The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Sirabhorn Lalee, 2023-07-27 04:34:00

1

1

วิจัยในชั้นเรียน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 เรื่อง การสอนเสริมเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดย นางสาวศิราพร ละลี นางสาวจิดาภา ยั่งยืน นางสาวหฤทัย แซ่ลี้ นายกรกช พรรณทอง วิทยาลัยการอาชีพการอาชีพแกลง


ก กิตติกรรมประกาศ วิจัยฉบับนี้สำเร็จลุล่วงสมบูรณ์ด้วยความเมตตากรุณาช่วยเหลือ และให้คำปรึกษาเป็นอย่างดีจาก อาจารย์นิศรา เจริญผล อาจารย์ประจำแผนกวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยการอาชีพสังขะที่ได้ให้ คำแนะนำ เสนอแนะและตรวจสอบแก้ไขข้อบกพร่องด้วยความเอาใจใส่อย่างดีมา โดยตลอดตั้งแต่เริ่มจน เสร็จสิ้นเรียบร้อย ตลอดจนอาจารย์ทุกท่าน ที่กรุณาประสิทธิ์ประสาทวิชาการความรู้ต่าง ๆ ซึ่งช่วยให้ ผู้วิจัยสามารถทำงานวิจัย สำเร็จลงได้คุณประโยชน์อันเกิดจากงานวิจัยฉบับนี้ขอมอบแด่บิดา มารดา ครู อาจารย์ ตลอดจนผู้มีพระคุณทุก ท่าน ขอปณิธานต่อตนเองจะเป็นพลเมืองที่ดีและสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงาม ให้แก่สังคมและประเทศชาติต่อไป


ข บทคัดย่อ การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ในการใช้รูปแบบการสอนเสริมรายวิชาคอมพิวเตอร์สารสนเทศเพื่องานอาชีพ รหัสวิชา 20001-2001 เรื่องระบบปฏิบัติการ สำหรับนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ ธุรกิจ วิทยาลัยการอาชีพสังขะ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ใช้วิธีการเจาะจง เป็นนักเรียนระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1/2 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจวิทยาลัยการอาชีพสังขะ จำนวน 29 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมครั้งนี้ประกอบไปด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาคอมพิวเตอร์ สารสนเทศเพื่องานอาชีพ รหัสวิชา 20001-2001 เรื่องระบบปฏิบัติการ 2) สื่อประกอบการเรียนการสอน เรื่องระบบปฏิบัติการ 3) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อระบบปฏิบัติการ เป็นข้อสอบอัตนัย จำนวน 10 ข้อ 4) แบบประเมินผลข้อสอบวัดผล สัมฤทธิ์ สรุปผลได้ดังนี้ นักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1./2 ที่ใช้รูปแบบการสอนเสริม ใน รายวิชาคอมพิวเตอร์สารสนเทศเพื่องานอาชีพ รหัสวิชา 20001-2001 เรื่องระบบปฏิบัติการ มี ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการวิจัย การใช้รูปแบบการสอนเสริมรายวิชาคอมพิวเตอร์สารสนเทศเพื่องานอาชีพ รหัสวิชา 20001- 2001 เรื่องระบบปฏิบัติการ สำหรับนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 สาขาวิชา คอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยการอาชีพสังขะ พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการทำ แบบทดสอบหลังเรียนของนักเรียนที่เรียน โดยการสอนซ่อมเสริม ระบบปฏิบัติการสูงกว่าผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนจากการทำแบบทดสอบก่อนเรียนของผู้เรียน ที่เรียนโดยการสอนซ่อมเสริม เรื่อง ระบบปฏิบัติการ ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว


บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา การพัฒนาคนให้มีคุณภาพ ถ้าหากมีการจัดการคุณภาพการศึกษาให้ดีขึ้นแล้วย่อมส่งผลให้ ประชาชน ในประเทศมีประสิทธิภาพ มีความรู้ ความสามารถมีปัญญาที่จะพึ่งพาตนเอง และช่วยเหลือ ผู้อื่นได้การจัด การศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด ผู้เรียนทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนา ตนเองได้และในการ พัฒนาคนให้เป็นผู้ที่มีความรู้ สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียน ให้มีคุณภาพและ ประสิทธิภาพ คือคุณภาพการสอนของครู ถ้าครูมีความรู้ ความสามารถในการจัดการ เรียนการสอนเป็นอย่างดีและมีคุณภาพแล้วผู้เรียนย่อมจะได้รับการศึกษาอย่างมีคุณภาพ การจัดการ ศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด ผู้เรียนทุกคนสามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้ ดังนั้น กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริม ให้ผู้เรียนได้พัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพการจัด การศึกษาต้องเน้นทั้งความรู้ คุณธรรม และ กระบวนการเรียนรู้ในเรื่องสาระความรู้ บูรณาการความรู้และ ทักษะด้านต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับแต่ละระดับ การศึกษา (พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ, 2542 : 17) การสอนซ่อมเสริม คือ เพื่อช่วยนักเรียนที่มีความ บกพร่องทางการเรียนได้เข้าใจเนื้อหาในห้องเรียนมาก ขึ้น เพื่อให้นักเรียนมีการพัฒนาได้เต็มความสามารถของ แต่ละบุคคล (กรมวิชาการ, 2526: 91) เป็นการ สอนเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องหรือเพิ่มเติมสิ่งที่ขาดไป หรือช่วย เสริมสร้างสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งๆ ขึ้นอย่าง ครบถ้วนสมบูรณ์ตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้(จำนง , 253S : 4) จากการที่ผู้วิจัยได้รับมอบหมายให้สอนวิชางานไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เบื้อต้น ซึ่งเป็นวิชาที่ต้อง มีการ ใช้ทักษะกระบวนการทางการคิดคำนวณ และลงมือปฏิบัติจริง ซึ่งในส่วนของการคิดคำนวณในส่วน นี้ผู้เรียน บางส่วนยังไม่สามารถคำนวณหาค่าความต้านทานรวมได้อย่างถ่องแท้และผู้วิจัยได้สังเกตการ เรียนการสอน พบว่า จากการที่ครูผู้สอนได้ ถ่ายทอดความรู้ให้นักศึกษาในชั้น หลังจากการสอนครูได้ ประเมินผล โดยการ มอบหมายให้ทำใบงาน แบบฝึกหัด และแบบทดสอบ พบว่านักศึกษาบางคนไม่ สามารถทำใบงาน แบบฝึกหัด และทำข้อสอบได้ ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งปัญหาดังกล่าวเกิดจากการที่ นักศึกษามีความสามารถในการเรียนรู้ไม่ เท่ากัน นักศึกษาบางคนเรียนรู้ได้เร็ว บางคนเรียนรู้ได้ช้า ทำให้ ส่งผลกระทบต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และทำ ให้นักศึกษาเกิดเจตคติที่ไม่ดีต่อการเรียน


2 ดังนั้นผู้วิจัยจึงได้นำการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชางาน ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เบื้องต้น เรื่อง การคำนวณหาค่าความต้านทาน โดยการสอนเสริม สำหรับนักเรียน ระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้น ปีที่ 1/5 สาขาวิชาช่างเทคนิคคอมพิวเตอร์ วิทยาลัยเทคนิคอุบลราชธานีเพื่อเสริมทักษะต่างๆ ให้กับ ผู้เรียน ดังนั้นผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่ศึกษาและใช้การสอนเสริมในรายวิชานี้ ให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ ทางการ เรียนที่ดีขึ้นโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นหลัก และแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ ที่มี ผลต่อการ เรียน ขจัดการเรียนรู้ที่ไม่ถูกวิธี 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1.2.1 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนในการใช้รูปแบบการสอน เสริม รายวิชาคอมพิวเตอร์สารสนเทศเพื่องานอาชีพ รหัสวิชา 20001-2001 เรื่องระบบปฏิบัติการ สำหรับ นักเรียน ระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยการอาชีพ สังขะ 1.3 สมมติฐานของการวิจัย 1.3.1 นักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 ที่ใช้รูปแบบการสอนเสริม ในรายวิชา คอมพิวเตอร์สารสนเทศเพื่องานอาชีพ รหัสวิชา 20001-2001 เรื่องระบบปฏิบัติการ มีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 1.4 ขอบเขตของการวิจัย 1.4.1 ขอบเขตด้านเนื้อหา การศึกษาครั้งนี้ใช้เนื้อหาบางส่วนจากในรายวิชาคอมพิวเตอร์ สารสนเทศ เพื่องานอาชีพ รหัสวิชา 20001-2001 ระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1/2 ภาคเรียน ที่1 ตามหลักสูตร ประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2562 เรื่องระบบปฏิบัติการ 1.4.2 ขอบเขตด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1. ประชากร ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1/2 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยการอาชีพสังขะ


3 2. กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ใช้วิธีการเจาะจง นักเรียนระดับประกาศนียบัตร วิชาชีพ ชั้นปีที่ 2 สาขาวิชาไฟฟ้ากำลัง วิทยาลัยการอาชีพสังขะ จำนวน 29 คน 1.4.3 ขอบเขตด้านระยะเวลา ในการทำวิจัยครั้งนี้ดำเนินการในภาคเรียนที่ 1 การศึกษา 2565 1.5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.5.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น 1.5.2 นักเรียนมีความรู้เกี่ยวกับระบบปฏิบัติการ 1.6 นิยามศัพท์เฉพาะ 1.6.1 การสอนซ่อมเสริม หมายถึง การสอนผู้เรียนที่พัฒนาด้านการเรียนยังไม่เต็มความสามารถ ในการ เรียนตามปกติ โดยการแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ ที่มีผลต่อการเรียน การจัดการเรียนรู้ที่ไม่ถูกวิธีโดย การสอน ซ่อมเสริมจะเน้นเด็กเป็นหลัก ตลอดจนเสริมทักษะในการเรียนรู้ใหม่ ๆ 1.6.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ความสามารถของนักเรียโดยการเรียนรู้แบบสอน เสริม ซึ่งวัดจากคะแนนในการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องวงจรแม่เหล็กและการ เหนี่ยวนำ แม่เหล็ก 1.6.3 นักเรียน คือ นักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ ธุรกิจ วิทยาลัยการอาชีพสังขะ


บทที่ 2 ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ในการใช้รูปแบบการสอนเสริม รายวิชาคอมพิวเตอร์สารสนเทศเพื่องานอาชีพ รหัสวิชา 20001-2001 เรื่องระบบปฏิบัติการ สำหรับนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ ธุรกิจวิทยาลัยการอาชีพสังขะ ซึ่งผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ตามลำดับ ดังนี้ 2.1 การสอนซ่อมเสริม 2.1.1 ความหมายของการสอนซ่อมเสริม นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของการสอนซ่อมเสริมไว้ต่างๆกัน ดังนี้จำนง พรายแย้ม แข (253S : 4) กล่าวว่า การสอนซ่อมเสริม คือ การสอนเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องหรือเพิ่มเติมสิ่งที่ขาดไป หรือช่วยเสริมสร้างสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งๆ ขึ้นอย่างกรบถ้วนสมบูรณ์ตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ ศรีขา และประกัสสร นิยมธรรม (2540 : 25) ได้ให้ความหมายของการสอนซ่อมเสริมว่าการสอนซ่อม เสริม คือ การสอนซ่อมเสริมเปีนบริการที่แขกจากชั้นเรียนปกติ เป็นการสอนเพื่อเสริมทักษะการเรียนรู้ ใหม่ๆและช่วยแก้ไขข้อบกพร่องของเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษจากครู สิริพร ทิพย์คง (2545 : 44) ได้ให้ความหมายของการสอนซ่อมเสริมว่า การสอนซ่อมเสริมหมาขถึง การสอนเพื่อช่วยแก้ไขปรับปรุงข้อบกพร่องของนักศึกษา ทำให้นักศึกษามีความเข้าใจมากขึ้น กรมวิชาการ ( 2526: 91)ได้ให้ความหมายของการสอนซ่อมเสริมไว้ว่า การสอนซ่อมเสริม คือ การ สอนเป็นกรณีพิศษนอกเหนือไปจากการสอนตามแผนการสอนปกติ หรือการสอนเพิ่มเดิมให้กับนักศึกษา เพื่อแก้ไขส่วนบกพร่องที่พบในตัวนักศึกษาให้เรียนดีขึ้น หรือเพื่อให้นักศึกษามีความรู้ความสามารถ ทางการเรียนยิ่งขึ้น อาจเป็นการสอนราชบุคคล หรือกลุ่มเล็กดังนั้น การสอบซ่อมเสริม จึงมี 2 ลักษณะ คือ 1. การสอนซ่อม คือ การสอนนักศึกษาที่เรียนอ่อน เรียนไม่ทันเพื่อนในชั้น เพื่อให้เรียนทันเพื่อน ในระดับชั้นเดียวกัน หรือสอนตามโครงการที่กำหนดไว้ 2. การสอนเสริม คือ การสอนนักศึกษาที่เลาดให้ใด้ใช้ความสามารถที่มีอยู่ให้เต็มที่เป็นไปตาม แนวทางที่ถูกต้องและเป็นประโชชน์จากความหมายของการสอนซ่อมเสริมที่กล่าวมา สรุปได้ว่า การสอน ซ่อมเสริมเป็นการสอนเป็นกรณีพิเศษนอกเหนือไปจากการสอนตามแผนการสอนปกติ เพื่อแก้ไข


