได้เขียนไว้ เช่น ท่านจารุบุตร เรืองสุวรรณ ท่านสิลา วีระวงศ์ ท่านสวิง บุญเจิม และท่านปรีชา พิณทอง เบื้องต้นนี้ ขอน าเสนอข้อเขียนของท่านสิลา วีระวงศ์ ท่านผู้นี้เป็นชาวจังหวัดร้อยเอ็ดแต่ไปรับราชการอยู่ในประเทศลาว ได้เขียนเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของบุญบั้งไฟไว้ว่า บุญบั้งไฟเป็นประเพณีเก่าแก่ของลาวอย่างหนึ่งที่นิยม ท ากันมากในเดือน 6 บางทีก็เรียกว่า บุญเดือนหก ท่านสิลาได้เขียนไว้ว่า บุญบั้งไฟที่ไม่เห็นมีกล่าวไว้ใน ฮีตสิบสองคองสิบสี่ ของชาวหลวงพระบาง เขตคนลาวในเขตหลวงพระบาง บางแห่งก็นิยมท าบุญบั้งไฟ หมู่บ้าน ที่นิยมท าบุญบั้งไฟนั้น เห็นมีอยู่แต่ในหมู่คนลาว จ าพวก ลาวลื้อในแขวงสิบสอง ปัณนา ลาวเชียงใหม่ ลาวเชียงขวาง ลาวเวียงจันทน์และลาวอีสานของไทย ส่วนพวกไทยหรือสยามนั้นไม่เคยเห็นเขาท าบุญบั้งไฟ นั่นคือ ข้อเขียน ของท่านสิลา วีระวงศ์ ทั้งท่านจารุบุตร เรืองสุวรรณ ต่างก็กล่าวถึงนิยายลาว เรื่อง ผาแดงนางไอ่ เหมือนกันว่า นิทานเรื่องนี้มีเรื่องการท าบุญบั้งไฟอยู่ด้วย ในนิยายเรื่อง ผาแดงนางไอ่นั้น มีการกล่าวถึง ชื่อบ้านนามเมือง ที่พวกเรารู้จักกันในสมัยนี้ เช่น ค าว่า หนองหาน เมืองฟูาแดดสูงยาง เมืองสีแก้ว เชียงเหียน ซึ่งอยู่ในเขต แผ่นดินอีสานของไทย เป็นเขตที่เคยท าบุญบั้งไฟ ท่านจารุบุตร เรืองสุวรรณ และท่านสวิง บุญเจิม ได้กล่าวน า ก่อนที่จะพูดถึงเรื่อง บุญบั้งไฟไว้ค่อนข้างตรงกันว่าหากจะพูดถึง เรื่องบุญบั้งไฟก็ควร เริ่มศึกษา จากเรื่อง ฮีตสิบสองคองสิบสี่ ของลาวเป็นเบื้องต้นก่อน ข้อเขียนฉบับนี้จึงขอเสนอเรื่องฮีตสิบสอง คองสิบสี่ ของลาว ไว้ดังต่อไปนี้ ก่อนจะพูดถึงฮีตสิบสอง คองสิบสี่ ร่วมกันศึกษา ระบอบการปกครองของชาวลาวและคนอีสาน สมัยเก่า ฮีตสิบสองคองสิบสี่อันเป็นตัวก าหนดให้เกิดมีประเพณีบุญบั้งไฟและการท าบั้งไฟ ต่อไปเสียก่อน มนุษย์เป็นหมู่สัตว์ที่มีปัญญา รู้จักหาวิธีการสอนคนในสังคมของตน ในการด ารงชีวิตอยู่ร่วมกัน ให้เกิดความสงบ สุข มีระบอบการปกครองบ้านเมืองอันเป็นกติกา ควบคุม สังคมสมัยเก่านั้น คนไทยทางภาค กลางหรือทางใต้ได้รับอิทธิพลจากทางตะวันตกมาก เพราะยึดถือจากคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ของสังคม ชาวอินเดีย โดยเฉพาะวัฒนธรรมที่มาจากทางด้านนี้มักจะมีแนวโน้มไปในทางจิตนิยม หรือเชื่อในสิ่งที่สมมุติกันขึ้น เช่น นรก สวรรค์ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนไม่เคยเห็น ส่วนระบอบการปกครองของชาวลาว และชาวอีสาน สมัยก่อนนั้น ยังมีอิทธิพลของความเชื่อดั้งเดิมตกทอดมาจากทางเหนืออยู่มาก โดยมีอิทธิพลความคิดแบบจีน ซึ่งมักจะเน้นในทางวัตถุนิยม หรือเชื่อในสิ่งที่เคยเห็นคุณเห็นโทษมาแล้ว เช่น บิดา มารดา บรรพบุรุษ วีรบุรุษ ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วจนมีการเซ่นไหว้บวงสรวง ถึงแม้คนไทยทางใต้กับทางอีสาน จะเป็นศิษย์ของชาวชมพูทวีป (อินเดีย) มาด้วยกัน แต่ลักษณะ การปกครองของคนไทยใต้นั้นค่อนไปในรูปแบบที่ใช้กฎหมายประมวลคล้ายฝรั่งเศส เช่น การใช้กฎหมาย ตราสามดวง ซึ่งมีลักษณะเป็นการประมวลกฎหมายเป็นหลัก ส่วนชาวอีสานนั้นไม่ปรากฏว่ามีการใช้กฎหมาย ประมวลข้อบังคับหรือก าหนดกติกาของสังคมมาเป็นข้อบังคับ แต่ยึด ขนบธรรมเนียม ประเพณี คล้ายแบบ ของอังกฤษ เผ่าชน ซึ่งอาศัยอยู่ตามลุ่มแม่น้ าโขงสมัยเก่า ใช้ศาสนาหรือขนบธรรมเนียมประเพณี เป็นเครื่องมือ หรือการปกครองบ้านเมืองมากกว่า เผ่าชนทางลุ่มแม่น้ าเจ้าพระยา ท่านสวิง บุญเจิม ได้กล่าวถึงต าแหน่งต่างๆ ของการปกครองที่ปรากอยู่ในหนังสือใบลานต่างๆ เบื้องต้นก่อนว่า ทุกประเทศในสมัยเก่านั้นปกครอง แบบประชาธิปไตย โดยก าหนดให้มีต าแหน่งต่างๆ ดังนี้ ต าแหน่งในเมืองหลวง ซึ่งเป็นเอกราชหรือเป็นประเทศราชมีต าแหน่งส าคัญต่างๆ ดังนี้ 1. ประมุขแห่งรัฐ มีฐานะเป็นกษัตริย์ จึงมักใช้ ค าน าหน้าว่า “พระเจ้า” 2. อุปฮาด (อุปราช) เป็นต าแหน่งรองจากกษัตริย์
2 3. ราชวงศ์ เป็นต าแหน่งอันดับสาม 4. ราชบุตร เป็นต าแหน่งอันดับสี่ ต าแหน่งอันดับ 2, 3, 4 นี้ เป็นเชื้อพระราชวงศ์ จะใช้ค าน าหน้าว่า เจ้า ต าแหน่งอันดับ 2, 3, 4 นี้ เป็นเชื้อพระราชวงศ์ จะใช้ค าน าหน้าว่า เจ้า 5. ต าแหน่งเมืองแสน 6. ต าแหน่งเมืองจันทน์ สองต าแหน่งนี้ส่วนมากจะท าหน้าที่เกี่ยวกับต่างประเทศ ต่างเมือง และกิจกรรมต่างๆ เช่น การรักษาความสงบ ตลอดจนงานตุลาการ 7. ต าแหน่งเมืองขวาง 8. ต าแหน่งเมืองกลาง 9. ต าแหน่งเมืองซ้าย สามต าแหน่งนี้รักษาบัญชี ก ากับการสักเลข (ลงทะเบียนประชากร) ดูแลวัดวาอารามออกค าสั่งให้ กักขังหรือปลดปล่อยนักโทษ 10. ต าแหน่งเมืองคุก 11. ต าแหน่งเมืองฮาม สองต าแหน่งนี้ ท าหน้าที่คล้ายพัศดีเรือนจ าในปัจจุบัน 12. ต าแหน่งนาเหนือ 13. ต าแหน่งนาใต้ สองต าแหน่งนี้ท าหน้าที่ฝุายพลาธิการเก็บส่วยภาษีอากร 14. ต าแหน่งซาเนตร 15. ต าแหน่งซานนท์ สองต าแหน่งนี้ ท าหน้าที่เป็นเลขานุการของเมืองแสน เมืองจันทน์ 16. ต าแหน่งซาบัณฑิต ท าหน้าที่อ่านโองการท่องตรา และประกาศต่างๆ รวบรวมบัญชี รายงาน ค านวณ ศักราช ปี เดือน ต าแหน่งที่ 5 ถึง 16 นี้ ถือว่าเป็นขุนนาง ชนชั้นเสนาบดี หรือขุนนางชนชั้นผู้ใหญ่ในเมืองหลวง ซึ่งจะใช้ค าว่าพญา (พระยา) ถ้ามีเชื้อสายกษัตริย์จะใช้ค าน าหน้าชื่อว่า เจ้าพระยา ส่วนในหัวเมืองก็มี องค์ประกอบคล้ายๆกับในเมืองหลวง แต่อาจจะเรียกชื่อแตกต่างกัน คือ 1. ผู้เป็นประมุขหรือหัวหน้าเรียกว่า เจ้าเมือง 2. อุปฮาด รองเจ้าเมืองคนที่หนึ่ง 3. ราชวงศ์ รองเจ้าเมืองคนที่สอง 4. ราชบุตร รองเจ้าเมืองคนที่สาม แล้วแบ่งต