2570 2566 แผนปฏิบัติ บั ติ การ พัฒ พั นาปลาดุก ดุ กองวิจัวิยจัและพัฒพันาการเพาะเลี้ยงสัตสัว์น้ำว์น้ำจืดจื กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
3 บทสรุปผู้บริหาร 4 บทที่ 1 บทนำ หลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ วิธีดำ เนินงาน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 9 บทที่ 2 สถานการณ์การเพาะเลี้ยงปลาดุกภายในและต่างประเทศ สถานการณ์การเพาะเลี้ยงปลาดุกในประเทศ สถานการณ์การเพาะเลี้ยงปลาดุกต่างประเทศ ปริมาณและมูลค่าการผลิตและส่งออกของปลาดุก ความท้าทายในการเลี้ยงและการตลาดและแนวทางแก้ไข 28 บทที่ 3 การวิเคราะห์นโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนพัฒนาที่เกี่ยวข้อง การวิเคราะห์นโยบายและแผนยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง การวิเคราะห์ SWOT การกำ หนดแนวทางในการพัฒนาการเพาะเลี้ยงปลาดุก 39 บทที่ 4 ยุทธศาสตร์การพัฒนาปลาดุก พ.ศ. 2566-2570 วิสัยทัศน์ ยุทธศาสตร์การพัฒนา เป้าประสงค์ พันธกิจ ยุทธศาสตร์ที่ 1 การวิจัยและพัฒนา ยุทธศาสตร์ที่ 3 การสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกร ยุทธศาสตร์ที่ 2 การเพิ่มประสิทธิภาพ ยุทธศาสตร์ที่ 4 การตลาด การติดตามและประเมินผล สารบัญบั
พันพัธกิจ เป้าประสงค์ ยุทธศาสตร์กร์ารพัฒพันา 1) พัฒพันาผลผลิตให้มีห้คุมีณคุภาพและได้มาตรฐานตลอดห่วห่งโซ่อุซ่อุปทาน 2) ส่งส่เสริมริสนับสนุนการเพิ่มพิ่ ประสิทสิธิภธิาพการผลิต 3) ส่งส่เสริมริการรวมกลุ่มลุ่ของเกษตรกร 4) เพิ่มพิ่อุปทานอาหารประเภทสัตสัว์น้ำว์น้ำภายในประเทศ เพื่อพื่ ให้บห้รรลุวัลุตวัถุปถุระสงค์และเป้าป้หมายภายใต้วิสัวิยสัทัศน์และพันพัธกิจ จึงจึกำ หนดยุทธศาสตร์กร์ารพัฒพันา 4 ยุทธศาสตร์ ดังนี้ แนวทางที่ 1 บูรณางานวิจัวิยจัและพัฒพันาการเลี้ยงปลาดุกดุ เพื่อพื่ลดต้นทุนทุพัฒพันาคุณคุภาพอาหารสัตสัว์น้ำว์น้ำและปัจจัยจัการผลิต วิสัวิยสัทัศน์ “เป็นป็ผู้นำ ในการผลิตสินสิค้าปลาดุกดุที่มีคุมีณคุภาพได้มาตรฐาน” บทสรุปผู้บริหริาร 1) งานวิจัวิยจัพัฒพันาเทคโนโลยี และนวัตวักรรมการการเพาะเลี้ยงสัตสัว์น้ำว์น้ำ 3) ลดต้นทุนทุการผลิตร้อร้ยละ 5 2) ฟาร์มร์เพาะเลี้ยงปลาดุกดุได้รับรัมาตรฐานที่ยั่งยั่ยืนยืเพิ่มพิ่ขึ้นขึ้ร้อร้ยละ 10 4) ผลผลิตปลาดุกดุ 120,000 ตัน แนวทางที่ 2 บูรณางานวิจัวิยจัและพัฒพันาการเพาะเลี้ยงปลาดุกดุ ที่ลดของเสียสีที่เกิดขึ้นขึ้ ยุทธศาสตร์ที่ร์ ที่1 การวิจัวิยจัและพัฒพันาเพื่อพื่ ให้ไห้ด้มาซึ่งซึ่เทคโนโลยี การเพาะเลี้ยงสัตสัว์น้ำว์น้ำ แนวทางที่ 3 ศึกษาระบบการจัดจัการโซ่อุซ่อุปทานอุตสาหกรรม ปลาดุกดุในประเทศไทย ยุทธศาสตร์ที่ร์ ที่ 2 การเพิ่มพิ่ ประสิทสิธิภธิาพการผลิต แนวทางที่ 1 ถ่ายทอดเทคโนโลยีด้ยี ด้านการจัดจัการพ่อพ่แม่พัม่นพัธุ์ แนวทางที่ 2 ส่งส่เสริมริความรู้ด้รู้ ด้านการผลิตอาหารปลาโดยใช้ วัตวัถุดิถุดิบจากธรรมชาติ หรือรืเศษเหลือจากอุตสาหกรรมอาหาร้ แนวทางที่ 3 เชื่อชื่มโยงกลุ่มลุ่เกษตรกรในแต่ละช่วช่งขบวนการ ผลิต เพื่อพื่ลดภาวะการขาดแคลนสินสิค้าในแต่ละช่วช่งการผลิต แนวทางที่ 4 พัฒพันาระบบตรวจสอบและรับรัรองการจับจั สัตสัว์น้ำว์น้ำพัฒพันาเชื่อชื่มโยงเครือรืข่าข่ย และจัดจัตั้งตั้ศูนย์ข้ย์อข้มูลปลาดุกดุ ยุทธศาสตร์ที่ร์ ที่ 3 การสร้าร้งความเข้มข้แข็งข็ ให้แห้ก่เกษตรกร แนวทางที่ 1 พัฒพันาเครือรืข่าข่ยอุตสาหกรรมปลาดุกดุพัฒพันา กลุ่มลุ่เกษตรกร แนวทางที่ 2 สนับสนุนให้เห้กิดการแลกเปลี่ยนข้อข้มูลระหว่าว่ง ผู้เผู้ลี้ยง ผู้รผู้ วบรวม และตลาดผู้บผู้ ริโริภค แนวทางที่ 3 รณรงค์ ส่งส่เสริมริ ประชาสัมสัพันพัธ์ใธ์ห้เห้กษตรกรผู้ เลี้ยงตระหนักถึงการผลิตสินสิค้าสัตสัว์น้ำว์น้ำที่มีคมีวามปลอดภัย แนวทางที่ 1 สังสัเคราะห์ข้ห์อข้มูลปริมริาณความต้องการสินสิค้า ผลิตภัณฑ์ ภายในประเทศ/แต่ละภาค และตลาดต่างประเทศ ยุทธศาสตร์ที่ร์ ที่ 4 การตลาด แนวทางที่ 2 พัฒพันาขบวนการผลิตสินสิค้าและบรรจุภัณฑ์ ที่สะดวกและหรือรืพร้อร้มบริโริภค แนวทางที่ 3 การใช้เช้ครื่อรื่งหมายรับรัรองมาตรฐานสินสิค้า เกษตรและอาหาร (Q-Market) มาตรการขับขัเคลื่อนและติดตามประเมินมิผล เพื่อพื่ ให้กห้ารดำ เนินการตามยุทธศาสตร์ เป็นไปตามแผนจึงจึต้องมีกมีารขับขัเคลื่อนและติดตามประเมินมิผลเป็นระยะ ดังนี้ 1. แต่งตั้งตั้คณะกรรมการขับขัเคลื่อนและติดตาม ตามยุทธศาสตร์กร์ารพัฒพัฯการเพาะเลี้ยงปลาดุกดุจำ นวน 1 คณะ 2. จัดจั ประชุมคณะกรรมการฯ ทุกทุ 3 เดือน เพื่อพื่ติดตามและประเมินมิผลการดำ เนินงานในแต่ละประเด็นยุทธศาสตร์ 3. ประเมินมิผลเพื่อพื่ ให้ทห้ราบทิศทางและความสำ เร็จร็ของแผนจะต้องมีกมีารประเมินมิผลทุกทุปี 4. การประเมินมิผลเพื่อพื่วัดวัความสำ เร็จร็ของแผนจะต้องดำ เนินการเมื่อมื่ปฏิบัติบั ติงานครบระยะเวลา และสิ้นสิ้สุดสุยุทธศาสตร์ฯร์
ผลผลิตและมูลค่าสัตว์น้ำ จืดจากการเพาะเลี้ยง พ.ศ. 2564 – 2566 คาดการณ์ว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นใน อัตราร้อยละ 1.81 และ 3.63 ต่อปี ตามลำ ดับ ถึงแม้ว่ากรมชลประทานจะแจ้งว่าจะประสบภัยแล้งต่อเนื่องจากปี 2563 เนื่องจากฝนตกล่าช้าและไม่ตกในบริเวณพื้นที่บริเวณที่สามารถเก็บน้ำ ได้ แต่อย่างไรก็ตามโดยปกติภัยแล้งจะมีรอบการ ฟื้นตัว คาดว่าสถานการณ์ปริมาณน้ำ ในแหล่งน้ำ ธรรมชาติจะเริ่มดีขึ้นและมีเพียงพอต่อการเลี้ยงมากขึ้น ประกอบกับ ราคาปลานิลหน้าบ่อปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นชนิดสัตว์น้ำ ที่นิยมเลี้ยงมากที่สุด ความต้องการบริโภคปลานิลเพิ่มขึ้นเนื่องจาก หาง่ายในท้องถิ่น และเกษตรกรปรับเปลี่ยนวิธีการขายผลผลิตโดยใช้สื่อออนไลน์ รวมทั้งมีการแปรรูป เช่น ปลานิลแดด เดียว เป็นต้น จึงจูงใจให้เกษตรกรเริ่มกลับมาเลี้ยงใหม่อีกครั้ง โดยคาดการณ์ว่าจะมีจำ นวนฟาร์มเลี้ยงเฉลี่ย 484,219 ฟาร์มต่อปี เนื้อที่ 771,593 ไร่ต่อปีมีผลผลิตเฉลี่ย 420,835 ตันต่อปี คิดเป็นมูลค่า 26,419 ล้านบาทต่อปี โดยปลาดุกคาดการณ์ว่าจะมีจำ นวนฟาร์มเลี้ยงเฉลี่ย 79,416 ฟาร์มต่อปี (ร้อยละ 16.40) เนื้อที่ 91,678 ไร่ต่อปี(ร้อยละ 11.88) มีผลผลิตเฉลี่ย 101,526 ตันต่อปี(ร้อยละ 24.34) คิดเป็นมูลค่า 4,705 ล้านบาทต่อปี (ร้อยละ 18.12) โดยผลผลิตและมูลค่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 1.18 และ 1.89 ต่อปี ตามลำ ดับ รองจากปลานิลคาด การณ์ว่าจะยังคงมีการเพาะเลี้ยงมากที่สุด มีจำ นวนฟาร์มเลี้ยงเฉลี่ย 312,506 ฟาร์มต่อปี (ร้อยละ 64.54) เนื้อที่ 449,294 ไร่ต่อปี (ร้อยละ 58.23) มีผลผลิตเฉลี่ย 215,032 ตันต่อปี(ร้อยละ 51.56) คิดเป็น มูลค่า 10,860 ล้านบาทต่อ ปี(ร้อยละ 41.82) โดยผลผลิตและมูลค่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 2.75 และ 4.68 ต่อปี ประเทศไทยมีพันธุ์ปลาดุกพื้นบ้านที่เป็นที่รู้จักทั่วๆไป คือปลาดุกอุย (CLARIAS MACROCEPHALUS) และ ปลาดุกด้าน (CLARIAS BATRACHUS) ในอดีตมีการเพาะเลี้ยงทั้งปลาดุกอุยและ ปลาดุกด้านกันอย่างแพร่หลาย ต่อมา ได้มีการนำ ปลาดุก AFRICAN SHARP TOOTH CATFISH (CLARIAS GARIEPINUS) เข้ามาเลี้ยง เนื่องจากเป็นปลาที่มี ขนาดใหญ่ เจริญเติบโตรวดเร็ว สามารถกินอาหารได้แทบทุกชนิด มีความต้านทานโรคสูงและปรับตัวเข้ากับสภาพ แวดล้อมได้ดีแต่ปลาดุกชนิดนี้มี เนื้อเหลวและมีสีซีดขาวไม่น่ารับประทาน กรมประมงได้ให้ชื่อว่าปลาดุกเทศ สถาบันวิจัย การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ จืดได้เพาะขยายพันธุ์ปลาโดยผสมข้ามพันธุ์ระหว่างปลาดุกอุยเพศเมียกับปลาดุกเทศเพศผู้สามารถ เพาะขยายพันธุ์ได้ดีมีอัตราการเจริญเติบโตรวดเร็ว ทนทานโรค มีลักษณะใกล้เคียงกับปลาดุกอุย คู่ผสมนี้ทางกรมประมง ให้ชื่อว่า ปลาดุกอุย-เทศ หรือ บิ๊กอุย หรือ อุยบ่อ ชาวบ้านเรียกกันว่า ปลาดุกบิ๊กอุย พื้นที่การเพาะเลี้ยง จำ นวนผู้เลี้ยง และผลผลิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยมีพื้นที่เพาะเลี้ยงเกือบหนึ่งแสนไร่ และมีผู้เลี้ยงกว่าเก้าหมื่นกว่าราย ส่วนใหญ่เป็นการ เลี้ยงปลาดุกในบ่อดิน ซึ่งในระยะหลังมีการดัดแปลงใช้แผ่นพลาสติกปูก้นบ่อ และมีการเลี้ยงในบ่อซีเมนต์ บทนำ 1.1 หลักการและเหตุผล สถานการณ์การผลิตปลาดุก ปี 2565 คาดการณ์ว่ามีจำ นวนฟาร์มเลี้ยง 79,411 ฟาร์ม เนื้อที่เลี้ยง 85,640 ไร่ ปริมาณผลผลิต 97,207 ตัน มูลค่า 4,478.3 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อน จำ นวนฟาร์มเลี้ยง เนื้อที่เลี้ยง ผลผลิต และมูลค่า เพิ่มขึ้น ร้อยละ 1.3 0.7 3.1 และ 1.9 ตามลำ ดับ (ตารางที่ 1) บทที่ 1
ปี พศ. จำ นวนฟาร์ม % เนื้อที่เลี้ยง (ไร่) % ผลผลิต (ตัน) % มูลค่า (ล้านบาท) % 2556 96,995 98,687 120,328 5,865.5 2557 99,386 +2.5 97,803 -0.9 113,832 -5.4 5,621.6 -4.2 2558 92,929 -6.5 94,271 -3.6 108,534 -4.7 5,388.4 -4.1 2559 90,879 -2.2 92,351 +1.2 102,444 -5.6 4,843.6 -10.1 2560 93,652 +3.1 93,407 +1.1 105,088 +2.6 4,351.4 -10.2 2561 82,154 -12.3 94,255 +9.1 106,201 +1.1 4,667.2 +7.3 2562 83,245 +1.3 85,670 -9.1 97,151 -8.5 4,477.1 -4.1 2563* 80,481 -3.3 84,327 -1.6 93,998 -3.2 4,310.7 -3.7 2564* 78,362 -2.6 85,035 +0.8 94,277 +0.3 4,393.3 +1.9 2565* 79,411 +1.3 885,640 +0.7 97,207 +3.1 4,478.3 +1.9 ตารางที่ 1 จำ นวนฟาร์ม เนื้อที่เลี้ยง ผลผลิต และมูลค่าปลาดุกจากการเพาะเลี้ยง ปี 2556 – 2565* ที่มา : กลุ่มสถิติการประมง กองนโยบายและแผนพัฒนาการประมง กรมประมง หมายเหตุ * เป็นค่าประมาณการ ณ ไตรมาส 1/2565 ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพ ข้อมูล ปริมาณการผลิตสินค้าเกษตร เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 จากข้อมูลการเปลี่ยนแปลงพื้นที่เลี้ยงพื้นที่เลี้ยงและปริมาณผลผลิตของการเลี้ยงปลาดุก พบว่ามีอัตราการ ลดลงอย่างรวดเร็วในปี 2562 และ 2563 เป็นผลมาจาก 1) สภาวะฝนแล้งในช่วงเวลาดังกล่าว ส่วนหนึ่งเกิดจากการได้ รับอิทธิพลจากปรากฎการณ์เอลนีโญกำ ลังอ่อน ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ประมาณช่วงเดือนตุลาคมปี 2561 ต่อเนื่องมาจนถึงช่วง กลางปี 2562 ต่อมาเมื่อเข้าสู่ฤดูแล้งปี 2562/2563 (พฤศจิกายน 2562-เมษายน 2563) https://tiwrm.hii.or.th/current/2020/drought2019/summary.html (2 มีค.66) 2) การระบาดทั่วของโควิด-19 ในประเทศไทย ดำ เนินอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม 2563 และเป็นส่วนหนึ่งของการระบาดทั่วโลกของโควิด-19 โดยประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่พบผู้ป่วยยืนยันโควิด-19 ราย แรกนอกประเทศจีน และมีประกาศห้ามออกนอกเคหะสถานยามวิกาล ตั้งแต่คืนวันที่ 3 เมษายน 2563[12] พระราช กำ หนดสถานการณ์ฉุกเฉินยังสั่งงดจำ หน่ายสุราชั่วคราวและให้ประชาชนชะลอการเดินทางข้ามจังหวัด ซึ่งยกเลิกเป็น ส่วนใหญ่ในเดือนกรกฎาคมและเปิดสถานศึกษาในเดือนสิงหาคม 2563 อย่างไรก็ดี รัฐบาลยังไม่ยกเลิกสถานการณ์ ฉุกเฉิน ต่อมาพบการระบาดของโรครอบใหม่ในจังหวัดสมุทรสาครประมาณกลางเดือนธันวาคม 2563 ซึ่งสงสัยว่ามาจาก แรงงานต่างด้าวที่มีการลักลอบพาเข้าประเทศ ทำ ให้ยอดผู้ติดเชื้อในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 20 เดือนเมษายน 2564 พบการระบาดใหม่โดยมีคลัสเตอร์ที่ย่านทองหล่อและนราธิวาส https://th.wikipedia.org/wiki/การระบาดทั่ว ของโควิด-19_ในประเทศไทย (2 มีค.66)
