BLOCKER TIIKTOK 10 M+
ความหมายเกี่ยวกับคำ ว่า อินฟลูเอนเซอร์ หมายถึง บุคคลผู้ซึ่งมีการแสดงพฤติกร รมใดๆก็ตาม ที่เป็นสิ่งกระตุ้นหรือเป็นแรงจูงใจต่อบุคคลอื่นทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ ซึ่งจะมี อิทธิพลและส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ และการใช้สินค้าหรือบริการของบุคคลออนไลน์ อิน ฟลูเอนเซอร์ หรือ บิวตี้บล็อกเกอร์ หรือ เน็ตไอดอล หมายถึงบุคคลที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จัก ในโลกออนไลน์ ซึ่งมีผู้ติดตามเป็นจำ นวนมาก และมีอิทธิพลในการสร้างแรงกระตุ้นจูงใจให้ผู้ อื่น ทั้งแบบตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ มักเป็นบุคคลที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ หรือมีความสนใจ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เป็นอย่างดี สามารถให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลที่น่าเชื่อถือแก่ผู้ อื่นได้ INFLUENCER หมายถึง ผู้ทรงอิทธิพลออนไลน์จะใช้ความคิดในสื่อออนไลน์ อย่างสร้างสรรค์และเป็นผู้เผยแพร่ข้อมูลของสินค้า ในลักษณะผู้มีประสบการณ์การใช้มาก่อน เป็นการ บอกต่อเรื่องราวออกไปในวงกว้าง รวมถึงเป็น บุคคลที่มีชื่อเสียง หรือผู้อยู่ในแวดวงสังคมชั้นสูง และสำ หรับอินฟลูเอนเซอร์ในด้านความสวยความ งาม หรือ บิวตี้บล็อกเกอร์ จะเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่อง ราวความงาม โดยการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และแนะนำ ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับความสวย ความงามให้ผู้ที่สนใจเข้ามาศึกษาข้อมูลก่อนเลือก ใช้หรือเลือกซื้อผลิตภัณฑ์
Influencer อาชีพอินฟลูเอนเซอร์ influencer คือ อาชีพ ที่กำ ลังมาแรงในตอนนี้ บุคคลที่มีอิทธิพลทางความ คิด เป็นที่สนใจของใครหลายๆ คน ไม่ว่าจะหยิบจับ อะไรหรือใช้สินค้าอะไร ผู้ติดตามก็มักจะให้ความ สนใจอยู่เสมอ เรียกง่ายๆ คือเป็นผู้อิทธิพลที่ชี้นำ ความคิดให้กับคนอื่นๆ เจ้าของแบรนด์หรือเจ้าของ ธุรกิจนิยมใช้กลยุทธ์ influencer marketing ทำ การตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขาย มักจะหา influencer ที่เหมาะสมเพื่อมาโปรโมทสินค้าหรือ รีวิวสินค้าและบริการให้กับตัวเอง จ้าง influencer โดยมีเรทค่าจ้างที่แตกต่างกันออกไป เรทค่าจ้าง influencer ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่ที่ผู้ติดตามหรือความ โด่งดัง
อินฟลูเอนเซอร์ สาย lifestyle (Bloggers และ Vloggers) ถือว่าเป็น ประเภทที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศ ไทยส่วนมาก Contentจะอิสระ แบบไม่ ตายตัว มีตั้งแต่การนำ เสนอกิจวัตรประจำ วันทั่วไป การประกอบกิจกรรมต่างๆ การนำ เสนอชีวิตของอินเฟรนเซอร์คน นั้นๆ ทำ ทุกอย่างให้ดู Real หรือสมจริง INFLUENCER สาย LIFESTYLE
