รายงานการวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษโดยใช้เทคนิค ช่วยจำร่วมกับบัตรคํา a-z ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖/๑ นายณัฐดนัย แสงคำมา ตำแหน่ง ครูผู้สอน โรงเรียนแพร่ปัญญานุกูล จังหวัดแพร่ สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ
ชื่อเรื่องวิจัย การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษโดยใช้เทคนิคช่วยจำ ร่วมกับบัตรคํา a-z ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖/๑ ชื่อผู้วิจัย นายณัฐดนัย แสงคำมา ตำแหน่ง ครูผู้สอน คุณวุฒิการศึกษา ปริญญาตรี สาขาวิชา ภาษาอังกฤษ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ บทคัดย่อ การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษโดยใช้เทคนิคช่วยจำร่วมกับบัตรคํา a-z ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖/๑ จำนวน ๙ คน โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทำวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖/๑ จำนวน ๙ คน โดยมีขั้นตอนการเก็บรวบรวมจากการให้นักเรียนได้ อ่านบัตรคํารูปภาพที่ครูนำมาให้ในชั้นเรียน จากนั้นผู้วิจัยทำจะการทดสอบการอ่านของนักเรียนก่อน เรียนจากนั้นครูจะใช้โดยใช้เทคนิคช่วยจำร่วมกับบัตรคํา a-z และทอดสอบหลังเรียน เพื่อเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน การดำเนินการวิจัย การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษโดยใช้เทคนิค ช่วยจำร่วมกับบัตรคํา a-z ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖/๑ จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลการการ อ่านออกเสียงทั้งก่อนเรียน-หลังเรียนพบว่านักเรียนส่วนใหญ่มีคะแนนเฉลี่ยที่สูงขึ้นจากร้อยละ ๒๗.๙๗ เป็น ๗๓.๗๖ หลังจากได้ฝึกการอ่านออกเสียงโดยใช้เทคนิคช่วยจำร่วมกับบัตรคำ ทำให้นักเรียนได้ คะแนนจากการทดสอบหลังเรียนได้ดียิ่งขึ้น จากการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องและการมีความรับผิดชอบของ นักเรียน รวมไปถึงผลการหาค่าประสิทธิภาพของบัตรคํา a-z จากการทดลองประสิทธิภาพโดย นักเรียนกลุ่มทดลองประสิทธิภาพเครื่องมือจำนวน ๑๑ คน มีค่าเฉลี่ยดังนี้ผลของการใช้บัตรคำ a-z ภาษาอังกฤษที่ผู้วิจัยสร้าง ขึ้นมีค่า ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ E1/ E2 ร้อยละ ๗๐ / ๗๓ แสดงว่าบัตรคำ a-z มีประสิทธิภาพที่สามารถนำไปใช้ทดลองกับกลุ่มตัวอย่างได้ คำสำคัญ บัตรคํา a-z ภาษาอังกฤษ ประถมศึกษา
สารบัญ หัวเรื่อง หน้า บทที่ ๑ บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ๑ วัตถุประสงค์ของการวิจัย ๑ ขอบเขตของการวิจัย ๑ นิยามศัพท์เฉพาะ ๒ บทที่ ๒ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เอกสารที่เกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษ ๓เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ๕ บทที่ ๓ วิธีดำเนินการวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ๗ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ๗ การดำเนินการวิจัย ๘ วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ๙ การวิเคราะห์ข้อมูล ๙ บทที่ ๔ ผลการดำเนินการวิจัย ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน – หลังเรียน ๑๑ ผลการหาค่าประสิทธิภาพของการใช้บัตรคำ a-z บทที่ ๕ สรุปผลการวิจัย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทำวิจัย ๑๓ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ๑๓สรุปผลการวิจัย ๑๓อภิปรายผลการศึกษา ๑๓ ข้อเสนอแนะ ๑๓ บรรณานุกรม ภาคผนวก ๑๒
บทที่ ๑ บทนำ ๑. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ภาษาเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมของมนุษย์ที่สร้างขึ้นเพื่อสื่อสารความคิด ความเข้าใจ และ ความรู้สึกของผู้สื่อสารไปยังผู้รับด้วยเงื่อนไขหรือรหัสที่กำหนดไว้ในกลุ่มหรือสังคมใดกลุ่มหนึ่ง ส่งผล ให้ได้ภาษาที่หลากหลาย ดังนั้นภาษาจึงเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดสำหรับการสื่อสารของมนุษย์ ภาษาอังกฤษเป็นอีกหนึ่งภาษาที่มีความสำคัญมากที่สุดและเป็นภาษาที่ทั่วโลกยอมรับและใช้ การอย่างแพร่หลายมากที่สุด จึงมีความสำคัญในชีวิตประจำวันเป็นอย่างมากเนื่องจากเป็นภาษาที่ใช้ ติดต่อสื่อสาร และแสวงหาความรู้ ดังนั้นแต่ละประเทศจึงได้มีการจัดการเรียนการสอนโดยเน้นวิชา ภาษาอังกฤษ เพื่อการติดต่อสื่อสาร การแลกเปลี่ยนความคิด และแสวงหาความรู้ในโลกยุคปัจจุบัน ประเทศไทยเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ เพื่อให้ผู้เรียนได้รับ การพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษได้ดียิ่งขึ้น จากสภาพปัญหาเนื่องจากนักเรียนส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยมี ความรู้ ความเข้าใจ ในการอ่านออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษได้เท่าที่ควร ดังนั้นผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะฝึกฝนให้ผู้เรียนสามารถจดจำตัวอักษรภาษาอังกฤษได้อย่าง ถูกต้อง เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ๒. วัตถุประสงค์ของการวิจัย ๑. เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษของนักเรียน ๒. เพื่อใช้เป็นเครื่องมือที่ช่วยเหลือในการผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียน-หลังเรียนของนักเรียน 3. กรอบแนวคิดการวิจัย รูปภาพที่ 1 กรอบแนวคิดการวิจัย 4. ขอบเขตของการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ มีขอบเขตในการวิจัย ดังนี้ ๕.๑.๑ ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖/๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ จำนวน ๙ คน ๕.๑.๒ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖/๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ จำนวน ๙ คน ตัวแปรต้น การอ่านออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษ โดยใช้เทคนิคช่วยจำร่วมกับบัตรคําa-z ตัวแปรตาม ผลการพัฒ นาการออกเสียงตัวอักษร ภาษาอังกฤษของนักเรียน ๑
๕. นิยามศัพท์เฉพาะ ๑. การอ่านออกเสียง หมายถึง การเปล่งเสียงตามตัวอักษร ถ้อยคำ และเครื่องหมายต่าง ๆ ที่ กำหนดไว้ให้ถูกต้อง ชัดเจน แก่ผู้ฟัง ๒. ทักษะการอ่าน หมายถึง ความสามารถในการแปลความหมายของตัวอักษรออกมาเป็น ถ้อยคำและความคิด แล้วนำความคิดนั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ๓. บัตรคำรูปภาพ หมายถึง บัตรขนาดใหญ่ ที่ประกอบไปด้วยคำศัพท์รูปภาพ ตัวเลข หรือ จำนวน ซึ่งเป็นสื่อการสอนแบบกระดาษชนิดหนึ่ง เน้นให้ผู้เรียนใช้ทักษะการจำและการอ่านออกเสียง โดยจะช่วยปูพื้นฐานด้านความจำของผู้เรียน 6. ประโยชน์ที่จะได้รับจากการวิจัย ๖.1. ผู้เรียนสามารถอ่านออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษได้ ๖.2. ผู้เรียนสามารถอ่านออกเสียงตัวอักษรได้อย่างถูกต้อง ๖.3. ผู้เรียนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ ๒
บทที่ ๒ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการวิจัยเรื่องการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษโดยใช้เทคนิคช่วยจำ ร่วมกับบัตรคํา a-z ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖/๑ ผู้ศึกษาได้ค้นคว้าเอกสารที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็น แนวทางในการทำวิจัยตามหัวข้อต่อไปนี้ ๑. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษ ๑.๑ ความหมายของการออกเสียงภาษาอังกฤษ ๑.๒ ความสำคัญของการเสียงภาษาอังกฤษ ๑.๓ แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนภาษาอังกฤษ ๒. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ๒.๑ งานวิจัยในประเทศ ๒.๒ งานวิจัยต่างประเทศ ๑. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ๑.๑ ความหมายของการออกเสียงภาษาอังกฤษ จากความหมายของการออกเสียงภาษาอังกฤษได้มีนักวิชาการหลายท่านทั้งในต่างประเทศ และในประเทศได้ให้คำนิยามการออกเสียงภาษาอังกฤษว่า การออกเสียง (Pronunciation) ที่ใช้กัน อย่างกว้าง ๆ สำหรับภาษาอังกฤษว่าคือการผสมเสียงเป็นคำและผสมคำเป็นประโยคและมีหลักใหญ่ ๆ ที่ต้องปฏิบัติอยู่ ๔ ประการคือ ๑) การทำเสียงต่าง ๆ แต่ละเสียงในภาษาอังกฤษให้ถูกต้อง ๒) การ ผสมเสียงนั้น ๆ เข้าเป็นคำ ๓) การลงเสียงหนักให้ตรงพยางค์ในคำที่มีมากกว่าหนึ่งพยางค์และ ๔)การ ใช้จังหวะหนักเบาและเสียงสูงต่ำในวลีและประโยคได้อย่างเหมะเจาะนอกจากนี้การออกเสียง ภาษ าอังกฤษมีเรื่องที่ต้องเรียนรู้อีกหลายอย่างเช่นการกลายเสียงของคำ (Change in Pronunciation) การออกเสียงตามที่สะกด (Spelling Pronunciation) การออกเสียงที่เป็นมาตรฐาน (Standard Pronunciation) และหลักสัทศาสตร์ (Phonetic Principles) ภูมิหุราพันธุ์ (๒๕๓๐ อ้าง ถึงในสาริณีสุวรรณพันธุ์, ๒๕๕๓, น. ๓๐-๓๑) ซึ่งแตกต่างจาก ฟราเซอร์ (Fraser, ๒๐๐๑ อ้างถึงในโว เดสกี้ Wodecki, ๒๐๑๔, p. ๔) ที่ได้ให้ความหมายของการออกเสียงว่าการออกเสียงเป็นคุณลักษณะที่ ช่วยทำให้การพูดคล่องและลื่นไหลได้อย่างง่ายซึ่งคุณลักษณะทั้งหมดในการออกเสียงนั้นประกอบด้วย การเปล่งเสียงพูดการลงจังหวะการลงทำนองเสียงสูง-ต่ำและการเน้นเสียงถ้อยคำรวมทั้งลีลาท่าทาง และการสื่อด้วยสายตานอกจากนี้การออกเสียงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างยิ่งในการพูดสื่อสาร รวมถึงองค์ประกอบอื่น ๆ ด้วยเช่นไวยากรณ์การเลือกใช้คำศัพท์และการพิจารณาทางวัฒนธรรมและ เช่นเดียวกับเยทซ์ (Yates, ๒๐๐๒, p. ๑) ที่ให้ความหมายของการออกเสียงว่าเป็นเสียงที่เปล่งออกมา เพื่อใช้สื่อความหมายโดยให้ความสนใจต่อเสียงในภาษาใดภาษาหนึ่งรวมทั้งคุณลักษณะต่าง ๆ ของการ ๓
