The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เหตุการณ์ 6 ตุลา (พ.ศ. 2519) หรือในภาษาอังกฤษเรียกชื่อเชิงพรรณนาว่า การสังหารหมู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นการปราบปรามอย่างรุนแรงถึงชีวิตของตำรวจและการลงประชาทัณฑ์ของกำลังกึ่งทหารและคนมุงฝ่ายขวาต่อนักศึกษาและผู้ประท้วงฝ่ายซ้ายในและบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และท้องสนามหลวง เป็นการปิดฉากการประท้วง การเดินขบวนและการยึดพื้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ของนักศึกษา กรรมกรและผู้ประท้วงซึ่งต่อต้านการเดินทางกลับประเทศของจอมพลถนอม กิตติขจร อดีตนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2519 ในวันที่ 6 ตุลาคม ตำรวจใช้อาวุธสงครามปราบปรามการประท้วง ตามด้วยกลุ่มฝ่ายขวาที่ลงประชาทัณฑ์ในลักษณะร่วมมือกับตำรวจ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บ สถิติพบผู้เสียชีวิต 45 คนที่มีการชันสูตรพลิกศพ ซึ่งสาเหตุการเสียชีวิตมีทั้งถูกยิงด้วยอาวุธปืน ถูกทุบตี และถูกเผา แต่สถิติไม่เป็นทางการจากมูลนิธิป๋วยคาดว่ามีผู้เสียชีวิตกว่า 100 คน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Mariam Chemae, 2023-02-03 09:25:36

(เหตุการณ์6ตุลาคม 2519)

เหตุการณ์ 6 ตุลา (พ.ศ. 2519) หรือในภาษาอังกฤษเรียกชื่อเชิงพรรณนาว่า การสังหารหมู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นการปราบปรามอย่างรุนแรงถึงชีวิตของตำรวจและการลงประชาทัณฑ์ของกำลังกึ่งทหารและคนมุงฝ่ายขวาต่อนักศึกษาและผู้ประท้วงฝ่ายซ้ายในและบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และท้องสนามหลวง เป็นการปิดฉากการประท้วง การเดินขบวนและการยึดพื้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ของนักศึกษา กรรมกรและผู้ประท้วงซึ่งต่อต้านการเดินทางกลับประเทศของจอมพลถนอม กิตติขจร อดีตนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2519 ในวันที่ 6 ตุลาคม ตำรวจใช้อาวุธสงครามปราบปรามการประท้วง ตามด้วยกลุ่มฝ่ายขวาที่ลงประชาทัณฑ์ในลักษณะร่วมมือกับตำรวจ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บ สถิติพบผู้เสียชีวิต 45 คนที่มีการชันสูตรพลิกศพ ซึ่งสาเหตุการเสียชีวิตมีทั้งถูกยิงด้วยอาวุธปืน ถูกทุบตี และถูกเผา แต่สถิติไม่เป็นทางการจากมูลนิธิป๋วยคาดว่ามีผู้เสียชีวิตกว่า 100 คน

เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 นายสุริยัน สันทัดการ 1049 นางสาวเกวลิน อยู่เย็น 1059 นายธีรพัฒน์ พรหมจันทร์ 1126 นางสาวมาเรียม เจะแม 1134 นางสาวรัชนีกร ทุมพันธ์ 1136 นายยศกร ทองตะกุก 1011 กลุ่มเรียน 65023.072 เสนอ อาจารย์อยับ ซาดัดคาน สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565


คำ นำ รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษารายวิชาการเมืองการปกครองและ รัฐธรรมนูญโดยมีประเด็นสำ คัญเกี่ยวกับเหตุการณ์สำ คัญทางการเมืองไทย เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 จัดทำ เพื่อให้ได้เรียนรู้ในเรื่องราวของเหตุการณ์สำ คัญทางการเมือง โดยได้ศึกษาผ่านหนังสือ E-book โดยรายงานเล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับ เหตุการณ์ 6 ตุลาคม ปัจจัยที่นำ มาสู่กรณี 6 ตุลาคม การต่อต้าน กวาดล้าง และปราบปราม การก่อกรณี 6 ตุลาฯ ใครสั่ง/ใครบงการ บุกธรรมศาสตร์ บทสรุป ความใฝ่ฝันถึงสังคมใหม่ไม่ใช่ ความผิด ผู้จัดทำ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดทำ รายงานฉบับนี้จะมี ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจศึกษาเหตุการณ์สำ คัญทางการเมือง คณะผู้จัดทำ ก


สารบัญ คำ นำ สารบัญ เหตการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ปัจจัยที่นำ มาสู่กรณี 6 ตุลาฯ การต่อต้าน กวาดล้าง และปราบปราม ใครสั่ง/ใครบงการ บุกธรรมศาสตร์ บทสรุป ความใฝ่ฝันถึงสังคมใหม่ไม่ใช่ความผิด หน้า ก ข ข 1-2 3 4-5 การก่อกรณี 6 ตุลาฯ 6-11 12 13-14 บรรณานุกรม 15


เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 วันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 นั้นเป็นวันที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่า ได้เกิด กรณีนองเลือดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย เมื่อเจ้าหน้าที่รั ที่ รัฐบาลและกลุ่ม ฝ่ายขวาหลายกลุ่มร่วมมือกันก่อการสังหารหมู่นักศึกษาประชาชน ที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ใร์จกลางพระนคร จนทำ ให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 39 คน และบาดเจ็บ 145 คน การก่อการสังหารครั้งนี้ได้กลายเป็นข่าวแพร่ไปทั่วโลก แต่ ที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือ การก่อกรณีนองเลือดครั้งนี้ ไม่มีการจับกุมฆาตกรผู้ ก่อการสังหารเลยแม้แต่คนเดียว ในทางตรงข้ามนักศึกษาประชาชนที่เหลือรอด จากการถูกสังหารจำ นวน 3,094 คน กลับถูกจับกุมทั้งหมดภายในวันนั้นเอง และ ถึงแม้ว่าในระยะต่อมา ผู้ถูกจับกุมจะได้รับการประกันตัวออกมาเป็นส่วนใหญ่ แต่ สุดท้ายก็ยังมีเหลืออีก 27 คน ถูกอายัดตัวเพื่อดำ เนินคดี เป็นชาย 23 คน และ หญิง 4 คน จนท้ายที่สุด จะเหลือ 19 คน ซึ่งตกเป็นจำ เลย ถูกคุมขังและดำ เนิน คดีอยู่เกือบ 2 ปีจึงจะได้รับการปล่อยตัว ส่วนผู้ก่อการสังหารซึ่งควรจะเป็น จำ เลยตัวจริงนั้นไม่มีรัฐบาลหรือผู้กุมอำ นาจครั้งไหนกล่าวถึงอีกเลย แม้กระทั่ง พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ นายกรัฐมนตรีสรีมัยที่ปล่อยผู้ต้องหา 6 ตุลาฯ ทั้ง 19 คนนี้ก็ได้กล่าวว่า “แล้วก็ให้แล้วกันไป ลืมมันเสียเถิดนะ” เหมือนกับว่าจะให้ ลืมกรณีฆาตกรรมดังกล่าวเสีย มิให้กล่าวถึงคนร้ายในกรณีนี้อีก 1


เงื่อนงำ ของการสังหารโหดนี้ได้รับการคลี่คลายในตัวเองขั้นหนึ่งในเย็นวันนั้นเอง เมื่อ คณะทหารกลุ่มหนึ่งในนามของ “คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน” ได้กระทำ การ รัฐประหารยึดอำ นาจล้มเลิกการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ล้มรัฐบาลที่ได้มา จากการเลือกตั้งตามวิถีทางรัฐสภาและฟื้นระบอบเผด็จการขวาจัดขึ้นมาปกครอง ประเทศแทน ถ้าหากว่าการสังหารหมู่เมื่อเช้าวันที่ 6 ตุลาคม คือการก่ออาชญากรรมต่อ นักศึกษาผู้รักความเป็นธรรมแล้ว การรัฐประหารเมื่อเย็นวันที่ 6 ตุลาคมก็คือ การก่อ อาชญากรรมต่อประเทศชาติ เพราะเป็นการทำ ลายสิทธิประชาธิปไตยของประชาชนทั้ง ชาติ ที่ได้มาจากการเสียสละเลือดเนื้อและชีวิตของวีรชน 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 เมื่อโยง การรัฐประหารของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ครั้งนี้เข้ากับการสังหารโหดที่เกิดขึ้น ในวันเดียวกัน จะทำ ให้มองเห็นภาพการเคลื่อนไหวของพลังปฏิกิริยาที่ร่วมมือกันก่อ อาชญากรรมได้ชัดเจนขึ้น 2


ปัจจัยที่นำ มาสู่กรณี 6 ตุลาฯ 1.การเฟื่องฟูของอุดมการณ์สังคมนิยม 2การต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมของกรรมกร ชาวนา และประชาชนกลุ่มต่างๆ 3.การเคลื่อนไหวของขบวนการนักศึกษา 4.การเปลี่ยนแปลงในด้านวัฒนธรรม 5.การปรับตัวของขบวนการนักศึกษา 6.ขบวนการทางสังคมอื่น ๆ 3