5 ข้อบกพร่อง หรือเพิ่มเดิมสิ่งที่ขาดไป ช่วยแก้ไขปรับปรุงข้อบกพร่องของนักศึกษา หรือเพื่อให้นักศึกบามี ความรู้ความสามารถทางการเรียนยิ่งขึ้น อาจเป็นการสอนรายบุคคล หรือกลุ่มเล็ก สันทธา นิพนธ์วิทยา (2527 : 53) ได้กล่าวว่าการสอนเสริม หมายถึง การสอนเพื่อซ่อมส่วนที่ผู้เรียนขัง บกพร่องอยู่และเสริมในสิ่งที่เราปรารถาจะให้ผู้เรียนเจริญก้าวหน้าหรือพัฒนาให้ถึงขีดสุดของแต่ละคนสุ กัน เทียนทอง (2528 : 22) การสอนซ่อมเสริมหมายถึง การสอนเพื่อมุ่งแก้ไขนักเรียนที่เรียนช้าให้สามารถ เรียนได้ทันเพื่อนในระดับชั้นเดียวกัน ตามมาตรฐานหรือเกณฑ์ที่กำหนดไว้และสอนเสริมนักเรียนที่เรียนดี ให้ได้ใช้ความสามารถเต็มที่ ดังนั้นจึงสรุปจุดมุ่งหมายของการสอนซ่อมเสริมได้ว่า เพื่อช่วยนักศึกษาที่มีความบกพร่องทางการ เรียนให้เรียนทันเพื่อน เพื่อให้นักศึกษามีการพัฒนาได้เต็มความสามารถของแต่ละบุคคล 2.1.2 สาเหตุที่ของการสอนซ่อมเสริม ในการจัดให้มีการสอนซ่อมเสริมนั้นตามหลักสูตรการเรียนการสอบในระดับมัธยมศึกษาได้ กำหนดให้โรงเรียนมีการจัดสอนซ่อมสริมให้แก่นักเรียนที่ยังไม่ผ่านจุคประสงค์ของหลักสูตรเพื่อให้นักเรียน ไว้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ซึ่งสาเหตุที่ต้องจัดให้มีการสอนซ่อมเสริมนั้น ได้ผู้ให้แนวคิดไว้ดังนี้ สิริพร ทิพย์คง 2539: 36) ได้รวบรวมไว้สรุปได้ดังนี้คือ 1. สาเหตุของปัญหานั้นเกิดจากตัวนักเรียนและหน้าที่ความรับผิดชอบของครู เช่นนักเรียนไม่มี เวลาสำหรับการเรียนซ่อมเสริม นักเรียนขาดความกระตือรือร้น นักเรียนมีสติปัญญาแตกต่างกัน ครูมี ชั่วโมงสอนมากเกินไป จำนวนครูมีไม่พอกับนักเรียน วิธีการสอนของครูที่ไม่แปลกใหม่ ครูไม่ทราบสาเหตุ และข้อบกพร่องของนักเรียน ตลอดจนสื่อการเรียนต่าง ๆ ยังไม่ดีพอ 2. นักเรียนมีความต้องการครูประจำวิชาคนเดิมเป็นผู้สอนซ่อมเสริมให้ ต้องการใช้ห้องเรียนเดิม เป็นสถานที่ใช้สอนซ่อมเสริมและสอนภายในช่วงเวลาที่กำหนดเป็นเวลาเรียนตลอดจนการจัดให้นักเรียนที่ ขาดเรียนบ่อยเข้ารับการสอนซ่อมเสริม สมศักดิ์ สินธุระเวชญ์(2530 24-25) ได้กล่าวถึงเหตุผลอื่น ๆ อีกที่ต้องสอนซ่อมเสริมคือ 1. นักเรียนมีความสามารณทางการเรียนต่ำ ในระหว่างการสอนคณิตศาสตร์จะพบว่าเมื่อให้งาน ใหม่นักเรียนทำ นักเรียนมักจะทำไม่ได้ จนกว่าจะมีการสอบช้ำ 2 หรือ 3 ครั้ง 2. การสอนที่ไม่ได้ผลก็มีผล เพราะมีผู้สอนจำนวนไม่น้อย ไม่รู้ว่าจะสอนเนื้อหาที่อยู่ในบทเรียน อย่างไร หรือจะใช้วิธีสอนอย่างไรจึงจะทำให้นักเรียนบรรลุจุดประสงค์ตามที่กำหนดไว้ 3. นักเรียนแต่ละคนแตกต่างกันในด้านทัศนคติ ความถนัดและความซาบซึ้ง


6 4. เพื่อเป็นการสอนช้ำในเรื่องที่สอนไม่ดี หรือยังไม่ได้สอนทั้งหมด โดยปกติ นักเรียนมักจะ พยายามเอาหลักการ วิธีการที่เคยเรียนมาเพียงเล็กน้อยไปใช้ซึ่งเป็นการไม่ถูกต้องอันที่จริงแล้วควรจะได้ เรียนหลักการเหล่านั้นทั้งหมดเสียก่อน 5. สื่อการเรียนการสอนยังไม่ดีพอ เช่น หนังสือเรียนนั้นใช้ภาษาไม่เหมาะสมกับนักเรียนนักเรียน อ่านแล้วไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร ตัวอย่างต่าง ๆ ที่อยู่ในหนังสือเรียนยังไม่ดีอุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่ได้ รับการพัฒนาที่ดีพอ 6. จุดประสงค์ต่าง ๆ ที่ตั้งไว้บางจุดประสงค์อยู่ในระดับสูงหรือต้องใช้เวลามากในการที่ผู้เรียนจะ บรรลุดังนั้นการที่ผู้เรียนจะบรรลุได้ภายหลักการสอนจึงเป็นไปได้ยากจำเป็นจะต้องมีการสอนซ่อมเป็น บางส่วน 7. จุดประสงค์บางจุดประสงค์เป็นลำดับขั้นความรู้ต่อเนื่องกัน ะนั้นการที่นักเรียนจะผ่าน จุดประสงค์ขั้นสูงจำเป็นจะต้องผ่านจุดประสงค์ขั้นต่ำก่อน การสอนซ่อมเสริมเพื่อให้ผ่านจุดประสงค์ขั้นดิ้น จึงจำเป็น 2.1.3 หลักการและจุดมุ่งหมายของการสอนซ่อมเสริม การสอนซ่อมเสริมมีจุดมุ่งหมายที่จะช่วยผู้เรียนให้เรียนได้ดียิ่งขึ้นตามความสามารถของแต่ละ บุคคล มีนักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวถึงจุดประสงค์ของการสอนซ่อมเสริมไว้ดังนี้ สมจิตต์ ศรีธัญญรัตน์ (2520 : 18-19) ได้ให้หลักการของการสอนซ่อมเสริมแก่ครูผู้สอนสรุปได้ดังนี้ 1. จะต้องมีวิธีการสังเกตุนักเรียนอย่างใกล้ชิดในระหว่างการเรียนในชั้นครูควรมีบันทึกช่วย เกี่ยวกับพฤติกรรมและผลการเรียนของนักเรียนด้วย 2. ควรรู้จักเลือกเวลาเรียนที่เหมาะสมที่จะทำการสอนซ่อมเสริม ซึ่งครูอาจจะพิจารณาไม่ให้เป็น เวลาที่ทำให้นักเรียนต้องเคร่งเครียดไปกับการเรียนจนเกินไป หรือรู้สึกว่าเป็นการลงโทษในการที่ตนต้อง เรียนซ่อมเสริม แต่ควรให้นักเรียนได้เข้าใจว่า เป็นการเอาใจใส่และเห็นอกเห็นใจจากครูมากกว่า 3. ครูควรมีความรู้ความสามารถ ที่จะช่วยให้นักเรียนได้เรียนด้วยการรู้จักหาความจริงเพื่อช่วยให้ นักเรียนเกิดความคิดและประสบการณ์ในสิ่งที่ตนเรียนได้ง่ายขึ้น 4. ควรช่วยให้นักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจในการใช้โสตทัศนศึกษา หรือด้วยการเรียนจากของ จริง


