The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เรเนซองส์ 1400-1600 ช่วงเวลาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในทวีปยุโรป

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by plaiwut8762pw, 2021-11-11 07:43:37

ยุคเรเนซองส์

เรเนซองส์ 1400-1600 ช่วงเวลาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในทวีปยุโรป

เ ร เ น ซ อ ง ส์ 1 4 0 0 - 1 6 0 0 ช่ ว ง เ ว ล า ที่ เ กิ ด ก า ร เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง
ท า ง วั ฒ น ธ ร ร ม ใ น ท วี ป ยุ โ ร ป

Renaissance

1400-1600

โดย นางสาวณัฐณิชา ปลีน้อย ม.5/2 เลขที่21

ประวัติศาสตร์สากล
ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย

กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม

ยุคเรเนสซองส์ (Renaissance ) เป็นยุคที่
ต่อจากยุคกลาง หลังจากที่บ้านเมืองในทวีปยุโรปตก
อยู่ในความทรุดโทรม ขาดการทะนุบำรุงรักษามาเป็น
ระยะเวลานานในยุคเรเนสซองส์ชาวยุโรปเริ่มให้ความ
สนใจหันกลับมาฟื้นฟูพัฒนาบ้านเมืองใหม่เพื่อให้
มีความรุ่งเรืองเหมือนในยุคกรีกและโรมันได้มีการนำ
เอาศิลปะวิทยาที่ดีในอดีตกลับมาใช้พัฒนาใหม่
จนทำให้มีการเรียกชื่อยุคเรเนสซองส์อีกชื่อหนึ่งว่า
“ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยา” ซึ่งมีความหมายว่า การเกิด
ใหม่ (Rebirth) ศูนย์กลางยุคเรเนซองส์คืออิตาลี

ผู้คนในยุคเรเนสซองส์เชื่อในเรื่องเหตุผลมาก
ขึ้นแสวงหาข้อเท็จจริงเลิกเชื่อผู้นำศาสนาจักรอย่าง
งมงายแสวงหาความสุขความสวยความงาม ความโอ่อ่า
ยอมรับความจริงของชีวิตกับธรรมชาติ สนใจเรื่อง
กายวิภาคมิติสัมพันธ์การจัดองค์ประกอบ
สิ่งต่างๆเหล่านี้ได้สะท้อนออกมาทางงานสถาปัตยกรรม
สิ่งก่อสร้าง ผลงานทางศิลปะ ผลงานทางดนตรี
วรรณกรรม และการค้นพบทางวิทยาศาสตร์
ผู้มีฐานะทางสังคม พ่อค้า ขุนนาง เริ่มให้ความสนใจ
กับผลงานทางศิลปะดนตรีมากขึ้น

สมัยฟื้ นฟูศิลปวิทยา

รูปสลักเดวิดเมืองฟลอเรนซ์ประเทศอิตาลี
หนึ่งในประติมากรรมชิ้นเอกของยุคนี้

สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา(ฝรั่งเศส: Renaissance; อิตาลี: Rinascimento; แปลว่า
เกิดใหม่ หรือคืนชีพ) หรือ เรเนสซองส์ เป็นช่วงเวลาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมใน
ทวีปยุโรป ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมยุคใหม่ สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาเป็นการเคลื่อนไหวทาง
วัฒนธรรมที่กินเวลาตั้งแต่ราวคริสต์ศตวรรษที่ 14 ถึง 17 ประกอบด้วยการเปลี่ยนแปลงทาง
วรรณกรรม วิทยาศาสตร์ ศิลปะ ศาสนาและการเมือง การฟื้นฟูการศึกษาโดยอาศัยผลงาน
คลาสสิก การพัฒนาจิตรกรรม และการปฏิรูปการศึกษาอย่างค่อยเป็นค่อยไปซึ่งการเปลี่ยนแปลง
ดังกล่าวได้อาศัยพลังของนักมนุษยนิยมและปัจเจกชนนิยมเป็นเครื่องจูงใจเป็นที่ยอมรับกัน
โดยทั่วไปว่าสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาเกิดขึ้นในฟลอเรนซ์แคว้นทัสกานีในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14

หลังจากสงครามครูเสดอันยาวนานร่วม 300 ปีสิ้นสุดลงยุโรปก็เข้าสู่สมัยฟื้นฟู
ศิลปวิทยา โดยในช่วงแรกความรู้ทางศิลปะและวิทยาการของกรีกและโรมันได้ถูกนำเข้ามา
ผ่านเอกสารและหนังสือที่นักวิชาการมุสลิมในโลกอาหรับได้แปลไว้ เช่น ปรัชญาของ
อริสโตเติล และคณิตศาสตร์ของกรีก ต่อมาการล่มสลายของนครคอนสแตนติโนเปิล
ศูนย์กลางแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ในช่วงกลางศตวรรษที่ 15 จากการรุกรานของสุลต่าน
เมห์เหม็ดที่ 2 แห่งจักรวรรดิออตโตมัน ทำให้บรรดาพระและผู้มีวิชาความรู้ในเมืองหอบ
ตำราสำคัญที่คัดลอกด้วยมือ (manuscripts) ต่างๆอันเป็นความรู้และสมบัติ
ทางวัฒนธรรมที่ตกทอดมาจากอารยธรรมกรีก และโรมัน ออกมาเผยแพร่เพื่อต่อสังคม
ยุโรปในวงกว้าง และเนื่องจากในขณะนั้นเทคโนโลยีการพิมพ์ และการพิมพ์แบบตัวเรียง
(moveable types) เพิ่งได้รับการประดิษฐ์ขึ้นโดยกูเทนเบิร์กในยุโรปความรู้ศิลปวิทยา
การในสมัยคลาสสิคจึงแพร่กระจายไปได้เร็วมากทำให้ยุโรปได้นำศิลปวิทยาการที่ได้รับการ
เผยแพร่ใหม่เหล่านี้มาสอนในมหาวิทยาลัยตลอดจนนำมาปรับปรุงดัดแปลงใหม่
ทำให้ยุโรปมีความเจริญก้าวหน้าในศาสตร์ทุก ๆ ด้าน อาทิเช่น
1.ศิลปศาสตร์ ศิลปินและผลงานที่มีชื่อเสียง เช่น เลโอนาร์โด ดา วินชี ผู้วาดรูปโมนาลิซา
มีเกลันเจโล ผู้ปั้นรูปปั้นเดวิด ซึ่งเชื่อว่าเป็นชายที่มีสัดส่วนสมบูรณ์ที่สุดในโลก ราฟาเอลผู้
กำกับการสร้างและตกแต่งมหาวิหารนักบุญเปโตร เป็นต้น
2.เทคโนโลยี เทคโนโลยีที่สำคัญคือ เทคโนโลยีการต่อเรือ โดยชาติที่เป็นผู้ริเริ่ม
คือ โปรตุเกสและสเปน ซึ่งทำให้การติดต่อค้าขายกับเอเชียสะดวกขึ้น
3.วิทยาศาสตร์ แนวคิดที่สำคัญ ได้แก่ การเล่นแร่แปรธาตุ โดยพาราเซลซัส, แนวคิดระบบ
ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง โดยนิโคเลาส์ โคเปอร์นิคัส และความรู้ด้านการแพทย์โดย
แอนเดรียส เวซาเลียส และ วิลเลียม ฮาร์วีย์น