การต่อต้าน กวาดล้าง และ ปราบปราม การเคลื่อนไหวสนับสนุนการต่อสู้ของกรรมกรชาวนาและคนยากจน การมุ่งที่จะเรียก ร้องเอกราชสมบูรณ์โดยคัดค้านการคงอยู่ของทหารและฐานทัพในประเทศไทย การ ขยายตัวของอุดมการณ์สังคมนิยม และการเกิดของพรรคการเมืองแนวทางสังคมนิยมที่ ต่อสู้ทางรัฐสภา ที่เสนอคำ ขวัญให้ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ตลอดจนถึงการเกิด กระแสวิพากษ์สังคมและวัฒนธรรมในด้านต่างๆ ที่ดำ เนินการโดยขบวนการนักศึกษา เป็นแกนกลางได้ก่อให้เกิดความวิตกอย่างมากในหมู่ผู้มีอำ นาจและกลุ่มอนุรักษนิยม ที่ มีความหวาดกลัวว่าผลประโยชน์ของตนจะต้องถูกกระทบกระเทือน และยิ่งเกิดการ ปฏิวัติไปสู่สังคมนิยมในประเทศกัมพูชาและเวียดนามเมื่อเดือนเมษายน 2518 อีกทั้ง การปฏิวัติในลาวเมื่อเดือนธันวาคมปีเดียวกัน อันนำ มาสู่การยกเลิกสถาบันกษัตริย์ใน ลาว ยิ่งก่อให้เกิดความวิตกอย่างยิ่งว่า จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในทำ นองเดียวกันใน ประเทศไทย แต่แทนที่ชนชั้นนำ ไทยจะหันมาแก้ปัญหาสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ให้เป็นธรรมมากขึ้น หรือหันมาสร้างประเทศไทยให้มีเอกราช ประชาธิปไตยอย่าง แท้จริง กลุ่มอนุรักษนิยมและปฏิกิริยากลับเห็นว่าการเคลื่อนไหวเหล่านี้เป็นความ วุ่นวาย และใช้ทัศนะที่คับแคบโจมตีการเคลื่อนไหวต่อต้านความไม่เป็นธรรมนี้ว่า เป็นการเคลื่อนไหวของคอมมิวนิสต์ รวมทั้งเหมารวมว่าขบวนการนักศึกษาจะต้อง กลายเป็นปิศาจคอมมิวนิสต์ไปทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีความเห็นว่ารัฐบาลพลเรือนสมัย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช และ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช โอนเอนไปตามเสียงของขบวนการ นักศึกษามากเกินไป 4


ดังนั้น วิธีการแก้ปัญหา จึงได้ใช้ความรุนแรงเข้าจัดการยุติบทบาทของขบวนการ นักศึกษา และนำ ประเทศกลับคืนสู่เสถียรภาพเช่นเดิม โดยสร้างเงื่อนไขที่จะก่อการ รัฐประหาร นำ เอารัฐบาลที่เข้มแข็งและปราบปรามคอมมิวนิสต์มาบริหารประเทศ แทน วิธีการที่ใช้ต่อขบวนการนักศึกษาก็คือ การแบ่งแยกขบวนการและทำ ลาย ใช้ ความรุนแรงเข้าสกัดกั้น การตั้งองค์กรฝ่ายขวาขึ้นต่อต้านขบวนการนักศึกษา การ ปิดล้อมทางข่าวสารและใส่ร้ายป้ายสี และท้ายที่สุดก็คือการกวาดล้างปราบปราม และก่อรัฐประหารฟื้นเผด็จการ ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้เองที่นำ มาสู่การเกิด เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 5