าแหน่งย่อยๆลงไปคล้ายๆกันในเมืองหลวง จนถึงต าแหน่งที่ 16 เช่นกันเป็นคณะกรมการเมือง มีค าน าหน้าที่ว่า เพีย ก็คือ พญา ถ้าเมืองใดมีงานมาก อาจแต่งตัวเพียเพิ่มขึ้น แล้วเติมต าแหน่งเป็นเพียหน้าชื่อ ส่วนในชุมชนขนาดบ้านเล็ก บ้านน้อย ก็มีต าแหน่งต่างๆ เช่นกัน โดยมีชื่อต าแหน่ง ดังนี้ 1. ท้าวฝุาย หรือนายเส้นเทียบได้กับต าแหน่งนายอ าเภอ 2. ตาแสง หรือนายแขวงเทียบได้กับก านัน 3. นายบ้าน หรือกวนบ้าน เทียบได้กับต าแหน่ง ผู้ใหญ่บ้าน 4. จ่าบ้าน เทียบได้กับต าแหน่ง ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน จ่าบ้าน อาจมีหลายคนก็ได้ ขึ้นอยู่กับขนาดของชุมชน ส่วนประชาชนทั่วๆไป ก็มีฐานะเป็น พลเมือง อยู่ภายใต้การปกครองดูแลของฝุายปกครองต่างๆ ส่วนการประกอบอาชีพหรือการด าเนินชีวิต แต่ละครอบครัวก็ด าเนินชีวิตเป็นอิสระตามความพอใจของแต่ละคน ส่วนใหญ่จะเป็นการประกอบอาชีพ
3 เกษตรกรรม ตามที่บรรพชนสอนไว้ว่า “ทุกข์บ่มี เสื้อผ้า ฝาเฮือนดีพอลี้อยู่ ทุกข์บ่มีข้าวอยู่ท้องสิไปลี้อยู่บ่อน ใด๋” เมื่อทุกคนต้องมีอาหารกิน และทุกคนกินข้าวเป็นอาหาร สังคมชาวอีสานหรือชาวไทยทั่วไปต้องกินข้าว บรรพชนจึงพาลูกหลาน ท าไร่ ท านาปลูกข้าว เพื่อให้เป็นอาหาร การปลูกข้าวนั้นต้องอาศัย น้ าฝน หากฝนฟูา ตกตามฤดูกาลก็นับว่า ฝนดี หากไม่เป็นอย่างนั้นก็ถือว่า ฝนแล้ง ชาวลาวอีสานมีความคิดเชื่อว่า สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ท าให้ขาดความเป็นปกติ น่าจะมาจากอ านาจเร้นลับหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท าให้เป็นไป สิ่งที่ท าให้เป็นไปนั้น เขาเรียกว่า เคราะห์ จึงมีความเชื่อเรื่องการแต่งแก้ แต่งเสียเคราะห์มาจนปัจจุบัน เมื่อพุทธศาสนาแพร่เข้าสู่ชาวลาว พุทธศาสนาก็ได้สอนถึงเรื่องบุญ เรื่องบาป เรื่องสิ่งที่น าไปสู่ นรกหรือสวรรค์ แล้วน าค าสอนในเรื่องการละชั่ว ท าดี เข้ามาผสมผสานกับความเชื่อ เรื่องเคราะห์กรรม ผู้น าทางศาสนาและผู้น าท้องถิ่นจึงมีแนวคิดที่จะน าประชาชนให้กระท าความดี ละเว้นความชั่ว ก าหนดขึ้นเป็น แนวทางปฏิบัติจนเกิดเป็นฮีต หรือจารีต แล้วก าหนดเป็นแนวปฏิบัติตามเดือนต่างๆ เรียกว่า ฮีตสิบสอง ท่านสวิง บุญเจิม ได้เขียนว่า ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี หรือแนวทางประพฤติปฏิบัติ ของคนทางภาคอีสาน มีอยู่มากมีทั้งในระดับชาติ ระดับชุมชน ตลอดจนระดับบุคคล เช่น เรื่องขะร า คือ ค าสอนให้ละเว้นการกระท าเช่นนั้น ฮีตสิบสองหรือจารีตสิบสอง กลายมาเป็นประเพณี 12 เรื่องตามเดือนต่างๆ เป็นแนวปฏิบัติ ประจ าเดือนที่ฝุายปกครองกับฝุายศาสนาร่วมกันก าหนดขึ้น เพื่อให้เป็นแนวทางการประพฤติปฏิบัติ (จารีต) และปฏิบัติให้ต่อเนื่องกันไป จนเป็นเหมือนเส้นทางหรือสายใย (ประเพณี) แห่งการด าเนินชีวิตเหล่านั้น