ศิลปะ
เรเนสซองส์

ศิลปะเรเนสซองส์ (พ.ศ. 1940 - 2140) คำว่า "เรเนสซองส์" หมายถึง การเกิดใหม่
ซึ่งเป็นการระลึกถึงศิลปะกรีกและโรมันในอดีต ซึ่งเคยรุ่งเรืองให้กลับมาอีก
ศิลปะเรอแนซ็องส์ไม่ใช่การลอกเลียนแบบจากอดีต แต่เป็นยุคสมัยแห่งการเน้นความสำคัญของ
ลักษณะเฉพาะบุคคล มีความสนใจลักษณะภายนอกของมนุษย์ และ ธรรมชาติ เป็นแบบ
ที่มีเหตุผลทางศีลธรรม ก่อให้เกิดความกระตือรือร้นในการค้นหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และ
วิทยาการแขนงต่าง ๆ ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น "สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา" โดยมีรากฐานมาจากประเทศ
อิตาลีและแผ่ขยายไปยังดินแดนต่างๆในยุโรป

ในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา คริสตจักรยังคงเป็นผู้อุปถัมภ์ที่สำคัญของเหล่าศิลปินนอกจากนี้ยังมี
พวกขุนนาง พ่อค้าผู้ร่ำรวย ซึ่งเป็นชนชั้นสูงก็ได้ว่าจ้าง และอุปถัมภ์เหล่าศิลปินต่างๆด้วยตระกูล
ที่มีชื่อเสียงเหล่านั้น ได้แก่ ตระกูลวิสคอนตี และสฟอร์ซา ในนครมิลาน ตระกูลกอนซากาในเมือง
มานตูอา และตระกูลเมดีชีในนครฟลอเรนซ์ การอุปถัมภ์ศิลปินนี้มีผลในการกระตุ้นให้ศิลปินใฝ่
หาชื่อเสียง และความสำเร็จมาสู่ชีวิตมากขึ้นผลงานของศิลปินที่มีทั้ง จิตรกรรม ประติมากรรม
และสถาปัตยกรรม ทำให้ชื่อเสียงของศิลปินหลายคนป็นที่รู้จักทั่วโลกตลอดกาล เช่น ลีโอนาร์โด
ดา วินชี มีเกลันเจโล ราฟาเอล สถานภาพทางสังคมของศิลปินเป็นที่ยอมรับกันอย่างสูงใน
วงสังคม เกิดสำนักศิลปะเพื่อฝึกฝนช่างฝีมือ และเกิดมีศิลปินระดับอัจฉริยะขึ้นมาอย่างมากมาย
และในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยานี้เองที่มีการพัฒนาการพิมพ์ขึ้นในประเทศเยอรมนีโดย โยฮันน์ กูเทน
แบร์ก เป็นผู้ผลิตนวัตกรรมชิ้นนี้ขึ้นมาราวพุทธศตวรรษที่ 20 ทำให้ศิลปะการพิมพ์ได้เริ่มมีการ
สร้างสรรค์ขึ้นอย่างจริงจัง นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาและจนถึงปัจจุบัน

การฟื้ นฟูศิลปวิทยาการ

การแต่งกายยุคเรเนสซองส์ การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) เปรียบ
เสมือนยุคเริ่มต้นของการแสวงหาสิทธิเสรีภาพและความคิด
อันไร้ขอบเขตของมนุษย์ ของมนุษย์ที่เคยถูกจำกัดโดยกฎ
เกณฑ์และข้อบังคับของคริสต์ศาสนา โดยถือว่าเป็นจุดเชื่อม
ต่อของประวัติศาสตร์สมัยกลางและสมัยใหม่

ยุคเรเนสซองส์ (Renaissance )อยู่ในช่วงศตวรรษ
ที่ 14-15 เป็นยุคฟุ่มเฟือยที่สุด หรูหราที่สุด กามรมณ์ที่สุด
เป็นชื่อช่วงเวลาหรือยุคแห่งการฟื้นฟูศิลปวิทยาการในยุโรป
หลังจากที่ได้ผ่านยุคกลางหรือยุคมืด (Medieval Age )
ซึ่งกินระยะเวลายาวนานกว่าหนึ่งพันปี ตั้งแต่ประมาณ
ศตวรรษที่ 5 ถึง 15

•การรุ่งเรืองและล่มสลายของอาณาจักรโรมัน
•การเสื่อมของโรมและการเติบโตของคอนสแตนติโนเปิล
•การแผ่ขยายอำนาจของอาณาจักรออตโตมัน (มุสลิม – เติร์ก)
•สงครามครูเสดระหว่างคริสต์และมุสลิมเพื่อแย่งชิงแผ่นดิน ศักดิ์สิทธิ์
•สงครามหนึ่งร้อยปีระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส
•นักบุญ Joan of Arc, ความศรัทธาในศาสนาอย่างแรงกล้า