การก่อกรณี 6 ตุลาฯ การคุกคามฝ่ายนักศึกษาเกิดขึ้นอย่างหนักใน พ.ศ.2519 ตั้งแต่ต้นปี การปฏิบัติการดัง กล่าวกระทำ จนกระทั่งแน่ใจได้ว่า ขบวนการอ่อนกำ ลังลงมากแล้ว จึงได้มีการนำ เอาตัว จอมพลประภาส จารุเสถียร เข้ามาสู่ประเทศเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2519 ในข้ออ้างของ จอมพลประภาสว่า จะเข้ามารักษาตา ฝ่ายนักศึกษาได้เรียกชุมนุมประชาชน เพื่อเรียก ร้องให้นำ ตัวจอมพลประภาสมาลงโทษ ในการประท้วงครั้งนี้ กลุ่มอันธพาลการเมืองก็ ก่อกวนเช่นเดิม ด้วยการขว้างระเบิดใส่ที่ชุมนุมของฝ่ายนักศึกษา ทำ ให้มีผู้เสียชีวิต 2 คน และบาดเจ็บอีก 38 คน แต่ปรากฏว่าเหตุการณ์นี้ กลุ่มชนชั้นนำ ยังไม่มีความพร้อมเพียง พอที่จะก่อการรัฐประหารได้ จึงต้องผลักดันให้จอมพลประภาสเดินทางออกนอกประเทศ ไปก่อน ในที่สุดจอมพลประภาสยินยอมเดินทางออกไปยังกรุงไทเปอีกครั้งในวันที่ 22 สิงหาคม โดยก่อนออกเดินทาง ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช อีกด้วย หลังจากนี้ เริ่มมีข่าวว่าจอมพลถนอม กิตติขจร จะขอกลับเข้าสู่ประเทศไทยอีกครั้งเพื่อ เยี่ยมบิดาที่ใกล้ถึงแก่กรรม เนื่องจากบิดาคือขุนโสภิตบรรณลักษณ์ (อำ พัน กิตติขจร) มีอายุถึง 90 ปีแล้ว ตั้งแต่วันที่ 3 กันยายน 2519 ศูนย์นิสิตได้เรียกประชุมกลุ่มต่างๆ 165 กลุ่ม เพื่อคัดค้านการกลับเข้ามาของจอมพลถนอม กิตติขจร โดยระบุความผิดของ จอมพลถนอม 11 ข้อ จากนั้น ในวันที่ 7 กันยายน ก็มีการอภิปรายที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในหัวข้อทำ ไมจอมพลถนอมจะกลับมา ซึ่งผู้อภิปรายหลายคน ได้สรุปว่า การเข้ามาของจอมพลถนอมส่วนหนึ่งเป็นแผนการที่วางไว้เพื่อจะหาทาง ก่อการรัฐประหารนั่นเอง อย่างไรก็ตาม คณะรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้มีมติมิให้จอมพลถนอม กิตติขจร กลับเข้าประเทศ 6


แต่ปรากฏว่า เมื่อถึงวันที่ 19 กันยายน 2519 จอมพลถนอม กิตติขจร ก็กลับเข้า ประเทศจนได้ โดยบวชเป็นสามเณรมาจากสิงคโปร์ จากนั้นก็ตรงไปยังวัดบวร นิเวศฯ เพื่อบวชเป็นภิกษุ โดยมีพระญาณสังวร เป็นองค์อุปัชฌาย์ และเมื่อบวช เรียบร้อยก็ขนานนามว่า สุกิตติขจโรภิกษุ ในกรณีนี้ วิทยุยานเกราะได้นำ คำ ปราศรัยของจอมพลถนอมมาออกอากาศในวันที่ 19 กันยายน ซึ่งมีสาระสำ คัญว่า จอมพลถนอมกลับเข้ามาในประเทศครั้งนี้เพื่อเยี่ยมอาการป่วยของบิดา จึงได้บวช เป็นพระภิกษุตามความประสงค์ของบิดา และไม่มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองอย่างใด เลย จากนั้น วิทยุยานเกราะได้ตักเตือนมิให้นักศึกษาก่อความวุ่นวาย มิฉะนั้นแล้ว อาจจะต้องมีการประหารสักสามหมื่นคน เพื่อให้ชาติบ้านเมืองรอดพ้นจากภัย เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ขบวนการนักศึกษาที่นำ โดยศูนย์นิสิตและแนวร่วมต้าน เผด็จการแห่งชาติก็เคลื่อนไหวโดยทันที โดยยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาล แสดงการ คัดค้านจอมพลถนอมที่ใช้ศาสนาบังหน้า ทำ ให้พระศาสนามัวหมอง เรียกร้องให้นำ เอาจอมพลถนอมมาขึ้นศาลพิจารณาคดี พร้อมทั้งคัดค้านความพยายามที่จะ ก่อการรัฐประหาร ขณะที่กลุ่มยุวสงฆ์ก็ออกคำ แถลงคัดค้านสถานะภิกษุของ จอมพลถนอม โดยขอให้มหาเถรสมาคมตรวจสอบการบวชครั้งนี้ว่าถูกต้องตามพ ระวินัยหรือไม่ และถวายหนังสือต่อสังฆราชให้สอบสวนพระญาณสังวร ด้วย ใน ฐานะที่ทำ การบวชให้แก่ผู้ต้องหาคดีอาญา ปรากฏว่าสมเด็จพระสังฆราชยอมรับ ว่าการบวชนั้นถูกต้อง ส่วนเรื่องขับไล่จอมพลถนอมจากประเทศนั้นเป็นเรื่องทาง โลก ที่ทางมหาเถรสมาคมไม่อาจเกี่ยวข้องได้ ต่อมา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 23 กันยายน 2519 สมาชิกสภาก็ได้ เสนอให้มีการประชุมในเรื่องการกลับมาของจอมพลถนอมโดยตรง และได้ลงมติ คัดค้านการกลับมาของจอมพลถนอม ให้รัฐบาลดำ เนินการเรื่องนี้โดยทันที ปรากฏว่า นายกรัฐมนตรี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ไม่อาจจะจัดการอะไรได้ จึงได้ลาออกจาก ตำ แหน่งกลางสภาผู้แทนราษฎร และในเวลา 21.30 น 7


วันเดียวกันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินี ก็เสด็จไป ที่วัดบวรนิเวศฯ เพื่อสนทนาธรรมกับพระญาณสังวร ซึ่งเคยเป็นพระพี่เลี้ยงเมื่อ พระองค์ทรงผนวช ในระหว่างการเยือน คุณหญิงเกษหลง สนิทวงศ์ นางสนอง พระโอษฐ์ ได้แถลงว่า สมเด็จพระราชินีให้มาบอกว่า ได้ทราบว่าจะมีคนใจร้ายจะ มาเผาวัดบวรนิเวศ จึงทรงมีความห่วงใยอย่างมาก ขอให้ประชาชนช่วยกันดูแล ป้องกัน อย่าให้ผู้ใจร้ายมาทำ ลายวัด วันที่ 24 กันยายน 2519 นายสมัคร สุนทรเวช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง มหาดไทย ได้แถลงว่า การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จวัดบวรฯ กลางดึก แสดงให้เห็นว่า พระองค์ต้องการให้พระถนอม อยู่ในประเทศต่อไป อย่างไรก็ตาม ในคืนวันนั้นขบวนการนักศึกษาได้ออกติดโปสเตอร์ต่อต้านจอมพลถนอมทั่ว ประเทศ ปรากฏว่านิสิตจุฬาลงกรณ์ที่ออกติดโปสเตอร์ถูกชายฉกรรจ์จำ นวนหนึ่ง ดักทำ ร้าย และนำ เอาโปสเตอร์ที่จะติดนั้นไปทำ ลาย นอกจากนี้ นายชุมพร ทุม ไมย และนายวิชัย เกษศรีพงศา พนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค นครปฐม และ เป็นสมาชิกแนวร่วมประชาชน ซึ่งออกติดโปสเตอร์ต่อต้านจอมพลถนอม ได้ถูก คนร้ายฆาตกรรมแล้วนำ ไปแขวนคอที่ประตูทางเข้าที่ดินจัดสรรบริเวณหมู่บ้าน 2 ตำ บลพระประโทน ปรากฏจากการชันสูตรว่าทั้งสองคนถูกซ้อมและฆ่าอย่าง ทารุณก่อนที่จะนำ ศพไปแขวน สันนิษฐานว่าเจ้าหน้าที่ตำ รวจนครปฐมเป็นผู้ลงมือ ซึ่งกรณีนี้ ได้สร้างความสะเทือนใจอย่างมาก ศูนย์นิสิตจึงได้ตั้งข้อเรียกร้องเพิ่มต่อ รัฐบาลให้จับคนร้ายมาลงโทษโดยเร็ว ทางฝ่ายรัฐบาลได้ตั้งให้ พล.ต.ท.ชุมพล โลหะชาละ เป็นผู้ควบคุมคดี วันที่ 26 กันยายน 2519 กิตติวุฑโฒภิกขุได้แถลงย้ำ ว่า การบวชของพระถนอมครั้งนี้ ได้ กราบบังคมทูลขออนุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมทั้งการขอเข้ามาใน เมืองไทยด้วย ดังนั้น พระถนอมจึงเป็นผู้บริสุทธิ์ ต่อมา ในวันที่ 27 กันยายน 2519 นาย ส่งสุข ภัคเกษม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ฝ่ายขวา ได้ออกมาแถลงข่าวใส่ร้ายป้ายสีว่า กลุ่ม ฝ่ายซ้ายในพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งหมายถึงกลุ่มของนายดำ รงค์ ลัทธพิพัฒน์ และนาย ชวน หลีกภัย ได้จ่ายเงินให้แก่ศูนย์นิสิต 8 แสนบาท โดยผ่านนายสุธรรม แสงประทุม ใน กรณีเคลื่อนไหวต่อต้านจอมพลประภาส จารุเสถียร เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา 8