7 5. ครูควรมีวิธีสอนตามลักษณะปัญหาของเด็ก โดยคำนึงถึงความแดกต่างของนักเรียน ครูจะต้อง มีความอดทน เข้าใจนักเรียน ถ้าครูพบปัญหาที่ร้ายแรงเกินกว่าที่ครูจะแก้ไขด้วยตนเองก็ต้องปรึกษาบุคคล อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น จิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาให้ช่วยเหลือ ศรียาและประกัสสร นิยมธรรม (2540 : 30) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการสอนซ่อมเสริม ไว้ว่า เพื่อช่วยให้นักศึกยาได้พัฒนาความสามารถในการเรียนรู้และมีจุดหมายปลายทาง คือ การยกระดับ ผลสัมฤทธิ์ของนักศึกยาให้ใกล้เคียงกับสมรรถวิสัยของนักศึกษาให้มากที่สุด สำเนา คมคาย (2537 : 13) ได้กล่าวถึงจุดประสงค์ของการสอบซ่อมเสริมไว้ว่า การสอนซ่อมเสริมช่วย ให้นักศึกษาสามารถเขียน ได้ตามความสามารถที่แท้จริงของตนได้อย่างเต็มที่และสามารถแก้ไข้อบกพร่อง ทางการเรียนหรือจุดอ่อนของคนได้ ทั้งขังส่งเสริมความเจริญงอกงามด้านต่างๆของนักศึกษา ซึ่งจะช่วยให้ นักศึกษาประสบความสำเร็จในการเรียนได้มากยิ่งขึ้น กรมสามัญศึกษา (2337 : 13-14) ได้กล่าวไว้ว่า จุดประสงค์ของการสอนซ่อมเสริมมีดังนี้ 1. เพื่อช่วยแก้ปัญหาของนักศึกษาที่มีความบกพร่องทางร่างกาข สติปัญญา อารมณ์และการเรียน 2. เพื่อช่วยให้นักศึกษาที่เรียนช้าสามารถเรียนทันเพื่อนและที่เรียนไม่เข้าใจให้มีความเข้าใจมาก ขึ้น 3.เพื่อช่วยให้นักศึกษาที่เรียนแล้วยังไม่สัมฤทธิ์ผลคามจุดมุ่งหมายได้สัมฤทธิ์ผล 4. เพื่อช่วยให้นักศึกษาแข่งกับตัวเองจนสามารถเรียนได้ดีขึ้นกว่าเดิม 5. เพื่อให้นักศึกษาเรียนได้ดียิ่งขึ้นตามขีดความสามารถของตน 6. เพื่อช่วยขจัดปัญหาต่างๆของโรงเรียนอันเนื่องมาจากนักศึกษาที่เรียนไม่ทันเพื่อนทำให้ นักศึกษามีผลสัมฤทธิ์ที่ดีขึ้น 2.1.4 แนวคิดเกี่ยวกับการสอนซ่อมเสริม ปรีชา วิเทศวิทยานุศาสตร์ (2524 ) สรุปได้ดังนี้ 1. ทดสอบด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อดูความบกพร่องของนักเรียน เช่น ทคสอบจากการสังเกต การ สอบ การสัมภาษณ์ 2. นำผลการทดสอบมาพิจารณาวางแผ่นการสอนซ่อมเสริม โดยกำหนด เวลา วิธีการและวัสดุ อุปกรณ์ให้เหมาะสม 3. ดำเนินการสอนซ่อมเสริมด้วยรูปแบบต่าง ๆ เช่น การสอนเป็นรายบุคคล การสอนเป็นกลุ่ม พร้อมมีการทคสอบเป็นระยะเพื่อดูความก้าวหน้าและแก้ไขปรับปรุง แก้สิ่งที่ผิดให้ถูกโดยให้ผู้เรียนปฏิบัติ


8 ซ้ำให้ถูกต้องเป็นจำนวนหลาย ๆ ครั้ง มีการสอนช้ำในกรณีที่มีจำนวนผู้ไม่ผ่านเกณฑ์ประมาณ 20%-50% ของจำนวนผู้เรียนในชั้น 4. อาจให้นักเรียนเป็นผู้ช่วยสอน เป็นผู้ดำเนินการสอนซ่อมเสริม หรือตัวครูเป็นผู้ดำเนินการสอน ซ่อมเสริมเอง นอกจากนี้ตัวครูกับนักเรียนผู้ช่วยสอนร่วมกันเป็นผู้ดำเนินการสอนซ่อมเสริม 5. การสอนใหม่ ใช้ในกรณีที่นักเรียนไม่ผ่านเกณฑ์มีมากว่า 0 % ของชั้นเรียนซึ่งอาจให้แนวทาง การสอนโดยการใช้บทเรียนสำเร็จ การจัดกิจกรรมให้นักเรียนลงมือปฏิบัติ กระทรวงศึกษาธิการ (2521 :64-65) ได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับการสอนซ่อมเสริมว่าโรงเรียนแต่ละ โรงเรียนย่อมจะใช้วิธีการสอนซ่อมเสริมที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพของโรงเรียนที่แตกต่างกัน วิธีการสอนซ่อมเสริมในแต่ละวิธี มีรายละเอียดและข้อเสนอแนะดังนี้ 1. การสอนแบบตัวต่อตัว ระหว่างครูผู้สอนกับนักเรียนเป็นวิธีดีที่ดีที่สุด เพราะผู้สอนสามารถ เลือกใช้ถ้อยคำหรือวิธีการได้เหมาะสมกับนักเรียน สมารถจูงใจความสนใจของนักเรียนได้อย่างใกล้ชิด และสามารถสอนได้ตามที่นักเรียนกำลังประสบปัญหา ผู้สอนนอกจากจะเป็นครูประจำชั้นหรือครูประจำ วิชาแล้วถ้าหากใช้ครูคนอื่นได้ก็ยิ่งดี เพราะครูผู้สอนจะได้ให้ความรู้ความเข้าใจแก่นักเรียนในแนวใหม่ 2. การสอนเป็นกลุ่มย่อย เพื่อความสะดวกในการจัดการเรียนกับกลุ่มที่มีปัญหาเหมือน ๆ กัน อยู่ ในกลุ่มเดียวกัน กลุ่มหนึ่งประมาณ 23 คน ผู้สอบอาจใช้วิธีสสับหมุนเวียนไปทีละกลุ่ม ข้อดีของ วิธีการนี้คือ นักเรียนในแต่ละกลุ่มจะช่วยกันแก้ปัญหาความเข้าใจบทเรียนซึ่งกันและกันร่วมมือซึ่งกันและ กันไม่ทำให้ใครรู้สึกว่ามีปมด้วยหรือปมเด่น ผู้สอนนอกจากจะใช้ครูที่สอนประจำแล้วอาจเปลี่ยนให้ผู้สอบ อื่นสอนแทนหรือหมุนเวียนกันก็ใด้ 3. นักเรียนสอนกันเอง ในการสอนซ่อมเสริมผู้สอนจะกัดเลือกนักเรียนเก่งช่วยนักเรียนที่ยังไม่ บรรลุจุดประสงค์ก็ได้โดยให้ช่วยสอนตัวต่อตัวหรือสอนเป็นกลุ่มย่อย ข้อดีของการให้นักเรียนสอนกันเอง คือนักเรียนใช้ภาษาเดียวกัน ดังนั้นการถ่ายทอดกวามรู้สึกก็ดีหรือการใช้ถ้อยคำอธิบายก็ดีย่อมทำให้ง่ายต่อ การเข้าใจกว่าภาษาที่ครูใช้และยังทำให้ผู้ช่วยสอนต้องสนใจเรียนมากยิ่งขึ้น เพราะต้องมีความรับผิดชอบ มากยิ่งขึ้น จากรายงานการวิจัยในเรื่องนี้พบว่า ทั้งผู้ช่วยผู้สอนและผู้เรียนมีความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี นักเรียนแสดงความชื่นชมกับระบบการช่วยสอนนี้และความรู้สึกต่อเพื่อนด้วยกันในทางดี การคัดเลือก ผู้ช่วยสอนนอกจากจะดเลือกนักเรียนเก่งในชั้นเดียวกันแล้วอาจจะใช้นักเรียนที่อยู่ในระดับสูงกว่าก็ย่อมทำ ได้