พูดมากกว่าระดับของเสียงใดเสียงหนึ่งเช่นการลงทำนองเสียงสูง-ต่ำการเน้นเสียงถ้อยคำการเน้นเสียง หนัก-เบาการจัดช่วงจังหวะทำนองวิธีการเปล่งน้ำเสียงรวมถึงลีลาท่าทางและการแสดงออกต่าง ๆ ที่ สัมพันธ์ต่อวิธีการพูดภาษา จากข้อความข้างต้น สรุปได้ว่าการออกเสียงภาษาอังกฤษ คือ การออกเสียงเป็นคุณลักษณะที่ ช่วยทำให้การพูดคล่องและลื่นไหลได้อย่างง่ายซึ่งคุณลักษณะทั้งหมดในการออกเสียงนั้นประกอบด้วย การเปล่งออกมาเพื่อใช้สื่อความหมายโดยให้ความสนใจต่อเสียงในภาษาใดภาษาหนึ่งรวมทั้ง คุณลักษณะต่าง ๆของการพูดมากกว่าระดับของเสียงใดเสียงหนึ่งเช่นการลงทำนองเสียงสูง-ต่ำการเน้น เสียงถ้อยคำการเน้นเสียงหนัก-เบารวมทั้งลีลาท่าทางและการสื่อด้วยสายตาสำหรับภาษาอังกฤษว่าคือ การผสมเสียงเป็นคำและผสมคำเป็นประโยคและมีหลักใหญ่ ๆ ที่ต้องปฏิบัติอยู่ ๔ ประการคือ ๑) การ ทำเสียงต่าง ๆ แต่ละเสียงในภาษาอังกฤษให้ถูกต้อง ๒) การผสมเสียงนั้น ๆ เข้าเป็นคำ ๓) การลงเสียง หนักให้ตรงพยางค์ในคำที่มีมากกว่าหนึ่งพยางค์และ ๔)การใช้จังหวะหนักเบาและเสียงสูงต่ำในวลีและ ประโยคได้อย่างเหมะเจาะ ๑.๒ ความสำคัญของการเสียงภาษาอังกฤษ ทักษะการออกเสียงเป็นทักษะที่มีความสำคัญและจำเป็นในการเรียนรู้หากผู้เรียนไม่สามารถ อ่านออกเสียงได้ก็จะทำให้การเรียนแต่ละครั้งพบปัญหาและอุปสรรคมากมายดังนั้นจึงจำเป็นต้องออก เสียภาษาอังกฤษให้ถูกต้อง นันทนา รณเกียรติ ๒๕๔๘, ๗) ได้กล่าวว่าการเรียนการออกเสียง ภาษาอังกฤษว่าผู้เรียนจำเป็นต้องได้รับการฝึกฝนทั้งในเรื่องของการเน้นเสียง (stress) และทำนอง เสียง (intonation) ส่วน เคลลี่ (Kelly, ๒๐๐๔ : ๑๖) ได้กล่าวว่าการออกเสียงมีความสำคัญต่อการ วิเคราะห์ภาษาและการวางแผนบทเรียน การวิเคราะห์ภาษาครั้งใดที่ไม่ให้ความสำคัญหรือกันเรื่องการ ออกเสียงออกไป ย่อมทำให้การวิเคราะห์นั้นๆ ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ในทำนองเดียวกัน บทเรียนที่เน้น ไวยากรณ์หรือคำศัพท์ใดๆ เป็นพิเศษก็ควรจะสอนเรื่องการออกเสียงไปด้วยเพื่อให้ผู้เรียนเห็นภาพรวม ซึ่งจะทำให้มีโอกาสสื่อสารได้อย่างสมบูรณ์มากขึ้น ซึ่งแตกต่างที่ให้ความเห็นว่าการออกเสียงเป็นสิ่ง สำคัญต่อการพูดและการฟังในการสื่อสาร ผู้พูดจำเป็นต้องออกเสียงให้ชัดเจนและถูกต้องและผู้ฟังก็ ต้องสามารถวิเคราะห์คำพูดที่ได้ยินตามหน่วยเสียงในระบบเสียงเพื่อตีความได้อย่างถูกต้อง ดังนั้นการ ออกเสียงพยัญชนะและสระในภาษาอังกฤษจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญในการเรียนภาษา เช่นเดียวกับ บุษบากนก ศิลปะธรรม (๒๕๓๕ : ๒) ที่กล่าวว่าในการพูดต้องใช้ทักษะการฟังและการพูดควบคู่กันไป หากผู้พูดออกเสียงไม่ชัดเจนทำให้ผู้ฟังไม่เข้าใจหรือเข้าใจไม่ถูกต้อง ก็จะไม่สามารถสื่อสารได้หรืออาจ สื่อสารได้แต่ไม่มีประสิทธิภาพ ๔
สรุปได้ว่า การออกเสียงภาษาอังกฤษ เป็นสิ่งสำคัญต่อการพูดและการฟังในการสื่อสาร จำเป็นต้องได้รับการฝึกฝนทั้งในเรื่องของการเน้นเสียง (stress) และทำนองเสียง (intonation) หากผู้ พูดออกเสียงไม่ชัดเจนทำให้ผู้ฟังไม่เข้าใจหรือเข้าใจไม่ถูกต้อง ก็จะไม่สามารถสื่อสารได้หรืออาจสื่อสาร ได้แต่ไม่มีประสิทธิภาพ ๑.๓ แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนภาษาอังกฤษ แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนภาษาอังกฤษเป็นสิ่งสำคัญต่อเรียนเรียนภาษาอังกฤษได้อย่าง มาก ในการช่วยเป็นแนวทางปฏิบัติให้กับผู้สอนและทำให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้นการศึกษาศึกษาแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนภาษาอังกฤษจึงมีการความสำคัญต่อการวิจัยเป็น อย่างมาก หนึ่งในแนวคิดที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่องานวิจัยนี้คือ ทฤษฎีและแนวคิดของบลูม (Bloom, ๑๙๕๖) ได้ทำการวิจัยและเสนอทฤษฎีเกี่ยวกับระบบการเรียน