1) ทบทวนสถาณการ์ณ และรวบรวมข้อมูลจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง เพื่อสรุปสถาณการ์ณที่เปลี่ยนแปลง ปัจจัย สภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอก ยุทธศาสตร์และนโยบายที่เกี่ยวข้องฯลฯ 2) ประชุมเชิงปฏิบัติการคณะกรรมการการจัดทำ ร่างยุทธศาสตร์การพัฒนาการเพาะเลี้ยงปลาดุก (พ.ศ. 2566- 2570) เพื่อวิเคราะห์ข้อมูล สถาณการ์ณปัจจุบัน ปัจจัยสภาพแวดล้อมภายในและภายนอก กำ หนดประเด็นท้าทาย ทบทวน/กำ หนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ ประเด็นยุทธศาสตร์ ตัวชี้วัดและค่าเป้าหมาย และการแปลงยุทธศาสตร์เป็นแผนงาน/ โครงการ เพื่อนำ ไปสู่การปฏิบัติ 3) ยกร่างยุทธศาสตร์การพัฒนาการเพาะเลี้ยงปลาดุก (พ.ศ. 2566-2570) 4) เสนอร่างยุทธศาสตร์การการพัฒนาการเพาะเลี้ยงปลาดุก (พ.ศ. 2566-2570) เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้ มีส่วนได้ส่วนเสีย และปรับปรุงเอกสารฉบับร่างฯ ให้มีความสมบูรณ์ครบถ้วน 5) เสนอขอความเห็นชอบร่างยุทธศาสตร์การเพาะเลี้ยงปลาดุก (พ.ศ.2566-2570) แก่คณะกรรมการขับเคลื่อน ยุทธศาสตร์พิจารณาให้ความเห็นขอบ จากนั้นนำ เสนอกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เห็นชอบต่อไป เพื่อเป็นกรอบแนวทางในการดำ เนินงานของแต่ละภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาปลาดุกทั้งภาครัฐและภาค เอกชนได้นำ “แผนพัฒนาการเพาะเลี้ยงปลาดุก” ไปใช้เป็นแนวทางในการดำ เนินงานเพื่อประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและผู้ส่ง ออกปลาดุกที่มีศักยภาพอันจะนำ มาซึ่งการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและสร้างความมั่นคงด้านอาหารต่อไป เมื่อสถานการณ์ดังกล่าวเริ่มคลี่คลาย พบว่ามีอัตราการเพิ่มแบบชลอตัวของพื้นที่เลี้ยง และผลผลิตในการ เลี้ยงปลาดุก เนื่องจากต้นทุนปัจจัยการผลิตของสินค้าเกษตรกรทุกประเภท และน้ำ มัน มีการปรับตัวขึ้นอย่างราวเร็วในปี 2565 จากสภาวะสงครามรัสเซียและยูเครน ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้าประมงภายในประเทศทั้งจากการจับจาก ธรรมชาติและการเพาะเลี้ยงสูงขึ้น ราคาสัตว์น้ำ บางชนิดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามสินค้าอื่น ๆ ด้วย https://www4.fisheries.go.th/local/file_document/20220522134010_1_file.pdf (2มีค.66) ดังนั้น การจัดทำ แผนพัฒนาการเพาะเลี้ยงปลาดุกในประเทศไทย ได้ให้ความสำ คัญทุกปัจจัยที่มีผลต่อการ พัฒนาปลาดุก ได้แก่ การวิจัยหรืองานพัฒนาต่อยอดงานวิจัยที่มีอยู่ ที่มีผลต่อการลดต้นทุนการผลิตและห่วงโซ่อุปทาน การควบคุมการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ เพื่อให้ได้สินค้าที่มีความปลอดภัยและคุณภาพตามมาตรฐานสากล การส่ง เสริมให้เกิดการรวมกลุ่มและการส่งเสริมด้านการตลาด หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาปลาดุก ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนได้นำ “แผนพัฒนาการเพาะเลี้ยงปลาดุกในประเทศไทย” ไปใช้เป็นแนวทางในการดำ เนินงาน เพื่อประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกปลาดุกที่มีศักยภาพอันจะนำ มาซึ่งการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและสร้างความ มั่นคงด้านอาหารต่อไป 1.2 วัตถุประสงค์ 1.3 วิธีดำ เนินการ
ผู้ที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่คุณค่า (VALUE CHAIN) มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมปลาดุกในประเทศไทย สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม (ภาพที่ 1) 1) กลุ่มต้นน้ำ เป็นกลุ่มผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการในการผลิต การจัดการการดูแลฟาร์มเลี้ยง ประกอบด้วย ผู้เลี้ยงปลาดุกอุยและปลาดุกรัสเซียเพื่อเป็นพ่อแม่พันธุ์ โรงเพาะฟักปลาดุก ซึ่งมีกลุ่มย่อยในขั้นตอนนี้คือ กลุ่มผู้เพาะจำ หน่ายลูกปลาตุ้ม กลุ่มอนุบาลลูกปลานิ้ว และกลุ่มที่เพาะฟักจนถึงอนุบาลลูกปลานิ้ว ผู้จำ หน่ายปัจจัยการ ผลิต เกษตรกรผู้เลี้ยงรายย่อย และเกษตรกรผู้เลี้ยงรายใหญ่ 2) กลุ่มกลางน้ำ เป็นผู้ประกอบการที่ทำ หน้าที่รับซื้อ รวบรวม จากกลุ่มต้นน้ำ เพื่อนำ ไปจำ หน่ายให้กับกลุ่ม ปลายน้ำ ประกอบด้วย ผู้รับซื้อปลาดุก พ่อค้าคนกลาง แพปลา และโรงงานแปรรูป 3) กลุ่มปลายน้ำ เป็นกลุ่มผู้รับซื้อผลผลิตจากกลุ่มกลางน้ำ เพื่อไปจำ หน่ายให้กับผู้บริโภค ประกอบด้วย ผู้ค้า ส่ง ผู้ค้าปลีกในตลาดสดต่างๆ ร้านค้าจำ หน่ายปลาดุกพร้อมบริโภค และร้านอาหาร 1) กรมประมงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีกรอบแนวทางในการพัฒนาการเพาะเลี้ยงปลาดุกของประเทศไทย 2) เกษตรกรและผู้ประกอบกิจการการเพาะเลี้ยงปลาดุกมีความเข้มแข็ง และเพิ่มขีดความสามารถทางการ ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ และขยายตลาดสินค้าสัตว์น้ำ 3) การวิจัยและพัฒนาด้านการเพาะเลี้ยงปลาดุก มีแนวทางที่ชัดเจนและเกิดความต่อเนื่องอย่างสัมฤทธิ์ผล 4) การบริหารจัดการภาครัฐ ภาคเกษตร และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง มีความสอดคล้องตามสถานการณ์ ของตลาดสินค้า 1.4 ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 1.5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
ผู้ค้าปากบ่อ (ปลามีชีวิต) ผู้เลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลาดุกอุยและปลาดุกรัสเซีย บริษัทเคมีภัณฑ์ และอุปกรณ์ ผู้ผลิต/ตัวแทน อาหารสำ เร็จรูป โรงเพาะฟักและอนุบาลปลานิ้ว โรงเพาะฟักและจำ หน่ายปลาตุ้ม กลุ่มจำ หน่ายปลานิ้ว ผู้เลี้ยงรายย่อย ผู้เลี้ยงรายใหญ่ ผู้รวบรวม/แพปลา (ปลามีชีวิต/ปลาที่มีการตัดแต่ง ตัวตัแทนอาหาร สดจากโรงงาน ชำ แหละไก่ ตัวตัแทนอาหาร สดจากโรงงาน ชำ แหละไก่ กลุ่มต้นน้ำ กลุ่มกลางน้ำ ตลาดกลาง โรงงานแปรรูปรู กลุ่มปลายน้ำ ผู้บริโภค/ร้านอาหาร -ปลามีชีวิต -ปลาที่มีการตัดแต่ง -ปลาที่หั่นชิ้น -ปลาพร้อมรับประทาน ตลาดต่าต่งประเทศ ภาพที่ 1 ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมการเลี้ยงปลาดุกของประเทศไทย (วิเคราะห์ กพ.66)
สถาณการ์ณการผลิตและการค้าปลาดุกภายในและต่างประเทศ 2.1 สถาณการ์ณการผลิตปลาดุกภายในประเทศ 2.1.1 จำ นวนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงปลาดุก เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงปลาดุกที่มีการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ กับกรมประมงที่หมด อายุในปี พ.ศ. 2565, 2566, 2567 และ 2568 รวม 43,845 ราย จำ แนกเป็นเลี้ยงแบบยังชีพ 38,779 ราย และเลี้ยง แบบเชิงพาณิชย์ 5,066 ราย หรือที่ร้อยละ 88.45และ 11.55 ของจำ นวนทั้งหมด ตามลำ ดับ โดยภาคตะวันออกเฉียง เหนือมีเกษตรกรขึ้นทะเบียนเลี้ยงปลาดุกมากที่สุด ร้อยละ 34.33 รองลงมา ภาคกลางที่ร้อยละ 23.98 โดยในแต่ละ ภาคมีรายละเอียดดังนี้ (ตารางที่ 2 และภาพที่ 2) ภาคเหนือ พบการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ชนิดปลาดุก กับกรมประมง รวม 7,774 ราย จำ แนกเป็นเลี้ยงแบบยังชีพ 7,357 ราย และเลี้ยงแบบเชิงพาณิชย์ 417 ราย หรือที่ร้อยละ 94.36 และ 5.64 ของจำ นวน ทั้งภาค ตามลำ ดับ โดยเกษตรกรส่วนใหญ่ขึ้นทะเบียนแบบเลี้ยงยังชีพมากกว่าร้อยละ 90 ของแต่ละจังหวัด ยกเว้น จังหวัดเชียงใหม่และอุตรดิตถ์ พบเกษตรกรขึ้นทะเบียนผู้เพาะเลี้ยงปลาดุกแบบยังชีพร้อยละ 87.10 และ 83.98 ของ แต่ละจังหวัด ตามลำ ดับ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ชนิดปลาดุก กับกรมประมง รวม 15,051 ราย จำ แนกเป็นเลี้ยงแบบยังชีพ 14,248 ราย และเลี้ยงแบบเชิงพาณิชย์ 803 ราย หรือที่ร้อยละ 94.66 และ 5.34 ของจำ นวนทั้งภาค ตามลำ ดับ โดยเกษตรกรส่วนใหญ่ขึ้นทะเบียนแบบเลี้ยงยังชีพมากกว่าร้อยละ 90 ภาคกลาง พบการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ชนิดปลาดุก กับกรมประมง รวม 10,513 ราย จำ แนกเป็นเลี้ยงแบบยังชีพ 8,023 ราย และเลี้ยงแบบเชิงพาณิชย์ 2,490 ราย หรือที่ร้อยละ 76.32 และ 23.68 ของจำ นวนทั้งภาค ตามลำ ดับ ซึ่งแตกต่างจากภาคอื่น ๆ ที่พบว่าหลายจังหวัดที่มีการขึ้นทะเบียนการเลี้ยงแบบเชิง พาณิชย์ร้อยละ 100 ได้แก่ จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรสงคราม ส่วนจังหวัดนครปฐม จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัด นครนายก จังหวัดกรุงเทพฯ และจังหวัดสุพรรณบุรี มีการขึ้นทะเบียนการเลี้ยงแบบเชิงพาณิชย์มากกว่าร้อยละ 80 ดังนี้ ร้อยละ 93.10, 92.86, 89.53, 89.23 และ 87.58 ตามลำ ดับ ภาคตะวันออก พบการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ชนิดปลาดุก กับกรมประมง รวม 1,871 จำ แนกเป็นเลี้ยงแบบยังชีพ 1,693 ราย และเลี้ยงแบบเชิงพาณิชย์ 178 ราย หรือที่สัดส่วนร้อยละ 90.49 และ 9.51 ของจำ นวนทั้งภาค เช่นเดียวกับเกษตรกรในภาคกลางพบว่าเกษตรกรส่วนใหญ่เลี้ยงปลาดุกแบบเชิงพาณิชย์ ที่มา กกว่าร้อยละ 80 ดังนี้ จังหวัดชลบุรี และจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่ร้อยละ 96.36 และ84.42 ของจำ นวนในแต่ละจังหวัด ตามลำ ดับ บทที่ 2
ภาค ประเภทฟาร์มเลี้ยง (ราย) รวม สัดส่วน (ร้อยละ) ยังชีพ พานิชย์ ภาคเหนือ 7,357 417 7,774 17.73 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 14,248 803 15,051 34.33 ภาคกลาง 8,023 2,490 10,513 23.98 ภาคตะวันออก 1,693 178 1,871 4.27 ภาคตะวันตก 1,276 106 1,382 3.15 ภาคใต้ 6,099 1,155 7,254 16.54 รวม 38,696 5,149 43,845 100.00 ภาคตะวันตก พบการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ชนิดปลาดุก กับกรมประมง รวม 1,382 ราย จำ แนกเป็นเลี้ยงแบบยังชีพ 1,276 ราย และเลี้ยงแบบเชิงพาณิชย์ 106 ราย หรือที่สัดส่วนร้อยละ 92.33 และ 7.67 ของจำ นวนทั้งภาค โดยจังหวัดราชบุรีพบเกษตรกรส่วนใหญ่เลี้ยงปลาดุกแบบเชิงพาณิชย์ ที่ร้อยละ 63.24 ของจังหวัด รองลงมาเป็นจังหวัดเพชรบุรี ร้อยละ 56.00 ของจังหวัด ภาคใต้ การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ชนิดปลาดุก กับกรมประมง รวม 7,254 ราย จำ แนก เป็นเลี้ยงแบบยังชีพ 6,099 ราย และเลี้ยงแบบเชิงพาณิชย์ 1,155 ราย หรือที่สัดส่วนร้อยละ 84.08 และ 15.92 ของ จำ นวนทั้งภาค โดยจังหวัดภูเก็ต และจังหวัดพัทลุง พบเกษตรกรส่วนใหญ่เลี้ยงปลาดุกแบบเชิงพาณิชย์ ที่ร้อยละ 42.31 และ 40.96 ในแต่ละจังหวัด ตารางที่ 2 จำ นวนเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาดุกตามประเภทฟาร์มเลี้ยง ข้อมูลจากการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์ น้ำ (ทบ.1) ของกรมประมง ที่หมดอายุในปี 2565-2568 ยังชีพ พาณิชย์ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก ภาคใต้ 100 % 75 % 50 % 25 % 0 % ภาพที่ 2 สัดส่วนผู้เลี้ยงปลาดุกตามประเภทฟาร์มเลี้ยงในแต่ละภาค ข้อมูลจากการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยง สัตว์น้ำ (ทบ.1) ของกรมประมง ที่หมดอายุในปี 2565-2568 5.36% 94.64 % 94.66% 5.34% 76.32% 23.68% 90.49% 9.51% 92.33% 7.67% 84.08% 15.92%
ภาพที่ 2 สัดส่วนผู้เลี้ยงปลาดุก ตามประเภทฟาร์มเลี้ยงรายจังหวัด ในแต่ละภาค ข้อมูลการขึ้นทะเบียน เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (ทบ.1) ของกรมประมง ที่หมดอายุ ในปี 2565-2568
2.1.2 พื้นที่เลี้ยงและผลผลิต การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ชนิดปลาดุก กับกรมประมง พบพื้นที่รวม 49,598 ไร่ ผลผลิต รวม 67,520.44 ตันต่อปี และมีผลผลิตต่อไร่เฉลี่ย 1,425.61 กิโลกรัมต่อไร่ โดยพื้นที่การเลี้ยงในบ่อดินมากที่สุด 48,122 ไร่ ผลผลิต 66133.70 ตันต่อปี และมีผลผลิตต่อไร่เฉลี่ย 1,374.30 กิโลกรัมต่อไร่ การเลี้ยงในกระชังให้ผลผลิตเฉลี่ย สูงสุด 3,582.11 กิโลกรัมต่อไร่ โดยมีรายละเอียดแต่ละภาค ดังนี้ (ตารางที่ 2) ตารางที่ 2 จำ แนกตามประเภทการเลี้ยงปลาดุกของเกษตรกร ข้อมูลจากการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (ทบ.1) ของกรมประมง ที่หมดอายุในปี 2565-2568 ประเภทการเลี้ยง พื้นที่เลี้ยง (ไร่) ผลผลิตรวม (ตัน/ปี) ผลผลิตเฉลี่ย (กิโลกรัมต่อไร่) บ่อดิน 48,122 66,133.70 1,374.30 นา 488 311.85 638.49 บ่อซีเมนต์ 178 211.34 1,189.26 กระชัง 50 178.86 3,582.11 บ่อพลาสติก 355 232.47 655.10 ร่องสวน 406 452.21 1,114.37 รวม (เฉลี่ย) 49,598 67,520.44 (1,425.61) ภาคเหนือ มีพื้นที่เพาะเลี้ยง 4,304 ไร่ ผลผลิตรวม 4,754.36 ตันต่อปี พบมีการเลี้ยงในบ่อดินมากที่สุด 4,231 ไร่ ผลผลิตจากบ่อดิน 4,579.03 ตันต่อปี โดยจังหวัดที่มีพื้นที่เลี้ยงในบ่อดินสูง ได้แก่ จังหวัดเชียงราย จังหวัด พะเยา และจังหวัดลำ ปาง มีพื้นที่เลี้ยง 1,167, 991 และ 949 ไร่ โดยจังหวัดที่มีผลผลิตจากบ่อดินสูง ได้แก่ จังหวัด เชียงราย และจังหวัดเชียงใหม่ มีผลผลิต 1,774.74 และ 923.22 ตันต่อปี ส่วนผลผลิตในบ่อดินมีค่าเฉลี่ย 1,082.29 กิโลกรัมต่อไร่ โดยจังหวัดที่พบมีผลผลิตต่อไร่สูง ได้แก่ จังหวัด เชียงใหม่ จังหวัดเชียงราย และจังหวัดลำ พูน พบมีผลผลิตเฉลี่ย 3,794.06, 1,520.56 และ 1,269.03 กิโลกรัมต่อไร่ ตาม ลำ ดับ และพบการเลี้ยงในกระชัง ให้ผลผลิตต่อไร่สูง 15,826.05 กิโลกรัมต่อไร่ (ตารางที่ 3)