อำนาจที่มากขึ้นของฝ่ายศาสนจักร เรอเนสซองส์ จึงเหมือนกับการกลับมาเกิด
ใหม่ของศิลปะ และหรือ ยุคแห่งการฟื้นฟูศิลปะวิทยา การในยุโรปชาวอิตาลีเป็นผู้ริเริ่ม
พัฒนาศิลปะการประดิษฐ์ดอกไม้ ไฟขึ้นดอกไม้ไฟรูปแบบใหม่ ๆ ถือเป็นที่เกิดขึ้นในยุค
นี้โดยมีการดัดแปลงเพิ่มโลหะกับถ่านไปในส่วนผสมที่ ใช้ทำจรวดซึ่งเมื่อปล่อยขึ้นฟ้าก็
จะเปล่งประกายแสง

สมัยศตวรรษ
ที่ 15

ประชาชนทั่วไปได้หลุดพ้นจากการปกครองระบอบศักดินา (Feudalism)
มนุษยนิยม (Humanism) ได้กลายเป็นลัทธิสำคัญทางปรัชญา ศิลปินผู้มีชื่อเสียง
คือ ลอเร็นโซ กิแบร์ตี โดนาเต็ลโล เลโอนาร์โด ดา วินชิ ฯลฯ เพลงมักจะมี 3 แนว
โดยแนวบนสุดจะมีลักษณะน่าสนใจกว่าแนวอื่น ๆ เพลงที่ประกอบด้วยเสียง 4 แนว
ในลักษณะของโซปราโน อัลโต เทเนอร์ เบส เริ่มนิยมประพันธ์กันซึ่งเป็นรากฐานของ
การประสานเสียง 4 แนว ในสมัยต่อ ๆ มา เพลงโบสถ์จำพวก
แมสซึ่งพัฒนามาจากแชนท์มีการประพันธ์กันเช่นเดียวกับในสมัยกลาง เพลงโมเต็ตยังมี
รูปแบบคล้ายสมัยศิลป์ใหม่ ในระยะนี้เพลงคฤหัสถ์เริ่มมีการสอดประสานเกิดขึ้น คือ
เพลงประเภทซังซอง แบบสอดประสาน (Polyphonic chanson) ซึ่งมีแนวทำนอง
เด่น 1 แนว และมีแนวอื่นสอดประสานแบบล้อกัน (Imitative style) ซึ่งมีแนวโน้ม
เป็นลักษณะของการใส่เสียงประสาน (Homophony)

ลักษณะล้อกันแบบนี้เป็นลักษณะสำคัญของเพลงในสมัยนี้ นอกจากนี้มีการนำ
รูปแบบของโมเต็ตมาประพันธ์เป็นเพลงแมสและการนำ หลักของแคนนอนมาใช้
ในเพลงแมสด้วย

สมัย

ศตวรรษ

ที่ 16

มนุษยนิยมยังคงเป็นลัทธิสำคัญทางปรัชญา การปฏิรูปทางศาสนาและการต่อต้านการ
ปฏิรูปทางศาสนาของพวกคาทอลิก เป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่งของคริสต์ศาสนาเพลงร้อง แบบ
สอดประสานทำนองพัฒนาจนมีความสมบูรณ์แบบเพลงร้องยังคงเป็นลัก ษณะเด่น แต่เพลง
บรรเลงก็เริ่มนิยมกันมากขึ้น เพลงโบสถ์ยังมีอิทธิพลจากเพลงโบสถ์ของโรมัน แต่ก็มีเพลง
โบสถ์ของนิกายโปรแตสแตนท์เกิดขึ้น การประสานเสียงเริ่มมีหลักเกณฑ์มากขึ้น การใช้การ
ประสานเสียงสลับกับการล้อกันของทำนองเป็นลักษณะหนึ่งข องเพลงในสมัยนี้ การแต่ง
เพลงแมสและโมเต็ต นำหลักของการล้อกันของทำนองมาใช้แต่เป็นแบบฟิวก์ (Fugue)
ซึ่งพัฒนามาจากแคนนอน คือ การล้อของทำนองที่มีการแบ่งเป็นส่วน ๆ ที่สลับซับซ้อน
มีหลักเกณฑ์มากขึ้นในสมัยนี้มีการปฏิวัติทางดนตรีเกิดขึ้นในเยอ รมัน ซึ่งเป็นเรื่องของความ
ขัดแย้ง

ทางศาสนากับพวกโรมันแคธอลิก จึงมีการแต่งเพลงขึ้นมาใหม่โดยใช้กฏเกณฑ์ใหม่
ด้วยเพลงที่เกิดขึ น้ มาใหม่เป็นเพลงสวดที่เรียกว่า “โคราล” (Chorale) ซึ่งเป็นเพลงที่นำ
มาจากแชนท์แต่ใส่อัตราจังหวะเข้าไป นอกจากนี้ยังเป็นเพลงที่นำมาจากเพลงคฤหัสถ์โดย
ใส่เนื้อเป็นเรื่องศาสนาและเป็นเพลงที่แต่งขึ้นใหม่ด้วย เพลงในสมัยนี้เริ่มมีอัตราจังหวะ
แน่นอน เพลงคฤหัสถ์มีการพัฒนาทั้งใช้ผู้ร้องและการบรรเลง กล่าวได้ว่าดนตรีในศตวรรษนี้
มีรูปแบบ ใหม่ ๆ เกิดขึ้นและหลักการต่าง ๆ มีแบบแผนมากขึ้น

ในสมัยนี้มนุษย์เริ่มเห็นความสำคัญของดนตรีมาก โดยถือว่าดนตรีเป็นส่วนหนึ่ง
ของชีวิต นอกจากจะให้ดนตรีในศาสนาสืบเนื่องมาจากสมัยกลาง (Middle Ages) แล้วยัง
ต้องการดนตรีของคฤหัสถ์ (Secular Music) เพื่อพักผ่อนในยามว่าง เพราะฉะนั้น
ในสมัยนี้ดนตรีของคฤหัสถ์ (Secular Music) และดนตรีศาสนา (Sacred Music)
มีความสำคัญเท่ากัน