คือ จารีต (แนวปฏิบัติ) ประเพณีสืบเนื่องต่อกันไปในแต่ละเดือน คือ ฮีตสิบสอง ได้แก่ ฮีตที่หนึ่ง ในเดือนเจียงหรือเดือนอ้าย คือ เดือนที่หนึ่งของปีนั้น ให้ผู้คนนิมนต์ให้พระสงฆ์มาเข้า ปริวาสกรรม และชาวบ้านมีหน้าที่อุปถัมภ์บ ารุง การเข้าปริวาสกรรมของพระสงฆ์ ฮีตที่สอง ท าบุญคูณลาน คูณขวัญข้าว ขอบคุณพระแม่โภสพ ฮีตที่สาม ท าบุญข้าวจี่ น าข้าวจี่นึ่งสุกมาย่างไฟ ชโลมด้วยไข่ ภายในก้อนข้าวบรรจุน้ าอ้อย น าไปถวายพระและท าบุญวันมาฆะบูชาด้วย ฮีตที่สี่ ให้ท าบุญพระเวส นิมนต์พระสงฆ์มาเทศน์มหาชาติ ตามต าสอนของพระสงฆ์ที่เขียนไว้ใน คัมภีร์ (หนังสือใบลาน) มาลัยหมื่นและมาลัยแสนที่สอนว่า หากผู้ใดประสงค์จะไปเกิดร่วมยุคสมัย หรือได้พบ กับพระเครื่องศรีอริยเมตไตรย ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าอีกปรางค์หนึ่ง แล้วจงละเว้นการฆ่าบิดามารดา สมณพราหมณ์อย่ายุยงให้พระสงฆ์แตกแยกกัน และให้ฟังเทศน์เวสสันดรชาดกให้จบในวันหนึ่ง วันเดียวจะได้ พบกับพระเครื่องศรีอริยเมตไตรย ฮีตที่ห้า ท าบุญตรุษสงกรานต์ขึ้นปีใหม่ สรงน้ าพระพุทธรูป เก็บดอกไม้มาบูชาพระ ฮีตที่หก ท าบุญวันวิสาขะบูชา นิมนต์พระสงฆ์มาแสดงธรรมและฟังเทศน์ฟังธรรมตลอดคืนและ ท าบุญสัจจะหรือบุญบั้งไฟถวายเป็นพุทธบูชาและขอฝน ฮีตที่เกี่ยวกับบุญบั้งไฟ คือฮีตที่หก ซึ่งจะได้เล่า รายละเอียด ในล าดับต่อไป ฮีตที่เจ็ด ท าบุญเลี้ยงอาฮักหลักบ้านหลักเมือง ตลอดจนเซ่นไหว้ เจดีย์อนุสาวรีย์ ท าความสะอาด บ้านเมือง บางทีก็เรียกว่า บุญช าอะ (ช าระ) คว่ าภาชนะที่หงาย ท าถนนหนทางให้สะอาดปราศจากน้ าขัง ฮีตที่แปด บุญเข้าพรรษาจัดหาผ้าอาบน้ าฝน ธูปเทียน น้ ามันเครื่องจุดไฟให้แสงสว่างถวายพระสงฆ์ ฮีตที่เก้า ท าบุญข้าวประดับดิน โดยน าข้าวปลาอาหาร ขนมต้ม ท าเป็นห่อด้วยใบตองกล้วย น าไปวางไว้ตามขอบถนนหนทาง เพื่อเป็นการถวายแก่บรรพชนญาติมิตรผู้ล่วงลับไปแล้ว ฮีตที่สิบ ท าบุญข้าวสาก หรือข้าวสลาก ท าขนม จัดเป็นชุดใส่ผลไม้ตามฤดูกาล ร่วมทั้งอาหาร ที่เก็บไว้ทานได้นาน ท าเป็นกองรวมกันไว้ เขียนหมายเลข (ฉลาก) ให้พระสงฆ์จับฉลากได้กองใดก็น ากองฉลาก นั้นไปถวายตามพระสงฆ์
4 ฮีตที่สิบเอ็ด ท าบุญออกพรรษาจัดหาผ้าจ าน าพรรษามาถวายพระสงฆ์ จัดเครื่องจุดบูชา ถวายในวันเทโวโรหนะของพระพุทธเจ้า เทศกาลนี้มีการจุดบั้งไฟหลายชนิดต้อนรับการเสด็จกลับสู่โลกมนุษย์ ของพระพุทธเจ้า ฮีตที่สิบสอง เป็นเดือนส่งท้ายปีมีการท าบุญฉลองกองกฐินเป็นระยะสุดท้ายของฤดูกฐิน ชุมชนที่อยู่ใกล้แหล่งน้ ามีการแข่งเรือเพื่อเป็นการบูชาพญานาค ๕ ตระกูลและร าลึกถึงเจ้าฟูางุ้ม ที่น าพระไตรปิฎกขึ้นมาแต่เมืองอินทปัฏฐะนคร ด้วยวิธีการล่องเรือขึ้นมาตามล าน าโขง อินทปัฏฐะนคร คือ เขตนครวัต นครในเขมร เจ้าฟูางุ้ม คือ กษัตริย์ลาวยุคต้นๆ ที่มีคุณูปการแก่ชนชาติลาวมากมาย อุตสาห์ท าเรือ บรรทุกพระไตรปิฎกล่องล าน าโขงขี้นไปประดิษฐานไว้ในเมืองหลวงพระบาง เป็นเรื่องเล่าฮีตสิบสองโดยย่อ ส่วนคองสิบสองนั้นก็เป็นเรื่องราว เพราะมีคองสิบสี่ส าหรับ เจ้าเมืองปฏิบัติ คองสิบสี่ส าหรับพระสงฆ์ปฏิบัติและคองสิบสี่ส าหรับเป็นข้อ ปฏิบัติของพลเมืองทั่วไป เอกสารนี้ จะไม่น ามาเขียนไว้ แต่เอกสารนี้จะได้เล่าเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับฮีตที่หก เพราะเกี่ยวกับเรื่องบั้งไฟและบุญบั้งไฟ โดยจ าขอน าเรื่องบุญบั้งไฟมากล่าวเป็นตอนต้น ที่มาเรื่องบุญบั้งไฟ ตอนที่ ๑ บุญบั้งไฟในนิยาย มีนิยายรักเรื่องหนึ่ง คือ เรื่อง ผาแดง – นางไอ่ เรื่องย่อๆ มีอยู่ว่า พระยาขอม ครองอยู่เมืองหนองหานหลวง มีฮิตเข้าสู่วัยสาวเป็นหญิงสวยงาม พระยาขอมให้สร้างหอปรางค์ ปราสาทให้นางไอ่อยู่ โดยมีทาสบริวารชายหญิงท าหน้าที่ดูแล ครั้งหนึ่งพระยาขอม มีความประสงค์จะท าบั้งไฟ ได้มีหนังสือบอกไปยังญาติพี่น้องจากเมือง ฟูาแดด เมืองศรีแก้ว เชียงเหียน เมืองเหล่านี้ เจ้าเมืองเป็นน้องของ พระยาขอม ก่อนหน้านี้มีเจ้าชายหนุ่มจากเมืองผาโพง ชื่อเจ้า ผาแดง ได้ยินค าล่ าลือถึงความงามของนางไอ่ อุตสาห์ขี่ม้าจากเมืองผาโพงมาดูนางไอ่ ทั้งสองได้พบปะสนทนาคันตามวิสัยชายหนุ่ม เมื่อตอนที่พระยาขอมจัดงานบุญบั้งไฟนั้น ท้าวผาแดงก็ท าบั้งไฟมาจุดแข่งโดยมิได้รับเชิญ เมื่อถึงวันแห่บั้งไฟ มีบั้งไฟพระยาขอมและบั้งไฟของน้องๆจากเมืองฟูาแดด เมืองเชียงเหียน เมืองศรีแก้ว และบั้งไฟของท้าวผาแดง ในเรื่องกล่าวถึง ลูกชายของพญานาค ชื่อท้าวภังคี ซึ่งเป็นพญานาคที่มีฤทธิ์ แปลร่างเป็นนก เป็นคนก็ได้ มีความประสงค์อยากมาดูสาวงาม (นางไอ่) ได้พาบริวารนาคแปลร่างกลายเป็นมนุษย์มาเที่ยวงาน ก่อนจุดบั้งไฟคราวนั้นพระยาขอม ได้กระท าพนันกับผู้น าบั้งไฟมาร่วมจุดแข่งขัน โดยเอาบ้านเมือง และลูกสาวเป็นเดิมพัน เมือจุดบั้งไฟปรากฏว่า บั้งไฟของเมือง ฟูาแดด สีแก้ว เชียงเหียน ขึ้นสู่ท้องฟูาหมด บั้งไฟผาแดง ไม่ขึ้นแตกระเบิดก่อนทะยานขึ้นฟูา บั้งไฟพระยาขอม ซุ คือ เชื้อเพลิงติดไฟแล้วขับออกเฉยๆ ตัวบั้งไฟไม่ขึ้น สิ่งที่พนันกันไว้ ก็ไม่เห็นพระยาขอมจะว่าอย่างไร พวกน้องทั้งสามเมือง รวมทั้งท้าวผาแดงก็กลับ บ้านเมืองของตน วันต่อมาท้าวภังคีอยากยลโฉมนางไอ่ใกล้ๆ จึงพาพวกนาคบริวาร แปลงร่างเป็นนกบินมาเกาะอยู่ ตามต้นไม้ ใกล้ๆปราสาทของนางไอ่ ตัวภังคีนั้นแปลงร่างเป็นกระรอกเผือกที่คอแขวนลูกกระพวนส่งเสียงดัง กรุ๊งกริ๊ง นางไอ่มองไปดูเห็นกระรอกประหลาดมีความประสงค์อยากได้กระรอกเผือกไว้เลี้ยงดูจึงเรียก นายพรานให้หาวิธีจับกระรอกให้ได้ นายพรานพยายามใช้วิธีจับหลายวิธีแต่จับไม่ได้และตัดสินใจใช้ธนูไม้ไผ่ยิง เปูาหมายคือจะยิงให้พอกระรอกบาดเจ็บแต่เป็นเคราะห์กรรมของท้าวภังคี