9 4. แบบเรียนสำเร็จรูป ในกรณีที่ผู้สอนพบว่านักเรียนมีปัญหาในการเรียนบางเรื่องก็อาจใช้ แบบเรียนสำเร็จรูปแบบง่าย ๆ ไม่ซับซ้อนเป็นสื่อในการสอน โดยนักเรียนแต่ละคนจะต้องอ่านทำ แบบฝึกหัด และตรวจคำตอบด้วยตนเอง โดยใช้แบบเรียนสำเร็จรูปนั้น 5. สมุดแบบฝึกหัดเรียนด้วยตนเอง ลักษณะแบบฝึกหัดเรียนด้วยตนเองคล้ายแบบเรียนสำเร็จรูป เพราะเริ่มต้นการให้บทเรียนแล้วให้แบบฝึกหัด ต่อจากนั้นเฉลยคำตอบลักษณะต่างกันก็คือ สมุด แบบฝึกหัดมีแบบฝึกหัดมากกว่าบทเรียนสำเร็จรูป เพราะมีจุดมุ่งหมายที่จะให้ผู้เรียนทำแบบฝึกหัดเป็น การฝึกทักษะให้มากยิ่งขึ้น ให้กิจกรรมเพิ่มภาหลังการวินิจฉัยปัญหา ถ้าพบว่านักเรียนมีความเข้าใจแล้วแต่ สมควรได้รับการฝึกทักษะเพิ่มขึ้นอีก ผู้สอนอาจใช้วิธีการมอบหมายงานให้ทำ เช่น ทำแบบฝึกที่มีระดับ ยากง่ายใกล้เคียงกันเพิ่มขึ้น โดยจะให้ทำที่ โรงเรียนหรือจะให้ทำที่บ้านดีได้แล้วแต่ความเหมาะสมทำให้ นักศึกษามีผลสัมฤทธิ์ที่ดีขึ้น 2.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จิรายุทธิ์ (2560) ได้ศึกษการสอนเสริมเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง จำนวนเชิงซ้อน (Complex Number)ในกระบวนวิชาวงจรไฟฟ้ากระเสสลับระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2 (ปวซ.2)วิทยาลัย การอาชีพนวมินทราชูทิศ กรุงเทพมหานคราการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤ ทธิ์ ทางการเรียนที่เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยการสอนเสริมผลวิจัยพบว่า 3. ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลัง โดยรูปแบบการสอนเสริม เรื่องจำนวนเชิงซ้อน แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 อคิเรก (2536) ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนซ่อมเสริมวิชา คณิตศาสตร์เรืองฟังก์ชัน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้บทเรียนสำเร็จรูป และใช้บทเรียน สำเร็จรูปประกอบเทปโทรทัศน์แล้วปรากฎว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกบาปีที่ 4 กลุ่มที่เรียนซ่อมเสริม โดยใช้ บทเรียนสำเร็จรูปประกอบเทปโทรทัศน์มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่องฟังก์ชัน สูงกว่า นักเรียนกลุ่มที่เรียนซ่อมโดยการใช้บทเรียนสำเร็จรูป อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ลินคอร์น(Lincoln. 1975 460-468)ได้ทำการทดลองให้การศึกษาชดเชยและสอนซ่อมเสริมวิชา คณิตศาสตร์ให้กับนักเรียนเกรด 4 ที่ได้คะแนนต่ำว่า 30 ผลที่ได้คือ คะแนนของการสอบหลังการเรียนซ่อม เสริมสูงกว่าคะแนนของการสอบก่อนการเรียนซ่อมเสริ 2.3 บริบทของวิทยาลัยการอาชีพสังขะ


10 -ที่ตั้ง ขนาด และข้อมูลการติดต่อสื่อสาร วิทยาลัยการอาชีพสังขะ - ที่อยู่ 277 ตำบลสังขะ อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ 32150 - โทรศัพท์ 0-4457-1639 2.4 กรอบแนวคิดในการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้มุ่งศึกษาพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้รูปแบบการสอนเสริมรายวิชาคอมพิวเตอร์ สารสนเทศเพื่องานอาชีพ รหัสวิชา 20001-2001 เรื่องระบบปฏิบัติการ สำหรับนักเรียนระดับชั้น ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยการอาชีพสังขะ ภาพประกอบที่ 2.1 กรอบแนวคิดในการวิจัย 2.5 ตัวแปรที่ใช้ในการศึกษา 2.5.1 ตัวแปรอิสระ (Independent Variables) ได้แก่ การจัดการเรียนการสอนโดยใช้รูปแบบ การสอนเสริม เรื่องระบบปฏิบัติการ สำหรับนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 2.5.2 ตัวแปรตาม (Dependent Variables) ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน


บทที่ 3 วิธีการดำเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ในการใช้รูปแบบการสอนเสริม รายวิชาคอมพิวเตอร์สารสนเทศเพื่องานอาชีพ รหัสวิชา 20001-2001 เรื่องระบบปฏิบัติการ สำหรับนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ ธุรกิจวิทยาลัยการอาชีพสังขะ มีรายละเอียดในการดำเนินงานดังต่อไปนี้ 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.1.1 ประชากร ที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1/2 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยการอาชีพสังขะ 3.1.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ใช้วิธีการเจาะจง นักเรียนระดับประกาศนียบัตร วิชาชีพชั้นปีที่ 1/2 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยการอาชีพสังขะ จำนวน 29 คน 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนาดังต่อไปนี้ 3.2.1 แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจสารสนเทศเพื่องานอาชีพ รหัสวิชา 20001-2001 เรื่องระบบปฏิบัติการ 3.2.2 โปรแกรม Microsoft Power Point ใช้ในการสร้างสื่อประกอบการเรียนการสอน เรื่อง ระบบปฏิบัติการ 3.3 การสร้างและทดสอบเครื่องมือ 3.3.1 แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่องระบบปฏิบัติการ เป็น ข้อสอบอัตนัย จำนวน 10 ข้อ 3.3.2 แบบประเมินผลข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ 3.4 การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย


12 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 3.4.1 ศึกษาเนื้อหาในหลักสูตรและหนังสือเรียนรายวิชาคอมพิวเตอร์สารสนเทศเพื่องาน อาชีพ รหัส วิชา 20001-2001 3.4.2 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาคอมพิวเตอร์สารสนเทศเพื่องานอาชีพ รหัสวิชา 20001- 2001 เรื่องระบบปฏิบัติการดำเนินตามขั้นตอนดังนี้ 1. ศึกษาหลักสูตรการเรียนรู้รายวิชาคอมพิวเตอร์สารสนเทศเพื่องานอาชีพ จุดประสงค์การ เรียนรู้สมรรถนรายวิชา คำอธิบายรายวิชา และหน่วยการเรียนรู้ 2. นำกรอบเนื้อหา จุดประสงค์การเรียนรู้ ในการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ การสอนเสริม เรื่องระบบปฏิบัติการ สำหรับนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) 3. กำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ สื่อ แหล่งการเรียนรู้ การวัดผลการประเมิน ในแผนการจัดการ เรียนรู้รายวิชารายวิชาคอมพิวเตอร์สารสนเทศเพื่องานอาชีพ รหัสวิชา 20001-2001 เสริมเรื่อง ระบบปฏิบัติการ จากหนังสือเรียน และหลักการสร้างแบบทดสอบวัดผลการเรียนรู้ ตามหลักสูตรระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชี 4. นำแผนการจัดการเรียนรู้เรื่องความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับระบบปฏิบัติการ ให้ผู้ทรงคุณวุฒิที่มี ความเชี่ยวชาญในด้านระบบปฏิบัติการของสถานศึกษาตรวจสอบเกี่ยวกับความเหมาะสมกับมาตรฐาน การเรียนรู้ ระดับชั้น ผลการเรียนรู้ ที่คาดหวัง สาระการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหาสาระ กระบวนการจัดการเรียนรู้ สื่อ และแหล่งเรียนรู้กระบวนการวัดผล และประเมินผล แล้วนำมาปรับปรุง แก้ไขข้อบกพร่องตามคำแนะนำ 3.4.3 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน รายวิชา คอมพิวเตอร์สารสนเทศเพื่องานอาชีพ รหัสวิชา 20001-2001 เรื่องระบบปฏิบัติการ จำนวน 10 ข้อ มี ขั้นตอนการพัฒนา ดังนี้ 1. สร้างแบบทดสอบตามจุดประสงค์การเรียนรู้ให้ครอบคลุมเนื้อหา เรื่องความรู้เบื้องต้น เกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต แบบทดสอบอัตนัยให้แสดงวิธีทำจำนวณ 10 ข้อ แบบทดสอบเป็นเป็นคนละชุดกัน ก่อนเรียน 5 ข้อ และหลังเรียน 5 ข้อ 2. นำแบบทดสอบที่สร้างแล้ว เสนออาจารย์ประจำวิชา เพื่อเพิ่มข้อเสนอแนะ และนำไป ปรับปรุงแก้ไข


13 3. นำแบบทดสอบเสนอผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่านดังนี้ 3.1 นายอดิศักดิ์ ศรีดงกลาง ตำแหน่งครูประจำสาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ 3.2 นายราชันย์ สุขคิด ตำแหน่งครูประจำสาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ 3.3 นางสาวศันสนีย์ พันเจริญ ตำแหน่งครูประจำสาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ เพื่อทำการตรวจสอบความตรงของเนื้อหา (Content Validity) และความเหมาะสม ของภาษาที่ใช้โดยหาค่าดัชนีหาความสอดคล้องระหว่างวัตถุประสงค์การเรียนรู้กับแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้วิธีหาคำ Index of Item Objective congruency (IOC) โดยกำหนดคะแนน ความคิดเห็น ดังนี้ +1 แน่ใจว่าข้อคำถามข้อนั้นวัดได้ตรงกับคำจำกัดความที่ใช้ในการศึกษา 0 ไม่แน่ใจข้อคำถามข้อนั้นวัดได้ตรงกับคำจำกัดความที่ใช้ในการศึกษา -1 แน่ใจว่าข้อคำถามข้อนั้นวัดได้ไม่ตรงกับคำจำกัดความที่ใช้ในการศึกษา บันทึกผลการพิจารณาลงความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิแต่ละท่านในแต่ละข้อ จากนั้น คำนวณหา ค่า IOC โดยใช้สูตรดังสมการที่ (3.1) เมื่อวิเคราะห์ ค่า IOC แล้วจะพิจารณาเลือกใช้ข้อคำถามที่มีค่า IOC ตั้งแต่0.50 ขึ้นไป และ ปรับปรุงแก้ไขตามที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ 4. นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องระบบปฏิบัติการ ที่ปรับปรุงแก้ไขตามที่ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำเรียบร้อยแล้ว เสนอต่อครูประจำวิชา ตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสมอีกครั้งก่อน นำไปใช้ 3.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล ในการเก็บรวบรวมข้อมูลผู้ศึกษาได้ทำการเก็บข้อมูลโดยดำเนินการตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ 3.5.1 ทดลองทำแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน ข้อสอบอัตนัย จำนวน 3 ข้อ 3.5.2 ใช้วิธีการเรียนการสอนโดยให้มีส่วนร่วนเรื่องระบบปฏิบัติการ จากนั้นเป็นการเฉลย คำตอบ โดย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเฉลย และผู้สอนค่อยๆอธิบายจนกว่าผู้เรียนเข้าใจ จากนั้นผลเรียนสรุปหลังเรียน


14 3.5.3 การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน ข้อสอบอัตนัย จำนวน 3 ข้อ (เป็นข้อสอบคน ละชุดกับ ข้อสอบก่อนเรียน) 3.6 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ผู้จัดทำได้ใช้สถิติเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้ 3.6.1 ค่าความเที่ยงตรงของแบบทดสอบ (มนต์ชัย, 2548) โดยใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังสมการที่ (3.1) (3.1) เมื่อ IOC หมายถึง ดัชนีความสอดคล้องระหว่างวัตถุประสงค์กับแบบทดสอบ ∑ หมายถึง ผลรวมของคะแนนจากผู้เชี่ยวชาญ N หมายถึง จำนวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด ค่าความเที่ยงตรงของแบบทดสอบ ค่าที่ได้จะต้องมากกว่า 0.5 ขึ้นไปแบบทดสอบจึงจะมี คุณภาพ 3.6.2 ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (ล้วนและอังคณา, 2538) ดังสมการที่ (3.2) (3.2) เมื่อ หมายถึง ค่าคะแนนเฉลี่ย ∑ หมายถึง ผลบวกของข้อมูลทุกค่า n หมายถึง จำนวนค่าทั้งหมด 3.6.3 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (ล้วนและอังคณา, 2538) ดังสมการที่ (3.3)