ด น ต รีใ น ยุ ค เ ร เ น ส ซ อ ง ส์

สมัยเรเนสซองส์ หรือ สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา เริ่มประมาณ ค.ศ. 1400 – 1600
เพลงศาสนายังมีความสำคัญอยู่เช่นเดิม เพลงสำหรับประชาชนทั่วไป เพื่อให้ความบันเทิง
ความสนุกสนาน ก็เกิดขึ้นด้วย การประสานเสียงได้รับการพัฒนาให้กลมกลืนขึ้น เพลงศาสนา
เป็นรากฐานของทฤษฎีการประสานเสียง เพลงในยุคนี้แบ่งเป็นสองแบบ ส่วนใหญ่จะเป็น
แบบที่เรียกว่า อิมมิเททีฟโพลีโฟนี(Imitative Polyphony) คือ มีหลายแนว และแต่ละ
แนวจะเริ่มไม่พร้อมกันทุกแนวเสียงมีความสำคัญแบบที่สองเรียกว่า โฮโมโฟนี
(Homophony) คือ มีหลายแนวเสียงและบรรเลงไปพร้อมกัน มีเพียงแนวเสียงเดียวที่
เด่น แนวเสียงอื่นๆ เป็นเพียงเสียงประกอบ เพลงในสมัยนี้ ยังไม่มีการแบ่งจังหวะที่แน่นอน
คือ ยังไม่มีการแบ่งห้องออกเป็น 3/4 หรือ 4/4 เพลงส่วนใหญ่ก็ยังเกี่ยวข้องกับคริสต์ศาสนา
อยู่เพลงประกอบขั้นตอนต่างๆ ของพิธีทางศาสนาที่สำคัญ คือ เพลงแมส (Mass) และโม
เต็ท (Motet) คำร้องเป็นภาษาละติน เพลงที่ไม่ใช่เพลงศาสนาก็เริ่มนิยมกันมากขึ้น ได้แก่
เพลงประเภท แมดริกัล (Madrigal) ซึ่งมีเนื้อร้องเกี่ยวกับความรัก หรือยกย่องบุคคล
สำคัญ และมักจะมีจังหวะสนุกสนาน นอกจากนี้ยังใช้ภาษาประจำชาติของแต่ละชาติ

ดนตรีศาสนา(Sacred Music)

ศาสนจักรยังคงมีบทบาทด้านการอุปถัมภ์งานศิลปะดนตรี
เหมือนเดิม นอกจากนั้นยังมีชนชั้นกลาง ขุนนาง พ่อค้าที่มีฐานะ
ได้เข้ามามีส่วนอุปถัมภ์งานศิลปะดนตรีเพิ่มขึ้นด้วย

.1) อิมมิเททีฟโพลีโฟนี (Imitative Polyphony) คือ
เพลงหลายแนวเสียง และจะบรรเลงไล่ล้อกันทุกแนวเสียง
มีความสำคัญเท่าๆกัน

2) โฮโมโฟนี (Homophony) คือเพลงหลายแนวเสียง
แต่จะมีเพียงแนวเสียงเดียวที่เด่นเป็นทำนองเพลง
แนวเสียงอื่นๆเป็นเพียงส่วนประกอบ

เพลงร้อง(Vocal Music)

แมส(Mass) โมเต็ม(Motet)

เพลงร้อง (Vocal Music) ในศาสนาคริสต์ที่สำคัญ
มี 2 ชนิด คือ
1. แมส(Mass) คือเพลงขับร้องหลายแนวเสียงในนิกายโรมัน
คาธอลิกแมสในยุคแรกเป็นบทเพลงขับร้องเพียงอย่างเดียว
ไม่มีดนตรีบรรเลงประกอบต่อมาเพิ่มดนตรีบรรเลงประกอบใน
ศตวรรษที่ 17
2. โมเต็ท (Motet) คือเพลงขับร้องที่ไม่มีดนตรีประกอบ ใช้
ทำนองจากเพลงชานท์ มาเป็นแนวเสียงต่ำ แล้วเพิ่มแนวเสีย
งอื่นๆตามต้องการ ซึ่งมีจังหวะของทำนองรวดเร็วกว่าแนวเสียง
ต่ำ คำร้องใช้ภาษาละติน

เพลงบรรเลง
(Instrumental Music)

เพลงบรรเลง (Instrumental Music) เริ่มมีบทบาทมากขึ้น
ในยุคเรเนสซองส์ เครื่องดนตรีที่นิยมนำมาใช้ผสมวงคือ ลูท (lute)
ออร์แกนเคลื่อนย้ายได้ (Portative Organ) ฮาร์พซิ
คอร์ด(harpsichord) เวอร์จินัล (virginal) ขลุ่ยรีคอร์ดเดอร์
(recorder) ซอวิโอล (Viol)ปี่ชอม (Shawm) ครัมฮอร์น
(Crumhorn) เซอร์เพนต์(Serpent) ซัลเทอรี่ (psaltery)ปี่ถุง
(bagpipe) แตรซัคบัต (suckbut) เครื่องประกอบจังหวะต่างๆ

ยุคเรเนสซองส์ เริ่มนำเครื่องดนตรีที่มีระดับเสียงต่ำ
(Bass Instrument) มาใช้ผสมวงด้วย เครื่องดนตรีหนึ่งชนิดจะสร้าง
ให้มีหลายขนาด เพื่อต้องการความแตกต่างของระดับเสียงสูง กลาง ต่ำ
มาผสมวงดนตรีบรรเลงเพื่อประกอบการเต้นรำได้รับความนิยมมาก
ได้รับการพัฒนาเป็นมาตรฐาน

ดนตรีคฤหัสถ์
(Secular Music)

ดนตรีคฤหัสถ์ (Secular Music) หรือ ดนตรีฆราวาส
หรือ ดนตรีชาวบ้าน เป็นดนตรีที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาก็ได้
รับการพัฒนาให้มีความทัดเทียมกับดนตรีศาสนาในยุคเรเนส
ซองส์ เรียกเพลงชนิดนี้ว่า แมดริกัล (Madrigal) มักจะ
เป็นเพลงที่สนุกสนาน ใช้ภาษาประจำชาติของตนเอง
เนื้อร้องจะเกี่ยวข้องกับความรัก หรือกล่าวยกย่องบุคคล
สำคัญ