การสอนโรงเรียน โดย กล่าวถึงปัจจัยหรือองค์ประกอบที่มีผลกระทบตอการเรียน ๓ องค์ประกอบ ดังนี้๑. พฤติกรรมด้าน ความรู้ความคิด (Cognitive entry behaviors) หมายถึง ความสามารถของผู้เรียน ๒. คุณลักษณะ ทางด้านจิตพิสัย (Affective entry characteristics) หมายถึง สภาพการณ์หรือแรงจูงใจที่จะทำ ให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ใหม่ ๓. คุณภาพการสอน (Quality of instruction) ได้แก่ การได้รับคำแนะนำ การมีส่วนร่วม เรียนการสอน การเสริมสร้างของครู การแก้ไขข้อผิดพลาดและรู้ผลว่าตนเองกระทำได้ ถูกต้องหรือไม่อีกหนึ่งแนวคิดทฤษฎีที่น่าสนใจอีกทฤษฎีอีกทฤษฎีหนึ่งคือ แนวคิดทฤษฎีของจาโคโบ วิทส์ (Jakobovits ๑๙ ๗ ๑ : ๑ ๐๓ -๑ ๑๕ ) ได้ศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยในการ เรียนการสอน ภาษาต่างประเทศหรือภาษาที่สองและสรุปได้ว่าปัจจัยที่ทำให้การเรียนการสอนเป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพนั้นมี ๓ ประการ คือ ๑. ปัจจัยด้านการสอน ประกอบด้วยคุณภาพการสอนของครูซึ่ง ขึ้นอยู่กับความรู้ ความสามารถทางภาษาและการสอนของครู ๒. ปัจจัยด้านตัวผู้เรียน ประกอบด้วย ความสามารถที่จะเข้าใจการสอนขึ้นอยู่กับ สติปัญญา ความสามารถทาง ภาษา ความ ๓. ปัจจัยด้าน สังคมและวัฒนธรรมที่มีอิทธิพลต่อ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ภาษาต่างประเทศ จากการศึกษาแนวคิดทฤษฎีผู้วิจัยสรุปได้ว่า ปัจจัยที่มีผลกรทบต่อการอ่านออกเสียง ภาษาอังกฤษของนักเรียนมีอยู่ ๓ ปัจจัยคือ ปัจจัยด้านการสอน ปัจจัยด้านตัวผู้เรียน และปัจจัยด้าน สังคมและวัฒนธรรมอิทธิพลต่อ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ภาษาต่างประเทศ ๒. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ๒.๑ งานวิจัยในประเทศ อาภรณ์ ศรีเพชร (๒๕๕๒) ทำการวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียง ภาษาอังกฤษ โดยใช้ชุดฝึกทักษะการอ่านออกเสียงแบบสัทอักษร (Phonetics) สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนเทศบาล ๕ วสุนธราภิวัฒก์สังกัดเทศบาลเมืองนาสาร โดยมีวัตถุประสงค์ (1)เพื่อสร้างชุดฝึกทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษแบบสัทอักษร (phonetics) สำหรับนักเรียน ๕
ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์๘๐/๘๐ (๒) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางด้าน การอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้ ชุดฝึกทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษแบบสัทอักษร (phonetics) (๓)เพื่อการศึกษาความคิดเห็น และความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อชุดฝึกทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษแบบสัทอักษร (phonetics) กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนเทศบาล ๕ วสุนธราภิวัฒก์ ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๕๒ จำนวน ๑๑ คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบสัทอักษร (phonetics) จำนวน ๑๖ แผน ๓๗ ชุดฝึก ทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษแบบสัทอักษร (phonetics) และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางด้านการอ่าน สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (X) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการวิจัยพบว่า ชุดฝึกทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษแบบสัทอักษร (phonetics) มี คุณภาพอยู่ในระดับดี โดยมีค่าเฉลี่ย ๓.๘๐–๔.๔๐ ทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษของนักเรียน หลังการใช้ชุดฝึกทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษแบบสัทอักษร (phonetics) สูงกว่าก่อนใช้ ชุดฝึกทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษแบบสัทอักษร (phonetics) นักเรียนมีความถึงพอใจต่อ การใช้ชุดฝึกทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษแบบสัทอักษร (phonetics) อยู่ในระดับดี โดยมี ค่าเฉลี่ย ๓.๖๕๔–๔.๑๘ ๒.๒ งานวิจัยต่างประเทศ แอคบาร์ (Akbar, ๒๐๐๖) ได้ทำการศึกษาความยากของการออกเสียงภาษาอังกฤษของชาว อิหร่านผู้เรียน EFL กรณีศึกษาการใช้สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนการออกเสียง จำนวนกลุ่มตัวอย่าง ๓๐ คน แบ่งออกเป็น ๒ กลุ่มๆละ ๑๕ คน กลุ่มแรกใช้การฝึกการออกเสียงแบบธรรมดาและกลุ่มที่สองใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนในการฝึกออกเสียง ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มที่สอนการออกเสียง ธรรมดา สามารถออกเสียงได้ระละ ๖๕ และกลุ่มที่สอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน สามารถออกเสียง ได้ร้อยละ ๘๕ จากการศึกษาแนวคิดทฤษฎีผู้วิจัยสรุปได้ว่า การสอนโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ในการออกเสียงสามารถพัฒนาการออกเสียงของผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพและใช้เวลาในการ ฝึกฝนออกเสียงน้อยกว่าการฝึกแบบธรรมดา ๖