Influencer สายกิน ธุรกิจอาหาร หรือร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ ถ้าต้องการจะโปรโมทร้านค้า โปรโมทสินค้าหรือ ผลิตภัณฑ์อาหารให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นอาจต้อง จ้าง Influencer อาหาร หรือ Influencer สายกินเข้ามาช่วย Influencer ด้านอาหาร มีความรู้เรื่อง อาหารโดยเฉพาะ ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบกิน หรือชอบทำ อาหาร การเป็น influencer สายอาหารก็มีรายได้สูงเหมือนกันความโด่งดัง
Influencer สาย ความสวยความงาม Influencer สายคว ามสวยคว ามงาม มักได้รับคว ามนิยมอยู่เสมอ ไม่ได้จำ กัดว่ า จะต้องเป็นเฉพา ะผู้หญิงเท่านั้นเพร า ะ เดี๋ยวนี้เพศที่ 2 ก็เป็น influencer สายนี้ ได้ อาจมีคว ามรู้มากกว่ าผู้หญิงจริงๆ ซะ ด้วยซ้ำ Influencer สายคว ามสวยคว าม งามมักจะนำ เสนอคว ามรู้ เกี่ยวกับกา รแต่ง หน้า หรือแนะนำ สิ่งที่สามา รถนำ ไปปร ะกอบ วิชาชีพหรือใช้ในชีวิตปร ะจำ วันได้
Influencer สายสุขภาพ Influencer สายสุขภาพหรือ Influencer ด้านการแพทย์สุขภาพกำ ลัง เป็นที่จับจ้องของธุรกิจที่ขายสินค้าเกี่ยว กับสุขภาพ เช่นอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ เครื่องออกกำ ลังกาย ฯลฯ ยุคนี้คนหันมา ดูแลสุขภาพมากขึ้น ถ้าคุณจะเป็น influencer สายสุขภาพแน่นอนว่าคุณก็ ต้องเป็นคนที่ดูมีสุขภาพดี ถ้าคุณมีผู้ติด ตามเยอะๆ หรือเป็น influencerดังๆ แล้วดันไปเข้าตาเจ้าของแบรนด์ รับรองว่า ค่าตอบแทนสูงแน่นอน
YOUTUBER BLOCKER Influencer ค้นหาความชอบของตัวเองและสิ่งตัวเองเชี่ยวชาญ เช่น เราเป็นคนที่ชอบกินมากๆ กินจนรู้จักร้านอาหารที่ อร่อยเยอะ ก็เลยรับงานรีวิวอาหาร มีผู้ติดตามที่มากพอสมควร และมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นยอด Follower ที่มากพอสมควร และตรงกับ Target ของลูกค้า สร้างสรรค์คอนเทนต์อย่างสม่ำ เสมอ จะต้องคอยตามเทรนด์ว่าตอนนี้เค้ากำ ลังนิยมอะไร ควรทำ คอนเทนต์อะไร ออกมาบ้างเพื่อให้คนไม่ลืม และยอด Followerไม่ร่วง ที่สำ คัญคือ เราต้องคิดด้วยว่าคอนเทนต์แบบไหนที่จะ ตอบโจทย์ความต้องการ ของลูกค้าและต้องดึงดูดใจกลุ่มเป้าหมายได้ด้วย เป็นมิตรกับผู้ติดตามและแบรนด์ การทำ ให้ผู้ที่ติดตาม(Follower)เชื่อมั่นในตัวเราเป็นสิ่งที่สำ คัญมาก เพราะผล ดีที่จะตามมาคือ ผู้ที่ติดตามเราก็จะเชื่อมั่นในตัวสินค้าที่เรารีวิวไปด้วย ไม่ว่าเราจะรีวิวอะไรออกมา พวกเขาก็จะ มั่นใจว่าสินค้าที่เราแนะนำ หรือนำ เสนอไปนั้นดีจริงๆ แบรนด์ก็จะรักเรา ซึ่งการทำ ให้แบรนด์รักเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เหมือนกัน เพราะอาชีพ Influencer เป็นอาชีพที่ต้องร่วมงานกับแบรนด์มากหน้าหลายตา เราจะต้องทำ งาน อย่างมืออาชีพ เพื่อให้ลูกค้าที่มาจ้างงานเรารู้สึกว่าเราร่วมงานด้วยง่ายและมีประสิทธิภาพ