สรุป ลักษณะบทเพลงในสมัยนี้

1. บทร้องใช้โพลีโฟนี (Polyphony) ส่วนใหญ่ใช้ 3-4 แนว
ในศตวรรษที่ 16 ได้ชื่อว่า
“The Golden Age of Polyphony”
2. มีการพัฒนา Rhythm ในแบบ Duple time และ Triple
time ขึ้น
3. การประสานเสียงใช้คู่ 3 ตลอด และเป็นสมัยสุดท้ายที่มีรูป
แบบของขับร้องและบรรเลงเหมือนกัน

เครื่องดนตรี

เครื่องดนตรีในสมัยนี้ที่นิยมใช้กันได้แก่ เครื่องสายที่บรรเลง
ด้วยการใช้คันชัก ได้แก่ ซอวิโอล (Viols) ขนาดต่าง ๆ ซอรีเบค
(Rebec) ซึ่งตัวซอมีทรวดทรงคล้ายลูกแพร์เป็นเครื่องสายที่ใช้
คันชัก ลูท เวอร์จินัล คลาวิคอร์ด ขลุ่ยรีคอร์เดอร์ ปี่ชอม ปี่คอร์
เน็ต แตรทรัมเปต และแตรทรอมโบนโบราณ เป็นต้น

ขลุ่ยรีคอร์เดอร์
แตรทรัมเปต

ขลุ่ยรีคอร์เดอร์

ลูท

คลาวิคอร์ด

เวอร์จินัล

เลโอนาร์โด ดาวินชี

เลโอนาร์โด ดาวินชี (Leonardo da Vinci)
บุคคลผู้มีชื่อเสียงในยุคเรเนสซองส์ มีอัจฉริยะทั้งในด้าน
วิทยาศาสตร์ แพทย์ กวี ดนตรี จิตรกรรม ประติมากรรม
และสถาปัตยกรรม ผลงานที่มีชื่อเสียงของดาวินชี ได้แก่
ภาพพระกระยาหารมื้อสุดท้าย (The last Supper)
ภาพพระแม่มารีแห่งภูผา (The Virgin of the Rock)
ภาพพระนางพรหมจารีและพระกุมารกับนักบุญอันนา
(The Virgin and St. Anne) และภาพหญิงสาวผู้
มีรอยยิ้มอันลึกลับ (mystic smile) ที่โด่งดังไปทั่วโลก
คือ ภาพโมนาลิซา (Mona Lisa)

ภาพโมนาลิซ่า
(Mona Lisa)

ด้านดนตรีนั้น เลโอนาร์โด ดาวินชี มีความสามารถบรรเลงเครื่องดนตรีได้
คือ Lyre และ Lira da braccia คือเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายที่มี
ลักษณะคล้ายกับเชลโลในปัจจุบัน ประพันธ์เพลงทำนองสั้นๆไว้หลายทำนอง
นอกจากนั้นก็เป็นเรื่องการออกแบบประดิษฐ์เครื่องดนตรีต่างๆ เฃ่นคิดระบบกลไกล
ของการขึ้นหนังกลองให้สะดวก ง่ายขึ้น คิดระบบกลไกของเครื่องดนตรี "hurdy-
gurdy" คิดระบบกลไกของเครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดที่ใช้ในปัจจุบัน รวมทั้ง
ฟลุ้ตชนิดต่างๆ และ viola organista ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่มีลักษณะคล้ายกับ
ออร์แกน เกิดเสียงโดยใช้สายเหมือนกับวิโอลา หรือ ไวโอลิน ไม่ต้องใช้คันชักสีที่
สาย ใช้ระบบกลไกโดยการกดที่คีย์บอร์ด เครื่องดนตรีนี้ได้ออกแบบไว้อย่างเดียว
แต่ยังไม่เคยสร้างมาใช้เลย

แ น ว คิ ด เ รื่ อ ง ม นุ ษ ย์

นิ ย ม ที่ เ ป ลี่ ย น ไ ป

วัฒนธรรมของยุคโบราณเช่นกรีก รวมถึงทัศนะมนุษย์
นิยมซึ่งต่างจากในยุคกลางที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางของชีวิต
คือ การกลับมาเน้นเรื่องของปัจเจกนิยม มนุษย์ไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อ
พระเจ้าเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงสามารถแสวงหาความสุขให้กับชีวิต
บนโลกนี้ได้

การมองโลก แบบนี้ทำให้เกิดเสรีภาพใหม่ในการพัฒนา
ตนเอง มีการพัฒนาการในเรื่องของศิลปะและสถาปัตยกรรม,
วรรณคดี, ดนตรี, ปรัชญา, และวิทยาศาสตร์

การปฏิรูปคริสตศาสนา

มาร์ติน ลูเธอร์

มีการท้าทายอำนาจของศาสนจักรเพราะเริ่มมีทัศนะใหม่ที่ว่าความ
สัมพันธ์ ระหว่าง ปัจเจกกับพระเจ้า กลับมีความสำคัญมากกว่าความ
สัมพันธ์ระหว่าง มนุษย์กับคริสตจักร ในฐานะที่เป็นองค์กร บุคคลสำคัญ
ในเรื่องนี้คือ มาร์ติน ลูเธอร์เมื่อมาร์ติน ลูเธอร์ สงสัยในศาสนจักร
จากการที่องค์สันตะปาปา ขายใบไถ่บาปเพื่อนำเงินไปสร้างมหาวิหาร
เซนต์ปีเตอร์ ที่โรม นั่นหมายความว่า “ใครมีเงินก็เข้าสู่สวรรค์ได้”
เขาจึงประท้วง (Protest) อันเป็นที่มาของนิกายโปรเตสแตนต์

การปฏิวัติ
วิทยาศาสตร์
(เครื่องพิมพ์)

โยฮันน์ กูเทนแบร์ก

การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ (เครื่องพิมพ์)มีการพัฒนาการพิมพ์ขึ้นใน
ประเทศเยอรมนีโดย โยฮันน์ กูเทนแบร์ก เป็นผู้ผลิตนวัตกรรมเครื่องพิมพ์ขึ้นมา
เมื่อ ค.ศ.1447 ทำให้เกิดการเผยแพร่ความรู้ แทนการเขียนได้อย่างกว้างขวาง
เมื่อข่าวสารสามารถแพร่หลาย ทำให้มนุษย์เริ่มเื่ชื่อมั่นในสติปัญญา และแสวงหา
ความรู้เพิ่มเติมได้อย่างไร้ขีดจำกัด การพิมพ์ได้เริ่มมีการสร้างสรรค์ขึ้นอย่าง
จริงจัง นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