พื้นที่เลี้ยง (ไร่) ผลผลิตเฉลี่ย (กก./ไร่) 0 1,000 2,000 3,000 4,000 เชียงใหม่ เชียงราย ลำ พูน ลำ ปาง พะเยา แม่ฮ่องสอน แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ ประเภทการเลี้ยง พื้นที่เลี้ยง (ไร่) ผลผลิตรวม (ตัน/ปี) ผลผลิตเฉลี่ย (กิโลกรัม/ไร่) บ่อดิน 4,231 4,579.03 1,082.29 นา 0.1 0.03 400.00 บ่อซีเมนต์ 26 13.57 529.55 กระชัง 6 88.71 15,826.05 บ่อพลาสติก 25 48.87 1,962.53 ร่องสวน 17 15.16 882.09 รวม (เฉลี่ย) 4,304 4,745.36 (1,102.48 ) ประเภทการเลี้ยง พื้นที่เลี้ยง (ไร่) ผลผลิตรวม (ตัน/ปี) ผลผลิตเฉลี่ย (กิโลกรัม/ไร่) บ่อดิน 13,354 18,714.55 1,401.46 นา 439 299.79 683.53 บ่อซีเมนต์ 48 23.82 499.28 กระชัง 33 62.01 1,886.40 บ่อพลาสติก 85 31.91 373.81 ร่องสวน 21 27.54 1,289.63 รวม (เฉลี่ย) 13,979 19,159.62 1,370.55 พื้นที่เลี้ยง (ไร่) ผลผลิตเฉลี่ย (กก./ไร่) 0 1,000 2,000 3,000 4,000 5,000 นครราชสีมา สกลนคร กาฬสินธุ์ มหาสารคาม เลย บุรีรัมย์ อุบลราชธานี ชัยภูมิ ร้อยเอ็ด ขอนแก่น อุดรธานี หนองคาย ศรีสะเกษ หนองบัวลำ ภู สุรินทร์ ยโสธร มุกดาหาร นครพนม บึงกาฬ อำ นาจเจริญ ตารางที่ 3 จำ แนกตามประเภทการเลี้ยงปลาดุกของเกษตรกรใน ภาคเหนือ ข้อมูลจากการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์ น้ำ (ทบ.1) ของกรมประมง ที่หมดอายุในปี 2565-2568 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบพื้นที่เพาะเลี้ยง 13,979 ไร่ ผลผลิตรวม 19,159.62 ตันต่อปี พบมีการ เลี้ยงในบ่อดินมากที่สุด 13,354 ไร่ ผลผลิตรวม 18,714.55 ตันต่อปี จังหวัดที่มีพื้นที่การเลี้ยงในบ่อดินสูง ได้แก่ จังหวัด ชัยภูมิ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดร้อยเอ็ด และจังหวัดสุรินทร์ มีพื้นที่เลี้ยง 1,584, 1,403, 1,292,1,179 และ 1,100 ไร่ ตามลำ ดับ โดยมีผลผลิตจากการเลี้ยงในบ่อดินสูง ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัด มหาสารคาม และจังหวัดกาฬสินธุ์ ผลผลิตต่อปี 5,976.49, 2,449.11 และ 2,246.87 ตันต่อปี ส่วนผลผลิตในบ่อดินมีค่าเฉลี่ย 1,401.46 กิโลกรัมต่อไร่ โดยจังหวัดที่พบมีผลผลิตต่อไร่สูง ได้แก่ จังหวัด นครราชสีมา จังหวัดสกลนคร และจังหวัดกาฬสินธุ์ พบมีผลผลิตเฉลี่ย 4,259.49, 3,348.67 และ 2,879.45 กิโลกรัมต่อ ไร่ ตามลำ ดับ และพบการเลี้ยงในกระชังและในร่องสวน ให้ผลผลิตต่อไร่สูง 1,886.40 และ 1,289.63 กิโลกรัมต่อไร่ (ตารางที่ 4) ตารางที่ 4 จำ แนกตามประเภทการเลี้ยงปลาดุกของเกษตรกรใน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ข้อมูลจากการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (ทบ.1) ของกรมประมง ที่หมดอายุในปี 2565- 2568 การเลี้ยงในบ่่อดิน รายจังหวัด ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การเลี้ยงในบ่่อดิน รายจังหวัด ในภาคเหนือ
ประเภทการ เลี้ยง พื้นที่เลี้ยง (ไร่) ผลผลิตรวม (ตัน/ ปี) ผลผลิตเฉลี่ย (กิโลกรัมต่อไร่) บ่อดิน 20,912 34,782.28 1,663.24 นา 37 7.73 211.74 บ่อซีเมนต์ 14 14.51 1,038.74 กระชัง 6 2.30 403.12 บ่อพลาสติก 57 71.98 1,254.48 ร่องสวน 87 32.85 379.58 รวม (เฉลี่ย) 21,112 34,911.65 (1,653.60) พื้นที่เลี้ยง (ไร่) ผลผลิตเฉลี่ย (กก./ไร่) 0 5,000 10,000 15,000 20,000 อ่างทอง สระบุรี กรุงเทพมหานคร สุพรรณบุรี ลพบุรี นนทบุรี ปทุมธานี กำ แพงเพชร สมุทรสาคร นครสวรรค์ พระนครศรีอยุธยา นครนายก สมุทรปราการ นครปฐม พิจิตร สิงห์บุรี พิษณุโลก ชัยนาท เพชรบูรณ์ สมุทรสงคราม อุทัยธานี สุโขทัย ตารางที่ 6 จำ แนกตามประเภทการเลี้ยงปลาดุกของเกษตรกรในภาคตะวันออก ข้อมูลจากการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (ทบ.1) ของกรมประมง ที่หมดอายุในปี 2565-2568 ประเภทการเลี้ยง พื้นที่เลี้ยง (ไร่) ผลผลิตรวม (ตัน/ ปี) ผลผลิตเฉลี่ย (กิโลกรัม/ไร่) บ่อดิน 48,122 66,133.70 1,374.30 นา 488 311.85 638.49 บ่อซีเมนต์ 178 211.34 1,189.26 กระชัง 50 178.86 3,582.11 บ่อพลาสติก 355 232.47 655.10 ร่องสวน 406 452.21 1,114.37 รวม (เฉลี่ย) 49,598 67,520.44 (1,425.61) พื้นที่เลี้ยง (ไร่) ผลผลิตเฉลี่ย (กก./ไร่) 0 1,000 2,000 3,000 4,000 ฉะเชิงเทรา ชลบุรี จันทบุรี ระยอง ปราจีนบุรี ตราด สระแก้ว ภาคกลาง มีพื้นที่เพาะเลี้ยง 21,112 ไร่ ผลผลิตรวม 34,911.65 ตัน พบมีการเลี้ยงในบ่อดินมากที่สุด 20,912 ไร่ ปริมาณผลผลิตจากบ่อดิน 34,782.28 ตันต่อปี โดยจังหวัดสุนครสวรรค์ จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดนครนา นก มีการเลี้ยงในบ่อดินสูงสุด 3,138, 2,964 และ 2,361 ไร่ และจังหวัดอ่างทอง จังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดปทุมธานี มีผลผลิตรวม 7,281.51, 4,420.47 และ 4,407.12 ตันต่อปี ส่วนผลผลิตในบ่อดินเฉลี่ย 1,663.24 กิโลกรัมต่อไร่ โดยจังหวัดที่มีผลผลิตเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ จังหวัด อ่างทอง และจังหวัดสระบุรี มีผลผลิตในบ่อดินเฉลี่ย 15,538.08 และ 3,628.25 กิโลกรัมต่อไร่ (ตารางที่ 5) ตารางที่ 5 จำ แนกตามประเภทการเลี้ยงปลาดุกของเกษตรกร ในภาคกลาง ข้อมูลจากการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้เพาะ เลี้ยงสัตว์น้ำ (ทบ.1) ของกรมประมง ที่หมดอายุในปี 2565- 2568 ภาคตะวันออก มีพื้นที่เพาะเลี้ยง 4,922 ไร่ ผลผลิตรวม 1,532.27 ตันต่อปี พบมีการเลี้ยงในบ่อดิน 4,890 ไร่ ผลผลิตจากบ่อดิน 1,519.85 ตันต่อปี โดยจังหวัดสระแก้ว และจังหวัดชลบุรี มีพื้นที่เลี้ยงในบ่อดินมากที่สุด 3,841 และ 596 ไร่ ตามลำ ดับ และจังหวัดชลบุรีและจังหวัดฉะเชิงเทรา พบมีผลผลิตต่อปีสูง 610.98 และ 335.30 ตันต่อปี การเลี้ยงในบ่่อดิน รายจังหวัด ในภาคกลาง ส่วนผลผลิตผลิตต่อไร่ในบ่อดินเฉลี่ย 310.79 กิโลกรัมต่อไร่ โดยจังหวัดฉะเชิงเทรา และจังหวัด ชลบุรี มีผลผลิตเฉลี่ย 1,317.85 และ 1,025.28 กิโลกรัมต่อไร่ (ตารางที่ 6) การเลี้ยงในบ่่อดิน รายจังหวัด ในภาคตะวันออก
ประเภทการเลี้ยง พื้นที่เลี้ยง (ไร่) ผลผลิตรวม (ตัน/ปี) ผลผลิตเฉลี่ย (กิโลกรัม/ไร่) บ่อดิน 950 687.82 723.87 นา 4 1.00 250.00 บ่อซีเมนต์ 5 2.87 524.24 บ่อพลาสติก 2 2.00 922.81 รวม (เฉลี่ย) 962 693.69 721.22 พื้นที่เลี้ยง (ไร่) ผลผลิตเฉลี่ย (กก./ไร่) 0 500 1,000 1,500 ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี กาญจนบุรี ตาก ประเภทการเลี้ยง พื้นที่เลี้ยง (ไร่) ผลผลิตรวม (ตัน/ปี) ผลผลิตเฉลี่ย (กิโลกรัม/ไร่) บ่อดิน 3,784 5,850.18 1,545.89 นา 7 3.00 413.79 บ่อซีเมนต์ 72 149.75 2,075.45 กระชัง 4 24.55 6,228.59 บ่อพลาสติก 183 75.71 413.93 ร่องสวน 267 374.67 1,402.07 รวม (เฉลี่ย) 4,318 6,477.85 1,500.26 ตารางที่ 7 จำ แนกตามประเภทการเลี้ยงปลาดุกของเกษตรกรในภาคตะวันตก ข้อมูลจากการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (ทบ.1) ของกรมประมง ที่หมดอายุในปี 2565-2568 ภาคตะวันตก มีพื้นที่เพาะเลี้ยง 962 ไร่ ผลผลิตรวม 693.69 ตันต่อปี พบมีการเลี้ยงในบ่อดินมากที่สุด 950 ไร่ ผลผลิตรวม 687.82 ตันต่อปี โดยจังหวัดตากและ จังหวัดราชบุรี เลี้ยงในบ่อดินมากที่สุด 410 และ 237 ไร่ โดย จังหวัดราชบุรี และจังหวัดกาญจนบุรี มีผลผลิตรวมสูงสุด 347.06 และ 133.65 ตันต่อปี ส่วนผลผลิตในบ่อดินเฉลี่ย 723.87 กิโลกรัมต่อไร่ โดยจังหวัดที่พบมีผลผลิตเฉลี่ยสูง ได้แก่ จังหวัดราชบุรี ได้ ผลผลิตเฉลี่ย 1,463.22 กิโลกรัมต่อไร่ การเลี้ยงในบ่่อดิน รายจังหวัด ในภาคตะวันตก ภาคใต้ มีพื้นที่เพาะเลี้ยง 4,318 ไร่ ผลผลิตรวม 6,477.85 ตันต่อปี พบมีการเลี้ยงในบ่อดินมากที่สุด 3,784 ไร่ ผลผลิตจากบ่อดิน 5,850.18 ตันต่อปี โดยจังหวัดนครศรี - ธรรมราช พบการเลี้ยงในบ่อดินมากที่สุด 953 ไร่ รองลงมาเป็น จังหวัดพัทลุง 627 ไร่ โดยจังหวัดพัทลุง และจังหวัดนครศรี- ธรรมราช มีผลผลิตรวมสูง 1,875.45 และ 1,057.46 ตันต่อปี ส่วนผลผลิตต่อไร่เฉลี่ย 1,500.26 กิโลกรัมต่อไร่ โดย จังหวัดที่พบมีผลผลิตเฉลี่ยสูง ได้แก่ จังหวัดพังงา จังหวัดพัทลุง และจังหวัดสงขลา พบผลผลิตเฉลี่ย 3,048.71, 2,863.56 และ 2,462.39 กิโลกรัมต่อไร่ และพบการเลี้ยงในบ่อซีเมนต์ มีแนว โน้มให้ผลผลิตเฉลี่ยสูง (ตารางที่ 8) ตารางที่ 8 จำ แนกตามประเภทการเลี้ยงปลาดุกของเกษตรกรใน ภาคใต้ ข้อมูลจากการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (ทบ.1) ของกรมประมง ที่หมดอายุในปี 2565-2568 พื้นที่เลี้ยง (ไร่) ผลผลิตเฉลี่ย (กก./ไร่) 0 1,000 2,000 3,000 พัทลุง พังงา สงขลา ยะลา ปัตตานี กระบี่ สุราษฎร์ธานี ตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ชุมพร สตูล ระนอง ภูเก็ต การเลี้ยงในบ่่อดิน รายจังหวัด ในภาคใต้
จากการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (ทบ.1) ของกรมประมง ที่หมดอายุในปี 2565-2568 ประเภทฟาร์มเพาะพันธุ์ รวม 477 ฟาร์ม โดยจำ แนกเป็น ฟาร์มเพาะฟักและอนุบาล 247 ฟาร์ม เพาะฟักอย่างเดียว 8 ฟาร์ม และอนุบาลอย่างเดียว 222 ฟาร์ม โดยภาคกลางขึ้นทะเบียนฯ ประเภทฟาร์มเพาะพันธุ์สูง 306 ฟาร์ม ส่วน ผลผลิตลูกพันธุ์ปลาดุกสำ หรับบ่อเลี้ยง รวม 1,922.01 ล้านตัวต่อปี โดยผลผลิตส่วนใหญ่มาจากฟาร์มเพาะฟักและ อนุบาลมากที่สุด 2,516.40 ล้านตัว โดยภาคกลางมีผลผลิตลูกปลาดุกลงสู่บ่อเลี้ยงสูงสุด 1,616.74 ล้านตัว และพบ ฟาร์มอนุบาลลูกปลาดุกในภาคตะวันตก ต้องนำ ลูกปลาตุ้มจากภูมิภาคอื่นมาอนุบาลในฟาร์ม โดยมีรายละเอียดแต่ละ ภาค ดังนี้ (ตารางที่ 9 และตารางที่ 10) 2.1.3 โรงเพาะฟักปลาดุก ตารางที่ 9 จำ แนกตามประเภทฟาร์มเพาะพันธุ์ปลาดุก จากการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (ทบ.1) ของ กรมประมง ที่หมดอายุในปี 2565-2568 ประเภทประเภทฟาร์มเพาะพันธุ์ ภาค เพาะฟักและอนุบาล เพาะฟักอย่างเดียว อนุบาลอย่างเดียว รวม (ฟาร์ม) ภาคเหนือ 3 - 1 4 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 104 6 15 125 ภาคกลาง 109 2 195 306 ภาคตะวันออก 16 - 1 17 ภาคตะวันตก 2 - 2 4 ภาคใต้ 13 - 8 21 รวม 247 8 222 477 ตารางที่ 10 จำ นวนผลผลิตลูกปลาดุก (ล้านตัว) จำ แนกตามประเภทโรงเพาะฟัก จากการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้เพาะ เลี้ยงสัตว์น้ำ (ทบ.1) ของกรมประมง ที่หมดอายุในปี 2565-2568 ประเภทฟาร์มเพาะพันธุ์ ภาค เพาะฟักและอนุบาล เพาะฟักอย่างเดียว อนุบาลอย่างเดียว รวม (ล้านตัว) ภาคเหนือ 1.80 - 0.03 1.77 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 147.06 3.52 22.72 127.86 ภาคกลาง 2,165.25 9.50 558.02 1,616.74 ภาคตะวันออก 143.70 - 8.00 135.70 ภาคตะวันตก 0.07 - 3.10 -3.04 ภาคใต้ 58.52 - 15.54 42.98 รวม 2,516.40 13.02 607.41 1,922.01
2.1.4 ตลาดภายในประเทศที่สำ คัญ - ผู้ค้าหรือผู้รวบรวมปลา ธุรกิจเลี้ยงปลาเพื่อการค้าจำ เป็นต้องขายผ่านผู้ค้าคนกลาง เพราะการจับแต่ละครั้ง เกษตรกรต้องงดอาหาร ปลาล่วงหน้าอย่างน้อย 2 วัน ให้สอดคล้องกับช่วงเวลาที่ต้องขนส่งไปขายต่อให้ผู้ค้าปลีก เกษตรกรต้องอาศัยคนกลาง คนกลางคนแรกที่ซื้อปลาเนื้อจากเกษตรกร เรียกว่า “ผู้ค้าปากบ่อ” เป็นคนกลางที่ซื้อขายปลาเพื่อขายเอง และเป็น คนกลางที่เชื่อมโยงกับผู้ค้าอาหารและผู้ค้าปลีก ผู้ค้าปากบ่อจึงมีความสำ คัญต่อระบบตลาดปลา เป็นผู้ประกอบการที่ ใกล้ชิดและมีความสัมพันธ์กับเกษตรกรที่สุด โดยทั่วไปผู้ค้าปากบ่อจะคิดส่วนเหลื่อมการตลาด 3-5 บาทต่อกิโลกรัม โดย ผู้ค้าปากบ่อจะช่วยจัดการขายปลาให้ได้ราคายุติธรรมตามราคาตลาด ซึ่งบางครั้งผู้ค้าปากบ่อกับพ่อค้าปลีกตกลงซื้อขาย และมารับปลาที่ปากบ่อเลย หรือบางครั้งผู้ค้าปากบ่อจะจับปลาจากปากบ่อไปส่งให้ผู้ค้าปลีก ซึ่งจะมีความเสี่ยงในกรณีที่ ปลาไม่แข็งแรงหรือยอมขายขาดทุนเมื่อนำ ปลาไปส่งแล้วได้ราคาต่ำ กว่าราคาซื้อ เพราะมีปลาเข้าสู่ตลาดจำ นวนมาก ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเชื่อใจจากผู้เลี้ยงปลา โดยก่อนตกลงซื้อขายจะมีการลองจับปลาและประเมินราคาปลา กำ หนดราคาปลา ตามปริมาณและขนาดปลาที่มีขนาดต่างกัน ซึ่งเรียกปลาแต่ละขนาดต่างกัน เช่น - ปลาดุกขนาด 600 กรัมต่อตัว เรียก ปลาหั่น - ปลาดุกขนาด 4-6 ตัวต่อกิโลกรัม เรียก ปลาขาย - ปลาดุกขนาด 7-8 ตัวต่อกิโลกรัม เรียก ปลากรอบ การขนส่งปลาดุกและการรวบรวมปลาดุก คนกลางซื้อจากปากบ่อมักใช้รถหกล้อซึ่งบรรจุลังขนปลาได้ 100 ลัง รถกระบะขนได้ 50 ลัง โดยบรรจุปลาดุกมีชีวิตในลังพลาสติก ลังละ 50 กิโลกรัม หรือใช้พลาสติกอย่างหนาปูพื้นรถ กระบะ นอกจากผู้ค้าปากบ่อแล้วยังมีผู้รับจ้างขนส่งซึ้งอาจจะเป็นคนกลางรับซื้อด้วย โดยปลาดุกที่รวบรวมได้จะส่งไปยัง แพปลาที่รวบรวม เพื่อส่งต่อไปยังพ่อค้าขายส่งหรือตลาดกลางที่รับซื้อปลาน้ำ จืด หรือพ่อค้าปลีก ปลาดุกเนื้องามๆ 5-6 ตัวโล พิกัด อ.ตระการพืชผล จ.อุบลฯ สนใจติดต่อด่วน.. คุณ นงลักษณ์ แก้วลี โทร 061932 3413 ปลาดุกแดดเดียว ขนาดปลาดุก 7-8 ตัวโล น้ำ ปลา 1 ถ้วยตวง นำ ตาล ทรายแดง 2 ช้อนโต๊ะ น้ำ มันพืชและผลชูรส เล็กน้อย @KruaKruKeaw HTTPS://FOOD.GRAB.COM/TH/EN/RESTAURANT/