YOUTUBER BLOCKER Influencer อาชีพ Influencer ทำ งานยังไง? ซึ่งตามปกติของการเป็น Influencer ในการรีวิวสินค้าต่างๆ คนส่วนใหญ่จะเริ่มจากการซื้อสินค้ามา ใช้เองก่อน แล้วผลลัพธ์ที่ได้นั้นดีหรือไม่ดีก็อยากที่จะรีวิวเพื่อบอกต่อคนอื่นๆในสื่อโซเชียลมีเดียหลังจาก นั้นเมื่อคนเริ่มมาสนใจเรามากขึ้น ติดตามเรามากขึ้น ก็จะเริ่มมีแบรนด์ต่างๆส่งสินค้ามาให้เรารีวิว พร้อมส่ง Key message หรือที่เราเรียกกันง่ายๆว่า บรีพสินค้า จากนั้นเราต้องคิดและสร้างสรรค์คอนเทนต์ ให้ น่าสนใจ ตรงกับบรีพสินค้าที่ให้มาและตรงกับกลุ่มเป้าหมาย หรือจะเรียกง่ายๆว่า ต้องทำ ให้ถูกใจทั้งแบรนด์ และลูกค้า ซึ่งใครๆหลายคนอาจจะมองว่ามันดูง่าย ทำ ได้ไม่ยาก แต่จริงๆแล้วถ้าเราไม่ขยันลงคอนเทนต์และ สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆที่น่าสนใจ ก็ค่อนข้างยาก เพราะในปัจจุบันอาชีพ Influencer การแข่งขันสูงมาก การที่เราจะทำ ให้แบรนด์มาจ้างเราเรื่อยๆ เราต้องตามเทรนด์อยู่เสมอ คิดคอนเทนต์ที่สามารถดึงดูดใจ กลุ่มเป้าหมายได้
YOUTUBER BLOCKER Influencer อาชีพ Influencer รายได้ดีจริงไหม? คนส่วนใหญ่มักมองว่า อาชีพ Influencer เป็นอาชีพที่ค่าตอบแทนดี ซึ่งก็ดีจริงๆ แต่ต้องอาศัย หลายปัจจัยเลยนะ ขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถผลิตคอนเทนต์ได้มากน้อยแค่ไหน ยอดผู้ติดตามเท่าไหร่ ซึ่ง ก็จะมีผลต่อเรทราคาในการรับงานนั่นเองบางแบรนด์เขาจะกำ หนดไว้เลยว่า ยอดฟอลเท่าไร เรทตาม ไหน จะได้เงินเท่าไหร่ เช่น ยอดผู้ติดตามหลักแสน เรทสูงสุดอยู่ที่ 100,000 บาท ต่อโพสต์เลยก็มีถ้า เป็น youtuber รายได้ก็จะมาจากยอดวิว รวมถึงโฆษณาที่แทรกตามคลิปด้วย แต่ส่วนใหญ่อาชีพ influencer จะได้รายได้จากสปอนเซอร์ที่ว่าจ้างให้รีวิวสินค้าแบบที่เห็นกันตามสื่อโซเชียลนั่นเอง
BURN OUT
1. เป็นภาวะของความอ่อนล้าของอารมณ์ จิตใจและร่างกายที่ มีความ เครียดสะสมจากการทำ งานเป็นเวลายาวนานซึ่งเกิดขึ้น เมื่อ บุคคลรู้สึกว่าไม่สามารถที่จะจัดการงานต่าง ๆ ได้ทั้งหมด 2. ทําให้มีความเครียดอย่างต่อเนื่อง จนขาดแรงจูงใจและความ สนใจที่จะทำ หน้าที่หรือบทบาทของตนอย่างเต็มที่ ซึ่งจะมี อาการ อ่อนล้าทางอารมณ์ มีความรู้สึกท้อแท้ หมดกำ ลังใจมีความรู้สึก และพฤติกรรมในทางลบต่อตนเองและผู้อื่น เมินเฉย แยกตัว ไม่ ต้องการให้ใครมายุ่ง 3. มีการประเมินตนเองในทางลบ รู้สึกว่าตนไร้ความสามารถ ขาดความสำ เร็จในงาน มีความรู้สึกว่าสิ่งแวดล้อมในการทำ งาน เป็นอุปสรรคต่อการทำ งาน และไม่สามารถปรับตัวต่องานได้ เป็นการปฏิบัติงานที่จะต้องอาศัยทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ใน การปฏิบัติงานจนหมดเรี่ยวแรงเพื่อให้บรรลุถึงความมุ่งมั่น 4.