บทที่ ๓ วิธีการดำเนินการวิจัย ในการศึกษา เรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษโดยใช้เทคนิค ช่วยจำร่วมกับบัตรคํา a-z ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖/๑ เพื่อศึกษาการอ่านออกเสียงคำศัพท์ ภาษาอังกฤษของนักเรียน ดังนั้นเพื่อให้งานวิจัยฉบับนี้บรรลุตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ ผู้วิจัยได้ ดำเนินงานการวิจัยตามขั้นตอนดังนี้ ๑. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ๒. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ๓. วิธีการดำเนินการวิจัย ๔. วิธีการรวบรวมข้อมูล ๕. วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ มีขอบเขตในการวิจัย ดังนี้ ๕.๑.๑ ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖/๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ จำนวน ๑๑ คน ๕.๑.๒ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖/๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ จำนวน ๑๑ คน 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 2.1 การกำหนดเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 2.1.1 กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖/๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ จำนวน ๑๑ คน 2.1.2 เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ - แบบบันทึกการอ่านออกเสียงก่อนเรียนของนักเรียน (Pre-test) - แบบบันทึกการอ่านออกเสียงหลังเรียนของนักเรียน (Post-test) 2.1.3 การใช้เครื่องมือในการวิจัย ผู้วิจัยใช้เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ - ชุดบัตรคำรูปภาพ a-z - วิธีการสอนแบบ active learning 2.1.4 วิเคราะห์ข้อมูล โดยการใช้ข้อมูลจากแบบบันทึกการอ่านก่อนเรียน-หลังเรียน และนำมาเปรียบเทียบข้อมูลและวิเคราะห์เพื่อให้ทราบผลว่านักเรียนสามารถจดจำและอ่าน ตัวอักษรภาษาอังกฤษแตกต่างจากก่อนเรียน-หลังเรียน ๗
2.2 การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือ ๒.๒.๑ ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือวิจัย/สื่อ/นวัตกรรม ผู้วิจัยได้ดำเนินการดังนี้ - การศึกษาหลักสูตรแกนกลาง มาตรฐานและตัวชี้วัดในสาระที่ ๑ ภาษา เพื่อการ สื่อสาร มาตรฐาน ต ๒.๒ เข้าใจความเหมือนและความแตกต่างระหว่าง ภาษาและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษากับภาษา และวัฒนธรรมไทย และนำมาใช้ อย่างถูกต้องและเหมาะสม ตัวชี้วัด ๑. ระบุตัวอักษรและเสียงตัวอักษรของ ภาษาต่างประเทศ และภาษาไทย - การศึกษาเนื้อหาจาก หน่วยการเรียนรู้ที่ ๑ เรื่อง ตัวอักษรภาษาอังกฤษ - การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้แบบ active learning และสร้างชุด กิจกรรม อุปกรณ์ สื่อ - การสร้างบัตรคํา a-z ที่ใช้ในการวิจัยเพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียน - การปรับปรุงนวัตกรรม (บัตรคํา a-z) ให้เหมาะสม - การจัดการเรียนการสอนและการใช้นวัตกรรม (บัตรคํา a-z) ที่สร้างขึ้นกับ กลุ่มตัวอย่าง - การทดสอบ วัดผลและประเมินผล เมื่อได้จัดการเรียนการสอนโดยใช้ กระบวนการและบัตรคํา a-z ที่สร้างขึ้น 3. การดำเนินการวิจัย ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ แบบบันทึกการอ่านออกเสียง ก่อนเรียนและแบบบันทึกการอ่านออกเสียงหลังเรียน โดยใช้บัตรคำ a-z ใช้ในการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ในวิชาภาษาอังกฤษ ในภาคเรียนที่ ๒ จำนวน ๑๐ ชั่วโมง ตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ ชั่วโมง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ วิธีการ ๑ แบบบันทึกการอ่านออกเสียงก่อนเรียน ทดสอบการอ่านและบันทึกคะแนนรายบุคคล ๒-๓ การฝึกอ่านออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษ ชุดที่ ๑ a-f ทดสอบการอ่านและบันทึกคะแนนรายบุคคล ๔-๕ การฝึกอ่านออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษ ชุดที่ ๒ g-l ทดสอบการอ่านและบันทึกคะแนนรายบุคคล ๖-๗ การฝึกอ่านออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษ ชุดที่ ๓ m-r ทดสอบการอ่านและบันทึกคะแนนรายบุคคล ๘-๙ การฝึกอ่านออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษ ชุดที่ ๔ s-z ทดสอบการอ่านและบันทึกคะแนนรายบุคคล ๑๐ แบบบันทึกการอ่านออกเสียงหลังเรียน ทดสอบการอ่านและบันทึกคะแนนรายบุคคล ๘
4. วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ขั้นตอนในการเก็บรวบรวมข้อมูลผู้วิจัย ได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลดังนี้ ๑. ทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) กับนักเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างด้วยแบบวัดทักษะการอ่าน ภาษาอังกฤษและเก็บข้อมูลที่ได้จากการทาแบบทดสอบไว้เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลในขั้นต่อไป ๒. ดำเนินการทดลองสอนตามแผนการดำเนินการโดยบัตรคำจำนวน ๔ ชุด ๓. ดำเนินการทดลองสอนโดยใช้แบบทดสอบทดสอบหลังเรียน (Post-test) ๔. นำคะแนนที่ได้จากการทำแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของกลุ่มตัวอย่าง นำมา วิเคราะห์ค่าความก้าวหน้าของคะแนนที่นักเรียนทำได้ 5. การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณจาก แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลด้านปริมาณค่าสถิติพื้นฐาน จากการ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการให้นักเรียนแบบทดสอบการอ่านก่อนเรียน-หลังเรียน โดยผู้วิจัยได้เก็บ รวบรวมข้อมูลด้านปริมาณค่าสถิติพื้นฐาน จากการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการให้นักเรียนแบบทดสอบ การอ่านก่อนเรียน-หลังเรียนและนำผลการทดลองมาวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติโดยใช้สูตรดังนี้ ๙
๑๐
บทที่ ๔ ผลการดำเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ในการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษโดย ใช้เทคนิคช่วยจำร่วมกับบัตรคํา a-z ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖/๑ เพื่อการพัฒนาทักษะการ อ่านออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษให้มีความถูกต้องและประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ผู้วิจัยได้ศึกษาผลการ พัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงและมีผลของการวิจัย ดังนี้ ๑. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน – หลังเรียน ๒. ผลการหาค่าประสิทธิภาพของการใช้บัตรคำ a-z ๑. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน – หลังเรียน ผู้วิจัยได้เสนอการวิเคราะห์ข้อมูลการเปรียบเทียบผลการจัดกิจกรรมทางการเรียน และความ แตกต่างของคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนโดยใช้กระบวนการเรียนการสอนการเขียนภาษาอังกฤษโดยโดยใช้ ใช้เทคนิคช่วยจำร่วมกับบัตรคําของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖/๑ ดังนี้ ตารางที่ ๑ แสดงค่าสถิติของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการอ่านออกเสียงตัวอักษร ภาษาอังกฤษโดยใช้เทคนิคช่วยจำร่วมกับบัตรคํา a-z ก่อนเรียนและหลังเรียน ผู้เรียนคนที่ คะแนน ก่อนเรียน (๒๖) ร้อยละ คะแนน หลังเรียน (26) ร้อยละ ผลต่างของ คะแนน (๒๖) ร้อยละ ๑ ๙ ๓๔.๖๑ ๒๐ ๗๖.๙๒ ๑๑ ๔๒.๓๐ ๒ ๕ ๑๙.๒๓ ๑๖ ๖๑.๕๓ ๑๑ ๔๒.๓๐ ๓ ๑๑ ๔๒.๓๐ ๒๓ ๘๘.๔๖ ๑๒ ๔๖.๑๕ ๔ ๘ ๓๐.๗๖ ๑๗ ๖๕.๓๘ ๙ ๓๔.๖๑ ๕ ๖ ๒๓.๐๗ ๒๐ ๗๖.๙๒ ๑๔ ๕๓.๘๔ ๖ ๙ ๓๔.๖๑ ๑๙ ๗๓.๐๗ ๑๐ ๓๘.๔๖ ๗ ๑๒ ๔๖.๑๕ ๒๔ ๙๒.๓๐ ๑๒ ๔๖.๑๕ ๘ ๓ ๑๑.๕๓ ๑๙ ๗๓.๐๗ ๑๖ ๖๑.๕๓ ๙ ๔ ๑๕.๓๘ ๑๖ ๖๑.๕๓ ๑๒ ๔๖.๑๕ ๑๐ ๖ ๒๓.๐๗ ๑๘ ๖๙.๒๓ ๑๒ ๔๖.๑๕ ๑๑ ๗ ๒๖.๙๒ ๑๙ ๗๓.๐๗ ๑๒ ๔๖.๑๕ เฉลี่ย ๗.๒๗ ๒๗.๙๖ ๑๙.๑๘ ๗๓.๗๖ ๑๑.๙๐ ๔๕.๗๖ S.D ๓.๐๙ ๒.๕๖ ๑.๘๖ ๑๑
จากตารางที่ ๑ พบว่านักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖/๑มีแสดงผลการพัฒนาการอ่านออก เสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษโดยใช้บัตรคำ a-z ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยมีคะแนนเฉลี่ย ๗.๒๗ ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ ๓.๐๙ และมีแสดงผลการพัฒนาทักษะการเขียนภาษาอังกฤษหลังเรียน โดย ใช้บัตรคำ โดยมีคะแนนเฉลี่ย ๑๙.๑๘ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ ๒.