- ตลาดกลางและการบริโภคปลาดุก ตลาดกลางที่เป็นแหล่งซื้อขายปลาน้ำ จืดขนาดใหญ่ ได้แก่ ตลาดบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ตลาดรังสิต จังหวัดปทุมธานี ตลาดลาดกระบัง จังหวัดกรุงเทพฯ และสะพานปลากรุงเทพฯ วิถีการตลาดปลาในภาคอีสานของ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พบว่าปลาน้ำ จืด (ปลาดุก ปลาช่อน และปลาหมอเทศ) ซึ่งขนส่งในลักษณะแช่น้ำ ไว้ระหว่าง การขนส่ง และวางขายในตลาดนั้นจะผ่านมือผู้รวบรวมจากภาคกลางแล้วส่งให้ พ่อค้าขายส่งมือ1, 2 จนกระทั่งถึงพ่อค้า ขายปลีก การบริโภคภายในประเทศ จากผลผลิตปลาดุกมีชีวิตที่คาดการในปี 2565 รวม 97,207 ตัน มีการนำ เข้า 500 ตัน และส่งออก 950 ตัน มีผลผลิตที่บริโภคภายในประเทศ 96,757 ตัน จากจำ นวนประชากรในเดือนธันวาคม 2565 มีประมาณ 66.09 ล้านคน และช่วงอายุ 20 - 80 ปี คาดว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีการบริโภคปลาดุก 49.83 ล้าน คน ก็จะบริโภคปลาดุกเฉลี่ย 1.94 กิโลกรัมต่อคนต่อปี https://stat.bora.dopa.go.th/stat/statnew/statMONTH/statmonth/#/displayData (2 มีค.66) HTTPS://WWW.PALANGKASET.COM/ การขนส่งแบบมีชีวิต
เทคโนโลยีหรือเครื่องมือที่เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงปลาดุกนำ มาใช้ ปัจจุบันเป็นการเลี้ยงเพื่อลดต้นทุนโดยใช้ อาหารสมทบ ดังนี้ 2.1.5 เทคโนโลยีปัจจุบันที่เกษตรกรนำ มาใช้ 1) งานวิจัยภายในประเทศ งานวิจัยด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการเพาะเลี้ยงปลาดุก เพื่อลดต้นทุนการเลี้ยง เป็นสิ่งที่นักวิจัย ของหน่วยงานรัฐในส่วนกรมประมง สถาบันการศึกษา และองค์กรต่างๆ ให้ความสำ คัญ รวมถึงการนำ วิจัยนำ ไปใช้ ประโยชน์ในการพัฒนาการเพาะเลี้ยงปลาดุกเพื่อลดต้นทุน ดังนี้ กรมประมง...จับงานวิจัยปัดฝุ่น หนุนใช้ประโยชน์จริง พัฒนาสูตรอาหารเลี้ยงปลาดุกเพื่อลดต้นทุน ช่วยเกษตรกร กรมประมงร่วมกับองค์การ บริหารส่วนตำ บลละหาร จังหวัดนนทบุรี จัดฝึกอบรมโครงการ “การผลิต อาหารสัตว์น้ำ เพื่อลดต้นทุนในการเลี้ยงสัตว์น้ำ ” ให้แก่เกษตรกรจำ นวน 50 ราย เมื่อช่วงปลายปี 2563 ที่ผ่านมา โดยได้ นำ องค์ความรู้จากงานวิจัยถ่ายทอดให้ เกษตรกรได้ทำ การปรับปรุงสูตรอาหารในการเลี้ยงปลาดุกเพื่อให้สามารถลดค่าใช้ จ่ายได้มากขึ้น ซึ่งแต่เดิมเกษตรกรใช้ โครงไก่บดและเศษวัตถุดิบที่เหลือจากโรงงานอุตสาหกรรม เช่น เศษขนมปัง เศษ อาหารไก่ กากมันวัว มาผสมรวมกัน โดยไม่มีสัดส่วนที่แน่นอน ทำ ให้เวลาให้อาหารปลาในบ่อ อาหารจะเหลวละลายน้ำ เร็ว ต้องใช้ปริมาณอาหารจำ นวนมาก และยังส่งผลให้น้ำ ในบ่อเลี้ยงเน่าเสียได้ง่ายอีกด้วย แต่หลังจากที่เกษตรกรได้นำ หลักความรู้ในการฝึกอบรมไปใช้ในการ ผลิตอาหารสัตว์น้ำ อย่างเหมาะสม กลับพบว่าสามารถลดต้นทุนค่าอาหารในการ เลี้ยงได้ถึง 30-40 เปอร์เซ็นต์ https://www4.fisheries.go.th/local/file_document/20210416141012_new.pdf (2มีค.66)
โดยสูตรอาหารสำ หรับเลี้ยงปลาดุกอย่างง่ายที่กรมประมงแนะนำ มีดังนี้ วัตถุดิบ อาหาร 10 กิโลกรัม อาหาร 1 กิโลกรัม 1. อาหารปลานิล/ปลาดุกโปรตีน ๓๐-๓๒% 3.2 กิโลกรัม 320 กรัม ๒. โครงไก่บดสด 8.8 กิโลกรัม 880 กรัม ๓. เศษขนมปัง/เศษอาหารไก่ 4.5 กิโลกรัม 450 กรัม ๔. ยีสต์ขนมปัง 50 กรัม 5 กรัม ๕. วิตามินและแร่ธาตุรวม 5-10 กรัม .05-1.0 กรัม รวม 10 กิโลกรัม 1 กิโลกรัม การทดลองเลี้ยงปลาดุกลูกผสม (บิ๊กอุย) ในบ่อลอยที่ปูด้วยแผ่นพลาสติก ระหว่างแถวต้นยางพารา เพื่อ ศึกษาเปรียบเทียบอัตราการเจริญเติบโต อัตราการรอดตาย อัตราการเปลี่ยนอาหารเป็น เนื้อ และต้นทุนค่าอาหาร ของ การเลี้ยงปลาดุกลูกผสม ที่เลี้ยงด้วยอาหารที่ผลิตขึ้นใช้เองกับอาหารเม็ดสำ เร็จรูป การทดลองจะใช้กากเนื้อเมล็ดใน ปาล์มน้ำ มันเป็นส่วนผสมอาหาร โดยผลิตอาหารที่มีโปรตีน 35% และมีกากเนื้อเมล็ดในปาล์มน้ำ มันผสมในสูตรอาหาร 30% นำ ไปเลี้ยงปลาดุกลูกผสม เปรียบเทียบกับการเลี้ยงด้วยอาหารเม็ดปลาดุกสำ เร็จรูป วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 6 เดือน พบว่า มีการเจริญเติบโตไม่แตกต่างกัน (P >0.05) แต่ชุดการทดลองที่ได้รับอาหารผลิตเองช่วยลดต้นทุนค่า อาหารลงได้ 10.98 บาท/ปลา 1 กก. คิดเป็น 20.69 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับอาหารเม็ดปลาดุกสำ เร็จรูป ซึ่งเป็นทาง เลือกใหม่ในการเลี้ยงปลาระหว่างแถวต้นยางพารา เพื่อเป็นรายได้เสริม และเป็นการใช้ประโยชน์พื้นที่ในสวนยางให้เกิด ประโยชน์สูงสุด (วัฒนา และคณะ 2561) การเจริญเติบโตของปลาดุกลูกผสมที่เลี้ยงด้วยอาหารผสมไส้ไก่สด คือ อาหารเม็ดสาเร็จรูป (CONTROL) เป็นอาหารที่ขายในท้องตลาด อาหารผสมไส้ไก่ 25 (MCV 25), 30 (MCV30) และ 35 (MCV 35) เปอร์เซ็นต์ เป็นอาหาร เม็ดจมผลิตเองและไส้ไก่สด (FCV) เลี้ยงลูกปลาดุกลูกผสม ขนาดเริ่มต้น 7.62±0.2 เซนติเมตร น้าหนัก 10.69±0.7 กรัม เลี้ยงในกระชังขนาด 1 ลูกบาศก์เมตร ในอัตรา 30 ตัวต่อกระชัง ให้อาหารกินจนอิ่ม 3 ครั้งต่อวัน ตลอดระยะเวลาการ ทดลอง 72 วัน เมื่อสิ้นสุดการทดลองพบว่าผลการตรวจสอบคุณค่าทางโภชนาการของอาหาร พบว่า เปอร์เซ็นต์โปรตีน ในอาหารทดลองมีผลดังนี้ อาหารไส้ไก่สด มีเปอร์เซ็นต์โปรตีน 16.18±0.00 เปอร์เซ็นต์ และสูตรอาหาร 4 สูตร มี เปอร์เซ็นต์โปรตีนอยู่ระหว่าง 30.19±0.07, 30.26±0.06, 29.94±0.11 และ 29.94±0.09 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งไม่แตกต่างกัน ทางสถิติ (P>0.05) ผลการเจริญเติบโตของปลาดุกลูกผสม พบว่าน้ำ หนักที่เพิ่มขึ้น อัตราการเจริญเติบโตต่อวัน และ อัตราการเจริญเติบโตจาเพาะของปลาดุกลูกผสมที่เลี้ยงด้วยอาหารผสมไส้ไก่ 30 และ 35 เปอร์เซ็นต์ ไม่แตกต่างกันทาง สถิติ (P>0.05) อัตราการเปลี่ยนอาหารเป็นเนื้อของอาหารไส้ไก่สด มีค่าต่ำ ที่สุดและแตกต่างอย่างมีนัยสำ คัญทางสถิติ (P<0.05) ประสิทธิภาพการใช้โปรตีนและอัตราการรอดตายของปลาดุกลูกผสมที่เลี้ยงด้วยไส้ไก่สดมีค่าต่ำ ที่สุด ในขณะที่ ปลาดุกลูกผสมที่เลี้ยงด้วยอาหารเม็ดสำ เร็จรูป และอาหารผสมไส้ไก่ 30 และ 35 เปอร์เซ็นต์ มีค่าไม่แตกต่างกัน
2.2 สถาณการ์ณการผลิตปลาดุกต่างประเทศ 2) งานวิจัยต่างประเทศ ลูกปลาดุกแอฟริกัน (CLARIAS GARIEPUNUS) น้ำ หนักประมาณ 70 กรัม ถูกอนุบาลในกระชัง ขนาด 300 ลบ.ม. ด้วยอัตราความหนาแน่น 22 ตัว/ ลบ.ม. ในอ่างเก็บน้ำ TUYBUGUZ (ประเทศอุซเบกิสถาน) โดยมี การให้อาหารโดยใช้ เศษไก่สดบด และปลาป่น ในอัตราส่วน 60:40 จนกระทั่งลูกปลามีน้ำ หนักประมาณ 500 กรัม (22 กรกฏาคม 2021) ระหว่างช่วงเวลาการเลี้ยงปลาจากน้ำ หนัก 500 กรัม ถึง 1,000 กรัม (ถึง 1 กันยายน 2021) ปรับ อาหารให้เฉพาะเศษไก่บดเพียงอย่างเดียว โดยปลาที่มีขนาดใหญ่กว่า 1,000 กรัม (ถึง 15 ตุลาคม 2021) อาหารที่ใช้ เลี้ยง ได้แก่ ขา หัวและ เครื่องในของไก่ ระยะเวลาในการเลี้ยงปลาดุก 5 เดือน จะได้น้ำ หนักปลาเฉลี่ย 1300 กรัม. FCR ช่วงที่เลี้ยงด้วย เศษไก่สดบด และปลาป่น = 2.5 FCR ช่วงที่เลี้ยงด้วย ขา หัวและ ไส้และอวัยวะภายในของไก่ = 3.1 FCR ช่วงที่เลี้ยงไก่บดและเครื่องใน=4.1 https://iopscience.iop.org/article/10.1088/1755-1315/1068/1/012039/pdf (2 มีค.66) อย่างไรก็ตามการบูรณาการองค์ความรู้ด้านงานวิจัยต่างๆ ยังมีความสำ คัญเพื่อนำ ไปสู่บทสรุปหรือแนวทาง การผลิตปลาดุกที่มีคุณภาพในทุกขั้นตอนของขบวนการผลิต เพื่อลดต้นทุนการผลิต และศึกษาแนวโน้มและสถาณการ์ณ ที่มีการการนำ เข้า นอกจากนี้การวิจัยที่เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อหาแนวทางการพัฒนาคุณภาพการเลี้ยงที่มี ความปลอดภัยตามมาตรฐานความต้องการของตลาด ปริมาณการผลิตที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และเพิ่ม ความสำ เร็จในการเลี้ยงที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสร้างความยั่งยืนให้กับผู้เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่อุปทาน และ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกให้ดียิ่งขึ้น เนื่องจากการประมงที่จับได้ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมาในหลายประเทศ โดยทั่วไปการเพาะ เลี้ยงสัตว์น้ำ คาดว่าจะเติบโตเพื่อตอบสนองความต้องการ อย่างไรก็ตามการผลิตปลาดุกในประเทศแอฟริกาตอนใต้ส่วน ใหญ่อยู่ในระดับต่ำ แม้ว่าภูมิภาคนี้จะมีอุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุดสำ หรับการเพาะเลี้ยงพันธุ์ปลาน้ำ จืด 2.2.1 ความสำ เร็จและความท้าทายของการเลี้ยงปลาดุกในอุตสาหกรรมขนาดเล็กในแอฟริกาใต้ ในแอฟริกาตอนใต้ การเลี้ยงปลาดุกเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่สำ คัญที่สุดของการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ในแผ่นดิน และส่วนใหญ่เป็นฟาร์มขนาดเล็ก ซึ่งได้รับผลกระทบจากข้อจำ กัดหลายประการ ซึ่งส่งผลต่อความสามารถใน การทำ กำ ไรของภาคส่วนนี้ ความท้าทายเหล่านี้รวมถึงคุณภาพของระบบการผลิต การจัดหาลูกปลาที่มีคุณภาพ อาหาร สัตว์ การจัดการโรค การศึกษาและการฝึกอบรมเกษตรกร การตลาดและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การเข้าถึงแหล่งเงินทุน ความสามารถในการวิจัย การขยายบริการ และในระดับกรอบการกำ กับดูแลและนโยบาย ดังนั้นการแทรกแซงที่จำ เป็น ในการปรับปรุงการผลิตปลาดุกในแอฟริกาใต้ ตัวอย่างเช่นความจำ เป็นสำ หรับฟาร์มขนาดเล็กที่จะต้องเปลี่ยนจากระบบ การเพาะเลี้ยงแบบเข้มข้นไปสู่ระบบการเพาะเลี้ยงขั้นสูง เช่น ระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ หมุนเวียนและระบบการเพาะ เลี้ยงสัตว์น้ำ แบบผสมผสาน เช่น อะควาโปนิกส์ เพื่อเพิ่มการผลิตปลาดุก ด้านผลตอบแทนที่ได้รับ พบว่าปลาดุกลูกผสมที่เลี้ยงด้วยอาหารผสมไส้ไก่ 35 เปอร์เซ็นต์ ให้ผลกำ ไรสูงสุด คือ 12 บาทต่อผลผลิตทั้งหมด ดังนั้น สามารถสรุปได้ว่า อาหารผสมไส้ไก่ 35 เปอร์เซ็นต์ เหมาะสมสำ หรับการเลี้ยงปลา ดุกลูกผสมเพื่อให้ได้ผลผลิตที่สูงที่สุดและ ผลตอบแทนดีที่สุด (วีรภัทร, 2558)