ลูกธนูพลาดไปถูกอวัยวะส าคัญ กระรอกจึงตกลงมาจนเสียชีวิต ก่อนสิ้นใจกระรอกได้อธิษฐานภายในใจว่า ตัวเองขอให้เนื้อพองขึ้นให้คนได้กิน ทั้งเมือง ผู้ใดได้กินเนื้อของเราแล้วขอให้บ้านเมืองของผู้นั้นจงล่มจม ชาวเมืองพากันช าแหละเนื้อกระรอก แจกกันไปเกือบทุกบ้าน เว้นแต่บ้านหญิงหม้ายบางคน ไม่ได้มาช าแหละเนื้อกระรอกก็ไม่ได้เนื้อไปกิน ฝุายพวกบริวารของภังคีก็บินกลับไปบอกเล่าเรื่องราวการเสียชีวิตของท้าวภังคีให้พ่อพญานาคฟัง พญานาคกริ้วมากจึงเกณฑ์พรรคพวกนาคให้มุดไปถล่มบ้านเรือน เมืองหนองหานให้ล่มจมลง
5 ในวันที่พวกพญานาคจะมาถล่มเมืองนั้น ท้าวผาแดงก็คิดถึงนางไอ่ จึงรีบเร่งควบม้ามาหานางไอ่ หมายจะพานางไอ่หลบจาการโจมตีของพวกพญานาค นางไอ่โดนพญานาคเอาหางเกี้ยวตกจากหลังม้าของท้าว ผาแดง รักของคนทั้งสองคนก็สิ้นสุดลง ที่ใดมีรัก ที่นั้นมีทุกข์ เรื่องบุญบั้งไฟในนิทานก็มีเพียงเท่านี้ บุญบั้งไฟตามความเชื่อ ในกลุ่มของชาวลาวอีสานนั้นมีความเชื่อว่า พญาแถน (พระพิรุณ) เป็นผู้บรรดาให้ฝนตกลงมา สู่โลกมนุษย์ พญาแถนนั้นอยู่บนสวรรค์ สมัยหนึ่งพญาแถนไม่ยอมปล่อยฝนให้ตกลงมาสู่เมืองมนุษย์ ครั้งนั้นพระยาชมพู ครองเมืองมนุษย์ พระยาชมพูมีลูกชายรูปร่างประหลาดคล้ายคางคก ผิวหนังก็คล้ายคางคก แต่มีสติปัญญา มีวิชาอาคมแก่กล้า พูดจาภาษาสัตว์ได้ทุกรปะเภท ได้เรียกสัตว์ทั้งหลายมาประชุมเพื่อจะจัดทัพไปรบขอฝนจากพญาแถน ท้าวคันคากมอบให้พวกนาคมาท าขนดต่อกันเป็นเส้นทางให้พวกปลวกขุดดินก่อนไปตามขนดที่นาคก่อตัวไว้ จนไปถึงเมืองแถน ให้มด มอด ขึ้นไปเจาะด้ามหอก ดาบ ของพญาแถน เกณฑ์สัตว์มีพิษทุกชนิด ที่บินได้ก็บินไป เมืองแถน ที่บินไม่ได้ก็ไต่ไปตามทางที่พวกนาคและปลวกท าเป็นเส้นทางไว้ แล้วท้าวคันคาก (คางคก) ก็น าทัพ ฝูงสัตว์ขึ้นสู่เมืองแถนไปยืนท้ารบกับพญาแถน ข้างวิมานพญาแถน พญาแถนจะคว้าหอก ดาบ ใส่ท้าวคันคาก ด้ามหอกอาวุธก็หักเสียสิ้น มิหน าภายในเสื้อผ้าอาภรณ์ก็มีสัตว์พิษจ าพวก ตะขาบ แมลงปุอง แมลงมีพิษชนิด อื่นๆ หลบแฝงตัวไปอยู่ตามเสื้อผ้าอาภรณ์ กัด ต่อย พญาแถนให้ได้รับความบาดเจ็บ ปวด จนได้ร้องถาม ท้าวคันคากว่า ที่มาวันนี้ต้องการอะไร ท้าวคันคากตอบว่า ที่มาวันนี้ต้องการให้พญาแถนปล่อยฝนให้ตกลงสู่ เมืองมนุษย์ พญาแถนจึงถามอีกว่า จะให้ปล่อยฝนไปช่วงใด ท้าวคันคากตอบว่าจะส่งพญานาคให้มาบอก ด้วยยานพาหนะคือบั้งไฟ ดังนั้น เมื่อถึงเดือนหก มนุษย์จึงพากันท าบั้งไฟขึ้นไปขอฝนกับพญาแถน การขอฝนด้วยวิธีอื่นๆ ในกลุ่มชนชาวลาวอีสานนั้นยังมีวิธีขอฝนอีหลายอย่าง เช่น ๑.