๕๖ นั้นคือ นักเรียนมีแสดงผล การพัฒนาทักษะการเขียน ภาษาอังกฤษหลังเรียน โดยใช้บัตรคำสูงกว่าก่อนเรียน ๒. ผลการหาค่าประสิทธิภาพของการใช้บัตรคำ a-z จากการวิจัย เรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษโดยใช้เทคนิค ช่วยจำร่วมกับบัตรคํา a-z ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖/๑ ผู้วิจัยได้ทดลองหาค่าประสิทธิภาพ โดยนักเรียนกลุ่มทดลองประภาพสิทธิภาพจำนวน ๙ คน โดยมีค่าเฉลี่ย ดังนี้ ตารางที่ ๒ แสดงประสิทธิภาพของการใช้บัตรคำ a-z ก่อนเรียนและหลังเรียน จำนวนคะแนนเฉลี่ยร้อยละ ค่าประสิทธิภาพตามเกณฑ์ นักเรียน การทดสอบก่อนเรียน การทดสอบหลังเรียน E1 / E2 ร้อยละ ๗๐ / ๗๐ E1 E2 ๑๑ ๗๐ ๗๓ ๗๐ / ๗๓ จากตารางที่ ๒ พบว่านักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖/๑ มีการแสดงประสิทธิภาพของการใช้ บัตรคำ a-z ที่ผู้วิจัยได้สร้างขึ้น มีค่าประสิทธิภาพตามเกณฑ์E1 / E2 ร้อยละ ๗๐ / ๗๐ โดยอัตรา ระหว่างอัตราส่วนร้อยละและอัตราส่วนร้อยละของผลคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนมีค่า ๗๐ / ๗๓ ซึ่งหมายถึงว่าการใช้บัตรคำ a-z สามรถนำไปใช้ ในกลุ่มทดลองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๑๒
บทที่ ๕ สรุปผลการวิจัย การวิจัยในชั้นเรียนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษ โดยใช้เทคนิคช่วยจำร่วมกับบัตรคํา a-z ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖/๑ ให้มีความถูกต้องและ ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยผู้วิจัยได้มีขั้นตอนการดำเนินการ ดังนี้ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทำวิจัย ประชากร นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖/๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ จำนวน ๙ คน กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖/๑ การศึกษา ๒๕๖๖ จำนวน ๙ คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล - แบบบันทึกการอ่านออกเสียงก่อนเรียนของนักเรียน (Pre-test) - แบบบันทึกการอ่านออกเสียงหลังเรียนของนักเรียน (Post-test) การใช้เครื่องมือในการวิจัย - ชุดบัตรคำรูปภาพ a-z โดยผู้วิจัยได้ทำการรวบรวมข้อมูลโดยการให้นักเรียนแบบทดการอ่านก่อนเรียน – หลังเรียน และนำมาเปรียบเทียบข้อมูลและวิเคราะห์เพื่อให้ทราบผลว่านักเรียนสามารถจดจำและอ่านตัวอักษร ภาษาอังกฤษแตกต่างจากก่อนเรียน-หลังเรียน โดยได้สรุปผลการวิจัย ดังนี้ สรุปผลการวิจัย การดำเนินการวิจัย การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษโดยใช้เทคนิค ช่วยจำร่วมกับบัตรคํา a-z ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖/๑ จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลการการ อ่านออกเสียงทั้งก่อนเรียน-หลังเรียนพบว่านักเรียนส่วนใหญ่มีคะแนนเฉลี่ยที่สูงขึ้นจากร้อยละ ๒๗.๙๗ เป็น ๗๓.๗๖ หลังจากได้ฝึกการอ่านออกเสียงโดยใช้เทคนิคช่วยจำร่วมกับบัตรคำ ทำให้นักเรียนได้ คะแนนจากการทดสอบหลังเรียนได้ดียิ่งขึ้น จากการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องและการมีความรับผิดชอบของ นักเรียน รวมไปถึงผลการหาค่าประสิทธิภาพของบัตรคํา a-z จากการทดลองประสิทธิภาพโดย นักเรียนกลุ่มทดลองประสิทธิภาพเครื่องมือจำนวน ๑๑ คน มีค่าเฉลี่ยดังนี้ผลของการใช้บัตรคำ a-z ภาษาอังกฤษที่ผู้วิจัยสร้าง ขึ้นมีค่า ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ E1/ E2 ร้อยละ ๗๐ / ๗๓ แสดงว่าบัตรคำ a-z มีประสิทธิภาพที่สามารถนำไปใช้ทดลองกับกลุ่มตัวอย่างได้ อภิปรายผลการศึกษา จากการศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษโดยใช้ เทคนิคช่วยจำร่วมกับบัตรคํา a-z ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖/๑ ผู้วิจัยสามารถอภิปรายผลได้ ดังนี้ ๑๓
๑. บัตรคำ a-z สร้างขึ้นมีความเหมาะสมกับผู้เรียน มีประสิทธิภาพตรงตามจุดมุ่งหมาย ใน การใช้แบบฝึกทักษะการเขียนที่ชัดเจน โดยบัตรคำจะมีรูปภาพ เพื่อให้นักเรียนได้เข้าใจและเห็นภาพที่ ชัดเจนมากขึ้น นักเรียนก็จะเกิดความสนใจอย่างต่อเนื่อง เพราะ ตัวอักษรภาษาอังกฤษอ่านง่ายและ ภาพมีสีสันสวยงาม ชัดเจน ทำให้นักเรียนอยากมีส่วนร่วมกิจกรรมการเรียนในชั้นเรียน ๒. เทคนิคการอ่านภาษาอังกฤษ เริ่มจากการให้นักเรียนลองฝึกอ่านให้ถูกต้อง เพราะ ตัวอักษรในภาษาอังกฤษมีทั้งตัวพิมพ์เล็กและตัวพิมพ์ใหญ่ โดยจะให้นักเรียนฝึกลองอ่าน ตามหลัก ภายหลังจากนักเรียนได้รับการฝึกการฟัง พูด อ่าน นักเรียนจะได้จาคำที่ฝึกได้ซึ่งจะสามารถอ่านโดยมี สื่อบัตรคำศัพท์และรูปภาพประกอบ เพื่อให้เข้าใจในการอ่านให้ถูกต้อง