ทุ่มเทแต่ไม่ประสบความสําเร็จตามคาดหวังจนเกิดอาการ หมดกำ ลังใจ อ่อนล้าและท้อถอยกับชีวิตในการทำ งาน เป็นการที่ บุคคล มีแรงจูงใจในการทำ งานลดลงและมีความรู้สึกว่าสิ่งที่ทำ ยุ่งยาก ซับซ้อนไปหมดโดยมีสัญญาณเตือนคือรู้สึกคับข้องใจ อารมณ์พล่าน การถอนตัวออกจากสังคม การปฏิบัติงานตำ มี ปัญหาสุขภาพ สรุปได้ว่าภาวะหมดไฟในการทำ งานเป็นภาวะที่ บุคคลมีความรู้สึก หดหู่ ท้อแท้ เบื่อหน่าย อารมณ์เปลี่ยนแปลง ง่าย นอนไม่หลับ หงุดหงิดง่าย มองโลกในแง่ลบ รู้สึกว่า ตนไร้ความสามารถ เริ่ม มาทำ งานสายบ่อยขึ้น ไม่มีความสุขใน การทำ งาน การบริหาร จัดการเวลาแย่ลง ซึ่งจะมีพฤติกรรมและ การแสดงออกที่ผิด ปกติทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ 1. ภาระงานหนักและปริมาณงานมากงาน มีความ ซับซ้อนต้องทํางานให้เสร็จในเวลาเร่งรีบ 2. ขาดอำ นาจในการตัดสินใจและมีปัญหาการเรียง ล่าดับความสําคัญของงาน 3. ไม่ได้รับการตอบแทนหรือรางวัลที่เพียงพอต่อ สิ่งที่ทุ่มเทไป 4. รู้สึกไร้ตัวตนในที่ทำ งานหรือไม่เป็นส่วนหนึ่งของทีม 5. ไม่ได้รับความยุติธรรมขาดความเชื่อใจ และการเปิดใจยอมรับกัน 6. ระบบบริหารในที่ทำ งานที่ขัดต่อคุณค่า และจุดมุ่งหมายในชีวิตของตนเอง ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับงานที่สำ คัญ ความหมายและสาเหตุของภาวะ หมดไฟในการทำ งาน ภาวะหมดไฟ ในกาาทำ งาน (BURNOUT)
BURN OUT ด้านร่างกายพบว่ามีอาการเหนื่อยล้า ไม่สดชื่น การนอนผิดปกติ หลับยาก น้ำ หนักเพิ่ม หรือลดอย่างมาก อาการปวดกล้ามเนื้อ และภูมิต้านทานโรคน้อยลง ด้านพฤติกรรมจะมีอาการแยกตัวชอบอยู่คนเดียว หวาดระแวง สงสัยผู้อื่นและขาดความรับผิดชอบในงาน ด้านอารมณ์จะมีความรู้สึกหดหู่ เศร้า หงุดหงิด โกรธง่าย คับ แค้นใจ น้อยใจและไม่พอใจในงานที่ทำ ด้านความคิดจะเริ่มมองงานหรือคนอื่นในแง่ร้าย หวาดระแวง โทษคนอื่น สงสัยความสามารถ ของตนเองและอยากเลี่ยง ปัญหา ภาวะหมดไฟในการทำ งานเป็นภาวะที่บุคคลได้รับแรงกดดัน จากการทำ งานเป็นเวลานานจนทำ ให้เกิดความเครียด สะสม ซึ่งจะมี พฤติกรรมและการแสดงออกที่ผิดปกติทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ พบอาการหลัก 3 ประการ คือ 1) มีความเหนื่อยล้าทางอารมณ์รู้สึกสูญเสียพลังงานทางจิตใจ 2) มองความสามารถในการทำ งานของตนเองในเชิงลบ ขาดความ รู้สึกประสบความสำ เร็จ 3) มองความสัมพันธ์ในที่ทำ งานไปในทางลบ รู้สึกเหินห่างจากคนอื่น ซึ่งเป็นโรคทางจิต ที่ต้องได้รับการรักษาโดย จัดอยู่ในกลุ่มโรคทางจิตเวชตามเกณฑ์การวินิจฉัยโรคขององค์การ อนามัยโลก สัญญาณเตือนว่า เริ่มเกิดภาวะหมดไฟ ประกอบด้วย วิธีการจัดการเพื่อให้เข้าสู่ระยะฟื้นตัวโดยเร็ว ได้แก่ การจัดการกับ ความเครียด การพิจารณาถึงข้อดี- ข้อเสียของการลาออกจากงาน การค้นหาเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต การวางแผนชีวิตตามเป้าหมาย ที่เลือกและวิธีการอยู่กับ ปัจจุบันอย่างมีความสุข ภาวะหมดไฟในการทำ งานมีสาเหตุจากการได้รับ ภาระงานที่หนัก และมีปริมาณมากอย่างต่อเนื่องยาวนาน การ ไม่ได้รับความยุติธรรม ขาดอำ นาจในการตัดสินใจ รู้สึกไม่ได้ เป็นส่วนหนึ่งของทีม ได้รับแต่คำ ตำ หนิไม่เคยได้รับคำ ชื่นชม จากผู้ร่วมงาน บรรยากาศองค์กรที่ขาด ความเห็นอกเห็นใจกัน รวมถึงสาเหตุจากปัญหาความไม่สมดุลระหว่าง งานกับชีวิต ส่วนตัวและการที่มีความเข้มแข็งทางอารมณ์ในระดับต่ำ หากเกิดความรู้สึกเหล่านี้จำ เป็นที่จะต้องมีการประเมินตนเอง เพื่อ ตรวจสอบว่าขณะนี้มีภาวะหมดไฟในการทํางานหรือไม่
ความเหนื่อยหน่ายหรือ ภาวะหมดไฟ (burnout) ผู้ที่มีภาวะหมดไฟในการทำ งานมักเป็นผลมาจากการสะสมความ เครียด ในการทํางานมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน จนมีอาการแสดง ออกที่ผิดปกติทางด้าน ร่างกาย และจิตใจ เช่น มีความรู้สึก เหนื่อยล้า หมดเรี่ยวแรง อ่อนเพลีย นอนไม่ หลับ หดหู หมดหวัง ท้อแท้ หงุดหงิด โมโหง่าย รู้สึกตนเองไม่มีคุณค่าปฏิเสธงาน ความสามารถในการทำ งานลดลง ขาดงานบ่อย และจบด้วยการขอลาออกจากงาน รู้สึกว่าตนเองขาดความ (1) สามารถ มองตนเองด้านลบ ไม่มีความก้าวหน้าในงาน มีความรู้สึกว่าสิ่งแวดล้อมในการทำ งานเป็นอุปสรรคต่อการทำ งาน ไม่สามารถปรับ ตัวต่องานและการใช้ชีวิตส่วนตัวประสิทธิภาพลดลง บุคคลมีความเสี่ยงที่จะเผชิญ กับภาวะหมดไฟใน การทำ งาน ซึ่งผู้ที่ประสบภาวะนี้ควรได้รับการแก้ไขก่อนที่จะ ก่อ ตัวเป็นความเครียดสะสม เป็นปัญหารุนแรงคุกคามต่อการ ใช้ชีวิตประจำ วันและ เป็นโรคซึมเศร้าต่อไปในที่สุด บทความนี้ อธิบายความหมาย สาเหตุของภาวะหมด ไฟในการทำ งาน การประเมินภาวะหมดไฟในการทำ งานด้วยตนเอง และ วิธีการ จัดการเมื่อมีภาวะหมดไฟในการทำ งานด้วยการพิจารณา ข้อดี-ข้อเสียของงานที่ทำ การค้นหาเป้าหมายที่แท้จริงข รงของชวต สามารถจัดการวางแผนปัญหาที่เกิดขึ้น ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นด้านการปฏิบัติงาน การดูแลตนเอง สามารถ ทำ งาน และอยู่กับปัจจุบันอย่างมีความสุข เป็นปัญหาที่พบได้มากโดยเฉพาะในบุคลากรที่มีอาชีพใน การ บริการ โดยพบได้ประมาณร้อยละ 15-50 ของคนทำ งาน อาชีพ ที่ต้องทํางานเกี่ยวข้องกับการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นและ บุคลากรสาธารณสุขมักเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ประสบปัญหาภาวะ หมดไฟ ได้มากที่สุด โดยพิจารณาจากสถิติการลาออกจากงาน ของแพทย์ พยาบาล พบว่าในแต่ละปีมีการลาออกถึงร้อยละ 48.68 ซึ่งถือว่า เป็นจํานวนมากโดยสาเหตุที่สำ คัญประการหนึ่ง คือเป็นงานที่หนัก และเครียดอยู่ตลอดเวลาก่อให้เกิดผลเสีย ทั้งต่อตัวบุคคลและ องค์กร โดยผู้ที่มีภาวะเหนื่อยหน่ายในงาน จะขาดงานบ่อย