15 (3.3) เมื่อ S.D. หมายถึง ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ∑ หมายถึง ผลบวกของคะแนนทุกค่า N หมายถึง จำนวนค่าทั้งหมด 3.6.4 การหาคุณภาพแบบทดสอบ ประกอบด้วยค่าความยากง่าย (Difficulty: P) ค่าอำนาจ จำแนก (Discrimination: D) และค่าความเชื่อมั่น (Reliability) โดยใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังสมการที่ (3.4) - (3.6) 3.6.4.1 การหาค่าความยากง่าย (มนต์ชัย, 2545) ดังสมการที่ (3.4) (3.4) เมื่อ P หมายถึง ระดับความยากง่าย R หมายถึง จำนวนผู้เรียนที่ตอบถูก N หมายถึง จำนวนผู้เรียนทั้งหมด ขอบเขตของค่า P และความหมายดังต่อไปนี้ 0.81 – 1.00 แบบทดสอบง่ายมาก 0.61 – 0.80 แบบทดสอบค่อนข้างง่าย


16 0.40 – 0.60 แบบทดสอบยากง่ายพอเหมาะ 0.20 – 0.39 แบบทดสอบค่อนข้างยาก 0.00 – 0.19 แบบทดสอบยากมาก 3.6.4.2 การหาค่าอำนาจจำแนก (มนต์ชัย, 2545) ดังสมการที่ (3.5) = −1 2 ⁄ (3.5) เมื่อ D หมายถึง ค่าอำนาจจำแนกของแบบทดสอบแต่ละข้อ Ru หมายถึง จำนวนผู้เรียนที่ทำแบบทดสอบถูกในกลุ่มสูง Rl หมายถึง จำนวนผู้เรียนที่ทำแบบทดสอบถูกในกลุ่มต่ำ N หมายถึง จำนวนผู้เรียนทั้งหมดในกลุ่มสูงหรือกลุ่มต่ำ ขอบเขตของค่า D และความหมายดังต่อไปนี้ 1.00 ถึง 0.20 แบบทดสอบที่จำแนกได้ 0.16 ถึง 0.10 แบบทดสอบที่จำแนกต่ำ 0.09 ถึง 0.00 แบบทดสอบที่จำแนกไม่ได้ - 0.01 ถึง -1.00 แบบทดสอบที่จำแนกกลับ 3.6.4.3 การหาค่าความเชื่อมั่น KR20 ของคูเดอร์ ริชาร์ดสัน (Kuder Richarson) (มนต์ชัย ,2548) ดังสมการที่ (3.6)


17 เมื่อ หมายถึง ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม หมายถึง จำนวนข้อของแบบทดสอบ p หมายถึง สัดส่วนของผู้เรียนที่ตอบถูกในข้อนั้น q หมายถึง สัดส่วนของผู้เรียนที่ทำข้อนั้นผิด 2 หมายถึง คะแนนความแปรปรวนของแบบทดสอบทั้งฉบับ ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบควรมีค่าอยู่ระหว่าง 0 ถึง 1 เท่านั้น 3.5.6 สถิติทดสอบวิลคอกซัน (Wilcoxon-signed rank test) (กัลยา และคณะ, 2561) ดังต่อไปนี้ ดังสมการที่ (3.7) (3.7) เมื่อ ∑ + คือ ผลรวมของอันดับของ ที่มีเครื่องหมายบวก ∑ + คือ ผลรวมของอันดับของ ที่มีเครื่องหมายลบ คือ ค่าของผลรวมของอันดับที่มีค่าน้อยกว่า (ไม่คิดเครื่องหมาย) ระหว่าง อันดับที่มีเครื่องหมายบวกและอันดับที่มีเครื่องหมายลบ เกณฑ์ในการตัดสินค่าที่ได้จากการคำนวณจะปฏิเสธสมมติฐาน 0 เมื่อค่า ที่คำนวณได้ มีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับค่าวิกฤต ที่ได้จากการเปิดตาราง Wilcoxon Matched Pairs Sign-Rank Test กรณีขนาดตัวอย่างมีขนาดใหญ่ การแจกแจงของ +จะเข้าใกล้การแจกแจงปกติซึ่งมีค่าเฉลี่ยและความแปรปรวนดัง สมการที่ (3.9) (3.8) สถิติทดสอบคือ ดังสมการที่ (3.9)


18 (3.9)


บทที่ 4 ผลการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการสอนเสริมเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในรายวิชาคอมพิวเตอร์ สารสนเทศเพื่องานอาชีพ รหัสวิชา 20001-2001 เรื่องระบบปฏิบัติการ สำหรับนักเรียนระดับชั้น ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1/2 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ มีวัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนในการใช้รูปแบบการสอนเสริมรายวิชาคอมพิวเตอร์ สารสนเทศเพื่องานอาชีพ รหัสวิชา 20001-2001เรื่องระบบปฏิบัติการ สำหรับนักเรียนระดับชั้น ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจวิทยาลัยการอาชีพสังขะ 4.1ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนในการใช้รูปแบบการสอนเสริมราย วิชระบบปฏิบัติการ รหัสวิชา 20001-2001 เรื่องระบบปฏิบัติการ สำหรับนักเรียนระดับชั้น ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยการอาชีพสังขะตารางที่ 4.1 ผล การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนในการใช้รูปแบบการสอนเสริมรายวิชา ระบบปฏิบัติการ รหัสวิชา 20001-2001 เรื่องระบบปฏิบัติการสำหรับนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตร วิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยการอาชีพสังขะ คะแนน (N) (X) S.D Z Asymp Sig. (2-tailed) ก่อนเรียน 29 13.55 1.08 -2.71 0.001 หลังเรียน 29 15.31 2.28 *มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จำนวน 29 คน จากคะแนนเต็ม 20 พบว่าผู้เรียนมีคะแนนเฉลี่ยของการทำแบบทดสอบก่อนเรียน เท่ากับ 13.55 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.08 และคะแนนเฉลี่ยของแบบทดสอบหลังเรียนเท่ากับ 15.31ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.28 ค่าสถิติ Z เท่ากับ -2.71และค่า Asymp Sig. (2-tailed) เท่ากับ 0.001 ซึ่งน้อยกว่าค่าที่กำหนดไว้ในสมมติฐาน จากตารางที่ 4.1 พบว่าจากการทำแบบทดสอบวัดผล


21 สัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของผู้เรียน (0.05) จึงสรุปได้ว่าผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05