การปฏิวัติ
อุตสาหกรรม

•เริ่มแรกที่อังกฤษ ราวคริสต์ศตวรรษที่ 18 ได้แก่เกษตรกรรม โดยการปิดล้อมรั้วที่นา
กำเนิดธนาคารกลาง เป็นแห่งแรก
•การผลิตเครื่องปั่นด้าย สปินนิงเจนนี่ ทำให้ทุ่นเวลาการผลิต มีผลให้ราคาผ้าฝ้ายลดลง
อุตสาหกรรมการทอผ้าขยายตัว
•– เจมส์ วัตต์ ค.ศ.1769 ผลิตเครื่องจักรไอน้ำ มาใช้งานด้วย ทำให้อุตสาหกรรมถลุงเหล็ก
ก้าวหน้าไปอย่างมาก
•จุดเปลี่ยนการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป คือ เมื่ออังกฤษผลิตรถไฟขึ้นเป็นสายแรก
และกระจายไปทั่วประเทศ ทำให้การขนส่งสินค้าสะดวกขึ้น นำความเจริญจากเมืองสู่
ชนบท ทำให้ประเทศอื่น ๆ ในยุโรปตื่นตัวกันมาก และหันมาสนใจอุตสาหกรรมอย่างจริงจัง

การปฏิวัติการเมือง-การปกครอง

การปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ.1789

การปฏิวัติฝรั่งเศสเป็นการปฏิวัติใหญ่ที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 18 ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการ
เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าทางการเมืองทั่วยุโรป โดยมีสาเหตุทางด้านการคลังเป็นพื้นฐาน เป็นการ
ปฏิวัติโดยกลุ่มชนชั้นกลางที่ต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองโดยการล้มล้าง การปกครอง
ในระบอบเก่า (Ancient Regime) หรือระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolutism) มาสู่
อำนาจอธิปไตยของประชาชน ซึ่งเกิดจากสาเหตุดังนี้
•ฝรั่งเศส ตั้งแต่พระเจ้าหลุยส์ 14 แห่งราชวงคศ์บูร์บอง (Bourbon) ใช้อำนาจเผด็จการ
และมีความเป็นอยู่อย่างหรูหราฟุ่มเฟือย
•แนวความคิดของนักปราชญ์อย่าง มองเตสกิเออร์ วอลแตร์ รุสโซ มีอิทธิพลต่อความคิดเส
รินิยมชาวฝรั่งเศส
•อังกฤษ ซึ่งกำลังก้าวกระโดดในเรื่องประชาธิปไตย และอุตสาหกรรม เป็นแรงบันดาลใจ
•อเมริกัน ปฏิวัติเป็นอิสระจากอังกฤษ ค.ศ.1776 ทำให้ลัทธิเสรีนิยมเป็นที่ยกย่องไปทั่ว

ภาพ
การทลาย
ป้ อ ม บ า ส ตี ย์

การล่มสลายของคุมบาสตีย์ สถานที่คุมขังนักโทษทางการเมือง เป็นจุดกำเนิดแห่ง
การปฏิวัติ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 กับ พระนางมารี อองตัวเนตถูกจับใส่กิโยตินประหาร ท่ามกลางฝูงชน
เป็นยุคแห่งความหวาดกลัวนโปเลียน นายทหารปืนใหญ่หนุ่มจากคอร์ซิกาเกาะทางใต้ของฝรั่งเศส
รับช่วงในงานปฏิวัติจนมีชื่อเสียงโด่งดัง หลังจากยุคแห่งความหวาดกลัวสงบลงเขาถูกส่งไปเป็นนาย
พลที่อิตาลีเพื่อขยายอำนาจของฝรั่งเศส นโปเลียนไม่ทำให้ชาวฝรั่งเศส
ผิดหวังบุกยึดขยายอาณาเขตของฝรั่งเศสไปทั่วยุโรป มีอำนาจจนตั้งตัวเองขึ้นเป็นจักรพรรดิ
ประเทศรอบข้างต่างพากันหวาดกลัวรวมตัวกันต้านทานอำนาจของเขาและแล้วนโปเลียนก็พลาดท่า
เมื่อบุกเข้าไปในรัสเซียกลางฤดูหนาว เมื่อไปถึงมอสโกกลับ พบว่าเมืองถูกเผาและทอดทิ้งไปเสีย
แล้ว นโปเลียนไม่มีทางเลือกต้องถอยทัพกลับสถานเดียว กองทัพฝรั่งเศสถูกโจมตีด้านหลังและ
อดอยากจนกองทัพแตกสลาย นโปเลียนถูกเนรเทศไปอยู่บนเกาะเอลบา แต่ยังไม่สิ้นหวัง ประชาชน
ยังรักและเชื่อว่านโปเลียนสามารถทำให้ประเทศที่ตกต่ำจากการพ่าย สงครามกลับมาเป็นเหมือนเดิม
ได้อีกครั้ง นโปเลียนจึงนั่งเรือกลับฝรั่งเศส

ครั้งนี้ฝ่ายพันธมิตรไม่พลาดอีกแล้ว ไม่ยอมปล่อยให้นโปเลียนกลับขึ้นมามีอำนาจ
ได้อีก พวกเขาส่งกำลังบุกฝรั่งเศส นโปเลียนต้องนำทัพไปรับที่วอเตอร์ลู และก็ต้องพ่ายแพ้
เป็นครั้งแรกที่นั่น เมื่อถูกเนรเทศอีกครั้งก็ไม่มีโอกาสกลับมาที่ฝรั่งเศสอีกเลย