การชุมนุมคัดค้านจอมพลถนอมของขบวนการนักศึกษาได้เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 28 กันยายน ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้ยื่นคำ ขาดให้รัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช แก้ไขปัญหาเรื่องจอมพลถนอม กิตติขจร ให้จับตัวคนร้ายที่ก่อการฆาตกรรม 2 ช่างไฟฟ้านครปฐมมาลงโทษ และขอให้รัฐบาลจัดกำ ลังรักษาความปลอดภัยแก่ผู้ ชุมนุม ต่อมาศูนย์นิสิตได้ใช้มาตรการรุก คือขอให้รัฐบาลตอบภายใน 3 วัน วันที่ 1 ตุลาคม 2519 ตัวแทนญาติวีรชน 14 ตุลาคม ได้เข้าพบนายกรัฐมนตรี ขอให้ ดำ เนินการขับจอมพลถนอม กิตติขจร ออกจากประเทศไทย และได้เริ่มอดอาหาร ประท้วงที่หน้าทำ เนียบรัฐบาล ในวันเดียวกัน กลุ่มฝ่ายขวา 13 กลุ่ม ได้ร่วมออก แถลงการณ์ว่า ได้ปรากฏแน่ชัดแล้วว่า ศูนย์นิสิตนักศึกษา สภาแรงงานแห่งประเทศไทย และนักการ เมืองฝ่ายซ้าย ได้ถือเอาพระถนอมมาเป็นเงื่อนไขสร้างความไม่สงบขึ้นภายในประเทศ ชาติ ถึงขั้นจะก่อวินาศกรรมทำ ลายวัดบวรนิเวศวิหาร และล้มล้างรัฐบาล เรื่องนี้กลุ่ม ต่างๆ ดังกล่าว ได้ประชุมลงมติว่า 1. จะร่วมกันปกป้องวัดบวรฯ ทุกวิถีทาง ตามพระ ราชเสาวณีย์ วันที่ 2 ตุลาคม 2519 กำ หนดเวลาเส้นตายที่ศูนย์นิสิตยื่นไว้มาถึง ทางฝ่ายกระทิง แดงได้ตั้งกำ ลังล้อมวัดบวรนิเวศฯ โดยอ้างว่า เพื่อป้องกันศาสนสถาน ปรากฏว่า ตัวแทนศูนย์นิสิตได้เข้าพบนายกรัฐมนตรี แต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า ดังนั้น จึงได้มีการ ตกลงให้มีการชุมนุมประชาชนครั้งใหญ่ที่สนามหลวงในเวลาเย็นวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม ในเวลากลางวันของวันที่ 4 ตุลาคม 2519 นั้นเอง กลุ่มอิสระ 21 กลุ่มของมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ได้รณรงค์ให้นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์งดสอบ เพื่อร่วมการ ประท้วงขับไล่จอมพลถนอม ในการรณรงค์งดสอบนี้ ชมรมนาฏศิลป์และการละครได้ จัดการแสดงละครเรียกร้องให้นักศึกษามีจิตสำ นึกในการเข้าร่วมการต่อสู้ โดยมีฉาก หนึ่งที่เป็นภาพสะท้อนถึงช่างไฟฟ้าที่ถูกสังหารที่นครปฐม ปรากฏว่าการรณรงค์ประสบ ผล จนทำ ให้มหาวิทยาลัยต้องประกาศเลื่อนการสอบออกไปอย่างไม่มีกำ หนด ต่อมา เวลาตั้งแต่ 15.30 น. 9


ได้มีการชุมนุมประชาชนที่สนามหลวง จนกระทั่งเกิดฝนตก และมีแนวโน้มการคุกคาม ของกลุ่มฝ่ายขวาในเวลา 19.30 น. กลุ่มนักศึกษาที่นำ การชุมนุมจึงมีมติให้ย้ายเวทีเข้า มาชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เพื่อความสะดวกในการรักษาความปลอดภัย และ การประท้วงก็ข้ามคืนมาจนถึงวันที่ 5 ตุลาคม มีการชุมนุมประท้วงจอมพลถนอมเกิดขึ้น ในอีกหลายจังหวัด เช่น ที่เชียงใหม่ ขอนแก่น นครราชสีมา สงขลา เป็นต้น ชนวนแห่งเหตุร้ายอย่างไม่คาดหมายเกิดขึ้นเมื่อเช้าวันที่ 5 ตุลาคม 2519 เมื่อ หนังสือพิมพ์ บางกอกโพสต์ ลงภาพการแสดงละครแขวนคอของนักศึกษา เพื่อ ประกอบข่าวที่ทางการตำ รวจแถลงว่าจับกุมคนร้ายในกรณีสังหารช่างไฟฟ้านครปฐมได้ แล้ว ซึ่งเป็นตำ รวจชั้นผู้น้อย 5 คน ปรากฏว่าใบหน้าของผู้แสดงของนักศึกษา คือ อภินันท์ บัวหภักดี เมื่อถ่ายภาพออกมาแล้ว มีความคล้ายคลึงกับพระบรมโอรสาธิราช อย่างไม่คาดหมาย เมื่อเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นนี้ บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ดาวสยาม จึงได้เลือกเอารูปการแสดงละครของนายอภินันท์ที่มีความคล้ายคลึงกับ พระบรมโอรสาธิราชมากที่สุด เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ประโคมข่าวในหนังสือพิมพ์ฉบับบ่าย วันที่ 5 ตุลาคม โดยมีการพิมพ์ใหม่อย่างรวดเร็ว แล้วออกเผยแพร่โจมตีขบวนการ นักศึกษาว่าจงใจหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งเป็นเจตจำ นงในการทำ ลายสถาบันพระ มหากษัตริย์ และเป็นส่วนหนึ่งของแผนการของคอมมิวนิสต์ หลังจากนี้สถานีวิทยุทหารทุกแห่งก็ออกข่าวเกี่ยวกับกรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนี้ และระดมผู้รักชาติจำ นวนนับพันไปชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้าเพื่อต่อต้านกรณีดัง กล่าว โดยเฉพาะกลุ่มพลังฝ่ายขวาเช่น กระทิงแดง ลูกเสือชาวบ้าน และนวพล จากการ อ้างเอาเรื่องการหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์นี้เอง กลุ่มปฏิกิริยาจึงสามารถระดม ประชาชนที่โกรธแค้นเป็นจำ นวนมากมาร่วมการชุมนุมได้ โดยประเด็นที่วิทยุยานเกราะ เรียกร้องก็คือ ให้ทำ ลายพวกคอมมิวนิสต์ที่อยู่ในธรรมศาสตร์ และประท้วงรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ที่ตั้งรัฐบาลใหม่ โดยไม่ให้นายสมัคร สุนทรเวช และนายสมบุญ ศิริธร เข้าร่วมในคณะรัฐมนตรี 10