การจัดพิธีนิมนต์พระสงฆ์มาสวดคาถา ๒. การเซิ้งนางแมวขอฝน ๓. การกระท าพิธีดึงครกดึงสาก เพื่อพยากรณ์สอบถามวันที่ฝนจะตก ซึ่งพิธีเหล่านี้ ไม่เกี่ยวกับเรื่องบั้งไฟจะไม่เขียนไว้ในเอกสารนี้ แต่จะเขียนเรื่องบุญบั้งไฟ จากประสบการณ์ของผู้เขียน เพื่อให้ผู้อ่านจะได้ย้อนร าลึกถึงอดีต บุญบั้งไฟที่ผู้เขียนได้พบมา เมื่อถึงฤดูเดือนหก ชุมชนหรือหมู่บ้าน เมืองเล็กเมืองน้อย ประชุมชาวบ้าน แล้วปรึกษาหารือกัน ว่า ชุมชนเราจะท าบั้งไฟหรือไม่ เพื่อสอบถามความพร้อมของชาวบ้าน เพราะการท าบุญบั้งไฟนั้นเป็นกิจกรรม ใหญ่ ต้องมีความพร้อมทางด้านอาหารการกิน สถานที่ และผู้คน หากที่ปรุชมหมู่บ้านหรือชุมชน เห็นชอบเอา บุญบั้งไฟ เจ้าบ้านเจ้าเมืองก็จะท าหนังสือออกไปเชิญประชุมพื้นที่ใกล้เคียงให้ท าบั้งไฟเข้าร่วมตามก าหนดวัน เวลา และสถานที่ ส่วนในชุมชนนั้นก็จะจัดแบ่ง กลุ่มบ้าน กลุ่มเรือนออก เป็นคุ้ม ให้แต่ละคุ้มมีหน้าที่ จัดท า บั้งไฟเข้าร่วมในวันจุด และท าหน้าที่ต้อนรับคณะบั้งไฟจากชุมชนใกล้เคียงที่ได้รับค าเชิญให้ท าบั้งไฟมาร่วมงาน ชาวคุ้มหรือกลุ่มครัวเรือนก็จะไปชุมชมปรึกษาหารือเตรียมความพร้อมทางด้านต่างๆ เช่น การท าบั้งไฟ การเตรียมอาหารต้อนรับผู้มาร่วมงาน งานเตรียมสถานที่หรืองานอื่นๆ เช่น การฝึกหัดท่าร้อง ท่าร า การฝึกหัด เซิ้งบั้งไฟ และจึงก่อให้เกิดดารถนอมอาหาร เช่น ผักดอง ปลาส้ม สาโท ฯลฯ พร้อมด้วยก่อให้เกิดช่างท าบั้งไฟ ซึ่งการท าบั้งไฟ การเตรียมท าบั้งไฟ เตรียมหาช่างท าลายบั้งไฟตลอดจนพาหนะการบรรทุกบั้งไฟ เข้าร่วมขบวนแห่ ก่อให้เกิดการเตรียมเครื่องประโคมดนตรี เช่น กลองตุ้ม กลองยาว ดนตรีประเภทพิณ แคน ผู้แต่งกาพย์เซิ้ง คณะร าเซิ้ง ท าให้งานบุญบั้งไฟเป็นงานยิ่งใหญ่ของชุมชน งานทุกอย่างต้องใช้เวลาหลายวัน เรื่องราวทั้งหมด คือการเอาบุญบั้งไฟที่ผู้เขียนที่พบมา
6 มีค าถามหนึ่งที่ผู้เขียนถามว่า ท าไมบุญบั้งไฟที่ยโสธร จึงแห่เข้าวัดกลางศรีไตรภูมิ ผู้เขียนมีญาติ ฝุายบรรพบุรุษที่อพยพมาจากจ าปาศักดิ์ พร้อมกับคณะของราชวงศ์สิงห์ เมืองโขง เข้ามาตั้งชุมชนตรงดง สิงห์ท่า ในบรรดาญาติที่น้องที่สืบสกุลเหล่านี้ เล่าให้ฟังว่า สมัยหนึ่งเจ้าเมืองยโสธร (พระสุนทรราชวงศา) ได้รับต าแหน่งให้เป็นเจ้าเมืองนครพนม ส่วนทางเมืองยโสธรได้มอบให้ อุปฮาดแพง ท าหน้าที่แทน สมัยนั้น อุปฮาดแพง ได้สร้างวัดกลางและวัดใต้ ชาวเมืองยโสธรนั้น นิยมเรียกกลุ่มชนว่า ชาวคุ้มบ้านเหนือ คุ้มบ้านกลาง และคุ้มบ้านใต้ โดยถือเอาทิศทางการไหลของแม่น้ าชีเป็นชื่อเรียก ทิศที่อยู่ทางเหนือน้ า คือ เห็นน้ าชี ไหลมาก่อน เรียกว่า คุ้มบ้านเหนือ (อยู่บริเวณคุ้มวัดสิงห์ท่า) ถัดจากนั้นลงไปตามน้ า เรียกว่า คุ้มบ้านกลาง (คุ้มวัดศรไตรภูมิ) ถัดลงไปอีกจะเป็นคุ้มบ้านใต้ (วัดศรีมงคล) ในช่วงที่อุปฮาดแพงรักษาการแทนเจ้าเมืองอยู่นั้น ท่านได้สร้างวัดขึ้นสองแห่ง นอกจากนั้นท่านอุปฮาดแพงยังได้รับมอบหมายจากราชการส่วนกรุงเทพฯ ให้มีหน้าที่ ท าดินปืน (หมื่อ) ส่งไปช่วยทางกรุงเทพด้วย ในการท าดินปืนนั้น