มีอัตรา การลาป่วยมากกว่าคนทั่วไป 2-7 เท่า โดยส่วนใหญ่จะลางานด้วย อาการปวดหัว ปวดท้อง หรือ ไข้หวัด นอกจากนี้ในด้านอารมณ์ พบว่ามักมีอาการโกรธง่าย ขี้หงุดหงิด แยกตัว ไม่สุงสิงกับผู้ร่วม งาน ไม่มีความกระตือ รือร้นในการทำ งาน ขาดความคิดริเริ่มที่จะ พัฒนาสิ่งใหม่ ๆ จน ท่าให้ประสิทธิภาพในการทางานขององค์กรต่า ลง และนำ ไปสู่ การลาออกจากงาน ภาวะหมดไฟในการทำ งาน (Burnout) เป็นโรคทาง สุขภาพจิตที่ต้องได้รับการรักษาซึ่ง องค์การอนามัยโลกจัดอยู่ ในกลุ่ม ICD (International Classification of Diseases) ผู้ที่มีภาวะหมดไฟในการทำ งาน มักเป็นผลมาจากการสะสมความ เครียดในการทํางานมาอย่างต่อ เนื่องยาวนาน จนมีอาการแสดง ออกที่ผิดปกติทางด้านร่างกาย และจิตใจ เช่น มีความรู้สึก เหนื่อยล้า หมดเรี่ยวแรง อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ หดหู หมดหวัง ท้อแท้ หงุดหงิด โมโหง่าย รู้สึกตนเอง ไม่มีคุณค่าปฏิเสธงาน ความสามารถในการทำ งานลดลง ขาดงาน บ่อย และจบด้วยการขอลาออกจากงาน
วิธีวิก ธี ารจัด จั การ เมื่อ มื่ มีภ มี าวะหมดไฟ ในการทำ งาน เมื่อพบว่ากำ ลังเกิดภาวะหมดไฟในการ ทำ งาน สิ่งที่ ควรปฏิบัติเพื่อให้เข้าสู่ระยะฟื้นตัวโดย เร็ว ได้แก่ การจัดการ กับความเครียด การ พิจารณาถึงข้อดี-ข้อเสียของงานที่ทำ การค้นหา เป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต การวางแผนชีวิตตาม เป้าหมายที่เลือก การจัดการวางแผนปัญหาที่เกิด ขึ้นได้อย่าง ถูกต้องเหมาะสมไม่ว่าจะเป็นด้านการ ปฏิบัติงาน การดูแล ตนเองและอยู่กับปัจจุบัน อย่างมีความสุข เป็นสิ่งจําเป็นอย่างยิ่ง การ จัดการกับความเครียดเป็นสาเหตุสำ คัญที่ทำ ให้เกิด ภาวะหมดไฟ ในการทำ งานดังนั้นต้องรู้เท่าทัน ความเครียดที่เกิดขึ้นและ ยอมรับว่าความเครียด (Stress) เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ทุกคน ไม่อาจ หลีกเลี่ยงได้ ความเครียดเป็นปฏิกิริยาตอบสนอง อย่าง ไม่เฉพาะเจาะจงของร่างกายต่อสิ่งกระตุ้นที่ ทำ ให้เกิดการสู้หรือหนี หรือเรียกว่าเป็นกลุ่ม อาการปรับตัว ความเครียดที่พอดีทําให้ เกิดผลดี แต่ถ้าเครียดเป็นเวลานานเกินไปจะทำ ให้เกิดผลเสีย ต่อร่างกายและจิตใจ ได้แบ่งความเครียดออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะเตือน (Alarm reaction) ร่างกายเริ่มมี การตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้น ซึ่งเกิดจากการ ทำ งานของระบบ ประสาทอัตโนมัติที่เกี่ยวข้องกับ การหลั่งของสาร epinephrine และ norepinephrine และ cortisol เพิ่มขึ้น ระยะต่อต้านและระยะหมดกำ ลัง (Stage of resistance) ระยะนี้ร่างกายปรับตัวเต็มที่ที่จะสู้ หรือหนี เพื่อ ป้องกันอันตราย ระยะหมดกำ ลัง (Stage of exhaustion) เกิดจากมีการปรับตัวถึงขีดสุดจนหมดพลังที่จะสู้ ตลอดชีวิต