เวลาดึกของวันนั้น การชุมนุมของฝ่ายขวาก็ย้ายสถานที่มายังท้องสนามหลวงตรง บริเวณฝั่งตรงข้ามธรรมศาสตร์ และได้มีการยั่วยุประชาชนอย่างหนัก ให้เกลียดชัง นักศึกษามากยิ่งขึ้น และเช้าวันที่ 6 ตุลาคม ฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำ รวจก็เริ่มยิงอาวุธ สงครามใส่ผู้ชุมนุม จากนั้นต่อมาก็ได้ใช้กองกำ ลังตำ รวจกองปราบและหน่วยตำ รวจ ตระเวนชายแดนนำ การกวาดล้างนักศึกษาในมหาวิทยาธรรมศาสตร์ด้วยอาวุธ สงครามเต็มอัตรา นี่คือการปราบปรามใหญ่กรณี 6 ตุลาคมนั่นเอง 11


ใครสั่ง/ใครบงการ บุก ธรรมศาสตร์ กำ ลังที่บุกเข้าโจมตีผู้ชุมนุมในธรรมศาสตร์ในเช้าวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ถ้าจะแบ่งแบบ กว้างที่สุด ประกอบด้วย 2 พวก คือ มีเครื่องแบบกับไม่มีเครื่องแบบ พวกไม่มีเครื่อง แบบอย่างน้อยได้แก่ลูกเสือชาวบ้าน (สังเกตจาก “ผ้าพันคอพระราชทาน”) และน่าจะ กระทิงแดง (สังเกตจากบุคลิกท่าทาง) นอกจากนี้มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าหลายคนอาจจะ เป็นเจ้าหน้าที่หรืออดีตเจ้าหน้าที่ทหารตำ รวจนอกเครื่องแบบเช่น บางคนแสดงความ เห็นว่าลักษณะทารุณกรรมที่พวกนี้กระทำ เช่นตอกลิ่ม เผาทั้งเป็น แขวนคอแล้ว ประทุษร้ายศพคล้ายกับวิธีการที่ทหารอเมริกันหรือคนพื้นเมืองที่ทหารอเมริกันฝึก กระทำ ในสงครามเวียดนาม ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดาไม่น่าจะมีจิตใจเหี้ยมเกรียมพอจะ ทำ เช่นนั้นได้ ในความเป็นจริง ทารุณกรรมต่างๆที่นิยาม 6 ตุลาในความทรงจำ ของคน ทั่วไป เป็นฝีมือของพวกไม่มีเครื่องแบบนี้มากกว่าพวกมีเครื่องแบบ อย่างไรก็ตาม ลำ พังพวกไม่มีเครื่องแบบที่มีอาวุธไม่มาก ไม่สามารถจะสลายการชุมนุมในวันนั้นได้ พวกมีเครื่องแบบเป็นผู้โจมตีสังหารหมู่ด้วยอาวุธหนักเบาครบเครื่องก่อน เปิดทางให้ พวกไม่มีเครื่องแบบทำ ทารุณกรรม ลักษณะเด่นที่สุดของกำ ลังติดอาวุธในเครื่องแบบที่ลงมือปราบปรามการชุมนุมของ นักศึกษาประชาชนในกรณี 6 ตุลา ซึ่งตรงข้ามกับกรณี 14ตุลาและ17พฤษภา คือ มี แต่ตำ รวจไม่มีทหารถ้าดูจากหลักฐานต่างๆที่มีอยู่รวมทั้งคำ ให้การของพยานที่เป็น ตำ รวจในคดี6ตุลาจะพบว่ากำ ลังตำ รวจแทบทุกหน่วยถูกระดมมาใช้ในการโจมตี ธรรมศาสตร์ ทั้งนครบาล (ตั้งแต่จาก สน. ถึงแผนกอาวุธพิเศษ หรือ “สวาท”), สันติ บาล, กองปราบปราม โดยเฉพาะตำ รวจแผนกปราบจลาจล (“คอมมานโด”) 200 คน ภายใต้สล้าง บุนนาค และตำ รวจพลร่มตระเวนชายแดน จากค่ายนเรศวร หัวหิน สอง หน่วยหลังนี้เข้าใจว่าน่าจะเป็นกำ ลังหลักในการโจมตี ขอให้เรามาพิจารณาอย่างใกล้ ชิดยิ่งขึ้น 12