จะต้องใช้คนหนุ่มเข้าปุา หาไม้มา ท าเป็นแท่น ผสมดินประสิว ท าดินปืนผสมระหว่างถ่านไม้กับดินประสิวนั้น จะมีสูตรการผสมระหว่างดินประสิว กับถ่านไม้ โดยก าหนดว่า ถ่านไม้ ๒ ขีดครึ่ง ต่อดินประสิว ๑ กิโลกรัม เรียกว่า เท่นสิบสลึง ถ้าถ่านไม้หนัก ๓ ขีด ต่อดินประสิว ๑ กิโลกรัม เรียกว่า หมื่อเท่นสาม พวกคนหนุ่มที่มาช่วยงานท าดินปืนกับอุปฮาดแพงนั้นต่างสนุก กับการทดลองดินปืนและท าเป็นบั้งไฟจุดแข่งกันเล่นดินปืนจนลืมครอบครัว ลืมการงานที่เคยช่วยครอบครัว ยุคดินท าคันนา ฝึกหัดควายใหม่ให้ไถ่นา คราดนา แม้ถึงฤดูเดือนหกฝนจะเริ่มตกมาแล้ว แต่ชายวัยฉกรรจ์ แทนที่จะไปช่วยพ่อแม่ท าไร่ ท านา กลับมามั่วสุมอยู่กับการลองหมื่อด้วยการท าบั้งไฟ พวกชาวเมืองมาเล่าความ เดือดร้อน การขาดแคลนแรงงานในงานไร่นาให้อุปฮอาดแพงฟังนั้น ท่านอุปฮาดแพงจึงคิดหาอุบายที่จะให้ หนุ่มๆวัยแรงงาน ยุติการทดลองหมื่อ การท าบั้งไฟ ด้วยการประกาศให้มีการท าบุญบั้งไฟให้สนุกสนาน หลังจากนั้นให้เลิกแล้วกลับสู่ครอบครัว ไปช่วยเหลือพ่อแม่ขุดดินท าคันนา ช่วยกันฝึกหัดไถนา คราดนา การก าหนดท าบุญบั้งไฟครั้งนั้น ท่านอุปฮาดแพง ท่านก าหนดให้เอาวัดกลางศรีไตรภูมิเป็นจุดแห่บั้งไฟ ดังนั้น แม้ปัจจุบันนี้ก็ยังต้องแห่บั้งไฟ เข้าสู่วัดกลาง เช่นในอดีต การแห่บั้งไฟและเซิ้งบั้งไฟ บั้งไฟแต่ละคณะ แต่ละกลุ่มชนที่ท ามาร่วมสนุกกัน จะบั้งไฟของคณะตนเองไปตามละแวกชุมชน และมีการกล่าวค าเซิ้งบั้งไฟไปตามชุมชนต่างๆ เพื่อโชว์ฝีมือการประดับตกแต่งบั้งไฟ โชว์กาพย์เซิ้ง เซิ้ง คือ พูดแทนสิ่งที่ตนน ามาอวด ถ้าเอาแมวใส่ภาชนะมาเรียกว่า เซิ้งนางแมว ถ้าเอาบั้งไฟมาอวดเรียกว่า เซิ้งบั้งไฟ ในขบวนการแห่บั้งไฟ นอกจากจะมีการสร้างเสียงกลองพังฮาด พิณ หรือเครื่องดนตรีประกอบอื่นๆแล้ว ยังมีการแสดงมุขตลกในขบวนบั้งไฟ บางคณะก็ประดิษฐ์หุ่นคนคล้ายโครงกระดูกมนุษย์แสดงท่าทางการร่วม คณะบั้งไฟด้วย บางคณะท าเป็นหุ่นจ าลองผาแดงบนหลังม้าสีหมอก พานางไอ่หลบหยีจากการบุกโจมตี ของพวกพญานาค เรื่องนี้เป็นเรื่องสนุกสนาน สมกับค าว่า “ตานั้นเล่น เล่นกันให้มันม่วน ตานั้นกวน กวนกันให้ มันขุ่น กวนขุ่น แล้วซิวกุ้ง หากสิหอมดอกนา” การเอ้และการประกอบบั้งไฟ เข้าขบวนแห่ การเอ้บั้งไฟ บั้งไฟที่อัดดินฟืน แล้วจะน ามาประดับตกแต่ง มีส่วนประกอบส าคัญ ดังนี้ ๑.เลาบั้งไฟ คือ ส่วนที่อัดดินปืน ๒. หางบั้งไฟ คือ ล าไม้ไผ่ต่างๆ น ามามัดติดกับเลาบั้งไฟ เราจะตกแต่งสมมติให้เป็นส่วนหางของนาค ๓. ลูกโอ้ คือ ส่วนที่มาประกอบกับเลาบั้งไฟให้ดูมีสัดส่วน สวยงาม ๔. นาคประดับหัวบั้งไฟ สมมติเป็นส่วนหัวนาค ๕. เกวียนพาหนะ ๖. ฐานรองรับตัวบั้งไฟ (ขาเขีย) ๗. สิ่งประกอบอื่นๆ เช่น ส่วนที่ห้อยย้อยลง จากตัวบั้งไฟ เรียบเรียงโดย ลุน เสน่หา เขียน 9 สิงหาคม 2566
7 ภาพบั้งไฟโบราณ