ของบุคคลจะต้องพบกับความเครียด ความไม่สมหวัง ความ ไม่แน่นอน (ไม่เที่ยง) หรือ การเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและ ภายนอกร่างกาย อยู่ตลอดเวลา การเปลี่ยนแปลงที่ทำ ให้ต้องมี การปรับตัว การปรับตัวทำ ให้เกิดความเครียดขึ้น และถ้าการ ปรับตัวล้มเหลวจะทำ ให้เกิดภาวะ วิกฤติทางอารมณ์ขึ้นได้ ถ้าบุคคลไม่สามารถปรับ ตัวยอมรับกับงานที่ทำ อยู่ได้จะเกิดความ เครียด ซึ่งเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดภาวะหมดไฟในการทำ งาน
burn out หนีและเลี่ยง โดยการปฏิเสธว่าตัวเอง เครียด แยกตัว ใช้เครื่องดื่มมึนเมา ฯลฯ ซึ่ง เป็นวิธีที่ไม่เป็น ผลดีต่อตนเอง ยอมรับพร้อมทั้งเผชิญกับภาวะความเครียด นั้น ๆ เสีย (fight) เป็นการต่อสู้กับ ความเครียด โดยการแก้ไข ๆ ภาวะนอกตัวเราที่สร้างความเครียด หรือแก้ไขตัวเรา เอง ให้มีความเข้มแข็งและแกร่งขึ้น เรียนรู้ที่จะอยู่กับความเครียด (coexistence) โดยการปรับเปลี่ยนตัวเองโดยใช้ กลไกทางจิต ด้วยวิธีการกด ระงับ (Suppression) คือการลืมบางสิ่งบางอย่าง โดยเจตนา หรือการหาเหตุผล (rationalization) คือการหาเหตุผลเข้าข้าง ตนเองเพื่อความสบายใจในเวลานั้น ซึ่งเป็นการวางความเครียด ไว้เพียงชั่วคราว เท่านั้น ดังนั้นให้พิจารณาว่าอะไรบ้างที่ท่าให้รู้สึกเครียดหรือทำ ให้ เริ่มหมดไฟ แล้วรีบ จัดการและหาวิธีแก้ไขในส่วนดังกล่าว ซึ่ง สุวนีย์ เกี่ยวกิ่งแก้ว (2554) เสนอถึงกลวิธี ทางด้านจิตใจเพื่อลด ความกดดันทางด้านจิตใจ อารมณ์ ไว้ 3 ประการ คือ การตอบสนองต่อความเครียดแทนการมีปฏิกิริยาโต้ตอบต่อ สถานการณ์นั้น ซึ่งหมาย ถึงว่าท่านสามารถเลือกที่จะเลี่ยง จากสถานการณ์ที่ท่าให้เครียดนั้นได้ โดยการช่วย เหลือผู้ที่มี ภาวะเครียดที่ดีที่สุด คือ การหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ก่อให้ เกิดความเครียด และการปรับตัวกับสถานการณ์เครียด โดยใช้ เทคนิคการผ่อนคลายความเครียด ได้แก่ การ ออกกำ ลังกาย การทำ สมาธิ การนอน การสร้างอารมณ์ขัน การทำ กิจกรรม ที่ ชอบและรู้จักยืดหยุ่น รวมถึงการปรับเปลี่ยนความคิดเชิงลบ ให้เป็นเชิงบวก อาจลอง ปรึกษายหัวหน้างานเพื่อแลกเปลี่ยน มุมมองและความคิดเห็น หาวิธีแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ร่วมกันหรืออาจหาที่ปรึกษาและผู้ที่อาจให้ความช่วยเหลือใน ด้านนี้ได้ เช่น คนในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน คนสนิท หรือ คนรัก เป็นต้น เพื่อให้ช่วยร่วมกันคิดและ ช่วยให้คำ แนะนำ ในการตัดสินใจ ดังนั้น เมื่อมีความเคร่งเครียดจากการทำ งานหนัก ควรหนีออกจากงานนั้นไปสักระยะก่อน โดยการหาเวลาไป พักผ่อนเพื่อผ่อนคลาย ความเครียด สร้างพลังใจให้เข้มแข็ง กลับมาสู้กับงานต่อไป แต่ถ้ายังรู้สึกเบื่องาน ไม่ ต้องการทำ งาน นั้นและตัดสินใจที่จะลาออกจากงานนั้นจริง ๆ