บทที่ 5 สรุปผลการศึกษา อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ในการใช้รูปแบบการสอนเสริมรายวิชาคอมพิวเตอร์สารสนเทศเพื่องานอาชีพ รหัสวิชา 20001-2001 เรื่อง ระบบปฏิบัติการ สำหรับนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ ธุรกิจวิทยาลัยการอาชีพสังขะ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ใช้วิธีการเจาะจง เป็นนักเรียนระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1/.2 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจวิทยาลัยการอาชีพสังขะ จำนวน 29 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมครั้งนี้ ประกอบไปด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาคอมพิวเตอร์ สารสนเทศเพื่องานอาชีพ รหัสวิชา 20001-2001 เรื่องระบบปฏิบัติการ 2) สื่อประกอบการเรียนการสอน เรื่องระบบปฏิบัติการ 3) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อระบบปฏิบัติการ เป็น ข้อสอบอัตนัย จำนวน 10 ข้อ 4) แบบประเมินผลข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ 5.1 สรุปผลการศึกษา การศึกษาสามารถสรุปผลเพื่อให้เป็นไปตามสมมุติฐานได้ดังต่อไปนี้ 5.1.1 นักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1./2 ที่ใช้รูปแบบการสอนเสริม ใน รายวิชาคอมพิวเตอร์สารสนเทศเพื่องานอาชีพ รหัสวิชา 20001-2001 เรื่องระบบปฏิบัติการ มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการวิจัย การใช้รูปแบบการสอนเสริมรายวิชาคอมพิวเตอร์สารสนเทศเพื่องานอาชีพ รหัสวิชา 20001-2001 เรื่องระบบปฏิบัติการ สำหรับนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยการอาชีพสังขะ พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการแบบทดสอบ หลังเรียนของนักเรียนที่เรียนโดยการสอนซ่อมเสริม ระบบปฏิบัติการสูงกว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจาก การทำแบบทดสอบก่อนเรียนของผู้เรียนที่เรียนโดยการสอนซ่อมเสริม เรื่องระบบปฏิบัติการ ซึ่งเป็นไปตาม สมมติฐาน ที่ตั้งไว้ 5.2 อภิปรายผล


23 จากการศึกษาสามารถอภิปรายผลเพื่อเป็นไปตามสมมุติฐานได้ดังนี้ 5.2.1 นักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1/2 ที่ใช้รูปแบบการสอนเสริม ในรายวิชา คอมพิวเตอร์สารสนเทศเพื่องานอาชีพ รหัสวิชา 20001-2001 เรื่องระบบปฏิบัติการ มีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนการสอนเสริมจะเห็นว่าคะแนนของนักเรียนแตกต่างกันอาจเป็น เพราะมีความรู้เดิมหรือทบทวนบทเรียนมาก่อนเข้าเรียน และเมื่อนักเรียนได้ศึกษาจากชั่วโมงสอนปกติ บางส่วนยังขาดข้อบกพร่องในการทำความเข้าใจ 5.3 ข้อเสนอแนะ จากการศึกษาข้างต้นมีข้อเสนอแนะดังต่อไปนี้ 5.3.1 การจัดการเรียนการสอนผู้สอนต้องคอยให้คำแนะนำ ควบคุมดูแลนักเรียนให้ปฏิบัติ กิจกรรมให้เป็นตามแผนการที่วางไว้


บรรณานุกรม กองบริการการศึกษา มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. (2563). คู่มือการจัดการเรียนการสอนออนไลน์. (ม.ป.ท): (ม.ป.พ) กฤษณา สิกขมาน. (2554). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาการสื่อสารภาษาอังกฤษธุรกิจ โดยการ ใช้การสอนแบบ E-Learning(รายงานผลการวิจัย). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีปทุม. ขัตติยา น้ำยาทอง. (2552). การพัฒนาบทเรียน E-learning วิชาสถิติธุรกิจ(รายงานผลการวิจัย). บุญเกื้อ ควรหาเวช. (2559). การเรียนการสอนออนไลน์(e-Learning). สืบค้นเมื่อ 18 สิงหาคม 2564, จาก.https://www.st.ac.th/av/inno_elearn.htm/ ประภัสสร ชโลธร. (2559). ความสัมพันธ์ระหว่างปฏิสัมพันธ์ของอาจารย์กับนักศึกษาและพฤติกรรมการ เรียน ของนักศึกษา ในระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา. วารสาร ชุมชน วิจัย. 10(2), 7-16 ปุณยภาพัชร อาจหาญ. (2555). ความพึงพอใจของลูกค้าที่มีต่อการให้บริการของธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน)สาขาจันทบุรี. ชลบุรี: มหาวิทยาลัยบูรพา. ประภาพิทย์. (2555). การพัฒนาบทเรียนออนไลน์ วิชาประชามติส าหรับนักศึกษาโปรแกรมวิชานิเทศ ศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี. ธนบุรี: มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี. พรเพ็ญ เพชรสุขศิริ. (2531). การวัดทัศนคติ. นครปฐม: มหาวิทยาลัยมหิดล. พรนภา ปิยะรุจิร. (2558). ผลกระทบของค่าใช้จ่ายครัวเรือนด้านการศึกษา ต่อคุณภาพการศึกษาใน ประเทศไทย. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พิชัย ทองดีเลิศ. (2547). การนำเสนอรูปแบบการเรียนรู้ร่วมกันบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์สำหรับนิสิต ระดับ ปริญญาตรีที่มีรูปแบบการเรียนต่างกัน. กรุงเทพมหานคร : ฐานข้อมูลวิทยานิพนธ์ไทย. พินิจ ทิพย์มณี และวรนุช ปัญจะวัตร. (2552). วิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคในการเรียนของนักศึกษาปีที่1


คณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์กรุงเทพฯ: รายงานการวิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ไพโรจน์ ตีรณธนากุล, ไพบูลย์ เกียรติโกมล, และเสกสรรค์ แย้มพินิจ. (2546). การออกแบบและการผลิต บทเรียนคอมพิวเตอร์การสอน e-Learning. กรุงเทพฯ: ศูนย์สื่อเสริมกรุงเทพ. ภัคจิรา รอดพ้น. (2553). การพัฒนาบทเรียนอีเลิร์นนิงที่มีฐานความช่วยเหลือทางการเรียน เรื่อง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีประวัติศาสตร์สุโขทัย ที่ 1. ปริญญานิพนธ์ปริญญาโท, มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยา วาโยม, และคณะ. (2563). การเรียนการสอนแบบออนไลน์ภายใต้สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส COVID-19: แนวคิดการประยุกต์ใช้จัดการเรียนการสอน. วารสารศูนย์อนามัยที่ 9, 14(34), 285- 298. วิทยา วาโย, และคณะ. (2564). ศึกษา ในช่วงวิกฤต COVID 19. ครุศาสตร์สาร, 15(1), 161-173. วรภัทร วรรังสฤษฎิ์. (2553). ความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อคุณภาพพฤติกรรมและปัจจัย ความสำเร็จการเรียนออนไลน์แอปพลิเคชั่นไลน์การให้บริการของงานทะเบียนสานักปลัดเทศบาล ตาบลเสม็ด. ชลบุรี: มหาวิทยาลัยบูรพา.


Click to View FlipBook Version