การเลี้ยงปลาดุกที่จะเติบโตอย่างรวดเร็วในแอฟริกาใต้ ต้องเผชิญกับข้อจำ กัดหลายแง่มุม ซึ่งจำ เป็นต้องมี การแทรกแซงที่รุนแรงและเร่งด่วนในระดับการวิจัยฟาร์ม และรัฐบาล ตัวอย่างเช่น มีความจำ เป็นต้องมุ่งเน้นไปที่การนำ ระบบการผลิตขั้นสูงมาใช้เพื่อปรับปรุงการเติบโตของฟาร์มเลี้ยง นอกจากนี้ยังจำ เป็นต้องให้ความสำ คัญกับการพัฒนา เทคโนโลยีการปรับปรุงพันธุ์ขั้นสูงเพื่อพัฒนาสายพันธุ์ที่ดีขึ้น และลูกปลาที่มีคุณภาพสูง จำ เป็นต้องมีศูนย์เพาะพันธุ์เพิ่ม ขึ้นในภูมิภาคนี้เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนลูกปลา ดังนั้นจึงแนะนำ ให้เร่งรัดโครงการวิจัยต่างๆ เช่น การเก็บรักษาเซลล์สเปิร์มด้วยความเย็น และการพัฒนา พ่อแม่พันธุ์ที่มีโครโมโซมแบบ POLYPLOIDY รัฐบาลควรพิจารณาวิธีการเพิ่มเงินทุนในฟาร์มขนาดเล็กเพื่อให้เกษตรกร สามารถนำ เทคโนโลยีการเกษตรล่าสุด ที่จำ เป็นมาใช้ในการปรับปรุงการผลิต ต้องพยายามจัดให้มีการฝึกอบรมเชิง ปฏิบัติการเป็นประจำ เกี่ยวกับการเลี้ยงสัตว์ขั้นพื้นฐาน (เช่น การให้อาหาร การจัดการโรค และการตรวจสอบคุณภาพ น้ำ ) เพื่อช่วยให้เกษตรกรประสบความสำ เร็จในการดำ เนินฟาร์มของตน https://www.intechopen.com/chapters/84597 (2 มีค.66) การสำ รวจดำ เนินการโดยใช้แบบสอบถามที่มีโครงสร้างและการสัมภาษณ์ปากเปล่า ฟาร์มตัวอย่าง แบ่งออกเป็นฟาร์มขนาดเล็กและขนาดใหญ่เพื่อวิเคราะห์ความสามารถในการทำ กำ ไรและการจัดการการดำ เนินงาน ใน ขณะที่การประเมินโดยรวมของตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพส่วนใหญ่แสดงให้เห็นว่าการเลี้ยงปลาดุกในพื้นที่ศึกษาสามารถทำ กำ ไรได้ ฟาร์มขนาดใหญ่ทำ งานได้ดีกว่าฟาร์มขนาดเล็กในตัวบ่งชี้ทั้งหมดที่ประเมินด้วยรายได้สุทธิของฟาร์ม (NFI) อัตราส่วนต้นทุนผลประโยชน์ ( BCR), อัตรากำ ไรจากการดำ เนินงาน (OPM) และอัตราส่วนรวม (GR) ที่ รายได้สุทธิ 2,611,811 ไนรา (0.076 บาท/1ไนรา), 1.25, 18.5 และ 19.5 ตามลำ ดับสำ หรับฟาร์มขนาดใหญ่ และรายได้สุทธิ 17,247 ไนรา, 0.97, −11.06 และ −6.93 ตามลำ ดับสำ หรับฟาร์มขนาดเล็ก การจัดการปัจจัยการผลิตส่งผลต่อความ สามารถในการทำ กำ ไรของเกษตรกร โดยเกษตรกรรายย่อยใช้จ่ายเฉลี่ย 703 ไนราต่อปลาหนึ่งกิโลกรัมที่ผลิต เทียบกับ ปลาราคา 598.5 ไนรา/กิโลกรัมที่ผลิตโดยฟาร์มขนาดใหญ่ ความสามารถในการทำ กำ ไรของฟาร์มได้รับอิทธิพลจาก ประสบการณ์หลายปีของเกษตรกร เกษตรกรรายย่อยส่วนใหญ่ (84%) มีประสบการณ์น้อยกว่า 10 ปี นอกจากต้นทุนใน การดำ เนินการแล้ว ประสิทธิภาพการจับปลาที่ไม่ดียังถือเป็นข้อจำ กัดที่สำ คัญของเกษตรกรอีกด้วย มีความจำ เป็นต้อง ปรับปรุงการจัดการพ่อแม่พันธุ์ และดำ เนินการความเป็นไปได้ในการจัดทำ โปรแกรมการผลิตพ่อแม่พันธุ์ที่จะอำ นวย ความสะดวกในการจัดหาลูกปลาที่มีคุณภาพอย่างเพียงพอ แนะนำ ให้ฝึกอบรมที่มีประสิทธิภาพและบริการเสริมที่ได้รับ การปรับปรุงเพื่อให้แน่ใจว่าการเลี้ยงปลาดุกในไนจีเรียมีกำ ไรและยั่งยืน https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S0044848622003088 (2 มีค.66) 2.2.2 การประเมินประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจในปัจจุบันของการผลิตปลาดุกในไนจีเรีย โดยใช้การวิเคราะห์ ความสามารถในการทำ กำ ไรโดยใช้กรณีศึกษาของ FEDERAL CAPITAL TERRITORY การผลิตสัตว์น้ำ ในไนจีเรียเติบโต ขึ้นอย่างมากในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา การเลี้ยงปลาดุกมีสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของผลผลิตการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ทั้งหมดของประเทศ อย่างไรก็ตาม ผลผลิตลดลงตั้งแต่ปี 2558 และมีรายงานว่าเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาดุกบางรายเลิกเลี้ยง ปลา
ผลิตภัณฑ์ ปริมาณ (ตัน) มูลค่า (ล้านบาท) โดยปริมาณ (ร้อยละ) แช่แข็ง 503.17 32.51 52.92 แบบแช่เย็น 19.53 0.71 2.05 มีชีวิต 425.73 15.44 44.78 แปรรูป 2.34 0.64 0.25 รวม 950.77 49.30 100.00 2.2.3 ประสิทธิภาพการผลิตของคู่แข่งที่สำ คัญ ประเทศมาเลเซีย การค้าปลาดุกบริเวณชายแดนไทย-มาเลเซีย ปลาดุกที่นำ เข้าจากประเทศมาเลเซีย เป็น ปลาดุกมีชีวิตทั้งหมด พบมีการนำ เข้าปลาดุก 2 ชนิด คือ 1.1 ปลาดุกบิ๊กอุย ชื่อสามัญ Hybrid walking catfish ชื่อวิทยาศาสตร์ Clarias macrocephalus gariepinus เป็นปลาลูกผสมระหว่างปลาดุกอุยกับปลาดุกอัฟริกัน 1.2 ปลาดุกอัฟริกัน ชื่อสามัญ Sharptooth ชื่อวิทยาศาสตร์ Clarias gariepinus ปลาดุกบิ๊กอุยและปลาดุกอัฟริกันที่นำ เข้ามาจากประเทศมาเลเซีย เป็นปลาดุกที่เลี้ยงในรัฐปีนัง และ รัฐอิโป เป็นส่วนใหญ่ผู้รับซื้อจากประเทศไทยนำ รถเข้าไปรับปลาในเขตประเทศมาเลเซีย บริเวณลานขนถ่ายสินค้า ด้วยรถ กระบะหรือรถบรรทุกหกล้อ ใช้ลังไม้บุด้วยสังกะสี ขนาด 50 X 100 ตร.ซม. หรือถังขนาด 200 ลิตร ตัดครึ่งเป็นบรรจุ ภัณฑ์ในการลำ เลียง จะใส่ปลาดุกได้ประมาณ 40–50 กก./ลัง ปลาดุกที่นำ เข้าจากประเทศ มาเลเซีย จะส่งขายเฉพาะใน เขตภาคใต้เท่านั้น เช่น จังหวัดสงขลา จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดพัทลุง จังหวัด สุราษฎร์ธานี จังหวัดภูเก็ต และ ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 17.79 บาท (ประวิทย์ และ ศรายุทธ์ (2557) ปี 2565 ประเทศไทยนำ เข้าปลาดุกจากประเทศ มาเลเซีย ราคาเฉลี่ย 37.76 บาทต่อกิโลกรัม (ข้อมูลจากด่านตรวจประมง ณ วันที่ 7 กพ. 66) 2.3. ปริมาณและมูลค่าผลผลิตและการส่งออกปลาดุกของประเทศไทย 1) ปริมาณการส่งออกปลาดุกและผลิตภัณฑ์ ปี 2565 ปริมาณ 950.77 ตัน มูลค่า 49.30 ล้านบาท สัดส่วน การส่งออกปลาดุกมีชีวิตโดยปริมาณร้อยละ 44.78 แช่แข็งร้อยละ 52.92 แช่เย็นร้อยละ 2.05 และแปรรูป ร้อยละ 0.25 โดยปลาดุกมีชีวิตส่งออกโดยปริมาณ ไปประเทศสปป.ลาวร้อยละ 77.36 ประเทศเมียนมาร์ ร้อยละ 22.55 ส่วนปลาดุก แช่แข็ง ส่งออกไปประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ร้อยละ 59.99 และญี่ปุ่นร้อยละ 15.83 (ตารางที่ 11-13) นอกจากนี้ยังมีการส่งออกลูกพันธุ์ปลาดุกไปยังประเทศต่างๆ จำ นวน 99,803,120 ตัว มูลค่า 21,900,936 บาท โดยจำ นวนลูกปลาดุกที่ส่งออกไปประเทศมาเลเซียมากที่สุด 56,898,360 ตัว รองลงมาประเทศ สปป.ลาว 42,889,760 ตัว ประเทศกัมพูชา 10,000 ตัว และประเทศเมียนมาร์ 5,000 ตัว (ตารางที่ 14) ตารางที่ 11 ปริมาณและมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ปลาดุกปี 2565 ข้อมูลจากด่านตรวจประมง ณ วันที่ 7 กพ. 66
ประเทศปลายทาง ปริมาณ (ตัน) มูลค่า (ล้านบาท) โดยปริมาณ (ร้อยละ) สปป. ลาว 329.35 11.88 77.36 เมียนมาร์ 96.00 3.54 22.55 กัมพูชา 0.38 0.02 0.09 รวม 425.73 15.44 100 ประเทศปลายทาง ปริมาณ (ตัน) มูลค่า (ล้านบาท) โดยปริมาณ (ร้อยละ) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 301.87 10.99 59.99 ญี่ปุ่น 79.63 7.39 15.83 สหรัฐอเมริกา 30.12 6.70 5.99 ซาอุดีอาระเบีย 28.28 1.84 5.62 กาตาร์ 17.62 1.40 3.50 ออสเตรเลีย 12.55 1.28 2.49 ฝรั่งเศส 11.05 1.17 2.20 เกาหลีใต้ 7.90 0.67 1.57 บาห์เรน 7.89 0.48 1.57 สหราชอาณาจักร 2.63 0.17 0.52 สิงคโปร์ 2.10 0.14 0.42 สมาพันธรัฐสวิส 1.53 0.28 0.30 รวม 503.18 32.51 100.00 ตารางที่ 12 ปริมาณและมูลค่าการส่งออกปลาดุกมีชีวิต ปี 2565 ข้อมูลจากด่านตรวจประมง ณ วันที่ 7 กพ. 66 ตารางที่ 13 ปริมาณและมูลค่าการส่งออกปลาดุกแช่แข็ง ปี 2565 ข้อมูลจากด่านตรวจประมง ณ วันที่ 7 กพ. 66
ประเทศปลายทาง จำ นวน (ตัว) มูลค่า (บาท) มาเลเซีย 56,898,360 10,095,088 สปป. ลาว 42,889,760 11,796,348 กัมพูชา 10,000 5,000 เมียนมาร์ 5,000 4,500 รวม 99,803,120 21,900,936 ผลิตภัณฑ์ ปริมาณ(ตัน) มูลค่า (ล้านบาท) โดยปริมาณ (ร้อยละ) แช่แข็ง 75.00 3.77 14.99 มีชีวิต 425.35 15.22 85.01 แปรรูป - - - รวม 500.35 18.99 100.00 ตารางที่ 14 ปริมาณการส่งออกลูกพันธุ์ปลาดุก ในปี 2565 ข้อมูลจากด่านตรวจประมง ณ 7 กพ.66 2) การนำ เข้า ปริมาณการนำ เข้าปลาดุกและผลิตภัณฑ์ มีปริมาณ 500.35 ตัน มูลค่า 18.99 ล้านบาท สัดส่วน การนำ เข้าของปลาดุกมีชีวิต ร้อยละ 85.01 นำ เข้ามาจากประเทศมาเลเซีย เป็นปลาดุกแอฟริกา และปลาดุกแช่แข็ง ร้อยละ 14.99 นำ เข้ามาจากประเทศจีน เป็นปลาดุกอุยเทศ (ตารางที่ 15) ตารางที่ 15 ปริมาณและมูลค่าการนำ เข้าผลิตภัณฑ์ปลาดุก ปี 2565 ข้อมูลจากด่านตรวจประมง
2.4 ความท้าทายในการเลี้ยงปลาดุกในประเทศไทย 2.4.1 ส่วนของเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงปลาดุก 1. ต้นทุนการผลิตการเลี้ยงปลาดุกสูงตามการเลี้ยงที่ปล่อยพันธุ์ปลาหนาแน่น ต้นทุนหลักคือ ค่าอาหารซึ่งสูงเกินครึ่งหนึ่งของต้นทุนรวม การเลี้ยงปลาดุกของเกษตรกรใน อำ เภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา พบมีต้นทุนการเลี้ยงต่อบ่อ 177,462.90 บาท จำ แนกเป็นตัน ทุนค่าอาหารที่ใช้เลี้ยงคือ อาหารสำ เร็จรูปร่วมกับเศษเนื้อสัตว์จากโรงฆ่าสัตว์ 109,675.75 บาท ต่อบ่อ หรือที่ร้อยละ 60.68 ของต้นทุนทั้งหมด 2. แหล่งผลิตลูกพันธุ์ปลาดุกส่วนใหญ่อยู่ใน พื้นที่ภาคกลาง การขนส่งลูกพันธุ์สู่ผู้เลี้ยงผ่านคนกลาง ซึ่งการรักษาคุณภาพลูกพันธุ์ได้ไม่ดีนัก และมีราคาสูง 3. การเลี้ยงที่หนาแน่นเกินไป มีผลต่อ การเจริญเติบโต การคำ นวณปริมาณอาหารที่ใช้ไม่ สมดุลกับปริมาณปลาในบ่อเลี้ยง การจัดการคุณภาพ น้ำ และสภาพแวดล้อมภายในบ่อเลี้ยงไม่เพียงพอ 4. การเพิ่มผู้เลี้ยงและพื้นที่เลี้ยงปลาดุกรายใหม่ในเชิงพานิชย์ มีความเป็นไปได้ น้อย เนื่องจากการใช้พื้นที่ด้านอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น และการที่ผู้เลี้ยงรายใหม่จะเข้าสู่ระบบ การเลี้ยงต้องมีสายสัมพันธ์กับผู้จำ หน่ายอาหารสัตว์น้ำ ทั้งอาหารสำ เร็จรูปและอาหารสมทบ จากโรงฆ่าสัตว์ เนื่องจากต้นทุนส่วนนี้มีมูลค่าสูง รวมถึงผู้รวบรวมหรือผู้รับซื้อปลาจากหน้าบ่อ 5. กลุ่มผู้เลี้ยงรายย่อยหรือแบบยังชีพ ที่เลี้ยงปลาดุกเป็นอาชีพเสริม เพื่อการบริโภคภายใน ครัวเรือนและชุมชน ซึ่งกลุ่มนี้ยังขาดความรู้ความเข้าใจในการเลี้ยงปลาดุก และการบริหารจัดการบ่อ เลี้ยง และทำ ให้ผลผลิตที่ได้ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง 6. กลไกลการเลี้ยง การจับผลผลิต และตลาดของปลาดุก ขึ้นอยู่กับพ่อค้าคนกลาง นายทุน และบริษัทใน ลักษณะพันธะสัญญา ดังนั้นการกำ หนดราคาขายสำ หรับเกษตรกร ทำ ให้ขาดอำ นาจการต่อรองราคา ขาดธรรมภิบาล ระหว่างกลุ่มทุนกับเกษตรกรผู้เลี้ยง 7. การแปรรูปผลผลิตภัณฑ์จากปลาดุก ขาดการทำ การตลาดที่ต่อเนื่อง ซึ่งการแปรรูปเป็นทางเลือกหนึ่ง ของเกษตรกรที่สามารถเพิ่มมูลค่าได้ ในช่วงที่ราคาปลาตกต่ำ ซึ่งเหมาะกับผู้เลี้ยงรายย่อยและมีแรงงานเพียงพอ 8. โรคที่พบในการเลี้ยงปลาดุก ส่วนใหญ่พบในช่วงฤดูหนาวและฤดูร้อน จากการเปลี่ยนผ่านฤดูกาลดังกล่าว จากการผันผวนของอากาศในรอบวัน ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย โดยเกษตรกรที่ตรวจสอบพบอาการก่อโรคได้ทัน ท่วงที จะใช้ยารักษาโรคสัตว์น้ำ ผสมกับอาหารให้ปลาดุกกิน ร่วมกับการเปลี่ยนถ่ายน้ำ และสาดเกลือแกงประมาณ 30- 60 กิโลกรัมต่อไร่ ส่วนเกษตรกรที่เลี้ยงปลาดุกเป็นอาชีพเสริมยังขาดความชำ นาญในการการสังเกตอาการก่อโรค ทำ ให้ การรักษาไม่ทันท่วงทีเกิดความเสียหาย
2.4.2 ส่วนของหน่วยงานภาครัฐและสถานศึกษา 1. ข้อมูลการเลี้ยงสัตว์น้ำ ของหน่วยงานจากการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (ทบ.1) ยังไม่ สะท้อนข้อมูลการเลี้ยงที่ครบถ้วน เนื่องจากการขาดแรงจูงใจในการขึ้นทะเบียนฯ ของเกษตรกร ซึ่งกลไกลภาครัฐเป็น เรื่องของความสมัครใจ ทำ ให้การประเมินสถานการณ์การผลิตต่ำ กว่าความเป็นจริง การที่หน่วยงานของรัฐจะเข้าไป สนับสนุนทั้งทางด้านวิชาการ หรือการเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มผู้เลี้ยง ขาดความต่อเนื่องในการพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ไปสู่มาตรฐานการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ที่ดี (GAP) หรือการเฝ้าระวังเรื่องโรคและสารตกค้างที่ต้องห้ามในการเลี้ยงสัตว์น้ำ ซึ่ง มีความจำ เป็นต่อตรวจสอบย้อนกลับได้ (TRACEABILITY) ในการพัฒนาการส่งอออกปลาดุก ต่อไป 2. การส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าสัตว์น้ำ โดยการแปรรูป พบว่าเกษตรกรผู้เลี้ยงส่วนใหญ่ขาดแรงงานในการ แปรรูปซึ่งเป็นการสร้างภาระเพิ่มให้กับผู้เลี้ยง 3. ผลิตภัณฑ์แปรรูปปลาดุก ได้รับการยอมรับในระดับของฝาก แต่ยังขาดการยอมรับที่จะเป็นสินค้า ประจำ วัน ดังนั้นการทำ การตลาดอย่างต่อเนื่อง การสร้างการรับรู้ใหม่เรื่องราวของการเลี้ยง การผลิต ที่ได้มาตรฐาน สินค้าที่ดี และสร้างรูปลักษณ์ผลิตภัณฑ์ของสินค้าที่มีความเฉพาะถิ่น เช่น ปลาดุกร้า