การปฏิวัติอเมริกา

อั บ ร า ฮั ม ลิ น ค อ ล์ น

การปฏิวัติอเมริกาเรียกว่า “สงครามประกาศอิสระภาพ”
ค.ศ.1776 ชาวอาณานิคมร่วมกันทำสงครามปลกแอกจากอังกฤษ ได้รับ
ชัยชนะ และมีการปกครองใหม่แบบประธานาธิบดีเป็นประมุข โดย
จอร์จ วอชิงตันการปฏิวัติอเมริกา เรียกว่า “สงครามประกาศอิสระ
ภาพ” ค.ศ.1776 ชาวอาณานิคมร่วมกันทำสงครามปลกแอกจากอังกฤษ
ได้รับชัยชนะ และมีการปกครองใหม่แบบประธานาธิบดีเป็นประมุข
โดย จอร์จ วอชิงตันอับราฮัม ลินคอล์น เป็นประธานาธิบดีที่ยกเลิก
ระบบทาส และให้ความเสมอภาคต่อชนผิวดำ

ศิลปะกรรม

วัตถุประสงค์ของการสร้างผลงานจะต่างกับยุคกลางที่เน้นในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ความ
เป็นศูนย์กลางของชีวิต มาเป็นงานที่เพื่อตอบสนองต่ออารมณ์และความรู้สึกของศิลปินและ
ผู้ชมงานมาก ขึ้นและขยายขอบเขตออกไปอย่างกว้างขวางทั้งประติมากรรม จิตรกรรม และ
สถาปัตยกรรม การใช้วิธีและรูปแบบใหม่ในการวาดภาพ เช่น เรื่องของ perspective, เน้น
กายวิภาคที่เป็นจริงมากขึ้นในยุคเดียวกันนี้ก็เริ่มเป็นยุคเสื่อมของ อาณาจักรเขมร หลังจาก
พระเจ้าชัยวรมันที่เจ็ดผู้สร้างนครธมสิ้นพระชนม์ และการเติบโตขึ้นของอาณาจักรสุโขทัยและ
อยุธยาจนในต้นศตวรรษที่ 15 อาณาจักรเขมรก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจของอยุธยาโดยสิ้นเชิง

ในยุคเดียวกันนี้ก็เริ่มเป็นยุคเสื่อมของ อาณาจักรเขมร หลังจากพระเจ้าชัยวรมันที่เจ็ด
ผู้สร้างนครธมสิ้นพระชนม์ และการเติบโตขึ้นของอาณาจักรสุโขทัยและอยุธยาจนใน
ต้นศตวรรษที่ 15 อาณาจักรเขมรก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจของอยุธยาโดยสิ้นเชิง

ปรัชญาแนวคิดสำคัญ

มนุษย์นิยม ธรรมชาตินิยม รวมกับแนวคิดของศาสนาคริสต์

นั ก
ป ร า ช ญ์

•โทมัส ฮอบ – เชื่อว่ามนุษย์ต้องเชื่อเหตุผลและ
วิทยาศาสตร์ สนับสนุนระบบกษัตริย์

•จอห์น ล็อค – มีอิทธิพลต่อแนวคิด
ประชาธิปไตยสมัยสมัย เชื่อว่าประชาชนเป็น
ที่มาของอำนาจทางการเมืองและจัดตั้งรัฐบาล

•มองเตสกิเออร์ – มีแนวคิดเรื่องกฎหมาย
ของแต่ละสังคมที่บัญญัติขึ้นอยู่ กับแต่ละสภาพ
ของท้องถิ่นนั้น ๆ และอำนาจการปกครองต้อง
มี 3 ฝ่าย คือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ

•วอลแตร์ – คัดค้านระบบการปกครองแบบ
เผด็จการ (กษัตริย์) การใช้สติปัญญาและ
เหตุผลสามารถแก้ไขปัญหาสังคม และ
การเมืองได้

•รุสโซ – เรียกร้องให้ปฏิรูปความเหลื่อมล้ำใน
สังคม โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการ
ตัดสินปัญหาต่าง ๆ ร่วมกัน

ศิลปินคนสำคัญ

ราฟาเอล

เลโอนาร์โด ดา วินชี

ไมเคิล แองเจโล บอตติเซลลี ติเตียน เกรกโก

ในยุคเรเนซองส์มีศิลปินและอัจฉริยะมากมายเกิดขึ้นในยุคนี้ เช่น
เลโอนาร์โด ดาวินชี, ไมเคิล แองเจโล บอตติเซลลี ,ราฟาเอล ,ติเตียน เกรกโก

สถาปัตยกรรม

วิหารเซนต์ปีเตอร์ วิหารเซนต์พอล

ป ระติมากรรม

ประติมากรรมที่โดดเด่นในยุคนี้ ได้แก่ ผลงานของ
ไมเคิล แองเจลโล คือ รูปสลักเดวิด : รูปชายหนุ่ม
เปลือยกาย , รูปสลักลาปิเอตา : รูปพระแม่ประครอง
พระเยซู

จิตรกรรม

การเขียนภาพสามมิติ ( Perspective )
และเกิดภาพวาดที่สำคัญ จากศิลปินชื่อดังในยุคหลายท่าน เช่น
•ไมเคิลแองเจลโล ได้แก่ ภาพ “การตัดสินครั้งสุดท้าย”
( The last judgement )
•ลีโอนาโด ดาวินชี ได้แก่ ภาพ “โมนาลิซา ” และ “อาหารมื้อ
สุดท้าย” (The last supper)
•ราฟาเอล ได้แก่ ภาพพระแม่ พระบุตรและจอห์น แบบติสต์
แสดงความรักต่อแม่ที่มีต่อบุตร เป็นภาพเหมือนจริงที่มีชีวิตจิตใจ

วรรณกรรม

1. เน้นแนวมนุษยนิยม ใช้ภาษาท้องถิ่นแทนภาษาละติน
2. วรรณกรรม สำคัญ ได้แก่
•เจ้าผู้ครองนคร ( The prince ) ของ นิโคไล มาเคียเวลลี บรรยาย
ถึงศิลปะการปกครองของเจ้านคร
•Utopia ของ โทมัสมอร์ กล่าวถึงเมืองในอุดมคติที่ปราศจากความ
เลวร้าย
•คัมภีร์ ไบเบิลใหม่ของ อีรัสมุส แห่งรอตเตอร์ดัม
•บทละครของวิลเลี่ยม เชกสเปียร์ ได้แก่ โรมีโอและจูเลียต เวนิส
วาณิช คิงเลียร์ แมคเบท ฝันคืนกลางฤดูร้อน เป็นต้น ซึ่งบทละคร
เหล่านี้จะสะท้อนให้เห็นถึงอารมณ์ อุปนิสัย และการตัดสินใจของ
มนุษย์ในภาวการณ์ต่างๆกัน