บทสรุป ความใฝ่ฝันถึงสังคม ใหม่ไม่ใช่ความผิด จากที่กล่าวมา เราจะเห็นได้ว่า เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เป็นผลผลิตอันสืบเนื่องจาก เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เมื่อขบวนการนักศึกษาได้รับชัยชนะในการต่อสู้ และนำ มา ซึ่งกระแสการตื่นตัวด้านประชาธิปไตยครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งในกระแสดัง กล่าวได้ก่อให้เกิดการตื่นตัวอย่างมากของประชาชนกลุ่มต่างๆ การต่อสู้เพื่อสิทธิของ ประชาชนชนชั้นล่าง ทั้งกรรมกร ชาวนา และกลุ่มสังคมอื่นๆ เกิดขึ้นเป็นระลอกคลื่น นอกจากนี้ ยังมีกระแสต่อต้านจักรพรรดินิยมอเมริกา รวมทั้งกระแสแห่งการขยายตัว ของแนวคิดสังคมนิยม ซึ่งเป็นแนวคิดที่วิพากษ์สังคมเก่า เสนอทางออกใหม่แก่สังคม และนำ มาซึ่งการเรียกร้องการปฏิวัติวัฒนธรรม สร้างวัฒนธรรมใหม่ที่รับใช้ประชาชน เป็นต้น ซึ่งเป็นกระแสคลื่นที่ส่งผลกระทบต่อสังคมไทยอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน กรณี 6 ตุลาคม 2519 ยังชี้ให้เห็นด้วยว่า แม้เมืองไทยจะเป็นเมืองพุทธศาสนา แต่เป็น เมืองพุทธที่ไม่มีรากฐานอหิงสาธรรม เพราะรัฐและกลไกรัฐในสมัย 6 ตุลาฯ มีความ พร้อมที่จะใช้ความรุนแรงปราบปรามประชาชนตลอดเวลา หากว่าการเคลื่อนไหวที่ เอียงไปทางซ้ายของขบวนการนักศึกษาก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้ง ชนชั้นนำ ไทย สมัยนั้นไม่เคยคิดที่จะคลี่คลายปัญหาความขัดแย้งในสังคมด้วยสันติวิธีโดยใช้ ภูมิปัญญาเป็นเครื่องมือ ดังนั้น บทเรียนที่สังคมไทยจะต้องรับจากกรณี 6 ตุลาฯ ก็คือ ฝ่ายรัฐและชนชั้นนำ จะต้องไม่แก้ปัญหากับฝ่ายประชาชนด้วยการใช้ความรุนแรงอีกใน ทุกระดับ นอกจากนั้นจะต้องทำ ให้สังคมไทยเปิดกว้างทางความคิด 13


โดยยอมรับว่าความคิดความเชื่อ การเทิดทูนบูชา การมีความใฝ่ฝัน หรืออุดมการณ์ที่ แตกต่างกัน จะต้องไม่เป็นสาเหตุในการเข่นฆ่าหรือการยอมรับการเข่นฆ่า เนื่องจาก ความหฤโหดของกรณี 6 ตุลาฯ มิใช่เพียงแต่การเกิดเข่นฆ่า สังหาร แขวนคอ และเผา ทั้งเป็นกลางเมืองเท่านั้น แต่ยังอยู่ที่ว่ามีประชาชนจำ นวนมากเห็นการเข่นฆ่าเช่นนี้ แล้วยังสามารถปรบมือและร้องเพลงหนักแผ่นดินต่อหน้าความตายของผู้อื่นได้อย่าง หน้าชื่นตาบาน การที่สังคมไทยยอมรับความรุนแรงได้ในระดับนี้ เพียงเพราะเข้าใจ ไปว่าอีกฝ่ายหนึ่งหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และหากยังไม่มีการสรุปบทเรียนใดๆ จาก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลย ย่อมเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง 14


บรรณานุกรม สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ บันทึก6ตุลา 21 มกราคม 2565 จากเว็บไซต์ https://doct6.com/learn-about/how 15


Click to View FlipBook Version