การวิเคราะห์นโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนพัฒนาที่เกี่ยวข้อง 3.1 การวิเคราะห์ข้อมูลจากเอกสาร 1 ความมั่นคง 2 สร้าง ความสามรถ ในการแข่งขัน 3 พัฒนาและเสริมริ สร้างทรัพยากร มนุษย์ 4 สร้างโอกาสและ ความเสมอภาค ทางสังคม 6 ปรับสมดุลย์และ พัฒนาระบบการ บริกริารจัดการ ภาครัฐ 5 สร้างการเติบโตบน คุณภาพชีวิตวิ ที่เป็นมิตรต่อ สิ่งแวดล้อม บทที่ 3 ยุทธศาสตร์การพัฒนาปลาดุก (พ.ศ.2563 -2565) ใช้ข้อมูลประกอบจากหลายภาคส่วน นำ มาวิเคราะห์และ สรุปผล ดังนี้ ข้อมูลจากเอกสาร ได้แก่ กรอบยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (2560-2579) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566-2570) ยุทธศาสตร์กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) การ พัฒนาสู่ประเทศไทย 4.0 (THAILAND 4.0) เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGS) แผนปฏิบัติราชการกรมประมง (พ.ศ. 2564 - 2570) ข้อมูลจากการประชุมเชิงปฏิบัติการ โดยระดมความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากทุกภาคส่วน ทั้ง จากภาคราชการและเอกชน และผู้มีประสบการ์ณจากหลากหลายสาขาที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลที่ได้นำ มาวิเคราะห์ในการวาง กรอบยกร่าง ยุทธศาสตร์การพัฒนาการเพาะเลี้ยงปลาดุก (2566-2570) ดังนี้ 3.1.1 นโยบายของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ วิสัยทัศน์ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศ ที่พัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนา ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” เป้าหมาย “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข เศรษฐกิจพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สังคมเป็นธรรม ฐานทรัพยากรธรรมชาติยั่งยืน” ยุยุยุทยุธศาสต์ต์ต์ชต์าติติติติ20 ปีปีปีปี
เป้าหมาย การพัฒนาที่มุ่งเน้น การยกระดับ ศักยภาพ ของประเทศ ในหลากหลายมิติ 1. ยุทธศาสตร์ที่ 2 ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน แนวคิด 3 ประการ “ต่อยอดอดีต” “ปรับปัจจุบัน” “สร้างคุณค่าใหม่ ในอนาคต” ประเด็นที่เกี่ยวข้อง การเกษตรสร้างมูลค่า ให้ความส่าคัญ การเพิ่มผลิตภาพการผลิต ทั้งเชิงปริมาณและมูลค่า และความหลากหลายของ สินค้าเกษตร ประกอบด้วย เกษตรอัตลักษณ์ พื้นถิ่น 2. เกษตร ปลอดภัย 3 4 5 เกษตร ชีวภาพ เกษตร อัจฉริยะ เกษตร แปรรูป ยุทธศาสตร์ที่ 5 ด้านการสร้างสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป้าหมายการพัฒนา ที่ยั่งยืนในทุกมิติ ด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจ ด้านธรรมาภิบาล ด้านสิ่งแวดล้อม ความเป็นหุ้นส่วน ความร่วมมือระหว่างกัน ทั้งภายในและภายนอก ประเทศอย่างบูรณาการ ใช้พื้นที่เป็นตัวตั้งในการ กำ หนดกลยุทธ์ และแผนงาน ให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ได้เข้ามามีส่วนร่วม ในแบบทางตรง ให้มากที่สุด
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566-2570) ระบุทิศทางและประเด็นการพัฒนาที่ ประเทศควรให้ความสำ คัญและมุ่งดำ เนิน การในระยะ 5 ปีที่สองของ ยุทธศาสตร์ชาติ จึงจำ เป็นต้องมีการปรับกระบวนทัศน์ในการ จัดทำ แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 – 2570) ให้เป็นแผนที่มีความชัดเจนในการ กำ หนดทิศทางและเป้าหมายการพัฒนา ประเทศ จึงได้กำ หนดหมุดหมายการ พัฒนา จำ นวน 13 หมุดหมาย ซึ่งเป็นการ บ่งบอกถึงสิ่งที่ประเทศไทยปรารถนาจะ “เป็น” หรือมุ่งหวังจะ “มี” เพื่อสะท้อน ประเด็นการพัฒนาที่มีลำ ดับ ความสำ คัญสูงต่อการพลิกโฉมประเทศไทยสู่ “สังคมก้าวหน้า เศรษฐกิจ สร้างมูลค่าอย่าง ยั่งยืน” โดยหมุดหมาย ทั้ง 13 ประการ แบ่งออกได้เป็น 4 มิติ เกี่ยวข้องกับภาค การพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ คือ หมุดหมายที่ 1 ไทยเป็นประเทศชั้นนำ ด้านสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูง หมุดหมายที่ 5 ไทยเป็นประตูการค้าการลงทุนและยุทธศาสตร์ทางโลจิสติกส์ที่สำ คัญของภูมิภาค หมุดหมายที่ 7 ไทยมีวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เข้มแข็งมีศักยภาพสูงและสามารถแข่งขันได้ ไทยมีความยากจนข้ามรุ่นลดลง และคนไทยทุกคนมีความคุ้มครองทางสังคมที่เพียงพอ เหมาะสม หมุดหมายที่ 9 หมุดหมายที่ 10 ไทยมีเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ หมุดหมายที่ 12 ไทยมีกำ ลังคนสมรรถนะสูง มุ่งเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ตอบโจทย์การพัฒนาแห่งอนาคต หมุดหมายที่ 13 ไทยมีภาครัฐที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ประชาชน
ยุทธศาสตร์ที่ 1 การสรางความเขมแข็งใหกับเกษตรกรและ สถาบันเกษตรกรโดยมีแนวทางการสรางความเขม แข็งใหกับเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร (Smart Farmer,Smart Group, Smart Enterprise) เสริม สร้าง ความภาคภูมิใจ และความมั่นคงในการ ประกอบอาชีพ เกษตรกรรม และบริหารจัดการ แรงงานภาคเกษตร และเทคโนโลยีเพื่อทดแทน แรงงาน อยางเปนระบบรองรับสังคมเกษตรสูงอายุ ยุทธศาสตร์ที่ 2 การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและยกระดับมาตร ฐานสินคาเกษตร โดยการพัฒนาประสิทธิภาพการ ผลิต และคุณภาพมาตรฐานสินคาสู มาตรฐานระดับ สากล โดยใช้วิทยาศาสตรเทคโนโลยีและ ความ รูแบบองครวม สงเสริมการเกษตรตลอดโซ่อุปทาน สอดคลองกับความตองการของตลาดและมูลคาสูง มุงสูการเปนฟารมอัจฉริยะ ยุทธศาสตร์ที่ 3 การเพิ่มความสามารถในการแขงขันภาคการ เกษตรดวยเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยการพัฒนา เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อการขับเคลื่อนเกษตร 4.0 ภายใต THAILAND 4.0 บริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเกษตร ให้เกษตรกรเขาถึง และนําไปใช้ประโยชนไดอยางทั่วถึง พัฒนางานวิจัย และสารสนเทศให้ไปสูเชิงพาณิชย ประชาสัมพันธ์ และเชื่อมโยงเครือขายขอมูลในระดับโลก ยุทธศาสตร์ที่ 4 การบริหารจัดการทรัพยากรการเกษตรและสิ่ง แวดลอมอยางสมดุลและยั่งยืน โดยการบริหาร จัดการทรัพยากรการเกษตรอยางยั่งยืนที่ สอดคลอง กับ SDGs (Sustainable Development Goals) ฟนฟูและอนุรักษทรัพยากรการเกษตรใหมีความ สมดุลและยั่งยืน ยุทธศาสตร์ที่ 5 การพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ โดยการ พัฒนาบุคลากรและนักวิจัยให้เปน Smart officers และ Smart researchers เชื่อมโยงและบูรณากา รการทํางานของหนวยงานทุกภาค สวน โดยกลไก ประชารัฐและปรับระบบบริหารงานใหทันสมัย ปรับปรุงและพัฒนากฎหมายดาน การเกษตรเพื่อ รองรับบริบทการเปลี่ยนแปลง ยุทธศาสตร์กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระยะ 20 ปี (2560-2579)
โมเดลใหม่ ของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทยที่มุ่งปรับ เปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่ ‘เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อน ด้วยนวัตกรรม’(Value–Based Economy) เพื่อก้าว ข้ามกับดักประเทศรายได้ปานกลาง เมื่อบริบททาง เศรษฐกิจเกิดการเปลี่ยนแปลง ทำ ให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมการผลิต ต้องปรับตัว เพื่อให้ธุรกิจอุตสาหกรรมสามารถเติบโต ท่ามกลางบริบทใหม่ทางเศรษฐกิจได้อย่างเข้มแข็งและ ยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นใน“ไทยแลนด์ 4.0”เป็นการเปลี่ยนจากรูปแบบเดิมๆ (Old Fashion หรือ Tradition ) ในโลกยุค Analog ไปสู่ ความทันสมัย (Modern หรือ Smart) ใน โลกยุค Digital ซึ่งจะทำ ให้เกิดการ เปลี่ยนแปลง 4 เรื่อง คือ 1. การเปลี่ยนแปลงในภาคการเกษตร จากเกษตรแบบดั้งเดิม (TRADITIONAL FARMING) ไปสู่เกษตร สมัยใหม่ที่เน้นการบริหารจัดการ และ เทคโนโลยี (SMART FARMING) เพื่อให้เกษตรกรร่ำ รวยขึ้น และมีความเป็นผู้ประกอบการ ( ENTREPRENEUR) 2. การเปลี่ยนแปลงในภาคธุรกิจและภาคการผลิต โดยเฉพาะ SMES จาก TRADITIONAL SMES ที่รัฐต้องช่วยเหลือตลอดเวลาไปสู่การเป็น SMART ENTERPRISES และ STARTUPS ที่สามารถพึ่ง ตนเองได้ และมีศักยภาพการแข่งขันสูง ตลอดจนเน้น การใช้นวัตกรรม และเทคโนโลยี ในกระบวนการผลิต และจัดการ เพื่อสร้างราคาและกำ ไรสูง 3.การเปลี่ยนแปลงภาคบริการ จาก TRADITION SERVICESที่กำ ไรต่ำ ไปสู่ HIGH VALUE SERVICES ที่เน้นคุณค่า มูลค่าเพิ่มนวัตกรรมและเทคโนโลยี ที่ทำ ไว้ ลูกค้าพร้อมจ่ายในราคาที่สูงขึ้นเพื่อสร้าง กำ ไรได้มาก 4. การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ จากแรงงานทักษะต่ำ (UNSKILLED LABOR) ไปสู่ แรงงานที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ และทักษะสูง (SKILLED LABOR) ผ่านกระบวนการปรับปรุง กระบวนการการศึกษา การเรียนรู้ และฝึกอบรม เพื่อสร้างPRODUCTIVITY ของประเทศให้สูงขึ้น และแรงงานไทยมีค่าจ้างแรงงานที่สูงขึ้น
การพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGS) เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SUSTAINABLE DEVELOPMENT GOALS : SDGS) เป็นเป้าหมายเกี่ยวกับ การพัฒนาระดับนานาชาติซึ่งจัดทำ ขึ้น โดยององค์กรสหประชาชาติ เป้าหมายโลกแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืนนี้ ได้เผยแพร่และใช้แทนเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ ที่หมด อายุเมื่อสิ้นปี 2558 โดย SDGS เป็นทิศทางการพัฒนาตั้งแต่ปี 2558 - 2573 ประกอบด้วยเป้าหมายหลัก 17 เป้าหมาย และ เป้าประสงค์ 169 ข้อ โดยเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการ เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ คือ ขจัด ความยากจน ขจัดความยากจนไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใดหรือที่ใดก็ตาม ขจัด ความอดอยาก ยุติความหิวโหย บรรลุเป้าความมั่นคงทางอาหาร อาชีพและเศรษฐกิจที่ดี. ส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง ครอบคลุมและยั่งยืน การใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนและรับผิดชอบ ทำ ให้แน่ใจว่ามีการบริโภคและรูปแบบการผลิตที่ยั่งยืน การใช้ทรัพยากรในมหาสมุทรอย่างยั่งยืนเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน การใช้ที่ดินอย่างยั่งยืน ปกป้อง บูรณะและส่งเสริมการใช้ระบบนิเวศน์วิทยาบนดินและจัดการทรัพยากรจากป่าอย่างยั่งยืน สันติและความยุติธรรม ส่งเสริมสังคมทีมีความสงบสุข การร่วมมือกันเพื่อ การพัฒนาอย่างยั่งยืน
เพิ่มรายได้ส่งเสริมอาชีพ ลดความ เหลื่อมล้ำ ลดต้นทุนการผลิต และยกระดับการจัดการห่วงโซ่ อุปทาน แผนปฏิบัติราชการกรมประมง (พ.ศ. 2564 - 2570) วิสัยทัศน์ “ยกระดับการประมงไทยให้แข่งขันได้ โดยใช้ทรัพยากรอย่างสมดุล พร้อมผลักดันงานวิจัยและนวัตกรรมที่สร้างความมั่งคั่งแก่เกษตรกร” สมดุลการประมงที่รักษ์สิ่งแวดล้อม พร้อมได้ผลผลิตอย่างต่อเนื่องและมั่นคง ครอบคลุมถึงการใช้ทรัพยากร และปัจจัยการผลิตอย่างคุ้มค่า สร้าง เสริม ความมั่งคั่งให้เกษตรกรด้วยเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่เพิ่มทั้งผลผลิตและมูลค่า ขีดความสามารถในการแข่งขัน ด้วยสินค้าดี มีคุณภาพ ปลอดภัย และหลากหลาย เพิ่ม เพิ่มมูลค่าสินค้าสร้างอัตลักษณ์พื้นถิ่น ยกระดับคุณภาพความปลอดภัย ในกระบวนการผลิตให้มีมาตรฐาน ตลอดจนพัฒนาความรู้การใช้ชีวภัณฑ์ แทนเคมีภัณฑ์ ระดับการประมงไทยด้วยงานวิจัย และพัฒนา พร้อมตอบสนองเป้าหมาย การพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGS) ยก มุ่งเน้นเกษตรกรรมยั่งยืนลดปริมาณขยะ/ วัสดุเหลือใช้ ใช้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน พร้อมมีการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ กำ ลังคนและการดำ เนินงานของรัฐ ให้ทัดเทียมสากลจนเกิดการยอมรับ ในระดับนานาชาติ พัฒนา มุ่งเน้น พัฒนากระบวนการของรัฐ ในการป้องกันการทำ การประมงผิดกฎหมาย การเฝ้าระวัง แก้ไข ปัญหาต่าง ๆ ทางอุตสาหกรรมประมง เพื่อให้เกิดการ ยอมรับในระดับนานาชาติ)