นักวิทยาศาสตร์

โคเพอร์นิคัส – โปแลนด์ ค.ศ. เซอร์ไอแซคนิวตัน – อังกฤษ กาลิเลโอ – อิตาลี ค.ศ.1564-1642
1473-1543 อธิบายเรื่องสุริยะจักรวาล ผู้ค้นพบทฤษฎีแรงโน้มถ่วง ประดิษฐ์กล้องโทรทัศน์ ทำให้
มองเห็นผิวดวงจันทร์

บ ท ส รุ ป

สรุป อารยธรรมตะวันตก
(ยุโรปยุคเรเนสซอง)

การฟื้นฟูศิลปวิทยาการนั้นเป็นการเกิดใหม่ของการศึกษา การฟื้นฟูอุดมคติ ศิลปะและ
วรรณกรรมของกรีกและโรมัน เป็นยุคเริ่มต้นของการแสวงหาสิทธิเสรีภาพและความคิดอันไร้
ขอบเขตของมนุษย์ที่เคยถูกจำกัดโดยกฎเกณฑ์และข้อบังคับของคริสต์ศาสนายุคการฟื้นฟูศิลปะ
วิทยาการเริ่มต้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ 14 และสิ้นสุดลงในกึ่งกลางคริสต์ศตวรรษที่ 17

และถือได้ว่าเป็นจุดเชื่อมต่อขอประวัติศาสตร์สมัยกลางและสมัยใหม่ ในยุคเรเนซองส์
นี้(Renaissance )อยู่ในช่วงศตวรรษที่ 14-15 เป็นยุคฟุ่มเฟือยที่สุด หรูหราที่สุด กามรมณ์
ที่สุด เป็นช่วงเวลาหรือยุคแห่งการฟื้นฟูศิลปวิทยาการในยุโรป หลังจากที่ได้ผ่านยุคกลางหรือ
ยุคมืด ( Medieval Age ) ซึ่งกินระยะเวลายาวนานกว่าหนึ่งพันปี ตั้งแต่ประมาณศตวรรษที่
5 ถึง 15

การปฏิวัติการเมือง- การปฏิวัติอเมริกา
การปกครอง

การปฏิรูปคริสตศาสนา

สแกนคิวอาร์โค้ดด้านล่างนี้เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติม

ยุคเรเนสซองส์

ดนตรียุคเรเนสซองส์

การฟื้ นฟูศิลปวิทยาการ

คำถามทบทวน

1.การปฏิวัติอเมริกาเรียกว่าอะไร ข.สงครามอิสระภาพ
ก.สงครามเกาหลี ง.สงครามประกาศอิสระภาพ
ค.สงครามปฏิวัติอเมริกา

2.ยุคเรเนสซองส์มีใครเป็นศิลปินเอกของยุค

ก.เลโอนาร์โด สตราวินกี้ ข.เลโอนาร์โด ดาวินชี

ค.เลโอเนลโด ดาวินซี่ ง.เลโอนารด์ สตราวิลลี่

3.บทร้องใช้โพลีโฟนี ส่วนใหญ่ใช้กี่แนว?

ก.1-4 แนว ข.3-4 แนว

ค.2-3 แนว ง.4 แนวขึ้นไป

4.ประติมากรรมรูปชายหนุ่มเปลือยกายเป็นผลงานของใคร

ก.ไมเคิล แองเจลโล ข.เลโอนาร์โด ดาวินชี

ค.ราฟาเอล ง.ติเตียน เกรกโก

5.ศูนย์กลางยุคเรเนซองส์คือประเทศใด

ก.อิตาลี ข.ฝรั่งเศส

ค.อังกฤษ ง.สเปน

6.การปฏิวัติฝรั่งเศสเริ่มขึ้นในค.ศ.ใด

ก.1897 ข.1789

ค.1879 ง.1798

7.ยุคเรเนสซองส์หมายถึง ข.ยุคแห่งความคิด
ก.ยุคฟื้ นฟูศิลปวิทยา ง.ยุคแห่งปรัชญา
ค.ยุคแห่งการสร้างนวัตกรรมใหม่

8.ศตวรรตที่ 15 ประชาชนหลุดพ้นจากระบอบการปกครองแบบใด

ก.แบบทาส ข.แบบศักดินา

ค.แบบกษัตริย์ ง.แบบศาสนา

9.โมเต็ท คือ ข.เพลงขับร้องที่ไม่มีดนตรีประกอบ
ก.เพลงบรรเลง ง.ถูกทุกข้อ
ค.เพลงทั่วไปที่มีดนตรีประกอบ

10.การบรรเลงดนตรีในยุคนี้มีกี่แบบหลักๆ

ก.แบบเดียว ข.2แบบ

ค.3 แบบ ง.4 แบบ

บรรณานุกรม

ศัพท์ศิลปะ ราชบัณฑิตยสถานคลังข้อมูลเก่า เก็บจาก
แหล่งเดิม เมื่อ 2017-07-15. สืบค้นเมื่อ 2012-03-15.

นันทนา กปิลกาญจน์. ประวัติศาสตร์และอารยธรรมโลก. กรุงเทพฯ :
โอเดียนสโตร์, 2542. หน้า 279.
Burke, P., The European Renaissance: Centre and Peripheries
(Blackwell, Oxford 1998). เข้าถึงได้
จาก:https://th.m.wikipedia.org/wiki/.
(วันที่ค้นข้อมูล: 6 พฤศจิกายน 2564).

ไขแสง ศุขะวัฒนะ.(2535) ดนตรีสมัยรีเนซองส์.
เข้าถึงได้จาก: http://www.musiclib.psu.ac.th/data/western-

musuc/Chapter4/chap4-4.htm
(วันที่ค้นหาข้อมูล: 6 พฤศจิกายน 2564).

ชายคนแรก.(2560). เรนาซ็องส์ ยุคสมัยแห่งการเกิดใหม่.
เข้าถึงได้จาก: https://historyxsite.wordpress.com/.

(วันที่ค้นหาข้อมูล: 6 พฤศจิกายน 2564).


Click to View FlipBook Version