ทำให้เกิดความจำแม่นยำว่าคำ นี้จะอ่านอย่างไร ๓. ผลการพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษโดยใช้บัตรคำ a-z สำหรับนักเรียน ชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๖/๑ หลังจากได้รับการสอนโดยใช้บัตรคำ a-z มีผลต่อการพัฒนาความสามารถใน อ่านภาษาอังกฤษสูงขึ้น เนื่องมาจากแบบฝึกทักษะ การอ่านภาษาอังกฤษถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นขั้นตอน และมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ เนื้อหา และกิจกรรมการเรียนการสอน ทำให้นักเรียนมี ความสามารถในการเขียนสูงขึ้นวัดได้จาก ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนที่ปรากฏว่า นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยสูงขึ้นจากร้อยละ ๒๗.๙๖ เป็นร้อยละ ๗๓.๗๖ และยังให้ความร่วมมือในการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนเป็นอย่างดี ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป ๑. ควรจะนำการเขียนตามรอยปะเพื่อพัฒนาความสามารถในการเขียนภาษาอังกฤษโดยใช้ บัตรคำไปศึกษากับนักเรียนในระดับชั้นอื่น เพื่อดูความเหมาะสมว่าเหมาะกับ ระดับชั้นใด และ ควรจะ ใช้แบบทดสอบในลักษณะใดจึงจะมีความเหมาะสมกับผู้เรียน ๒. ควรมีการศึกษาค้นคว้าการพัฒนาทักษะการเขียนภาษาอังกฤษโดยใช้บัตรคำกับวิธีสอน แบบใหม่ๆ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาการเรียนการสอนต่อไป ๓. ควรมีการวิจัยปัญหาและผลกระทบของการจัดกิจกรรมเขียนภาษาอังกฤษโดยใช้บัตร คำศ ของผู้เรียนที่มีคุณลักษณะแตกต่างกัน ๑๔
บรรณนุกรม นันทนา รณเกียรติ. (๒๕๔๘).สัทศาสตร์ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์. บุษบา กนกศิลปะธรรม. (๒๕๓๕). การวิเคราะห์การออกเสียงภาษาอังกฤษของนักศึกษาชั้นปีที่ 3 วิชาเอกภาษาอังกฤษ. กรุงเทพมหานคร : คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร,. สาริณี สุวรรณพันธุ์. (๒๕๕๓).การใช้กิจกรรมเพลงเพื่อส่งเสริมการออกเสียง ความรู้ทางด้านคำศัพท์ และไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่/เชียงใหม่ ภูมิหุรา พันธุ์. (๒๕๓๐).แนวการออกเสียงภาษาอังกฤษ. กรุงเทพฯ:ทฤษฏี. อาภรณ์ ศรีเพชร. (๒๕๕๒).การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ โดยใช้ชุดฝึกทักษะการ อ่านออก AsbarSohrabie. (2006). Iranian EFL Learners’ Difficulties in English Pronunciation : Some Pedagogical Implications of computer Assisted Pronunciation Teaching. Malaysia : Islamic Azad University of Najafabad Bloom, Benjamin S. and Others.(1956).Taxonomy of education objectives. New York : David Mckay Co. , IncEnglish as a second language: DETYA (ANTA Innovative project). Fraser, H. (2000). Coordinating improvements in pronunciation teaching for adult learners of Hewings, M. (2004).Pronunciation Practice Activities.Cambridge : Cambridge University Press. Jakobovits, Loen A.(1971).Foreign Language Learning : A Psycholinguistic Analysis of the Issues. RovleyMass : Newbury House Kelly, G. (2001). How to Teach Pronunciation: Pearson Education, Inc. Yates, L. (2002). Fact sheet–What is pronunciation. Sydne: Amep Research Centre ๑๕
ความเห็นของหัวหน้างานวิจัยและนวัตกรรมการศึกษา ................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................. ลงชื่อ.................................................................. (นางสาวมนฤทัย โลกคำลือ) ตำแหน่ง ครู ความเห็นของหัวหน้ากลุ่มงานวิชาการ ................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................. ลงชื่อ.................................................................. (นางภาวนา จันทราภานนท์) หัวหน้ากลุ่มงานวิชาการ ความเห็นของรองผู้อำนวยการโรงเรียนกลุ่มบริหารวิชาการ ................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................. ลงชื่อ.................................................................. (นางพนิดา เวรุริยะ) รองผู้อำนวยการโรงเรียน ความเห็นของผู้อำนวยการโรงเรียน ................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................. ลงชื่อ (นางสาวกัญญาณัฏฐ์ ผ่านไกร) ผู้อำนวยการโรงเรียนแพร่ปัญญานุกูล จังหวัดแพร่
ภาคผนวก
๑. ขั้นตอนการทำสื่อวิจัย
๒. ขั้นตอนการใช้สื่อวิจัย