S จุดแข็ง จุดแข็ง ปลาดุกเป็นปลาที่สามารถเลี้ยงได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งในบ่อดิน บ่อซีเมนต์ บ่อพลาสติก การพัฒนาการเลี้ยงเข้าถึงได้ทุกกลุ่มและพื้นที่ตามความเหมาะสมของเกษตรกร อัตราการปล่อยต่อพื้นที่มีความหนาแน่นได้สูงกว่าปลาชนิดอื่น ๆ เนื่องจากมีอวัยวะในการช่วย มีความสามารถในการเปลี่ยนอาหารสมทบต่างๆ เป็นเนื้อได้ เช่น เศษอาหารจากครัวเรือน ของเหลือจากโรงฆ่าสัตว์ ของเหลือจากอุตสาหกรรมอาหาร เช่น เศษขนมปัง บะหมี่กึ่งสำ เร็จรูป มีการผสมระหว่างสายพันธุ์ มีอัตราการเจริญเติบโตที่ดีขึ้น เช่น ปลาดุกบิ๊กอุย มีความสะดวกในการขนส่งปลาดุกแบบมีชีวิต ซึ่งใช้น้ำ น้อยและไม่ต้องใช้ออกซิเจนในการขนส่ง สามารถเพาะพันธุ์ได้เกือบตลอดปี 3.2 การวิเคราะห์ SWOT เพื่อการพัฒนาการเพาะเลี้ยงปลาดุกในประเทศไทย W จุดอ่อน W จุดอ่อน - เกษตรกรบางส่วนมีการเลี้ยงที่ใช้รูปแบบเดิม เช่น อัตราการปล่อยเลี้ยงที่ไม่เหมาะสมหนาแน่น ขาดการจัดการเลี้ยงที่มีคุณภาพ การใช้อาหารสมทบไม่มีคุณภาพตลอดการเลี้ยง ขาดแคลนลูกพันธุ์ที่มีคุณภาพ หาซื้อพันธุ์ปลาได้ยากในบางพื้นที่ ขาดการจัดการพ่อแม่พันธุ์ ต้นทุนการผลิตสูง มากกว่าร้อยละ 80 ของต้นทุนทั้งหมด เป็นค่าอาหารสำ เร็จรูป งานวิจัยที่ดีขาดการนำ ไปประยุกต์ใช้กับการเพาะเลี้ยงปลาดุกของเกษตรกร งานวิจัยบางส่วนยังไม่ตอบสนองต่อความต้องการของเกษตรกรหรือแก้ไขปัญหาของเกษตรกรโดยตรง พื้นที่การเพาะเลี้ยงมีจำ กัดและมีแนวโน้นลดลง เนื่องจากการพัฒนาด้านอุตสาหกรรม และที่อยู่อาศัย O โอกาส O โอกาส เกษตรกรและแรงงานมีความชำ นาญในการเพาะเลี้ยงปลาดุก เกษตรกรมีการแบ่งในแต่ละช่วงของการผลิต ลดความเสี่ยงในการผลิต เช่น กลุ่มผู้เพาะปลาตุ้ม ขาย กลุ่มอนุบาลปลานิ้ว และกลุ่มผู้เลี้ยง ซึ่งจะสลับไปมาระหว่างกลุ่มตามความเหมาะสมในแต่ละช่วงของฤดูกาล มีการพัฒนาเทคโนโลยีและองค์ความรู้ด้านการเพาะเลี้ยงอย่างต่อเนื่อง การเพาะฟักที่ไม่ยุ่งยากเกษตรกรสามารถ ทำ ได้เอง การอนุบาลในอัตราความหนาแน่นสูงกว่าปลาชนิดอื่นๆ การเลี้ยงใช้พื้นที่และน้ำ น้อย มีการจัดทำ มาตรฐานการปฏิบัติทางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ที่ดี (GAP) ผลผลิตปลาดุกมาจากการเลี้ยงเป็นส่วนใหญ่สามารถทดแทนผลผลิตสัตว์น้ำ จากทะเลที่ลดลงได้ ความต้องการบริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของประชากร ภาครัฐและภาคเอกชนมีนโยบายชัดเจนในการส่งเสริมและพัฒนาการเพาะเลี้ยงอย่างมีคุณภาพ T อุปสรรค T อุปสรรค คุณภาพผลผลิตปลาดุกไม่ได้มาตรฐานตามที่ตลาดต้องการ เ เกษตรกรขาดแรงจูงใจในการผลิตปลาดุกที่มีคุณภาพได้มาตรฐานตามความต้องการของผู้บริโภค ราคาปัจจัยการผลิตมีแนวโน้มสูงขึ้น และขาดแหล่งเงินทุน ไม่สามารถรวบรวมผลผลิตได้เนื่องจากเกษตรกรแยกกันขาย ปริมาณผลผลิตจึงไม่เพียงพอต่อการส่งออก มาตรฐานสินค้าจากประเทศผู้นำ เข้ามากขึ้น และประเทศผู้ซื้อมีการตรวจสอบที่เข้มงวดมากขึ้นเรื่องคุณภาพ ราคาสัตว์น้ำ ที่ผันผวน ขาดการต่อรองทางการตลาด ราคาสัตว์น้ำ ที่ออกสู่ตลาดไม่จูงใจผู้ผลิต
การปรับปรุงข้อมูลทะเบียนเกษตรกร จากการตรวจสอบข้อมูลการขึ้นทะเบียนผู้เพาะ เลี้ยงสัตว์น้ำ (ทบ. 1) และการสุ่มสำ รวจฟาร์มเลี้ยง และฟาร์มเพาะพันธุ์ พบว่าเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่ได้ ขึ้นทะเบียนผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เนื่องจากพื้นที่เลี้ยง หรือเพาะพันธุ์เป็นพื้นที่เช่าที่ไม่มีสัญญาเช่า และ กรณีที่ไม่ต่อทะเบียนผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เมื่อหมด อายุ เนื่องจากความไม่สะดวกในการเดินทาง ซึ่งใน ปัจจุบันการส่งเอกสารทางอิเลคทรอนิคได้รับการ ยอมรับมากขึ้น 3.3 แนวทางในการพัฒนาการเพาะเลี้ยงปลาดุก แนวทางในการพัฒนาเชิงรุก ส่วนที่สำ คัญคือต้นน้ำ งานวิจัยหรืองานพัฒนา ที่เกี่ยวข้อง กับการลดต้นทุน โดยเฉพาะค่าอาหารในการเลี้ยง สัตว์ การใช้เศษเหลือจากโรงชำ แหละไก่เพื่อสร้าง คุณค่าทางอาหารเพิ่มเติมสำ หรับการเลี้ยงสัตว์น้ำ และด้านห่วงโซ่อุปทานของการเลี้ยงปลาดุก เพื่อ การเชื่อมโยงกลุ่มผู้เพาะเลี้ยง ผู้ค้าและผู้บริโภค ในการประเมินความต้องการทางด้านอุปสงค์และ อุปทาน จะช่วยให้การผลิตสามารถวางแผนได้ สอดคล้องกับภาคการตลาด การคัดพ่อแม่พันธุ์ปลาดุก ซึ่งในพื้นที่ที่ห่างไกล และมีฟาร์มเพาะพันธุ์ขนาดเล็กมักมีการใช้พ่อแม่พันธุ์ที่มีอยู่ ในฟาร์มวนไป และไม่มีการนำ ลูกพันธุ์จากแหล่งอื่นมาผสม ข้าม ทำ ให้ขาดแคลนลูกพันธุ์คุณภาพดี จึงมีการขนส่งลูกพันธุ์ จากพื้นที่อื่น ทำ ให้การประเมินอัตราการตายในระยะแรก พลาด มีผลต่อการบริหารจัดการ เช่น ความหนาแน่นและการ ปรับปริมาณอาหารไม่เหมาะสม สร้างสถานการณ์จำ ลองทางด้านโปรแกรม จากข้อมูลการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ที่ครบ ถ้วน และตรงกับสถานการณ์การเลี้ยง จะเป็นเครื่องมือที่ สนับสนุนการประเมินผลผลิตได้ โดยใช้องค์ประกอบองค์ความ รู้ด้านวิชาการ เช่น อัตราปล่อย อัตรารอด วิธีการเลี้ยง ระยะ เวลาในการเลี้ยง และผลผลิตจากการเลี้ยงในรูปแบบต่างๆ ซึ่ง ฐานข้อมูลเหล่านี้นำ มาจำ ลองได้ และปัจจุบันมี Application ค่ายต่างๆที่สามารถใช้ได้ฟรี ตารางที่ 16 แนวทางในการปรับตัว ส่วนที่สำ คัญคือ ผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ถอดบทเรียนการเลี้ยงปลาดุกของ เกษตรกรแต่ละกลุ่ม เนื่องจากการเลี้ยงปลามี หลายรูปแบบ ซึ่งมีความแตกต่างกันในส่วนของ การเลี้ยง และการจัดการ ซึ่งฐานข้อมูลการเลี้ยง ดังกล่าว เป็นองค์ความรู้ที่เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาดุก นำ ไปใช้ตามความเหมาะสมของแต่ละรูปแบบ และพื้นที่ สอดคล้องกับกลุ่มเกษตรกรแต่ละกลุ่ม สร้างความยั่งยืนของการเลี้ยงปลาดุก สร้างเครือข่ายการพัฒนาที่ยั่งยืน มีการเชื่อมโยง กลุ่มผู้เลี้ยงในแต่ละขั้นตอนการเลี้ยง เช่น กลุ่มผู้เพาะพันธุ์ กลุ่มเลี้ยง ผู้รวบรวม พ่อค้าคนกลาง ตลาดกลาง และผู้ส่ง ออก เพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลของแต่ละกลุ่ม สร้างการค้าที่ เป็นธรรม มีความเป็นธรรมมาภิบาล มีกลไกลในการเชื่อมโยง สินค้าที่เป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ตลอดขบวนการโลจิสติกส์ เพื่อสร้างภาพลักษณ์สินค้าทั้งในรูปแบบมีชีวิต สินค้าที่มีการตัดแต่ง หรือการแปรรูปผลิตภัณฑ์ ที่เป็นเอกลักษณ์ของสินค้า ตอบสนองต่อผู้บริโภคและตลาด โดยหน่วยงานเป็นผู้สนับสนุน เพื่อสร้างความยั่งยืนในการเลี้ยงสัตว์น้ำ ลดความเสี่ยงจากสภาวะการตลาดของผู้ บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงตามเหตุปัจจุบัน (ตารางที่ 17)
ดำ เนินนิการ วิธีวิกธีาร ผู้เผู้กี่ย กี่ วข้อข้ง ผลผลิตลิผลลัพลัธ์ 1. ปรับปรุง ข้อมูลเกษตรกร -สัมมนา -Focus group -นักวิชาการเพาะเลี้ยง สัตว์น้ำ -นักส่งเสริม -โปรแกรมเมอร์ - ฐานข้อมูล เกษตรกรผู้เลี้ยงปลา ดุก -การประเมินผลผลิต -การตลาด -แนวโน้มการ เปลี่ยนแปลง 2. งานวิจัยด้าน ลดต้นทุน และ ห่วงโซ่อุปทาน -PRA -SOAR -R to R -นักวิชาการที่เกี่ยวข้อง -นักส่งเสริม -เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์น้ำ -ต้นทุนต่อหน่วย -SupplyChain Management (SCM) -สร้างมูลค่าเพิ่ม การพัฒนาที่ยั่งยืน เกษตรกรพึ่งตนเอง มีการเชื่อมโยง 3. สร้างองค์ ความรู้การคัด พันธุ์สัตว์น้ำ คัดลักษณะเด่น ภายใน ครอบครัว -นักวิชาการเพาะเลี้ยง สัตว์น้ำ -นักวิชาการด้าน พันธุกรรม -สัตว์น้ำ พันธุ์ดี -องค์ความรู้ -การคงอยู่ของสาย พันธุ์ -สัตว์น้ำ แข็งแรง โตดี เหมาะสมตามพื้นที่ 4. App เพื่อ การประเมิน ผลผลิตและการ ค้าล่วงหน้า - PRA - Onfarm - App ฟรี -เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์น้ำ -นักวิชาการเพาะเลี้ยง สัตว์น้ำ -นักส่งเสริม -โปรแกรมเมอร์ -ฐานข้อมูลการเพาะ อนุบาลและการเลี้ยง -App นำ ร่อง -ประเมินผลผลิต จากฐานข้อมูลการ ขายลูกพันธุ์ ประเภทเลี้ยง -ต้นแบบพัฒนาApp ความท้าท้ทายในการพัฒพันา เชิงชิรุกรุ (aggressive) ตารางที่ 16
ดำ เนินนิการ วิธีวิกธีาร ผู้เผู้กี่ย กี่ วข้อข้ง ผลผลิตลิผลลัพลัธ์ 1. ถอดบทเรียรีน กลุ่มลุ่ เกษตรกร - Focus group - PRA - นักนัวิชวิาการเพาะเลี้ย ลี้ ง สัตสัว์น้ำว์ น้ำ - นักนัส่งส่เสริมริ - โปรแกรมเมอร์ - ฐานข้อข้มูลมูการเลี้ย ลี้ ง ของแต่ลต่ะพื้น พื้ ที่/ที่ วิธีวิกธีาร เลี้ย ลี้ ง/ประเภท - ประเมินมิผลผลิตลิ การตลาด และแนวโน้มน้ การเปลี่ย ลี่ นแปลง 2. สร้างเครือข่าย เวทีพบปะ - ผู้ผลิต - ผู้ค้า ผู้ขาย - คนกลาง - ผู้บริโภค - นักวิชาการที่ เกี่ยวข้อง - นักส่งเสริม - เกษตกรผู้เพาะเลี้ยง สัตว์น้ำ - การพัฒนาที่ยั่งยืน - การค้าเป็นธรรม - ธรรมาภิบาล - กลไกในการเชื่อมโยง สินค้าที่เป็นประโยชน์ ต่อทุกภาคส่วน 3. เพิ่ม พิ่ มูลมูค่าค่ ผลิตลิภัณภัฑ์ สร้าร้ง - สินสิค้าค้แปรรูปรู - แบรนด์สิด์นสิค้าค้ - นักนัวิชวิาการเพาะเลี้ย ลี้ ง สัตสัว์น้ำว์ น้ำ - ผู้ชำผู้ชำนาญการแปรรูปรู สินสิค้าค้ - นักนัส่งส่เสริมริ - เกษตรกรผู้เผู้พาะเลี้ย ลี้ ง สัตสัว์น้ำว์ น้ำ - ความเข้มข้แข็งข็ของ ผลิตลิภัณภัฑ์ การตลาดนำ การผลิตลิ ปรับรัตัวตั (adaptive) ตารางที่ 17
nowledge fficency astainable งานวิจัย พัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมการการเพาะเลี้ยงปลาดุก 12 เรื่อง มีความรู้ความเข้าใจในองค์ความรู้ที่ถ่ายทอด 600 ราย ฟาร์มเพาะเลี้ยงปลาดุกได้รับมาตรฐานที่ยั่งยืนเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ลดต้นทุนการผลิตร้อยละ 5 ผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 120,000 ตัน บทที่ 4 ยุทธศาสตร์การพัฒนาปลาดุก (พ.ศ. 2566-2570) วิสัยทัศน์ “เป็นผู้นำ ในการผลิตสินค้าปลาดุกที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน” พันธกิจ พัฒนาผลผลิตให้มีคุณภาพและได้มาตรฐานตลอดห่วงโซ่อุปทาน ส่งเสริมสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ส่งเสริมการรวมกลุ่มของเกษตรกร เพิ่มอุปทานอาหารประเภทสัตว์น้ำ ภายในประเทศ เป้าประสงค์ มีการรวมกลุ่มของเกษตรกร หรือและสร้างเครือข่าย 5 กลุ่ม สร้างคู่ค้าทางธุรกิจ 4 ผลิตภัณฑ์ Knowledge : องค์ความรู้ Efficency : ประสิทธิภาพ Sastainble: ความยั่งยืน ยุทธสาสตร์ การวิจัย พัฒนา เทคโนโลยี และนวัตกรรม 1 การเพิ่ม ประสิทธิภาพ การผลิต 2 การสร้าง ความเข้มแข็ง ให้เกษตรกร 3 การตลาด 4
ยุทธศาสตร์ การวิจัย พัฒนา เทคโนโลยี และนวัตกรรม 1 แนวทางที่ 1 บูรณางานวิจัยและพัฒนาการเลี้ยงปลาดุก เพื่อลดต้นทุนและจัดการสิ่ง แวดล้อมบูรณางานวิจัยและพัฒนาคุณภาพอาหารสัตว์น้ำ และปัจจัยการผลิต แนวทางที่ 2 บูรณางานวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงปลาดุกที่ลดของเสียที่เกิดขึ้น เพื่อลดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม จนถึงระดับไม่มีของเสียเกิดขึ้น (ZERO WASTE) แนวทางที่ 3 ศึกษาระบบการจัดการโซ่อุปทานอุตสาหกรรมปลาดุกในประเทศไทย 2 ยุทธศาสตร์ การเพิ่มระสิทธิภาพ การผลิต แนวทางที่ 1 ถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการจัดการพ่อแม่พันธุ์พร้อมทั้งถ่ายทอด เทคโนโลยีให้กับเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงปลาดุกเพื่อพัฒนาคุณภาพต่อไป แนวทางที่ 2 ส่งเสริมความรู้ด้านต่าง ๆ เช่น การผลิตอาหารปลาโดยใช้วัตถุดิบจาก ธรรมชาติ หรือเศษเหลือจากอุตสาหกรรมอาหาร เพื่อลดต้นทุนการเลี้ยงของ เกษตรกรการจัดระบบการเลี้ยงที่ลดของเสีย แนวทางที่ 3 เชื่อมโยงกลุ่มเกษตรกรในแต่ละช่วงขบวนการผลิต เพื่อลดภาวะการขาดแคลนสินค้าในแต่ละช่วงการ ผลิต เช่น กลุ่มผู้เพาะพันธุ์ กลุ่มอนุบาล กลุ่มเลี้ยงปลาเนื้อหรือพ่อแม่พันธุ์ แนวทางที่ 4 พัฒนาระบบตรวจสอบและรับรองการจับสัตว์น้ำ พัฒนาเชื่อมโยงเครือข่าย และจัดตั้งศูนย์ข้อมูลปลาดุก แนวทางที่ 5 จัดระบบฐานข้อมูลการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงปลาดุก ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง เช่น แพปลา ผู้รวบรวม ห้องเย็น ให้เป็นปัจจุบัน เพื่อการใช้ประโยชน์วางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด 3 ยุทธศาสตร์ การสร้าง ความเข้ม แข็ง ให้เกษตรกร แนวทางที่ 1 พัฒนาเครือข่ายอุตสาหกรรมปลาดุก จัดตั้งและพัฒนา กลุ่มเกษตรกร สร้างเครือข่ายผู้เกี่ยวข้องกับโซ่อุปทานปลาดุก แนวทางที่ 2 สนับสนุนให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างผู้เลี้ยง ผู้รวบรวม และตลาดผู้บริโภค เพื่อวางแผนการผลิตได้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ลดภาวะสินค้าล้นตลาดการนำ เข้าจากต่างประเทศในช่วงที่สินค้าขาดแคลน ซึ่งมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำ กว่าในประเทศ แนวทางที่ 3 รณรงค์ ส่งเสริม เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ให้เกษตรกรผู้เลี้ยงตระหนักถึงการผลิตสินค้าสัตว์น้ำ ที่มี ความปลอดภัย และไม่กระทบกับสิ่งแวดล้อม แนวทางที่ 1 สังเคราะห์ข้อมูลปริมาณความต้องการ ขนาดสินค้า ช่วงระยะเวลา ชนิดของผลิตภัณฑ์ ที่ผู้บริโภคต้องการในประเทศ/แต่ละภาค และตลาดต่างประเทศ 4 ยุทธศาสตร์ การสร้าง ความเข้มแข็ง ให้เกษตรกร แนวทางที่ 2 พัฒนาขบวนการผลิตสินค้าและ บรรจุภัณฑ์ที่สะดวกและหรือพร้อมบริโภค แนวทางที่ 3 การใช้เครื่องหมายรับรองมาตรฐานสินค้า (Q-MARKET) ผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค
แนวทางการพัฒนา แผนงานโครงการ ค่าเป้าหมายปี 2566 -2570 หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง ความก้าวหน้า/แนวทาง 1.1 ศึกษาวิจัย และพัฒนา เทคโนโลยีการเพาะ เลี้ยง และปรับปรุง พันธุ์ปลาดุก ทั้ง On-Farm และ Onstation) 1.โครงการวิจัย เทคโนโลยีด้านการเพาะเลี้ยง เพื่อลดต้นทุนการผลิต และ พัฒนาคุณภาพผลผลิตด้วยวิธี การเลี้ยงที่เป็นมิตรกับสิ่ง แวดล้อม 5 เรื่อง กพจ. กพก. กพอ. - สนับสนุนงานวิจัยที่เน้นการพัฒนา เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการเพาะเลี้ยง ปลาดุกที่ช่วยลดต้นทุนการผลิต - การผลิตและใช้จุลินทรีย์ในระบบการ เลี้ยง การจัดการระบบการเลี้ยงที่เป็นมิตร ต่อสิ่งแวดล้อม และสามารถใช้แก้ปัญหา ด้านการใช้เป็นอาหารลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มคุณภาพผลผลิตปลาดุกในระบบ 2. โครงการวิจัยพัฒนาสาย พันธุ์ปลาดุกเพื่อการเพาะเลี้ยง อย่างยั่งยืน 1 เรื่อง กพก. - ศึกษากระบวนการคัดเลือกปรับปรุง พันธุ์ปลาดุกเพื่อพัฒนาสายพันธุ์ในระบบ การเพาะเลี้ยงภายในประเทศให้มีคุณภาพ แข่งขันได้ในตลาดโลก 1.2 ศึกษาวิจัย และพัฒนารูปแบบ ผลิตภัณฑ์ปลาดุก 1.โครงการวิจัยเทคโนโลยี ด้านการพัฒนารูปแบบ ผลิตภัณฑ์ปลาดุก 1 เรื่อง กพจ. กพอ. - สนับสนุนงานวิจัยที่เน้นการศึกษา พัฒนาเทคโนยีและนวัตกรรมในการพัฒนา รูปลักษณ์ผลิตภัณฑ์ปลาดุกเพื่อสร้างแรง จูงใจในการซื้อให้สามารถเพิ่มมูลค่าและมี ช่องทางการจำ หน่ายที่หลากหลาย 1.3 ศึกษาวิจัย ด้านการตลาด 1.โครงการวิจัยด้านการตลาด 1 เรื่อง กพจ. กนป. -สนับสนุนงานวิจัยที่เน้นการศึกษา กระบวนการเพาะเลี้ยงปลาดุกภายใน ประเทศ เพื่อทราบห่วงโซ่อุปทาน การ ผลิตทั้งระบบ ทำ ให้สามารถพัฒนา คุณภาพผลผลิตและแนวทางการแก้ปัญหา ได้ทันการ ตัวชี้วัดและค่าเป้าหมาย ยุทธศาสตร์ที่ 1 การวิจัย พัฒนา เทคโนโลยีและนวัตกรรม
แนวทางการพัฒนา แผนงานโครงการ ค่าเป้าหมายปี 2566 -2570 หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง ความก้าวหน้า/แนวทาง 2.1 ส่งเสริมให้ ฟาร์มเพาะเลี้ยง ปลาดุก ได้รับการ รับรองตาม มาตรฐานปฏิบัติ ทางการเพาะเลี้ยง สัตว์น้ำ ที่ดี -โครงการส่งเสริมให้ฟาร์ม เพาะเลี้ยงปลาดุกได้รับการ รับรองตามมาตรฐานการปฏิบัติ ทางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ที่ : GAP กรมประมง : GAP มกษ.) เพิ่มขึ้น 10 % มากกว่า 850 ฟาร์ม จากปี 2565 กพจ. กปจ. กตส. กมป. ส่งเสริม และอำ นวยประโยชน์ที่เหมาะ สมให้เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงปลาดุกได้รับ การรับรองตามมาตรฐานการปฏิบัติ ทางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ท (GAP, GAP มกษ.) 2.2 ส่งเสริมการ เพิ่มประสิทธิภาพ การเลี้ยงและลด ต้นทุนโดยการให้ ความรู้เทคโนโลยี การเลี้ยง -โครงการเพิ่มประสิทธิภาพ การเลี้ยง ด้านการลดต้นทุน ภายใน 5 ปี (แปลงใหญ่ ปลา ดุก) (กพจ.) ลดต้นทุนการผลิต ร้อยละ 5 กพจ. ส่งเสริมให้ความรู้ อบรม กลุ่มเกษตรกร ที่เข้าร่วม โครงการระบบส่งเสริมเกษตร แบบแปลงใหญ่ และ โครงการส่งเสริม อาชีพประมง 2.3 ถ่ายทอดองค์ ความรู้และ ถ่ายทอดองค์ความ รู้และเทคโนโลยี การผลิตสัตว์น้ำ -กิจกรรมส่งเสริมและพัฒนา ศักยภาพกระบวนการผลิต - กิจกรรมแปลงใหญ่ 600 ราย กพจ. - ส่งเสริมให้ความรู้ อบรม กลุ่มเกษตรกรที่เข้าร่วม โครงการระบบ ส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ และ กิจกรรมส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ กระบวนการผลิต 2.4 ถ่ายทอดองค์ ความรู้และ ถ่ายทอดองค์ความ รู้ด้านโรคการ ป้องกันและรักษา -กิจกรรมส่งเสริมและพัฒนา ศักยภาพกระบวนการผลิต - กิจกรรมแปลงใหญ่ 600 ราย กพจ. กพส. - ส่งเสริมให้ความรู้ อบรม กลุ่มเกษตรกรที่เข้าร่วม โครงการระบบ ส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ และ กิจกรรมส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ กระบวนการผลิต 2.5 พัฒนา เกษตรกรต้นแบบ ด้านการเพาะเลี้ยง ปลาดุก -กิจกรรมส่งเสริมและพัฒนา ศักยภาพกระบวนการผลิต - กิจกรรมแปลงใหญ่ 5 ราย กพจ. กพส. - ส่งเสริมให้ความรู้ อบรม กลุ่ม เกษตรกรที่เข้าร่วม โครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลง ใหญ่ และ กิจกรรมส่งเสริมและพัฒนา ศักยภาพกระบวนการผลิต 2.6 พัฒนาระบบ การเลี้ยงปลาดุก ปลอดโรค สร้าง ความเชื่อมั่นใน คุณภาพผลิตภัณฑ์ -พัฒนาระบบการเลี้ยงปลา ดุกปลอดโรค(farmbiosecurity) 1 ระบบ กพจ. กพส. -สร้างจุดสาธิตระบบการเลี้ยงปลาดุก ปลอดโรค เพื่อเป็นจุดเรียนรู้ถ่ายทอด และสร้างมาตรฐานความเชื่อมั่นคุณภาพ สินค้าปลาดุกในระบบการเลี้ยงของ ประเทศ ยุทธศาสตร์ที่ 2 ประสิทธิภาพการผลิต COST
แนวทางการพัฒนา แผนงานโครงการ ค่าเป้าหมายปี 2566 -2570 หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง ความก้าวหน้า/แนวทาง 3.1 ส่งเสริมสร้าง ความเข้มแข็งของ ภาคการผลิตปลาดุก - ยกระดับการรวมกลุ่มของ เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงปลาดุก และสร้างเครือข่ายการผลิตรูป แบบวิสาหกิจชุมชน ชมรม หรือสมาคม ในระดับภูมิภาค 5 กลุ่ม กพจ. -จัดประชุม หารือแนวทางการพัฒนา การผลิตปลาดุก โดยมีผู้เข้าร่วมการ ประชุมประกอบด้วยผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย กลุ่มเกษตรกร ผู้ประกอบการ และหน่วย งานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม - งานปรับปรุงฐานข้อมูล เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงปลาดุก ทุกภูมิภาค ศทส. กพจ. กปจ. กตร. - พัฒนาฐานข้อมูลฟาร์มเพาะเลี้ยงปลา ดุกที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการเพาะ เลี้ยงในระบบทั้งประเทศให้เป็นปัจจุบัน -พัฒนาระบบตรวจสอบย้อน กลับสินค้าปลาดุก (Traceability) และ Application การเพาะ เลี้ยงปลาดุกผ่านเครือข่าย ระบบสารสนเทศ 1 ระบบ 1 Application กพจ. ศทส. กมป. -พัฒนาระบบสารสนเทศฐานข้อมูลฟาร์ม เพาะเลี้ยงปลาดุกในระบบให้สามารถ ตรวจสอบย้อนกลับและเป็นปัจจุบัน (สำ หรับเจ้าหน้าที่) -มี Application การเพาะเลี้ยงปลาดุก พร้อมใช้ (สำ หรับเกษตรกร) แนวทางการพัฒนา แผนงานโครงการ ค่าเป้าหมายปี 2566 -2570 หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง ความก้าวหน้า/แนวทาง 4.1 ประชา สัมพันธ์สินค้า ปลาดุกและรณรงค์ ส่งเสริมเพื่อการ บริโภคทั้งใน ประเทศและต่าง ประเทศ - กิจกรรมส่งเสริมภาพลักษณ์ สินค้าปลาดุกเพื่อการบริโภคทั้ง ภายในและภายนอกประเทศ 5 แบรนด์ กพจ. กอส. สลก. -สนับสนุนการสร้างภาพลักษณ์สินค้า ปลาดุกและผลิตภัณฑ์ผ่าน(Q-Market), Fisherman Shop -การพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์จากปลา ดุก เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า -สร้างคู่ค้าทางธุรกิจสินค้า ปลาดุก ไม่น้อยกว่า 5 ผลิตภัณฑ์ กพจ. กอส. สลก. -จัดกิจกรรมสร้างความเชื่อมโยงการ ตลาดระหว่างผู้ผลิต ผู้ประกอบการและผู้ บริโภค ในงานแสดงสินค้าต่างๆ อาทิ งานประมงน้อมเกล้าฯ งานเกษตรแฟร์,. etc. 4.2 เพิ่มผลผลิต จากการเลี้ยงปลา ดุก เพิ่มผลผลิตปลาดุกภายใต้แผน งานและกิจกรรมของหน่วยงาน 120,000 ตัน (ภายในปี 2570) กพจ. กอส. - สนับสนุนกิจกรรมการลดต้นทุน เพิ่มผลผลิตต่อหน่วย ภายใต้กิจกรรม ของหน่วยงาน ยุทธศาสตร์ที่ 3 การสร้างความเข้มแข็ง ให้เกษตรกร ยุทธศาสตร์ที่ 4 การตลาด
ยุทธศาสตร์ กิจกรรม ค่า เป้ามาย หน่ว ยนับ ช่วงเวลาดำ เนินโครงการ ปีงบประมาณ 2566 2567 2568 2569 2570 1. การวิจัย พัฒนา เทคโนโลยีและ นวัตกรรม - โครงการวิจัย เทคโนโลยีด้านการเพาะ เลี้ยงเพื่อลดต้นทุนการ ผลิต และพัฒนา คุณภาพผลผลิตด้วยวิธี การเลี้ยงที่เป็นมิตรต่อสิ่ง แวดล้อม 8 เรื่อง 0 0 8 0 0 - โครงการวิจัยพัฒนา สายพันธุ์ปลาดุกเพื่อการ เพาะเลี้ยงอย่างยั่งยืน 2 เรื่อง 1 0 1 0 0 -โครงการวิจัยด้านการ พัฒนาผลิตภัณฑ์ 1 เรื่อง 0 0 1 0 0 -โครงการวิจัยด้านการ ตลาด 1 เรื่อง 0 1 0 0 0 แผนปฏิบัติการ ( ACTION PLAN) การพัฒนาปลาดุก (2566-2570)
ยุทธศาสตร์ กิจกรรม ค่า เป้ามาย หน่ว ยนับ ช่วงเวลาดำ เนินโครงการ ปีงบประมาณ 2566 2567 2568 2569 2570 2. การเพิ่ม ประสิทธิภาพ การผลิต - โครงการส่งเสริมให้ ฟาร์มเพาะเลี้ยงปลาดุก ได้รับการรับรองตาม มาตรฐานการปฏิบัติ ทางการเพาะเลี้ยงสัตว์ น้ำ ที่ดี (GAP) มากกว่า 850 (10% จากปี 65) ฟาร์ม 400 500 400 500 860 -โครงการเพิ่มประสิทธิ ภาพการเลี้ยง ด้านการ ลดต้นทุน ต่อพื้นที่เลี้ยง ภายใน 5 ปี (แปลงใหญ่) 5 ร้อยละ 5 5 5 5 5 -ฝึกอบร ถ่ายทอดองค์ ความรู้และเทคโนโลยี การผลิตสัตว์น้ำ เศรษฐกิจแก่เกษตรกรผู้ เพาะเลี้ยงปลาดุก 650 ราย 130 130 130 130 130 -พัฒนาเกษตรกร ต้นแบบด้านการเพาะ เลี้ยงปลาดุก 5 ราย 1 1 1 1 1 -พัฒนาระบบการเลี้ยง ปลาดุกปลอดโรค (Farm-Biosecurity) 1 ระบบ
ยุทธศาสตร์ กิจกรรม ค่า เป้ามาย หน่วย นับ ช่วงเวลาดำ เนินโครงการ ปีงบประมาณ 2566 2567 2568 2569 2570 3.การสร้าง ความเข้ม แข็งให้ เกษตรกร - ยกระดับการรวม กลุ่มของเกษตรกรผู้ เพาะเลี้ยงปลาดุกและ สร้างเครือข่ายการผลิต สู่รูปแบบวิสาหกิจ ชุมชน ชมรม หรือสมาคมใน ระดับภูมิภาค 5 กลุ่ม 1 1 1 1 1 -โครงการปรับปรุงฐาน ข้อมูลเกษตรกรผู้เพาะ เลี้ยงปลาดุก ทุก ภูมิภาค -โครงการพัฒนาระบบ ตรวจสอบย้อนกลับ สินค้าปลาดุก และ Application การ เพาะเลี้ยงผ่านเครือ ข่ายระบบ 1 1 ระบบ App
ยุทธศาสต ร์ กิจกรรม ค่า เป้ามาย หน่วย นับ ช่วงเวลาดำ เนินโครงการ ปีงบประมาณ 2566 2567 2568 2569 2570 4.การ ตลาด -โครงการส่ง เสริมภาพ ลักษณ์สินค้า ปลาดุก มากกว่า 5 แบรนด์ 1 1 1 1 1 -สร้างคู่ค้าทาง ธุรกิจสินค้า ปลาดุก 4 ผลิต ภัณฑ์ 0 1 1 1 1 - ผลผลิตปลา ดุกเพิ่มขึ้นจาก ค่าประมาณ ปี 2565 =97,000 ตัน 120,000 ตัน 98,000 99,000 100,000 110,000 120,000 การติดตามและประเมินผล ติดตามผลการดำ เนินงานโดยการรายงานข้อมูล ผลการปฏิบัติงานและปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติงาน เพื่อการประเมินทิศทางความสำ เร็จของแผน พัฒนาระบบติดตามประเมินผล และสร้างตัวชี้วัดความสำ เร็จในทุกระดับ ที่ชัดเจนและง่ายต่อการเข้าใจ สนับสนุนการพัฒนาระบบฐานข้อมูลในทุกระดับและการเชื่อมโยงข้อมูล ระหว่างหน่วยปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง ถึงระดับผู้ปฏิบัติเพื่อพัฒนาระบบฐานข้อมูล และระบบในการติดตาม ตรวจสอบ เพื่อการปรับแผนให้ตอบ สนองต่อการปฏิบัติงานในแต่ละพื้นที่
เอกสารอ้างอิง ประวิทย์ ขำ ร้าย และ ศรายุทธ์ เมธินาพิทักษ์ใ 2557. ผลกระทบนำ เข้าปลาดุกจากมาเลเซียต่อการส่งเสริม การเลี้ยงปลาดุก ในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนใต้. เอกสารวิชาการฉบับที่ 1/2557. ด่านตรวจสัตว์น้ำ ท่าเรือ กรุงเทพ, สำ นักบริหารจัดการด้านการประมง, กรมประมง. 72 หน้า. วัฒนา วัฒนกุล อุไรวรรณ วัฒนกุล และ มาโนช จำ รัส. 2561. การเลี้ยงปลาดุกลูดผสมในสวนยางพารา เป็นอาชีพ เสริมด้วยอาหารลดต้นทุนของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน กลุ่มเกษ๖รกรทำ นาตะโหนด จังหวัดพัทลุง. รายงานวิจัย. คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการประมง, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย. 29 หน้า. วีรภัทร ผ่องศรี นิวุฒิ หวังชัย ดวงพร อมรเลิศพิศาล และ สุภาพร ตวงศิริ. 2558. ประสิทธิภาพการเจริญเติบโต ของปลาดุกลูกผสม (Clarias macrocephalus X Clarias gariepinus) ที่เลี้ยงด้วยอาหารผสมไส้ไก่. วรสารวิจัยเทคโนโลยีการประมง ปีที่ 9 : (2). หน้า 12 -22